ตอนที่ 995: ภัยพิบัติแห่งยมราช
…………………………………………………..
ตอนที่ 995: ภัยพิบัติแห่งยมราช
เย่ลั่วยอมรับว่าผู้หญิงชุดกระโปรงสีดำตรงหน้าคนนี้สวยหยาดเยิ้มจนกระชากหัวใจ
ชุดกระโปรงสีดำประดุจน้ำหมึกไม่เพียงแค่เน้นรูปร่างสะโอดสะองเย้ายวนใจของนางเท่านั้น แต่ยังรับกับผิวขาวใสละเอียดอ่อนดุจแก้มทารกของนาง ผมยาวสีน้ำเงินใสรวบขึ้นหลวม ๆ เผยให้เห็นคอยาวระหง ยิ่งสร้างความโดดเด่นให้แก่รูปหน้าที่งดงามของนาง
หากเพียงแค่งดงามเท่านั้นก็คงไม่เป็นไร
ทว่าท่าทีของผู้หญิงคนนี้พิเศษโดดเด่นมาก ดูคล้ายเป็นกุลสตรีอ่อนช้อย แท้จริงแล้วมีแววตาหยิ่งทะนงราวกับผู้กุมอำนาจอันสูงส่ง ให้ความรู้สึกน่าเกรงขาม
ในสายตาของคนบางคน นางเปรียบเสมือนราชินีผู้ยิ่งใหญ่เหนือสวรรค์เก้าชั้น ไม่อาจล่วงละเมิดได้
แต่ในสายตาของคนบางคน ผู้หญิงเช่นนี้กลับเปรียบเสมือนวัตถุงดงามที่นำมาซึ่งความหายนะ สามารถจุดประกายตัณหาในจิตใจของคนเราได้
แม้กระทั่งเย่ลั่วก็ยังเคลิบเคลิ้มไปชั่วครู่ จนร้องขึ้นมาในใจว่านางปีศาจชั่ว
ทว่า ซูอี้ในเวลานี้ไม่มีอารมณ์จะมานั่งชื่นชมความงาม เขาเพียงแค่ชายตามองยมบาลผู้ที่กำลังยิ้มหวานหยดย้อยแค่ครู่ จากนั้นก็มุ่งหน้าเดินไปตามทางของตัวเอง
เย่ลั่วรีบตามติด
ยมบาลสาว “?”
ผู้ชายคนนี้มองข้ามตัวเองไปดื้อ ๆ เช่นนี้เลยหรือ?
ดวงตาคู่สวยของนางฉายแววฉงนสงสัย จากนั้นก็ตามไป นางถามเย่ลั่วด้วยท่าทีเป็นมิตร “สหายเต๋ามีนามว่าอะไร”
เย่ลั่วลดสายตามองดูปลายเท้าตัวเอง ไม่ตอบคำถาม
อาจารย์ยังไม่สนใจผู้หญิงคนนี้เลย เขาไม่ยอมเป็นฝ่ายหาเรื่องก่อนแน่ ๆ
ยมบาล “?”
นาง… น่ารังเกียจถึงเพียงนี้เลยหรือ?
ยมบาลสาวกัดริมฝีปากอิ่มเอิบของตัวเองเบา ๆ พลันรีบรุดหน้าไปอยู่ข้างกายซูอี้ ดาวตาใสสว่างเป็นประกาย “สหายเต๋า ข้ามาคิดไปคิดมา สุดท้ายก็ตัดสินใจได้เรื่องหนึ่ง เจ้าอยากจะรู้หรือไม่?”
ซูอี้ส่ายหน้า “ไม่อยาก”
นางถึงกับหน้าเหวอด้วยความงงงวย ผู้ชายคนนี้อย่างไรกัน เป็นอะไรไป?
เย่ลั่วเห็นเช่นนี้แล้วอดเห็นใจยมบาลสาวขึ้นมาไม่ได้ ทำให้เขายิ่งเข้าใจไปว่า ผู้หญิงคนนี้กำลังตามจีบอาจารย์!
มิเช่นนั้น โดนเย็นชาใส่ถึงเพียงนี้แล้ว ไหนเลยยังไม่ยอมจากไปแต่โดยดีอีก?
‘นั่นปะไร เป็นผู้หญิงที่สยบต่อเสน่ห์ของอาจารย์อีกคนหนึ่ง…’
เย่ลั่วแอบคิดในใจ
ย้อนนึกถึงเมื่อในอดีต ไม่รู้ว่ามีเซียนนางฟ้ามากมายเท่าใดในมหาแดนดินที่มีใจต่ออาจารย์ สยบต่อความงดงามของอาจารย์ ทว่าคนที่เข้าตาอาจารย์ได้แท้จริงกลับมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
จากนั้นยมบาลสาวก็ไม่พูดความอีก
นางไม่ใช่ผู้หญิงที่ไม่เคยผ่านโลกมาก่อน และไม่มีทางโกรธแค้นเจ็บใจเพราะเจออุปสรรคด้วยเช่นกัน
และหากไปตอแยกับซูอี้ในตอนนี้ ก็ไม่ต่างไปจากหาเรื่องใส่ตัว
ครืน!
ขณะที่พวกเขากำลังเดินทางอยู่บนน่านฟ้าของซากปรักหักพัง พลันเมฆสายฟ้าสีโลหิตก็ฟาดสายฟ้าสีเลือดอันมีพลังประหลาดลงมา
เพียงแค่กลิ่นอายน่ากลัวเช่นนั้นก็ทำให้ยมบาลสาวกับเย่ลั่วขนลุกซู่แล้ว รู้สึกได้ถึงอันตรายที่คุกคามต่อชีวิต
ทว่าซูอี้ฟาดค้อนทุบเซียนในมือออกไปโดยไม่สนใจ
โครม!
สายฟ้าสีเลือดที่ฟาดลงมาแตกระเบิด
บนเมฆสายฟ้าสีโลหิตนั้นมีเสียงร้องโอดครวญดังขึ้น
ยมบาลกับเย่ลั่วแหงนหน้ามองในทันใด พบว่าบนเมฆสายฟ้า มีร่างสีโลหิตท่าทางประหลาดพิกลร่างหนึ่งกำลังร้องโอดครวญ ร่างของมันแตกระเบิดคล้ายกับเมฆหมอกที่เคลื่อนตัว
เสียงร้องโอดครวญนั้นหยุดชะงักไปในทันใด
ทั้งสองต่างพากันสูดปาก
กลิ่นอายของร่างสีโลหิตนั้นหลอมรวมเข้ากับสายฟ้าสีเลือด ทั้งสองจึงรู้สึกสัมผัสไม่ได้อีก
“อาจารย์ นี่คือปีศาจอะไรขอรับ?”
เย่ลั่วทนไม่ไหว จึงถามขึ้นมา
“วิญญาณแค้นที่เคยถูกยมราชสิบตำหนักกักขังไว้ในนรกสิบทิศ แต่ละตนตอนมีชีวิตอยู่ล้วนมีความสามารถเก่งกาจเทียมฟ้า เมื่อตายไปแล้ว ความเคียดแค้นที่สะสมอยู่ของพวกเขา หลอมรวมกับกฎเกณฑ์ ‘นรก’ ที่ปกคลุมเหนือซากปรักหักพังแห่งนี้ รับมือด้วยยากที่สุด”
ซูอี้กล่าวอธิบายเบา ๆ “ต้องการจะทำลายพวกมัน จะต้องทลาพลังสายฟ้าสีเลือดที่กลายมาจากกฎเกณฑ์นรก มิเช่นนั้น ต่อให้มีกำลังการสู้รบที่แข็งแกร่งมากเพียงไหนก็ไม่อาจทำอะไรพวกมันได้”
ยมบาลสาวกับเย่ลั่วแสดงสีหน้าเข้าใจ
ระหว่างทาง สายฟ้าสีเลือดที่ปกคลุมอยู่ใต้ท้องฟ้าเกิดความเคลื่อนไหวถี่ขึ้น สายฟ้าประหลาดที่ฟาดลงมา ล้วนบดขยี้ไปที่พวกของซูอี้
ทว่า สายฟ้าสีเลือดเหล่านั้นล้วนถูกซูอี้ใช้ค้อนทุบเซียนตีแตก แม้กระทั่งวิญญาณแค้นที่ซ่อนตัวอยู่ในเมฆสายฟ้าสีโลหิตก็ยังถูกพิฆาตจนไม่เหลือ
ไม่ใช่เพราะกำลังการต่อสู้ของซูอี้ร้ายกาจ แต่เป็นเพราะพลังของค้อนทุบเซียน สามารถสยบและสลายอันตรายภายในพิภพยมราชฝังวิถีได้
พวกเขาเดินทางมุ่งไปข้างหน้าเช่นนี้เป็นเวลาครึ่งเค่อ
พลันเกิดเสียงสายฟ้าฟาดอย่างรุนแรงสนั่นพสุธาดังขึ้น ภูเขาลำเนาไพรพากันสั่นสะเทือน ซากปรักหักพังบนแผ่นดินอยู่ในอาการสั่นคลอน
“ผู้ยิ่งใหญ่ของวิญญาณแค้นปรากฏตัวขึ้นแล้วกระมัง?”
ยมบาลตกใจ
สั่นสะเทือนรุนแรงเกินไป เกินกว่าที่พวกเขาเคยเห็นมาตลอดทาง
“นั่นคือภัยพิบัติสวรรค์”
ซูอี้ชายตามองยมบาล ราวกับกำลังมองคนปัญญาอ่อน
ใบหน้างดงามของยมบาลสาวแดงก่ำด้วยความกระอักกระอ่วน
หลังจากที่นางคิดดูอย่างละเอียดก็รู้สึกได้เช่นกันว่า เสียงของสายฟ้านั้นแฝงไปด้วยกลิ่นอายแห่งการทำลายล้าง หากไม่แยกแยะอย่างละเอียด ก็คงแยกความแตกต่างของสายฟ้าสีเลือดที่ปกคลุมเหนือสถานที่แห่งนี้ได้ยาก
เย่ลั่วดีใจขึ้นมา ผู้หญิงคนนี้หยิ่งทะนงประดุจผู้ชี้ชะตา แต่เวลาอยู่ต่อหน้าอาจารย์ กลับหน้าแตกอยู่บ่อย ๆ ไม่กล้าพูดตอบโต้
ทันใด เย่ลั่วก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ “ประหลาด สถานที่แห่งนี้มีความน่ากลัวถึงเพียงนี้ แม้กระทั่งตัวตนขอบเขตจักรพรรดิก็ยังไม่กล้าบุกเข้ามา เหตุใดจึงมีคนผ่านภัยพิบัติในที่แห่งนี้ได้? หรือว่าจะเป็นตาเฒ่าเก๋ากึกคนใดที่ไม่กลัวตาย คิดจะยืมพลังกฎเกณฑ์ของสถานที่แห่งนี้บรรลุขอบเขตในทีเดียว?”
ซูอี้ส่ายหน้า “ผิดแล้ว นี่เป็นภัยพิบัติของการแสวงวิถีกลายเป็นจักรพรรดิ”
เย่ลั่วนิ่งตะลึง แทบไม่อยากจะเชื่อ
ยมบาลสาวอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ คราวนี้ ดูสิว่าใครหัวเราะเยาะใคร!
“พวกเราไปดูกัน”
แววตาของซูอี้เป็นประกาย พอจะเดาคำตอบออกบ้างแล้ว พลันรีบเร่งฝีเท้ามุ่งตรงไปข้างหน้า
ไม่นานนัก บนแผ่นดินที่ห่างออกไป เปลวสายฟ้าดุดัน แสงแห่งภัยพิบัติสาดกระเซ็น ภาพของภัยพิบัติซึ่งเรียกได้ว่ายิ่งใหญ่มากปรากฏขึ้นในสายตาของซูอี้
ภัยพิบัตินี้เรียกได้ว่ามีความยิ่งใหญ่มาก เมฆาภัยพิบัติสีดำทะมึนราวกับน้ำหมึกปกคลุมไปทั่วฟ้า แปรเปลี่ยนเป็นสายฟ้าเจิดจ้าสีสันงดงาม ดุดันรุนแรง เสียงฟ้าผ่าดังสนั่น
ทั่วผืนพสุธาถูกปกคลุมไปด้วยภัยพิบัติซึ่งมีกลิ่นอายแห่งการทำลายล้าง ทำเอาผู้คนรู้สึกหนาววาบไปทั่วสรรพางค์
ด้านล่างภัยพิบัติสวรรค์ ชายหนุ่มชุดสีขาวกำลังผ่านภัยพิบัติ
ผมของเขาปล่อยสยาย เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแต่บาดแผลเหวอะหวะ นั่นคือผลที่ได้รับจากการถูกภัยพิบัติอัสนีฟาด น่าสยดสยองยิ่งนัก
แสงภัยพิบัติอัสนีฟาดลงมาเป็นเส้น ๆ ซัดกระหน่ำจนร่างของชายหนุ่มคนนั้นโซเซ ราวกับจะร่วงตกลงมาเมื่อใดก็ได้ ใครที่เห็นแล้วยังอดปาดเหงื่อแทนไม่ได้
แต่สิ่งที่เกินความคาดหมายก็คือ รอบนอกภัยพิบัติสวรรค์ การต่อสู้ครั้งใหญ่กำลังเปิดฉาก!
กลุ่มคนผู้มีกลิ่นอายพลังอันยิ่งใหญ่กำลังโอบล้อมบุกทำร้ายผู้เฒ่าชุดนักพรต
เมื่อว่าผู้เฒ่าคนนั้นจะได้รับบาดเจ็บสาหัส ทว่าพลังของเขายังคงดุดันและไม่หวั่นเกรงต่อความตาย
แต่ไม่ว่าใครก็สามารถดูออกว่าผู้เฒ่าชุดนักพรตฝืนทนไปได้อีกไม่นานแล้ว
คู่ต่อสู้ของเขามีด้วยกันถึงแปดคน และล้วนเป็นตัวตนในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำทั้งสิ้น!
ในจำนวนนี้ยังมีตัวตนน่ากลัวที่อยู่ในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำขั้นกลางอีกไม่น้อย
ผู้แข็งแกร่งขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำเหล่านี้ต่างก็หยิบเอาสมบัติล้ำค่าที่มีอานุภาพรุนแรงมหัศจรรย์ออกมา เช่น ดาบวิถี มีดรบ ตราประทับ แจกันหยก และอื่น ๆ ต่างก็แสดงเคล็ดวิชาของตัวเอง ปิดล้อมผู้เฒ่าชุดนักพรตคนนั้นอย่างแน่นหนา เป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างเต็มที่
ศึกใหญ่เช่นนี้น่ากลัวมาก และสามารถทำลายภูเขาลำเนาไพรได้อย่างง่ายดาย!
“ดูท่าแล้ว คนเหล่านั้นคงไม่ต้องการให้ชายหนุ่มชุดสีขาวคนนั้นผ่านภัยพิบัติได้สำเร็จ จึงได้ลงมือด้วยความบ้าคลั่ง เพื่อยับยั้งเหตุการณ์ทั้งหมดนี้”
สายตาของเย่ลั่วมีความมั่นใจฉายวาบ
เพียงแค่แวบตาเดียวเขาก็มั่นใจได้ว่าผู้เฒ่าชุดนักพรตที่ถูกปิดล้อมคนนั้นจะต้องเป็นผู้พิทักษ์ของชายหนุ่มชุดสีขาวที่กำลังผ่านภัยพิบัติอย่างแน่นอน
คู่ต่อสู้เหล่านั้นไม่กล้าเข้าไปใกล้จุดที่ภัยพิบัติฟ้าปกคลุม ดังนั้นจึงปิดล้อมผู้เฒ่าชุดนักพรตพร้อมกัน เพื่อสร้างผลกระทบทางจิตใจของชายหนุ่มชุดสีขาว เป็นการทำลายความหวังที่จะผ่านภัยพิบัติได้สำเร็จ!
“เคียดแค้นชิงชังอะไรนักหนา พวกเขาจึงได้ทำทุกวิถีทางเช่นนี้”
ยมบาลสาวทนไม่ไหวกล่าวด้วยความตื่นตระหนก
เพียงแค่ตัวตนขอบเขตวงล้อวิญญาณต้องการแสวงวิถีกลายเป็นจักรพรรดิ กลับนำมาซึ่งการบุกทำร้ายของพวกผู้เฒ่าขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำเช่นนี้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่บ่อย และเป็นเรื่องที่ประหลาดมากด้วย
“นี่ไม่ใช่เรื่องเคียดแค้นชิงชังอันใด ขอเพียงชายหนุ่มชุดสีขาวคนนั้นย่างก้าวสู่หนทางแห่งวิถีลึกล้ำได้ ก็จะกลายเป็นอุปสรรคสำคัญของพวกผู้เฒ่าขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำเหล่านั้น จนถึงขั้นอาจจะคุกคามต่อการดำรงอยู่ของสายวิถีที่อยู่เบื้องหลังของพวกเขาแต่ละคนในวันข้างหน้าได้อีกด้วย”
มือหนึ่งของซูอี้ไพล่หลัง อีกมือหนึ่งถือค้อนทุบเซียน เขาเอ่ยพูดขึ้นเบา ๆ
เขาจำผู้เฒ่าชุดนักพรตกับชายหนุ่มที่ติดตามได้ พวกเขาก็คือเทพมารฝังอบายกับหวังถิงศิษย์ของเขา!
ศิษย์อาจารย์คู่นี้เคยเดินทางท่องไปในมหาทวีปคังชิง และเคยเข้าไปในร้านรับจำนำอันลึกลับแห่งนั้นอีกด้วย ทั้งหมดนี้ก็เพื่อแสวงหาสิ่งสืบทอดของยมราชสิบตำหนัก ด้วยเหตุนี้จึงเฝ้าจับจ้อง ‘หนทางแห่งยมราช’ อย่างแท้จริงบนมหาวิถี
ตอนที่อยู่ในร้านรับจำนำที่ปรากฏขึ้นในเมืองตาข่ายม่วงในครานั้น ซูอี้เคยมอบแผ่นหยกสืบทอดของยมราชสิบตำหนักให้แก่ศิษย์อาจารย์คู่นี้ จุดมุ่งหมายก็เพราะต้องการจะดูว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่ ‘หนทางแห่งยมราช’ ซึ่งหายสาบสูญไปจนสิ้นตั้งแต่โบราณกาลจะปรากฏขึ้นบนโลกอีกครั้ง
ไม่คิดเลยว่า วันนี้จะได้พบกับศิษย์อาจารย์คู่นี้ในซากโบราณฝังเทวะ
อีกทั้ง ชายหนุ่มที่มีนามว่าหวังถิงคนนั้นกำลังอยู่ในช่วงแสวงวิถีกลายเป็นจักรพรรดิเสียด้วย!
ทว่าซูอี้สามารถเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว
ครั้งนั้น ตอนที่ศิษย์อาจารย์คู่นี้กำลังจะจากไป ได้กล่าวไว้ว่า พวกเขาจะไปทะเลทุกข์ เพื่อสืบหาซากโบราณของยมราชสิบตำหนัก เตรียมตัวเสาะหา ‘หนทางแห่งยมราช’
ทว่าซากโบราณฝังเทวะแห่งนี้ ในยุคโบราณกาลเป็นนรกสิบทิศที่ยมราชสิบตำหนักควบคุมอยู่!
ดังนั้นการพบกับพวกเขาในที่แห่งนี้จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
“สหายทั้งสาม โปรดหยุดก่อน มีดดาบไร้ดวงตา ระวังจะโดนลูกหลง!”
เสียงเคร่งขรึมเย็นชาเสียงหนึ่งดังขึ้นในทันใด
ห่างไปไม่ไกลนัก ผู้ชายร่างสูงใหญ่สวมชุดลายงูใหญ่ปรากฏขึ้นกลางอากาศ สายตาเฉียบแหลมประดุจสายฟ้า มองไปที่พวกของซูอี้
“อาจารย์ ที่ตรงนี้ถูกปิดล้อมไว้หมดแล้ว ดูท่า พวกเราคงต้องเดินอ้อมเสียแล้ว”
เย่ลั่วเลิกหัวคิ้วขึ้น
เขาสอดส่ายสายตาไปรอบ ๆ เห็นว่าบริเวณใกล้เคียง แต่ละจุดมีร่างคนจำนวนมากมายเฝ้าอยู่ โดยมีภัยพิบัติสวรรค์แห่งนั้นเป็นศูนย์กลาง
“เหตุใดต้องอ้อมด้วย?”
ซูอี้โพล่งออกมา “หากว่าเจ้าหนุ่มคนนี้ไม่อาจแสวงวิถีกลายเป็นจักรพรรดิได้ สิ่งสืบทอดของยมราชสิบตำนักที่ข้ามอบให้เขาไม่เพียงแต่ต้องเสียเปล่า แม้กระทั่งความคาดหวังที่ข้ามีต่อเขาก็จะสูญสิ้นไปด้วย”
เย่ลั่วตะลึงไปชั่วครู่จึงเข้าใจได้ว่าอาจารย์รู้จักกับฝ่ายตรงข้าม!
ยมบาลสาวรวบผมสีน้ำเงินมาทัดไว้ข้างหู ริมฝีปากแดงเฉิดฉายมีรอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏ “ในเมื่อเป็นคนรู้จักของสหายเต๋า ถ้าเช่นนั้นไม่เข้าไปช่วยคงไม่ได้เสียแล้ว”
ขณะที่พูด มือเรียวงามของนางก็เอื้อมออกมา จากนั้นตีลงบนอากาศเบา ๆ
ปัง!!
ห่างไปร้อยจั้ง ร่างของผู้ชายในชุดลายงูใหญ่ที่ส่งเสียงขู่คำรามและเตือนพวกของซูอี้คนนั้นก็ระเบิดโดยที่ไม่ทันตั้งตัวและตอบโต้ ราวกับถูกเทพสวรรค์โหมซัด
เลือดกระเซ็นประดุจน้ำพุ!
เพียงแค่ตบลงเบา ๆ ก็สามารถฆ่าตัวตนขอบเขตจักรพรรดิจนตาย!
หินตกน้ำ เกิดคลื่นพันชั้น ภาพสยดสยองเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันเช่นนี้สร้างความสับสนอลหม่านแก่คนที่เห็น
……….