ตอนที่ 994: ซากโบราณฝังเทวะ
…………………………………………………..
ตอนที่ 994: ซากโบราณฝังเทวะ
เย่ลั่วนิ่งเงียบไปขณะหนึ่ง
หลังจากผ่านไปนาน เขาก็กล่าวขึ้น “นับตั้งแต่อาจารย์เข้าสู่วัฏสงสารกลับชาติเกิดใหม่ ข้าก็ไม่เคยเห็นศิษย์พี่ห้าอีกเลย ต่อมาจึงได้ยินมาว่า ศิษย์พี่ห้าตายอยู่ใน ‘หุบเขาแสนปีศาจ’”
ตาย… ตายแล้ว!?
ร่างที่ทะยานฟ้าอยู่ของซูอี้หยุดชะงัก ดวงตาหดเล็กลงในฉับพลัน สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนอย่างไม่อาจควบคุม
หวังเชวี่ย
ศิษย์คนที่ห้าของซูอี้ ต้นกล้าวิถีดาบโดยกำเนิด จิตใจกว้างขวาง รักความอิสระ ติดตามฝึกตนอยู่ข้างกายซูอี้ตั้งแต่ตอนยังเป็นหนุ่มน้อย
ในบรรดาศิษย์ทั้งหลาย ฐานะของหวังเชวี่ยค่อนข้างพิเศษกว่าคนอื่น ๆ เนื่องจากเขาเป็นบุตรสายตรงของ ‘ตระกูลหวังแห่งแคว้นจง’ ซึ่งเป็นหนึ่งในตระกูลใหญ่ที่เก่าแก่ที่สุดในมหาแดนดิน
และยังเป็นกิเลนตนที่เจ็ดในประวัติของ ‘ตระกูลหวังแห่งแคว้นจง’ ซึ่งมีพรสวรรค์ ‘ร่างแห่งเบญจคุณธรรม’!
เพื่อให้หวังเชวี่ยได้กราบซูอี้เป็นอาจารย์ ตอนนั้นตระกูลหวังแห่งแคว้นจงต้องทุ่มทรัพย์สมบัติและกำลังคนไปไม่รู้เท่าใดจึงขอให้พวกผู้เฒ่าที่มีอิทธิพลสูงในมหาแดนดินช่วยออกหน้าพูดขอร้อง
ตัวอย่างเช่น ‘ซางอิ๋น’ ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งแดนลี้ลับเก้าขั้ว หลวงจีนซ่อนใบแห่งแดนบูรพาน้อย เป็นต้น
ทว่าพวกเขาล้วนถูกซูอี้ปฏิเสธไปจนสิ้น
ต่อให้พื้นฐานของตระกูลหวังแห่งแคว้นจงโบราณจะยิ่งใหญ่กว่านี้ รู้จักผู้คนมากมาย ก็ไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงมาตรฐานการรับศิษย์สายตรงของซูอี้ได้
ทว่า ขณะที่ตระกูลหวังแห่งแคว้นจงกำลังโศกเศร้าอยู่นั้นเอง หวังเชวี่ยผู้มีอายุเพียงแค่สิบสามปีในตอนนั้นกลับวิ่งไปยังนอกสำนักถ้ำเสวียนจวินเป็นคนแรก และเลือกการทดสอบ ‘ฝึกใจลองดาบ’ ที่มีความโหดร้ายอย่างที่สุด!
ฝึกใจลองดาบนี้เป็นการทดสอบประเภทหนึ่งที่ซูอี้จัดเอาไว้เมื่อชาติก่อน
มันมีด้วยกันทั้งสิ้นเก้าด่าน
ไม่ว่าใครก็ตามที่สามารถบุกทะลวงไปได้จะถูกรับไว้เป็นผู้สืบทอดของถ้ำเสวียนจวิน!
ทว่า ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา นอกจากศิษย์คนที่สอง ‘จิ่งหัง’ แล้ว ก็ยังไม่มีผู้ใดผ่านการทดสอบฝึกใจลองดาบอีก
ตอนนั้น แม้กระทั่งสายวิถีระดับสุดยอดในใต้หล้ามหาแดนดินเหล่านั้นก็ยังเข้าใจว่า การทดสอบเพื่อรับศิษย์ของปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินนั้นเคร่งครัดเกินไป ร้อยวันพันปีก็ยังไม่เห็นมีใครสามารถผ่านการทดสอบได้
ทว่าในที่สุดหวังเชวี่ยก็ผ่านพ้นมาได้
เขาผู้มีอายุเพียงแค่สิบสามปี ติดอยู่ในด่านทั้งเก้าของการทดสอบ ‘ฝึกใจลองดาบ’ เป็นเวลานานถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน สุดท้ายก็เดินเข้าสู่ถ้ำเสวียนจวินทีละก้าวพร้อมกับเลือดอาบเต็มตัว
ประโยคแรกที่ซูอี้ถามหวังเชวี่ยในตอนนั้นก็คือ “เหตุใดจึงมาที่นี่?”
หวังเชวี่ยตอบโดยไม่ต้องคิด “ผู้อาวุโส ข้าอยากจะเรียนวิถีดาบอันดับหนึ่งในใต้หล้า!”
ตอนที่พูดประโยคนี้ออกมา หนุ่มน้อยวัยเพียงสิบสามปีเลือดอาบเต็มตัว บาดแผลทั่วกาย ทว่าดวงตาคู่นั้นกลับส่องสว่างดั่งแสงดาวที่พร่างพราวระยิบระยับ
นับตั้งแต่นั้นมา หวังเชวี่ยจึงกลายเป็นศิษย์คนที่ห้าของซูอี้
และช่วงเวลาหลังจากนั้น หวังเชวี่ยก็ไม่ทำให้ผิดหวัง แสดงความสามารถในด้านวิถีดาบอันเก่งกาจจนเจิดจรัสไปทั่วโลกกว้าง
ทว่าซูอี้ไม่สนใจในสิ่งเหล่านี้
สิ่งที่ซูอี้ให้ความสนใจคือจิตใจที่มุ่งมั่นในวิถีดาบของหนุ่มน้อย
สิ่งที่เขาให้ความสำคัญเป็นที่สุดคือภาวะจิตของศิษย์ ไม่ใช่พรสวรรค์ที่สูงส่ง หรือฐานะที่โดดเด่น
เพียงแต่ว่า ซูอี้คาดไม่ถึงเลยสักนิดว่า เมื่อได้ทราบข่าวคราวของหวังเชวี่ยอีกครั้ง หวังเชวี่ยอาจจะ…. ตายไปเสียแล้ว!!
ซูอี้ถึงกับนิ่งตะลึง จิตวิถีที่เรียกได้ว่าแข็งแกร่งไม่คด หมื่นปีไม่เปลี่ยนดวงนั้น สั่นสะท้านขึ้นมาในเวลานี้
“เรื่องนี้เป็นความจริงหรือ?” ซูอี้ถาม
แม้กระทั่งเสียงก็ยังเศร้าสร้อย
ราวกับรู้สึกได้ถึงความผิดปกติของซูอี้ จิตใจของเย่ลั่วก็หมองหม่นลงไปชั่วขณะเช่นกัน “ได้ยินมาจากตระกูลหวังแห่งแคว้นจง หากไม่มีอะไรผิดพลาด น่าจะเป็นความจริงขอรับ”
ตระกูลหวังแห่งแคว้นจง!
นั่นเป็นตระกูลที่คอยหนุนหลังหวังเชวี่ย ไม่มีทางเอาเรื่องเช่นนี้มาพูดล้อเล่นเป็นธรรมดา
ซูอี้สูดหายใจลึก ๆ ก่อนจะกล่าว “รู้หรือไม่ว่าคนร้ายคือใคร?”
เย่ลั่วส่ายหน้าพลางกล่าว “ไม่ทราบขอรับ เมื่อหลายปีก่อน ผีหมัวเคยไปสืบหาข้อมูลจากตระกูลหวังแห่งแคว้นจงด้วยตนเอง แต่ก็รู้เพียงแค่ว่า ศิษย์พี่หวังเชวี่ยเกิดเรื่องใน ‘หุบเขาแสนปีศาจ’ เท่านั้น ส่วนเรื่องที่ว่าประสบเคราะห์เพราะเหตุอันใดหามีใครรู้ไม่”
หลังจากนิ่งเงียบไปชั่วครู่ เขาก็กล่าวต่อ “หลังจากนั้นหลายปี ไม่เพียงแต่ตระกูลหวังแห่งแคว้นจงเท่านั้นที่ส่งกำลังออกไปตามหาที่หุบเข าแสนปีศาจ ผีหมัวก็รวบรวมกำลังของพันธมิตรเสวียนจวินไปสืบเสาะที่หุบเขาแสนปีศาจอยู่หลายครั้งเช่นกัน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้อะไรกลับมา”
พอฟังถึงตรงนี้แล้ว ซูอี้ก็ขมวดหัวคิ้วหนักยิ่งกว่าเดิม “ถ้าเช่นนั้นเพราะเหตุใดตระกูลหวังแห่งแคว้นจงจึงมั่นใจว่าศิษย์พี่ห้าของเจ้าประสบเคราะห์?”
เย่ลั่วตอบ “ว่ากันว่า โคมชะตาวิญญาณที่ศิษย์พี่ห้าทิ้งไว้ตอนที่คลอดดับไปอย่างประหลาดขอรับ”
คนตายโคมดับ
หากว่าโคมชะตาวิญญาณดับ หมายความว่าหวังเชวี่ยอาจจะประสบเคราะห์ตายแล้ว!
ทว่า เมื่อรู้ในจุดนี้แล้ว ซูอี้กลับคิดอะไรขึ้นได้ จากนั้นจึงกล่าวออกมา “เพียงแค่โคมชะตาวิญญาณดวงหนึ่งเท่านั้น ไม่อาจนำมาตัดสินว่าศิษย์พี่ห้าของเจ้าประสบเคราะห์”
เย่ลั่วกล่าวด้วยความคาดไม่ถึง “อาจารย์คิดว่าศิษย์พี่ห้ายังมีชีวิตอยู่หรือขอรับ?”
ซูอี้นิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวขึ้น “ยังสืบหาความจริงไม่พบ ข้าไม่มีทางเชื่อเรื่องนี้”
ไม่ยอมเชื่อ หรือว่าไม่ยอมรับความจริงกันแน่?
เย่ลั่วเดาไม่ถูก แต่เขามองออกว่าอาจารย์อารมณ์ไม่ค่อยดีนัก
“ไป๋อี้เล่า?” ซูอี้ถาม
ไป๋อี้
ศิษย์อันดับที่แปด นิสัยดื้อด้าน เป็นคนหัวรั้น กล้าหาญ ชอบต่อสู้ มักจะไม่ทำตามคำสั่งสอน ชอบสู้รบประหัตประหารตั้งแต่เกิด
ในบรรดาศิษย์ทั้งหลายของซูอี้ กำลังการต่อสู้ของไป๋อี้อาจจะไม่ถึงขั้นสูงสุด แต่มีประสบการณ์ในการสู้รบอย่างโชกโชนคนหนึ่ง
ในช่วงเวลาที่ไป๋อี้เพิ่งกราบเข้ามาเป็นศิษย์ เขาโดนศิษย์สำนักเดียวกันอัดจนเกือบจะทุกคน มีอยู่ครั้งหนึ่งแม้กระทั่งจิ่งหังที่ใจเย็นที่สุดก็ยังทนไม่ไหว และอัดไป๋อี้ไปตั้งหนึ่ง
สาเหตุนั้นง่ายมาก นั่นเพราะไป๋อี้คอยตามตื้ออยู่ตลอด ต้องการจะประลองกับจิ่งหังให้ได้ จิ่งหังมีนิสัยรักสงบ ไม่ชอบการต่อสู้ จึงปฏิเสธไปทุกครั้ง
ทว่าไป๋อี้กลับไม่ยอมแพ้ พูดโกหกต่อจิ่งหังว่าเขาเผาตำราคัมภีร์หยกที่จิ่งหังเก็บรักษาไว้จนไหม้หมดแล้ว
จิ่งหังหลงกลเชื่อจริง ๆ จึงแสดงความโกรธเกรี้ยวออกมา เพียงแค่ฝ่ามือเดียว ไป๋อี้ก็สลบหลับไปเลย ต้องพักผ่อนกันอยู่นานถึงครึ่งเดือนอาการจึงค่อย ๆ ดีขึ้น
หลังจากที่เกิดเรื่องจิ่งหังรู้สึกละอายแก่ใจมาก และกล่าวขอโทษต่อไป๋อี้ไม่รู้กี่ครั้ง
ทว่าไป๋อี้ไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย ในทางกลับกันเมื่ออาการดีขึ้นแล้ว ก็กลับไปตามตื้อตอแยขอประลองกับจิ่งหังอีก…
และนี่ก็คือไป๋อี้ผู้ที่มักจะพูดอยู่เสมอว่า ‘ชีวิตไม่ดับ ต่อสู้ไม่หยุด’ เขาเคยกล่าวไว้ว่าพวกที่ฆ่าเขาไม่ตาย จะทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นมาในที่สุด
ทว่าซูอี้กลับรู้สึกชื่นชมอีกฝ่ายในเรื่องนี้ยิ่งนัก
ตอนที่เขารับไป๋อี้เป็นศิษย์ในครั้งนั้น ก็เป็นเพราะชอบนิสัย ‘บ้าการต่อสู้ของไป๋อี้
“ไม่มีใครรู้เช่นกันว่าศิษย์น้องไป๋อี้ไปอยู่ที่ใดแล้ว”
เย่ลั่วถอนใจเบา ๆ พลางกล่าว “หลังจากที่อาจารย์เข้าสู่วัฏจักรกลับชาติไปแล้ว ศิษย์น้องไป๋อี๋ก็เหมือนกับคนเสียสติ ไปคิดบัญชีกับชิงถัง ผลปรากฏว่าถูกชิงถังทำร้ายจิตใจอย่างแรงและถูกขับออกจากถ้ำเสวียนจวิน”
“หลังจากนั้น ศิษย์น้องไป๋อี้ก็ยังเคยไปหาผีหมัวที่พันธมิตรเสวียนจวิน ไม่รู้เช่นนี้ว่าเพราะเหตุอันใด ไป๋อี๋กับผีหมัวเกิดความขัดแย้งขึ้น แต่เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผีหมัว สุดท้ายจึงจากไปพร้อมกับบาดแผล”
“นับแต่นั้นเป็นต้นมา ก็ไม่มีข่าวคราวของศิษย์น้องไป๋อี้อีกเลย”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เย่ลั่วก็กล่าวขึ้นอีก “ตอนที่ข้ารู้เรื่องนี้ คือตอนที่ข้ากำลังท่องพเนจรอยู่นอกภูมิ จนกระทั่งกลับถึงพันธมิตรเสวียนจวิน จึงรู้ว่าศิษย์น้องไป๋อี้ขัดแย้งกับผีหมัว ข้าไปถามสาเหตุกับผีหมัว แต่ผีหมัวบอกเพียงแค่ว่า ศิษย์น้องแปดเสียสติไปแล้ว ภาวะจิตสับสนอย่างรุนแรง”
พอฟังถึงตรงนี้แล้ว ความเจ็บปวดผุดขึ้นมาในหัวใจของซูอี้
มีแต่เขาเท่านั้นที่รู้ดีว่า ถึงแม้ไป๋อี้จะชอบการต่อสู้ ดื้อรั้นดึงดัน แต่จิตใจของเขานั้นเรียบง่ายประดุจกระดาษขาว
ไป๋อี้มองถ้ำเสวียนจวินเปรียบเสมือนบ้านของตัวเอง ในใจของเขา ศิษย์ในสำนักเหล่านั้นไม่แตกต่างไปจากญาติสนิท
ทว่าตอนนั้นเขากลับถูกชิงถังทำร้ายจิตใจอย่างแรงและขับไล่ ทั้งยังขัดแย้งกับผีหมัวจนได้รับบาดเจ็บอีก
เรื่องนี้ทำให้ซูอี้รู้สึกขมขื่นใจอย่างบอกไม่ถูก
“เป็นเพราะข้า ตอนที่เข้าสู่วัฏสงสารกลับชาติในตอนนั้น รีบร้อนเกินไป ไม่ได้จัดการเรื่องต่าง ๆ ให้เรียบร้อย มิเช่นนั้น ก็คงไม่เกิดเรื่องมากมายเช่นนี้”
ซูอี้พูดกับตัวเองด้วยท่าทีเศร้าสร้อยเสียใจ
เย่ลั่วอยากจะพูดอีก แต่ซูอี้โบกมือกล่าว “ให้ข้าอยู่คนเดียวหน่อย”
ซูอี้ก้าวเดินไปบนอากาศ หยิบน้ำเต้าสุราออกมา จากนั้นก็เดินไปพลางจิบสุราไปพลาง ร่างสูงโปร่งนั้นแลดูโดดเดี่ยวเดียวดายภายใต้แสงจันทร์ยามราตรี
เย่ลั่วแอบถอนใจเบา ๆ
ต่อให้มีระดับการฝึกตนแข็งแกร่งสักแค่ไหน ขอเพียงจิตใจผูกพันกับเรื่องราวหรือคนที่เป็นห่วง เป็นไปไม่ได้ที่จะตัดใจได้อย่างแท้จริง!
เรื่องที่รู้มาในวันนี้สร้างความกระทบกระเทือนใจต่อภาวะจิตของอาจารย์อย่างแรงแน่นอน
เย่ลั่วก็รู้สึกขมขื่นใจอย่างบอกไม่ถูกเช่นกัน
เขาไม่เข้าใจ เพราะเหตุใดผีหมัวจึงทรยศ เพราะเหตุใดฮั่วเหยาจึงได้เคียดแค้นต่ออาจารย์ถึงเพียงนั้น เพราะเหตุใดศิษย์น้องเล็กยอมทำทุกอย่างเพื่อจะครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างของถ้ำเสวียนจวิน เพราะเหตุใด…
เรื่องที่ไม่เข้าใจ ช่างเยอะแยะมากมายเสียเหลือเกิน
…
จันทรากลมโต ส่องสว่างผืนแผ่นดินอันมืดมิด ซากปรักหักพังปรากฏ มองไปไร้พรมแดน
บนซากปรักหักพังเต็มไปด้วยสิ่งก่อสร้างโบราณที่ชำรุดทรุดโทรม สายฟ้าสีเลือดแปลกตาราวกับเมฆหมอกที่ไม่ยอมสลายตัว ปกคลุมอยู่บนฟากฟ้าของซากปรักหักพัง สายฟ้าฟาดกระหน่ำครืนครั่นที่ดังเป็นพัก ๆ กึกก้องไปรอบด้าน
ซากโบราณฝังเทวะ!
หนึ่งในสถานที่ต้องห้ามที่อันตรายที่สุดในพิภพยมราชฝังวิถี
เมื่อมาถึงที่นี่ ซูอี้พลันหยุดยืน เขาพลิกมือหยิบชุดเกราะสวรรค์แสงเงินยื่นให้เย่ลั่ว “สวมไว้กับตัว บนหนทางข้างหน้า อย่าได้อยู่ห่างจากข้าเกินกว่าสามจั้ง”
เย่ลั่วตื่นตะลึง เขายื่นสองมือไปรับสมบัติล้ำค่าพลางพยักหน้า
“อาจารย์ ว่ากันว่าเมื่อในอดีตที่ผ่านมานานมากแล้ว ที่ตรงนี้เคยเป็นแคว้นรัฐเทพเทวา มีผู้แข็งแกร่งประดุจเทพเทวาอยู่อาศัย คำเล่าลือนี้สามารถเชื่อได้หรือไม่?”
เย่ลั่วถามเบา ๆ
ซูอี้ส่ายหน้าพลางกล่าว “แคว้นรัฐเทพเทวาอันใดกัน เป็นเพียงแค่คำเล่าลือเท่านั้น ในยุคสมัยโบราณ ซากโบราณแห่งนี้เคยเป็น ‘นรกสิบทิศ’ ซึ่งอยู่ในความควบคุมของ ‘ยมราชสิบตำหนัก’ ผู้ที่ถูกกักขังอยู่ภายในคือวิญญาณชั่วและวิญญาณเคียดแค้นที่ชั่วร้ายที่สุดในทะเลทุกข์”
หลังจากนิ่งเงียบไปชั่วครู่ เขาก็กล่าวต่อว่า “แต่ ที่ตรงนี้เคยเกิดความเปลี่ยนแปลงที่ไม่มีใครรู้จริง ๆ หลังจากความเปลี่ยนแปลงครั้งนั้น ยอดฝีมือของยมราชสิบตำหนักก็หายสาบสูญไปจากโลก ‘นรกสิบทิศ’ แห่งนี้จึงกลายเป็นซากโบราณที่เงียบสงัดไปด้วย”
เย่ลั่วฟังแล้วใจเต้นด้วยความตื่นกลัว
ขณะที่พูด ซูอี้ก็พลิกมือหยิบค้อนทุบเซียนออกมา สมบัติชิ้นนี้สืบทอดจากเชื้อสายของยามบอกเวลา สามารถต้านทานและสลายพลังชั่วร้ายมากมายในพิภพยมราชฝังวิถีได้
“สหายเต๋าช้าก่อน!”
ทันใด เสียงอ่อนหวานนุ่มละมุนเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
บนท้องฟ้าที่ห่างไกลออกไป ร่างอรชรของยมบาลก็ร่อนลงมา
นางนั่นเอง!
เย่ลั่วหรี่ตาลง ระมัดระวังตัวเองขึ้นมา เขาเคยเจอยมบาลมาแล้ว รู้สึกได้ว่าหญิงสาวสวยยั่วยวนรัญจวนใจคนนี้ แท้จริงแล้วเป็นตัวตนที่น่ากลัวมากคนหนึ่ง
“ในที่สุดก็ตามจนทัน”
หลังจากที่ยมบาลสาวมาถึง มือเรียวยาวขาวเนียนประคองหน้าอกพ่นลมหายใจออกมาจากปากเบา ๆ
ดวงตาใสสว่างเป็นประกาย ริมฝีปากแดงเฉิดฉายเผยอขึ้น หัวเราะพลางกล่าว “ครั้งก่อนสหายเต๋าบอกว่าขอเพียงตามเจ้าทัน จะพาข้าไปด้วย ไม่รู้ว่าคำพูดประโยคนี้ยังมีผลอยู่หรือไม่?”
เย่ลั่วตะลึง ผู้หญิงคนนี้… ตามอาจารย์มา!?
……….