บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] 969: อาจารย์ นั่นท่านหรือ?

ตอนที่ 969: อาจารย์ นั่นท่านหรือ?

ตอนที่ 969: อาจารย์ นั่นท่านหรือ?

…………………………………………………..

ตอนที่ 969: อาจารย์ นั่นท่านหรือ?

เมื่อเสียงครวญดาบกระทบโสต วิญญาณของหงอิ๋งพลันรู้สึกเจ็บแปลบอย่างไม่อาจบรรยายราวถูกคมมีดนับไม่ถ้วนตัดแยกพร้อม ๆ กัน

ใบหน้าของหงอิ๋งพลันบิดเบี้ยวอย่างรุนแรง เขากรีดร้องอย่างเจ็บปวด

แม้เขาจะควบแน่นแท่นเต๋ารู้แจ้งลึกล้ำและมีเจตจำนงอันมิอาจทำลาย พลังของเสียงครวญดาบนั้นยังรุนแรงเกินกว่าเขาจะรับไหว และวิญญาณเสียหายหนักในพริบตา

และการเปลี่ยนแปลงมหันต์ชั่วพริบตานี้ ทำให้การโจมตีซึ่งกำลังก่อตัวของหงอิ๋งชะงัก และปราณในร่างของเขาก็ลดกำลังลงเล็กน้อย

ขณะเดียวกัน ปราณดาบสายหนึ่งก็ปรากฏขึ้น

ฉับ!

หัวของหงอิ๋งกระเด็นสู่เวหา

ร่างที่ลุกเป็นไฟของเขาเป็นราวลูกโป่งถูกปล่อยลม คลื่นอำนาจทำลายล้างหายวับไปทันที

ท้ายที่สุด ภายใต้สายตาไม่ยินยอมพร้อมใจของหงอิ๋ง ร่างของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นเถ้าถ่านพลิ้วหายไปในอากาศ

“เข้าใจแล้ว ตลอดมานี้ ผู้ที่เจ้าหอมองหาก็คือเขานี่เอง…”

หงอิ๋งกลอกตาอย่างยากลำบาก มองไปยังร่างสูงของชายหนุ่มในชุดเขียว และในที่สุดก็ตระหนักรู้

จากนั้นทันที สติก็หลุดลอยมลายสิ้น

ภายใต้สายตาตื่นตะลึงของผู้คนรอบข้าง หัวของหงอิ๋งที่กระเด็นจากร่างระเบิดเปรี้ยง แปรเป็นเถ้าถ่านพลิ้วสลาย

ตราประทับพุทธะเป็นตายซึ่งอยู่บนอากาศส่งเสียงครวญ หม่นแสงลงในพริบตา

ก่อนที่มันจะร่วงลง ยมบาลก็คว้ามันไว้กลางอากาศ

สงครามจบแล้ว

หงอิ๋งและเจ็ดพัศดีซึ่งติดตามเขามาล้วนตายตกตามกัน

ทุกคนตะลึงอึ้ง

ทว่าใครเล่าจะคิดว่าเคล็ดวิชาต้องห้ามยังไม่ทันได้ใช้ ซูอี้ก็พุ่งออกมาใช้ดาบเดียวประหารหงอิ๋งลงแล้ว!

ไวเกินไป!

ว่องไวดุจแสง ชี้วัดเป็นตายพริบตา!

สิ่งนี้ทำให้ผู้คนยากจะเชื่อว่านี่คือความแข็งแกร่งที่ชายหนุ่มในขอบเขตวงล้อวิญญาณจะมีได้!

“เสียงครวญกระบี่นั่นต้องมีพลังเพียงใดกัน จึงจะสามารถทำให้วิญญาณยอดฝีมือในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำบาดเจ็บสาหัสได้?”

สีหน้าของเย่ลั่วตะลึงไม่แน่ใจ

ก่อนหน้านี้ สายตาของเขาจับจ้องยามซูอี้บั่นหัวหงอิ๋งได้อย่างชัดเจน และเห็นว่ามีเสียงครวญดาบประหลาดล้ำสะท้อนก้องออกมา

เสียงครวญดาบนี้เองที่ทำให้วิญญาณของหงอิ๋งบาดเจ็บสาหัส ทำลายเคล็ดวิชาต้องห้ามที่เขากำลังจะสร้าง!

และนี่ยังทำให้เย่ลั่วตระหนักว่าซูอี้มีไพ่ตายลี้ลับเกินหยั่งทราบ ซึ่งเพียงพอจะเป็นภัยต่อตัวตนในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำเช่นเขาได้!

“ขอบคุณสหายเต๋าที่ช่วยข้าสังหารศัตรู”

ไม่ไกลนัก ริมฝีปากแดงของยมบาลสาวยกยิ้ม คู่เนตรพร่างดาวฉายประกายพร่างพราย

ดาบเมื่อครู่ของซูอี้ก็ทำนางตกใจได้เช่นกัน นางตระหนักแล้วว่าในศึกของนางกับซูอี้เมื่อไม่กี่วันก่อน แม้ซูอี้จะไม่ได้ใช้ไม้ตายร้ายกาจนั่น แต่เขาก็ยังมีวิธีต่อสู้กับนางอยู่!

เคร้ง!

ซูอี้เก็บดาบนิลกาฬบริสุทธิ์และกล่าวอย่างเฉยชา “ขอบคุณ ข้าเชื่อว่าเรายังมีโอกาสให้ร่วมมือกันอีกในภายหน้า”

ยมบาลเม้มปาก ก่อนจะแย้มยิ้ม ในขณะที่จักรพรรดิใกล้เคียงรู้สึกอึดอัดในใจ

“จริงสิ”

ซูอี้หันขวับกลับมามองเย่ลั่วซึ่งอยู่ห่างออกไปกะทันหัน จากนั้นจึงกล่าวยิ้ม ๆ “แล้วเจ้าคิดเช่นไรกับความสามารถของข้า?”

ทุกผู้หันมองเย่ลั่ว

“ข้ายอมรับ ข้าเข้าใจผิดเอง”

เย่ลั่วแตะจมูกตนและรำพึงเบา ๆ

ทันใดนั้น เขาก็เงยหน้าขึ้นสบสายตาซูอี้ และกล่าวด้วยรอยยิ้มน่าเกรงขาม “ทว่า ข้าไม่รามือหรอกนะ”

ชายหนุ่มแค่นเสียงหึ กวาดตามองพวกหลิ่วฉางเซิงและกล่าวว่า “ทุกท่าน รบกวนจัดการเจ้าเด็กนี่หน่อยสิ”

“ได้!”

หลิ่วฉางเซิง จ้านเป่ยฉีและคณะตกลงอย่างยินดี ก่อนจะพุ่งเข้าใส่อีกฝ่ายด้วยจิตสังหาร

แม้กระทั่งยมบาลสาวยังคิดร่วมวง

สีหน้าของเย่ลั่วแปรเปลี่ยนฉับพลัน แล้วเผ่นหนีไป

ไม่ว่าเขาจะหยิ่งผยองวางมาดเพียงไร แต่ต่อหน้าการล้อมโจมตีของเหล่าตัวตนบรรพกาลผู้อยู่บนจุดสูงสุดแห่งภูมิมืดมิดมากมาย เขาย่อมมีโอกาสแพ้มากกว่าชนะ!

กล่าวอีกนัยก็คือ หากยังดื้อดึง คงได้เละแน่

“ไอ้หนู รอข้าก่อนเถอะ!”

เสียงของเย่ลั่วแว่วมาจากไกล ๆ แฝงด้วยความกรุ่นโกรธ

“ขอบคุณสหายเต๋าที่ช่วยชีวิต!”

ยามนี้ หลิ่วฉางเซิงก้าวมาเบื้องหน้า เขาก้มหัวลงด้วยความละอาย “ก่อนหน้านี้ข้าทำตัวสะเพร่า หากล่วงเกินไป โปรดอภัยให้ด้วย!”

แม้จ้านเป่ยฉีจะไม่ได้กล่าวอันใด แต่สีหน้าแววตาของเขาก็ยังแฝงความชื่นชม

สีหน้าของหวังชงหลูซับซ้อนอย่างยิ่ง

หากสายตาของเขาไม่ได้พร่ามัวในคราแรก คงไม่เป็นเช่นนี้กระมัง?

สีหน้าของสิบสามแม่ทัพปีศาจเต็มไปด้วยความยำเกรง

จริงอยู่ที่ซูอี้อยู่เพียงขอบเขตวงล้อวิญญาณ ทว่าหลังศึกนี้ ยังมีผู้ใดกล้าปฏิบัติต่อเขาเช่นผู้น้อยอีกหรือ?

ซูอี้กล่าวอย่างเฉยเมย “เอาล่ะ เรื่องจบแล้ว พวกเจ้าในยามนี้ควรกลับไปเมืองรัตติกาลนิรันดร์ได้แล้วล่ะ”

กล่าวจบ เขาก็ยืนบนเรือไร้อับปาง ตั้งใจจะลาจาก

“ข้าไปกับเจ้าด้วย”

ร่างของยมบาลวูบไหว ไม่แม้แต่จะถามความสมัครใจของซูอี้ และขึ้นมาอยู่บนเรือไร้อับปาง

“ไฉนไม่ถามเล่าว่าข้าจะไปไหน?”

ซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย

ยมบาลนั่งลงที่ท้ายเรือ และกล่าวอย่างเฉื่อยชา “ไปหนใดก็ได้ทั้งนั้น”

ซูอี้ “…”

“ลาก่อน”

ซูอี้หันไปพยักหน้าน้อย ๆ แก่พวกหลิ่วฉางเซิง จากนั้นก็แจวเรือไร้อับปางล่องสายลมเกลียวคลื่นจากไป

“สหายเต๋ารักษาตัวด้วย!”

หลิ่วฉางเซิงและคนอื่น ๆ ตอบกลับ

จนกระทั่งร่างของซูอี้หายลับไปในทะเลกว้าง กลุ่มคนก็ยังมิสลายตัว

“สหายเต๋าหลิ่ว เจ้ารู้ตัวตนของสหายเต๋าซูหรือไม่?”

หวังชงหลูอดถามระหว่างเดินทางกลับไม่ได้

สิบสามแม่ทัพปีศาจข้างกายเขาเองต่างก็หูผึ่ง

หลิ่วฉางเซิงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหัวตอบ “ยากจะกล่าว”

ไม่ใช่ไม่รู้ แต่ยากจะกล่าว!

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า หลิ่วฉางเซิงมีการคาดเดาในใจแล้ว

หวังชงหลูหันมองจ้านเป่ยฉี กล่าวขึ้นอีกครั้ง “สหายเต๋า เจ้าเล่า?”

ดวงตาของจ้านเป่ยฉีวูบไหว แล้วถามย้อน “ไม่กี่วันก่อน เจ้าและสหายเต๋าซูไปเยือนยามบอกเวลาด้วยกัน เจ้าไม่รู้ตัวตนของเขาหรือไร?”

หวังชงหลูยิ้มอย่างขมขื่น “ยามนั้น ข้าเคยสงสัยว่าเขาจะเป็นทายาทของปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน แต่เขากลับหัวเราะออกมาและบอกว่าเขานั่นแหละคือปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน!”

ทันทีที่วาจานี้ถูกกล่าว แววตาของหลิ่วฉางเซิงก็ฉายประกายสุดปรีดา

จ้านเป่ยฉีหรี่ตาลงโดยไม่รู้ตัว

สิบสามแม่ทัพปีศาจสะดุ้งโหยง ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน!?

หวังชงหลูรำพึง “คำกล่าวเช่นนั้นดูถูกสติปัญญาของข้าโดยแท้ อย่าว่าแต่เรื่องที่ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินสิ้นใจไปแล้วจริง ๆ ดังนั้นเขา ชายหนุ่มในขอบเขตวงล้อวิญญาณจะมาอ้างตนเป็นปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินได้เช่นไร?”

สิบสามแม่ทัพปีศาจต่างพยักหน้าหงึกหงัก

สีหน้าของทั้งหลิ่วฉางเซิงและจ้านเป่ยฉีพิกลหนักกว่าเก่า

“ข้าก็เคยไปถามยามบอกเวลา แต่อีกฝ่ายเลี่ยงไม่ตอบข้า”

หวังชงหลูดูจนใจ “เป็นนกกระเต็นเสียเองที่หัวเราะเยาะข้า บอกว่าสายตาช่างย่ำแย่…”

จ้านเป่ยฉีจึงอดหัวเราะออกมาไม่ได้

เขาตบบ่าหวังชงหลูและกล่าวว่า “แม้สหายเต๋าซูจะอายุน้อย แต่เมื่อครู่เขาพลิกสถานการณ์สังหารกลุ่มยอดฝีมือจากสำนักสุดวิถี และช่วยชีวิตพวกเราทั้งหมด ไฉนเจ้าจึงคิดว่าเขาไม่ใช่ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินเล่า?”

หวังชงหลูผงะไป

หวังชงหลูดูมืดหม่นไม่แน่ใจ

จ้านเป่ยฉีกล่าวเย้า ๆ “และสหายเต๋าซูผู้นั้นไม่เพียงกล้าเรียกนกกระเต็นนั่นมา เขายังกล้าปฏิบัติต่อ ‘ใต้เท้าไคหยาง’ เหมือนแมวบ้านทั่วไป และระหว่างนั้น ยามบอกเวลายังขอให้สหายเต๋าซูมาช่วยจัดการกับสำนักสุดวิถีอีก เจ้าไม่คิดหรือว่าผิดปกติ?”

ยามนี้ หวังชงหลูดูเข้าใจขึ้นมาเล็กน้อย เขาพลันสูดหายใจเฮือก “หรือว่าเขา… จะใช่… ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินจริง ๆ!?”

ยามนี้ หลิ่วฉางเซิงกล่าวเบา ๆ “ด้วยนิสัยของสหายเต๋าซู เขาจะล้อเล่นเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้กับเจ้าหรือ?”

หลังชะงักไป เขาก็กล่าวว่า “แน่นอน แค่จากเรื่องเหล่านี้ ข้าก็ยังไม่อาจคาดเดาจริงจังได้หรอกว่าสหายเต๋าซูจะเป็นปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินจริง แต่แน่ใจได้ว่าคนผู้นี้… ต้องมีที่มาเกี่ยวข้องกับปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินหลายส่วน และยามบอกเวลาต้องรู้คำตอบที่แท้จริงเป็นแน่”

ทันทีที่วาจานี้ถูกกล่าว ทุกคนก็พยักหน้าพร้อมเพรียงโดยไม่รู้ตัว

บนเกาะรกร้างไร้ชีวิตใด ๆ แห่งหนึ่ง

ลมทะเลคำรามขู่ เกลียวคลื่นกระทบหาด ชั้นหิมะทับถมหนา

เย่ลั่วนั่งบนโหดหินแห่งหนึ่งด้วยสีหน้าเลื่อนลอย รอยยิ้มเอ้อระเหยตามนิสัยบนใบหน้าหายไป

ความคิดของเขาไม่อาจรั้งหยุด!

เนิ่นนานจากนั้น เขาก็หยิบไหสุราขึ้นซดอั้ก ๆ และเพราะดื่มเร็วไปหน่อย เขาจึงสำลักรุนแรง

ครู่ต่อมา เขาก็สงบอารมณ์ในใจลง สูดหายใจลึก ๆ และนำคันฉ่องสำริดซึ่งสลักลวดลายบุปผา สกุณา มวลแมลงและมัจฉาออกมา

เขากัดปลายนิ้ว เค้นหยาดโลหิตแดนฉานออกมาป้ายบนคันฉ่อง

ชี่! ชี่! ชี่!

คันฉ่องสำริดสั่นไหวเล็กน้อย ลำแสงพรั่งพรูวาดเป็นภาพอันเจิดจ้าขึ้นทันที

มันคือภาพสวนของยามบอกเวลา ชายหนุ่มชุดเขียวผู้หนึ่งนั่งอย่างแสนคร้านบนเก้าอี้หวาย อุ้มแมวเหลืองตัวอวบอ้วนไว้ในอ้อมแขน ท่าทางผ่อนคลายสบายใจ

ดวงตาของเย่ลั่วเบิกกว้างจ้องมองชายหนุ่มชุดเขียวผู้นั้น ราวกับจะล้วงความลับจากอีกฝ่ายได้

ครู่ต่อมา เขาก็โบกแขนเสื้อ

ชิ้ง!

คันฉ่องสำริดสั่นไหว และด้วยแสงสว่างพร่างพราย ภาพใหม่อีกภาพก็ปรากฏทันที

นั่นคือยามที่ซูอี้ใช้ดาบบั่นหัวยอดฝีมือจากหอเก้าสวรรค์ ทุกท่วงท่าปรากฏชัดเจน

และในภาพเหล่านี้ เมื่ออยู่ในสายตาของเย่ลั่วก็ดูราวเป็นปริศนาที่ซุกซ่อนความลับไว้อีกนับไม่ถ้วน

แววตาของเขาแปรเปลี่ยนตลอดเวลา ราวกำลังคิดถึงบางเรื่อง

จนเนิ่นนานจากนั้น

ชิ้ง!

ม่านแสงพลันสลายหาย

เย่ลั่วผู้กำลังจมในภวังค์ครุ่นคิดดูจะตื่นขึ้น ร่างพลันสั่นและถอนหายใจยาว

“ท่านอาจารย์จากไปเมื่อห้าร้อยปีก่อน แต่ชายหนุ่มผู้นี้ อย่างมากก็สิบแปด…”

เย่ลั่วพึมพำกับตนเอง “แต่หากจะบอกว่าเขาไม่ใช่ท่านอาจารย์ ความเย่อหยิ่งดูแคลนในสันดานของเขาก็เหมือนท่านอาจารย์มากเกินไป กระทั่งลักษณะนิสัย การวางตัว และพฤติกรรมยามสังหารศัตรูก็ยังเหมือนกันทุกกระเบียด!”

“ยิ่งกว่านั้น ตลอดมานี้ ข้าก็ไม่เคยได้ยินว่ามีตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณแข็งแกร่งบ้าบอเยี่ยงคนผู้นั้นเลย”

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เย่ลั่วก็ยังคงเหม่อลอย อารมณ์ของเขาเหมือนดั่งคลื่นคลั่งในทะเลทุกข์อันมิอาจสงบลงได้

“อาจารย์ นั่นท่านหรือ…”

สีหน้าของเย่ลั่วซับซ้อน ดูเหมือนตื่นเต้น ทว่าขณะเดียวกันก็ลังเล

ความคิดสับสนอลหม่าน!

……….

บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ]

บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ]

Score 10

Options

not work with dark mode
Reset