ตอนที่ 912: ศิลาหลุมศพปกปักษ์เมืองมรณะ
ตอนที่ 912: ศิลาหลุมศพปกปักษ์เมืองมรณะ
เสียงอันสิ้นหวังของเถี่ยเต๋าเหรินยังไม่ทันจางหาย
ร่างของเขาพลันระเบิดเป็นควันสีน้ำเงิน สลายสิ้นในแสงสว่างเย็นชา
ทั้งร่างกายและวิญญาณกลายเป็นเถ้าถ่าน
ไม่ว่าใครก็เห็นได้ว่าเถี่ยเต๋าเหรินไม่เต็มใจตายมากเพียงไร
กระทั่งไม่คิดว่าตนพ่ายด้วยมือของโยวเสวี่ยด้วยซ้ำไป
ทว่าโยวเสวี่ยมีหรือจะใส่ใจ
นางเองก็เชื่อว่าซูอี้มีส่วนในความตายของเถี่ยเต๋าเหรินอย่างมากเช่นกัน
วูบ!
ดาบปลายมนไร้วจีแผดเผาซึ่งหลงเหลืออยู่บนอากาศพลันสั่นไหว มันแปรเปลี่ยนเป็นลำแสงพุ่งทะลวงหายไปในอากาศ
ในฐานะหนึ่งในสมบัติของเก้ายมบาลต้องห้าม แม้ว่าสมบัติชิ้นนี้จะไร้วิญญาณ แต่มันก็มีความชาญฉลาด จึงฉวยโอกาสหลบหนีได้!
ทว่าซูอี้มีหรือจะยอมปล่อยมันไป?!
“สยบ!”
ทันใดนั้นเอง เขาก็โบกมือไปบนอากาศ
ดาบเก้าคุมขังซึ่งเงียบอยู่นานในห้วงความนึกคิดของเขาพลันขยับไหว และคลื่นอำนาจลี้ลับเกินบรรยายก็แผ่ออกมาจากมัน ไหลออกจากฝ่ามือของซูอี้ขึ้นไปสู่อากาศ
สำหรับคนทั่วไป การโจมตีนี้ดูไม่อาจสัมผัสได้
ทว่าในฐานะจิตวิญญาณสมบัติ ร่างอรชรของโยวเสวี่ยพลันสั่นเทา ทั้งกายและวิญญาณต่างรู้สึกเยี่ยงจมสู่ขุมนรก ความกลัวอันไม่อาจอธิบายก่อกำเนิด
มันดูราวมหาเทวาทอดสายตาลงมามอง
แรงกดดันที่เกิดในชั่วขณะนั้นทำให้นางรู้สึกไร้ความหวัง
ในชั่วพริบตา ความรู้สึกไม่สบายทั้งกายใจก็หายไปจากโยวเสวี่ยอย่างไร้ร่องรอย ราวกับว่าได้สลัดหลุดจากความมืดมิดจนกระทั่งกลับมาเห็นแสงสว่างอีกครั้ง
พริบตานั้น ความรู้สึกราวกับเดินอยู่บนเส้นแบ่งระหว่างความเป็นความตายทำให้โยวเสวี่ยเหม่อลอย
ดาบปลายมนไร้วจีแผดเผาซึ่งหนีไปหลายจั้งแล้วพลันส่งเสียงกรีดร้องบนฟ้า
จากนั้น อาวุธวิเศษอันเป็นหนึ่งในเก้ายมบาลต้องห้ามก็สั่นสะท้านรุนแรง ก่อนจะทะยานตกกลับสู่มือซูอี้อย่างแผ่วเบา
มันสั่นไหวและส่งเสียงฮัมเบา ๆ ราวกำลังตัวสั่นด้วยความกลัว
“พลังต้นกำเนิดของมันเสียหายขนาดนี้ แต่กลับยังมีอำนาจวิเศษสูงส่ง ผิดคาดจริงแท้…”
ซูอี้มองดาบปลายมนไร้วจีแผดเผาปราดเดียวก็รู้ว่าพลังดั้งเดิมของสมบัติชิ้นนี้น่าจะเสียหายหนักเมื่อนานมาแล้ว และยังไม่ฟื้นตัวจวบจนปัจจุบัน
แต่ถึงอย่างนั้น พลังของสมบัตินี้ก็ยังคงเกินจินตนาการ
เพราะว่านี่คือวัตถุศักดิ์สิทธิ์ปฐมสวรรค์ และย่อมบรรจุกฎไร้วจีแผดเผาอันเก่าแก่ที่สมบูรณ์ที่สุดเอาไว้
เหมือนเช่นศึกที่ผ่านมา เถี่ยเต๋าเหรินอ่อนด้อยกว่าโยวเสวี่ยมากนัก แต่เขากลับสามารถต่อสู้ทัดเทียมนางได้โดยอาศัยดาบปลายมนไร้วจีแผดเผาเล่มนี้
จึงเห็นได้ว่าดาบปลายมนไร้วจีแผดเผานี้ล้ำเลิศเพียงไร
แน่นอนว่าหากใช้สายตาของซูอี้มาตัดสิน พวกมันทั้งสองต่างเป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ปฐมสวรรค์ แต่ต่อให้พลังดั้งเดิมของดาบปลายมนไร้วจีแผดเผาจะไม่เสียหาย แต่มันก็ยังไม่อาจเทียบกับคัมภีร์แห่งตี้ทิงได้อยู่ดี อย่าว่าแต่เทียบกับดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์เลย
หากไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าการฝึกฝนของเขายังอ่อนแอเกินไปล่ะก็ เขาคงไม่จำเป็นที่ต้องยืมพลังของดาบเก้าคุมขังเมื่อครู่เลย แค่ใช้คัมภีร์แห่งตี้ทิงก็สามารถสยบดาบปลายมนไร้วจีแผดเผาได้แล้ว
เมื่อคิดเช่นนี้ ซูอี้ก็ยื่นมือโยนดาบปลายมนไร้วจีแผดเผาให้กับโยวเสวี่ย “เอ้า สมบัตินี้ข้ายกให้เจ้า”
โยวเสวี่ยอึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นรอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้างดงามดุจหญิงสาวของนาง จากนั้นก็ส่งเสียงรับและยื่นมือออกไปรับไว้
ซูอี้หันเดินกลับไปยังระเบียงดาดฟ้าหอทัศนาสวรรค์
“หาที่คุยกันอย่างเป็นส่วนตัวเถอะ ข้ามีบางอย่างจะถามเจ้า”
ซูอี้กล่าวกับชิงเถิง
ชิงเถิงนั้นเต็มไปด้วยความสงสัยอยู่ก่อน เขาจึงตกลงทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น
ซูอี้จากไปกับชิงเถิงในเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงทันที และเมื่อเห็นเช่นนี้ โยวเสวี่ยจึงหลบมาหาหยวนหลินหนิง
คู่เนตรลึกล้ำราวนภารัตติกาลของนางมองพินิจหยวนหลินหนิงหัวจรดเท้า ก่อนจะกล่าวว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าพ่ายต่อสหายเต๋าซู ทว่าไฉนจึงมาอยู่กับเขาได้หรือ?”
หยวนหลินหนิงรู้สึกกดดันเมื่อต้องเผชิญหน้ากับโยวเสวี่ยผู้มีกิริยายิ่งใหญ่เยี่ยงเทพ นางเผลอลดศีรษะลงโดยไม่รู้ตัว เลี่ยงการจ้องมองอีกฝ่ายตรง ๆ และพูดด้วยเสียงต่ำ “ผู้อาวุโสคงไม่ทราบเรื่อง”
จากนั้น นางก็อธิบายเรื่องที่ตนถูกช่วยเหลือ และการร่วมมือกันระหว่างนางและซูอี้จวบจนยามนี้
ฟังจบ แววตาของโยวเสวี่ยก็ดูพิกล ริมฝีปากสีกุหลาบยกยิ้มขี้เล่นพลางเอ่ยถาม “เจ้าอธิบายชัดเจนเพียงนี้ กลัวข้าเข้าใจผิดหรือไร?”
หยวนหลินหนิงทำเหมือนจะพูดบางอย่าง
โยวเสวี่ยรำพึงเบา ๆ ด้วยสีหน้าบึ้งตึง “ไม่ต้องห่วงหรอก ข้าไม่สนใจว่าเจ้ามีเรื่องราวอันใดกับสหายเต๋าซู ข้ารู้นิสัยเขาดี หากเขาชอบใครขึ้นมา จะไม่มีผู้ใดแทนที่คนผู้นั้นได้ หากเขาไม่ชอบ… ก็จบ… กระทั่งนางเซียนหรือสาวงามเลอโฉมทั่วฟ้าแดนสรวงก็ไม่อาจเข้าถึงหัวใจของเขาได้”
นางกล่าวพลางส่ายหน้าเล็กน้อยราวคร้านเกินกว่าจะพูดต่อ จึงเปลี่ยนไปนั่งลงที่ข้างระเบียงไกล ๆ พลางบรรจงไล้ดาบปลายมนไร้วจีแผดเผาในมือของนางเงียบ ๆ
เป็นเช่นที่นางพูด นางไม่ได้ใส่ใจเรื่องราวระหว่างหยวนหลินหนิงกับซูอี้เลยสักนิด
สิ่งที่นางใส่ใจคือเรื่องระหว่างนางกับซูอี้ต่างหาก!
ไกลออกไป
เมื่อไม่ต้องเผชิญหน้าโยวเสวี่ยอีก หยวนหลินหนิงก็ดูผ่อนคลายลงมาก แต่เมื่อนางนึกถึงวาจาของโยวเสวี่ยก็อดรู้สึกแปลกเล็กน้อยไม่ได้
สตรีแสนงามผู้ดูราวนางเซียนผู้นี้กลับดูเหมือนจะตกหลุมรักชายหนุ่มในขอบเขตวงล้อวิญญาณเช่นซูอี้!
ความย้อนแย้งนี้ใหญ่หลวงนัก
ทัศนาทั่วโลกหล้า จะมียอดจักรพรรดินีผู้ใดลดตัวลงมาชอบผู้ฝึกตนในวิถีวิญญาณบ้าง?
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ผู้ฝึกตนในวิถีวิญญาณที่ว่ายังเป็นเพียงชายหนุ่มด้วยแล้ว
แน่นอนว่าหยวนหลินหนิงก็รู้เรื่องที่ซูอี้เป็นบุคคลไม่ธรรมดา ตัวตนของเขาลึกลับยิ่ง และวิชาที่เขาบรรลุก็ยิ่งน่าเหลือเชื่อยิ่งกว่า
แต่ถึงอย่างไร นางก็ไม่อาจคิดได้เลยว่าเหตุใดตัวตนอันเก่งกาจเยี่ยงโยวเสวี่ยจึงหลงรักซูอี้ได้
ครู่ต่อมา หัวใจของหยวนหลินหนิงพลันกระตุกไหว
นางก้าวมาอยู่ตรงหน้าชิงมู่ พลางหันมองโยวเสวี่ยซึ่งอยู่ห่างออกไปอย่างรู้สึกผิด และเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้สนใจเรื่องของนาง จึงถามว่า “ขอบังอาจถามนามของสหายเต๋าได้หรือไม่?”
ชิงมู่รีบร้อนประคองกำปั้นคำนับ “เรียนผู้อาวุโส นามข้าคือชิงมู่ ไม่คู่ควรกับนาม ‘สหายเต๋า’ หรอกขอรับ”
หยวนหลินหนิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถามว่า “สหายน้อยชิงมู่ บอกข้าได้หรือไม่ว่าอาจารย์เจ้ากับสหายเต๋าซูสัมพันธ์กันเช่นไร?”
นางตั้งใจลองถามมุมมองของผู้อื่นด้วยอยากรู้ว่าตนจะสามารถเรียนรู้ตัวตนของซูอี้เพิ่มได้หรือไม่
ชิงมู่แปลกใจ “ใต้เท้าซูไม่ได้บอกผู้อาวุโสหรือขอรับ?”
หยวนหลินหนิงส่ายหน้า
ชิงมู่ถอนใจส่ายหน้า “งั้นข้าก็ไม่อาจบอกได้เช่นกันขอรับ”
หยวนหลินหนิง “…”
นางคิดว่าจะฟังเรื่องจากปากชิงมู่ได้ ทว่าใครเล่าจะคิดว่าชายหนุ่มผู้ดูใสซื่อจะไม่ได้คล้อยตามเลย!
ยามนี้ โยวเสวี่ยผู้อยู่ไกลออกไปพลันหันหน้ามากล่าวอย่างเฉยเมย “แม่นาง เจ้าไม่ควรถามเรื่องเกี่ยวกับสหายเต๋าซูนะ”
หัวใจของหยวนหลินหนิงชะงัก ก่อนที่จะพยักหน้า
…
ในโถงแห่งหนึ่ง ณ หอทัศนาสวรรค์
ซูอี้นั่งลงทำสมาธิ
ปราณของดาบเก้าคุมขังที่เขาใช้เมื่อครู่กินพลังมหาวิถีของเขาไปสามส่วนในรวดเดียว และยามนี้เขาย่อมต้องใช้เวลาฟื้นตัว
“ข้ามายังเมืองเสี่ยวหมิงครั้งนี้ก็เพื่อถามไถ่สถานการณ์ในเมืองมรณะ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของเมืองมืดด้วย”
ขณะทำสมาธิ ซูอี้ก็พูดคุยกับชิงเถิง
ชิงเถิงอธิบายทุกสิ่งที่ตนรู้ โดยไม่ปิดบังแม้แต่เรื่องเดียว
ไม่นานนัก ซูอี้ก็ได้รับรู้หลายอย่าง
เทียบกับยามที่เขาเคยออกเดินทางสำรวจเมืองมรณะคราก่อน เมืองมรณะในยามนี้เปลี่ยนแปรไปมากมาย
ยกตัวอย่างเช่น อีกาเก้ามืดมิดซึ่งเดิมถูกขังไว้ในนภาโกลาหลคืนอิสระเมื่อสิบปีก่อน
วิหคอัปมงคลนี้นำกลุ่ม ‘ทูตรับใช้กาฬราตรี’ ซึ่งแต่เดิมขึ้นตรงต่อยมบาลมาตั้งวัดเสวียนหมิงขึ้นในเมืองมรณะ
ตลอดสิบปีที่ผ่านมา ยอดฝีมือของวัดเสวียนหมิงฉวยโอกาสการเกิดดวงจันทร์สีแดงแต่ละครั้งออกจากเมืองมรณะและเอาชนะขุมกำลังผู้ฝึกตนมากมายอันกระจายอยู่ในเขตนทีปรภพ
จวบยามนี้ วัดเสวียนหมิงได้กลายเป็นขุมกำลังอันน่าหวาดหวั่นที่สุดในเขตนทีปรภพไปแล้ว
ในวัดเสวียนหมิง อีกาเก้ามืดมิดอุปโลกน์ตนเองเป็น ‘ผู้ส่งสาส์นแห่งยมบาล’ ซึ่งตามมาด้วยทูตรับใช้กาฬราตรีสี่คน นักบวชสูงสุดหกคน อารักษ์สิบแปดคน ผู้ดูแลสามสิบสามคนลดหลั่นกันลงไป
นอกจากนั้น ยังมีขุมกำลังชั่วร้ายมากมายที่ยอมจำนนต่อวัดเสวียนหมิง
อำนาจเช่นนี้มากเพียงพอจะทำให้กลุ่มเต๋าสูงสุดในเมืองมรณะเหล่านี้อกสั่นขวัญแขวน!
และจุดประสงค์สูงสุดที่ทำให้อีกาเก้ามืดมิดก่อตั้งวัดเสวียนหมิงขึ้นมานั้นก็คือช่วยเหลือยมบาลออกมาจากนภาโกลาหล!
ยิ่งกว่านั้น พวกเขาได้เริ่มลงมือตั้งแต่เมื่อเดือนก่อนในคืนเทศกาลหมื่นโคมแล้ว
การเปลี่ยนแปลงของเมืองมืดนั้นคือกับดักที่ตระเตรียมมาอย่างดี
จุดประสงค์ของมันคือเพื่อลวงให้จักรพรรดิมาตรวจสอบเพื่อเก็บเกี่ยวโลหิต ชิงวิถีและวิญญาณจากจักรพรรดิเหล่านั้นมาเป็นเครื่องเซ่นสังเวยแด่ยมบาล!
“อีกาเก้ามืดมิดตั้งค่ายกลสังเวยเลือดไว้ที่ทางเข้านภาโกลาหลตามเจตจำนงของยมบาล และจักรพรรดิที่พวกมันจับได้ทั้งหมดจะถูกส่งไปสังเวยดั่งแพะวัวให้ยมบาลที่นั่น”
ชิงเถิงกล่าว “เท่าที่ข้ารู้ ตลอดเดือนที่ผ่านมามีจักรพรรดิหลายสิบคนที่ถูกยอดฝีมือจากวัดเสวียนหมิงจับตัวได้ และไม่อาจทราบได้ว่าถูกสังเวยไปมากเพียงไรแล้วขอรับ”
ซูอี้ครุ่นคิด “ข้าพอเดาได้ว่าการสังเวยจักรพรรดินั้นทำเพื่อฟื้นกำลังแก่ยมบาล ทว่าเพียงลำพังวิธีนี้ ข้าเกรงว่ายมบาลจะไม่อาจหนีออกมาจากนภาโกลาหลได้อยู่ดี อย่าลืมเสียเล่าว่ายังมีศิลาหลุมศพนั้นอยู่”
ภายในเมืองมรณะมีศิลาหลุมศพแห่งหนึ่ง!
ด้วยศิลาหลุมศพตั้งอยู่ที่นั่น มันจะสามารถปกปักษ์เมืองมรณะไว้ได้ ต่อให้ยมบาลฟื้นกำลังกลับมา เขาก็จะไม่มีวันหนีออกจากนภาโกลาหลได้อยู่ดี
เว้นแต่จะมีผู้ใดเคลื่อนศิลาหลุมศพนี้ได้
ก่อนหน้านี้ ‘ภิกขุซื่อเอ้อร์’ เคยออกเดินทางเยือนผู้คุมรัตติกาล และพยายามข่มขู่ผู้คุมรัตติกาลให้ยอมสยบและกำจัดศิลาหลุมศพนี้ทิ้ง
นี่ยังหมายความว่าอีกาเก้ามืดมิดไร้หนทางจัดการกับศิลาหลุมศพ ณ ขณะนี้ หาไม่อีกฝ่ายคงไม่ต้องส่งภิกขุซื่อเอ้อร์มาพบผู้คุมรัตติกาลเช่นนี้
จากการตัดสินนี้ ซูอี้จึงตระหนักว่าหากอีกาเก้ามืดมิดต้องการช่วยยมบาลออกมา คงยากหากจะทำเพียงสังเวยเครื่องเซ่น
หลังจากฟังซูอี้กล่าวถึงศิลาหลุมศพ สีหน้าของชิงเถิงก็แปรเปลี่ยน ตั้งแต่หวาดกลัว เกลียดชัง ไปจนถึงเกรงขาม
ศิลาหลุมศพก้อนนั้นผนึกเมืองมรณะไว้แต่โบราณ
เพราะการมีอยู่ของศิลาหลุมศพนั้นเอง วิญญาณมารร้ายแทบทั้งหมดจึงถูกขังในเมืองมรณะ และไม่อาจหนีสู่แห่งหนอื่นใด
จริงอยู่ที่เมื่อยามจันทราสีแดงเผยโฉม บางตัวตนเช่นอีกาเก้ามืดมิดยังสามารถทะยานออกจากเมืองมรณะไปก่อหายนะในโลกหล้าได้อยู่
แต่หากพวกมันไม่อาจกลับสู่เมืองมรณะได้ทันเวลา พวกมันจะตายอย่างอนาถยามค่ำคืนจันทราสีม่วงปรากฏสู่นภา!
เหตุผลก็เกี่ยวเนื่องกับศิลาหลุมศพนั้น!
จากเรื่องเล่าขาน ศิลาหลุมศพนั้นถูกทิ้งไว้โดยมหาเทพมืดมิดองค์สุดท้ายแห่ง ‘ดินแดนปรภพ’ สมัยโบราณ และหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับกฎดั้งเดิมของเมืองมรณะโดยสมบูรณ์
จุดประสงค์ของมันคือสยบทุกอำนาจชั่วร้ายในเมืองมรณะ!