บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] 858: ภูเขาเมืองท้อ

ตอนที่ 858: ภูเขาเมืองท้อ

ตอนที่ 858: ภูเขาเมืองท้อ

ตอนที่ 858: ภูเขาเมืองท้อ

สามวันจากนั้น

“ที่นี่ที่ใด?”

“ข้าเป็นใคร?”

“ข้าทำอันใดอยู่?”

เถาเชียนชิวฟื้นสติ สมองเหม่อลอย

หลังจากครุ่นคิดหนักอยู่นาน ในที่สุดก็ได้ความทรงจำคืนทีละน้อย

“แต่เดิม ข้าพาผู้อาวุโสจากสำนักนภายมโลก หร่านเทียนเฟิงกับคนของโถงดาบเทียบเทวะไปยังเมืองตาข่ายม่วงเพื่อจับผู้สืบเชื้อสายโคมผีเก็บโลงศพ ทว่าเจ้าแก่ชุยฉางอันนั่นไม่ได้ไว้หน้ากันเลย…”

ไม่นานนัก เถาเชียนชิวก็จำได้ว่าหลังจากตนถูกชุยฉางอันปฏิเสธ ก็พากันออกมาจากเมืองตาข่ายม่วงสู่เรือล่องล้อเมฆา

ทว่าพอคิดมาถึงจุดนี้ ไม่ว่าจะพยายามระลึกเช่นไร เขาก็จำสิ่งอื่นไม่ได้เลย

“เกิดอันใดขึ้น? ไฉนข้าจึงมาอยู่ที่นี่? แล้วคนอื่นเล่า?”

เถาเชียนชิวมองไปรอบ ๆ และพบว่าเป็นพื้นที่รกร้าง อาทิตย์อัสดงทอแสง ทุกสิ่งถูกฉาบด้วยเงาสะท้อนส้มแดง

หลังเหม่อลอยอยู่นาน

สีหน้าของเถาเชียนชิวก็หมองลง

“บัดซบ! มีผู้ลบความทรงจำข้า!!”

เถาเชียนชิวหน้าซีด กำหมัดแน่น “นี่ไม่ใช่อุบัติเหตุ มันต้องเกี่ยวกับตระกูลชุยเป็นแน่!”

เขาเคยได้ยินว่าฮูหยินของชุยฉางอัน เซวียฮว่าหนิงเคยเป็นทูตข้ามนทีในโถงหลงลืม

และโถงหลงลืมนั้นขึ้นชื่อเรื่องควบคุมวิญญาณและลบความทรงจำเป็นที่สุด!

“เกิดอันใดขึ้น ตระกูลชุยถึงได้ลบความทรงจำข้า? มีความลับอันใดกัน?”

“หากพวกเขากังวลว่าบางสิ่งจะถูกเปิดเผย ไฉนไม่ฆ่าข้าซะ?”

“หรือหากลบความทรงจำตลอดสามร้อยปีนับแต่เข้ามาในภูมิมืดมิดของข้าจะไม่เป็นประโยชน์กว่าหรือ?”

เถาเชียนชิวเต็มไปด้วยความงุนงง รู้สึกเพียงสิ่งที่เกิดวันนี้แปลกประหลาดยิ่ง

เนิ่นนานจากนั้น

ประกายตาของเขาก็ฉายความมุ่งมั่น

“เรื่องนี้ต้องรายงานอาจารย์โดยเร็วที่สุด!”

ตระกูลชุย

แสงสะท้อนจากดวงตะวันอัสดงฉายผ่านช่องแสงเป็นกลุ่ม ๆ สะท้อนบนร่างของชายหนุ่มผู้นอนทอดร่างบนเก้าอี้หวายด้วยความรู้สึกสงบเงียบผ่อนคลาย

“ท่านลุงซู เราโยนเหยื่อออกไปแล้ว จากนี้ก็จะรอดูการเคลื่อนไหวของพันธมิตรเสวียนจวินต่อขอรับ”

ชุยฉางอันกล่าวยิ้ม ๆ

เขาเข้าใจแล้วว่าเหตุใดซูอี้จึงไม่ฆ่าเถาเชียนชิวและทำเพียงลบความทรงจำส่วนเล็ก ๆ ของอีกฝ่ายแทน

เหตุผลนั้นง่ายมาก นั่นคือเพื่อให้เถาเชียนชิวสังเกตเห็นความผิดปกติ และรายงานข่าวกลับพันธมิตรเสวียนจวินโดยเร็วที่สุด!

“การเดินทางจากภูมิมืดมิดไปยังเก้ามหาแดนดิน หากใช้อำนาจค่ายกลโบราณเปิดทางก็ต้องผ่านกำแพงกั้นดินแดนเป็นสิบ ๆ แห่ง และผ่านโลกใบน้อยใหญ่หลายร้อย”

ซูอี้กล่าวเบา ๆ “หากทำเช่นนี้ อย่างน้อยก็ครึ่งปีกว่าผีหมัวจะได้ข่าว”

ในอดีตชาติ เขาเคยมายังภูมิมืดมิด และรู้ดีมากว่าภูมิมืดมิดและเก้ามหาแดนดินห่างไกลจากกันเพียงไร

เขาในสมัยสมบูรณ์พร้อมยังต้องใช้เวลาสามเดือนเต็มกว่าจะเดินทางไปถึง

ซูอี้ไม่เชื่อว่าด้วยวิธีการของเถาเชียนชิว เขาจะสามารถติดต่อผีหมัวได้ในสามเดือน

“ท่านลุงซู เมื่อไม่กี่ปีก่อน ข้าได้ยินบิดาข้าพูดอยู่ ว่าเหมือนผีหมัวจะทลายคอขวดขั้นสมบูรณ์แบบของขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำเข้าสู่ขอบเขตสานพันธะลึกล้ำแล้วนะขอรับ”

ชุยฉางอันกระซิบ “หากเขามายังภูมิมืดมิดล่ะก็…”

กล่าวถึงจุดนี้ วาจาของเจ้าตระกูลชุยก็เปลี่ยนเป็นระแวดระวัง

ทว่า ก่อนที่เขาจะทันพูดจบ ซูอี้ก็หัวเราะกล่าวว่า “เจ้ากังวลหรือว่าข้าจะไม่ใช่คู่มือคนทรยศนั่น?”

ชุยฉางอันพยักหน้าน้อย ๆ

ซูอี้กล่าวด้วยแววตาลึกล้ำ “ผีหมัวฝึกฝนข้างกายข้ามานับแต่เขายังเด็ก นิสัยของเขาหนักแน่นเด็ดเดี่ยว เป็นเมล็ดพันธุ์อันหาบ่มเพาะได้ยาก แค่จากเรื่องที่ข้ารู้เกี่ยวกับเขา ข้าก็แน่ใจแล้วว่าเขาจะไม่กล้ามายังภูมิมืดมิดอีก”

ชุยฉางอันถามอย่างตกใจ “ไม่กล้าหรือขอรับ?”

ซูอี้มองแสงสะท้อนของอาทิตย์อัสดงซึ่งลอดผ่านช่องแสงหน้าต่างเข้ามาด้วยแววตาละเอียดอ่อน เสียงพูดของเขาสั่นเครือเล็กน้อย

“เว้นแต่เขาจะสามารถสังหารศิษย์น้องหญิงเล็กชิงถังได้ ตราบใดที่เขาไม่อยู่ พันธมิตรเสวียนจวินจะถูกชิงถังละเลงเลือดเป็นแน่”

ชุยฉางอันตะลึง

ชิงถัง!

จักรพรรดินีผู้เจิดจรัสที่สุด ณ ยามนี้ในเก้ามหาแดนดินผู้ดูแลถ้ำเสวียนจวิน ยืนยงก้มมองสวรรค์เพียงลำพัง!

เมื่อห้าร้อยปีก่อน จักรพรรดินีในตำนานผู้นี้เคยใช้อำนาจของตนสลายกำลังศัตรูจากทุกสารทิศผู้บุกรุกเข้ามาในถ้ำเสวียนจวิน สังหารทุกเทพยดาพุทธองค์บนฟากฟ้า!

เมื่อจบศึกนี้ จักรพรรดินีชิงถังก็รับช่วงต่อสิทธิ์สั่งการที่ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินทิ้งไว้ ขึ้นเป็นเจ้าครองถ้ำเสวียนจวิน และเป็นที่ครั่นคร้ามทั่วโลกา!

หากกล่าวว่าผีหมัวคือจักรพรรดิสงครามผู้สูงส่งดั้นฟ้า

เช่นนั้น ชิงถังก็คือนักดาบในตำนานผู้เจิดจรัสในเก้ามหาแดนดินต่อจากปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน

“อย่าพูดถึงเรื่องนั้นเลย”

ซูอี้ผิดหวังเล็กน้อย

เมื่อเห็นเช่นนี้ ชุยฉางอันก็ไม่ได้ถามไถ่อันใดอีก

คืนนั้น

ณ พิมานเครือทอง ใต้พฤกษาหมื่นวิถี

ซูอี้เอนกายในเก้าอี้หวาย ด้วยสุรา ชาและกับแกล้มวางเต็มโต๊ะโดยผอซัว

“สหายเต๋า สิ่งที่อยู่ในขวดนี้คือ ‘อำนาจแห่งบาป’ ที่ได้มาจากการหลอมโครงกระดูกวิญญาณร้าย”

หญิงสาวส่งขวดหยกขวดหนึ่งให้แก่ซูอี้

จากนั้น นางก็หยิบกล่องไม้อีกกล่องส่งให้เขา

“ในกล่องไม้นี้มีพลังต้นกำเนิดที่หลอมออกมาจากราชาโฉดแห่งนรกดำ มันคือวิถี ‘นรกภูมิมืดมิด’ ซึ่งหาได้ยากยิ่ง ข้าจึงได้โอกาสทำความเข้าใจและลองควบคุมวิถีเช่นนี้ด้วย”

ซูอี้เก็บขวดหยกและกล่องไม้ไปทีละอย่าง และพลันกล่าวว่า “ข้าจะออกเดินทางไปยังเขตจัตุรัสผีพรุ่งนี้”

ผอซัวถามด้วยสีหน้าพิกล “เจ้าอยากชวนข้าไปกับเจ้าอีกแล้วหรือ?”

ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “จิตใจตรงกันเลย หากอยากไป เจ้าก็บอกมาได้เลยไม่ต้องอาย”

ดวงตาของเขากวาดมองเรือนผมดุจหิมะซึ่งแนบลู่ไปตามร่างงดงามซึ่งพร่ามัวดุจภาพลวงของนาง

อุปนิสัยของผอซัวงามสง่าดุจดอกกล้วยไม้กลางหุบผาว่างเปล่า เสน่ห์ตามธรรมชาติซึ่งสั่งสมมาหลายต่อหลายปี ห่างไกลเกินจะเทียบกับคนงามทั่วไปได้

ภายใต้สายตาของซูอี้ ผอซัวก็รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย และกล่าวอย่างจนใจ “ข้าไปไม่ได้”

ดูเหมือนว่าคำปฏิเสธนี้จะสั้นห้วนเกินไป ผอซัวจึงอธิบายต่อด้วยเสียงนุ่มนวล “ยามนี้ชุยหลงเซี่ยงไม่อยู่ หากข้าไปอีกคนแล้วเกิดสิ่งใดขึ้นกับตระกูลชุย ผลที่ตามมาจะเกินจินตนาการนะ”

จริงอยู่ที่นางจะไม่ไปยุ่งกับเรื่องภายในตระกูลชุย แต่เมื่อตระกูลชุยพบหายนะชี้วัดเป็นตาย นางจะใช้พลังของพฤกษาหมื่นวิถีอพยพไปกับตระกูลชุย

ซูอี้ย่อมเข้าใจเรื่องนี้ และไม่เซ้าซี้ต่อ

เช้ามืดของวันถัดมา

“เจ้าเก็บยันต์ลับนี้ไว้”

ซูอี้ส่งยันต์ลับที่เตรียมไว้ให้กับชายชราตาบอด “หากเจ้าประสบวิกฤตที่ไม่อาจแก้ ก็ขยี้มันเสีย”

“ขอบคุณคุณชายซู!”

อวิ๋นจือจิ่วไม่ปฏิเสธ เขารับมันด้วยสองมือ และกล่าวอย่างไม่เต็มใจเล็กน้อย “คุณชายซู ในภายหน้า ข้าจะออกตามหาท่านอีกครั้งขอรับ”

ซูอี้กล่าว “การอยู่ข้างกายข้ารังแต่จะถ่วงการฝึกฝนของเจ้าเอง ยามเมื่อเจ้าพร้อมจะเป็นจักรพรรดิแล้ว ก็มาที่ตระกูลชุยนะ หากข้ายังอยู่ในภูมิมืดมิด ข้าจะช่วยเจ้าปกป้องวิถีให้เอง แต่หากไม่อยู่แล้ว ก็ให้ชุยฉางอันอารักขาวิถีเจ้าแทน”

เขาไม่ได้ปฏิเสธหากชายชราตาบอดจะเดินทางกับเขา

ทว่าเป็นที่ชัดเจนว่าเมื่ออาการบาดเจ็บของมหาวิถีภายในร่างของอีกฝ่ายฟื้นฟูสมบูรณ์ เขาก็ต้องเตรียมพิสูจน์เต๋าขึ้นเป็นจักรพรรดิ

เขากล่าวดังนั้นแล้วก็หยิบม้วนหยกส่งให้อวิ๋นจือจิ่วหนึ่งม้วน กล่าวว่า “มันบันทึกประสบการณ์เกี่ยวกับการพิสูจน์เต๋าเป็นจักรพรรดิไว้บ้าง เก็บไว้เถอะ”

ชายชราตาบอดตะลึงอึ้ง

ซูอี้ดูจะเข้าใจว่าตนพูดอันใดอยู่ ทว่าเขาจะไม่กระจ่างถึงมูลค่าของม้วนหยกนี้ได้เช่นไร?

อารมณ์ของเขาปั่นป่วน รู้สึกอุ่นวาบในใจ และกล่าวอย่างหนักแน่น “ข้าจะไม่ทำให้คุณชายซูผิดหวัง!”

ซูอี้ยิ้มและกล่าวเตือน “ความแค้นของอาจารย์เจ้า ข้าจะแก้มันเอง เจ้ามุ่งแต่ฝึกฝนก็พอ”

ชายชราตาบอดตื้นตัน กระทั่งเกรงใจ และกล่าวว่า “คุณชายซู ข้า… ข้าไม่รู้จะตอบแทนความเมตตาท่านเช่นไรแล้ว”

ซูอี้ถอนหายใจเบา ๆ “สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงสิ่งที่ข้าต้องทำทั้งนั้น”

คนทรยศผีหมัวสังหารอาจารย์ของอวิ๋นจือจิ่ว ซึ่งทำให้ซูอี้รู้สึกผิดบาปละอายเล็กน้อยยามปฏิบัติต่อชายชราตาบอดเสมอ

เมื่อสบโอกาส เขาจะพยายามสุดความสามารถเพื่อชดใช้มัน

“คุณชายซู ก่อนข้าจะไป ขอถามสักข้อได้หรือไม่ขอรับ?”

ชายชราตาบอดถามอย่างประหม่าเล็กน้อย

ซูอี้พยักหน้า “ว่ามา”

เฒ่าบอดสูดหายใจลึก ๆ และถามว่า “ท่านกับปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินมีความสัมพันธ์กันเช่นไรหรือขอรับ?”

คำถามนี้ซุกซ่อนในใจของเขามานานเกินไปแล้ว

เมื่อเขากำลังจะจากกัน ชายชราตาบอดจึงอดถามไม่ได้

ซูอี้อึ้งไปครู่หนึ่ง และหัวเราะออกมาอย่างทึ่มทื่อ

เหมือนชุยจิ๋งเหยี่ยน คนผู้นี้ถือว่าเขาเป็นทายาทผู้หนึ่งของตัวเขาเองในอดีตชาติ

“ยามข้าบอก เจ้าก็ไม่เชื่อ เจ้ายังคิดว่าข้าลบหลู่ล้อเลียนปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน ดังนั้นไม่พูดคงดีกว่า”

ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ

“ข้าเชื่อขอรับ!”

ชายชราตาบอดกล่าวอย่างร้อนรน

ซูอี้เก็บรอยยิ้มของเขา ดวงตาลึกล้ำสุขุม และกล่าวว่า “ข้านี่แหละเขา เขาคือข้า!”

ชายชราตาบอดอึ้งตะลึง

เนิ่นนานจากนั้น

ในที่สุดเขาก็ได้สติคืน ฉีกยิ้มและกล่าวว่า “คุณชายซู ท่าน… แกล้งทำว่าข้าไม่ได้ถามแล้วกันขอรับ”

ซูอี้ “…”

สุดท้ายชายชราตาบอดก็ยังไม่เชื่ออีก!

เรื่องเล็กน้อยนี้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

และเช้าตรู่วันเดียวกัน ชายชราตาบอดก็จากไปเพียงลำพัง

ซูอี้และชุยจิ๋งเหยี่ยนเข้าไปกินดื่มอย่างสุขีในหอเมฆาหอมซึ่งเปิดใหม่อีกครั้ง

หลังจากกลับสู่คฤหาสน์ตระกูลชุย พูดคุยกับชุยฉางอันและเซวียฮว่าหนิงสักพัก เขาก็ตัดสินใจจาก

“เมื่อข้าจัดการบางอย่างเสร็จ ข้าจะไปยังทะเลทุกข์ ยามนั้นข้าจะหาที่อยู่พ่อเจ้าให้”

เมื่อยามจาก ซูอี้ก็บอกแผนของเขา

นอกจากความตื่นเต้น ชุยฉางอันก็ไม่ลืมความเป็นห่วง “ท่านลุงซู ช่วงนี้ที่ทะเลทุกข์มีความเปลี่ยนแปลงมากมาย หากท่านไป โปรดระวังตัวด้วยขอรับ!”

ซูอี้พยักหน้า

บ่ายวันนั้น ซูอี้ก็จากเมืองตาข่ายม่วงไปเพียงลำพัง

แสงตะวันอัสดงสีแสดแดงแผ่ระยิบระยับงดงามทั่วนภา อาภรณ์เขียวของชายหนุ่มกระพือไหว ดูราวเทพเซียนไร้มลทิน และไม่นานก็หายลับไปไกล

บนกำแพงเมือง ชุยจิ๋งเหยี่ยนจ้องมองภาพตรงหน้าอย่างเหม่อลอยพลางกล่าวกับตนเอง “ไม่รู้ว่าข้าจะได้พบคนผู้นี้อีกยามใด…”

ใบหน้างามของหญิงสาวเหม่อลอยท่ามกลางแสงพลบค่ำ

นางไม่อาจรู้ได้ว่าวาจาเลื่อนลอยของนางทำให้ชุยฉางอันและเซวียฮว่าหนิงหัวใจสั่นกระตุก ใบหน้าปรากฏร่องรอยความเศร้า

ไม่ว่าอย่างไร แม่หนูนี่ต้องห้ามให้คิดเกินเลยกับท่านลุงซู!

คู่สามีภรรยาคิดในใจอย่างเด็ดขาด

สิบวันจากนั้น

ชายแดนอาคเนย์แห่งเขตราชาหกวิถี

รัตติกาลเคลื่อนใกล้

ซูอี้มองขุนเขาใหญ่จากระยะไกล

นามของภูเขานี้คือเมืองท้อ

หนึ่งในห้ามหาประตูผีอันเก่าแก่โบราณแห่งภูมิมืดมิด

และซูอี้ก็มาที่นี่เพียงเพื่อไม้ท้อชิ้นหนึ่ง!

บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ]

บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ]

Score 10

Options

not work with dark mode
Reset