จื้ออวิ๋นข้างๆ มองฟางเจิ้งด้วยความเย็นชาหลายส่วน ดวงตาเล็กหรี่ลงเป็นซอกแคบ จะแอบชำเลืองตามองโอวหยางเฟิงหวาตลอดเวลา จื้ออวิ๋นยอมไม่ได้จริงๆ เณรวัดเล็กมีสาวสวยแบบนี้ได้ตั้งแต่เมื่อไรกัน? แถมยังมากระตุ้นเขา? ไม่สั่งสอนอีกฝ่ายบ้างเขาก็คงไม่ใช่จื้ออวิ๋นแล้ว!
ส่วนจื้อเหนิง แน่นอนว่าต้องออกหน้าให้น้องชาย เพียงแต่ว่าจื้อเหนิงฉลาดกว่าจื้ออวิ๋น ถ้ายังไม่รู้เบื้องลึกของอีกฝ่ายชัดเจนก็จะไม่ประมาทล่วงเกิน นี่ถึงได้มีรอยยิ้มเผชิญหน้าและถามฐานะไปก่อนหน้า หลังมั่นใจแล้วว่าฟางเจิ้งอยู่วัดเล็ก สองพี่น้องย่อมไม่เกรงใจฟางเจิ้งกว่าเดิม
แม้ในด้านทฤษฎี เจ้าอาวาสวัดเล็กหรือวัดใหญ่จะอยู่ระดับเดียวกัน แต่ในสายตาพวกเขา วัดใหญ่ก็คือวัดใหญ่ วัดเล็กก็คือวัดเล็ก มีช่องว่างที่ไม่อาจข้ามผ่าน! ลองถามหน่อย ประธานาธิบดีประเทศใหญ่กับประธานาธิบดีประเทศเล็กได้รับการปฏิบัติที่เท่าเทียมกันหรือไม่? แน่นอนว่าไม่!
อีกอย่างสองคนไม่ได้เพิ่งรังแกนักบวชวัดเล็กข้างนอกเป็นครั้งแรก ปกติพอวัดเล็กได้ฟังเบื้องหลังพวกเขาแล้วจะได้แต่กล้ำกลืนฝืนทน ไม่กล้าหาเรื่อง ดังนั้นเมื่อสองคนมั่นใจฐานะฟางเจิ้งแล้วเลยไม่เกรงกลัวใดๆ เพราะมีคนหนุนหลัง อยากมีเรื่อง? พวกเราสองพี่น้องเคยกลัวใครด้วยรึ?
โอวหยางเฟิงหวาได้ยินดังว่าก็ร้อนใจ ขณะจะออกปากกลับได้ยินฟางเจิ้งยิ้มเอ่ยเรียบๆ “อาตมามาจากวัดเล็กในป่าเขา มีความรู้น้อย อ่านพุทธคัมภีร์ก็น้อย มีหลายสิ่งที่ไม่เข้าใจ ถือว่าเป็นการขอคำชี้แนะ”
“ขอคำชี้แนะก็คือขอคำชี้แนะ ยังจะมา…ไม่มีความจริงใจจริงๆ” จื้ออวิ๋นกล่าวอย่างมีเลศนัย
จื้อเหนิงยิ้ม “ศิษย์น้อง อย่าทำแบบนี้ เขาขอคำชี้แนะจากใจ อาตมาย่อมต้องตอบอย่างเต็มที่” เขาเน้นคำว่าขอคำชี้แนะไปอีก
คนที่มุงดูอยู่รอบๆ เยอะขึ้นเรื่อยๆ แต่ละคนต่างสนทนากัน
“หลวงจีนอ้วนสองรูปนี้เกินไปหน่อยมั้ง”
“เกินไปจริงๆ รังแกคนอื่นโต้งๆ เลย”
“แต่ว่าเณรนี่ก็คงขี้กลัวเหมือนกัน ถูกแกล้งแล้วยังขอคำชี้แนะ ขี้กลัวจริงๆ…”
“ใช่ ถ้าเป็นฉันนะจะด่ากลับไปเลย ไม่ใช่วัดสักหน่อย จะกลัวทำไม”
“เขามาจากวัดเล็ก ก็คงต้องยอมทุกเรื่องแหละ”
“เณรนี่พาผู้หญิงมาเปิดห้องด้วย คงไม่ใช่หลวงจีนปลอมหรอกนะ?”
“ฉันเคยได้ยินมาว่าทุกปีจะมีหลวงจีนปลอมมาดูพิธีวัดแสงสายัณห์กันเยอะเลย บ้างเข้าวัดแสงสายัณห์ไม่ได้ก็จะลอยไปลอยมาข้างนอก โกหกขอกินขอดื่มไปทั่ว บางคนทั้งหลอกเงินทั้งหลอกสาวเลย”
“หลวงจีนนี่ไม่ใช่พวกลวงโลกแบบนั้นเหรอ?”
คนข้างนอกสนทนากันทุกรูปแบบ พวกฟางเจิ้งได้ยินชัดเจน ทว่าฟางเจิ้งไม่สนใจ ถ้าเจาะจงมาที่เขาก็ย่อมโกรธ ทว่านี่เพียงคาดเดาไปเรื่อย เขาเลยขี้เกียจจะสนใจ แต่โอวหยางเฟิงหวาหน้าแดงก่ำ โกรธจนอยากจะตะคอกใส่สักสองที ไล่เจ้าพวกที่คาดเดาสุ่มสี่สุ่มห้าเหล่านี้ไป
จื้อเหนิงกับจื้ออวิ๋นนึกลำพองใจอยู่ภายใน คนพวกนี้พูดแบบนี้กลับมีประโยชน์กับพวกเขา คิดออกแล้วว่าจะสาดน้ำสกปรกต่อจากนี้อย่างไร กล้าด่าพวกเขาสองพี่น้อง? ไม่ว่าแกจะเป็นหลวงจีนปลอมหรือจริง วันนี้จะให้แกได้ขายหน้ายับแน่!
ฉะนั้นจื้อเหนิงจึงเอ่ยต่อ “วัดใหญ่หรือ ย่อมตั้งอยู่บนที่ราบลุ่มใหญ่หรือภูเขาที่มีชื่อเสียง มีพื้นที่กว้างขวางมาก มีพระอาจารย์เต๋าอยู่ และยังมีนักบวชหลายร้อยรูปรายล้อม แสงธูปวันหนึ่งหลายร้อยถึงหลักพันดอก ส่วนวัดเล็กมีพื้นที่เท่าฝ่ามือ มีแค่คนเดียวกับพระพุทธหนึ่งองค์เท่านั้น”
จื้อเหนิงพูดจบ จื้ออวิ๋นพลันขานรับ “ศิษย์พี่พูดดี!”
ฟางเจิ้งกลับมองจื้อเหนิงกับจื้ออวิ๋นราวกับมองคนปัญญาอ่อน จากนั้นเรียกโอวหยางเฟิงหวากับเด็กแดงว่า “สีกาโอวหยาง ศิษย์ ไปกันเถอะ”
“เฮ้อ ท่านจะไปแบบนี้รึ? เป็นนักบวช ขอคำชี้แนะแล้วก็ไม่รู้จักขอบคุณบ้าง?” จื้ออวิ๋นเห็นฟางเจิ้งจะไปทันทีเลยเรียกไว้
ฟางเจิ้งกลับส่ายหน้า ไม่ได้พูดอะไร
จื้ออวิ๋นจะพูดบางอย่าง แต่เด็กแดงทำเสียงหึๆ “เจ้าอ้วน พวกเจ้าสองคนไม่เข้าใจพระธรรมเลย ยังมีอะไรต้องพูดกันอีก? ถุยวัดใหญ่วัดเล็กของเจ้าเถอะ!”
“เฮ้ย! ไอ้เด็กนี่ พูดจาแบบนี้ได้ยังไง?” จื้ออวิ๋นโกรธนิดๆ แล้ว น่าเสียดายมีคนมุงอยู่รอบๆ เลยกระดากอายจะด่า แถมยังลงมือตีเด็กนี่ไม่ได้ด้วย
จื้อเหนิงรู้ว่าน้องชายคนไม่ได้เรื่องชอบทำให้เสียการเลยสวดไปบทหนึ่งโดยพลัน “อ้อ? หลวงพี่บอกว่าอาตมาไม่เข้าใจพระธรรม? เช่นนั้นขอถามหน่อยว่าหลวงพี่ว่าอะไรคือวัดใหญ่ และอะไรคือวัดเล็ก?”
ฟางเจิ้งยังคงไม่หันกลับมา เด็กแดงเงยหน้าขึ้น ถามกลับ “เจ้าขอคำชี้แนะอาจารย์ข้ารึ?”
สิ้นเสียง จื่อเหนิงกับจื้ออวิ๋นเป็นทุกข์ราวกับกินแมลงวันตาย เขาเหมือนว่าเพิ่งจะพูดแบบนี้ไปเอง! ไม่นึกเลยว่าจะได้กลับคืนมาเร็วขนาดนี้
จื้ออวิ๋นตอบไปทันที “ชิ ถ้าพวกท่านรู้ก็บอกมา ไม่รู้ก็แสร้งทำตัวให้ดูลึกลับให้น้อยลงหน่อย”
เด็กแดงทำหน้ามองคนเขลา มองจื้ออวิ๋นพลางว่า “ตอนอาจารย์ข้าไม่เข้าใจยังถามโดยไม่อาย ถึงตาพวกเจ้า พอไม่เข้าใจก็กระดากอายจะถาม มีปณิธานอันน้อยนิดแค่นี้เป็นนักบวชได้อย่างไร? กลับบ้านไปทำนาเถอะ”
“เจ้าเด็กนี่ พูดแบบนี้ได้ยังไง?” จื้ออวิ๋นว่า
โอวหยางเฟิงหวาดึงเด็กแดงไว้ ก่อนพูดด้วยรอยยิ้ม “ท่านเป็นผู้ใหญ่จะมาทะเลาะอะไรกับเด็ก? ไม่ควรถือสาคำพูดเด็กไม่รู้เหรอ? เด็กน่ะ คิดอะไรก็พูดแบบนั้น ไม่ได้มีความคิดไม่ดีอะไรหรอก”
นี่เท่ากับยอมรับว่าเด็กแดงพูดถูกโดยอ้อม แล้วจื้ออวิ๋นดันโต้กลับไม่ได้ด้วย เอาจริงเอาจรังกับเด็กต่อหน้าคนเยอะแบบนี้มันน่าขายหน้าจริงๆ
นักบวชกับเหล่าแขกที่มองดูรอบๆ ต่างสนทนากันอีก
“เทียบกันสองฝั่งแล้ว เจ้าอ้วนสองคนนี้ตกเป็นรองจริงๆ”
“ใช่…ดูท่าเณรนี่ยังมีความสามารถอยู่บ้าง”
“อย่างน้อยขึ้นได้ก็เอาลงได้”
…….
จื้อเหนิงได้ยินเข้าถึงกับหน้าใกล้จะมืดทึม กัดฟันพูด “ขอถามหน่อยหลวงพี่ อะไรคือวัดใหญ่? อะไรคือวัดเล็ก?” แต่คิดในใจ ‘ถ้าเขาตอบไม่ดีค่อยทำให้เขาอับอายก็คงไม่สาย’
ฟางเจิ้งถึงหมุนตัวกลับมาประนมสองมือ ถามกลับ “วัดมีแบ่งเล็กใหญ่ด้วยหรือ?”
พูดจบฟางเจิ้งก็หมุนตัวจากไป
โอวหยางเฟิงหวากับเด็กแดงอึ้งงันก่อนได้สติกลับมา เด็กแดงหัวเราะเสียงดังอย่างไม่เกรงกลัวใดๆ “ใช่ วัดมีแบ่งเล็กใหญ่ด้วยรึ? เจ้ามองว่าวัดคืออะไร? ปากภูเขา? ถ้ำราชาปีศาจรึ? ฮ่าๆ…ยังมีหน้ามาแบ่งเล็กใหญ่ตามจำนวนคนกับพื้นที่อีก…ฮ่าๆ…”
โอวหยางเฟิงหวาพูด “ใหญ่ก็คือเล็ก เล็กก็คือใหญ่ ใหญ่ก็ดี เล็กก็ดี เป็นเพียงแดนบูชาพระ จริงใจจะศักดิ์สิทธิ์ ไม่ได้อยู่ที่พื้นที่กว้างใหญ่แล้วจะศักดิ์สิทธิ์ นักบวชอย่างท่านบำเพ็ญเพียรมาเสียเปล่าจริงๆ”
ผู้ใหญ่กับเด็กสองคนวางก้ามแล้วก็ทิ้งจื้อเหนิงกับจื้อวิ๋นยืนอยู่ที่เดิมด้วยหน้ามืดทะมึน พวกเขารู้ว่าโดนหลอกแล้ว!
ตอนแรกนักบวช แขกและคนมุงดูคนอื่นๆ ยังไม่เข้าใจความหมายในคำพูดฟางเจิ้ง แต่พอโอวหยางเฟิงหวาอธิบายก็เข้าใจทันที
นักบวชแต่ละรูปต่างประนมสองมือ สวมไปทางเงาแผ่นหลังฟางเจิ้ง “อมิตาพุทธ”
……………….