“ทนไปเถอะน่า กลับแล้วแกค่อยไป ที่นี่มีแต่นักบวช ถ้าแกไปไหนมาไปสุ่มสี่สุ่มห้าแล้วมีใครเห็นเข้าจะทำยังไง?” จื้อเหนิงพูด
“เอาเถอะๆ…รอบคอบๆ รอบคอบแล้วโอเคไหม? นี่…ไต้ซือจื้อเหนิง ถ้าพี่เป็นเจ้าอาวาสจะดีแค่ไหนนะ ถึงตอนนั้นผมจะสบาย จะป้อสาวยังไงก็ได้ อยากทำอะไรก็ทำ” จิ้ออวิ๋นเอ่ย
“แกรู้จักพอบ้าง ตอนแรกฉันพาแกออกบวช ยังไม่พอใจอีกรึ” จื้อเหนิงพูด
จื้ออวิ๋นหัวเราะเบาๆ “ตอนนั้นไม่รู้นี่ว่าเป็นนักบวชมันดีขนาดนี้ เมื่อก่อนคิดมาตลอดว่าเป็นนักบวชต้องเหงา ไม่มีกินแม้แต่ค่าน้ำร้อนน้ำชา ใครจะไปรู้ว่าพี่แม่งมีชีวิตดีแบบนี้ วัดวายุใต้ใหญ่ขนาดนั้นพี่คว้าเงินทุนไว้ทั้งหมดเลย จิ๊ๆ…พี่สอบบัญชีไว้ไม่เสียเปล่าจริงๆ แต่นักบวชวัดวายุใต้ก็โง่จริงๆ นะ เอาแต่สวดมนต์ทุกวัน เหมือนว่าสวดมนต์จะเอามากินได้ แต่พวกเราสบาย พวกเขาสวดมนต์ พวกเราลงเขามาฟังเพลง พวกเขากินเจ พวกเรากินเนื้อกินเหล้า พวกเขาเจอผู้หญิงจะไม่เงยหน้า แต่เราไปทั่วตีนเขาจนไร้คู่ต่อสู้แล้ว?”
“เอาเถอะๆ ทำไปแล้วก็พูดให้น้อยๆ หน่อย!” ถึงจื้อเหนิงกำลังต่อว่า ทว่านัยน์ตากลับฉายความลำพองใจ ตอนเขาบวชแรกๆ ไม่มีใครชอบเขา เพื่อนนักเรียนมากมายต่างบอกว่าเขาโง่เขลา ตอนนี้มาเทียบกันอีกครั้ง ใครหล่อเท่กว่าเขาบ้าง? นึกถึงตัวเลขเหล่านั้นในบัญชีตนแล้วก็ยิ้มเยาะในใจ ‘รอฉันกลับไปก่อน จะซื้อบ้านที่ดีที่สุด ซื้อรถที่แจ่มที่สุด เปิดบริษัทสักที่เป็นเถ้าแก่ ตอนนั้นจะให้พวกมันได้รู้ว่าใครใหญ่กว่ากัน!’
“เอาล่ะ ผมไม่พูดก็ได้ พี่ ผมอยากหาผู้หญิงสักคนจริงๆ นะ พี่ดูบนถนนนั่นสิ มีแต่คนมากับแฟน กอดบ่ากอดเอวกัน คงจะทำเป็นอวดกัน…ห่า! นี่ยังมีความยุติธรรมอยู่รึเปล่า? หลวงจีนก็อวดกับเขาด้วย!” จื้ออวิ๋นด่าทอในทันที
จื้อเหนิงงุนงง มองตามเสียง เห็นเณรจีวรขาวกับเด็กสาวสวยมากคนหนึ่งนั่งอยู่บนโซฟาต้อนรับของโรงแรม พูดถึงตรงนี้ ทันใดนั้นเองสองคนไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว แต่มองตากัน!
จื้ออวิ๋นอดใจไม่ไหวพูดเศร้าๆ “ศิษย์พี่ ดูหลวงจีนบ้านนอกนั่นสิ แถมยังสวมจีวรขาว หรือเขาไม่รู้ว่านักบวชห้ามสวมจีวรสีบริสุทธิ์? จิ๊ๆ แถมยังมาโรงแรมกับสีกา จิ๊ๆ…ไม่รู้ว่าอาจารย์เขาสอนมายังไง นี่จะทำลายพุทธศาสนาของเราหรือไม่?”
ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นพลันขมวดคิ้ว หันไปมองเห็นหลวงจีนร่างอ้วนรูปหนึ่งกับหลวงจีนร่างอ้วนเช่นกันเดินเข้ามาในโรงแรม หลวงจีนข้างหน้าเหมือนอายุมากกว่าเล็กน้อย ดวงตายิ้มหยีตลอด ให้ความรู้สึกเป็นมิตร สวมจีวรสีเหลือง ในมือถือลูกประคำพวงหนึ่ง ให้ความรู้สึกที่ดี ทว่าฟางเจิ้งมักรู้สึกว่าคนนี้ปลอมมาก…
หลวงจีนอ้วนตัวไม่สูงเดินตามข้างหลัง ตรงคอแขวนลูกประคำหนาพวงหนึ่ง ในมือหิ้วถุงพลาสติกสีดำใบหนึ่ง ดูตุงๆ ไม่รู้ว่าใส่อะไร คนที่พูดก็คือเขา หลวงจีนอ้วนพูดจบยังไม่ลืมกวาดสายตามองฟางเจิ้งอย่างมีเลศนัย ทว่าตอนที่กวาดสายตามองโอวหยางเฟิงหวา แววตาชะงักงันครู่หนึ่งแบบชัดเจน
เดิมทีโอวหยางเฟิงหวาร้อนใจอยู่แล้ว พอถูกคนด่าอย่างกะทันหันก็โกรธ จึงร้องโวยวาย “น่าเสียดายโรงแรมดีๆ แบบนี้ดันให้หมาเข้ามา แถมยังกัดคนเขามั่วซั่วอีก”
พอจื้อเหนิงได้ยินเข้าก็อึ้งงันก่อนได้สติกลับมา นี่ด่าเขานี่! เลยพูดด้วยความโมโห “สีกา ทำไมถึงด่ากราดคนอื่นแบบนี้?”
โอวหยางเฟิงหวาพลันเปลี่ยนเป็นยิ้มน่ารัก ยิ้มหยีตา ถามด้วยความตกใจหลายส่วน “ว้าว ฉันด่าคนเหรอ? ที่แท้คนที่ฉันด่าเป็นคนเหรอเนี่ย? ขอโทษๆ ฉันคิดว่าด่าหมาเสียอีก”
“สีกา…ไอ้” จื้ออวิ๋นโมโหแล้ว อ้าปากจะตะโกน แต่ถูกจื้อเหนิงรั้งไว้เลยกลืนคำพูดตรงริมฝีปากกลับไป
จื้อเหนิงประนมสองมือ แสดงความเคารพฟางเจิ้งกับโอวหยางเฟิงหวา “อมิตาพุทธ อาตมาจื้อเหนิงจากวัดวายุใต้ นี่ศิษย์น้องอาตมาจื่ออวิ๋น หลวงพี่กับสีกาชื่ออะไรกัน? บำเพ็ญเพียรบนภูเขาใด?”
เหมือนอย่างที่กล่าวไว้ว่าพออีกฝ่ายขอโทษเราจะแข็งใจว่าตอบมิได้ ถึงโอวหยางเฟิงหวาจะรู้สึกว่าหลวงจีนนี่เหมือนไม่ใช่คนดี แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ก่อนถอยไปข้างๆ ให้ฟางเจิ้งจัดการ
ฟางเจิ้งยิ้มอบอุ่น ประนมสองมือแสดงความเคารพตอบ “อาตมาฟางเจิ้ง เจ้าอาวาสวัดเอกดรรชนีบนภูเขาเอกดรรชนี ยินดีที่ได้รู้จักหลวงพี่จื้อเหนิง”
“วัดเอกดรรชนีบนภูเขาเอกดรรชนี?” หลวงพี่จื้อเหนิงอึ้งงันก่อนทำท่าทางขบคิด คิ้วขมวดแน่นขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายไม่รู้ว่าแสร้งหรือว่าจริง เขาส่ายหน้าพลางว่าด้วยเสียงดัง “อาตมาคิดว่ารู้จักทุกวัดใหญ่ในมณฑลแล้ว ต่อให้เป็นวัดเล็กในเขตป่าเขาก็เคยได้ยินมาหมด แต่อาตมาคิดอยู่นานก็ไม่เคยได้ยินชื่อวัดเอกดรรชนี หรือว่าหลวงพี่จะเป็นเจ้าอาวาสวัดใหญ่นอกมณฑล?” จื้อเหนิงจะเน้นคำว่านอกมณฑล ใหญ่และเจ้าอาวาสเป็นพิเศษ
ด้วยความที่เขาพูดเสียงดัง ทั้งห้องโถงส่วนหน้าเลยได้ยินชัดเจน พนักงานบริการหน้าเคาน์เตอร์และนักบวชหลายรูปที่เพิ่งลงลิฟต์มาต่างได้ยินพอดี
จื้ออวิ๋นพลันโพล่งขึ้น “ศิษย์พี่พูดแบบนี้ทำให้ผมตกใจจนต้องรีบดูแผนที่เลย ไหนผมดูหน่อย วัดเอกดรรชนี…ค้นหาเดี๋ยว หืม ไม่เจอวัดนี้ หรือว่าจะเป็นวัดใหญ่นอกประเทศ? เจ้าอาวาสวัดใหญ่นอกประเทศ นี่หาได้ยากเชียว!”
ศิษย์พี่ศิษย์น้องเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย เสียงดังขึ้นเรื่อยๆ ดึงดูดความสนใจของคนมากขึ้น เข้าใจว่ากำลังรังเกียจฟางเจิ้ง!
โอวหยางเฟิงหวาได้ยินแบบนั้นพลันโกรธใหญ่ ทว่าตอนนี้ฟางเจิ้งกำลังพูดกับอีกฝ่าย เธอเลยพูดยาก ได้แต่ถลึงตาทำหน้าโหดเหี้ยมที่สุดมองหลวงจีนอ้วนสองรูปนั้นอยู่ข้างหลังด้วยความโมโห! เธอคิดไม่ออกเลยว่าอยู่ดีๆ หลวงจีนสองรูปนี้จะมาหาเรื่องพวกเราทำไม?
ฟางเจิ้งเหงื่อตกเช่นกัน เขาไม่รู้จักหลวงจีนสองรูปนี้จริงๆ ทำไมถึงมาหาเรื่องเขาอย่างไร้เหตุผล? เป็นอย่างที่กล่าวไว้ว่าพระโพธิสัตว์ดินเหนียวก็มีไฟพุ่งขึ้นมาสามส่วน มิหนำซ้ำฟางเจิ้งเองก็ไม่ใช่พระอาจารย์เต๋าหรือไต้ซืออะไรอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้ไม่มีห้องพักก็ไม่สบายใจเป็นทุนเดิม ตอนนี้ถูกหาเรื่องอีกย่อมไม่พอใจไปใหญ่
แต่ฟางเจิ้งก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้หาเรื่องพวกเขาอย่างโจ่งแจ้ง พวกเขาไม่ได้มาถึงก็ด่า มิหนำซ้ำเขาด่าคนไม่ได้ด้วย…
ฟางเจิ้งเลยสูดลมหายใจเข้าลึก ถามด้วยรอยยิ้ม “ในสายตาหลวงพี่ทั้งสองท่าน วัดแบบใดคือวัดใหญ่? วัดแบบใดคือวัดเล็ก?”
จื้ออวิ๋นศิษย์น้องหลวงพี่จื้อเหนิงพูดยิ้มๆ “นี่ท่านกำลังขอคำชี้แนะจากศิษย์พี่อาตมาอยู่รึ?”
จื้อเหนิงให้ความร่วมมืออย่างยิ่งโดยการเชิดหน้าขึ้น ทำเป็นท่าทีว่าตนคือผู้สูงศักดิ์กำลังมองลูกศิษย์อย่างไรอย่างนั้น ในมุมมองเขา ฟางเจิ้งอายุไม่มาก จะต้องไม่มีความรู้มากแน่นอน อีกอย่างเขาไม่เคยได้ยินวัดเอกดรรชนีจริงๆ หาไม่เจอในแผนที่เช่นกัน อีกทั้งตามที่เขารู้มา คนที่เป็นเจ้าอาวาสวัดใหญ่ทุกวัดล้วนเป็นนักบวชชราอาวุโส อายุแค่นี้เป็นเจ้าอาวาส? ไม่โกหกก็เป็นศาลเจ้าเล็กในป่าเขา มีคนอยู่สองสามคนเท่านั้น…ศาลเจ้าเล็กแบบนี้ไม่ถือว่าเป็นวัดในสายตาเขาเลย
……………………………..