ฟางเจิ้งกับลิงได้ยินแบบนั้นก็หมดคำจะพูด เจ้านี่เกียจคร้านเอาแต่ได้ รักสบาย อยากจะได้อะไรฟรีๆ! ที่สำคัญคือเจ้านี่หลงตัวเองเป็นพิเศษ!
ฟางเจิ้งขมวดคิ้วก่อนยืนขึ้นเดินเข้าอุโบสถไปจุดธูปเช่นกัน โขกหัวก่อนพึมพำในปากว่า “พระโพธิสัตว์ ขอให้อาตมาได้สึกในเร็ววันด้วยเถอะ” ขณะเดียวกันก็ใช้ความฝันยามต้มข้าวฟ่าง เข้าฝัน!
ชายหนุ่มได้ยินดังนั้นก็ตกใจสะดุ้ง มีคนขอเรื่องแบบนี้ด้วย? พอหันไปมองก็ตกใจจนแทบจะกระโดดขึ้น คนที่คุกเข่าข้างๆ คุ้นตาอย่างยิ่ง!
ครั้นเงยหน้ามองบนป้ายหมื่นพุทธก่อนมองคนข้างกายอีกที ไม่อยากเชื่อว่าจะเหมือนกันทุกประการ! ชายหนุ่มตกใจจนวิญญาณจะลอยล่อง!
ขณะนี้เองฟางเจิ้งหันหน้ามา พูดยิ้มๆ “ประสก มีปัญหาอะไรหรือ?”
“ทะ…ท่าน…เธอ…” พานอันชี้ฟางเจิ้งก่อนชี้พระโพธิสัตว์กวนอิมบนป้ายหมื่นพุทธ พูดอะไรไม่ออกแล้ว
ฟางเจิ้งไม่ตอบ แต่รอคอยอย่างสงบนิ่ง
พานอันกลืนน้ำลายลงคอจนในที่สุดก็ปลุกความกล้าขึ้นมาได้ “ท่านคือเธอ?”
ฟางเจิ้งพยักหน้า “ใช่”
“ท่านคือพระโพธิสัตว์?” พานอันร้องตกใจ
ฟางเจิ้งพยักหน้าต่อ
พานอันเห็นฟางเจิ้งมีสีหน้าเป็นมิตรไม่มีอันตราย เลยกล้าหาญขึ้นมา “ในเมื่อท่านคือพระโพธิสัตว์ แล้วทำไมถึงขอพระโพธิสัตว์? ไม่ใช่สิ ทำไมท่านถึงขอพรตัวเอง?”
ฟางเจิ้งตอบยิ้มๆ “เพราะอาตมารู้ว่าขอคนอื่นสู้ขอตัวเองไม่ได้ ตนไม่พยายาม ขอคนอื่นจะมีประโยชน์อันใด? อาตมาจะสำเร็จอรหันต์ก็ต้องพึ่งพาตัวเอง ให้พึ่งพาคนอื่น? จะพึ่งพาได้หรือ?”
พานอันงุนงง…
ฟางเจิ้งเอ่ยจบก็ยืนขึ้นออกจากอุโบสถ กลายเป็นธารแสงสว่างสายหนึ่งหายไป แน่นอนว่าฟางเจิ้งบินไม่ได้ แต่นี่เป็นภาพมายานี่ จึงบินไปตามใจ…
พานอันตาค้าง ถ้าเมื่อครู่เขายังคิดว่าตนอาจจะตาฝาด เห็นภาพหลอน หรือไม่ก็ถูกคนแต่งCOSPLAY หลอก แต่ตอนนี้เชื่อจริงๆ แล้ว! คนธรรมดาบินได้หรือ? แน่นอนว่าไม่ได้! เมื่อหันไปมองป้ายหมื่นพุทธ พานอันสับสนแล้ว ก่อนถามขึ้นว่า “พระโพธิสัตว์ ท่านกำลังชี้แนะผมเหรอครับ?”
น่าเสียดายป้ายหมื่นพุทธไม่มีการโต้ตอบใดๆ
ทว่าพานอันยังคงยิ้ม “ใช่ พระโพธิสัตว์จะต้องชี้นำเราแน่ๆ! ฮ่าๆ…ฉันรู้อยู่แล้วว่าชีวิตเราไม่ธรรมดา แม้แต่พระโพธิสัตว์ยังจุติลงมาชี้แนะเราด้วยตัวเอง พระโพธิสัตว์ถูกใจเรา แล้วเราจะไม่สำเร็จได้ยังไง? อืม กลับไปพยายามต่อดีกว่า…” พานอันพึมพำพลางเดินออกจากอุโบสถ วิ่งออกจากวัดก่อนลงเขาหายวับไปกับตา
ลิงยืนอยู่ข้างกายฟางเจิ้ง ถาม “อาจารย์ ทำไมเจ้านี่ถึงประหลาดจัง?”
ฟางเจิ้งยิ้ม “บางคนไม่มีเทพในใจ แต่มาขอพรเทพ บางคนมีเทพในใจ มาขอพรเทพเช่นกัน แต่กลับไม่รู้เรื่องของโลกนี้ว่าขอใครก็สู้ขอตัวเองไม่ได้”
“อาจารย์ ถ้าท่านจะว่าแบบนี้ ถ้าอย่างนั้นท่านยังเปิดวัดทำไม? ยังต้องมีแสงธูปไปทำไม? ทุกคนกลับไปขอตัวเองไม่ดีกว่าหรือ?” ลิงเกาหัวพลางถามด้วยความไม่เข้าใจ
ฟางเจิ้งตอบด้วยรอยยิ้ม “ขอตัวเองเป็นสิ่งที่ดี ขอเทพเป็นสิ่งที่ดีระดับปานกลาง ล้มเลิกเป็นสิ่งโง่เขลา เพราะโลกนี้มีคนที่ไม่รู้จักขอตัวเองและพยายาม แถมยังลุ่มหลงมากเกินไป ดังนั้นถึงมีการขอพรพระพุทธในวัดอย่างปัจจุบัน ไม่รู้จักการขอตัวเอง จึงได้แต่ถอยและขอพรพระพุทธซึ่งรองลงมา อย่างน้อยก็ยังมีความหวัง การคงอยู่ของพระพุทธคือการให้ความหวังกับผู้คน ไม่ว่านายจะขอพรพระพุทธในเวลาใด เขาก็จะยืนอยู่ข้างนาย ฟังรสชาติชีวิตของนาย ทั้งยังใช้วิธีของเขาแก้ความทุกข์ในใจ แบ่งปันความสุข ไม่อย่างนั้นแล้วเมื่อใดที่ทุกชีวิตสับสน มองไม่เห็นความหวังและไม่มีใครเข้าใจพวกเขาแล้วนั้น จะเดินบนทางแห่งความอับจนได้ง่ายมาก”
“ถะ…ถ้าอย่างนั้นทุกคนขอตัวเองแล้ว ก็แสดงว่าพระพุทธไม่มีประโยชน์แล้วหรือ?” ลิงถามอย่างกังวล
ฟางเจิ้งหัวเราะเสียงดัง “ทุกคนต่างขอตัวเองแล้ว โลกก็คือเขาคุนหลุน ทุกสรรพสัตว์คือพระพุทธ จะบอกว่าไม่มีประโยชน์ได้ยังไง? คุณธรรมที่ดีทั้งหมดอย่างเช่นพบความตั้งใจจริงของตน เห็นธรรมชาติแต่เดิมทีของตนและมั่นคงหนักแน่นเป็นต้นถูกผู้คนปลุกจากในใจ ทุกสรรพสัตว์ล้วนเป็นพระพุทธ นั่นต่างหากคือยุคที่เจริญรุ่งเรือง”
ลิงเข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว มันประนมสองมือกล่าว “อมิตาพุทธ ศิษย์ได้รับการสั่งสอน”
ฟางเจิ้งตบหัวลิงก่อนกลับไปสวดมนต์ที่อุโบสถอย่างพอใจ
เวลาผ่านไปทีละวัน กินเจสวดมนต์ทุกวัน ตักน้ำทำนา ใช้ชีวิตอย่างอิสรเสรี ทว่าวันนี้ฟางเจิ้งได้รับบัตรเชิญจากวัดแสงตะวันรอนฉบับหนึ่ง
วัดแสงตะวันรอน แม้จะไม่ใช่วัดใหญ่หมายเลขหนึ่งในมณฑลจี๋หลิน แต่ถือว่าเป็นวัดดังอันดับต้นๆ วัดนี้มีประวัติศาสตร์หลายร้อยปี ผ่านการเปลี่ยนแปลงสมัยราชวงศ์ แต่ไม่เคยเสื่อมลงเลย วัดแสงตะวันรอนตั้งอยู่บนภูเขาฉางไป๋ และก็เป็นวัดใหญ่บนภูเขาฉางไป๋ที่มีหลายวัดสร้างอยู่บนนั้น
แม้จะอยู่บนเทือกเขาฉางไป๋ ทว่าภูเขาฉางไป๋แบ่งเป็นส่วนความหมายกว้างๆ กับความหมายแคบๆ ยอดเขาฉางไป๋ในความหมายแคบๆ คือยอดส่วนนั้นตรงมุมทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของภูเขาฉางไป๋ ตรงนั้นมียอดเขาหลักของภูเขาฉางไป๋ ส่วนภูเขาฉางไป๋ในความหมายกว้างๆ คือขวางข้ามสามมณฑลทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เรียกรวมกันว่าพื้นที่ภูเขาส่วนทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทางเหนือเริ่มจากตีนเทือกเขาหวานต๋า ทางใต้ยาวไปจนถึงภูเขาเหลาเถี่ยเทือกเขาเชียนซาน ยาวประมาณ1300 กิโลเมตร ตะวันออกและตกกว้างประมาณ400 กิโลเมตร เป็นต้นแม่น้ำยาลวี่ แม่น้ำถูเหมินและแม่น้ำซงฮวา
วัดแสงตะวันรอนตั้งบนเทือกเขาฉางไป๋ในความหมายกว้าง อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือสุดของมณฑลจี๋หลิน ถ้าฟางเจิ้งจะไป หากนั่งรถต้องใช้เวลาสองวันสองคืน ถ้านั่งรถไฟความเร็วสูงจากเมืองเฮยซานไปเมืองจี๋หลิน นั่นก็จะเร็ว แต่ว่าก็ต้องจ่ายมากกว่า…
ฟางเจิ้งนั่งอ่านบัตรเชิญอยู่หน้าประตูวัดด้วยหน้ากลัดกลุ้ม อย่าว่าแต่รถไฟความเร็วสูงเลย แค่ค่ารถยนต์ยังไม่พอ!
ขณะฟางเจิ้งกำลังกลัดกลุ้มนั้น พลันได้ยินเสียงดังข้างหู “นี่มันบัตรเชิญจากวัดแสงตะวันรอน?”
ฟางเจิ้งอึ้งงัน เงยหน้าขึ้นก็พบเด็กสาวคนหนึ่งกำลังถลึงตาโตใสแป๋ว มองบัตรเชิญในมือฟางเจิ้งด้วยความแปลกใจ เด็กสาวคนนี้ไม่ใช่คนแปลกหน้า เธอคือโอวหยางเฟิงหวาลูกสาวนักเขียนพู่กันจีนโอวหยางหวาไจที่เคยประลองศิลปะพู่กันจีนกับฟางเจิ้งในตอนนั้น เธอไว้ผมเปียหางม้าง่ายๆ สวมเสื้อเชิ้ตสีเหลือง กางเกงยีนเจ็ดส่วน ดวงตาโตสว่างไสว แพขนตายาวมาก เป็นประกายวิบวับๆ ดึงดูดคนอย่างยิ่ง
“อมิตาพุทธ ที่แท้ก็สีกาโอวหยาง” ฟางเจิ้งยืนขึ้นประนมสองมือกล่าวทักทาย
“บ่ะ ไต้ซือ ท่านเกรงใจไปแล้ว หัวโบราณจังเลยนะคะ ท่านที่ฉันจำได้ไม่ใช่แบบนี้นี่” โอวหยางเฟิงหวากะพริบตาโตด้วยท่าทีขบขัน
ฟางเจิ้งยิ้มแล้วถามกลับ “แล้วอาตมาในสายตาสีกาเป็นแบบไหน?”
“ถึงจะดูโบราณอยู่บ้าง แต่ก็เป็นคนที่น่าสนใจมาก อย่างน้อยก็ไม่หัวโบราณ” โอวหยางเฟิงหวาอยากบอกมากว่าเจิดจรัส เท่และมีไหวพริบนิดๆ ทว่ากลัวว่าพูดไปแล้วฟางเจิ้งจะไม่พอใจ เลยเปลี่ยนคำ
ฟางเจิ้งยิ้มเล็กน้อย เขาคัดค้านคำวิจารณ์ของโอวหยางเฟิงหวาไม่ได้จริงๆ เพราะเขาไม่ใช่คนหัวโบราณโดยแท้จริง ต่อหน้าคนเป็นไต้ซือ ลับหลังคนเป็นคนปกติ แถมยังเป็นหัวโจกทำเรื่องซุกซนก่อกวนไม่น้อย
“ขอบคุณที่สีกาชม” ฟางเจิ้งตอบกลับ
“อย่าขอบคุณไปมาเลยค่ะ แล้วก็อย่าเรียกฉันว่าสีกาด้วย พวกเราสนิทกันขนาดนี้แล้ว ท่านเรียกชื่อฉันก็พอ ฉันโอวหยางเฟิงหวา ทุกคนเรียกว่าฉันว่าเฟิงหวา” โอวหยางเฟิงหวาพูดด้วยท่าทีขำขัน
ฟางเจิ้งตรึกตรองแล้วก็ยังตอบไปว่า “สวัสดีสีกาโอวหยาง”
………………………