หลู่เจิ้งแหงนหน้ามองลูกบาสที่ลอยมา ในความคิดมีคะแนนเจ็ดสิบต่อเจ็ดสิบวูบผ่าน พอนึกถึงการสนับสนุนของทีมเฉินเหว่ย นึกถึงแต้มนำของทีมเฉินเหว่ยภายใต้การช่วยเหลือของหมาป่าเดียวดายก่อนเขาจะมา และยังนึกไปถึงการกระทำถ่วงขาคนอื่นหลายครั้งของตน…ไฟฮึดสู้ในใจหลู่เจิ้งกำลังลุกโชน!
ความเชื่อมั่นส่งเสียงดังซ้ำไปมาในใจหลู่เจิ้ง ‘เราทำได้! เราทำได้! เราทำได้! เราไม่ใช่ตัวถ่วง เราจะต้องรับลูกนี้เพื่อทีม เราต้องชนะ! ชนะ! ชนะ!’
ภายในใจกำลังร้องคำราม ปากตะโกนตามโดยจิตใต้สำนึก “ชนะ!”
หลู่เจิ้งไม่รู้ว่าเอาแรงมาจากไหน ขาสองข้างที่ไม่รู้สึกมานานมากเหมือนมีความรู้สึกในฉับพลัน เขาออกแรงถีบ ตะโกนพร้อมกับยืนขึ้น!
วินาทีนั้นทั้งโลกคล้ายกับหยุดนิ่ง พริบตานั้นสายตาทุกคนตะลึงค้าง! ชั่วขณะนั้นราวกับว่าหลู่เจิ้งควบคุมทั้งโลกได้! เขายืนขึ้นแล้ว! เขายืนขึ้นแล้ว! ในเมื่อเขายืนขึ้นได้ ถ้าอย่างนั้นกระโดดล่ะ?
จากนั้นหลู่เจิ้งกระโดดขึ้น แม้เพราะเพิ่งยืนขึ้นเลยไม่มีแรงมากนัก แต่เขาก็ยังกระโดด
ตอนนี้เอง ตรงเอวถูกคนดึงขึ้นมา ทั้งตัวลอยกลางอากาศ ก่อนคว้าลูกบาสเอาไว้ได้!
“อมิตาพุทธ ประสก แสลมดังก์ไปเลย!” เสียงฟางเจิ้งดังขึ้น ขณะเดียวกันหลู่เจิ้งรู้สึกว่ามีแรงแล่นเข้ามา ร่างกายลอยไปโดยควบคุมตัวเองไม่ได้! ตัวลอยอยู่กลางอากาศ ห่วงบาสอยู่ใกล้ตรงหน้า! เขาฝันอยากยัดลูกลงห่วงมาตลอด ท่าการแสลมดังก์ฉายผ่านในความคิดไม่รู้กี่ครั้ง! ครั้งนี้เขาควบคุมร่างกายโดยไม่รู้ตัว กอดลูกบาสยัดลงไปในห่วง!
เขาจำได้ว่ามีคนเคยบอกว่าแสลมดังก์คืออะไร? มันคือการใช้พลังทั่วร่างกายยัดลูกบาสลงไปในห่วง บดขยี้ทุกอย่าง บดขยี้ห่วงบาส บดขยี้ลูกบาส! ใช้พลังพิสูจน์ตัวเอง ใช้แรงบดทำลายทุกสิ่ง ใช้แรงกำราบทุกสิ่ง ใช้แรงช่วงชิงชัยชนะมา!
“อ๊าก!”
หลู่เจิ้งใช้แรงทั้งหมดพร้อมกับตะโกนลั่น!
ชูมือขึ้นสูง อัดลงไป!
ปัง!
เกิดเสียงดังสนั่น!
เสียงสะเทือนฟ้า!
พริบตานั้น สายตาทุกคนตะลึงค้าง!
“พระเจ้า!”
“โหดมาก!”
“เวร นั่นยังเป็นคนอยู่รึเปล่าเนี่ย?”
“บ้าไปแล้ว โยนคนตัวใหญ่ขึ้นไปสูงขนาดนั้นได้ยังไง! หลวงจีนนี่ใช่ซุนหงอคงรึเปล่า?”
……..
ไม่ผิด ทุกคนไม่ได้ตกใจที่หลู่เจิ้งแสลมดังก์ แต่ตกใจที่ฟางเจิ้งโยนคนขึ้นไปสูงขนาดนั้น!
หวังคุนตบบ่าเฉินเหว่ย “เฉินเหว่ย จากนี้นายทำเป็นเก่งต่อไปเถอะ ฉันจะให้ไต้ซือโยนนายเข้าไปในส้วมซะ”
“ทำเป็นเก่งไม่ไหวแล้ว นี่มันโหดเกินไป…” เฉินเหว่ยยิ้มเจื่อนๆ
ทว่าพวกเขาพูดคุยกันเสียงเบามาก หลู่เจิ้งกำลังมัวเมาอยู่ในความสุขของการแสลมดังก์อย่างสิ้นเชิง จึงไม่ได้ยินอะไรเลย
ฟางเจิ้งได้ยินเข้าก็หน้าแดงนิดๆ แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เขาที่รีบมาอยู่ใต้แป้นบาสรับหลู่เจิ้งเอาไว้
ตอนนี้ หลู่เจิ้งเพิ่งได้สติกลับมา มองฟางเจิ้งด้วยสีหน้าตื่นเต้น “ไต้ซือ…ผะ…ผมแสลมดังก์”
“อืม แสลมดังก์ รบกวนประสกส่งห่วงบาสให้อาตมาด้วย?” ฟางเจิ้งมองหลู่เจิ้งด้วยความขมขื่น
หลู่เจิ้งถึงเพิ่งรู้ว่าเขาใช้แรงทุ่มลูกทั้งหมดจนห่วงหลุดลงมาด้วย! ใบหน้าเล็กแดงก่ำ มองไปรอบๆ ด้วยความเก้อเขินอย่างยิ่ง เขารู้ดีว่าเขตเล็กเยียนกว่างเป็นสนามบาสที่ใกล้กับโรงเรียนที่สุด ทว่าเขตเล็กเยียนกว่างเป็นเขตโรงเรียนเก่า อยู่มานานมากแล้ว พวกอุปกรณ์สาธารณะเหล่านี้ขาดการบำรุงไปนานหลายปี ด้วยความที่ลมพัดและฝนตกเลยเสื่อมข้างใน ทว่าอย่างน้อยก็ยังใช้ได้ ยังเล่นได้…
ครั้งนี้จบเห่แล้ว เขาหักห่วงลงมา จากนี้ทุกคนไม่ต้องเล่นกันแล้ว
ฟางเจิ้งมองห่วงบาสในมือพลางตบๆ หลู่เจิ้ง “ยินดีด้วย ประสกยืนเองได้แล้ว”
หลู่เจิ้งอึ้งงัน ตอนนี้เพิ่งรู้ว่าฟางเจิ้งปล่อยมือนานแล้ว! เขายืนได้ด้วยกำลังของตัวเอง ยืนขึ้นแล้ว!
“ยินดีด้วยเพื่อน!” พวกเฉินเหว่ยกับหวังคุนเห็นแบบนั้นก็พากันเดินเข้ามาแสดงความยินดี
เฉินเหว่ยกอดบ่าหลู่เจิ้งพลางว่า “เพื่อน สู้ๆ ขอให้หายไวๆ พวกเราจะได้สู้เคียงบ่าเคียงไหล่กัน!”
“เฉินเหว่ย แกไปให้พ้นเลย ฉันเจอหลู่เจิ้งก่อน ก็ต้องเข้าทีมฉันสิ!” หวังคุนร้องโวย
“ไอ้บ้า! อย่างน้อยตอนนี้เขาก็อยู่ทีมฉัน! อีกอย่างฉันชนะ! ไหนคุยกันแล้วว่าใครชนะคนนั้นเป็นใหญ่! จะบอกให้นะ หลู่เจิ้งไม่ใช่แค่ลูกทีมฉัน แต่วันนี้นายจะต้องเลี้ยงข้าวด้วย!” เฉินเหว่ยหัวเราะเบาๆ
หวังคุนมองค้อนเขาไปที “ถือว่านายชนะ!”
พอเห็นว่าเจ้าสองคนนี้ทะเลาะกันเพราะแย่งตัวเอง แถมยังสัมผัสได้ถึงมิตรภาพในคำหยาบ หลู่เจิ้งถึงกับหัวเราะ
“เอาล่ะ หลู่เจิ้งเพิ่งยืนได้ ร่างกายไม่ควรเหนื่อยเกินไป ให้เขาพักก่อนสักหน่อยเถอะ” ฟางเจิ้งพูดขัดทุกคน
แม้หลู่เจิ้งจะทำใจจากไม่ได้ แต่ก็มองฟางเจิ้งด้วยความซาบซึ้งใจ เขาไม่ใช่คนโง่ หวังคุนและเฉินเหว่ยไม่ได้มาเล่นบาสเป็นครั้งแรก แต่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเริ่มจากที่ฟางเจิ้งมาทานข้าวที่บ้านเขา นี่อธิบายทุกอย่างแล้ว อีกอย่างหลังจากตื่นเต้นมากเกินไป ตอนนี้เขาเหนื่อยเล็กน้อย อยากจะพักผ่อน
ทุกคนเข้าใจเหตุผลนี้ หวังคุนกับเฉินเหว่ยจึงบอกว่า “หลู่เจิ้งสู้ๆ เริ่มพรุ่งนี้เลย พวกเรามาเล่นบาสด้วยกันอีก”
หลู่เจิ้งพยักหน้าตอบตกลง
เมื่อทุกคนแยกย้ายกันไป ฟางเจิ้งเข็นหลู่เจิ้งไปใต้ตึก พูดยิ้มๆ ว่า “จะขึ้นไปเองหรือให้อาตมาเข็นขึ้นไป?”
“ผมขึ้นไปเอง!” หลู่เจิ้งตอบอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ฟางเจิ้งยิ้ม เขาไม่ได้อยากให้หลู่เจิ้งขึ้นไปเองจริงๆ แต่เพียงแค่อยากเห็นว่าหลู่เจิ้งมีความมั่นใจและมุ่งมั่นที่จะสู้อีกครั้งจริงๆ หรือไม่! ตอนนี้ดูแล้วเขาคงคิดมากไป
ลงตึกง่าย ขึ้นตึกยาก หลู่เจิ้งเพิ่งใช้แรงมาจนหมดแล้วจะไปขึ้นได้อย่างไร? สุดท้ายฟางเจิ้งยกหลู่เจิ้งขึ้นไป หลู่เจิ้งมองฟางเจิ้งด้วยใบหน้าแดงๆ ว่า “ขอบคุณครับ…”
“อมิตาพุทธ ประสกไม่ต้องอาย อย่าว่าแต่ประสกเลย คนส่วนใหญ่ก็นั่งรถเข็นขึ้นบันไดไม่ได้ แต่อาตมาเชื่อว่าอีกไม่นานประสกจะไม่ต้องใช้มันแล้ว” ฟางเจิ้งพูดพร้อมตบไปที่รถเข็น
หลู่เจิ้งพยักหน้าอย่างมั่นใจ
ชั่วขณะนี้เอง ซูอวิ๋นกับหลู่ฮุยกลับมาแล้ว พอเจอหน้ากัน หลู่เจิ้งเอ่ยทันที “พ่อ แม่…”
“ฮ่าๆ…หลู่ฮุย คุณได้ยินไหม? เสี่ยวเจิ้งเรียกพวกเราด้วย ฮือๆๆ…เรียกพวกเราแล้ว…ฮือๆ…” ซูอวิ๋นที่หวั่นไหวง่ายกอดบ่าหลู่ฮุยและร้องไห้อีกครั้ง
หลู่ฮุยเกร็งหน้าพลางต่อว่า “มองอะไร? ไม่เคยเห็นแม่แกกระเง้ากระงอดเหรอ ไม่เคยเห็นคนจีบกันรึไง?!”
หลู่เจิ้งตกใจจนแลบลิ้น ก่อนรีบเข้าไปในบ้าน
ฟางเจิ้งหัวเราะแล้วเข้าบ้านหลู่ฮุยอีกครั้ง เขาพบว่ายังคงเป็นห้องนั้น ยังคงมีเครื่องเรือนเหล่านั้น ยังคงมีแสงไฟแบบเดิม แต่ครอบครัวนี้สว่างไสวขึ้นแล้ว
มื้อกลางวันฟางเจิ้งก็ยังฝากท้องไว้กับบ้านหลู่ฮุย หลู่เจิ้งไม่เก็บตัวอยู่ในห้องเป็นครั้งแรก แต่นั่งในห้องรับแขก ในครอบครัวพูดคุยกันสนุกสนานและมีความสุข แน่นอนว่าไม่ขาดคำขอบคุณเช่นกัน…
ฟางเจิ้งปฏิเสธการไปส่งและเงินขอบคุณจากหลู่ฮุย ก่อนมาที่หน้าบ้านหวังคุน
ผลคือได้ยินเสียงหัวเราะจากในบ้านหวังคุน เห็นได้ชัดว่าเด็กพวกนี้พอใจกับภารกิจในวันนี้มาก กระทั่งฟางเจิ้งยังได้ยินหวังคุนกับเฉินเหว่ยกำลังเสนอความคิดเห็นอย่างหนึ่ง
“เพื่อนๆ วันนี้เราทำสำเร็จแล้ว! ฉันรู้แล้วว่าการช่วยคนอื่นฟินกว่าแกล้งคนอื่น! แม่ง จากนี้ไปฉันจะเป็นคนดี!” หวังคุนกล่าว