ทว่าหลินอิ๋งไม่มองเขาเลย แต่ลากเซี่ยเหมิ่งไปพูดบางอย่าง สีหน้าท่าทีร้อนใจ เห็นได้ชัดว่ากำลังเป็นห่วงความปลอดภัยของหลินจื้อเฉิง เห็นแบบนี้หลินจื้อเฉิงได้แต่ร้องสุดชีวิต “น้องพี่ พี่อยู่นี่! ช่วยพี่ด้วย…ฮือๆ…”
สรุปคือเซี่ยเหมิ่งมองมา เอ่ยว่า “หลินเหล่ย ไก่นี่ร้องเก่งจริงๆ รีบเชือดให้มันหุบปากซะเถอะ”
เธอพูดจบ หลินจื้อเฉิงรู้สึกแค่ตัวเบาโหวง ปัสสาวะร้อนๆ ไหลออกมา…นี่จะลงมือฆ่ากันจริงๆ!
หลินเหล่ยตะโกน “รู้แล้ว พี่เหมิ่ง รออีกเดี๋ยวสิ ผมไปหาฟืนมาอีกนิด ตั้งหม้อต้มน้ำแล้วค่อยว่ากัน”
หลินจื้อเฉิงได้ยินดังนั้นก็เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีในใจ เขาจำได้รางๆ ว่าตนเคยสอนวิธีการฆ่าที่เหี้ยมโหดอย่างหนึ่งกับหลินเหล่ย…
“หลินเหล่ย นายจะทำอะไรอีก?” หลินอิ๋งถาม
หลินเหล่ยหัวเราะเบาๆ “ไม่ได้ทำอะไร พี่เคยบอกว่ายิ่งเป็นของดีมากเท่าไร ก็ยิ่งต้องรักษารสชาติเดิมไว้ สดๆ ถึงจะอร่อย อาหารป่าเลิศรสแบบนี้ ฉันอยากลองใช้วิธีที่พี่สอนมาเหมือนกัน ตั้งหม้อต้มน้ำแล้วโยนมันลงไปในน้ำร้อนเป็นๆ ตอนนี้มันยังไม่ตาย ก็อาศัยจังหวะนี้แหละถอนขนออก ทำแบบนี้จะทำให้ไม่มีเลือดไหลออกมา เนื้อยังมีกลิ่นของเลือดนิดๆ แต่พี่เคยบอกว่าผู้ชายต้องกินของที่มีกลิ่นเลือดถึงจะดูดี ครั้งนี้พี่ไม่อยู่ ฉันต้องลองดูบ้าง…”
หลินจื้อเฉิงได้ยินเข้าก็ตาเหลือกแทบจะหมดสติ อยากตบปากตัวเองสักร้อยที ตอนแรกทำไมเขาถึงไปยุ่งไม่เข้าเรื่องมากขนาดนั้น? ทำไมต้องสอนเรื่องพวกนี้กับหลินเหล่ย? ถ้าเขาไม่สอน วันนี้ไม่เพียงแต่ไม่ต้องถูกลงโทษ แต่ยังมีชีวิตรอด…
“นายทำแบบนี้โหดไปรึเปล่า?” หลินอิ๋งทำหน้ารังเกียจ
“เมื่อก่อนฉันก็คิดแบบนี้ แต่พี่มักจะบอกเสมอว่าฉันเหมือนผู้หญิงเกินไป ไม่เหมือนผู้ชาย ครั้งนี้เขาไม่อยู่ ฉันจะทำแบบผู้ชายให้ดู เขาจะได้เลิกดูถูกกันสักที!” หลินเหล่ยว่าจบก็จุดฟืน ไฟลุกโชติช่วงขึ้นมา น้ำในหม้อเริ่มมีฟองอากาศ หลินเหล่ยนั่งยองเฝ้าอยู่ข้างๆ
หลินจื้อเฉิงเกิดความรู้สึกราวกับผ่านวันเหมือนผ่านปี เขานับแทบทุกวินาที ทุกวินาทีจะภาวนาอยู่เงียบๆ ขอให้หลินเหล่ยเปลี่ยนใจ ขอให้ตนมีโอกาสหนีรอดไปได้
ทว่าเห็นไอร้อนเยอะขึ้นเรื่อยๆ แล้ว กลับไม่มีการเปลี่ยนใจใดๆ หลินเหล่ยหัวเราะเบาๆ ก่อนเอ่ย “น้ำเดือดแล้ว ฉันจะลองดูก่อน ความรู้สึกตอนเอาน้ำลวกไก่มันเป็นยังไง!”
ตอนนี้หลินจื้อเฉิงร้องไห้จริงๆ แล้ว ร้องจนสะอึกสะอื้น ปัสสาวะอุจจาระออกมาหมด พยายามออกแรงบิดตัวสุดชีวิต แต่ไม่มีประโยชน์เลย ยังถูกหลินเหล่ยจับขึ้นมา เตรียมจะโยนลงในหม้อต้ม! เห็นน้ำร้อนใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เมื่อไอร้อนพวยพุ่งใส่หน้า รู้สึกเจ็บแสบ…เขาร้องด้วยความหวาดผวา แต่ไม่มีใครฟังคำเขาเข้าใจ รู้สึกว่าไร้ที่พึ่ง สิ้นหวัง และไม่ยอม…ทว่ากลับไม่มีแรงจะเปลี่ยนเรื่องราวใดๆ
ชั่วขณะที่หลินเหล่ยจะโยนหลินจื้อเฉิงลงไปในหม้อนั้น…
“อมิตาพุทธ ประสก ช้าก่อน” ตอนนี้เอง เสียงสวดนามพุทธองค์ดังขึ้น
เสียงสวดนี้ไพเราะราวเสียงสวรรค์ หลินจื้อเฉิงพบเป็นครั้งแรกว่าเขาโคตรรักหลวงจีนเลย! ทว่าตอนที่หลินจื้อเฉิงมองไป เขาพลันตกใจจนเกือบฉี่ราดอีกครั้ง! คนที่มาไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นหลวงจีนที่เปลี่ยนเขาเป็นนกฮาเซลเกราซ์นั่นเอง! เป็นหลวงจีนที่นั่งบนก้อนหินนั่น!
หลินเหล่ยตกใจสะดุ้ง ทำไมหลวงจีนที่เมื่อกี้แน่นิ่ง จู่ๆ ก็มาอยู่ข้างกายเขาได้?
แต่เซี่ยเหมิ่งกลับยิ้มดีใจ ตรงเข้ามาพูดด้วย “หลวงพี่ ท่านตื่นแล้ว”
ฟางเจิ้งประนมสองมือ เอ่ยตรงเข้าประเด็นไปว่า “อมิตาพุทธ ประสก อาตมารู้เรื่องที่ประสกจะถามแล้ว แต่อาตมาบอกไม่ได้”
สิ้นเสียง เซี่ยเหมิ่งยิ้มไม่ออกอีก แต่พูดอย่างเคร่งขรึม “หลวงพี่ เรื่องเกี่ยวกับชีวิตคน โปรดบอกด้วยเถอะ”
ฟางเจิ้งส่ายหน้า “ประสกพูดจาหนักไปแล้ว ประสกท่านนั้นที่ประสกพูดถึงยังมีชีวิตอยู่ดี จะบอกว่าเกี่ยวกับชีวิตคนได้อย่างไร?” จากนั้นไม่มองเซี่ยเหมิ่ง แต่พูดกับหลินเหล่ย “ประสก โยนไก่เป็นใส่หม้อ มันโหดร้ายเกินไปหน่อยไหม”
“หลวงพี่ยุ่งกับเรื่องของคนอื่นมากไปมั้ง” หลินเหล่ยตอบอย่างไม่พอใจ
ฟางเจิ้งพูดยิ้มๆ “อาตมายุ่งแต่เรื่องที่ควรยุ่ง”
“หลวงพี่ ท่านบอกผมมาเถอะว่าเถ้าแก่ไปทางไหน ผมจะปล่อยไก่ตัวนี้ไปตกลงไหม?” เซี่ยเหมิ่งกล่าว
หลินเหล่ยอ้าปาก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร
ฟางเจิ้งยิ้มบอก “ประสก ถ้าอาตมาไม่บอกล่ะ”
“ตอนนี้สายแล้ว พวกเราหิวแล้วด้วย คงต้องตุ๋นไก่นี่กินบำรุงร่างกายเท่านั้น” เซี่ยเหมิ่งจ้องฟางเจิ้ง ทำท่าทีว่าจะกินแน่ๆ
ฟางเจิ้งยิ้มบางๆ “ถ้าประสกกินไก่ตัวนี้ จากนี้จะไม่ได้เจอประสกหลินอีกเลย”
พูดจบ เซี่ยเหมิ่งหน้าเปลี่ยนสี เอ่ยพลางจ้องฟางเจิ้งด้วยท่าทีโหดเหี้ยม “ท่านจับเถ้าแก่เราไปใช่ไหม?” ขณะเดียวกัน มีดถูกดึงออกจากฝักแล้ว เสมือนพยัคฆ์โหยเผยเขี้ยวและกรงเล็บ!
ฟางเจิ้งกลับแน่นิ่ง เอ่ยเรียบๆ ว่า “ประสก พวกเรากำลังคุยปัญหาเรื่องไก่อยู่” ฟางเจิ้งพูดพร้อมกระทืบเท้า หินก้อนใหญ่ใต้เท้าแตกออก! การกระทำเล็กน้อยมาก แต่เซี่ยเหมิ่งกลับเห็นอย่างชัดเจน!
เซี่ยเหมิ่งสูดลมหายใจเข้าลึก รู้ว่าเจอกับคนร้ายกาจเข้าแล้ว! คำพูดก็อ่อนลงไม่น้อยเช่นกัน “ไม่กินก็ได้ แต่ให้เหตุผลที่จะไม่ให้ผมฆ่าด้วย”
“ประสกอยากฟังแบบเป็นทางการหรือไม่เป็นทางการล่ะ?” ฟางเจิ้งถามกลับ
“ไม่เป็นทางการเป็นยังไง?” หลินเหล่ยถามอย่างแปลกใจ
ฟางเจิ้งว่า “ไก่ตัวนี้ไม่ใช่ไก่ธรรมดา แต่มันมีสติปัญญา แตกฉานเรื่องการเต้นรำหลายแขนง แถมยังเขียนหนังสือได้ ไก่มหัศจรรย์แบบนี้ ทุกท่านว่าควรกินไหม?”
“ไร้สาระ…” หลินเหล่ยเบะปาก ไม่เชื่อเลยสักนิด “ท่านพูดจาไร้สาระแบบนี้ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีความหมาย ผมจะตุ๋นไก่นี่”
“แล้วแบบเป็นทางการล่ะคะ?” หลินอิ๋งพลันถามขึ้น
“นกฮาเซลเกราซ์เป็นสัตว์คุ้มครองชั้นหนึ่งของประเทศ ทุกคนกิน อาตมาเห็นแล้ว ออกไปต้องแจ้งความแน่ ถึงตอนนั้นติดคุกไป ก็อย่าโทษอาตมาที่ไม่ช่วยแล้วกัน” ฟางเจิ้งยิ้มบอก
พูดจบ หลินเหล่ยกับเซี่ยเหมิ่งไม่สบายใจราวกับกินแมลงวันตาย เดิมทีคิดว่าหลวงจีนนี่คำพูดคำจาไม่ปกติ เป็นโรคประสาท ตอนนี้ดูๆ แล้ว นี่คือหลวงจีนที่ฉลาดเป็นกรด! พูดไม่กี่คำก็จับจุดอ่อนพวกเขาได้
จะให้ปล่อยนกฮาเซลเกราซ์ไปแบบนี้? หลินเหล่ยไม่ยอม!
เซี่ยเหมิ่งก็ไม่ยอมเหมือนกัน เขายังหวังจะใช้ประโยชน์จากนกฮาเซลเกราซ์เพื่อถามข้อมูลที่มีประโยชน์จากฟางเจิ้ง!
หลินเหล่ยกัดฟันพูด “หลวงจีน ท่านว่ามันมีสติปัญญา ท่านพิสูจน์ได้ไหมล่ะ ถ้าพิสูจน์ได้ ผมจะปล่อยมันไป ถ้าพิสูจน์ไม่ได้ ท่านต้องบอกว่าพี่ชายผมไปทางไหนตกลงไหม?” หลินเหล่ยเริ่มเจ้าเล่ห์แสนกล ในมุมมองเขาก็แค่นกฮาเซลเกราซ์ตัวเดียว จะไปเต้นรำและเขียนหนังสือได้อย่างไร เขามั่นใจว่าต้องชนะเดิมพันนี้แน่
หลินอิ๋งกับเซี่ยเหมิ่งได้ยินแล้วพลันมองค้อน ด่าทอหลินเหล่ยว่าปัญญาน้อยในใจยกใหญ่ มีแต่คนโง่เท่านั้นที่เดิมพันกับเขา! แต่ว่า…
ฟางเจิ้งพูดยิ้มๆ “ได้สิ”
“อะไรนะ?” หลินอิ๋งกับเซี่ยเหมิ่งตะลึงงัน นึกไม่ถึงว่าหลวงจีนนี่จะตอบรับจริงๆ โง่รึเปล่า?
พอคิดโยงไปถึงคำพูดคำจาที่ไม่ปกติ สายตาที่มองฟางเจิ้งจึงแปลกกว่าเดิม และยังมีความเห็นใจด้วยนิดๆ