“งืมมมม…”
ผมออกจากห้องของผมแล้วก็ได้ลงบันไดไป โดยยังคงรู้สึกง่วงอยู่จึงได้ขยี้ตาไปด้วย
หืม? ทำไมถึงมีเสียงออกมาจากห้องครัวผมล่ะ..?
ผมรู้สึกงงในระหว่างที่ความคิดยังคงมึนมัวอยู่
“อ๊ะ! อรุณสวัสดิ์ ยูคุง! ขอบคุณที่ให้ชั้นใช้ห้องนายุจังนะ”
ผมเห็นเด็กสาวคนนึงที่ใส่เสื้อคลุมอยู่ในห้องครัวของผม
เธอมีเส้นผมที่สวยและดำยาวไปจนถึงไหล่ของเธอ
เธอมีดวงตาที่โต และหยดย้อย
ตัวของเธอบาง แต่เธอก็มีรูปร่างที่ดีพร้อมกับทรวดทรงในที่ๆเหมาะเจาะ
“อ่า… อรุณสวัสดิ์ ยูกะจัง…”
ผมใช้เวลาไปพักนึง ก่อนที่จะรู้ตัวว่าเธอคือคู่หมั้นของผม วาตานาเอะซัง
พอเห็นผมเป็นแบบนั้นแล้ว ยูกะจังก็ได้ทำหน้ามุ่ยออกมา
“เมื่อกี้นายใช้เวลาไปพักนึงก่อนที่จะตอบชั้นเลย…”
“ไม่ คือเธอดูต่างออกไปจากความรู้สึกที่เธอให้ที่โรงเรียนน่ะ ชั้นก็เลยจำไม่ได้ว่าเป็นเธอไปแป๊บนึง”
“อา… นายหมายถึงทรงผมกับแว่นของชั้นเหรอ? แบบนั้นเองสินะ ชั้นก็ให้ความรู้สึกที่ต่างออกไปจริงๆแหละ”
เธอยืดอกของเธอออกมาอย่างภาคภูมิใจแล้วก็ได้ใส่แว่นของเธอ
จากนั้น ด้วยมือซ้าย เธอก็ได้รวมผมยาวๆของเธอเข้าด้วยกัน แล้วเธอก็รวบมันอย่างรวดเร็วด้วยมือขวาของเธอ
อา นี่คือหน้าตาของวาตานาเอะซังที่โรงเรียนสินะ
ผมโพนี่เทลของเธอ มันทำให้รูปลักษณ์ของเธอเปลี่ยนไปพอสมควร
แต่ แว่นตาของเธอมันส่งผลมากกว่าซะอีก เวลาที่เธอไม่ได้ใส่มัน ตาของเธอจะดูออกตกเล็กน้อย แต่พอเธอใส่มันแล้ว… ตาของเธอก็กลับดูโฉบเฉี่ยวและคม
“โห ออร่ารอบๆตัวเธอมันเปลี่ยนไปในทันทีเลยนะเนี่ย”
“ใช่มั้ยล่ะ? แว่นนี้มันช่วยสะกดชั้นไว้น่ะ”
ยูกะจังก็ได้ยืดอกของเธอออกมาอย่างภาคภูมิใจ… อีกครั้ง
ส่วนผม ในทางกลับกัน…
“สาว 3D น่ากลัว…”
“น่ากลัว?! ทำไมล่ะ?!”
“ก็ที่สาวๆสามารถเปลี่ยนหน้าตาได้ภายในทันทีน่ะ… มันเรียกได้แค่ว่าน่ากลัวชัดๆ ไม่ใช่ว่านั่นเหมือนลูแปงเหรอ?”
“สาวๆเปลี่ยนไปได้มากกว่านี้อีกนะถ้าพวกเธอใช้เครื่องสำอาง”
“… ถ้าถึงขั้นนั้น มันก็เรียกสยองขวัญแล้ว เหมือนผีหรืออะไรอย่างงั้นเลย”
การที่สาว 3D สามารถเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ได้อย่างง่ายดายมันทำให้ผมกลัว
ยูกะจังได้ถอนหายใจให้กับการตอบกลับของผม
“คือ เวลาที่ชั้นพูด ชั้นก็มักจะพูดออกมามากเกินไป แล้วมันก็ทำให้เห็นได้ชัดเลยว่าชั้นเข้าสังคมไม่เก่งเท่าไหร่ มันก็เลยเป็นเหตุผลที่ชั้นใส่แว่นเพื่อที่จะได้ทำตัวจริงจัง เพราะเวลาที่ชั้นจริงจัง ชั้นจะได้ซ่อนความจริงที่ว่าชั้นสื่อสารได้ไม่ดี การใส่แว่นมันช่วยให้ชั้นกลายเป็นวาตานาเอะซังที่จริงจังและน่าเบื่อได้น่ะ”
“ทำให้ดูฉลาดเหรอ…? มันก็คงดีกว่าการที่ไปแล้วไม่ใส่แว่นละนะ”
หลังจากที่พวกเราคุยกันจบ พวกเราก็ได้ออกจากบ้านไปพร้อมกัน
“สองคู่หมั้นไปโรงเรียนด้วยกัน มันรู้สึกเหมือนพวกเรากำลังทำอะไรบางอย่างที่มันผิดศีลธรรมเลยนะ ว่ามั้ย?”
หลังจากที่รู้สึกอายกับคำพูดของเธอเอง วาตานาเอะซังก็ได้ยิ้มออกมาอย่างเขินๆ
สีหน้าของเธอที่อ่อนโยนมันช่างต่างกับวาตานาเอะซังที่โรงเรียนซะจริงๆ
“เออ… เธอจะต้องอย่าให้คนในห้องรู้เลยนะว่าพวกเราหมั้นกันแล้ว”
“…?ทำไมอะ?”
ยูกะจังจ้องมาที่ผมเฉยๆ ทำให้รู้เลยว่าไม่ได้คิดเรื่องนี้มาก่อนหน้าเลย
ในขณะที่กำลังเดินอยู่ข้างๆยูกะจัง ผมก็ได้เตือนเธอถึงสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นได้
“ถ้าพวกเราเด่นเกินไป มันจะต้องมีข่าวลือเต็มไปหมด แล้วทุกคนก็คงจะเริ่มอยากรู้อยากเห็น เริ่มตั้งคำถาม หรืออะไรแบบนั้นแน่ๆ แล้วท้ายที่สุดทุกคนก็จะพูดกับเธอมากขึ้นนะ”
“อือ… นั้นมันฟังดูแย่จัง”
“เธอเป็นนักพากย์ด้วย เพราะฉะนั้นเธอก็น่าจะพยายามทำตัวเรียบๆไว้นะ”
การที่นักพากย์แต่งงานมันอาจจะเป็นประเด็นละเอียดอ่อนได้ เพราะฉะนั้นมันก็เป็นเรื่องสำคัญมากที่จะต้องระวังเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพวกเรา
“เข้าใจแล้ว! ชั้นจะพยายามทำให้พวกเราเหมือนเป็นเพื่อนร่วมห้องปกติก็แล้วกัน แต่ ชั้นไม่ค่อยเก่งเรื่องแบบนี้เท่าไหร่ เพรางั้นชั้นขอโทษถ้าเกิดเผลอทำตัวเย็นชาหรือห่างเหินใส่นะ”
“ไม่เป็นไรหรอก ชั้นก็ไม่เก่งเรื่องนี้ เพราะงั้นชั้นก็อาจจะไม่ได้ตอบเธอไปบ้างเป็นบางครั้งเหมือนกัน”
แต่ มันก็ไม่ได้เป็นเรื่องเดียวที่เราตกลงกันเกี่ยวกับเรื่องนี้
พวกเราทั้งสองคนได้แลกเปลี่ยนไลน์แอดเดรสกันเมื่อวาน
ไลน์
มันทำให้คุณสามารถส่งข้อความและโทรได้แบบฟรีๆ มันค่อนข้างจะเป็น Application ที่มีชื่อเสียงเลย
ผมไม่คิดว่าจะมีเด็กมัธยมปลายที่ไหนที่ไม่ใช้ไลน์
ถึงแม้ว่าผมจะอยู่ในไลน์กลุ่มห้อง แต่รายชื่อติดต่อนอกเหนือจากนั้นก็มีแค่พ่อและน้องสาวของผม
และคนที่ถูกเพิ่มมาเมื่อวานนี้… ก็คือคู่หมั้นของผม
“ได้! งั้นระวังตัวตอนที่นายอยู่ที่โรงเรียนด้วยนะ”
“โอเค รับทราบ!”
ความจริงที่ว่าพวกเรานั้นหมั้นกันนั้น พวกเราไม่สามารถที่จะให้ใครมารู้เกี่ยวกับเรื่องนั้นได้เลย
เพราะว่าถ้าพวกเค้ารู้ละก็ ผมมั่นใจ 1000% ว่าการกลั่นแกล้งดั่งนรกจะต้องรอผมอยู่ เหมือนเมื่อตอนนั้น…
ในขณะที่พวกเราใกล้จะถึงโรงเรียนมากขึ้น พวกเราก็ทำให้แน่ใจว่ารักษาระยะห่างจากกันและกันเอาไว้แล้ว
จากนั้น พวกเราก็ได้เข้าไปในห้องเรียนทันเวลาก่อนที่กริ่งจะดังพอดี
ผมเหลือบมองไปที่ยูกะจังเพื่อที่จะดูว่าเธอเป็นยังไงบ้าง เธอก็ได้นั่งลงไปในที่ของเธอเรียบร้อยแล้วเหมือนตามปกติ
“โย่ ยูอิจิ!”
ทันทีที่ผมได้นั่งลงไปบนที่นั่งของผม เพื่อนของผม มาสะฮารุ คุราอิ ก็ได้ทักผมมาจากด้านหลัง
ผมของเจ้านี่ที่ยังคงเละเทะเหมือนเคย ก็ได้ถูไถไปกับไหล่ของผม แล้วมันก็ออกจะน่ารำคาญเล็กน้อย
“แกมองอะไรอยู่เหรอ?”
“เอะ-เอ๋? เออะ-เอ่อ…”
แว่นสีดำของเจ้ามาสะก็ดูจะเปล่งกระกายออกมาครู่นึง
“อย่างนี้นี่เอง… ในที่สุดแกก็ได้เจอองค์หญิงยูนะแล้วใช่มั้ย?”
“…ห้ะ?”
คือ มันก็จริงที่ตอนนี้ผมสามารถที่จะเจอนักพากย์ของยูนะจังได้
แต่ผมไม่คิดว่านั่นเป็นสิ่งที่มาสะกำลังพยายามจะพูดอยู่
“แกรักองค์หญิงยูนะมากจนแกสามารถที่จะหลอกตัวเองว่าเธออยู่ในห้องเรียนนี้ได้เลยสินะ ใช่แหละ… เพราะว่าองค์หญิงยูนะนี่โดนเก็บบันทึกเข้าไปในม่านตาแกซะหมดแล้วไง!”
“แกพูดอะไรพวกนี้ออกมาได้ยังไงโดยที่ไม่อายเลยฟระ…”
“ชั้นเข้าใจความรู้สึกแกนะ ยูอิจิ แกก็เป็นสหายของชั้นเหมือนกัน! ชั้นก็มองเห็นท่านรันมุที่นี่เหมือนกัน! เอาจริงๆแล้ว ชั้นเห็นทุกคนในห้องนี้เป็นท่านรันมุเลยละ!”
“แกควรที่จะต้องไปโรงพยาบาลแล้วละ ตอนนี้เลย”
ระหว่างที่กำลังทำการสนทนาบ้าบอแบบนี้อยู่กับมาสะ ผมก็เปลี่ยนความสนใจไปที่ยูกะจัง
ผมอยากจะรู้ว่าเธอเป็นยังไงที่โรงเรียน
ผมไม่เคยโต้ตอบกับเธอเลยแม้แต่น้อย
จนถึงตอนนี้ นั่นก็เลยทำให้ผมไม่รู้
เธอเคยพูดมาก่อนว่าเธอพยายามจะเงียบไว้ให้ที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ผมก็มั่นใจว่าเธอจะต้องสื่อสารบ้างเป็นบางครั้งบางคราแน่ๆ
“วาตานาเอะซัง! ขอเวลาแป๊ปนึงได้มั้ย?”
“…คะ?”
“คือ การบ้านเมื่อวานนี้น่ะ มันยากจริงๆเลยว่ามั้ย? รู้มั้ยว่าชั้นไม่เข้าใจคำถามเลย? ชั้นทำมันไม่ได้เลยน่ะ~ แล้วเธอเข้าใจโจทย์รึเปล่าวาตานาเอะซัง?”
“เข้าใจ”
“โอ้ ยอดเลย! วาตาเอะซัง เธอก็เก่งเหมือนกันนะเนี่ย? งั้นนน ช่วยสอนชั้นทำคำถามนี้ได้มั้ย?”
“ไม่”
“เอ๋~? ทำไมล่า~?”
“ชั้นสอนไม่เก่ง”
“อ่า… โอเค…”
โคตรแข็งเลย!
การตอบของเธอเหมือน AI ใน smartphone ชัดๆ
โทนเสียงของเธอมันเรียบ แล้วก็ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังคุยอยู่กับ Google Assistant หรือ Siri เลย
ยิ่งไปกว่านั้น สีหน้าของเธอก็แทบจะไม่เปลี่ยนด้วย
เธอได้บอกไว้ว่าแว่นของเธอมันช่วยสะกดเธอเอาไว้ แต่เธอโดนสะกดซะจนเหมือนเป็นอีกคนที่ต่างออกไปเลย
เมื่อวานเธอดูมีความสุขและตื่นเต้นตอนที่เราได้คุยเรื่องอนิเมะนะ แล้วยูกะจังคนนั้นไปไหนแล้วละเนี่ย?
เอาจริงๆแล้ว นี่ก็คงจะแสดงให้เห็นว่าเธอสามารถเปลี่ยนบุคลิกได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเธอถึงพากย์เสียงให้กับยูนะจังได้ดี
“นี่ ยูอิจิ แกเห็นหน้าแบบไหนบนองค์หญิงยูนะเหรอ? เธอยิ้มรึเปล่า?”
“ชั้นไม่ได้เห็นยูนะจังไหนทั้งนั้นแหละเจ้าโง่”
ผมไม่เข้าใจเลยว่าเจ้านั่นพูดอะไรพวกนั้นออกมาทั้งหมดด้วยหน้าตาที่จริงจังได้ยังไง
แต่ยังไงก็เถอะ มันคงจะแย่ถ้าเกิดมีใครรู้ว่าผมกำลังจ้องยูกะจังอยู่
ผมเลิกมองไปที่ยูกะจังแล้วก็หันความสนใจไปที่เจ้ามาสะแทน โดยพยายามเพ่งสมาธิไปที่บทสนทนาของพวกเรา
และในระหว่างที่ผมกำลังจะทำแบบนั้นเอง โทรศัพท์ของผมก็เริ่มที่จะสั่น ผมได้เห็นการแจ้งเตือนจากไลน์ ซึ่งก็สามารถอ่านได้ว่า:
[ยูคุง ความรู้สึกที่นายให้ที่โรงเรียนมันต่างจริงๆเลยนะว่ามั้ย? ชั้นคิดว่านายดูเท่ดีเวลาที่นายเป็นแบบนี้นะ~!]
“Pfft!?” *
“หืมมมม เป็นไรไป ยูอิจิ?”
“อะ ไม่… ไม่มีอะไรหรอก”
[TL note: Pfft หรือ ぷ มันเป็นอารมณ์เหมือนน้ำลายพุ่งแบบตกใจอะ ไม่รู้จะแปลยังไงดี]
มันก็ช่วยไม่ได้ที่ผมจะมีรีแอคชั่นแบบนั้นออกมานี่… ผมได้รีบรวบรวมสติกลับมาอย่างรวดเร็ว
แล้วผมก็ได้มองขึ้นไปอย่างช้าๆ
และสิ่งที่ผมเห็น… คือวาตานาเอะซังที่กำลังจ้องมองผมด้วยดวงตาทิ่มแทงพร้อมกับสีหน้าที่ว่างเปล่า
ผมรู้ว่าเธอกำลังมองผมอยู่แบบปกตินั่นแหละ
แต่ถ้าคนแปลกหน้ามาทำแบบนี้ใส่ผม ผมคงจะกลัว
“หืม? ไม่ใช่ว่าวาตานาเอะซังกำลังมองเราอยู่เหรอน่ะ?”
“เอ๋? จ-จริงเหรอ?”
เฮ้ย เดี๋ยวมาสะจะต้องสงสัยแน่ๆ!
ด้วยความตื่นตระหนก ผมก็กระพริบตาของผมอย่างรวดเร็ว เพื่อที่จะสื่อสารทางตากับยูกะจัง
จากนั้น โทรศัพท์ของผมก็ได้สั่นขึ้น
“ทำไมนายถึงกระพริบตาเยอะจัง? ไหวมั้ย? อยากได้ยาหยอดตามั้ย?”
ไม่! ไม่ได้จะสื่อว่าอย่างงั้นเฟ้ย!
“ฮ-เฮ้ย ยูอิจิ ไม่รู้ทำไมแต่สีหน้าเธอดูไม่พอใจซะงั้นแหละ! มันทำให้ชั้นรู้สึกอึดอัดชะมัดเลย…”
ผมรีบมองขึ้นมาจากหน้าจอของผม
หลังจากนั้น ผมก็ได้เห็นหมอกมืดมนปกคลุมอยู่ด้านหลังของยูกะจัง
[TL note: รังสีyandereอะแหละถ้านึกภาพไม่ออก 555]
ผมแค่ลองเดาดูนะ… แต่บางทีเธออาจจะเป็นห่วงเกี่ยวกับตาผมรึเปล่า?
แต่โอ้โห… ถ้ามีใครมาเห็นสีหน้าเธอตอนนี้ พวกเค้าคงต้องคิดว่าเธอกำลังจะฆ่าใครอยู่เลยละ
ผมต้องทำให้แน่ใจว่าเจ้ามาสะจะไม่มารู้เรื่องของพวกเรา ผมก็เลยส่งข้อความไปหาเธอบนไลน์ โดยทำให้มันกระชับที่สุดเท่าที่จะทำได้
[มองมากไม่ได้]
จากนั้น ก็มีการแจ้งเตือนเข้ามาอีก
[เอ๋?! สายตาไม่ดีเหรอ?! ไม่ใช่ว่าเป็นโรคทางตาใช่มั้ย?! นายต้องไปโรงพยาบาลนะ!]
ไม่ใช่แล้ว! เธอยังไม่เข้าใจที่ชั้นจะสื่ออีก!
“ซาคาตะคุง”
ระหว่างที่ผมกำลังตื่นตระหนกกับการเข้าใจผิดของเธอ ยูกะจังก็ได้ย้ายมาอยู่ข้างๆผมก่อนที่ผมจะรู้ตัวแล้ว
ดวงตาของมาสะมีดูสงสัย ในระหว่างที่เจ้านั่นกำลังมองดูพวกเรา
เฮ้อ… การหมั้นของเราจะต้องโป๊ะแตกเร็วๆนี้แน่… จบแล้ว…
เจ้าพวกนั้นจะวาดร่มคู่รักแบบนั้นพร้อมกับชื่อของพวกเราใต้มันมั้ยนะ
หรือบางที ถ้าผมพูดอะไรในห้อง พวกนั้นจะผิวปากใส่จนน่ารำคาญหรืออะไรแบบนั้นมั้ยนะ
ในระหว่างที่ผมกำลังมีความคิดที่น่าสลดหดหู่ใจอยู่ ยูกะจังก็ได้มาหาผมพร้อมกับบอกผมด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาดว่า
“นายควรจะไปโรงพยาบาลนะ”
บรรยากาศรอบตัวของผมนั้นหยุดนิ่งไปในทันที
จากนั้นยูกะจังก็หันหลัง แล้วก็กลับไปที่นั่งของเธอ
“ฮ-เฮ้ย ยูอิจิ แกไปทำอะไรกับวาตานาเอะซังไว้เหรอ?”
“มะ-ไม่นะ… ไม่ได้ทำอะไรเลย”
“ถึงแกจะพูดแบบนั้น แต่เธอก็บอกให้แกไปโรงพยาบาลเลยนะเฟ้ย! ไม่ใช่ว่าเธอโกรธแกจัดเลยรึไง? แกมันประหลาดไปแล้ว! นี่แกต้องคำสาปให้โดนเกลียดจากคน 3D ทุกคนเลยรึไงกันเนี่ย?”
“ยุ่งน่า”
และในระหว่างที่ผมกำลังเถียงอยู่กับมาสะนั้นเอง โทรศัพท์ก็ได้สั่นขึ้นมาในมือของผม ซึ่งดูเหมือนว่าจะมีการแจ้งเตือนมาจากไลน์
[ชั้นเป็นห่วงนะรู้มั้ย? นายควรจะไปหาหมอตาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เลยนะ อยากให้ชั้นไปกับนายมั้ย?]
ผมก็ได้รีบส่งข้อความบอกเธอไปว่าผมสบายดี
“ยูอิจิ ทำไมอยู่ดีๆแกถึงเล่นโทรศัพท์ได้หน้าตาเฉยแบบนั้น? ประเด็นเลยเนี่ย!
“แกหมายถึงอะไรเนี่ย…”
ผมได้เก็บโทรศัพท์ของผมเข้าไปในกระเป๋าอย่างช้าๆแล้วก็ถอนหายใจออกมา
มันคงจะเป็นอย่างที่ยูกะจังเคยพูดไว้สินะ…
ว่าปกติเธอจะพูดมากหรือพูดน้อยเกินไป เธอมีปัญหาการสื่อสารกับคนอื่นจริงๆ
ถ้าให้ผมเดา เธอคงอยากจะแสดงความเป็นห่วงกับผมจริงๆ
แต่ทุกคนต้องคิดแน่ๆว่าเธอกำลังทำร้ายผมด้วยคำพูดอยู่ โดยการที่บอกให้ผมเอาสมองไปเช็คที่โรงพยาบาล
แต่ก็นะ พวกนั้นยังไม่รู้ว่าพวกเราหมั้นกัน งั้นก็คงไม่เป็นไรมั้ง
เพื่อนร่วมห้องพวกเราคงจะเห็นว่าวาตานาเอะ ยูกะซังเป็นคนที่เข้าหายากหรือแข็งกระด้างไปแล้ว
แต่ ก็มีแค่ผมที่รู้
มีแค่ผมที่รู้ว่าจริงๆแล้ววาตานาเอะซังก็มีด้านที่ชอบสังคม
มีแค่ผมที่รู้ว่าเธอคืออิซูมิ ยูนะ นักพากย์ของยูนะจัง
และ… มีแค่ผมที่รู้ว่าจริงๆแล้วยูกะจังเป็นยังไงที่บ้าน
ผมรู้ทุกอย่างเลย
และ ผมก็เป็นแค่คนคนเดียวที่รู้…
ผมได้ชำเลืองมองไปที่ยูกะจัง
เธอยังคงมีสีหน้าที่ว่างเปล่าอยู่ แต่…ในระยะเวลาสั้นๆ เธอก็ได้ยิ้มให้กับผม
ผมมั่นใจเลยว่าไม่มีใครได้เห็นสีหน้าของยูกะจังเมื่อกี้
และพอได้คิดแบบนั้น… มันก็ทำให้ผมแอบมีความสุขอยู่
“เฮ้ยยูอิจิ แกมองที่วาตานาเอะซังอีกแล้วเหรอ? แกต้องหยุดทำแบบนั้นได้แล้ว พอเถอะ”
ผมขอถอนคำพูด
การรับมือกับเธอมันยากจริงๆ หยุด เ ก เ ร ได้แล้วยูกะจัง ชั้นขอร้องละ
TL note: โหมดโรงเรียนthe bestจะมีใครเถียงมั้ย!
ถ้าชอบก็ฝากถูกใจเพจด้วยเด้อ แต๊งหลายๆ
facebook.com/OnlyhiraR