[นิยายแปล]โซ่ผนึก “หัวใจ” สายใยผนึก “มังกร” 182 บทที่ 8 39

ตอนที่ 182 บทที่ 8 ตอนที่ 39

บทที่ 8 ตอนที่ 39

「นี่มาทำให้ฉันดูเหมือนคนโง่งั้นเหรอ?นี่ไปเฝ้าพระอินทร์มางั้นเหรอ?」

 

 

 

การขอแต่งงานอย่างกะทันหันทำให้วิโทร่าสตั้นไปชั่วขณะ

 

ในใจก็ตกตะลึง วิคเตอร์ยังคงพูดต่อไป

 

 

 

「เอ่อฟังดูแปลกงั้นเหรอครับ? ตั้งแต่สมัยโบราณการแต่งงานเพื่อกระชับความสัมพันธ์นี่ก็เป็นเรื่องปกตินะครับ และกระผมก็คิดว่าท่านวิโทร่าน่าจะยังไม่มีคู่หมั้นเช่นกัน?」

 

 

 

「เอ่อไม่หรอก เข้าใจแล้วเจ้าหมายถึงแบบนั้นเองสินะ โอ้พระสงฆ์องค์เจ้า เจ้าอยากจะแต่งเข้าตระกูลวาจาร์ตเพื่อปฏิบัติตามสนธิสัญญาที่ว่าต้องมอบของสุดที่รักของตระกูลฟรานซิสงั้นเหรอ?」

 

 

 

「ครับ ตามความเป็นจริงแล้วตระกูลฟรานซิสนั้นมีหัวหน้าตระกูลคนอื่นๆนอกจากลูกสาวโง่เง่าของกระผมอยู่ ดังนั้นต่อให้กระผมจากไปยังไงตระกูลก็ยังไปต่อได้」

 

 

 

ถ้าแค่ระยะเวลาสั้นๆเขาก็ถือเป็นตัวประกันที่ดี

 

แต่ว่าในกรณีนี้มักจะเป็นบุคคลอื่นที่ไม่ใช่หัวหน้าตระกูลที่จะมาเสียสละอะไรเช่นนี้

 

ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าหัวหน้าตระกูลคนปัจจุบันจะแต่งเข้าบ้านอื่นและแต่งเข้าประเทศที่ไม่มีสัมพันธ์ทางการฑูตด้วย

 

แต่ว่าไม่มีความลังเลในน้ำเสียงของวิคเตอร์เลย วิโทร่าสัมผัสได้ถึงความตั้งใจจริงของเขา

 

 

 

「พูดได้ดีนี่ เป้าหมายแท้จริงของเจ้าคือความปลอดภัยของลูกสาว และเจ้าก็ควรจะรู้เงื่อนไขในการเป็นลูกเขยของบ้านเราด้วย」

 

 

 

「แน่นอนครับ ไม่มีพวกครึ่งแวมไพร์อยู่แล้ว การที่กระผมจะต้องแต่งเข้านั่นก็หมายความว่ากระผมจะต้องกลายเป็นแวมไพร์เช่นกัน」

 

 

 

มีสองวิธีในการเพิ่มจำนวนแวมไพร์ แวมไพร์นั้นผูกพันกันเพื่อผลิตบุตรหลานหรือเปลี่ยนเผ่าอื่นให้กลายเป็นแวมไพร์

 

ความจริงที่ว่าการแต่งงานก็มีไว้ซึ่งความเจริญของเผ่าพันธ์ุก็ไม่ได้แย่เลย

 

พวกเขาเป็นเผ่าพันธุ์ที่แต่งงานกับเผ่าอื่นเพื่อเปลี่ยนให้มาเป็นสายเลือดของตนเอง

 

 

 

「แวมไพร์ดูดเลือดและเปลี่ยนอีกฝ่ายให้เป็นสัตว์ประหลาด แต่ในความเป็นจริงนั่นเป็นเพียงแค่เรื่องโกหก แวมไพร์ไม่ได้เปลี่ยนคนให้กลายเป็นสัตว์ประหลาดด้วยการดูดเลือด แต่เปลี่ยนตัวตนอีกฝ่ายให้เป็นตัวเอง」

 

 

 

「ใช่แล้วเลือดนั้นคือความสามารถพิเศษของเรา การแบ่งเลือดของตัวเองให้อีกฝ่ายจะทำให้อีกฝ่ายเป็นแวมไพร์ได้ บางครั้งตัวแปรสำคัญที่จะทำให้เป็นแวมไพร์ก็คือความเข้ากันได้ด้วยยิ่งเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งยิ่งดี……」

 

 

 

「หมายความว่าแค่ดื่มเลือดท่านเข้าไปก็ไม่ได้หมายความว่าจะกลายเป็นพวกท่านจริงๆสินะครับ」

 

 

 

「ใช่แล้วล่ะน้อ ในความเป็นจริงอัตราการสำเร็จแทบจะเป็นศูนย์ แน่นอนเจ้าเองก็ไม่คู่ควรกับเลือดของเราเช่นกันเพราะบรรพบุรุษของพวกเจ้าเองก็เป็นพวกขี้ขลาดตาขาวที่ไม่ได้อยู่ในสายตาพวกเราเลย」

 

 

 

「ก็คงแบบนั้นแหละครับ ความแข็งแกร่งของผมเทียบอะไรไม่ได้เลย หากเทียบก็คงเป็นฝุ่น」

 

 

 

ตั้งแต่แรกวิคเตอร์ไม่คิดว่าเขาจะต้านทานเลือดของวิโทร่าได้เลย แต่ว่าเขาก็พร้อมที่จะเสียสละตัวเอง

 

 

 

「กระผมจะเลิกเป็นมนุษย์ แม้ว่าจะไม่สามารถโอบกอดเหล่าลูกสาวได้อีกแล้ว แต่ช่างมันเถอะ ยังมีคนอื่นๆที่คอยสืบทอดตระกูลได้อยู่」

 

 

 

ขณะที่เขาพูดเช่นนั้นวิคเตอร์ก็หันไปมองภาพวาดที่แขวนอยู่ในห้องรับแขก

 

มีภาพวาดของลูกสาวคนเล็กและภรรยาผู้ล่วงลับซึ่งถูกนำมาที่นี่ก่อนที่เขาจะรู้ตัว

 

ในใจของเขานึกถึงแค่ช่วงเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันกับครอบครัว

 

ในช่วงเวลานั้นไอริสได้แต่หงุดหงิดและภรรยาของเขาที่ยิ้มในวาระสุดท้าย

 

เวลานั้นโซเมียเองก็เต็มไปด้วยความเศร้าโศก ภรรยาก็ต้องมาจากไปเพราะการคลอดก่อนกำหนดรวมกับร่างกายที่มีเชื้อโรคในกระแสเลือด และสิ่งที่เขาทำได้ก็คือการดูภรรยาจากไปต่อหน้าต่อตา

 

ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจ ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตก็จะขอปกป้องชีวิตที่เธอให้กำเนิดมา เหมือนกับภรรยาของเขา

 

 

 

「แน่นอนว่าจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้ท่านขาดผลประโยชน์ หากกระผมกลายเป็นกูลจะให้มีน่าที่เป็นเมดประจำตัวของผมสังหารผมทิ้ง ด้วยความสามารถของเธอผมคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร」

 

 

 

ตามคำสั่งของนายท่าน มีน่าเผยร่างให้เห็นพร้อมกับดาบที่คาดเอวอยู่

 

ชิ้งงงง………….คมดาบมิลธิลถูกแง้มออกจากฝัก

 

เมื่อเผชิญหน้ากับความมุ่งมั่นของวิคเตอร์ วิโทร่าก็บ้าคลั่ง

 

 

 

「ฮะฮะฮะฮะวะฮ่าฮ่าฮ่่า………………เยี่ยม แบบนี้แหละ เยี่ยมมาก แววตาที่กระหายชัยชนะนั่น ฉันละชอบเสียไม่มี」

 

 

 

บางทีเพราะเธอไม่สามารถกลั้นเสียงหัวเราะได้อีกต่อไป ความสุขของเธอเอ่อล้นไปทั่วร่างกาย

 

รูม่านตาสีแดงเข้มขยายถึงขีดสุดและปากก็เริ่มฉีกยิ้มอย่างรุนแรง

 

พลังเวทย์ที่สามารถเห็นได้จากทั่วร่างและหิมะที่ตกลงมาก็ค่อยๆเพิ่มขึ้น

 

 

 

「วันนี้ช่างเป็นวันที่ดี เป็นวันรวมคนไม่กลัวตายรึไงกันเหรอเนี่ย?」

 

 

 

「รวมคนไม่กลัวตาย?」

 

 

 

ทันใดนั้นวิโทร่าก็พูดคำเป็นนัยให้วิคเตอร์ได้สงสัย

 

ในขณะนั้นลูกบิดของประตูห้องรับแขกก็ถูกเปิดออก

 

บ้านฟรานซิสที่ซึ่งไม่ควรจะมีใครอยู่แล้ว มีแขกปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันเมื่อมองไปทางประตูห้องรับแขกก็ต้องตกตะลึง

 

 

 

「อึก……!?」

 

 

 

「ยินดีต้อนรับลูกสาวผู้ที่ถูกพ่อตัวเองเขี่ยทิ้งเหมือนหมูเหมือนหมา แล้วจะทำยังไงล่ะพ่อหนุ่มน้อย」

 

 

 

ณ ตรงนั้นมีลูกสาวของวิคเตอร์ที่ถูกไล่ออกไปแล้ว

 

ด้วยดวงตามุ่งมั่นเฉกเช่นเดียวกับเขา

 

★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★

 

ย้อนเวลากลับไปสักเล็กน้อยก่อนที่การเจรจากับตระกูลวาจาร์ตจะเริ่มขึ้น ไอริสรู้สึกว่าเธอค่อยๆได้สติจากการถูกวางยา

 

 

 

「อะอึก……」

 

 

 

แสงสีขาวและความร้อนที่ปะทุหลังเปลือกตาลอยขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างเงียบๆ

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อเธอนึกขึ้นได้ก็จำได้ว่าพ่อของเธอไล่เธอออกจากตระกูลและสติของเธอก็ตื่นได้เต็มที่

 

 

 

「…………!」

 

 

 

กระโดดลงจากผ้าห่มที่คลุมตัวไอริสลุกขึ้นนั่ง ห้องพักที่มีสีน้ำตาลผ่อนคลายกระโจนเข้ามาในสายตาของไอริส

 

เตาผิงสว่างไสวและเสียงไม้แตกดังก้อง บนเก้าอี้ข้างเตาผิงมีสตรีคนหนึ่งนั่งอยู่บนตักของเธอนั่นคือดาบรักประจำตัวของไอริส

 

ผู้หญิงคนนั้นที่เห็นไอริสตื่นขึ้นมาก็ลุกขึ้น และเธอก็พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

 

 

 

「อาระ ตื่นแล้วงั้นเหรอคะ」

 

 

 

「เอ่อ มาดามพัลรีน……」

 

 

 

คนที่นั่งอยู่ไม่ใช่ใครอื่นมาดามพัลรีน เพื่อนเก่าของพ่อไอริส

 

เมื่อไอริสยืนยันว่าตัวเองตื่นเต็มที่แล้ว มาดามพัลรีนก็เทน้ำแก้วหนึ่งจากเหยือกแล้วยื่นให้เธอ

 

ความเย็นของน้ำทำให้จิตใจของเธอสงบลงบ้าง

 

 

 

「เอ่อ จำได้ไหมว่าไอ้ตาบ้างี่เง่านั่นพูดอะไรกับเธอ?」

 

 

 

「……ค่ะ」

 

 

 

「ตอนนี้การประชุมคงเริ่มแล้วล่ะ」

 

 

 

เสียงของไอริสตอบคำถามของมาดามด้วยความอ่อนแรงจนจินตนาการไม่ได้จากท่าทางงดงามตามปกติของเธอ

 

ขณะที่ไอริสค่อยๆดื่มน้ำ มาดามพัลรีนก็มองเธอด้วยความเจ็บปวด

 

พัลรีนรู้จักไอริสตั้งแต่ยังเล็ก

 

เธอจะกลายเป็นหัวหน้าตระกูลคนถัดไปของตระกูลฟรานซิสและปกป้องครอบครัวของเธอ เธอใช้เวลาในวัยเด็กไปในการเรียนรู้เรื่องมารยาทและการฝึกอันแสนเข้มงวด

 

หากมองใกล้ๆจะเห็นได้ว่ามือของไอริสนั้นแทบไม่ได้ใช้แรงจับแก้วเลย

 

ไม่เพียงแค่นั้นเธอยังกัดริมฝีปากและพยายามระงับความหงุดหงิดของเธออย่างสิ้นหวัง แสดงให้เห็นว่าเธอหงุดหงิดมากกับพ่อของเธอ

 

 

 

「พี่คะ!」

 

 

 

ทันใดนั้นประตูห้องรับแขกก็เปิดออก และก็มีโซเมียตัวน้อยวิ่งเข้ามาในห้อง

 

โซเมียวิ่งเข้ามาในห้องขณะเธอรีบวิ่งเข้าไปกอดกับไอริส

 

บางทีเธออาจถูกบอกว่าโดนพ่อเธอทิ้งเหมือนกัน

 

โซเมียรีบวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าเศร้าๆ เมื่อเห็นโซเมียที่เข้ามากอดพร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม

(TN: ไอ้พ่อเฮงซวยทำโซเมียร้องไห้ได้ไง)

 

 

 

「โซเมีย……」

 

 

 

「พี่คะ พ่อน่ะ พ่อ……..หนู….หนู……」

 

 

 

ขณะที่ลูบหัวโซเมียที่กำลังร้องไห้และกอดไอริสอยู่ เธอหันไปมองคนที่นั่งอยู่ข้างเตาผิง

 

 

 

「มาดามพัลรีน ดิฉันหลับไปนานแค่ไหนเหรอคะ?」

 

 

 

「ผ่านไปไม่ถึงวันหรอก แต่ว่ามันก็ถึงเวลาที่การเจรจาจะเริ่มขึ้นแล้วล่ะ?」

 

 

 

「งั้นเหรอคะ……」

 

 

 

ไอริสรู้ว่าทำไมพ่อของเธอพยายามยืนกรานในเรื่องนี้ นี่เป็นเพราะตระกูลฟรานซิสกำลังจะเข้าเจรจากับตระกูลวาจาร์ต

 

ภาพของน้องสาวที่กำลังร้องไห้ในอกเธอทำให้เกิดความโกรธที่อธิบายไม่ได้ในอกของไอริส

 

เหตุผลนั้นเธอก็เข้าใจดี เป้าหมายของตระกูลวาจาร์ตคือโซเมียและไอริส

 

นั่นเป็นเหตุผลที่วิคเตอร์พยายามลากพวกเธอออกไปด้วยการขับไล่ออกจากตระกูล

 

 

 

(ไอ้พ่อบ้า ถึงแบบนั้นมันก็โง่เกินไปแล้ว!)

 

 

 

แต่การกระทำนี่เรียกได้ว่าเป็นการทรยศความคาดหวังที่มีต่อตัวไอริสโดยสิ้นเชิง ไอริสกัดฟันแน่นด้วยความโกรธที่ปะทุออกมา เธอลุกขึ้นยืน

 

 

 

「เดี๋ยวก่อนจะไปไหนน่ะ?」

 

 

 

「กลับไปที่คฤหาสน์ ดิฉันเป็นหัวหน้าตระกูลคนถัดไปของตระกูลฟรานซิส และฉันเองก็ปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปไม่ได้」

 

 

 

ขณะที่ไอริสกำลังจะเดินไปที่ประตูห้อง ทันใดนั้นก็มีเงาสองเงาเข้ามาขวางเธอ

 

พวกเธอเป็นเมดสองคนที่ทำหน้าที่เป็นบอดี้การ์ดของมาดามพัลรีน

 

เมดเหล่านี้แสดงทักษะออกมาอย่างชัดเจน คิ้วของไอริสกระตุกเล็กน้อย

 

ไอริสไม่คิดว่าจะแพ้ในแง่การสู้หนึ่งต่อหนึ่ง แต่ตอนนี้เธอทำอะไรไม่ถูก

 

สายตาของไอริสจ้องมองกับเหล่าเมดและบรรยากาศตึงเครียดก็ลอยไปทั่วห้อง

 

 

 

「ฉันปล่อยเธอไปไม่ได้หรอกนะ วิคเตอร์ทิ้งพวกเธอไปแล้ว พวกเธอไม่ใช่คนของตระกูลฟรานซิสอีกแล้ว」

 

 

 

「ไม่ มันไม่สำคัญเลยค่ะ แม้ว่าจะโดนปลดจากการเป็นขุนนาง แต่ฉันก็มีสายเลือดของตระกูลฟรานซิสอยู่ ถ้าเป็นเจ้าหญิงแห่งความตายคนนั้น ก็คงไม่มองข้ามหรอกค่ะ」

 

 

 

「ก็คงจะแบบนั้น นั่นเป็นเหตุผลที่เขาอยู่ที่นั่น รู้ใช่ไหมว่าหมายความว่ายังไง?」

 

 

 

จิตใจของไอริสนั้นได้มีภาพต่างๆเข้ามาในจิตใจ

 

และเมื่อได้รับคำตอบ เธอก็พูดออกมา

 

 

 

「……เห็นแก่ตัวเกินไปค่ะ」

 

 

 

「ใช่ไหมล่ะ บังคับใช้อำนาจและคิดจะจากไปโดยไม่บอกลาพวกเธอแม้แต่น้อย แถมยังบังคับให้ฟังคำขอเห็นแก่ตัวสุดๆ」

 

 

 

แม้จะรู้สึกถึงความโกรธของไอริสแต่มาดามพัลรีนก็ไม่ใส่ใจ

 

อย่างไรก็ตามน้ำเสียงของเธอเศร้าเล็กน้อย

 

 

 

「ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็ไม่อยากให้เธอกลับไปยังคฤหาสน์ฟรานซิส มันน่าหงุดหงิดมาก แต่ว่านี่ก็คงเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว」

 

 

 

มาดามพัลรีนถอนหายใจออกอย่างหนักราวกับสลัดความวุ่นวาย และหันไปมองไอริส

 

แต่ไอริสก็ไม่ยอมถอย

 

แม้ว่าจะโดนปลดจากตระกูลไปแล้ว แต่เธอก็ยังเผชิญหน้ากับมาดามพัลรีนอย่างตรงไปตรงมา

 

 

 

「……คิดจะกักขังดิฉันไว้งั้นเหรอคะ?」

 

 

 

「ใช่ อย่างน้อยก็จนกว่าเรื่องนี้จะจบลง」

 

 

 

ไอริสถอนหายใจออกอย่างหนัก เงยหน้าขึ้นมองเพดานขณะลูบไล่น้องสาวที่กอดเอวเธอ

 

โดนขับไล่และจองจำ แต่ท้ายที่สุดแล้วมันก็ทำเพื่อให้ปกป้องไอริสและโซเมียเท่านั้น

 

ทั้งไอริสและโซเมียเข้าใจทุกอย่าง แต่ไม่ได้โง่พอที่จะไม่สังเกตเห็นสิ่งนั้น

 

แต่มันมีความหงุดหงิดที่พวกพุ่งมาจากตัวของเธอ

 

เธอหมดความอดทนและต้องผิดหวังมาตลอดได้สร้างความขุ่นเคือง ความเจ็บปวดที่เหมือนเข็มหนาๆทิ่มแทงอกของไอริสจนรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่มันแตกออก

 

 

 

(ถึงแบบนั้น ฉันน่ะ……)

 

 

 

ด้วยหัวใจที่กำลังแหลกสลายไอริสหันกลับไปมองมาดามพัลรีน

 

เธอเป็นสตรีชั้นสูงตั้งแต่ไอริสยังเด็กและเธอก็เปรียบเสมือนแม่ของไอริสและโซเมียที่สูญเสียแม่ตั้งแต่ยังเด็ก

 

โดยพื้นฐานแล้วมีความมุ่งมั่นและบางครั้งก็พูดจาขวานผ่าซากไปหน่อย แต่ก็ยังเป็นคนที่เอาใจใส่และห่วงใย

 

ความร้อนเหล่านั้นกลับเข้ามาในจิตใจที่เริ่มสงบ

 

 

 

「……มาดามพัลรีน」

 

 

 

「อะไรเหรอจ้ะ?」

 

 

 

「ขอบคุณที่ฟังเรื่องเห็นแก่ตัวของพ่อฉัน และฉันขอโทษด้วยนะคะ ที่ไม่สามารถปล่อยให้เป็นไปอย่างงี้ได้」

 

 

 

ไอริสเมื่อเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดแล้วก็ได้แต่ทำใจ

 

ขอบคุณและปฏิเสธสิ่งที่เธอคาดหวังเอาไว้ เมื่อตระหนักว่ามันคืออะไร เธอก็ยิ้มอย่างขมขื่น

 

 

 

「ไอริส……」

 

 

 

เสียงที่หนักหน่วงแต่อบอุ่นชวนให้นึกถึง แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้หยุดไอริส

 

แม้ว่าเธอจะเลือกที่ไม่ไปได้ แต่ก็เธอก็ยังฝืนแบกรับ

 

 

 

「จนถึงตอนนี้ดิฉันใช้ชีวิตเพื่อเป็นหัวหน้าตระกูลฟรานซิสมาตลอด เพื่อปกป้องสิ่งสำคัญ นั่นเป็นเหตุผลที่ดิฉันจะไม่ยอมหันหลังหนีมันเด็ดขาด」

 

 

 

ปกป้องสิ่งสำคัญนั่นเป็นเหตุผลที่เธอเริ่มจับดาบ เป็นเหตุผลที่เธอค้นพบตัวเอง เหตุผลที่มีชีวิตอยู่

 

แม้จะเลือกที่ไม่เดินเส้นทางนี้ก็มีชีวิตอยู่ได้ แต่เธอไม่ทำเช่นนั้น

 

 

 

「นอกจากนี้จุดประสงค์ของวิโทร่าไม่ใช่ฉันหรอกค่ะ เป้าหมายคือการจับปลาตัวใหญ่ เพียงแค่ใช้พวกเราเป็นเหยื่อเท่านั้น」

 

 

 

「……เธอเล็งโนโซมุ เบลาตี้ยังงั้นเหรอ?」

 

 

 

「ค่ะ พ่อของฉันและตัวฉันเองไม่มีอะไรไปมากกว่าเป็นเหยื่อให้กับเธอ นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันต้องไป」

 

 

 

「……หมายความว่ายังไง」

 

 

 

「หากจะจับตัวประกัน ก็จำเป็นจะต้องจับเป็นใช่ไหมล่ะคะ」

 

 

 

「ก็น่าจะเป็นแบบนั้นนะ……」

 

 

 

「ก็เพราะแบบนั้นล่ะ แม้จะเป็นสิ่งเดียว เป็นหนทางที่ยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร แต่พ่อของฉันเองก็คงเล็งสิ่งนั้นไว้เหมือนกัน……」

 

 

 

ไอริสยิ้มขณะพูดแบบนั้น

 

มันช่างดูเจิดจรัสเกินไปกับคนที่ดูสิ้นหวัง

 

พัลรีนรู้สึกกังวลต่อใบหน้าของไอริสที่ไร้ซึ่งความกลัว

 

ก่อนที่จะรู้ตัว มือของเธอก็จับชายเสื้ออย่างเป็นธรรมชาติ

 

 

 

「เป็นไปได้ที่ว่าพ่อฉันอาจจะตาย นั่นเป็นเหตุผลที่จะใช้จุดนี้ในการเจรจาต่อรองกับเจ้าหญิงแห่งความตาย เป็นไปไม่ได้หรอกที่จะทำอะไรโดยไม่เสี่ยงชีวิตเลย」

 

 

 

ปกป้องคนที่รัก นั่นคือสิ่งที่เป็นอยู่ในตอนนี้ เธอขัดเกลาตัวเองเพื่อสิ่งนั้น ใช้เวลาทั้งชีวิตในการทำเช่นนี้

 

ไม่มีทางให้ย้อนกลับไปอีกแล้ว นี่คือชีวิตของคนที่ชื่อไอริสดิน่า

 

 

 

「อย่ามาพูดบ้าๆนะ คิดเหรอว่าฉันจะปล่อยคนที่เหมือนกับลูกแท้ๆตัวเองไปตายน่ะ!」

 

 

 

มาดามพัลรีนโกรธจัด เมื่อเห็นไอริสพูดเรื่องแบบนี้ได้หน้าตาเฉย

 

เสียงโกรธดังก้องกังวาลไปทั่วห้อง เข้าใจดีว่าเธอเป็นห่วงไอริสมากแค่ไหน

 

 

 

「เธอถูกเขาทิ้งแล้วนะ ! ตอนนี้เธอเป็นอิสระและควรเป็นตัวของตัวเองได้แล้ว ! จากนั้นก็ใช้ชีวิตอยู่กับชายที่ชอบซะ! นั่นคือสิ่งที่พ่อของเธอต้องการนะ!」

 

 

 

เธอบอกว่าให้ทิ้งเกียรติยศในฐานะตระกูลฟรานซิสทิ้งไปแล้วกลับไปใช้ชีวิตอยู่ตามใจตัวเอง

 

แต่ว่าเมื่อได้ยินเสียงเศร้าๆของเธอ ไอริสก็ได้แต่ยิ้มออกมา

 

 

 

「ถ้าอย่างงั้นก็ช่วยไม่ได้……」

 

 

 

มาดามพัลรีนยกมือขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

วินาทีถัดมาเมดก็เริ่มขยับตัว

 

ในทันทีพวกเธอรวบรวมพลังและพร้อมจะเข้าโจมตีไอริสจากทั้งสองด้าน

 

พวกเธอที่ถูกจองจำอยู่ในตอนนี้จะถูกพาออกนอกอาคาร์ซัมโดยตรง

 

จังหวะการควบคุมพลังและการซ่อนตัวของพวกเธอนั้นเรียกได้ว่าอยู่ในแรงค์ A ได้เลย

 

 

 

「ท่านไอริสฉันขอโทษนะ…….อะไรนะ?」

 

 

 

「อั่ก!」

 

 

 

อย่างไรก็ตามสถานการณ์พลิกกลับอย่างรวดเร็ว

 

เมดทั้งสองที่กำลังแยกกันเข้าโจมตีก็ถูกซัดมารวมกันที่ตรงกลาง

 

ร่างของพวกเธอล้มลงกับพื้นและพันกัน ไอริสปล่อยเวทย์พันธนาการใส่พวกเธอ

 

โซ่สีเข้มโผล่ออกมาจากพื้นและจองจำร่างของทั้งสองเอาไว้อย่างสมบูรณ์

 

 

 

「นี่มัน……」

 

 

 

เสียงตกตะลึงของมาดามพัลรีนดังก้องไปทั่ว หากมองใกล้ๆแล้วนอกจากโซ่สีเข้มแล้วยังมีพลังงานสีดำพันอยู่รอบร่างกายด้วย

 

 

 

「ก็รู้อยู่แล้วค่ะว่าพยายามจะหยุดฉันแน่ๆ ดังนั้นก็เลยได้ร่ายเวทย์ไว้ล่วงหน้าแล้ว」

 

 

 

เมื่อพูดเช่นนั้นไอริสก็สร้างเชือกพลังงานสีดำที่ทำจากพลังเวทย์และเล่นกับมัน

 

“ด้ายแมงมุมดำ”

 

เวทย์ที่ใช้สร้างด้ายพลังเวทย์ที่มีความแข็งแรงและทนทานเป็นพิเศษ

 

ไอริสแอบปรับให้มันมีความหนืดและความยืดหยุ่นได้ตามต้องการเพื่อทรมานอีกฝ่ายได้

 

ความตีงที่รัดแน่นชุดเมดเหล่านั้นทำให้พวกเธอต้องครางออกมา

 

เธอคาดการณ์ไว้ล่วงหน้ายังไงเธอก็ต้องโดนทั้งสองคนเข้าจู่โจมเลยเตรียมเวทย์ไว้ล่วงหน้า

 

ความจริงที่ว่าทั้งสองคนที่มีฝีมือดีถูกยับยั้งได้ง่ายๆทำให้มาดามพัลรีนอ้าปากค้าง

 

 

 

「ก็เพราะแบบนี้แหละค่ะ เรื่องวุ่นๆจะได้จบลงสักที」

 

 

 

ไอริสยิ้มอย่างภาคภูมิใจขณะที่เธอเล่นกับเชือกสีดำและมองมาดามพัลรีน

 

 

 

「แท้จริงแล้ว ดิฉันรักเขาค่ะ ฉันน่ะอยากจะขอบคุณทั้งพ่อและท่านพัลรีนที่เข้าใจความรู้สึกของฉัน」

 

 

 

「……ท่านเหรอ」

 

 

 

「ดิฉันอยากจะอยู่เคียงข้างเขา ฉันจะรอดกลับมาให้ได้ ฉันไม่ได้คิดจะไปตายหรอกนะคะ ตั้งแต่วินาทีนี้ดิฉันตัดสินใจใช้ชีวิตในฐานะหัวหน้าตระกูลฟรานซิส แต่ขุนนางจะแต่งงานกับสามัญชนมันก็ทำไม่ได้ใช่ไหมล่ะคะ」

 

 

 

นั่นคือความตั้งใจจริงของไอริส

 

จนถึงตอนนี้เธอต้องเก็บงำความรู้สึกมาตลอดในฐานะหัวหน้าตระกูลคนถัดไป

 

 

 

「แม้ว่าจะไม่มีพื้นที่สำหรับฉันให้เคียงข้างเขา แต่ฉันก็มีความสุขที่ครั้งหนึ่งเคยได้รักเขาค่ะ ความรู้สึกพ่ายแพ้ให้กับความรักครั้งนี้ดิฉันจะไม่มีทางลืมมันเด็ดขาด」

 

 

 

ไอริสบอกความรู้สึกของเธอทั้งหมดออกไป  

 

เธอนั้นหลงใหลในความรักของตัวเอง เธอก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่อยากประสบความสำเร็จเรื่องความรัก

 

 

 

「แต่ว่าในฐานะของฉันแล้ว ฉันไม่เหมือนกับเขา ตัวฉันนั้นอ่อนแอค่ะ」

 

 

 

ตัวเธอสั่นคลอนด้วยความอิจฉาริษยาและความที่ด้อยกว่าอีกฝ่าย ถึงกระนั้นเธอก็ไม่เคยคิดจะบิดเบือนความเป็นตัวเอง

 

 

 

「ดิฉันคือคนของตระกูลฟรานซิส ฉันต้องทำเพื่อครอบครัวของตัวเอง และต่อให้ฉันจะคิดถึงเขามากแค่ไหน….ฉันก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปเคียงข้างเขา ฉันต้องเลือกที่จะทิ้งสิ่งใดสิ่งหนึ่งค่ะ」

 

 

 

เธอนั้นต้องเลือกระหว่างครอบครัวหรือคนรัก ตัวเธอนั้นสั่นคลอนเพราะเรื่องนี้มาตลอด

 

 

 

「ท่านพัลรีน ที่ท่านมาได้ไกลขนาดนี้เพราะท่านยังคงเป็นตัวของตัวเอง อดีตหัวหน้าตระกูลพัลรีนที่เห็นท่านเป็นครั้งแรก ก็นึกถึงตัวท่านที่เป็นเช่นนั้น และเมื่อเขาจากไป ท่านก็ตัดสินใจจะแบกทุกสิ่งไว้ด้วยตัวเอง……」

 

 

 

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นเธอก็พูดอะไรไม่ออก

 

ท้ายที่สุดแล้วพวกเธอสองคนก็เหมือนกัน

 

 

 

「เช่นเดียวกับฉัน ฉันจะไม่ยอมให้ตระกูลนี้ต้องจบลง」

 

 

 

ไอริสเดินเข้ามาหาเธอและเอื้อมมือหยิบดาบแสนรัก

 

ไม่มีท่าทีต่อต้าน ดาบที่ถูกจับไว้ได้กลับไปหาเจ้าของ และมือของมาดามพัลรีนก็ห้อยลงราวกับหมดเรี่ยวแรง

 

 

 

「พี่คะ หนูเองก็จะไปด้วย」

 

 

 

โซเมียซึ่งเงียบมาจนถึงตอนนี้บอกพี่สาวของเธอ

 

 

 

「โซเมียแต่ว่า……」

 

 

 

เธอต้องอยู่ที่นี่ เธอหันไปหาน้องสาวของเธอเพื่อจะพูดแบบนั้น แต่ก็ต้องตกตะลึงที่น้องสาวของเธอตัดสินใจเช่นเดียวกับเธอ

 

 

 

「หนูได้รับการปกป้องอยู่ตลอด จากท่านพ่อ จากพี่สาว แม้กระทั่งจากคุณโนโซมุ……」

 

 

 

เธอมักจะได้รับการปกป้องอยู่เสมอ

 

สิ่งนี้ทำให้เธอมีความสุข แต่มันก็เป็นแผลใจให้กับโซเมียด้วย

 

เธอที่อยากเป็นเหมือนพี่สาว ในแง่หนึ่งเธอเองก็อยากจะแข็งแกร่งขึ้น ถึงกระนั้นเธอก็เติบโตมาในฐานะผู้หญิงที่งดงามคนหนึ่งที่มีความซื่อตรงใสซื่อบริสุทธิ์ เพียงเพราะเธอได้รับความรักจากคนรอบข้างอย่างเพียงพอทำให้แผลใจของเธอค่อยๆหายไป

 

 

 

「หนูเกลียดตัวเองที่พอถึงเวลาก็ทำอะไรไม่ได้อยู่เสมอ แม้กระทั่งตอนนี้หนูเองก็ไม่รู้ว่าควรจะทำยังไง……」

 

 

 

โซเมียรู้ว่าเธอใช้ชีวิตมามีความสุขมากกว่าใครๆ ในขณะเดียวกันเธอก็รู้สึกว่าตัวเองไร้ซึ่งพลัง

 

เธอไม่มีพรสวรรค์เฉกเช่นพี่สาวที่ถูกเคารพนับถือ ความสามารถในฐานะจอมเวทย์ของเธอเองก็ไม่ได้โดดเด่นแต่อย่างใด

 

 

 

「แต่ หนูเองก็เป็นลูกสาวของตระกูลฟรานซิสเช่นกัน ไม่ได้อยากถูกปกป้องอยู่ฝ่ายเดียว หนูจะต้องก้าวไปข้างหน้าและปกป้องทุกคนในครอบครัว!」

 

 

 

แต่จิตใจของเธอไม่เหมือนผู้ใด

 

แม้ว่าจะไม่ได้แข็งแกร่งดุจนักรบ แต่เธอก็มีจิตใจงดงามเหมือนผู้กล้า

 

น้องสาวที่กล้าเผชิญหน้ากับความกลัวโดยไม่หวั่นเกรง ทำให้ไอริสรับรู้ความตั้งใจของเธอ

 

 

 

(อ่า เธอเติบโตขึ้นมากเลยนะ……)

 

 

 

ในใจของไอริสได้นึกย้อนไปถึงโซเมียในวัยเด็ด

 

ชีวิตที่เกิดจากความตายของท่านแม่ เสียงร้องไห้เล็กๆแต่ทรงพลังที่ทำให้เธอเลือกทางเดินของชีวิต

 

น้องสาวของฉันที่สาบานว่าจะปกป้องไปตลอดชีวิต แต่เธอเองก็เติบโตขึ้นเหมือนกัน

 

 

 

「เอาล่ะ ถ้างั้นก็ไปด้วยกันเถอะโซเมีย」

 

 

 

「ค่ะ!」

 

 

 

น้องสาวพยักหน้าตอบรับและไอริสก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย

 

เมื่อมองไปที่มาดามพัลรีนที่หายใจออกราวกับครุ่นคิดเธอชี้ไปที่ประตูห้อง

 

 

 

「รถม้าจอดอยู่ด้านหน้า เดิมทีก็เตรียมไว้เพื่อพาเธอออกจากที่นี่ ใช้มันซะสิ」

 

 

 

「ขอบคุณมากนะคะ……」

 

 

 

พี่สาวและน้องสาววิ่งออกไปจากห้อง เมื่อเธอมองส่ง ก็ถอนหายใจและเงยหน้ามองท้องฟ้า

 

เมื่อพวกเธอทั้งสองหายไปหลังประตู เวทย์ที่พันธนาการก็พังทลายลง

 

เมดทั้งสองคนที่ไม่สามารถทำตามคำสั่งได้ ได้แต่กัดริมฝีปากและโค้งคำนับถึงความอ่อนแอของตัวเอง

 

 

 

「ขอโทษด้วยนะคะนายท่าน」

 

 

 

「ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร พอเถอะ……」

 

 

 

สำหรับเธอแล้วไอริสและโซเมียเปรียบเสมือนลูกสาว

 

ดังนั้นเธออยากจะปกป้อง เธอรู้ว่าตัวเองควรจะปกป้อง

 

แต่ทั้งสองคนนั้นไม่ต้องการให้ใครมาปกป้องพวกเธออีกแล้ว

 

 

 

「ขณะนี้เองพวกเธอก็เติบโตเป็นผู้หญิงที่ดี พอไม่ได้เจอหน้ากันเพียงชั่วครู่ ก็เติบโตกันเร็วเหลือเกินนะเด็กสมัยนี้」

 

 

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับไอริส แม้เธอจะมีส่วนที่เปราะบาง แต่สำหรับเธอก็มีด้านที่อันตรายที่ซ่อนไว้ไม่ให้ใครเห็น

 

แต่พวกเธอก็ไม่ใช่เด็กสาวที่เธอรู้จักอีกต่อไปแล้ว

 

เมื่อเติบโตขึ้นในฐานะผู้หญิงและในฐานะมนุษย์ก็ต้องตัดสินใจเลือกทางเดินด้วยตัวเอง

 

ด้วยความคิดที่ว่า “เพื่อคนที่รัก” ในใจ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยโอบกอดตัวฉันและพาไปยังที่ไกลแสนไกล

 

 

 

「จากนั้นมีเพียงสิ่งเดียวที่ฉันจะทำได้ ฉันแค่ต้องกำจัดความกังวลให้เหล่าเด็กๆ แม้ว่าจะทำได้ไม่มาก…..รู้ใช่ไหมว่าฉันหมายความว่ายังไง ไปติดต่อ โนโซมุ กับ จิฮัด ซะ」

 

 

 

「「รับทราบค่ะ……」」

 

 

 

ในขณะเดียวกันก็หมายความว่าพวกเธอไม่ได้รับการคุ้มครองจากเหล่าผู้ใหญ่อีกต่อไปแล้ว เพราะงั้นไม่มีอะไรที่จะต้องพูดอีก

 

เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างที่รถม้าวิ่งไปยังคฤหาสน์ เธอก็เริ่มเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ทั้งที่ในอกเต็มไปด้วยความสุขและความเหงา

 

เพื่อเชื่อมต่อเส้นทางของเหล่าเด็กๆสู่อนาคต

 

เหลือ 8 ตอนสุดท้าย จะลงวันละตอนน่าจะจบภายในเดือนหน้า แต่ก็ยังจบในปีนี้ล่ะนะ จบมาเกือบปี งานไม่มีทำ เฮ้อ พยายามแปลแบบไม่ฝืนตัวเองล่ะกัน ถึงจะไม่มีกินก็เถอะนะช่วงนี้ ฮ่าๆ

 

ระบายเล็กน้อย

ไปหาหมอมาแล้วล่ะนะ หมอบอกความเครียดสะสม ภาวะซึมเศร้าก็รุนแรงขึ้น หมอบอกว่าอย่าเก็บเรื่องเล็กๆมาคิดเล็กคิดน้อยให้ปวดหัว

ให้ปล่อยวางบ้างกับบางเรื่อง พยายามทำสมองให้โล่ง และก็ได้ยามาเพิ่ม ส่วนเรื่องอาการของผู้พิการ (ออทิสติก) หมอก็บอกว่าดีขึ้นมากแล้ว

ตอนนี้ก็เหมือนกับคนปกติธรรมดา เพียงแค่ว่ามีภาวะซึ่มเศร้า กับความเครียดสะสม เท่านั้น

 

สนับสนุนผู้แปลได้ที่ QR Code ข้างล่าง หรือเลขบัญชี108-0-77984-1 กรุงไทย ครับ

 

ลงให้อ่านแค่สองที่เท่านั้นคือ Goshujin.tk กับ Nekopost อ่านจากที่อื่นไม่มีภาพประกอบเพราะโดดดูดไปลงนั่นเอง

[นิยายแปล]โซ่ผนึก “หัวใจ” สายใยผนึก “มังกร”

[นิยายแปล]โซ่ผนึก “หัวใจ” สายใยผนึก “มังกร”

Score 10
Status: Completed
สถาบันโซลมินาติ เป็นสถานที่รวมตัวของเหล่าคนหนุ่มสาวที่มีควาฝันทะเยอทะยานมากมาย มีชายคนหนึ่งที่เข้ามาเรียนที่นี่เพื่อสนับสนุนความฝันของคนรัก อย่างไรก็ตาม ความสามารถของชายคนนั้นที่ไม่มีดีด้านไหนเลย ก็ถูกผู้คนต่างกลั่นแกล้ง คนรักก็ทอดทิ้ง ความหวังในชีวิตต่างสูญหาย ช่วงเวลาแห่งชีวิตมาถึงจุดเปลี่ยน ยังไงก็ตามเขาพบกับหญิงชราผู้หนึ่งที่จะคอยเปลี่ยนแปลงเขาไปตลอดการ นี่คือเรื่องราวของชายผู้ที่ถูกทอดทิ้งจะกลับมาลุกขึ้นสู้อีกครั้ง

Options

not work with dark mode
Reset