[นิยายแปล]โซ่ผนึก “หัวใจ” สายใยผนึก “มังกร” 170 บทที่ 8 27

ตอนที่ 170 บทที่ 8 ตอนที่ 27

บทที่ 8 ตอนที่ 27

ณ ช่วงเช้าตรู่ สองวันหลังจากที่ไอริสถูกพ่อบอกเรื่องข้อตกลงระหว่างตระกูล เธอเดินทางไปสถาบันตัวคนเดียว

 

เมื่อรวมกับท่าทางอันสง่างามอันเป็นทุนเดิมของเธอก็มักจะสดใส แต่ ณ ตอนนี้บรรยากาศรอบตัวเธอมีบรรยากาศที่หนาวเย็นเหมือนทุ่งน้ำแข็ง

 

คนที่สัญจรไปมาระหว่างไอริสก็รีบเดินห่างจากเธออย่างรวดเร็วเพราะว่าน่ากลัว

 

เมื่อเห็นปฏิกิริยาหวาดกลัวของคนรอบข้างไอริสถอนหายใจ

 

 

 

“แบบนี้ไม่ดีเลย สีหน้าของฉันนี่มันดูออกง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ……”

 

 

 

เมื่อตระหนักได้ว่าอารมณ์ของเธอแสดงออกมาทางสีหน้าเธอหายใจเข้าลึกๆสองสามครั้งเพื่อสงบความโกรธ

 

ทีละเล็กทีละน้อยค่อยๆระงับความโกรธที่มีอยู่ในใจให้ดับลง

 

ในขณะเดียวกันไอริสก็ปิดกั้นหัวใจเพื่อไม่ให้อารมณ์ครอบงำตัวเธอ

 

เธอเองก็คุ้นเคยกับการควบคุมอารมณ์ หากอาศัยอยู่ในสังคมขุนนาง ก็มักจะต้องสวมหน้ากากไม่เผยใจจริงออกมา

 

เมื่อตระหนักถึงจิตใจที่เย็นชาของตัวเองไอริสจึงคิดสิ่งที่รออยู่ข้างหน้า

 

 

 

“เหตุผลที่พ่อให้ฉันพยายามมาที่สถาบันก็เพราะจะให้โนโซมุมาอยู่ในกำมือของฉันในกรณีฉุกเฉิน จะให้ถูกผู้หญิงคนนั้นชิงตัวไปก่อนไม่ได้……”

 

 

 

เมื่อได้เห็นสภาพของโนโซมุที่โกรธจัดจนเลือดขึ้นหน้าเผลอปล่อยจิตสังหารใส่ทุกคนก็ทำให้ไอริสเข้าใจได้ว่า สถานการณ์ปัจจุบันอันตรายพอๆกัน

 

เหนือสิ่งอื่นใด ไอริสเป็นหนี้บุญคุณโนโซมุที่ไม่มีวันชำระได้

 

ไอริสยังไม่สามารถตอบแทนเขาได้มากพอกับการที่เขาช่วยเหลือน้องสาวของเธอ

 

การใช้เขาเป็นเหยื่อล่อในสถานการณ์แบบนี้ไอริสไม่อยากจะยอมรับ

 

เหนือสิ่งอื่นใดความรู้สึกของเธอเองทำให้เธอปฏิเสธที่จะส่งตัวโนโซมุให้เจ้าหญิงแวมไพร์

 

อย่างไรก็ตามความรู้สึกส่วนตัวไม่สามารถมาปนกับเรื่องภาระของตระกูลที่ต้องแบกรับเอาไว้ได้ เธอต้องทำเช่นนั้นเพื่อปกป้องโซเมีย

 

ความรู้สึกและความคิดที่สวนทางกันขณะที่เธอยังคงตั้งคำถามไม่รู้จบ ไอริสพยายามส่ายหัวเพื่อเลิกคิด

 

การเจรจาขั้นตอนสุดท้ายยังไม่เริ่ม

 

แน่นอนว่าหากการเจรจาประสบความสำเร็จความกลัวของไอริสจะหายไป แต่เธอไม่อยากจะเชื่อว่าหัวหน้าตระกูลวาจาร์ตจะโผล่มาในวินาทีสุดท้าย

 

วิคเตอร์คิดแบบเดียวกับไอริสและนั่นเป็นเหตุผลที่ว่าจึงให้ไอริสมาที่สถาบัน

 

 

 

“แต่ฉันควรจะทำยังไงดี จักรวรรดิดิซาร์ตเองก็ไม่มีความสัมพันธ์กับประเทศอื่น ความสัมพันธ์ของฉันกับตระกูลฟรานซิสยังถูกมองว่าเป็นสิ่งไร้ค่าเลย”

 

 

 

ไม่ว่าจะเจรจากับใครหากไม่ได้มีความสัมพันธ์กันในระดับหนึ่งก็ไม่สามารถใช้ความสัมพันธ์หรือความเกี่ยวข้องโน้มน้าวหรือบังคับอีกฝ่ายได้ ในกรณีของการสร้างพันธมิตรในครั้งนี้ไม่มีอะไรที่มาใช้ต่อรองเพื่อเพิ่มความได้เปรียบได้เลย

 

 

 

“ในตอนแรกเหตุผลที่พ่อส่งเสริมก็เพื่อการค้ากับตระกูลวาจาร์ต……”

 

 

 

วิคเตอร์กล่าวไว้ว่าไม่อยากจะทิ้งความอัปยศที่ถูกสร้างขึ้นเอาไว้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปไอริสก็ได้ทราบจากคนรู้จักของเธอว่าการดำเนินไปตามแผนการนั้นไม่ค่อยราบรื่น

 

 

 

“ความขัดแย้งระหว่างฝ่ายในจักรวรรดิเคร์มาโซน และความกลัวกับอำนาจการขยายตัวทางทหาร……”

 

 

 

จักรวรรดิเคร์มาโซนตกอยู่ในความวุ่นวายเนื่องจากความขัดแย้งระหว่างฝ่าย ฝ่ายหนึ่งคือฝ่ายวิทุน ได้กวาดล้างสมาชิกคนสำคัญของฝ่ายคู่แข่ง และดูเหมือนว่าความวุ่นวายภายในจะยุติลงแล้วในขณะนี้

 

ด้วยเหตุนี้ ประเทศที่มีพรมแดนติดกับจักรวรรดิจึงกังวลว่าสายตาของจักรวรรดิจะหันเข้าสู่โลกภายนอก

 

ยิ่งไปกว่านั้นดูเหมือนจะมีความไม่พอใจจากฝ่ายวิทุนที่เป็นฝ่ายชนะในจักรวรรดิและกระตุ้นความตื่นตัวของประเทศต่างๆ

 

ปัจจุบันอำนาจของจักรวรรดิเคร์มาโซนและอาณาจักรฟอร์ซิน่าตลอดจนความสมดุลของประเทศฟอร์ซิน่า

 

อย่างไรก็ตาม เดิมทีจักรวรรดิมีศักยภาพมหาศาลในแง่ของทรัพยากรและประชากร

 

หากเป็นเช่นนั้น มันอาจเปลี่ยนแปลงอำนาจของทวีปได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเชื่อว่าระดับหัวกะทิจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

 

 

 

“ดังนั้นแม้พ่อและราชาจะตัดสินใจสร้างความสัมพันธ์ทางการฑูตกับจักรวรรดิดิซาร์ต……”

 

 

 

ในท้ายที่สุดสาระสำคัญของการเจรจาไม่ใช่ความมั่นคงเพื่อคลามปลอดภัยที่มากขึ้น แต่เป็นความปลอดภัยเพื่อหลีกเลี่ยงวิกฤตที่เข้ามา

 

แม้จะใช้คำว่า “ความปลอดภัย” แต่มันมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

 

ด้วยความที่เรื่องมันไปไวไอริสไม่สามารถเคลื่อนไหวด้วยตัวเองได้

 

 

 

“หากนึกถึงแต่ประเทศโดยไม่สร้างความสัมพันธ์กับจักรพรรดิของดิซาร์ตการแข่งขันกับจักรวรรดิมันก็ขึ้นอยู่กับว่าจะล่มสลายภายในเวลาไม่กี่ปี แต่ไม่คิดว่าวิโทล่าจะยอมทำตามข้อตกลงแต่โดยดี……”

 

 

 

เมื่อนึกถึงภาพตอนวิโทล่าโผล่มาไอริสก็เกือบจะหมดสติ

 

แม้ว่าเธอจะเป็นที่สนใจต่อสาธารณชน รวมทั้งขุนนางระดับสูง แต่เธอก็ทำเป็นเหมือนมองไม่เห็นพวกเขาเลย และเธอจะไม่พูดคุยกับคนที่เธอไม่สนใจด้วย การกระทำของเธอนั้นเรียกว่าไม่ไว้หน้าพวกขุนนางเลยก็ว่าได้ ทำตามใจฉบับผู้แข็งแกร่ง

 

 

 

“ยังไงก็ไม่สามารถให้โซเมียและโนโซมุเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเจรจาในครั้งนี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็จะต้องจบเงื่อนไขการเจรจาโดยไม่มีทั้งสองมาเกี่ยวข้อง……”

 

 

 

เป็นเรื่องง่ายที่จะจินตนาการหากว่าการเจรจาล้มเหลว ไอริสจะต้องสัมผัสกับความเจ็บปวดจากการที่เสียคนที่รักหรือน้องสาวที่รัก หรือทั้งสองอย่าง

 

คำสาบานที่เธอให้ไว้เมื่อเธอยังเป็นเด็กเพื่อปกป้องครอบครัวความปรารถนาของเธอในฐานะผู้หญิงและความรู้สึกในหน้าที่ของขุนนางเข้าปะทะกันอย่างรุนแรงที่ส่วนลึกของหน้าอก ราวกับว่าเข็มนับพันทิ่มแทงในใจเธอ

 

 

 

“ไม่มีสิ่งที่เรียกว่างดงามหากไม่มีการเสียสละ ต้องมีบางอย่าง หรือบางสิ่ง……”

 

 

 

การเจรจารอบสุดท้ายยังไม่เริ่มขึ้น

 

เมื่อยกตัวอย่างเหล่านั้น ไอริส พยายามขจัดความหงุดหงิดในใจและความหมองคล่ำบนหน้าเธอ

 

รู้สึกเหมือนกำลังค้นหาดอกไม้ในป่าที่มืดทึบ

 

 

 

「อรุณสวัสดิ์ ไอ」

 

 

 

เสียงเรียกอันอ่อนโยนดังก้องขึ้นมาขัดจังหวะ

 

หากเงยหน้าก็จะเห็นทิม่าสวมชุดนักเรียน

 

ข้างหลังเธอมีเพื่อนๆของเธอซึ่งรวมถึงโนโซมุ

 

อาจเป็นเพราะคิดถึงโนโซมุมาสักระยะหนึ่ง ทันทีที่ไอริสเห็นคนรักของเธอในสายตาหัวใจของเธอซึ่งควรจะไม่มีอารมณ์มาปะปนกลับสั่นสะเทือนไปด้วยความเจ็บปวดและความเร่าร้อนที่ผุดขึ้น

 

 

 

「อรุณสวัสดิ์ ไอริส」

 

 

 

「อ่า อรุณสวัสดิ์ค่ะ」

 

 

 

พยายามกลั้นหัวใจที่คลั่งรัก ไอริสพยายามทำให้น้ำเสียงของเธอนั้นนิ่งเฉย

 

สายตาของโนโซมุพยายามมองไปทางด้านข้างของไอริส เมื่อเขาเดินผ่านก็พยายามมองหาโซเมีย แต่วันนี้ก็ไม่เจอเด็กสาวตัวน้อยที่เป็นเหมือนนางฟ้าอีกแล้ว

 

 

 

「โซเมียจังอยู่ไหนเหรอครับ?」

 

 

 

「เอ่อ วันนี้เธอลาหยุดค่ะ โซเมียตกเป็นเป้าหมายของตระกูลวาจาร์ต ดังนั้นพวกเราเลยให้เธออยู่ในคฤหาสน์จนกว่าเหตุการณ์จะสงบลง」

 

 

 

「งั้นเหรอ……」

 

 

 

วิคเตอร์ให้โซเมียหยุดอยู่ที่คฤหาสน์จนกว่าการเจรจาจะสิ้นสุดลง

 

โนโซมุที่สัมผัสได้ถึงสถานการณ์เนื่องจากคำพูดที่ดูไม่ใส่ใจอะไรก็ทำได้แต่เงียบลงไม่กล้าต่อบทสนทนา

 

ความเงียบกลืนกินทั้งสองคน

 

ทั้งโนโซมุและไอริสรู้สึกราวกับเจอหุบเขาไร้ก้นบึ้งอยู่ระหว่างทั้งสองคน

 

 

 

「รีบไปกันเถอะค่ะ เดี๋ยวจะสายเอา」

 

 

 

ด้วยคำพูดของไอริสทำให้ทุกคนต่างมุ่งหน้าไปยังสถาบัน

 

โนโซมุและไอริสเดินเคียงข้างกันตามด้วยซีน่า มิมูรุ ทิม่า มาร์ และฟีโอที่ตามหลัง

 

ขณะที่เดินไปตามถนนหลักไปยังสถาบัน โนโซมุถามคำถามตรงๆกับไอริส

 

 

 

「ไอริส เรื่องการเจรจากับตระกูลวาจาร์ต คือไอริสจะรับมือกับการเจรจากับแวมไพร์ยังไงเหรอครับ?」

 

 

 

สิ่งที่โนโซมุหงุดหงิดที่สุดคือสี่ขุนนางใหญ่ที่มาสร้างความสัมพันธ์ทางการฑูตกับแวมไพร์ได้จริงหรือ

 

 

 

「ในความเป็นจริงหัวหน้าตระกูลในอดีตได้ทำข้อตกลงกันหลายกว่าร้อยปีแล้ว แต่ตอนนี้อาจจะเป็นไปไม่ได้……นั่นคือสิ่งที่ฉันรู้ค่ะ」

 

 

 

ในทางกลับกันไอริสตอบโนโซมุด้วยน้ำเสียงสั่นเล็กน้อย

 

ขณะที่โนโซมุและคนอื่นๆมีสีหน้างงๆไอริสเริ่มพูดถึงสถานะของแวมไพร์พร้อมกับตั้งคำถาม

 

 

 

「โนโซมุและคนอื่นๆคิดว่าลักษณะของแวมไพร์ส่วนใหญ่เป็นยังไง?」

 

 

 

「เอ่อปกติก็ดูดเลือด? และเป็นเผ่าพันธ์ุที่ทรงพลังที่สามารถเปลี่ยนร่างกายให้เป็นค้างคาวและมีความสามารถในการฟื้นฟูและพลังเวทย์เยอะ?」

 

 

 

「นอกจากนี้ยังสามารถทำให้คนกลายเป็นพวกได้ด้วย」

 

 

 

「นั่นสินะคะ พูดแบบนั้นก็คือลักษณะทั่วไปของแวมไพร์ส่วนใหญ่」

 

 

 

ไอริสพยักหน้าเงียบๆเพื่อยืนยันสิ่งที่มาร์และคนทางด้านหลังพูด

 

แวมไพร์นั้นมีประวัติที่น่ากลัว สามารถเปลี่ยนมนุษย์ให้กลายเป็นทาสได้

 

เพราะฉะนั้นตัวตนนี้จึงไม่ได้รับการยอมรับจากมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นประเทศไหนก็ไม่มีใครยอมรับในทวีปอาร์คมีล

 

ในความเป็นจริง ยังมีเรื่องราวในหมู่บ้านและเมืองต่างๆทั่วโลกที่มนุษย์ถูกแปรเปลี่ยนให้เป็นแวมไพร์ และพวกนักบุญที่กำจัดแวมไพร์

 

 

 

「……แล้วเคยเจอแวมไพร์คนอื่นๆนอกจากตระกูลวาจาร์ตไหมคะ?」

 

 

 

「เอ่อ ไม่เลย……」

 

 

 

คำตอบของโนโซมุทำให้ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยยกเว้นไอริส

 

มาร์ซึ่งเดิมอาศัยอยู่ในหมู่บ้านแถวชานเมืองเหมือนโนโซมุและซีน่าที่รอดพ้นจากการรุกรานครั้งใหญ่ และแม้แต่เผ่ามนุษย์สัตว์อย่างมิมูรุและฟีโอก็ไม่มีใครเคยเจอแวมไพร์

 

 

 

「ก็คงจะแบบนั้นล่ะ มีคนน้อยมากที่ได้พบกับแวมไพร์จริงๆมันไม่ควรจะเป็นเช่นนั้นเลยใช่ไหมล่ะ ท้ายที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งจักรวรรรดิดิซาร์ตแวมไพร์ส่วนใหญ่ก็หายไป

 

นอกจากนี้เหตุผลหลักๆที่ทำให้แวมไพร์โดนรังเกียจเพราะชอบ”ดูดเลือดและเปลี่ยนคนเป็นพวกเดียวกัน”อย่างไรก็ตาม การศึกษาของอาคาร์ซัมนั้นวิจัยให้เห็นแล้วว่าพวกเขาไม่ได้โดนรังเกียจ หรือ กีดกัน」

 

 

 

「……เอ๋?」

 

 

 

「การวิจัยเรื่องนั้นได้ถูกตีพิมพ์เอาไว้ว่าแวมไพร์ไม่ได้จงใจทำให้ผู้คนกลายเป็นพวกและทฤษฏีที่จะแปรเปลี่ยนให้กลายเป็นพวกก็โดนหักล้างไปด้วย」

 

 

 

ข้อเท็จจริงที่ว่าแวมไพร์ไม่สามารถทำให้มนุษย์กลายเป็นแวมไพร์ได้นั้นน่าตกใจ

 

ถ้าเป็นเช่นนั้น นั่นหมายความว่านิทานเก่าแก่นั้นต่างจากข้อเท็จจริง

 

 

 

「แต่ว่ามันก็มีในห้องสมุดนะเกี่ยวกับเรื่องนั้น……」

 

 

 

ในขณะเดียวกันทอมก็ตั้งคำถาม

 

เขามักจะค้นคว้าข้อมูลในห้องสมุดและแหล่งข้อมูลอื่นๆรวมถึงคำอธิบายเกี่ยวกับแวมไพร์

 

และหนังสือเล่มนั้นเมื่อพูดถึงแวมไพร์ พวกเขาจะเปลี่ยนใครก็ตามที่ดูดเลือดให้กลายเป็นแวมไพร์

 

 

 

「นั่นมันก็แค่ข้อมูลเก่าๆที่หลายๆประเทศได้รวบรวมกันมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเอกสารล่าสุดนั้นจะถูกแยกออกจากห้องสมุดจึงไม่ค่อยได้มีการอัพเดทฐานข้อมูล ส่วนใหญ่จะอยู่ที่สถานวิจัยมากกว่า」

 

 

 

อย่างไรก็ตาม ไอริส ปฏิเสธคำพูดของทอมอย่างตรงไปตรงมา

 

อาคาร์ซัมเป็นที่ตั้งของสถาบันวิจัยชั้นนำในทวีปอาร์คมีล นั่นคือสถาบันกลอว์รัม

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการวิจัยล่าสุดวิจัยอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นในบางกรณี ข้อมูลส่วนใหญ่จะไม่ได้เอามาไว้ที่ห้องสมุดแต่เก็บไว้ที่สถาบัน

 

 

 

「ดังที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้นับตั้งแต่การก่อตั้งจักรวรรดิดิซาร์ต แวมไพร์นั้นเก็บตัวอยู่ในดินแดนดังนั้นงานวิจัยจึงไม่คืบหน้า และข้อมูลเหล่านั้นก็ไม่ค่อยได้อัพเดทจึงไม่มีความน่าเชือถือ」

 

 

 

ห้องสมุดของสถาบันที่รวบรวมจากหลากหลายประเทศ แต่ตามที่ไอริสกล่าวมันเป็นข้อมูลที่ไม่แน่นอน

 

 

 

「ในตอนแรกเลือดนั้นเป็นอาหารหลักของพวกเขา แต่ถ้ากลายเป็นแวมไพร์ทุกครั้งที่ดูดเลือดในที่สุดก็จะไม่มีเลือดให้บริโภค?」

 

 

 

คำพูดของไอริสทำให้ทุกคนที่อยู่ในนั้นเชื่อมั่น

 

หากทุกครั้งที่ดูดเลือดและทำให้อีกฝ่ายเป็นแวมไพร์ ในที่สุด แวมไพร์ก็จะไม่มีอะไรให้กินและจะสูญพันธุ์ไป

 

 

 

「กล่าวอีกนัยหนึ่ง จะกลายเป็นแวมไพร์หรือไม่นั้นสามารถระบุได้ระดับหนึ่ง?」

 

 

 

「เข้าใจแล้ว การทำให้คนเป็นแวมไพร์นั้นเข้าใจได้ นั่นเป็นเหตุผลที่ทั้งพ่อและราชาสามารถพูดคุยกันได้」

 

 

 

ไม่ว่าแวมไพร์นั้นจะสามารถควบคุมในการทำให้อีกฝั่งเป็นพวกได้หรือไม่ก็ไม่สำคัญอีกต่อไป

 

นี่เป็นเพราะอาคาร์ซัมได้รวบรวมข้อมูลจากทั่วทุกพื้นที่มาวิจัยและตรวจสอบความไม่สอดคล้อง

 

 

 

「เหตุใดจึงมีเรื่องราวเกี่ยวกับแวมไพร์ทำให้มนุษย์กลายเป็นแวมไพร์ด้วยกันแพร่กระจายไปทั่ว?」

 

 

 

「ดังที่เจ้าหญิงแวมไพร์กล่าวว่าเป็นเพราะอาการ “เมาเลือด” นั่นก็จะทำให้เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่สามารถทำให้คนเป็นแวมไพร์ได้ ในกรณีนี้ยังคงต้องอยู่ในการศึกษาต่อไป」

 

 

 

แม้ว่าจะพูดคุยกันได้ตามปกติ แต่จะสามารถตกลงกันได้ไหมก็อีกเรื่องหนึ่ง

 

หลังจากหยุดไปชั่วครู่ความเงียบก็ปกคลุม

 

โนโซมุและไอริส ยืนข้างกันขณะมุ่งหน้าไปยังสถาบัน แต่ก็ยังมีบรรยากาศกดดันระหว่างทั้งสอง

 

ในที่สุดโนโซมุก็ทนไม่ไหวและเริ่มพูด

 

 

 

「ไอริส เรื่องการเจรจากับตระกูลวาจาร์ตจะเริ่มเมื่อไหร่เหรอ?」

 

 

 

「……อีกหนึ่งสัปดาห์ข้างหน้า จะจัดขึ้นที่คฤหาสน์ของฉัน คนรับใช้ทุกคนจะถูกนำออกจากคฤหาสน์ยกเว้นมีน่า」

 

 

 

「หนึ่งสัปดาห์ งั้นเหรอ」

 

 

 

「ใช่ พวกเราใกล้จะได้ข้อสรุปแล้ว ดังนั้นก็ไม่น่าจะต้องรอนานจนเกินไป……」

 

 

 

กล่าวกันได้ว่าสถานที่เจรจาได้ถูกตกลงและวันเวลาได้ถูกนัดแนะเรียบร้อย

 

แต่คราวนี้มีเจ้าหญิงแวมไพร์เข้ามาเกี่ยวข้อง

 

โนโซมุไม่รู้เลยว่าเธอคนนั้นจะทำอะไร

 

มีเพียงลางสังหรณ์ที่ไม่ดีคืบคลานไปตามกระดูกสันหลังของเขา

 

 

 

「ไอริส ให้ผมดูแลโซเมียให้ในขณะที่พวกเธอทำการเจรจาจะดีกว่าไหม?」

 

 

 

「เอ๊ะ?」

 

 

 

ราวกับว่าทำให้เธอตื่นตัวโนโซมุพูดอะไรสุ่มเสี่ยงออกมา

 

คำพูดที่ราวกับจะขัดจังหวะหลุดออกมาจากใบหน้าอันร้อนรน

 

 

 

「กระดิ่งที่ไอริสขอให้ผมทำให้วันนี้ผมจะไปหลอมมันขึ้นมาและมอบให้ในวันรุ่งขึ้น นั่นคือตอนที่ผมจะพาโซเมียมาดูแลและผมจะคอยปกป้องเธอในช่วงที่ เธอทำข้อตกลงกันอยู่ โอเคไหม?」

 

 

 

ข้อเสนอของโนโซมุเป็นการกระทำที่ประมาทอย่างมาก

 

นั่นเพราะจิฮัดบอกให้เขาอยู่ห่างจากตระกูลฟรานซิส และจะไม่ให้ความช่วยเหลืออะไรแก่ตระกูลฟรานซิสเลยในการเจรจา

 

ในทางกลับกันสำหรับตระกูลฟรานซิสเรื่องนี้ขึ้นกับความเป็นความตาย

 

อาคาร์ซัมแม้จะเป็นสถานที่ๆใช้ในการเจรจา แต่จะไม่ให้ความร่วมมืออะไร เว้นแต่จะเป็นข้อเสนอจากทางตัวโนโซมุเอง

 

โนโซมุไม่เชื่อฟังคำเตือนของจิฮัดและครอบครัวฟรานซิสสามารถใช้ประโยชน์จากตรงนี้ได้

 

ในความเป็นจริงไอริสก็พอจะเข้าใจเหตุผลที่วิคเตอร์บอกให้ไอริสไปที่สถาบันก็เพื่อขอความช่วยเหลือจากตัวโนโซมุ

 

 

 

「เป้าหมายของตระกูลวาจาร์ตคือโซเมีย ดังนั้นถ้าผมอยู่ที่นั่นได้ก็จะสามารถปกป้องเธอได้หากมีปัญหา……」

 

 

 

สำหรับตระกูลฟรานซิสเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่ดี

 

แต่ว่าข้อเสนอนี้ไม่มีอะไรมากกว่าไปกระตุ้นความร้อนใจในตัวไอริส

 

ความขัดแย้งได้จุดประกายขึ้นในอกของเธออีกครั้ง

 

แม้ว่าเธอจะพยายามห้ามความคลั่งรักนี้ แต่เธอก็เหมือนจะอดกลั้นมันไม่ได้และแทบจะแสดงออกทางสีหน้าออกมา

 

ไม่ว่าเธอพยายามจะทำตัวสงบมากแค่ไหนแต่จิตใจของเธอในตอนนี้นั้นยุ่งเหยิงไปหมด

 

 

 

「โนโซมุ นั่นเป็นไปไม่ได้หรอกนะคะ ไม่ใช่ว่าท่านจิฮัดบอกว่าอย่ามายุ่งกับฉันไม่ใช่เหรอไงคะ?」

 

 

 

คำพูดที่ออกมาจากปากเธอคือการปฏิเสธข้อเสนอของโนโซมุ

 

เธอเกลียดตัวเองที่จะพยายามเอารัดเอาเปรียบโนโซมุในฐานะขุนนาง

 

คนที่ประหลาดใจกับการกระทำนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากตัวเธอเอง

 

ในฐานะสมาชิกของตระกูลฟรานซิสเธอจะต้องหยิบเขามาใช้งาน ไม่ใช่การปฏิเสธตัวเขา

 

ในฐานะของขุนนางเธอได้ระงับอารมณ์เหล่านั้นเอาไว้และพยายามเอาเหตุผลเหนืออารมณ์

 

ดังนั้นยังไม่สายเกินไปที่เธอจะยอมรับข้อเสนอของโนโซมุ

 

 

 

「……แน่นอนว่าจิฮัดได้บอกกับผม แต่ผมน่ะ」

 

 

 

「หากโนโซมุและคนอื่นๆเข้ามาเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ มันจะขัดกับการตัดสินใจของสถาบัน หากเป็นแบบนั้น อำนาจของอาคาร์ซัมจะสั่นคลอน

 

 เพราะงั้นอย่าได้ทำแบบนั้นเลยนะ……」

 

 

 

แม้ว่าเธอจะอ้อนวอนด้วยเหตุผลต่างๆนาๆ แต่เธอก็พยายามปฏิเสธโนโซมุสุดใจ

 

แต่ในขณะเดียวกันมันก็ดูเหมือนจะไม่ใช่การปฏิเสธอย่างจริงใจเพราะใช้อารมณ์เป็นตัวตัดสิน

 

เขาน่ะไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้อะไรง่ายๆการปฏิเสธแบบครึ่งๆกลางๆทำอะไรเขาไม่ได้ ต่อให้โดนกดขี่ก็จะไม่ท้อถอย

 

หากอยากจะหยุดเขาจริงๆ จะต้องปฏิเสธจากใจจริง

 

ยิ่งเธอใช้อารมณ์ตัดสินใจมากเท่าไหร่ตัวเขาก็จะยิ่งอยากปกป้องไอริสมากขึ้น

 

นั่นคือสิ่งที่เขาทำโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของตัวเอง

 

สิ่งนี้จะนำไปสู่ผลลัพธ์เลวร้ายที่สุดสำหรับเธอ

 

ไอริสไม่เข้าใจแล้วว่าตัวเธอทำอะไรอยู่

 

มีเพียงคำพูดที่เงียบสงบ แต่เต็มไปด้วยอารมร์

 

 

 

「ถึงแบบนั้นก็เถอะ!」

 

 

 

「โนโซมุ พอทีเถอะ」

 

 

 

「……เอ๊ะ?」

 

 

 

「ฉันบอกว่า “พอแล้ว” ไง ลืมสิ่งที่ฉันพูดไปเถอะนะ และก็เรื่องกระดิ่งนั่นก็ด้วยลืมมันไปซะเถอะ」

 

 

 

ในที่สุดเธอก็พยายามตัดความสัมพันธ์กับเขาเพื่อระงับทุกอย่าง

 

คำพูดของโนโซมุที่พูดออกไปนั้นถูกทำลายด้วยสีหน้าไร้อารมณ์และเย็นชา

 

สีหน้าของไอริสไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆและโนโซมุก็พูดไม่ออก

 

ไอริสในฐานะขุนนาง และไอริสในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง เธอปิดกลั้นหัวใจที่คลั่งรัก แช่แข็งความคิดและความรู้สึกพยายามบดขยี้สิ่งเหล่านี้ให้กลายเป็นผุยผง

 

ภาพของไอริสที่ดูไร้ซึ่งชีวิตชีวาทำให้โนโซมุรู้สึกทรมานใจอย่างมาก

 

 

 

「ไอริส รอก่อนสิ……」

 

 

 

จะปล่อยให้เป็นแบบนี้ไม่ได้

 

โนโซมุรู้สึกถึงอันตรายในดวงตาของเธอเมื่อพยายามเข้าใกล้ไอริส เธอแยกตัวออกห่างจากเขาและเดินจากไปด้วยความรวดเร็ว

 

 

 

「ตอนนี้มันคือช่วงเวลาสำคัญของพวกเราทั้งคู่ ฉันว่าพวกเราควรรักษาระยะห่างกันดีกว่านะ……」

 

 

 

เธอพูดออกมาแบบนั้นพร้อมกับก้าวไปข้างหน้าด้วยฝีเท้าที่เร็วขึ้น

 

 

 

“ฉันมันเป็นผู้หญิงที่ไม่หนักแน่น ขัดแย้งในตัวเอง(ซึนเดเระ) และเห็นแก่ตัว……”

 

 

 

เมื่อรู้สึกถึงสายตาอันสับสนของโนโซมุไอริสค่อยๆใช้นิ้วทาบบนลงริมฝีปากของเธอ

 

เธอจำเวลาที่เธอและโนโซมุจูบกัน

 

ตอนที่โนโซมุช่วยลิซ่าเขาก็โคม่าอยู่หลายเดือนทำให้ไอริสฉวยโอกาสจูบโนโซมุตอนที่กำลังโคม่า

 

ไอริสเองได้ตระหนักถึงความรู้สึกที่เธอมีต่อเขามานานแล้ว

 

เธอคลั่งรักเขามากจนไม่สามารถจะเบือนหน้าหนีจากเขาได้เลย

 

 

 

“แต่ว่าถ้าทำแบบนั้นมันจะเป็นภัยต่อโนโซมุ……”

 

 

 

เธอไม่สามารถละทิ้งความปรารถนาที่อยากจะปกป้องโซเมียและความชอบที่มีต่อโนโซมุได้

 

ในกรณีนี้ เธอไม่มีทางเลือกนอกจากทุ่มเททุกสิ่งที่มีเพื่อปกป้องทั้งสองเอาไว้

 

ไม่ใช่ในฐานะหัวหน้าตระกูลของฟรานซิส เธอกลืนความขัดแย้งลงไปในลำคอและตัดสินใจหักห้ามความรู้สึกเอาไว้เพื่อรักษาคำสัญญาที่ได้ให้ไว้กับแม่ของเธอ

 

เธอเหลือบมองเขาอยู่ชั่วครู่และจ้องมองใบหน้าของคนที่เธอรัก

 

ภาพของเขาที่กำลังกำหมัดแน่นด้วยใบหน้าที่บิดเบี้ยวทำให้หัวใจของเธอเจ็บปวด

“จริงๆแล้วฉันอยากจะได้ของขวัญจากโนโซมุจริงๆ……”

 

 

 

ไอริสพยายามกลบความรู้สึกที่มีต่อเขาด้วยการสวมหน้ากากน้ำแข็งที่เยือกเย็น

 

★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★

 

จ้องมองไปทที่ด้านหลังของโนโซมุที่กำลังตกตะลึง มิมูรุกระซิบกับซีน่า

 

 

 

「ซีน่า ตอนนี้โอกาสมาถึงแล้วนะ?」

 

 

 

「โอกาสเหรอ……」

 

 

 

「ก็เห็นๆแล้วนี่รีบลงมือสิ」

 

 

 

「…………」

 

 

 

เมื่อตระหนักถึงคำพูดของมิมูรุ ซีน่าตอบด้วยท่าทางงงๆ แต่มิมูรุก็มองไปทางซีน่าราวกับจะบอกว่า “โอกาสทำแต้มมาถึงแล้ว”

 

แม้จะมองผ่านกันเพียงไม่กี่วินาที

 

เมื่อรู้ถึงข้อเสนอของมิมูรุ ซีน่าจึงหันกลับไปเดินต่อตามทางเดินอีกครั้ง

 

 

 

「เฮ้อ ยัยบ้าเอ้ยถ้าไม่รีบลงมือเดี๋ยวก็โดนแย่งไปจริงๆหรอก……」

 

 

 

ด้วยน้ำเสียงแห่งความขุ่นเคืองต่อทัศนคติของเพื่อนสนิทที่ดื้อรั้นและไม่ยอมรุกเข้าหาคนที่ชอบ มิมูรุยังคงมองหลังซีน่าต่อไป

 

 

ใกล้จะจบขึ้นเรื่อยๆอีกประมาณ 19 ตอนมั้งครับ น่าจะจบภายในเดือน 10 นี่ละถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด

 

สนับสนุนผู้แปลได้ที่ QR Code ข้างล่าง หรือเลขบัญชี108-0-77984-1 กรุงไทย ครับ

 

ลงให้อ่านแค่สองที่เท่านั้นคือ Goshujin.tk กับ Nekopost อ่านจากที่อื่นไม่มีภาพประกอบเพราะโดดดูดไปลงนั่นเอง

[นิยายแปล]โซ่ผนึก “หัวใจ” สายใยผนึก “มังกร”

[นิยายแปล]โซ่ผนึก “หัวใจ” สายใยผนึก “มังกร”

Score 10
Status: Completed
สถาบันโซลมินาติ เป็นสถานที่รวมตัวของเหล่าคนหนุ่มสาวที่มีควาฝันทะเยอทะยานมากมาย มีชายคนหนึ่งที่เข้ามาเรียนที่นี่เพื่อสนับสนุนความฝันของคนรัก อย่างไรก็ตาม ความสามารถของชายคนนั้นที่ไม่มีดีด้านไหนเลย ก็ถูกผู้คนต่างกลั่นแกล้ง คนรักก็ทอดทิ้ง ความหวังในชีวิตต่างสูญหาย ช่วงเวลาแห่งชีวิตมาถึงจุดเปลี่ยน ยังไงก็ตามเขาพบกับหญิงชราผู้หนึ่งที่จะคอยเปลี่ยนแปลงเขาไปตลอดการ นี่คือเรื่องราวของชายผู้ที่ถูกทอดทิ้งจะกลับมาลุกขึ้นสู้อีกครั้ง

Options

not work with dark mode
Reset