หลังจากที่ได้ยินคำพูดของโลเรียจังกับที่ฉันได้เห็นสีหน้าหวาดระแวงจากทั้ง 3 คนแล้ว ฉันก็หันหลังมา ค่อยๆ วางมือลงบนพื้นดินช้าๆ
ฉันวัดขอบเขตบริเวณที่เวทมนตร์จะถูกส่งออกไป เอากว้างซัก 2 เมตร ยาว 10 เมตรแล้วกัน…
“…หย้า!!”
แล้วพื้นก็ยกตัวขึ้น เนื้อดินถูกพลังเวทที่พุ่งเข้ามาอย่างปุบปับดึงขึ้นมาในแนวดิ่ง
สิ่งที่ได้ก็เป็นของที่หน้าตาเหมือนคันดิน สูงกว่าพื้นที่รอบข้างราวๆ 20 เซนติเมตร
เรื่องที่ต้องเอาหญ้าเอาหินออกไปนี่ก็จำเป็นต้องลงแรงกันซักหน่อย แต่นี่ก็ง่ายขึ้นเยอะแล้วล่ะถ้าไม่ต้องลำบากลำบนขุดพลิกดินแข็งๆ พวกนี้
“““โโโห!”””
“ยอดไปเลยค่ะ! คุณซาราสะ!”
“แหม ก็ไม่ได้อะไรขนาดนั้นหรอก~~ นี่ก็แค่เรื่องที่ทำได้วยด้วยเวทมนตร์นิดๆ หน่อยๆ เท่านั้นเอง”
ได้สายตาเป็นประกายของโลเรียจัง แบบตรงข้ามกับเมื่อกี้แบบพลิกฝ่ามือมองมาแบบนี้ก็รู้สึกดีเหมือนกันนะ
“เวทมนตร์… ฉันเองจะใช้ได้บ้างหรือเปล่าคะ!?”
“เอ๊ะ? โลเรียจังอยากลองดูบ้างเหรอ?
“ค่ะ!”
โลเรียจังพูดเรื่องที่ไม่น่าเชื่อออกมาด้วยตาที่เปล่งประกายแวววาวเลยล่ะ
โลเรียจังก็มีพลังเวทอยู่ประมาณนึงเหมือนกัน คิดว่าถ้าเธอพยายามมากพอ ฉันคิดว่าก็ไม่ได้เป็นไปไม่ได้หรอกนะ แต่…
“ต้องใช้ความพยายามในการฝึกมากเลยนะ? ก็เพราะมันคือเวทมนตร์นี่ แน่ใจเหรอ?”
“ก็เพราะถ้าทำแบบนั้นได้ เรื่องการหางานก็จะไม่เป็นปัญหาด้วยไงล่ะคะ!”
“เอ๋? โลเรียจัง เธอไม่อยากทำงานที่ร้านของฉันแล้วเหรอ?”
ไม่จริงน่า! พอฉันถามเธอกลับไป โลเรียจังก็ส่ายหัวลนลานใหญ่เลย
“อ่า เปล่านะคะ ไม่ใช่แบบนั้น… แต่ถ้าเกิดฉันโดนไล่ออกขึ้นมา…”
“ฉันไม่มีทางคิดจะทำแบบนั้นอยู่แล้วล่ะนะ แต่ก็…”
หรือก็คือ ฉันไม่คิดจะปล่อยให้เธอหนีไปไหนได้หน่อยหรอกนะ
ให้ไล่คนที่มีพรสวรรค์จิปาถะ (หมายถึงในทางที่ดีนะ!) อย่างเธอออกไปน่ะเหรอ ฝันไปเถอะ
“…แต่ว่ามันก็เป็นช่องทางหาเงินเพิ่มที่ไม่เลวได้เหมือนกันนะ ดีล่ะ เดี๋ยวฉันสอนให้นะ”
มันเป็นเวทมนตร์ที่บรรดาชาวนาชาวไร่ต่างปรารถนาเลยล่ะ
ด้วยพลังเวทที่โลเรียจังมีอยู่ในตัวนี่ จะหาเงินได้พอๆ กับค่าแรงรายวันที่คนทั่วๆ ไปซัก 2-3 คนทำได้ก็ไม่ใช่แค่เรื่องเพ้อฝันหรอก ถ้าไปได้สวยล่ะก็ เธออาจจะหาได้มากกว่าค่าแรงรายวันเป็น 10 เท่าได้เลยด้วยซ้ำ
ถ้าโลเรียจังอยากจะขอลาไปด้วยเหตุผลแบบนี้ล่ะก็ ฉันก็ใจกว้างพอจะอนุมัตินะ
“จะว่าไป ซาราสะจัง แล้วพวกเราล่ะ?”
“อ่า~ ฉันจะไม่บอกว่าเป็นไปไม่ได้นะคะ แต่ฉันคิดว่าลงมือออกแรงทำตามปกติเลยจะเร็วกว่า แบบนั้นล่ะมั้งคะ?”
พลังเวทที่ฉันสัมผัสได้จากทั้ง 3 คนน่ะพอๆ กับค่าเฉลี่ยที่ชาวบ้านทั่วๆ ไปมีกันเลยล่ะ
กล่าวคือ พวกเขาไม่ได้เหมาะที่จะใช้เวทมนตร์ ต่อให้พวกเขาจะพยายามฝึกหนักอย่างเต็มที่เลยเพื่อที่จะใช้เวทมนตร์ให้ได้ ประสิทธิผลที่ได้ก็ยากที่จะเทียบได้กับการออกแรงลงมือทำไปเลย
“ว่าแล้วเชียว เวทมนตร์มันเป็นเรื่องของพรสวรรค์นี่นา…”
“ฮะฮะฮะ… จะพูดแบบนั้นก็ได้อยู่นะคะ”
กับคุณอิสึโอดครวญแบบนั้นด้วยสีหน้าผิดหวังแบบนั้นแล้ว ทั้งหมดที่ฉัน คนที่ถูกบ่นว่ามีพรสวรรค์ด้านพลังเวทสูงเกินไปจะทำได้ก็มีแค่ตอบรับด้วยการหัวเราะแห้งๆ เท่านั้นเอง
“อ- เอาล่ะ โลเรียจัง มาลองดูกันเลยดีมั้ย? เริ่มจาก―――”
จากนั้น ฉันก็เปลี่ยนเรื่อง ก่อนจะคว้ามือของโลเรียจังมา
“แล้ว ออกมาดีหรือเปล่าคะ นายท่านผู้จัดการ?”
ฉันพยักหน้าตอบคำถามนั้นของคุณไอริสที่กลับมาจากบ้านของคุณเอรินแล้วเหมือนกับว่านั่นเป็นเรื่องธรรมดาๆ
“แน่นอนอยู่แล้วค่ะ ฉัน ไม่เคยพลาดอยู่แล้ว!”
ในช่วงนี้น่ะนะ! ตอนแรกที่ฉันได้เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ ฉันก็ทำได้―――เออ ว่าตามตรง ก็ทำพลาดทุกวัน จนสร้างปัญหายกใหญ่ให้อาจารย์ตลอดเลยนั่นแหละนะ
แต่ครั้งนี้น่ะ เป็นเรื่องจริงนะ โลเรียจังเองก็พยักหน้าเห็นด้วยเหมือนกัน แต่คุณไอริสกลับส่ายหัวด้วยสีหน้าลำบากใจ
“อ้อ เปล่าค่ะ ที่ฉันถามนี่หมายถึงโลเรียเป็นยังไงบ้างน่ะค่ะ”
“ฉันเหรอคะ? ไม่ได้อะไรเลยค่ะ…”
“ตอน- แต่ว่า ถ้าเธอยังฝึกฝนต่อไปอย่างสม่ำเสมอล่ะก็ เธอต้องทำได้แน่นอนเลยล่ะ”
ฉันรีบพูดปลอบให้กำลังใจโลเรียจังที่เสียใจจนออกมาทางสีหน้าเลย
ถึงผลลัพธ์จะยังไม่ออกมาให้เห็น แต่ฉันคิดว่าเธอก็เคลื่อนไหวพลังเวทในตัวได้แล้วนะ
ตอนแรกมันอาจจะยาก แต่ถ้ายังพยายามต่อไป มันต้องเพียงพอให้เธอเอามาใช้งานจริงในอนาคตได้แน่
“โห แบบนี้ ตอนเราเริ่มการถางที่ที่บ้านเรา คงต้องพึ่งพาโลเรียแล้วสินะเนี่ย”
“โอ๊ะโอ? คุณไอริส ไม่เชื่อใจฉันเหรอคะ?”
ไม่ใช่ว่าฉันจะเผลอพังรั้วอันไหนไปนี่นา?
ฉันก็แค่ขุดดินเจาะจงเฉพาะบริเวณของไร่เองนี่ ใช่มั้ย?
“ไม่ใช่แบบนั้นหรอกค่ะ แต่เราไม่มีเงินพอจะจ้างนักเล่นแร่แปรธาตุอย่างคุณผู้จัดการมาได้ไหว กลับกัน สำหรับค่าจ้างตามปริมาณงานที่ได้จัดการ โลเรียจังน่าจะยอมรับได้มากกว่า ใช่มั้ย?”
ดูเหมือนต่อให้ต้องจ่ายค่าแรง ถ้าช่วยย่นเวลาได้ก็ยังคุ้มค่าอยู่ดีสินะ
“การเตรียมที่ดินเพื่อการเพาะปลูกนี่ เป็นงานยากจริงๆ นะคะ…”
คำพูดของคุณไอริส อัดแน่นไปด้วยประสบการณ์อยู่ในนั้นเลย
เพราะฉันเป็นลูกสาวตระกูลพ่อค้า เรื่องนี้ฉันเลยเคยแต่ฟังมาอย่างเดียว แต่การลงแรงถางที่เนี่ยเป็นงานที่ทรหดที่สุดแล้ว ในบรรดางานทั้งหมดที่ชาวนาชาวไร่ต้องจัดการ นี่ถือว่าเป็นงานที่โหดหินที่สุดในบรรดางานสุดแสนทรหดแล้ว
ถ้าถูกสั่งให้ทำมากเกินไป มันก็จะไปลดความนิยมในตัวของเจ้าครองที่ได้แบบสุดกู่
ถึงในระยะยาว เขตพื้นที่นั้นก็อาจจะเจริญขึ้นมา จนเป็นประโยชน์กับเหล่าประชากรในพื้นที่ได้ก็จริง แต่กว่าจะรู้สึกได้ถึงผลลัพธ์นี่ก็อยู่ในอนาคตอันไกลเลย
ยังไงก็ตาม การที่เจ้าครองที่จะโน้มน้าวใจผู้คนได้มั้ยนี่ อาจจะเป็นการทดสอบทักษะความเป็นผู้นำของเขาได้เลยล่ะ
“…จะว่าไป เวทมนตร์นี่ยากขนาดไหนเหรอคะ?”
“อาจจะไม่ได้ง่ายขนาดนั้นนะคะ เวทมนตร์ที่ฉันใช้ไปคือ {เอิร์ธนีเดิล (หอกพสุธา)} ก็ถ้าไม่ได้คำนึงถึงพลังของมัน เวทนี้ก็ไม่ได้ยากขนาดนั้นค่ะ แต่ว่า การจะปรับมันให้เหมาะสมกับระดับพลังนั้นจำเป็นต้องใช้การควบคุมพลังเวทที่แม่นยำเลย”
นั่นแหละคือสิ่งที่ทำให้เราเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุได้
แน่นอนว่าแค่ฝึกจนคุมพลังเวทได้นี่ไม่ได้พอจะทำให้เป็นนักเล่นแร่แปรธาตุได้หรอก แต่นี่ก็เป็นหนึ่งในทักษะที่สำคัญที่สุดเลย แค่ต้องอาศัยความพยายาม คนคนนั้นก็มีศักยภาพในการเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุได้แล้วล่ะ
“ใช้เวทมนตร์โจมตีนี่ง่ายกว่าเหรอคะ…ดูจะไม่ค่อยเป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่นเท่าไหร่นะคะ ถึงยังไง ถ้านึกถึงจอมเวทแล้วก็น่าจะนึกภาพถึงเวทโจมตีที่ทรงพลังสิคะ!”
จากนั้นคุณไอริสพยักหน้าให้ด้วยสีหน้าเข้าใจ เธอคงจะชื่นชมเหล่าจอมเวทย์ที่เป็นแบบนั้นล่ะมั้ง
ดูจากสายตาหงุดหงิดนิดๆ ของคุณเคทที่เหลือบมองมาจากทางด้านข้างเธอแล้วนี่ ดูเหมือนเธอเองก็จะรู้สึกคล้ายๆ กันแน่เลย
แต่ฉันก็เข้าใจนะ สมัยเด็กฉันก็เคยคิดแบบนั้นเหมือนกัน!
“โลเรียจังนี่ เคยอยากจะเรียนเวทมนตร์สำหรับต่อสู้หรือเปล่า? ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยขอให้คุณผู้จัดการช่วยสอนให้มาก่อนเลยนี่นา?”
โลเรียจังตอบคำถามนั้นของคุณเคทด้วยการแค่ส่ายหัวตอบ
“ฉันคงไม่มีโอกาสได้เอาเวทมนตร์ไปต่อสู้ที่ไหนหรอกค่ะ ฉันคิดว่าฉันเรียนเวทมนตร์ที่ทำประโยชน์ให้ผู้คนในหมู่บ้านดีกว่า”
“เป็นผู้ใหญ่สุดๆ!? ถ้าเกิดฉันอายุเท่าเธอเนี่ย ยังไงฉันก็เลือกเวทมนตร์สำหรับต่อสู้แน่นอนเลยล่ะ!”
“เอ๊ะ? ยังงั้นเหรอคะ? แล้วตอนคุณซาราสะอายุเท่าฉัน คุณทำอะไรอยู่งั้นเหรอคะ?”
“กำลังเรียนหนักอยู่ในวิทยาลัยเลยล่ะ—แต่นั่นมันก็เพราะฉันเป็นเด็กกำพร้าด้วยนั่นแหละนะ”
ฉันคิดว่าต่อให้คุณพ่อคุณแม่จะยังอยู่ มันก็คงต่างออกไปล่ะนะ
ถ้าฉันเดินตามรอยพวกท่านที่ต้องมักเดินทางไปๆ มาๆ ระหว่างเมืองล่ะก็ ฉันคิดว่าเวทมนตร์สำหรับต่อสู้ก็จะมีประโยชน์กว่า จะคิดแบบนั้นก็คงไม่ผิดหรอกเนอะ ใช่มั้ย?
—ถึงมันก็อาจจะขึ้นกับความสนใจส่วนตัวอยู่มากเลยก็ตามล่ะนะ
“ไอริส สมัยนั้นเรายุ่งอยู่แต่กับการฝึกดาบนี่นา จริงมั้ย?”
“อึก! ไม่ใช่ซักหน่อย ก็ฉันไม่ได้มีอาจารย์ช่วยฝึกสอนแบบนายท่านผู้จัดการนี่…”
“คุณแม่ฉันก็ใช้เวทมนตร์ได้เหมือนกันนะ แต่ว่า… เพราะยุ่งฝึกอยู่กับเธอ ฉันก็เลยไม่มีเวลาให้สำหรับเวทมนตร์เท่าไหร่―――คือว่าคุณผู้จัดการ ขอฉันเรียนเวทมนตร์ด้วยได้มั้ยคะ?”
“คุณเคทด้วยเหรอคะ? แต่คุณเป็นนักเก็บสะสมนี่นา?”
“ยังไงก็เป็นนักเก็บสะสมไปตลอดไม่ได้อยู่แล้วนี่คะ การมีทักษะอื่นๆ ไว้ด้วยมันก็ดีกว่านี่คะจริงมั้ย?”
“เอ๋? คุณไอริสจะถูกทิ้งซะแล้วเหรอคะ? คุณเคทจะเลิกเป็นนักเก็บสะสม หันมาเป็นนักเวทปรับที่ดินงั้นสินะคะ?”
หลังจากที่โลเรียจังพูดแบบนั้น พลางมองกลับไปกลับมาระหว่างคุณไอริสกับคุณเคท คุณไอริสก็ขมวดคิ้ว เหลือบไปมองที่คุณเคทอย่างใจจดใจจ่อ
“มู่ว เป็นแบบนั้นเหรอ? เคท? คงไม่ใช่แบบนั้นหรอก ใช่มั้ย?”
“ไม่มีทางอยู่แล้ว ฉันไม่ทิ้งเธอหรอกน่า ไอริส เธอคิดว่าเราอยู่ด้วยกันมากี่ปีแล้วล่ะ?”
“นั่นสินะ เรื่องที่เคทจะทิ้งฉันนี่คงไม่มีทาง―――”
“อย่างน้อยก็สำหรับตอนนี้ล่ะนะ ไม่ใช่ว่าไอริสจะบ่นอะไรอยู่แล้วนี่จริงมั้ย?”
ได้ยินแบบนั้น คุณไอริสก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก จนกระทั่งมาเจอคำที่คุณเคทเสริมขึ้นมา ทำเอาคุณไอริสสีหน้าเหวอ จนเอามือทั้ง 2 ข้างพุ่งไปจับตัวคุณเคทไว้เลย
“ค- เคท! ถ้าเธอไม่พอใจอะไรล่ะก็ บอกฉันได้เลยนะ! ฉันจะพยายามทำให้ดีที่สุดเท่าที่ฉันจะทำได้เลย!”
“จริงเหรอ? ถ้างั้นก็―――”
แล้วคุณเคทก็ไล่เรียงข้อข้องใจของตัวเองทั้งหลายทั้งแหล่ออกมาพร้อมกับรอยยิ้ม ทั้งหลายแบบทุกอย่างเลย ไม่ใช่แค่เรื่องที่เกี่ยวกับงานเก็บสะสมอย่างเดียว แต่ออกจะไปทางชีวิตประจำวันซะมากกว่า
นี่มันแทบจะเหมือนภรรยาบ่นเรื่องที่ตัวเองไม่พอใจเกี่ยวกับสามีเจ้าตัวเลยนะเนี่ย…?
แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่าง 2 คนนี้ออกมาได้ชัดเจนเลย
“คุณเคทไม่ติดใจอะไรเรื่องหนี้เลยเหรอคะ? พวกคุณยังเหลือหนี้ค้างคุณซาราสะอยู่อีกเยอะเลยนี่นา?”
ตอนที่โลเรียจังถามออกมาอย่างสงสัย คุณเคทก็ส่ายหน้าทันทีอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะเลย
“ไม่หรอก ถ้าจะมาบ่นอะไรเอาป่านนี้ ฉันก็ไม่ควรจะมาขอให้คุณผู้จัดการช่วยรักษาให้ตั้งแต่แรกแล้วสิ”
“เคท…”
คุณไอริสที่ซึมไปเลยหลังจากที่โดนคุณเคทสับเรื่องวิธีการใช้ชีวิตมาทุกมุมแล้ว ตอนนี้เธอมองคุณเคทด้วยสายตาซาบซึ้งชื้นชมเลยล่ะ
อืม นี่มันตบหัวแล้วลูบหลังเลยนี่นา
จำติดหัวไว้ก่อนแล้วกัน ถึงจะไม่รู้เลยว่าวันข้างหน้าจะหยิบเอาไพ่ใบนี้ไปใช้ตอนไหนกับใครหรือเปล่า แต่มีติดไว้ในกระเป๋าก็ไม่เลวเหมือนกัน
“อีกอย่าง มาเป็นนักเก็บสะสมแล้ว ก็ต้องเตรียมใจเจ็บตัวมาระดับแล้วสิ―――ถึงนั่นมันจะเกินกว่าที่คาดเอาไว้นิดนึงก็เถอะนะ”
“นั่นสิ ตอนที่ออกมาจากบ้านก็ไม่เคยคิดเหมือนกันว่าจะถึงขั้นเกือบตาย ฉันก็ค่อนข้างมั่นใจในความสามารถของตัวเองเหมือนกันนะ”
“การเป็นนักเก็บสะสมเป็นงานที่อันตรายกว่าที่คุณคิดนะคะ แถมยิ่งแก่ตัวลง แรงกายก็ยิ่งลดทอนลงไปด้วย มันไม่ใช่งานอะไรที่จะทำไปได้ตลอดหรอกค่ะจริงมั้ย?”
“จริงด้วยนะ ยิ่งเป็นผู้หญิงด้วยแล้ว… เพราะแบบนั้นเลยหางานอื่นไว้ดีกว่า”
แล้วพอมานึกการแต่งงานด้วยแล้วนี่ อายุ 20 ต้นๆ อย่างทั้ง 2 คนก็ถือว่าค่อนข้างช้าอยู่นะ
ในหมู่บ้าน คนที่อายุอยู่ในช่วงนี้น่ะแทบไม่มีใครเลยที่ยังไม่ได้แต่งงาน
―――อ๊ะ ไม่สิ จะว่าไป ไม่เคยเห็นสามีของคุณเอรินเลยนี่นา
นี่หรือว่า…?
แต่คุณเอรินก็อายุ 20 ปลายๆ แล้วด้วย จะเข้าไปถามตรงๆ ก็เสียมารยาทแย่
เพื่อจะเลี่ยงไม่ไปเหยียบกับระเบิดเข้า ไว้คราวหน้าค่อยลองถามจากโลเรียจังดูแล้วกัน
TN: ถูกแล้วล่ะ ซาราสะจัง อย่าไปถามเชียวนะ อายุกับน้ำหนักของผู้หญิงเนี่ย ^^
ขอแปะ Discord สำหรับแจ้งเตือนนิยาย กับมุมพูดคุยกันไว้ตรงนี้ด้วยนะครับ ใครสนใจก็แวะมาได้นะ ^^
https://discord.gg/Fm9NsqeH2r