“งือ~~~”
หลังจากที่โต้รุ่งมาหลายคืนอยู่ในห้องทำงานเล่นแร่แปรธาตุ ฉันก็ออกมาบิดขี้เกียจ พลางอาบแสงแดดที่ลอดเข้ามาทางหน้าต่างไปด้วย
ความรู้สึกที่ดีใจที่งานเสร็จซักทีปนกับความเหนื่อยล้าหลังงานนี่ ก็ไม่เลวเหมือนกันนะ
“…ฟิ่ว”
หลังจากที่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ท้องฉันมันก็ร้อง *โครกกก* ประท้วงขึ้นมาเลย
ได้ยินแบบนี้ฉันก็เอามือมาลูบท้องเบาๆ เพื่อบรรเทามันลง
ตอนตั้งสมาธิทำงานมันก็ไม่ได้กวนใจฉันเลยนะ แต่พอพักปุ๊บ ก็หิวขึ้นมาปั๊บเลย
จะไปหยิบอะไรมั่วๆ มาทานให้อิ่มท้องมันก็ได้นั่นแหละ แต่ในเมื่ออยู่ที่นี่ ฉันก็อยากจะหาอะไรอร่อยๆ ทานนะ
ไม่นาน ก็ใกล้ถึงช่วงเวลาอาหารกลางวันแล้ว กลิ่นหอมก็เริ่มลอยมา แต่ว่า…
“โลเรียจา~ง อาหารกลางวันเสร็จแล้วเหรอ?”
“ยังเร็วไปหน่อยนะคะ―――เฮ้อ…”
พอฉันมองเข้าไปในส่วนหน้าร้าน โลเรียจังก็หันมาหาฉัน มองมา แล้วก็ถอนหายใจด้วยท่าทางผิดหวัง
อืม นี่หยาบคายอยู่นิดหน่อยหรือเปล่าเนี่ย? ก็จริงอยู่ว่า มาถามถึงอาหารแบบนี้มันก็ ‘ออกจะดูเด็กน้อยไปซักหน่อย’ แต่มันก็นะ
“พอคุณซาราสะออกมาจากห้องทำงานทีไร เสน่ห์ของผู้หญิงก็ดูร่วงลงไปเลยนะคะ ถ้าไม่ดูเหนื่อยๆ ก็ดูโทรมไปเลย…”
“อ๊ะ? นี่น่ะเหรอ? แต่ฉันก็พยายามจะรักษาเนื้อตัวให้สะอาดดีแล้วนะ ฉันเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุนี่นา”
“ความสะอาดกับความสวยมันเป็นคนละอย่างกันนะคะ! ในเมื่อมีหวีอเนกประสงค์อยู่แล้วทั้งที อย่างน้อยก็หวีผมเผ้าซักหน่อยสิคะ”
โลเรียจังบอกฉันว่า ‘รอแป๊บนึงนะคะ’ ก่อนจะเดินเข้าไปในตัวบ้าน แล้วก็กลับออกมาพร้อมกับแปรงในมือ แล้วก็ค่อยๆ หวีผมของฉันอย่างเบามือ
ทำแค่นั้น ผมของฉันที่ยุ่งฟูอยู่นิดหน่อยก็เรียบลง แล้วก็กลับมาเงาเหมือนเดิม
นี่เป็นผลของอาร์ติแฟกต์ (อุปกรณ์แปรธาตุ) ที่โลเรียจังเอามาด้วย เรียกว่า [แปรงผมเงา] แปรงหวีผมแสนอัศจรรย์ที่ต่อให้จะเป็นคนขี้เกียจก็ยังทำให้ผมสวยอยู่ตลอดได้
―――ตราบใดที่ยังหวีผมตัวเองอยู่ล่ะนะ
“อื้ม~~♪ ผลของมันสุดยอดไปเลยนะคะ นี่น่ะ”
“ก็นะ มันเป็นอาร์ติแฟกต์นี่นา เป็นของที่นิยมในเมืองหลวงมากเลยนะ… ถึงมันจะขายได้ไม่ค่อยดีก็เถอะ”
ฉันเห็นด้วยกับโลเรียจังที่กำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่นะ แต่ฉันเองก็ยังยิ้มเฝื่อนๆ ออกมานิดๆ
เพราะราคาของมันแพง คนที่สามารถซื้อมาใช้ได้ก็เลยจำกัด แถมความคงทนของมันยังค่อนข้างดีเลยด้วย ซื้อไปใช้อันนึงก็แทบจะใช้ได้ไปตลอดชีวิตเลย… หรืออาจจะมองว่าใช้ได้ตลอดครึ่งชีวิตก็ได้
เพราะแบบนั้นแหละ ถึงมันจะได้รับความนิยม แต่มันก็ขายได้ไม่มากเท่าไหร่เลย
สำหรับนักเล่นแร่แปรธาตุแล้ว นี่มันไม่ใช่สินค้าที่ดีเท่าไหร่เลยล่ะนะ
“ถ้าเป็นฉันล่ะก็ ต่อให้ต้องยอมอดทนหลายๆ อย่างเพื่อแค่จะซื้อมัน ฉันก็ยอมนะคะ…”
“อื~ม มันก็ไม่ได้เป็นของจำเป็นอะไรขนาดนั้นหรอกนะ”
มันก็จริงนะว่าผู้หญิงทุกคนอยากจะมีผมสลวยสวยเก๋กันหมด แต่สำหรับคนทั่วๆ ไปน่ะ ราคาของแปรงผมเงามันก็สูงเกินกว่าที่จะใช้คำพูดแค่ว่า ‘ฉันเองก็อยากจะทันสมัยซักนิดนึงนะ!’ มาอ้างได้เลย
คุณสมบัติของแปรงผมเงาน่ะมีผลกับผมแตกเสียจากการตากแดดตากลมอยู่กลางไร่นาด้วย ถ้าราคาของมันจับต้องได้ง่ายกว่านี้ซักหน่อย ฉันว่ามันน่าจะขายดีในเขตชนบทได้เลย แต่ว่า แปรงผมเงาต่างจากหมวกเย็นฉ่ำตรงที่หมวกเย็นฉ่ำนั้นเหมาะที่จะซื้อเพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการทำงาน แปรงผมเงานั้นใกล้เคียงกับการเป็นสินค้าฟุ้มเฟือยมากกว่า ด้วยราคาเท่านี้ด้วย ก็ไม่น่าจะขายได้ดีอยู่แล้ว
“กับหมู่บ้านที่ขนาดเสื้อผ้าแฟชั่นก็ยังเข้ามาขายไม่ได้เลยนี่ การจะขายแปรงนี้ก็คงจะเป็นไปไม่ได้เลยสิน้า~”
“มันไม่ใช่สินค้าชิ้นใหญ่อย่าง [เตาไฟพลังเวท] เพราะฉะนั้นฉันก็ลดราคามันลงไม่ได้หรอกนะ”
“ถ้าราคามันถูกกว่านี้ ก็อาจจะมีพ่อค้าเร่เอาไปขายก็ได้สินะคะ”
ระหว่างที่เราคุยกันอยู่แบบนี้ โลเรียจังก็หวีผมของฉันอย่างคล่องมือจนเสร็จแล้ว ต่อด้วยการผูกเปียเอาไว้นิดๆ แล้วก็เอาริบบิ้นออกมาจากกระเป๋าของเธอมามัดเอาไว้ข้างหลังหัวด้วย
“เอาล่ะ เรียบร้อยแล้วค่า! …อืม♪ คุณซาราสะเองก็มีพื้นฐานดีอยู่แล้วด้วย ถ้าทำผมดีๆ ล่ะก็ ฉันคิดว่าต้องออกมาดูดีแน่นอนเลยค่ะ!”
“อื~ม ตอนนี้ฉันคิดว่า ฉันสนใจเรื่องศาสตร์แปรธาตุมากกว่าเรื่องแฟชั่นล่ะมั้ง? เพราะเวลาก็มีจำกัดด้วย―――นี่โลเรียจัง พยายามเต็มที่เลยไม่ใช่เหรอ?”
เทียบจากตอนที่ฉันมาถึงหมู่บ้านนี้แรกๆ ดูเหมือนโลเรียจังจะแต่งเนื้อแต่งตัวดีขึ้นมากเลยนะ
ไม่ใช่แค่เรื่องที่เธอเริ่มไปใช้อ่างอาบน้ำในบ้านเราล้างเนื้อล้างตัวด้วย แต่เสื้อผ้าของเธอเองก็ดีขึ้นด้วยเหมือนกัน
พูดอย่างง่ายก็คือ เทียบกับคนอื่นๆ ในหมู่บ้าน เสื้อผ้าของเธอมี ‘สี’ อยู่ไงล่ะ
“อันนี้ เธอทำเองใช่มั้ย?”
“อิฮิฮิ ฉันได้ของมาจากคุณซาราสะเยอะแยะเลย ก็เลยได้เอามาทำเป็นเสื้อผ้าเยอะเลยค่ะ”
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย ถ้าเธอดีใจ แค่นั้นก็คุ้มแล้วล่ะ”
ถึงจะบอกว่าได้มาเยอะก็เถอะ แต่ที่ฉันให้ก็แค่เศษผ้าที่เหลือเท่านั้นเอง
ที่มากที่สุดก็คือส่วนที่เหลือของผ้าปรับอากาศ แต่ดูเหมือนผ้าย้อมสีสวยจะมีค่ามากเลยนะสำหรับโลเรียจัง
ถึงมันจะไม่ได้ใหญ่พอจะเอามาทำเสื้อผ้าทั้งชุดได้ แต่เธอก็เอาไปตัดเย็บใหม่เป็นของชิ้นเล็กๆ อย่างริบบิ้นหรือของชิ้นเล็กๆ นะ
ถ้าเป็นผ้าชิ้นที่ใหญ่ขึ้นมาหน่อย เธอก็จะเอามาตัดเย็บเข้าด้วยกันเป็นกระโปรงสั้นๆ หรือผ้าคลุมไหล่
เอาไปใช้ประโยชน์ได้ดีเลยนะเนี่ย
“จะว่าไป คุณซาราะสะ คุณพอจะย้อมสีผ้าหน่อยได้หรือเปล่าคะ? ถ้าเป็นสีสวยๆ ราคาถูกๆ ก็ดีนะคะ”
“ทำได้อยู่แล้ว~ แต่จะว่าราคาถูกหรือเปล่านี่… อืม อย่างน้อยก็ไม่แพงเหมือนผ้าปรับอากาศหรอกนะ”
ว่ากันตามตรง มันก็ยากอยู่นะถ้าจะถามว่าอะไรถูกกว่ากัน ระหว่างสั่งซื้อผ้าย้อมสีมาหรือเอาผ้ามาย้อมสีเอง
ถึงยังไง ฉันก็เป็นนักเล่นแร่แปรธาตุที่มีค่าแรงแพงนี่นะ
“คงทำไม่ได้อย่างราบรื่นสินะคะ…”
“โลเรียจัง ถ้าเธออยากได้ล่ะ ฉันทำให้เลยก็ได้นะ? ยังไงก็ไม่ใช่ว่าเธอจะเอาไปขายอยู่แล้วนี่ ถูกมั้ย?”
ตัววัตถุดิบมันไม่ได้แพงอะไรขนาดนั้น เพราะแบบนั้น ถ้าไม่นับเรื่องค่าแรงของฉันเข้าไปด้วยล่ะก็ ราคาของมันก็จะถูกลงไปมากเลย
ถ้าอยากจะเอาไปขายที่ร้านขายของชำ ก็ต้องยอมรับราคาเต็มตามปกติให้ได้นะ
“แน่นอนค่ะ! แต่ว่า แบบนั้น ฉันรู้สึกไม่ดีจัง…”
“ไม่ต้องคิดมากหรอกนะ นานๆ ที ก็ไม่มีปัญหา”
“อูว ฉันอยากได้ผ้าสวยๆ นะคะ แต่ว่า…”
ฉันหัวเราะพลางตอบไปแบบนั้น ส่วนโลเรียจังก็ครวญครางออกมานิดหน่อย
“เอาเถอะ ถ้าเธออยากได้ก็บอกฉันได้เลยนะ เดี๋ยวฉันทำให้เอง”
“ข- ขอบคุณมากนะคะ… แต่ว่า คุณซาราสะคะ ทั้งๆ ที่คุณมีความสามารถในด้านเย็บปักถักร้อยแท้ๆ แต่ก็ไม่ค่อยได้เอามาใช้เท่าไหร่เลยนะคะ? จะว่ายังไงดี… อ้อ! เสน่ห์ของผู้หญิงเสียเปล่าแย่เลย ค่ะ!”
“เอ๋~ คิดแบบนั้นเหรอ? นี่ไม่ใช่ว่าเธอเอาเรื่องเสน่ห์ของผู้หญิงกับเงินในกระเป๋ามาปนกันแล้วเหรอนั่นน่ะ?”
“อู่ว… การตามแฟชั่นเองก็เป็นเสน่ห์ของผู้หญิงอย่างนึง มันน่าเสียดายออกนะคะ! ทั้งๆ ที่พื้นฐานตัวก็มี วัตถุดิบก็มี ทักษะก็มี แต่กลับแทบจะไม่―――”
โอ๊ะโอ ดูเหมือนโลเรียจังจะไฟติดขึ้นมาซะแล้วใช่มั้ยเนี่ย?
ฉันไม่ค่อยได้สนใจเรื่องแฟชั่นอะไรหรอก ถึงเธอจะพูดแบบนั้นฉันก็ตามไม่ทันหรอกนะ
จะมีวิธีไหนช่วยให้โลเรียจังในตอนนี้สงบลงก่อนมั้ยหนอ…?
“―――จริงสิ! คนรู้จักของฉันส่งหนังสือสูตรขนมหวานมาให้พร้อมกับวัตถุดิบด้วยนะ สนใจหรือเปล่า?”
“คุณซาราสะน่ะ―――ขนมหวาน เหรอคะ?”
พอโลเรียจังชะงักไป ฉันก็เลยเสริมต่อ
“อื้ม ใช่แล้วล่ะ เธอเองก็ทำอาหารเก่งมากเลยด้วย ถ้าเธอทำออกมาได้ดีล่ะก็ ฉันมั่นใจเลยล่ะว่าต้องอร่อยแน่นอนเลย”
แน่นอน คนที่ส่งมาก็คือคุณมาเรียไงล่ะ
เพราะฉันบอกอาจารย์ไปด้วยว่าทำเตาอบพลังเวทแล้ว นี่ก็น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกันด้วยล่ะมั้ง
“ทำขนม! ดูทันสมัยสุดๆ ไปเลย! สมกับเป็นของที่ส่งมาจากคนเมืองเลยค่ะ! คุณซาราสะ! มาทำด้วยกันนะคะ!”
ไฟเก่าดับไป ไฟใหม่ดันติดขึ้นมาแทน
ปกติฉันก็สนใจเรื่องพวกนี้อย่างการทำขนมหวานนะ ไม่เหมือนพวกเรื่องเสื้อผ้าหรือแฟชั่น แต่ตอนนี้ ฉันเอาไว้ก่อนดีกว่า
“อ่า วันนี้ฉันฝากโลเรียจังเลยก็แล้วกันนะ ฉันยังไม่ได้นอนเลย”
“…อู่ว~ งั้นเหรอคะ? จริงด้วยนะคะ คุณซาราสะตื่นอยู่ตลอดทั้งคืนเลยด้วย เข้าใจแล้วค่ะ ถ้างั้น รอก่อนนะคะ! เดี๋ยวฉันทำของอร่อยๆ ให้เอง!”
“อืม ฝากด้วยน้า~ ฉันจะขอไปพักซักหน่อย”
ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าการทำขนมหวานเกี่ยวอะไรกับเรื่องของ ‘สาวคนเมือง’ แต่ถ้าโลเรียจังดีใจ แถมฉันยังได้กินขนมอร่อยๆ ด้วย ฉันก็ไม่บ่นอะไรหรอก
ระหว่างที่ฉันนั่งลงบนเก้าอี้ ดูโลเรียจังวิ่งวุ่นไปมา หลังจากที่เท้าโต๊ะได้ไม่นาน ความง่วงจากการที่โต้รุ่งมาตลอดคืนก็ทำฉันผลอยหลับไป
บรรยากาศสงบแบบนี้เนี่ย ดีจริงๆ เลย
แค่รอเฉยๆ ก็ได้ทานของอร่อยๆ แล้ว
ดีจริงๆ เลยน้า
อยากรักษาช่วงเวลาแบบนี้เอาไว้จัง
แต่แล้ว เสียง *กริ้ง กริ้ง* จากส่วนหน้าร้านที่ดังเข้ามาในหูของฉัน ราวกับว่ามันเข้ามาขัดช่วงเวลาแสนสบายๆ ของฉันไป
“อ่า…”
โลเรียจังเงยหน้าขึ้นมาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก มือของเธอยังมีแป้งเลอะอยู่เต็มเลย
“อา ไม่ต้องๆ เดี๋ยวฉันไปเอง”
“ขอโทษนะคะ ทั้งๆ ที่ฉันเป็นพนักงานดูแลร้านแท้ๆ…”
“ไม่เป็นไรๆ ฉันรอขนมอร่อยๆ อยู่นะ”
ฉันยิ้มให้โลเรียจังที่กำลังขอโทษอยู่ พร้อมกับลุกขึ้นยืน สลัดอาการงัวเงียออกไป
เฮ้อออ ถ้าเป็นลูกค้าน่ารำคาญล่ะก็ จะไล่ตะเพิดออกไปจากร้านซะเลยคอยดู!
ปรากฏว่า คนที่เข้ามาที่ร้านก็คือลูกค้าธรรมดา
จะรับลูกค้าแบบส่งๆ ไม่ได้ ฉันก็เลยช่วยเหลือพวกเขาอย่างทุกที ซึ่งมันใช้เวลามากกว่าที่ฉันคิดเอาไว้เสียอีก
ระหว่างนี้ ฉันก็ได้กลิ่นหอมๆ ลอยมาจากทางห้องครัวด้วย มันดึงความสนใจของฉันไปได้เลยล่ะ แต่ว่า… หืม? กลิ่นนี้มันมีอะไรมากกว่าแค่หอมแล้วไม่ใช่เหรอ?
พอฉันเปิดประตูห้องครัวออก ก็ชัดเจนเลยว่ากลิ่นไหม้นั่นเอง
โลเรียจังกำลังยืนอยู่ตรงนั้น ถือถาดคุกกี้ที่ไหม้เกรียมจนเป็นสีดำสนิทด้วยสีหน้าที่น้ำตาคลอเบ้า จนกำลังจะร้องไห้อยู่แล้ว
“ข- ขอโทษค่ะ คุณซาราสะ ฉัน ทำวัตถุดิบเสียเปล่าซะแล้ว…”
“อ้อ~ แค่นี้เอง ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกนะ ถ้าทำเป็นครั้งแรก จะพลาดก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว”
พอฉันเห็นหน้าโลเรียจัง เธอก็ขอโทษฉันทันทีเลย ซึ่งฉันก็ส่ายหน้าบอกเธอ
ฉันเองก็เรียนรู้วิชาเล่นแร่แปรธาตุผ่านความล้มเหลวมาเหมือนกัน
สิ่งสำคัญคือวิเคราะห์สาเหตุของความล้มเหลว เรียนรู้จากมัน แล้วก็พัฒนาตัวเองต่างหาก
“เธอรู้หรือเปล่าว่าทำพลาดตรงไหน?”
“ไม่รู้เลยค่ะ ฉันคิดว่าตัวเองก็ทำตามที่เขียนเอาไว้ในหนังสือเป๊ะๆ แล้ว…”
ฉันเอาหนังสือจากโลเรียจังที่กำลังตกตะลึงตัวแข็งมา แล้วก็อ่านมันดูด้วย
สูตรอาหารที่ส่งมาจากคุณมาเรีย
ฉันไม่คิดว่าจะมีผิดพลาดตรงไหนหรอก…
“ไหนๆ… อา~ ขอโทษนะ นี่ ความผิดของฉันเอง”
“เอ๊ะ? ทำไม ล่ะคะ?”
“อืม ปัญหาอยู่ที่การตั้งอุณหภูมิน่ะ”
เตาอบพลังเวทแทบทั้งหมดจะสามารถปรับค่าอุณหภูมิได้ แบ่งออกเป็น 10 ระดับ
แล้วอุณหภูมิในการอบคุกกี้ที่เขียนเอาไว้ในหนังสือคือ [ระหว่างระดับ 4 กับ 4.5]
แต่ว่า ปัญหาก็อยู่ตรงนี้นี่แหละ
ต่อให้อุณหภูมิจะเป็น 10 ระดับเหมือนกัน อุณหภูมิที่สามารถตั้งได้มันก็จะต่างกันไปในแต่ละเตาอบอยู่ดี
ถ้าเป็นเตาอบพลังเวททั่วๆ ไปล่ะก็ มันก็แทบจะไม่ต่างกันเลยนั่นแหละ แต่เตาอบที่ฉันติดตั้งเอาไว้ที่บ้านน่ะอบได้แม้กระทั่งเครื่องปั้นดินเผาเลยนะ ถ้าตั้งให้เป็นระดับ 10 ล่ะก็ มันจะร้อนจนถึงขั้นสามารถหลอมโลหะได้เลย
เป็นเรื่องสามัญสำนึกสำหรับนักเล่นแร่แปรธาตุอยู่แล้วที่ว่าการปรับค่าตัวเลขพวกนี้จะต่างกันไปในแต่ละบุคคล ซึ่งคุณมาเรียเองก็รู้เรื่องนี้เหมือนกัน
อาจจะเพราะแบบนั้น เธอถึงได้ส่งสูตรอาหารนี้มาให้ฉันเหมือนเป็นเรื่องปกติ แต่โลเรียจังน่ะไม่เหมือนกัน
ถ้าไม่ได้บอกเอาไว้ล่ะก็ การจะทำตามสิ่งที่เขียนเอาไว้ในหนังสือเลยมันก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว
เป็นความผิดของฉันเองที่ไม่ได้อธิบายเรื่องนี้ให้เธอเข้าใจเอาไว้ก่อนน่ะ
“ขอโทษนะ? ถ้าเป็นเตาอันนี้… ฉันคิดว่าถ้าลดระดับอุณหภูมิที่เขียนเอาไว้ในหนังสือเล่มนี้ลงให้เหลือประมาณ 1 ใน 4 ก็น่าจะใช้ได้นะ”
“ยังงั้นเหรอคะ เออ… ฉันขอลองดูอีกทีได้มั้ยคะ?”
โลเรียจังเงยหน้าขึ้นมามองที่ฉันด้วยท่าทางเฝ้ารอคำตอบ ซึ่งฉันก็พยักหน้าตอบเธอว่า ‘แน่นอน ได้อยู่แล้ว’
“จะทำอีกกี่ครั้งก็ได้เลยนะ โชคดีที่มีวัตถุดิบส่งมาให้ฉันอีกเยอะเลย”
“ขอบคุณมากค่ะ! ฉันจะพยายามเต็มที่จนกว่าจะออกมาอร่อยให้ได้เลยค่ะ!”
แล้วโลเรียจังก็ยิ้มออกมาได้ พร้อมกับกำหมัดทั้ง 2 ข้างของเธอแน่น พร้อมกับพยายามเต็มที่อย่างที่เธอสัญญาจริงๆ
ก็ อย่างที่ว่านั่นแหละ หลายต่อหลายครั้งจนกว่าจะออกมาอร่อยอย่างที่เธอสัญญาจริงๆ
จนฉันเองก็ลืมทานมื้อกลางวันไปเลยเหมือนกัน
มันก็คุ้มค่าดีเลยนะ ฝีมือของเธอพัฒนาขึ้นมาอีกนิด แต่ว่า… หิวจังเลย เพราะฉันโต้รุ่งอยู่ตลอดคืนด้วยนั่นแหละนะ
ดูท่า มื้อกลางวันของวันนี้คงจะเป็นคุกกี้แล้วล่ะมั้ง?
ฉันคิดแบบนั้น พลางหยิบคุกกี้ขึ้นมาเล็ม ดูเหมือนจะอบนานเกินไปนิดหน่อยนะ ยังแอบมีรสขมนิดๆ อยู่เลย
TN: ยังจำคำแนะนำจากฟิโอริเน่ได้มั้ยครับ?
“ถ้าเริ่มคิดว่าสะดวกดีจังล่ะก็ นั่นน่ะอันตรายแล้วนะ เพราะมันจะออกห่างจากคำว่า [แต่งงาน] ไปเรื่อยๆ เหมือนกัน”
เอาล่ะ… ชักเริ่มเห็นเค้าลางแล้วสิ…
ขอแปะ Discord สำหรับแจ้งเตือนนิยาย กับมุมพูดคุยกันไว้ตรงนี้ด้วยนะครับ ใครสนใจก็แวะมาได้นะ ^^
https://discord.gg/Fm9NsqeH2r