“คงจะไม่ทันแล้วสินะคะ”
แล้วในถ้ำก็มีเสียงดังกระหึ่มขึ้นมา แล้วค้างคาวเขี้ยวน้ำแข็งกลุ่มใหญ่ก็รุมโผเข้าใส่คุณกิลที่เข้าไปยุ่มย่ามกับคลังเสบียงของพวกมัน
“ไอ้โง่เอ๊ย! ไม่ยอมฟังที่ผู้เชี่ยวชาญให้จบไม่พอ แล้วยังจะแกว่งตีนหาเสี้ยนอีกเรอะ!”
“ท- โทษที!”
คุณอังเดรรีบวิ่งตามมาสมทบ แล้วก็ด่าคุณเกลเสียงดังเลย
พอโดนเข้าไปแบบนั้น คุณกิลก็รีบขอโทษ ขว้างผลไม้ที่ถืออยู่ทิ้งไป แล้วชักดาบของตัวเองออกมาเข้าต่อสู้ทันที ส่วนทางฉันก็กำลังฟันพวกค้างคาวเขี้ยวน้ำแข็งที่พากันมารุมล้อมกับคุณเกรย์อยู่
แต่ว่า พวกค้างคาวน้ำแข็งที่เป็นเป้าหมายน่ะ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่พวกนี้หรอก
ระหว่างที่ฉันใช้ดาบฟันพวกตัวใกล้ๆ ก็ใช้เวทมนตร์ยิงใส่พวกตัวที่บินอยู่ด้วย
“ท- ทำไม? พวกมันหลับกันอยู่แท้ๆ แล้วจู่ๆ… พวกมันไม่ได้จู่โจมเข้ามาด้วยนะคะ!”
คุณไอริสที่เห็นแบบนั้นระหว่างที่ยังแกว่งดาบของเธอไปรอบๆ ก็สงสัยอยู่นิดหน่อย ฉันก็บอกเธอไปในสิ่งที่เป็นพื้นฐานมากๆ เลยอย่างนึง
“ถ้าคลังเสบียงของตัวเองถูกทำลาย เดี๋ยวพวกมันก็ตื่นตามๆ กันมาเองนั่นแหละค่ะ”
“มันแน่อยู่แล้วล่ะนะ ก็เป็นเรื่องของความเป็นความตายเลยนี่นา”
คุณเคทเองก็พยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะเข้ามายืนตรงกลางระหว่างฉันกับคุณไอริส ฝากให้เราจัดการเรื่องศัตรูที่เข้ามาในระยะใกล้ ก่อนที่เธอจะใช้ธนูเล็งยิงใส่พวกค้างคาวที่อยู่ไกลๆ
“เข้าใจนะคะ! แต่ว่า―――บ้าที่สุดเลย! จะเยอะเกินไปแล้วนะ!”
ถึงเราจะบ่นนู่นบ่นนี่ แต่พวกเราก็ยังต้องฆ่าพวกค้างคาวเขี้ยวน้ำแข็งต่อไป พริบตาเดียว กองซากค้างคาวก็รอบพวกเรากระจายเต็มพื้นไปหมดจนไม่เห็นเท้าของตัวเองแล้ว แต่การบุกเข้าใส่ของพวกค้างคาวก็ยังไม่หยุดเลย
แล้วคนแรกที่เริ่มจะหอบแล้วก็คือคุณไอริส
“แฮ่ก แฮ่ก… ม- ไม่หมดไม่สิ้นซะที?”
“ไอริส! พยายามเข้า! คุณผู้จัดการ ระหว่างที่ใช้เวทมนตร์อยู่ คุณก็ใช้ดาบได้ด้วยใช่มั้ยคะ? ที่เธอทำคือพูดบ่นงั้นเหรอ!”
“ค- เคทเองก็ยังพักอยู่เลยไม่ใช่หรือไง! ก็ ฉันว่าถ้าแพ้นายท่านผู้จัดการเรื่องกำลังกายนี่ก็น่าเศร้าแย่เลย!”
“อ่า ค่ะ ฉันไม่เป็นไรหรอกค่ะ? ถ้าลำบากเกินไป ให้เพิ่มความแรงของ {แอร์วอลล์ (กำแพงวายุ)} มั้ยคะ? พวกค้างคาวเขี้ยวน้ำแข็งจะได้บุกฝ่าเข้ามาไม่ได้ด้วย?”
“ท- ทำแบบนั้น ได้ด้วยเหรอคะ?”
“ค่ะ แน่นอน”
“มานึกๆ ดูแล้วนี่ คราวที่แล้วหนูก็ดีดตัวค้างคาวออกไปด้วยนี่นา…”
แต่ไหนแต่ไร เวทมนตร์นี้ก็เอาไว้ป้องกันลูกธนูล่ะนะ
จริงๆ แล้ว มันไม่ได้เป็นเวทมนตร์ที่เอาไว้ป้องกันมูลสัตว์ที่ร่วงลงมาหรอก
หรือก็คือ มันเป็นเวทมนตร์ที่แรงพอจะสามารถปัดลูกธนูได้เลยนะ เพิ่มแรงเข้าไปอีกหน่อย จะปัดค้างคาวเขี้ยวน้ำแข็งที่พุ่งเข้ามาออกไปบ้างก็ไม่ใช่ปัญหาเลย ขอแค่ฉันมีพลังเวทให้ใช้ก็พอ
เหตุผลที่ฉันไม่ทำแบบนั้น ก็เพราะเป้าหมายของพวกเราคือการล่าค้างคาวเขี้ยวน้ำแข็งต่างหาก
ถ้าเข้าไปใกล้ๆ กับพวกมันไม่ได้ล่ะก็ ต่อให้ใช้ดาบมันก็โจมตีไม่ถึงอยู่ดีน่ะสิ
“อู่ว… ง- งั้น มาพยายามกันให้เต็มที่เลย!”
“เหรอคะ? งั้นก็ ขอให้โชคดีนะคะ แต่ว่า ระวังตัวเองด้วย ฉันรับรองความทนทานของถุงมือยืดหยุ่นได้ แต่ก็มีแค่นั้นเลย พวกค้างคาวเขี้ยวน้ำแข็งรอบๆ นี่สามารถกัดทะลุเกราะหนังอ่อนได้ ถ้าเป็นแบบนั้นล่ะก็ แขนทั้งข้างจะถูกแช่แข็งไปเลยนะคะ?”
“กึก! ซ- ซาราสะจัง! ช่วยลดจำนวนมันซักหน่อยได้มั้ย!?”
“รับทราบค่า”
ฉันปรับพลังของ {แอร์วอลล์ (กำแพงวายุ)} ให้ตามเสียงตะโกนเบาๆ ของคุณกิลที่ดังมาจากด้านหลัง
“รอดไปที!”
“อึม ถ้าจำนวนประมาณนี้ล่ะก็ จะตีไม่โดนก็คงยากนะ”
คุณเกรย์พูดเสียงกระซิบกระซาบตามคุณกิลมา
เขาถืออาวุธที่หนักที่สุดในหมู่พวกเราเลย ก็เลยไม่ค่อยเหมาะกับสถานการณ์ตอนนี้เท่าไหร่
แต่ว่า เหตุผลที่ทำไมการเคลื่อนไหวถึงไม่ได้ช้าลงขนาดนั้นก็เพราะพลังทางกายภาพพื้นฐานของเขาเลย
แต่ว่า จำนวนของค้างคาวเขี้ยวน้ำแข็งมันแค่มากไปหน่อยเท่านั้นเอง… ตอนที่ทุกคน รวมทั้งคุณเกรย์ด้วย เริ่มจะขยับกันไม่ค่อยไหวแล้ว
ในที่สุดพวกฝูงค้างคาวเขี้ยวน้ำแข็งก็หมดซักที
“จ- จบแล้วเหรอ…?”
“เอ น่าจะจบแล้วสำหรับตอนนี้นะคะ”
ลองตรวจจับดูด้วยเวทมนตร์แล้ว ก็ไม่มีปฏิกิริยามาจากพวกค้างคาวเขี้ยวน้ำแข็งที่ยังมีชีวิตอยู่ใกล้ๆ บริเวณนี้เลยด้วย
พอฉันพยักหน้าให้ คุณเคทกับพวกคุณอังเดรก็ถอนหายใจออกมาพร้อมกัน เก็บอาวุธที่ถืออยู่กลับไป แล้วเริ่มผ่อนคลายร่างกายของตัวเองด้วยการนวดแขนหรือบิดไหล่ไปมา
“เฮ่อ… เรื่องคราวนี้เนี่ย ทำเอาแขนตึงแทบระเบิดเลย”
“อ้า~~! เหนื่อยเป็นบ้า!”
“จะเยอะเกินไปแล้ว!”
“มันก็เพราะแกทำอะไรไม่คิดนั่นแหละเฟ้ย! สำนึกผิดซะด้วยล่ะ กิล”
“ขอโทษจริงๆ นะ! ต้องขอโทษทุกคนด้วยจริงๆ!”
คุณกิลพนมมือเข้าหากันพร้อมกับก้มหัวให้ทุกคน ฉันเห็นแบบนั้นก็หัวเราะนิดหน่อย ก่อนจะส่ายหน้าตอบเขาไป
“ไม่เป็นไรค่ะ ถ้ามีกรณีฉุกเฉินเกิดขึ้นจริงๆ ก็มีวิธีรับมืออยู่ค่ะ”
“แต่ถึงยังไง ก็สมแล้วนะคะ! นายท่านผู้จัดการสุดยอดไปเลย! ขนาดใช้เวทมนตร์ขนาดนั้นอยู่ด้วยแท้ๆ ก็ยังเหวี่ยงดาบได้แบบไม่มีปัญหาอีกต่างหาก”
“ฉันใช้การเสริมแกร่งร่างกายช่วยด้วย ถ้าเป็นเรื่องพลังกายหรือความแข็งแรงของกล้ามเนื้อล้วนๆ ล่ะก็ ฉันเทียบคุณไอริสไม่ติดหรอกค่ะ อีกอย่าง เรียกฉันว่าชินจีนิด้วยนะคะ”
“…คุณผู้จัดการ ยังจะให้เรียกแบบนั้นต่ออยู่อีกเหรอคะ? ชื่อนั้นน่ะ”
“ก็ ถ้าพวกพ่อค้าเกิดรู้เรื่องนี้ก่อน มันก็ไม่สนุ―――มันจะยุ่งยากเอาน่ะสิคะ”
พอได้ยินฉันพูดแบบนั้น พวกคุณอังเดรก็หันมามองหน้ากัน
“ชินจีนิ ไม่ใช่ว่านี่กำลังสนุกอยู่เรอะ? เรื่องในครั้งนี้น่ะ”
“เอ๊ะ? …ไม่หรอกค่ะ ไม่หรอก พ่อค้าหน้าเงินโลภมากคนนั้นจะล้มละลายนะคะ เรื่องสนุกนี่ก็มีคิดแค่นิดเดียวเท่านั้นแหละค่ะ”
“คิดด้วยเรอะเรื่องนั้นน่ะ!?”
คุณกิลทำมือตบมุกกับคำพูดอย่างตรงไปตรงมาของฉันเลย
แต่ เรื่องมันก็แน่อยู่แล้วนี่นา?
ฉันไม่ยอมให้พ่อค้าคนนั้นได้มีความสุขง่ายๆ แบบนั้นหรอก
ถ้าไปทำให้คนอื่นไม่ความสุขแบบนี้น่ะ
“ก็นิดนึงนะคะ คติประจำครอบครัวของฉันคือ [ทำธุรกิจอย่างซื่อตรง] ค่ะ”
“ครอบครัว… ธุรกิจครอบครัวของชินจีนินี่ทำการค้าขายเหรอคะ?”
“ค่ะ แต่คุณพ่อคุณแม่ถูกพวกโจรฆ่าตายไปแล้ว”
“อ่า ขอโทษค่ะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ใช่เรื่องที่คุณไอริสต้องขอโทษเลย”
คุณไอริสหลบสายตาไปอย่างอึกอัก ฉันก็ส่ายหน้าให้
เรื่องที่เสียคุณพ่อคุณแม่ไปมันเศร้ามากนะ แต่ตอนที่ได้อยู่ในบ้านเด็กกำพร้า ฉันก็ได้เข้าใจว่าเรื่องนี้ไม่ได้เป็นเรื่องหายากอะไร แล้วหลังจากนั้น ฉันคิดว่าตัวเองก็ไม่ได้ไม่มีความสุขเลยด้วย
ที่วิทยาลัย ฉันก็ได้มีเพื่อนดีๆ แถมยังได้เจออาจารย์ระดับปรมาจารย์อย่างคาดไม่ถึงด้วยอีกต่างหาก
ถึงจะต่างไปจากที่คุณพ่อคุณแม่ทำก็เถอะ แต่ฉันก็ได้ทำ [ธุรกิจ] ในฐานะนักเล่นแร่แปรธาตุแล้วด้วย
เพราะแบบนั้นแหละ ฉันถึงอยากจะทำในสิ่งที่พวกคุณพ่อตั้งเป้าเอาไว้ให้ได้ อุปสรรคอะไรที่ขวางทางเป้าหมายนั้น ฉันไม่ปล่อยเอาไว้ให้ได้แม้กระทั้งพยายามจะทำแน่นอน
―――ก็ไม่ได้ขนาดนั้นหรอก
ตอนนี้ เรื่องสำคัญที่ฉันต้องทำก็คือเติบโตขึ้นในฐานะนักเล่นแร่แปรธาตุให้ได้ ตราบใดที่ไม่ไปส่งผลอะไรกับเป้าหมายนั้นล่ะนะ
“ก็ ยังไงครั้งนี้ ฉันก็ได้ใช้เวทมนตร์ที่ได้ฝึกมาใช้ในการต่อสู้จริงด้วย แบบนั้นก็ดีค่ะ”
“เมื่อไม่นานนี้ก็เพิ่งจะถางป่าไปเองนี่นา นายท่านผู้จัดการน่ะ”
“ใช้คำว่า [ถางป่า] เลยนี่โหดร้ายจังเลยนะคะ หลังบ้านเองก็แค่โล่งขึ้นบ้างหลายๆ ที่เท่านั้นเอง”
การบุกรุกของเฮล เฟลม กริซลีเมื่อไม่กี่วันก่อน
ฉันต้องลำบากอยู่นิดหน่อยเพราะไม่มีเวทมนตร์สำหรับโจมตีไว้ใช้มากขนาดนั้น พอลองปรึกษาเรื่องนี้กับอาจารย์ดูแล้ว ช่วงนี้ ฉันก็เลยฝึกใช้เพิ่มขึ้นอยู่ที่ข้างหลังร้านด้วย
แต่ก็นะ การเป่าให้ป่าหายไปด้วยเวทมนตร์นี่มันก็ไม่ได้เป็นเรื่องอันตรายอะไรหรอก
ฉันแค่ค่อยๆ ล้มต้นไม้ไปทีละต้นๆ ด้วยเวทมนตร์เท่านั้นเอง
แน่นอนว่าฉันไม่ได้ล้มต้นไม้พวกนั้นไปเปล่าๆ หรอกนะ ฉันขนไปให้คุณเกเบิร์กเป็นของขวัญด้วย
แต่ว่า พวกตอไม้ที่เหลือก็เป็นเป้าสำหรับเวทมนตร์พิสัยกว้างไปแล้ว พื้นตรงนั้นก็เลยจะเละนิดนึงล่ะเนอะ?
“ถ้าสถานการณ์อันตรายจริงๆ ฉันก็คงจะจัดการกวาดไปด้วยเวทมนตร์พิสัยกว้างไปแล้ว แต่ฉันดีใจนะคะที่สุดท้ายก็ไม่ต้องใช้ ถ้าต้องมาใช้ที่นี่ล่ะก็ ถ้ำคงจะเละเทะไปหมดจนการเก็บเอาเขี้ยวเป็นงานยากไปเลยล่ะค่ะ”
ถ้าฉันใช้ล่ะก็ คงจะกลายเป็นว่าต้องมาเก็บเขี้ยวจากเศษเนื้อที่เละเหมือนโคลนไปแทนน่ะสิ
“แบบนั้นก็ช่วยได้มากเลย ข้าเองก็เอียนกับการกำจัดซากสัตว์เต็มทนแล้ว…”
ระหว่างที่คุณอังเดรพูดแบบนั้น มองไปรอบๆ พร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ บริเวณนี้ก็มีกองซากค้างคาวเขี้ยวน้ำแข็งกระจายไปทั่ว กองสุมจนสูงเกือบถึงเอวแล้ว
พวกที่โดนเวทมนตร์ของฉันหรือธนูของคุณเคทจัดการไปก็จะร่วงกระจายอยู่ไกลซักหน่อย
จำนวนก็ไม่ได้น้อยๆ เลย
“มองอีกทีก็ยังไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองอยู่ดีนะ ไหงครั้งนี้มันถึงได้เยอะแยะขนาดนี้ล่ะเนี่ย…?”
“เพราะพวกมันไม่ถอยหนีไปเลยนี่คะ เราเข้าไปยุ่มย่ามกับคลังอาหารของพวกมันด้วย”
ในตอนที่บางตัวถูกล่า ตัวที่เหลือก็จะหนีไป
นั่นคือรูปแบบการเคลื่อนไหวปกติของพวกค้างคาวเขี้ยวน้ำแข็ง
แต่ว่าครั้งนี้ เพราะไปยุ่งกับคลังอาหารของพวกมันที่พวกมันต้องใช้ในการเอาชีวิตรอด
เพราะงั้น พวกค้างคาวเขี้ยวน้ำแข็งก็ดิ้นรนสุดชีวิต กระทั่งถอยร่นกลับไปก็ยังไม่มีด้วยซ้ำ
ตอนนี้เป็นฤดูที่พวกมันสามารถเก็บอาหารจากในป่ามาได้ การต่อสู้ที่พวกเราต้องเจอก็เลยหมดแค่นี้ แต่ถ้าเกิดเป็นฤดูหนาวล่ะก็ พวกค้างคาวเขี้ยวน้ำแข็งอาจจะแห่กันมาทั้งถ้ำเลยก็ได้
“―――หรือก็แปลว่า มันเป็นความผิดของกิลสินะ!”
“ก็ขอโทษแล้วไง! จากนี้ไปจะตั้งใจฟังดีๆ ก่อนจะทำอะไรแล้ว! นะ?”
“ฉันกะจะขอให้คุณทำแบบนั้นอยู่พอดีเลยค่ะ แต่ว่าตอนนี้ มาเริ่มจัดการกับกองซากพวกนี้กันดีกว่านะคะ”
“…นั่นสินะ จะโทษกิลไปมันก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา แล้ว จะเอายังไงดีล่ะ?”
“เออ คือ ข้าก็คิดแบบนี้มาตั้งแต่ครั้งที่แล้วแล้วล่ะนะ…”
จำนวนซากขนาดนี้ ไม่ใช่ปริมาณที่จะขนไปได้ในเที่ยวเดียวได้เลย ต่อให้พวกเราจะพยายามช่วยกันก็เถอะ
ถ้าไปกลับหลายๆ เที่ยวแล้วมานั่งแกะเขี้ยวเอาที่หน้าถ้ำล่ะก็ อาจจะมีนักเก็บสะสมคนอื่นที่มาเจอพอดีมาแอบเอาซากไปเองโดยไม่ได้ขอก็ได้…
“ถ้าจัดการเก็บเขี้ยวซะตรงนี้ก่อน แล้วก็ขนซากออกไปหลายๆ เที่ยวเอาล่ะ คิดว่าไงบ้างคะ?”
“แบบนั้นก็ดี กิล เข้าใจแล้วนะ?”
“จะพยายามแล้วกัน แต่… มันก็มีขีดจำกัดที่ข้าจะขนได้อยู่เหมือนกันนะ รู้ใช่มั้ย?”
“พวกค้างคาวเขี้ยวน้ำแข็งบริเวณนี้ตัวใหญ่เหมือนกันนะคะเนี่ย”
แต่ละตัวอาจจะหนักเกิน 1 กิโลได้เลย กองเป็นภูเขาจริงๆ เลยล่ะ
เพราะแบบนั้น ราคารับซื้อของเขี้ยวก็จะสูงตามไปด้วย แต่ระยะห่างจากปากทางเข้านี่ก็ไกลใช้ได้เลย…
“ดีล่ะ งั้นกิลก็ขนไปซักรอบละ 100 ตัวแล้วกัน”
“เอาจริงดิ!? จะยังไงก็เถอะ… นั่นมัน เกือบจะ 2 เท่าจากที่ข้าขนไหวแล้วนะนั่นน่ะ?”
“ไปได้น่าๆ รีบวิ่งๆ ไป ซัก 3 เที่ยวก็ได้แล้ว!”
ไร้เหตุผลสุดๆ
แบกถุงหนังที่หนักเกิน 100 กิโลกรัมวิ่งทะลุผ่านถ้ำงั้นเหรอ สิ่งที่รออยู่นี่ไม่ว่ายังไงก็จบไม่สวยแน่นอนเลย
แถมก่อนอื่น ถ้าคิดถึงเวลาที่อาทิตย์จะลับฟ้าด้วยแล้วเนี่ย ต่อให้ขนไป 2 เท่าก็ต้องพยายามมากๆ เลยล่ะ
“…อืม วันนี้ มาจัดการเรื่องเขี้ยวซะก่อนเป็นลำดับแรกดีกว่าค่ะ คิดเอาไว้ก่อนว่าขากลับบ้าน ฉันจะขนไปเท่าที่จะไหวก่อน แล้วตั้งแต่พรุ่งนี้ไป ฉันค่อยจ้างใครซักคนเข้าไปจัดการอย่างจริงจังก็แล้วกันค่ะ”
“จะดีเหรอ? ให้กิลขนไปคนเดียวเลยก็ได้นะ? จะคุ้มเงินเรอะ?”
“นั่นก็ไม่เลวนะ…”
ตรงมุมสายตาของฉัน ฉันเห็นคุณกิลร้อง ‘เหวอ!’ แถมหน้าเสียไปเลย ฉันก็ส่ายหน้าบอกไป
“แบบนั้น ปริมาณที่ขนได้จะไม่เยอะด้วยค่ะ ไหนจะเรื่องที่นักเก็บสะสมคนอื่นจะมาเจออีก”
การล่าน่าไม่ได้จบอยู่แค่ตรงนี้ซักหน่อย
แค่ลองจินตนาการว่ากองซากค้างคาวขนาดนั้นจะทำเงินได้มากขนาดไหนล่ะก็ ถ้าล่ามากเกินไป อาจจะทำให้ผู้คนรอบตัวมาอิจฉาตาร้อนเข้าก็ได้
“ถ้าซาราสะจังมองว่าดีแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลอะไรต้องแย้งล่ะนะ”
“ก็นะ ถ้ามีแค่พวกเราที่ทำเงินได้ก็คงเป็นปัญหา ฉันคิดว่าแบบนั้นก็ดีแล้วเหมือนกัน?”
“นั่นสินะ ถ้างั้น มาจัดการเก็บให้เต็มที่กันเลยดีกว่า ต่อให้แค่หักเขี้ยวเฉยๆ จำนวนของมันก็ดูจะไม่ใช่งานที่จบได้ง่ายๆ เลยนะคะ”
TN: ควรมองว่า ถ้าซาราสะจังไม่อยู่ด้วยก็คงไม่รอดแล้ว หรือควรมองว่าถ้าน้องไม่เข้ามาด้วย เดอะแก๊งค์ก็คงเข้ามาไม่ลึกเท่านี้หรอกดีนะ ^^