[นิยายแปล] ร้านป้ายแดงของสาวนักแปรธาตุมือใหม่ 56 [2] สินค้าใหม่และคู่แข่งทางการค้า? [Part 2]

ตอนที่ 56 [2] สินค้าใหม่และคู่แข่งทางการค้า? [Part 2]

ตั้งแต่ที่ฉันขายถุงมือยืดหยุ่นไปให้พวกคุณอังเดรแล้วเรียบร้อยนี่ก็ผ่านมาซักพักใหญ่แล้วนะ

เขี้ยวของค้างคาวเขี้ยวน้ำแข็งก็ถูกเอามาขายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เลย

ฉันฝากงานรับซื้อให้โลเรียจังที่ตอนนี้ เธอก็เรียนรู้การทำงานนี้ได้อย่างรวดเร็วได้แล้ว และทางฉันเองก็สร้างอาร์ติแฟกต์ (อุปกรณ์แปรธาตุ) ขึ้นมา 2 ชิ้นมาตั้งเรียงไว้ในร้านด้วย

 

ชิ้นแรกก็คืออันที่ฉันเคยบอกโลเรียจังเอาไว้ก่อนหน้านี้ [ผ้าคลุมหน้าไล่แมลง]

พอสวมเอาไว้แล้ว แมลงก็จะไม่เฉียดเข้ามาใกล้เลย เป็นสินค้าที่ค่อนข้างสะดวกสบายสำหรับฤดูร้อนเลยล่ะ

อันนี้ราคา 2,800 แรร์ ถ้าเทียบกับอาร์ติแฟกต์สำหรับไล่แมลงที่ทางนักเก็บสะสมใช้กันล่ะก็ อันนั้นราคา 20,000 แรร์เลยนะ

ผลของมันก็แคบกว่ากันเยอะเลยนั่นแหละ แต่ก็ถูกกว่ากันอย่างเห็นได้ชัดเลย

ที่จำเป็นต้องใช้ในการสร้างมันก็คือหนอนสไปทเวิร์มที่แปะบอกเอาไว้ที่กระดานข่าวเท่านั้นเอง

ของชิ้นนี้เองก็ไปได้สวยเลยเหมือนกันนะ

ราคาขายของมันจะตัดสินจากความยาวของลำตัวกับเพศของมัน เป็นเรื่องง่ายๆ เลยสำหรับนักเก็บสะสมที่เข้าใจเรื่องของราคาสูงอยู่แล้ว แถมการตีราคาก็ยังง่ายสำหรับโลเรียจังด้วย

แต่ถึงยังงั้นก็เถอะ ความง่ายกับการจะทำได้มั้ยเนี่ยมันเป็นคนล่ะเรื่องกันนะ

เพราะว่า มันเป็นหนอนแก้วล่ะมั้ง?

ตอนแรกๆ การฝึกจัดการมันก็เป็นเรื่องสุดหินสำหรับฉันเลยเหมือนกัน

ฉันท่องเอาไว้ว่า ‘เงินรางวัล! เงินรางวัล!’ ซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในใจไม่หยุด แล้วในท้ายที่สุด ฉันก็รอดผ่านมันมาจนได้!

ตอนนี้ ฉันจับหนอนแก้วได้อย่างเป็นปกติเลยล่ะ!

…มนุษย์นี่ เคยชินกับทุกอย่างได้เลยสินะเนี่ย

เพราะฉันเคยเจอประสบการณ์แบบนั้นมาก่อน ฉันเลยถามโลเรียจังว่า ‘ไม่เป็นไรใช่มั้ย?’ คำตอบที่เธอตอบฉันกลับมาก็คือ ‘หมายถึงอะไรเหรอคะ?’

ก่อนที่เธอจะบอกต่อว่า ‘ถ้ามากลัวหนอนแก้วอะไรแบบนี้ล่ะก็ ใช้ชีวิตอยู่ที่ชนบทแบบนี้ไม่ได้หรอกค่ะ’

ถึงโลเรียจังจะไม่ได้อยู่ในครอบครัวชาวนาชาวไร่ก็จริง แต่บางครั้ง เธอเองก็ถูกเรียกตัวไปจัดการกับพวกแมลงอยู่บ้างเหมือนกัน ดูเหมือนเธอจะไม่มีปัญหาอะไรเลยกับพวกหนอนแก้วที่ไม่มีพิษล่ะนะ

แล้วก็เป็นอย่างที่เธอบอกเลยล่ะ เธอจัดพวกมันด้วยมือเปล่าๆ ได้อย่างเป็นปกติเลย…

สมกับที่โตมาจากเขตชนบทเลยแฮะ สุดยอดจริงๆ

 

อาร์ติแฟกต์ชิ้นที่ 2 สำหรับชาวบ้านก็คือ [หมวกเย็นฉ่ำ]

มันเป็นอาร์ติแฟกต์ที่ใช้เขี้ยวของค้างคาวเขี้ยวน้ำแข็งช่วยส่งความเย็นให้กับส่วนศีรษะและร่างกายท่อนบนของผู้สวม

ผู้ช่วยชีวิตตัวจริงของเหล่าชาวนาชาวไร่ในฤดูร้อนเลยล่ะ

แต่ว่า เทียบกับผ้าคลุมหน้าไล่แมลงแล้วนี่ ชิ้นนี้ก็อาจจะแพงอยู่นะ ราคา 7,000 แรร์เลย

ก็ต่างจากผ้าคลุมหน้าไล่แมลงที่สร้างได้ตั้งแต่ระดับที่ 3 ล่ะนะ ชิ้นนี้ต้องเป็นระดับที่ 4 ราคาก็เลยจะแพงกว่านั่นแหละ

จากอะไรหลายๆ อย่างแล้วเนี่ย การตั้งราคาไว้ที่ 7,000 แรร์ในนาทีสุดท้ายก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก

 

โชคดีเลยล่ะที่อาร์ติแฟกต์ทั้ง 2 ชิ้นนี้ได้รับการยอมรับจากชาวบ้านเป็นอย่างดีเลย พวกมันก็เลยขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่าเลยล่ะ

แต่มันเหมือนกับว่าเงินที่ฉันจ่ายไปเพื่อรับซื้อหนังของเฮล เฟลม กริซลีก็แค่วนกลับเข้ามาในกระเป๋าของฉันเท่านั้นเอง

ฉันว่ามันน่าจะช่วยเหลือเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านได้ประมาณนึงนะ แต่ที่ซื้อหนังพวกนั้นมาก็เพราะว่าฉันแค่มีรายได้เพิ่มขึ้นมาเป็นพิเศษอยู่ด้วยเท่านั้นเอง แล้วมันก็ต่างไปจากความตั้งใจของฉันอยู่นิดนึงนะ ที่อยากจะเพิ่มปริมาณเงินที่ไหลเวียนภายในหมู่บ้านอีกซักหน่อย

เรื่องที่ฉันมาหมู่บ้านนี้ก็เป็นเพราะความบังเอิญ เพราะงั้น ฉันก็อยากจะทำให้ทั้งหมู่บ้านมีเงินจับจ่ายกันด้วย แล้วพอทุกคนมีเงินในกระเป๋ากัน ธุรกิจของฉันเองก็จะดำเนินไปได้ด้วยดีตามไปด้วย

สำหรับคนทั่วๆ ไปแล้วเนี่ย ร้านของนักเล่นแร่แปรธาตุมันดูออกจะเป็นสถานที่ที่ยากกับการเข้าไปใช้จ่ายล่ะนะ

แต่ก็เพราะที่นี่มีโลเรียจังที่ทุกคนในหมู่บ้านรู้จักมาตั้งแต่เด็กๆ เป็นคนดูแลร้านนี้นี่แหละ ร้านนี้ก็เลยชวนให้รู้สึกน่าเดินเข้ามามากกว่า เพราะพวกเขาก็จะคิดกันว่า ‘แวะเข้าไปดูซักหน่อยดีมั้ยนะ?’

แต่ก็นะ ต่อให้เข้ามาในร้านนี่แล้วทั้งที แต่ดันไม่มีอะไรให้ซื้อเลย แบบนั้นคนก็คงจะแวะเวียนมาหาน้อยลงไปแน่นอนเลย

เพื่อจะไม่ให้กระแสนี้มันขาดช่วงไป ต้องหาวิธีดีๆ ซักอย่างแล้ว―――

 

“ทุกคน ลองช่วยกันคิดหาวิธีกันดูหน่อยนะคะ”

 

เรื่องแบบนี้ก็ต้องเอาจำนวนเข้าสู้สิ สี่หัวต้องดีกว่าหัวเดียวอยู่แล้ว

ฉันไปหว่านล้อมพวกโลเรียจังมารวมตัวกัน แล้วก็ถามขอความคิดเห็นจากทุกคน

 

“เงิน งั้นเหรอคะ ก็จริงอยู่นะคะเรื่องที่ว่าในหมู่บ้านนี้ไม่ได้จำเป็นต้องใช้เงินกันมากขนาดนั้น”
“พวกฉันก็ใช้เงินกับแค่ที่ร้านขายของชำกับเรียวกังเท่านั้นเอง”
“สำหรับนักเก็บสะสมนี่ออกจะเป็นข้อยกเว้นนะคะ มันเหมือนเป็นการแลกเปลี่ยนกันมากกว่า”

 

นอกจากที่เรียวกังกับร้านขายของชำแล้ว สิ่งที่พวกเราจะซื้อก็มีแค่ผลผลิตทางการเกษตรที่เหล่าชาวบ้านปลูกกัน กับเนื้อของสัตว์ที่ถูกคุณแจสเปอร์ล่ามา

ขนาดที่บ้านหลังนี้เอง เงินที่ฉันให้โลเรียจังในช่วงนี้ก็ไม่ได้ลดลงไปเท่าไหร่เลยด้วยเหมือนกัน

ตอนที่โลเรียจังไปซื้อของ เธอก็บอกฉันว่า ‘เอาอันนี้ด้วยนะคะ!’ อยู่บ่อยๆ เลย ส่วนคุณเคทก็ล่าสัตว์ในป่าเอง

สำหรับตอนนี้เนี่ย ยังมีเงินสดเข้ามาในหมู่บ้านจากที่บรรดานักเก็บสะสมเอาเข้ามา แต่เพราะเงินพวกนั้นถูกจ่ายออกไปเป็นภาษีด้วย ก็เลยดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยมีเงินสดค้างเหลือในหมู่บ้านมากเท่าไหร่ จากที่คุณผู้ใหญ่บ้านบอกล่ะนะ

 

“““อื~ม…”””
“สำหรับความคิดดีๆ ที่เสนอขึ้นมา ฉันมีขนมหวานแพงๆ ที่ซื้อมาเมื่อวันก่อนให้ด้วยนะคะ!”

 

พอฉันเอาขนมออกมาจากกระเป๋าเป้ของตัวเองแล้ววางเรียงเอาไว้บนโต๊ะ ตา 3 คู่ที่มองพวกมันอยู่ตอนนี้ก็เริ่มเปล่งประกายออกมาเลย

 

“ปัญหาใหญ่ที่สุดคือในหมู่บ้านนี้ไม่ค่อยมีงานที่สามารถสร้างเงินขึ้นมาได้เท่าไหร่เลยนะคะ”
“ก็ไม่ถึงกับเป็นปัญหาหรอกนะคะ แต่เรื่องที่ว่าในหมู่บ้านนี้ไม่ค่อยมีเงินนี่ก็จริงนั่นแหละค่ะ เพราะฉะนั้น พวกเราเลยต้องทำธุรกิจกับผู้คนที่นำเม็ดเงินเข้ามาจากภายนอก แต่… ในหมู่บ้านนี้เนี่ย คนที่ทำแบบนั้นได้ก็มีแค่บรรดานักเก็บสะสมกับคุณผู้จัดการเท่านั้นเอง”
“นั่นสิคะ เป็นแบบนั้นจริงๆ ด้วย”

 

ทันทีที่ฉันยื่นขนมให้ ขนมชิ้นนั้นมันก็หายเข้าไปในปากของคุณเคททันทีเลย พร้อมๆ กับสีหน้าของเธอที่กลายเป็นรอยยิ้มแทน

พอเห็นแบบนั้น คุณไอริสก็บิดหัวไปมาอย่างทำอะไรไม่ถูก

 

“ธุรกิจสำหรับนักเก็บสะสม… อย่างเพิ่มจำนวนร้านอย่างโรงแรมหรือร้านขายของเพิ่มล่ะคะ…?”
“ร้านค้าเหรอ…”

 

ตอนที่ฉันเอื้อมมือไปหยิบขนม สีหน้าของคุณไอริสก็เริ่มคลี่ยิ้มออกม―――

 

“บ- แบบนั้นร้านของคุณพ่อก็แย่น่ะสิคะ!”
“นั่นสินะ ถ้าปริมาณเงินรวมในหมู่บ้านไม่ได้เพิ่มขึ้น แบบนั้นก็ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาเลย”

 

พอโลเรียจังโบกไม้โบกมืออย่างตื่นตระหนก ฉันก็พยักหน้าเห็นด้วยให้ ก่อนจะยื่นขนมในมือให้โลเรียจังไปแทน

คนที่ยิ้มก็คือโลเรียจังนะ ส่วนคุณไอริสก็โดนความผิดหวังย้อมอาบไปเต็มตัวเลย

 

“แต่ว่านะ มีร้านที่ไม่ต้องแข่งขันกันเลยด้วยเหรอเนี่ย? อย่างย่านเลิงร―――*อะแฮ่ม* ต้องคิดถึงธุรกิจที่ชาวบ้านเองก็สามารถทำได้ด้วยค่ะ”
“เป็นความคิดที่ไม่เลวเลยนะคะ ถ้าเป็นอะไรที่นักเก็บสะสมจำเป็นต้องใช้ล่ะก็”

 

ฉันยื่นขนมให้คุณเคทเพิ่มไปอีกชิ้นนึง ถึงเรื่องธุรกิจที่ฉันเกือบจะเผลอหลุดพูดถึงมันจะไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลยก็เถอะ

ฉันยังมีขนมอยู่ในมือเหลืออีกเพียบเลย

หลังจากที่จ้องของพวกนั้นอยู่อีกซักพัก คุณไอริสก็กระแอมไอ ก่อนจะชูนิ้วขึ้นมา

 

“อื้ม! นายท่านผู้จัดการคะ ฉันไม่รู้จะพูดยังไงดี แต่เป็นเรื่องที่ไม่ต้องสงสัยเลยนะคะว่านายท่านผู้จัดการเป็นผู้ที่ถือครองทุนทรัพย์ปริมาณมากที่สุดในหมู่บ้านแห่งนี้แล้ว อีกทั้งยังเป็นผู้ที่นำเม็ดเงินจากภายนอกเข้ามาในหมู่บ้านแห่งนี้มากที่สุดอีกด้วยค่ะ”
“ก็ ดูแล้วน่าจะเป็นแบบนั้นนะคะ”

 

สมแล้วจริงๆ ที่เป็นอัลเคมิสไลเซนส์ (หนังสือรับรองการเล่นแร่แปรธาตุ)! วันเวลาสุดโหดหินที่ผ่านมานั่นไม่สูญเปล่าแล้ว!

 

“หากว่าเป็นแบบนั้นแล้ว จะง่ายกว่ามั้ยคะถ้านายท่านผู้จัดการจะขอให้ชาวบ้านทำงานให้?”
“…ยังงี้นี่เอง เรื่องนี่มีประเด็นเลยน่าคิดเลย เป็นความคิดที่ยอดไปเลยนะคะ”

 

ฉันพยักหน้าให้ พร้อมกับยื่นขนมให้คุณไอริส 2 ชิ้น เธอก็รีบรับมันไปอย่างรวดเร็ว แล้วก็จัดการกัดมันเข้าไปเต็มๆ คำ

จากนั้นก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เลย

ไหนๆ ก็ไหนๆ ฉันเองก็ทานซักชิ้นด้วยแล้วกัน

…อืม อร่อยจัง สมกับราคาของมันเลยล่ะ

 

“แต่ว่า คนที่ทำงานที่คุณซาราสะเสนอได้ ก็มีแค่คุณลุงเกเบิร์กกับคุณจิสด์เองนี่คะ? ที่เหลือก็เป็นแค่กลุ่มมือใหม่ทั้งนั้นเลย…”

“จริงด้วยสินะ คุณเกเบิร์กก็มีจ้างคนงานมาช่วยด้วยนะ แต่ก็…”

 

โลเรียจัง เอาไปเลยจ้าอีก 1 ชิ้น

คุณไอริสมองมาทางนี้แล้วสีหน้าไม่พอใจนิดๆ ด้วยแฮะ

 

“…คือว่า นายท่านเจ้าของร้าน ทำไมเกณฑ์การตัดสินให้รางวัลโลเรียถึงหละหลวมจังเลยล่ะคะ?”
“ช่วยไม่ได้นี่คะ ก็โลเรียจังน่ารักมากเลยนี่นา”
“ค- คุณซาราสะคะ…”

 

ฉันพยักหน้าให้โลเรียจังที่เขินจนแก้มแดงไปหมด เห็นแบบนี้แล้วก็อดยื่นให้เธออีกชิ้นนึงไม่ได้เลยเนี่ย

 

 

“อีกอย่าง ขนมนี่ก็อร่อยดีด้วยนะคะ”
“เรื่องนั้นฉันก็ไม่ปฏิเสธหรอกค่ะ แต่ว่า นอกจากเรื่องนั้นแล้วนี่ มีงานอะไรที่ชาวบ้านคนอื่นๆ พอจะทำได้บ้างมั้ยคะ?”
“คนส่วนใหญ่ก็เป็นเกษตรกรกันด้วย… งานเก็บเกี่ยวสมุนไพรเหรอคะ?”
“เรื่องนั้นมันเป็นงานที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญนะคะ ไม่ใช่อะไรที่อยู่ๆ มือสมัครเล่นจะทำได้เลยค่ะ”

 

ส่วนนี้ ฉันเองก็ทำมันเป็นงานเสริม แต่นั่นก็เพราะฉันเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุที่มีความรู้อยู่บ้าง

งานที่แม้แต่ชาวบ้านในหมู่บ้านนี้เองก็สามารถทำได้ แล้วก็ยังมีรายรับที่คุ้มค่ากับการลงแรงด้วย

ถ้าขอให้ทำงานที่ไร้ประโยชน์ มันก็ออกจะเป็นงานทำเพื่อการกุศลไปด้วยสิ ยากเหมือนกันแฮะ

หลังจากที่นั่งนิ่งคิดพลางจ้องขนมหวานกลางโต๊ะกันอยู่ซักพัก จู่ๆ โลเรียจังก็เงยหน้าขวับขึ้นมา

 

“จะว่าไปแล้วนี่ คุณซาราสะเป็นคนทำส่วนของ ‘หมวก’ ใน [หมวกเย็นฉ่ำ] ใช่มั้ยคะ? จุดนั้นเนี่ย พอจะใช้ในการจ้างงานดูดีมั้ยคะ? ฉันคิดว่าคุณแม่ก็น่าจะทำได้เหมือนกัน”
“―――! แบบนี้นี่เอง! ก่อนจะใส่คุณสมบัติในการส่งความเย็นออกมา มันเป็นแค่หมวกธรรมดาๆ นี่เนอะ… แต่ว่า ปัญหาคือตลาดมันใกล้จะถึงจุดอิ่มตัวแล้วเนี่ยสิ”

 

ฉันส่งขนมให้โลเรียจัง ก่อนจะยกประเด็นเรื่องนี้ขึ้นมาพูด

เพราะสินค้ามันถูกขายไปประมาณนึงแล้วด้วย ตอนนี้ก็คงจะมีหมวกอยู่อย่างน้อย 1 ใบต่อ 1 ครัวเรือนแล้วล่ะ

ถ้าคิดถึงเรื่องราคาแล้วนี่ จะซื้อไว้ใช้แบบคนละใบก็ออกจะยากไปหน่อย

 

“ส่งออกไปขายข้างนอกจะดีกว่ามั้ยคะ?”
“ส่งออกไปขายเหรอคะ?”
“ของชิ้นนี้ก็ยังถูกกว่าราคาตลาดเล็กน้อยใช่มั้ยคะ? ถ้าแบบนี้ ให้คุณดาร์นาเอาเข้าไปขายในเมืองด้วยก็ได้นะคะ?”
“…นั่นสินะคะ นั่น ไม่เลวเลยค่ะ”

 

หมวกเย็นฉ่ำเป็นสินค้าที่ค่อนข้างดีใช้ได้เลยเหมือนกัน

น้ำหนักเบา ไม่ได้กินพื้นที่จัดเก็บเท่าไหร่ แล้วราคาต่อชิ้นก็สูงด้วย

แถมเพราะคุณสมบัติของมันสามารถเห็นได้ทันทีที่สวมเลย ต่อให้คนที่ไม่ใช่นักเล่นแร่แปรธาตุอย่างคุณดาร์นาจะเป็นคนเอาไปขาย ก็ไม่ต้องกังวลว่า ‘นี่มันของปลอมรึเปล่าเนี่ย?’ แบบโพชั่น (ยาแปรธาตุ) ด้วย

 

“ฮึม ถ้าอย่างนั้น เรื่องการออกแบบก็ต้องเก็บมาคิดด้วยสินะคะ หมวกที่เอาไว้ใช้งานในหมู่บ้านการเกษตรกับหมวกที่ใช้ใส่ในเมืองก็ต่างกันด้วย ฉันเชื่อว่านายท่านผู้จัดการที่เติบโตมาในเมืองหลวงก็ทราบเช่นกัน…”
“จริงด้วยค่ะ ถ้าเราจะส่งขายหมู่บ้านอื่นล่ะก็ ฉันว่าหมวกฟางก็ดีแล้วนะคะ”
“อึก ยากเลยนะคะแบบนั้น พวกคุณป้าในหมู่บ้านไม่ได้สนใจเรื่องของแฟชั่นอะไรด้วย…”

 

จะว่าไป ตอนที่โลเรียจังเจอฉันครั้งแรก เธอก็เรียกฉันด้วยคำประมาณว่า ‘เด็กในเมือง’ เลยนี่นะ?

ทั้งที่แบบ ดูฉันสิ ไม่ได้แต่งตัวทันแฟชั่นเลยซักนิด

 

“ฉันก็ไม่ค่อยรู้เรื่องนั้นเหมือนกัน แต่มาทำอะไรที่ใช้เป็นของอ้างอิงกันเถอะ ลองวาดภาพของหมวกออกมาดูก่อน พวกคุณเคทล่ะคะ? พอจะรู้เรื่องดีไซน์หมวกหรือเปล่า?”
“อุก… ฉันไม่ค่อย รู้เรื่องนั้นเท่าไหร่…”
“ไอริสไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้เลยค่ะ… วาดรูปยังไม่ได้เลย”

 

พอได้ยินคำถามของฉันแล้ว คุณไอริสก็อ้ำอึ้งพูดอะไรไม่ออก คุณเคทก็ยิ้มแหยๆ ตอบมา

 

“ไว้ฉันจะคอยช่วยร่วมมือด้วยนะคะ ฉันเองก็ไม่ได้วาดรูปดีอะไรขนาดนั้น แต่คิดว่าอย่างน้อยก็น่าจะพอถ่ายทอดสิ่งที่ต้องการจะสื่อได้อยู่”
“ค่ะ ขอฝากด้วยนะคะ ถ้างั้นที่เหลือก็ฉันต้องทำก็คือไปพูดคุยกับคุณผู้ใหญ่บ้านซะก่อน อะ แล้วก็ มาทานที่เหลือด้วยกันนะคะ”

 

ฉันหยิบขนมเข้าปากมา 2 ชิ้น แล้วก็มุ่งหน้าออกไปหาบ้านของคุณผู้ใหญ่บ้านทันที

พลางฟังเสียงตึงตังที่เปิดฉากขึ้นทันทีอยู่ข้างหลังไปด้วย

 

[นิยายแปล] ร้านป้ายแดงของสาวนักแปรธาตุมือใหม่

[นิยายแปล] ร้านป้ายแดงของสาวนักแปรธาตุมือใหม่

Score 10
Status: Completed
แทบจะเป็นหนทางเลี้ยงชีพทางเดียวเลยที่จะเจริญขึ้นมาได้สำหรับเด็กกำพร้าตัวคนเดียว นั่นคือการเอาหนังสือรับรองการเล่นแร่แปรธาตุแห่งชาติมาให้ได้! ซาราสะ เด็กสาวที่จบจากวิทยาลัยหลวงฝึกสอนนักเล่นแร่แปรธาตุ สถานที่ที่ไม่ต้องการอะไรอื่นนอกจากความสามารถของผู้เรียน ได้รับการเสนอร้านแห่งนึงมาจากอาจารย์ของเธอ เธอเริ่มออกเดินทางภายใต้การมองส่งของอาจารย์ผู้ใจกว้าง เฝ้าฝันถึงชีวิตที่สวยงามกว่าทั่วๆ ไปในฐานะนักเล่นแร่แปรธาตุ แต่ว่า ในสถานที่แบบนี้ ถ้าเธอไม่เปิดร้านล่ะก็ ชีวิตแบบนั้นก็ไม่มีวันมาถึงแน่―― เธอที่รายล้อมด้วยพนักงานทำงานพิเศษที่น่ารัก กับชาวบ้านที่เป็นมิตร เป้าหมายอยู่ที่การเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุของประเทศอย่างเต็มตัวให้ได้! ชีวิตทำงานอันสโลว์ไลฟ์เริ่มเปิดให้บริการแล้ว! (เรื่องนี้แปลจากฉบับ LN ภาษาญี่ปุ่น)

Options

not work with dark mode
Reset