ฉันให้ทั้ง 3 คนถอยไปก่อน แล้วก็ใช้ตาขวาเพ่งดู ถ้าเกิดฟันที่เจ้าลิงตัวนั้นมาให้นัตสึมิเป็นของจากโลกเบื้องหลังล่ะก็ ฉันคงแยกด้วยแสงเรืองๆ สีเงินได้อยู่
แต่ว่า จากประสบการณ์ที่ผ่านมาของฉันแล้วนี่ กฎข้อนั้นมันก็ไม่ได้ใช้ได้ตลอดนะ ถ้าฉันเอากรวดซักก้อนกลับมาจากโลกเบื้องหลัง มันก็จะดูเหมือนหินซักก้อนที่ไม่มีแสงเรืองสีเงินที่เก็บมาจากฝั่งนี้นั่นแหละ
ฉันเดินไปทั่วๆ สวน สำรวจไปรอบบริเวณแล้ว หญ้าขึ้นสูง ต้นไม้ก็โตจนรกไปหมด น้ำในบ่อมีสาหร่ายสีเขียวขึ้นเต็มเลย โดยรวมๆ ก็เป็นสภาพที่เรียกได้ว่าน่าสลดล่ะนะ นัตสึมิบอกว่าเธอโยนมันเข้ามามั่วๆ อยู่แถวนี้ เพราะงั้น ถ้ามันอยู่ตรงนี้ล่ะก็ มันคงไปไหนไม่ได้ไกลหรอก
ฉันหันกลับไป แล้วมองด้วยตาซ้ายแทน ทั้ง 3 คนก็มองกลับมาที่ฉันพร้อมกับกลืนน้ำลายเอื้อก วิธีที่ฉันเดินไปทั่วๆ มองหาอะไรซักอย่างที่คนทั่วไปมองไม่เห็น คงดูเหมือนพวกร่างทรงตามรายการผีเลยสินะ พอฉันคิดแบบนั้นแล้ว มันก็ทำให้ฉันหมดความกระตือรือร้นไปเลยแฮะ
“ไปยังไงบ้างคะ รุ่นพี่?”
อาคาริตะโกนถามมา แต่ฉันก็ส่ายหน้าตอบกลับไป
“ไม่ไหว ไม่เห็นอะไรที่ดูคล้ายๆ แบบนั้นเลย คุณอิชิคาวะ ขว้างไปไกลประมาณไหนนะ?”
“เปล่าหรอก แค่เตะๆ ให้มันกระเด็นไปเท่านั้นเอง ถ้ามันยังไม่ไปไหน ก็คงจะอยู่แถวๆ นั้นแหละมั้ง”
“ไม่ใช่ว่าโดนเอาไปแล้วเหรอ?”
โทริโกะถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ เลย
“ใครเอาไปน่ะ?”
“ก็คุณซันนุกิไง”
“หมายถึง เธอแค่แวะมา แล้วก็เอาฟันไปแล้ว แบบนี้น่ะเหรอ?”
“ก็อาจจะ หรือไม่ ผู้หญิงที่แขวนคอกับต้นไม้คนนั้นก็อาจจะเป็นคุณซันนุกิก็ได้นะ”
โทริโกะก็แค่พูดสิ่งที่เธอคิดออกมาเท่านั้นเอง
“เธอต้องตกใจมากที่ไม่ได้ฟันมาแน่เลยว่ามั้ยคะ?”
“อาคาริ ฉันว่าไม่จำเป็นต้องไปขุดคุ้ยเรื่องแบบนั้นจะดีกว่านะ”
ฉันอดเข้าไปขัดไม่ได้เลยแฮะ
ฉันไม่อยากให้ไปทำเป็นเรื่องตลกกับลักษณะนิสัยคล้ายมนุษย์ที่ผิดปกติที่ปรากฏในเรื่องผีที่มีการพบเห็นกันจริงเลยนะ หรือจะไปพยายามยัดแรงจูงใจที่มนุษย์สามารถเข้าใจได้ลงไปให้สิ่งแปลกประหลาดพวกนั้น
มัน… เป็นการตีความที่ต่างกันล่ะนะ
ฉันว่า ในการยอมรับว่าสิ่งน่ากลัวนั้นน่ากลัว สิ่งที่เข้าใจไม่ได้น่ะไม่สามารถเข้าใจได้―นั่นแหละ ที่ฉันรู้สึกว่า เป็นวิถีทางที่ถูกต้องในการตอบสนองกับเรื่องผีที่มีการพบเห็นจริงๆ
ฉันคิดว่ามันเป็นวิธีคิดที่น่าเหนื่อยหน่ายนะ แต่ก็ไม่เคยได้พูดเรื่องนี้จริงๆ จังๆ กับใครเลย เพราะงั้นก็ช่างมันเถอะ
ก็นะ เอาจริงๆ ฉันก็สาดลูกตะกั่วใส่สิ่งผิดปกติที่ว่างนั้นไปหลายสิบนัดแล้วเหมือนกันนี่นา
“มันไม่อยู่ที่ไหนเลยสิน-… หือ?”
ตอนที่ฉันกำลังจะยอมแพ้ แล้วเงยหน้าขึ้นมา ตรงมุมนึงของสวนนี้ ที่โคนต้นแปะก๊วย ฉันเห็นลักษณะที่ผิดแปลกไปอย่างผิดธรรมชาติอยู่ที่พื้นเลย ดินมันเป็นเนินสูงขึ้น เหมือนกับว่ามีใครฝังอะไรซักอย่างไว้ตรงนั้น แล้วก็กลบหลุมกลับไปเหมือนเดิมเลย
“เจอแล้วเหรอ โซราโอะ?”
พอโทริโกะถาม ฉันก็หันกลับไปหาเธอ
“มีอะไรซักอย่างฝังอยู่ตรงนั้นน่ะ พอมีอะไรที่ใช้ขุดดินได้หรือเปล่า?”
นัตสึมิเข้าไปเอาพลั่วจากในอู่ซ่อมออกมาขุด ไม่นาน ปลายพลั่วก็ไปโดนอะไรแข็งๆ เข้า แล้วตรงใต้ดินนั่นก็มีโหลเซรามิกโผล่ออกมา ขนาดใหญ่พอที่จะทำให้เราต้องใช้มือ 2 ข้างในการอุ้มขึ้นมาเลย แล้วมันก็ถูกเคลือบสีขาวเอาไว้ด้วย
อาคาริย่อตัวลงมา แล้วก็เข้าไปดูมันใกล้ๆ เลย
“ดูเหมือนโกศอัฐิที่โดนฝังไว้เลยนะคะ”
“คุณอิชิคาวะ พอจะรู้เรื่องของเจ้านี่หรือเปล่า?”
“ไม่เลย”
“งั้น พวกเราเปิดมันเลยได้มั้ย?”
นัตสึมิพยักหน้า ฉันก็เลยเอาพลั่วมาจากเธอ สอดมันไปใต้ฝาของโกศอัฐินี่ แล้วก็เปิดฝาออก
“เหวอ…!”
เผลอร้องออกมาดังลั่นเลย
โกศอัฐิอันนั้นนี่ จะเรียกแบบนี้ก็ไม่ผิดเท่าไหร่นะ―มันมีฟันเก็บอยู่ข้างในเต็มเลย
ฟันสีเหลืองๆ ที่ไม่รู้ว่าไปเก็บมาจากคนกี่คนกันแน่ ฝังอยู่ในโกศจนสูงขึ้นมาปริ่มๆ ขอบเลย มันเป็นฟันที่ดูสกปรกอยู่นั่นแหละ ปนๆ อยู่กับฟันสีขาวสะอาดด้วย นั่นแหละทำให้พวกเราดูออกว่าโกศอันนี้เพิ่งถูกฝังมาไม่นานแน่นอน
“อะไรเนี่ย? น่าขนลุกเป็นบ้า…!”
นัตสึมิมองเข้าไปในโกศอันนั้นก็ขมวดคิ้วแน่นเลย
“นี่ถ้าฟันที่เจ้าลิงตัวนั้นเอามาให้เธออยู่ในนี้ด้วยเธอจะบอกได้มั้ยเนี่ย?”
“แยกออกได้ก็แย่แล้ว ที่มันเอามาก็ไม่ได้เยอะขนาดนี้ด้วย”
“นี่ โซราโอะ ตรงนี้ก็ด้วย…”
พอโทริโกะเรียกชื่อฉัน ฉันก็หันไปมองตาม เธอยืนอยู่ตรงหน้าหินประดับสวน กำลังดูอะไรซักอย่างอยู่ มันมีร่องรอยที่พื้นเหมือนกับถูกขุดขึ้นมาแล้วกลบกลับไปเหมือนกันเลย
พวกเรามองหน้ากัน ก่อนที่ฉันจะลงมือใช้พลั่วขุดดินออกมาเงียบๆ
สิ่งที่ฝังอยู่ไม่ใช่โกศนะ… แต่เป็นกระดูกแทน
แวบแรก ฉันก็ตกใจอยู่นะ นึกว่าจะขุดมาเจอศพคนซะแล้ว แต่ทั้งกระดูกทั้งเค้าโครงร่างกายมันต่างกันไปอย่างสิ้นเชิง มันดูเหมือนซากหมาตายนะ ที่ฉันบอกว่ามัน ‘เหมือน’ เนี่ยก็เพราะคอของมันถูกตัดออกอย่างกะทันหัน แล้วก็มีแต่หัวกะโหลกของมันอย่างเดียวเลยที่หายไป
“รุ่นพี่คะ… อันนี้ใช่ด้วยหรือเปล่าคะ?”
ตรงที่อาคาริเจอเป็นบ้านทรงญี่ปุ่นขนาดย่อส่วนที่ทำมาจากไม้เปล่าๆ เลย แล้วก็ดูเหมือนจะถูกของมีคมเหมือนใบดาบอะไรซักอย่างมาฟันจนเละ แถมโดนสีดำมาสาดกระจายเลยด้วย
“ศาลเจ้าประจำบ้านนี่นา”
ฉันพูดออกมาแบบนั้น แล้วนัตสึมิก็นึกออกพอดีเลย
“จริงเหรอคะ? นี่มันของบ้านเราเลยนี่นา”
“ของบ้านเธอเหรอ?”
“พวกเรามีศาลเจ้าประจำบ้านอยู่ที่ร้านด้วยค่ะ แต่ว่าฉันก็ไม่เห็นมันมาซักพักนึงแล้ว”
“นี่แปลว่า มีใครซักคนเอามันออกมา แล้วก็เอามาฝังไว้ตรงนี้งั้นเหรอ?”
“ยังกับว่ามีคำสาปหรืออะไรแบบนั้นถูกร่ายเอาไว้เลยนะ…”
อาคาริพูดขึ้นมาอย่างเงียบๆ
“เธอนึกเรื่องโกศหรือเรื่องหมาออกหรือเปล่า?”
ฉันลองถามดู แต่นัตสึมิก็ส่ายหน้าตอบ
พวกเรามองไปทั่วๆ สวนกัน ในช่วง 10 นาทีที่ผ่านมา พวกเราเจอของที่รู้สึกได้ถึงความประสงค์ร้ายที่อัดแน่นอยู่มาได้ 3 ชิ้นแล้ว นี่ถ้าใช้เวลาเพิ่มอีก พวกเราก็อาจจะหาเจอได้อีกก็ได้
นัตสึมิยังยืนนิ่งอยู่กับที่ ทำตัวไม่ถูกเลยว่าจะทำยังไงดี ภาพลักษณ์ของสาวแกร่งในตอนแรกของเธอหายไปแล้ว ตอนนี้เธอดูเหมือนสาวน้อยที่อ้างว้างยังไงยังงั้นเลย อาคาริที่ยืนอยู่ข้างๆ เธอก็คว้ามือของนัตสึมิเอาไว้ เธอหลบสายตาลงแล้วก็กำมืออีกฝ่ายตอบโดยไม่ได้พูดอะไรซักคำ
“ตามปกติแล้วเนี่ย การแจ้งเรื่องนี้กับตำรวจในข้อหาก่อกวนอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดนะ แต่พวกเขาคงจะไม่มาจริงจังกับเรื่องนี้หรอก”
“พวกเราเองก็ไม่ได้อยากจะเข้าไปหาตำรวจอยู่แล้วนี่”
พอฉันบอกไปแบบนั้น โทริโกะก็มากระซิบตอบ
เอาจริงๆ มันก็พอจะมีข้อเท็จจริงอยู่ด้วยนะนั่นน่ะ ฉันรู้สึกชาไปเลย แต่ก็ทำได้แค่ยอมรับล่ะนะ เพราะฉันเองก็ไม่มีทางเลือกด้วย แต่พวกเราก็เป็นแค่นักศึกษามหาวิทยาลัยที่ปลีกตัวจากสังคมเท่านั้นเอง แถมยังฝ่าฝืนกฎหมายการพกพาอาวุธปืนเป็นกิจวัตรประจำวันอีกต่างหาก
“ลองดูกันดีกว่าว่าพวกเราจะหาอะไรเจออีกมั้ย บางทีถามเราทำลายของทั้งหมดนี่ซะก็อาจจะทำให้สถานการณ์มันดีขึ้นบ้างก็ได้”
ต้องยอมรับเลยนะว่ามันเป็นแผนที่ส่งเดชสุดๆ แต่ทั้ง 3 คนก็พยักหน้าเห็นด้วยกันหมด
พวกเรา 4 คนแยกย้ายกันออกไปสำรวจรอบๆ สวน นอกจากของที่โดนฝังเอาไว้ พวกเราก็มองหาอะไรก็ตามที่ดูผิดที่ผิดทาง หรืออะไรก็ตามที่ห้อยอยู่กับต้นไม้ ทั้งฉันทั้งโทริโกะไม่มีใครรู้เลยว่าที่นี่เคยเป็นยังไงมาก่อน เพราะงั้น ตอนที่พวกเราเห็นอะไรที่มันสะดุดตา พวกเราก็จะเรียกให้นัตสึมิเดินเข้ามาดูหน่อย
“นี่ นัตสึมิ นี่หรือว่าเธอเองก็จะเคยเรียนกับซัทสึกิด้วยเหมือนกัน?”
โทริโกะถามขึ้นมาเอาซะดื้อๆ
“ใครน่ะ ซัทสึกิ?”
“อุรุมะ ซัทสึกิน่ะ ตัวสูงๆ ผมดำยาว ใส่แว่น…”
“เธอพูดถึงครูสอนพิเศษของฉันน่ะ นัตซึน”
พอได้ยินคำอธิบายเพิ่มจากอาคาริ นัตสึมิก็เหมือนจะตามทันแล้ว
“อ้อ เคยเห็นน่ะ แต่ก็ไม่ได้รู้จักกันหรอก”
“หืม ยังงี้เอง โอ๊ะ เดี๋ยวฉันไปดูข้างหลังตรงนั้นหน่อยนะ”
โทริโกะตัดบทสนทนาพร้อมกับความโล่งอกที่เห็นได้ชัดเจน ก่อนจะมุ่งหน้าไปที่พุ่มไม้รกๆ ที่อีกฟากนึงของสวนนี้ เธอถามสิ่งที่เธออยากจะถามแล้วก็ไป นิชินะ โทริโกะ: ผู้หญิงที่เซ่อซ่ากับการพูดคุยกับคนแปลกหน้าที่ไม่ยังรู้จักจนน่าตกใจเลย…
“อ๊ะ! คุณโทริโกะ ระวังตรงที่เดินด้วยนะคะ ข้างหลังมันมีกอไผ่อยู่ด้วย! ถ้าสะดุดล้มล่ะก็เรื่องใหญ่แน่ค่ะ!”
อาคาริตะโกนไล่หลัง พร้อมกับวิ่งตามหลังไป รู้สึกตัวอีกที ฉันก็อยู่ตัวคนเดียวกับนัตสึมิซะแล้ว
อ่า แย่ล่ะสิ ฉันไม่มีสิทธิ์จะไปว่าอะไรโทริโกะเรื่องที่ทักษะการสื่อสารแย่หรอก เพราะฉันเองก็พูดคุยกับคนที่ไม่รู้จักได้แย่สุดๆ ไม่ต่างกันเลย
“…พวกเราไม่ได้รู้จักกันหรอก ไม่เลย”
ตกใจหมดเลย จู่ๆ นัตสึมิก็เริ่มพูดกับฉันซะงั้น
“ฮะ?”
“ฉันรู้แค่ว่าเธอเป็นครูสอนพิเศษของอาคาริ ‘คุณซัทสึกิ’ น่ะ แต่รู้มั้ย ฉันไม่เคยชอบเธอคนนั้นเลย”
“ไม่ชอบ?”
“ไม่รู้สิ ผู้หญิงคนนั้นดูน่ากลัวยังไงไม่รู้ ครั้งนึง ฉันเคยเห็นเธอเดินอยู่กับอาคาริอยู่ไกลๆ แล้วขนาดว่าฉันไม่ได้ทำอะไรเลย จู่ๆ เธอคนนั้นก็หันขวับมามองที่ฉันเอาซะดื้อๆ ฉันก็แบบ ‘เหวอ!’ มันเป็นความกลัวคนละแบบกับที่เจอรุ่นพี่ที่โรงเรียนเลย มันน่าขนลุก แล้วก็…”
นัตสึมิหันไปมองทางอาคาริที่กำลังคุยอยู่กับโทริโกะอยู่ที่อีกฝั่งนึงของสวน ก่อนจะพูดต่อ
“…ฉันกลัวว่าเธอคนนั้นจะเอาตัวอาคาริไปน่ะ”
“อาคาริจังน่ะเหรอ? ทำไมล่ะ?”
“เธอดูสนิทกับอาคาริซะเหลือเกินน่ะสิ… และอาคาริก็ดูจะติดเธอคนนั้นแจเลยด้วย ในแบบของเธออะนะ ฉันกังวลสุดๆ เลยว่าเธออาจจะโดนผู้ใหญ่เลวๆ ที่ไหนมาหลอกหรือเปล่า คือแบบ เธอก็เป็นคนน่ารักด้วยนี่นา? เพราะงั้นแหละเธอถึงได้มีคนเข้ามาหาอยู่บ่อยๆ สมัยที่พวกเรายังเด็ก ฉันก็ไล่ตะเพิดพวกนั้นไปนั่นแหละ แต่พอเธอเริ่มเรียนคาราเต้ ตอนนี้เธอก็แข็งแรงกว่าฉันไปแล้ว”
ฉันไม่เคยถามอะไรพวกนั้นเลยนะ แต่นัตสึมิก็เล่าต่อเหมือนจะเย้อหยันชีวิตของตัวเองเลย
“ขนาดตอนนี้ อาคาริก็ยังบอกฉันว่า ‘นัตซึนน่ะทั้งแข็งแรงทั้งพึงพาได้เลยนะ’ แต่เอาจริงๆ เธอต่างหากที่แข็งแรงกว่าฉันซะอีก ก็แบบ สมัยมอปลาย เธอก็ชนะการแข่งระดับเขต แล้วก็ไปถึงระดับประเทศเลย นี่คงไม่มีอะไรที่ฉันจะทำให้เธอได้แล้วสินะ?”
“คุณอิชิคาวะ…”
ฉันตัวสั่นแล้วเนี่ย
ทำไมเธอถึงเอาเรื่องราวในชีวิตมาเล่าให้ฉันที่เป็นคนแปลกหน้ากันอย่างสิ้นเชิงแบบนี้ล่ะเนี่ย? น่ากลัว… หรือเปล่านะ? นี่เธอก็เป็นผู้หญิงอีกคนที่รับมือกับความห่างเหินที่พอเหมาะกับคนอื่นไม่ได้งั้นเหรอ? ถ้าเป็นงั้นจริง ถึงเธอจะดูเหมือนสาวอันธพาลก็เถอะ บางทีพวกเราอาจจะมีอะไรเหมือนๆ กันอยู่ก็ได้แฮะ ฉันคิดอยู่แบบนั้น ในตอนที่นัตสึมิหันมามองที่ฉันบ้าง
“อันที่จริง ฉันก็ระแวงเรื่อง [รุ่นพี่คามิโคชิ] อยู่ด้วยเหมือนกันนะคะ”
“เอ๊ะ?”
“อาคาริชอบเอามาบอกฉันตลอดเลยว่ารุ่นพี่สุดยอดขนาดไหน อย่าง ตอนที่รุ่นพี่ช่วยเธอจากพวกแมวนินจา? หรือไม่ก็อะไรซักอย่าง? แล้วก็เรื่องที่ว่ารุ่นพี่สามารถพึงพาได้มากขนาดไหน แล้วฉันก็ได้ยินมาว่ารุ่นพี่เกี่ยวข้องกับครูสอนพิเศษคนนั้นด้วยอีก ฉันก็เลยคิดว่ารุ่นพี่คนนั้นจะต้องมาไม่ดีเหมือนกันแน่”
“ฉันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเธอคนนั้นหรอก โทริโกะต่างหาก…”
“อ๊ะ ค่ะ ฉันตัวสั่นเลยตอนที่เจอคุณโทริโกะเป็นครั้งแรก ฉันคิดว่า ถ้าเกิดเป็นคนสวยแบบนี้ อาคาริจะชมเธอขนาดนั้นก็คงจะไปว่าอะไรเธอไม่ได้หรอก แต่พอได้ยินว่ารุ่นพี่คือ [รุ่นพี่คามิโคชิ] ฉันก็แบบ ‘เอ๊ะ?’”
“เอ๊ะ?”
เอ๊ะ?
“แต่ว่า… รุ่นพี่ก็เป็นผู้เชี่ยวชาญตัวจริงเสียงจริงเลยสินะคะ? ขอโทษด้วยค่ะที่เคยหยาบคายใส่”
เคยหยาบคาย? เคยที่ไหนเล่า? นี่ตอนนี้เธอก็ยังหยาบคายกับฉันอยู่เลยไม่ใช่หรือไง?
“นิสัยของรุ่นพี่นี่ดูลึกลับจริงๆ เลยนะคะ รุ่นพี่คามิโคชิ รุ่นพี่ดูเหมือนโอตาคุมืดมนแท้ๆ แต่กลับไม่ได้ขี้กลัวอย่างที่ฉันเดาเอาไว้เลย”
“เธอไม่ต้องบอกทุกอย่างที่คิดอยู่ในใจให้ฉันรู้ก็ได้นะ! โอเคมั้ย!?”
จนถึงตอนนี้ ฉันก็ผ่านเรื่องน่ากลัวมาประมาณนึงนะ แต่ฉันก็ยังไม่ชินกับเรื่องน่ากลัวหรือความมุ่งร้ายอยู่ดี ถ้าจะมีอะไรซักอย่างที่แยกฉันออกจากอาคาริกับนัตสึมิซักอย่างล่ะก็ ก็คงจะเป็นประสบการณ์นั่นแหละ ฉันปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าเหตุผลที่ฉันไม่กลัวสาวเฟี้ยวคนนี้ เพราะฉันสามารถยิงเธอตอนไหนก็ได้น่ะนะ
แล้วนัตสึมิก็ก้มหน้าลง
“ไม่เข้าใจเลยจริงๆ แต่ฉันทำผิดพลาดไปสินะ แล้วมันก็ลากเอาคำสาปหรืออะไรซักอย่างมาที่บ้านของเราด้วย เป็นแบบนั้นสินะ? ต้องเป็นแบบนั้นแน่”
นัตสึมิพึมพำกับตัวเองอยู่แบบนั้น
อารมณ์ของเธอที่พลิกจากหยาบคายมาเป็นซึมหงอยแบบนี้เนี่ยทำเอาฉันตามอารมณ์ไม่ทันเลยจริงๆ ปากของฉันอ้าค้างไปสองสามวิเลย แต่ฉันก็ดึงตัวเองกลับมาได้ ก่อนจะตอบเธอไป
“ก็… ไม่ใช่ยังงั้นเสมอไปหรอกนะ เรื่องแบบนี้มันก็เหมือนกับเจออุบัติเหตุเข้านั่นแหละ แต่ไหนแต่ไร มันก็เป็นแค่โชคร้ายที่เธอไปเจอเข้าเท่านั้นเอง ไม่ใช่ความผิดของใครหรอกนะ”
“เอ๊ะ? หมายความว่าไงคะ? มีใครบางคนสาปแช่งครอบครัวของฉันใช่มั้ยล่ะคะ? ก็เพราะฉันไม่ได้ส่งฟันให้นี่นา”
อ้อ นี่เองสินะที่พวกเราเข้าใจต่างกันอยู่
“จะว่ายังไงดีล่ะ? พอมันมาเป็นเรื่องแบบนี้แล้วเนี่ย มันไม่ใช่เรื่องสาเหตุกับผลที่ตามมาแล้วล่ะนะ มันก็ไม่ใช่เรื่องแน่นอนไม่ใช่เหรอที่จะไปเจอกับลิงโทรจิตเข้าน่ะ คุณอิชิคาวะ? ทั้งหมดนี่มันไม่มีอะไรที่เป็นตรรกะหรือเหตุผลมาตั้งแต่แรกแล้ว เพราะงั้น มันก็เหมือนกับเหตุการณ์อื่นๆ ที่เกิดตามมานั่นแหละ อย่าง โหลที่มีฟันใส่ไว้จนเต็มนั่นก็ได้ มันเป็นเรื่องที่ต้องทำให้ต้องคิดว่ากำลังโดนสาปอยู่แน่ แต่จริงๆ เธอก็แค่ติดเข้ากับร่างแหของเหตุการณ์ๆ นึงที่เกิดขึ้นต่อเนื่องเหมือนสายโซ่เท่านั้นเอง แล้วฉันก็ไม่คิดว่ามันจะมีประโยชน์อะไรกับการคิดหาความหมายเบื้องหลังแต่ล่ะส่วนของเหตุการณ์ที่ว่านี่ด้วย”
“เพราะแบบนั้น รุ่นพี่ถึงเรียกมันว่า ‘อุบัติเหตุ’ งั้นเหรอคะ?”
“อือ ใช่แล้วล่ะ จริงๆ มันอาจจะใกล้เคียงกับอาการป่วย หรือภัยพิบัติมากกว่า ถ้าเธอไปมองหาสาเหตุของอุบัติเหตุ โรคภัยไข้เจ็บ หรือภัยธรรมชาติล่ะก็… ก็ใช่ สาเหตุน่ะมันมีอยู่จริงๆ แต่ก็ไม่ใช่ส่วนที่ว่า ‘ทำไมเรื่องนี้มันต้องเกิดขึ้นกับฉันด้วย’ อยู่ดี เพราะงั้น ก็ไม่ต้องไปคิดหรอกนะว่าเธอเป็นต้นเหตุก่อเรื่องวุ่นวาย”
“ฉันพอจะเข้าใจได้อยู่นะคะ… แต่ฉันไม่อยากให้อาคาริโดนเข้ามาเอี่ยวกับอุบัติเหตุนั่นเลย ฉันก็อยากจะช่วยอะไรบ้างนะคะ เรื่องนั้นมันแน่อยู่แล้ว แต่…”
“อืม…”
ทั้งหมดที่ฉันทำได้ มีแค่มองอย่างเดียวเลย ฉันอาจจะช่วยอะไรเธอไม่ได้หรอก… คือเรื่องที่ฉันอยากจะบอกเธอนะ แต่ฉันก็หยุดตัวเองเอาไว้ก่อนจะทันได้ทำอะไรแบบนั้น
แล้วความคิดคำนวณของฉันก็แวบขึ้นมาพอดี
“คือ… ฉันจะพยายามช่วยนะ แต่พอจะขออะไรซักหน่อยได้หรือเปล่า?”
“จะคิดเท่าไหร่เหรอคะ?”
“ไม่ใช่เรื่องเงินหรอก… เธอพอจะปรับแต่งรถให้พวกเราหน่อยได้มั้ย?”
นัตสึมิได้ยินแบบนั้นก็ตกใจจนกระพริบตาปริบๆ เลย
“ปรับแต่ง? ก็ ทำได้อยู่นะคะ…”
“ถ้าเป็นรถแบบใช้งานในสวนในไร่นี่ทำได้หรือเปล่า?”
ความงงงวยบนสีหน้าของนัตสึมิเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ เลยตอนนี้ ฉันก็เลยจะอธิบายเรื่อง AP-1 ให้ฟัง แต่ตอนนั้น ฉันก็สังเกตเห็นโทริโกะกับอาคาริกำลังจ้องมาทางพวกเราอยู่
“เอ๊ะ? อะไรน่ะ?”
ฉันยืนนิ่งอยู่กับที่ แล้วก็ร้องถามออกไป
“โซราโอะ! ข้างหลัง!”
TN: ดูนัตสึมิจะห่วง ‘เพื่อน’ พอควรเลยนะครับเนี่ย โซราโอะเอาเป็นตัวอย่างได้เลย (เอ๊ะ? ดูเหมือนจะไม่ทันแล้วนะ 555)
แล้วนี่ ตัดจบกันแบบละครไทยยังงี้เลยเรอะ!?