[นิยายแปล] ฝ่าปริศนา ตะลุยโลกเบื้องหลัง 78 ไฟล์ 9 : ตัวตนของยามาโนเกะ [5]

ตอนที่ 78 ไฟล์ 9 : ตัวตนของยามาโนเกะ [5]

พวกเรานั่งลงที่ม้านั่งตัวข้างๆ กับชุดนักบินอวกาศ ก่อนจะดึงข้าวกล้องของพวกเราออกมาจากเป้ แล้วก็เปิดออกมาดูกัน

ของโทริโกะเป็นตะกร้าใบเล็กๆ ที่มีแซนวิชอยู่ข้างใน มีผ้าเช็ดหน้าปูเอาไว้ด้วย หน้าตาดูดีมากเลย โทริโกะก็ชี้ไปที่แซนวิชทีละชิ้น พลางอธิบายให้ฟังว่ามีไส้อะไรอยู่บ้าง

 

“ชิ้นนี้เป็นแฮม ชีส แล้วก็แตงกวานะ ส่วนชิ้นนี้เป็นครีมชีส อันนั้นเป็นเนยถั่วกับแยมสตรอเบอร์รี่ ส่วนอันนี้เป็นนูเทลล่า อ้อ แล้วก็นี่”

 

เธอเปิดกล่องทัพเพอร์แวร์ 2 ใบ ที่มีสลัดไก่กับผลไม้อยู่ให้ดู

 

“นี่ ไม่อลังไปหน่อยเหรอเนี่ย?”
“งั้นเหรอ? ก็ปกตินะ แล้วโซราโอะเอาอะไรมาเหรอ? เปิดให้ดูเร็วๆ สิ”
“เฮ้อ โธ่ ก็ได้”

 

โทริโกะจ้องดูตอนที่ฉันเปิดฝากล่องทัพเพอร์แวร์ของตัวเองออกแบบตาไม่กระพริบ แถมหายใจแรงเลยด้วย นี่ถ้าเกิดว่าเธอมีหางล่ะก็ คงจะแกว่งปัดไปมารัวๆ แล้วล่ะ

 

“ฉันไม่คิดว่ามันจะมีอะไรที่น่าตื่นเต้นอยู่เลยนะ…”

 

ข้าวปั้นทาราโกะ, ไก่คาราเกะ, สลัดถั่วแระกับฮิจิกิ, สลัดผักโขมเต้าหู้บด แล้วก็มีทบอลในซอสถั่วเหลือง พอโทริโกะเห็นของในกล่องก็ร้องขึ้นมาเลย

TN: ข้าวปั้นไข่ปลาคอด (明太子おにぎり : Mentaiko Onigiri) หน้าตาแบบนี้ครับ

鹿尾菜 (Hiziki) เป็นสาหร่ายญี่ปุ่นพันธุ์นึงที่ได้รับความนิยมมากๆ อยู่ในวงศ์สาหร่ายสีน้ำตาล มักเสิร์ฟมากับในชุดอาหาร เป็นเครื่องเคียงพร้อมกับข้าว, ปลา, ผักดอง และ ซุปมิโซะ หน้าตาเป็นแบบนี้ครับ

 

“ว้าว! เบนโตะของแท้เลยนี่นา! เธอทำเองเลยงั้นเหรอ?”
“…อาหารแช่แข็งน่ะ กับพวกอาหารสำเร็จรูป แล้วก็อาหารพร้อมกินจากซุปเปอร์ฯ”
“แล้วข้าวปั้นนี่?”
“อันนั้นฉันทำเอง”
“ว่าแล้วเชียว! สมกับเป็นเธอเลยนะ!”

 

เอ๊ะ? งั้นเหรอ?

โทริโกะหันไปดึงกระติกน้ำออกมาจากเป้ พร้อมกับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่โดยไม่ได้ใส่ใจฉันที่ยังงงอยู่เลย

 

“ฉันเอากาแฟมาด้วยนะ เอาด้วยมั้ย?”
“โอ้ เอาสิ ซักหน่อยก็ดีนะ”

 

พอเธอรินกาแฟใส่ในแก้วกระดาษ กลิ่นหอมที่คุ้นเคยนี่ก็ลอยมาเตะจมูกพร้อมกับไอน้ำเลย

จะว่าไป ฉันก็ไม่ได้เตรียมเครื่องดื่มอะไรมาเลยนี่นา แค่กระติกน้ำนี่ก็หนักพอตัวอยู่แล้ว แล้วฉันเองก็ไม่อยากจะเพิ่มน้ำหนักสัมภาระให้มันมากเกินไปด้วย แต่ตอนนี้พวกเรามี AP-1 แล้ว เรื่องพวกนั้นไว้ค่อยคิดวันหลังก็แล้วกัน

 

““อิตาดาคิมัส (จะกินล่ะนะคะ)””

 

พวกเราใช้จานพลาสติกกับตะเกียบแบบใช้แล้วทิ้ง ก่อนจะเริ่มกินอาหารในข้าวกล่องของพวกเรากัน

 

“ข้าวปั้นอร่อยจังเลยนะ โซราโอะ”
“ฉันว่าของแบบนั้นนี่ จะให้ใครทำ รสชาติมันก็ออกมาเหมือนๆ กันนั่นแหละ แต่ก็ขอบใจนะ”
“ไม่ใช่แบบนั้นซักหน่อย รสชาติเหมือนกับเธอเลยนะ”
“นี่ ฉันใช้พลาสติกห่อตอนปั้นข้าวหรอก”
“เห? ใช้วิธีนั้นในการทำงั้นเหรอ? ตอนฉันทำแซนวิชฉันไม่ได้ใช้พลาสติกห่อนะ”
“เออ ก็… ฉันว่าแซนวิชคงไม่ต้องใช้หรอก”

 

ตลกนิดๆ เหมือนกันนะ ตอนนึกภาพเธอใช้มือโปร่งแสงข้างนั้นหั่นขนมปังหรือใส่ไส้น่ะ แต่ถ้าเกิดคุณโคซากุระมาเห็น เธอต้องบอกว่า ‘อย่าทำด้วยมือเปล่าซี่’ หรืออะไรแบบนั้นแหงๆ

โทริโกะกินคาราเกะแช่แข็งกับมีทบอลสำเร็จรูปไป แถมเธอชมว่าอร่อยรักษาน้ำใจฉันด้วยนะ ต้องขอบคุณเหล่าทีมพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยนะ ไม่ใช่ความสามารถของฉันหรอก

 

“อ้อ จริงด้วยสิ”

 

โทริโกะวางตะเกียบในมือลง ก่อนจะเทกาแฟลงในแก้วกระดาษใบนึงไว้นิดหน่อย ลุกเดินไปที่ม้านั่งตัวข้างๆ แล้วก็วางแก้วกระดาษใบนั้นไว้ข้างๆ ชุดนักบินอวกาศที่ตอนนี้กำลังนั่งมองออกไปนอกหน้าต่างอยู่

 

“ให้ชุดนั้นเหรอ?”
“อือ เริ่มรู้สึกไม่สบายใจเท่าไหร่ที่มีแค่พวกเราที่กินอยู่น่ะสิ”
“เหรอ งั้น ฉันด้วยละกัน”

 

ฉันหยิบแก้วกระดาษอีกใบออกมา ใส่ผักโขมกับเต้าหู ราดด้วยซอสงาอีกนิดหน่อย ก่อนจะลุกขึ้น เอาแก้วในมือไปวางไว้ข้างๆ แก้วกาแฟใบนั้น แล้วก็พาดตะเกียบคู่นึงไว้ให้ด้วย

 

“ฉันว่าก็ดูเหมือนเครื่องเซ่นแล้วนะตอนนี้”
“บางทีเราอาจจะได้การอวยพรอะไรซักอย่างด้วยก็ได้นะ”

 

พวกเราเดินกลับมานั่งที่ม้านั่งตัวเดิม แล้วฉันก็มองออกไปข้างนอกหน้าต่าง เพราะหอชมวิวนี่มันหมุนอยู่เรื่อยๆ วิวข้างนอกก็เลยเปลี่ยนไปอย่างช้าๆ กิ่งไม้ของป่าที่หนาแน่นที่อยู่ใต้พวกเราสีเขียวขจี กับแดดยามบ่ายอันเงียบสงบที่ฉายให้เงาลายตาข่ายทอดทะลุกระจกเข้ามาพาดบนพื้น

เอ๊ะ?

รู้สึกแปลกๆ ยังไงไม่รู้แฮะ แต่มันสรุปออกมาเป็นคำไม่ได้เลยเนี่ยสิ

 

“นี่ ฉันกินคาราเกะชิ้นสุดท้ายเลยนะ?”

 

โทริโกะที่นั่งอยู่ข้างๆ ฉันพูดขึ้นมา

 

“อ้อ ได้สิ งั้นฉันขอแซนวิชอันนั้นหน่อยนะ ฉันนึกว่าไส้เนยถั่วกับแยมจะหวานเจี๊ยบเลยซะอีก แต่มันไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย”
“เนยถั่วมันมีแบบหวานกับไม่หวานน่ะ ฉันชอบเนยถั่วแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว”
“หืม เพิ่งเคยกินแบบนี้ครั้งแรกเลยแฮะ แต่ก็อร่อยนะ”
“งั้นเหรอ ดีเลย ไว้จะทำให้กินอีกนะ”

 

ยังไงเราก็ไม่ได้เอาอาหารมากมายอะไรมาด้วยอยู่แล้ว เพราะงั้นเราก็เลยไม่ได้ใช้เวลามากมายเท่าไหร่ อาหารที่เราเอามากันก็โดนกินจนหมดแล้ว

 

“ไงบ้างล่ะโทริโกะ พอใจแล้วหรือยัง?”
“อื้อ ไว้เดี๋ยวทำแบบนี้อีกก็แล้วกัน”
“บางทีเอาผงซุปมาเลยดีมั้ย?”
“ไอเดียดีนี่! นี่ถ้าเอาเตาแก๊สพกพามาด้วย เราก็ต้มน้ำได้เลยน่ะสิ”
“งั้น เราก็ทำราเมงได้เลยไม่ใช่เหรอนั่นน่ะ?”
“ไว้คราวหน้า พวกเราลองทำอาหารกันดีกว่าเนอะ”

 

รู้สึกเหมือนกำลังปรึกษาแผนตั้งแคมป์กันเลยแฮะ แต่พวกเราไม่ได้อยู่ในสวนที่ไหนซักหน่อย ที่นี่มันโลกเบื้องหลังนะ ก็คงจะเป็นอย่างที่คุณโคซากุระว่านั่นแหละ ถึงอาจจะสายไปหน่อยแล้วก็ได้ที่หยิบเรื่องนี้มาพูดเอาป่านนี้ แต่การมาปิคนิคในที่แบบนี้เนี่ยมันบ้าชัดๆ เลย

 

“เอากาแฟอีกมั้ย โซราโอะ?”
“อ้อ เอาสิ จะว่าไป เพิ่งนึกได้พอดีเลยว่าฉันยังมีขนมไหว้พระจันทร์ที่ซื้อเอาไว้จากร้านข้าวต้มเมืองจีนร้านนั้นอยู่เลย เวลานี่ก็กำลังเหมาะเลยนะ มากินด้วยกันดีกว่า”
“สุดยอดไปเลย โซราโอะ!”
“แน่นอนอยู่แล้ว”

 

หลังจากที่เอาตะกร้ากับกล่องทัพเพอร์แวร์ที่ว่างเปล่าเก็บออกไปแล้ว ฉันก็แบ่งขนมไหว้พระจันทร์เป็น 2 ซีก แล้วพวกเราก็เล็มขนมในมือคั่นกับจิบกาแฟเป็นพักๆ พลางมองดูวิวนอกหน้าต่างไปด้วย

พอรู้สึกผ่อนคลายนิดหน่อย ฉันก็ถามขึ้นมา

 

“นี่ โทริโกะ ทำไมเธอถึงอยากจะมากินข้าวกล่องจังเลยล่ะ?”
“หืม? ก็คิดว่าน่าสนุกดีน่ะ”
“อืม เหรอ ก็สนุกจริงๆ นะ แต่บางทีเธอก็ดูกระตือรือร้นกับเรื่องพวกนี้น่าดูเลย อย่างตอนที่พวกเราไปชายหาดที่โอกินาว่า คนที่อยากทำนู่นทำนี่ที่เราไม่ควรจะทำที่โลกเบื้องหลังก็คือเธอนะ ไม่ใช่ฉันซักหน่อย”
“ฉันเหรอ?”
“เธอนั่นแหละ”

 

โทริโกะเม้มปากอยู่ซักพักนึง แล้วในที่สุด เธอก็พูด

 

“มันน่าหงุดหงิดน่ะ”
“หมายถึงอะไรเหรอ?”
“ตอนที่ซัทสึกิพาฉันไปที่โลกเบื้องหลังน่ะ ถ้าให้พูดตามตรง ฉันไม่ค่อยเข้าใจหรอก… ว่าที่นั่นมันน่ากลัวขนาดไหน หรือผิดปกติแค่ไหน ฉันไม่รู้เลยว่ามีอะไรอยู่ที่นี่ นอกจากพวกเรา เพราะแบบนั้นแหละ พอฉันได้เห็นสถานที่แปลกหูแปลกตาแบบนี้ ฉันตื่นเต้นมากๆ เลยว่าเราจะทำอะไรบ้าง―――แล้วก่อนที่ฉันจะทันได้ทำอะไร ซัทสึกิก็หายตัวไปแล้ว”

 

โทริโกะเหลือบตาลงก่อนจะพูดต่อ

 

“มันทำให้ฉันหงุดหงิดตลอดเลยล่ะ พอฉันได้เริ่มมาเล่นกับเธอแบบนี้ ฉันก็เลยปักธงเอาไว้แล้วว่าจะไม่ยั้งเอาไว้แล้ว อะไรที่อยากทำด้วยกัน ฉันก็จะทำมันทุกอย่างเลย เพราะแบบนั้นแหละ ฉันก็เลยอาจจะรบเร้ามากหน่อย ขอโทษนะ”
“ไม่เป็นไร”

 

ฉันส่ายหัว

 

“ฉันเข้าใจอารมณ์หงุดหงิดแบบนั้นอยู่นะ บ้านฉันก็พังครืนเลยหลังจากที่เข้าลัทธิแปลกๆ นั่น อ้อ เป็นเรื่องหลังจากที่คุณแม่เสียนะ ก็เป็นคนที่บ้านเลยนอกจากคุณแม่ ฉันเคยโดนลักพาตัวไปเพื่อทำพิธีอะไรซักอย่าง แล้วก็มีปัญหาที่โรงเรียนด้วย…”

 

ยิ่งฉันพูด สีหน้าของโทริโกะก็ดูโมโหขึ้นมา

 

“เอ๊ะ? ไม่ใช่ว่าเราเคยคุยกันเรื่องนี้แล้วเหรอ?”

 

โทริโกะส่ายหน้าตอบ

 

“อ้อ ก็ เรื่องมันไม่มีค่าอะไรให้ขุดขึ้นมาเล่าอยู่แล้วล่ะ แต่มันทำให้ฉันโมโหขึ้น โกรธขึ้นเรื่อยๆ เลย แบบว่า ทำไมคนพวกนี้ต้องมาเจ้ากี้เจ้าการกับชีวิตของฉันด้วยนะ? ฉันก็เลยตัดสินใจว่าจะไม่เป็นเหยื่ออีกแล้ว”
“…หมายความว่าไงน่ะ?”
“ไม่ว่าฉันจะหนีจากพวกลัทธิ หรือจะสู้กลับ ตราบใดที่ฉันคิดว่าตัวเองเป็นเหยื่อผู้เคราะร้าย พวกนั้นก็จะยังเข้ามาบงการชีวิตของฉันอยู่ดี เพราะงั้น ฉันก็เลยเปลี่ยนวิธีคิดของตัวเอง พวกนั้นไม่ได้เกี่ยวอะไรกับชีวิตของฉัน―ฉันต่างหากที่เป็นคนกุมบังเหียนคุมชีวิตของตัวเอง ถ้าพวกนั้นยังจะดันทุรังเข้ามาขวางอีก มันก็เรื่องง่ายๆ: แค่ทำลายทุกอย่างทิ้งไปให้หมดก็เท่านั้นเอง”
“แล้ว… เป็นยังไงต่อ?”
“น่าผิดหวังสุดๆ แต่พวกนั้นตายกันไปหมดแล้วก่อนที่ฉันจะทันได้ทำอะไรด้วยซ้ำ แล้วลัทธิก็ล่มไป ก็ ทุกอย่างจบลงด้วยดี ล่ะมั้ง”
“…”

 

ระหว่างที่พูดอยู่นี่ มีเรื่องนึงที่เริ่มจะสมเหตุสมผลสำหรับฉันนะถ้าเกิดตั้งใจเอาไว้ มันก็เป็นไปได้ที่ฉันจะเลิกเป็นเหยื่อได้ แต่ฉันไม่เคยตั้งคำถามเลยนะ… ถ้าเกิดฉันไม่ใช่เหยื่อ แล้วฉันเป็นอะไรล่ะ? ฉันไม่เคยตั้งใจจะเป็นฝ่ายกดขี่นะ ฉันไม่อยากจะทำร้ายใคร มันไม่ใช่โจทย์ที่มีแค่ 2 ตัวเลือกอย่างผู้กระทำกับผู้ถูกกระทำหรอก แต่ฉันรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังล่องลอยอยู่ตรงไหนซักที่ระหว่าง 2 ฝ่ายนี้เลย

เป็นตอนนั้นแหละ ที่ฉันได้เจอโทริโกะ แล้วเธอก็ให้คำๆ นั้นกับฉันมา

ผู้สมรู้ร่วมคิด

คำนั้นน่ะ ตอนแรกฉันคิดว่ามันฟังดูไม่เข้าท่าเท่าไหร่ แปลกดีนะ ไม่รู้เลยว่ามันกลายเป็นคำที่สำคัญกับฉันขนาดนี้ตั้งแต่ตอนไหนกัน? ด้วยคำคำนั้นคำเดียว โทริโกะก็ให้ตำแหน่งใหม่ที่ฉันเป็นแล้ว

 

รู้ตัวอีกที โทริโกะก็นิ่งเงียบไปเลย พอเห็นแบบนั้นฉันก็ลนลานขึ้นมา

 

“อ๊ะ! ขอโทษนะ แบบว่า จู่ๆ ก็มาพูดเรื่องบ้าบอพวกนี้ คือที่จริง ที่ฉันพยายามจะพูดคือ-”

 

ยังพูดไม่ทันจบประโยค อยู่ๆ โทริโกะก็เข้ามากอดฉันเฉยเลย

 

“อึก”
“…”
“ค- คุณโทริโกะคะ? มันแน่นจนหายใจไม่ออกแล้วนะ มีอะไรงั้นเหรอ?”
“ฉันขอโทษ ฉันไม่เคยรู้เลย”
“ไม่หรอก… เธอจะรู้ได้ยังไงล่ะ? ก็ฉันไม่เคยพูดอะไรเลยนี่”

 

จะว่าไป ก่อนหน้านี้ฉันเคยพูดเรื่องนี้ให้คุณโคซากุระฟังสินะ? แสดงว่าคุณโคซากุระไม่เคยเล่าอะไรให้โทริโกะฟังเลยสินะ

โทริโกะกอดฉันแน่นไม่ยอมปล่อยเลย ดูเหมือนฉันจะทำให้เธอตกใจสินะ พอฉันสูดหายใจเข้า กลิ่นแชมพูจากผมของโทริโกะกับกลิ่นหอมติดตัวของเธอก็ลอยเข้ามา ช่วยให้ฉันสงบใจลงได้เพราะอะไรไม่รู้เหมือนกัน

ถึงยังงั้นก็เถอะ อะไรทำให้เธอตกใจแบบนี้นะ?

ฉันเอามือตบหลังเธอเบาๆ พลางจ้องออกไปนอกหน้าต่าง แสงสีแดงของอาทิตย์ตกก็ลอดตัดผ่านกระจกหน้าต่างของหอชมวิวเข้ามาช้าๆ

 

“…ฮะ?”

 

ชั่ววินาทีต่อมา ฉันก็นึกขึ้นได้

 

“ท- โทริโกะ! แย่แล้ว!”
“ฮะ?”
“อาทิตย์กำลังตกแล้ว!”

 

โทริโกะผละออกมา แล้วก็รีบหันออกไปมองที่หน้าต่าง ตาของเธอเบิกโพลงเลย

 

“บ้าน่า! มันน่าจะยังไม่ถึงเวลาเลยนี่!”
“ต้องรีบออกไปจากที่นี่แล้ว ต้องไปให้ถึงเกทก่อนที่ฟ้าจะมืด!”

 

พวกเรารีบเก็บกระเป๋า วิ่งพรวดลงบันไดมา แล้วก็มุ่งหน้าออกไปทางโถงประตูที่เปิดกว้าง

 

“หา…!?”

 

ฉันเผลอตะโกนลั่นเลย AP-1 ที่จอดเอาไว้หน้าอาคารมันหายไปแล้ว ถึงพวกเราจะยืนนิ่งตะลึงอยู่ตรงนั้น ฟ้าเหนือร่มไม้ก็มืดลงอย่างรวดเร็ว

กลางคืนเข้ามาถึงแล้ว ค่ำคืนที่น่ากลัวของโลกเบื้องหลังน่ะ

 

TN: อ่าว… ช็อตฟีลสุดๆ บ้าจริง

[นิยายแปล] ฝ่าปริศนา ตะลุยโลกเบื้องหลัง

[นิยายแปล] ฝ่าปริศนา ตะลุยโลกเบื้องหลัง

Score 10
Status: Completed
การพบกันครั้งแรกกับ นิชินะ โทริโกะ ของเธอคือที่โลกเบื้องหลัง หลังจากได้เห็น “สิ่งนั้น” และเกือบตายไปแล้ว ตั้งแต่วันนั้น ชีวิตของนักศึกษามหาลัยผู้เหนื่อยล้า คามิโคชิ โซราโอะ ก็เปลี่ยนไป ในโลกเบื้องหลังนี้ที่มีอยู่เคียงคู่กับโลกของเราอันเต็มไปด้วยปริศนา มีตัวตนที่อันตรายอย่างคุเนะคุเนะและท่านฮัชชาคุที่ถูกพูดถึงกันในเรื่องผีจริงๆ นั้นปรากฏอยู่ เพื่อการวิจัย เพื่อผลประโยชน์ และเพื่อตามหาคนสำคัญ โทริโกะกับโซราโอะจึงก้าวเท้าเข้าสู่ดินแดนแสนพิลึกพิลั่นนั้น! (เรื่องนี้ แปลจาก LN ENG)

Recommended Series

Options

not work with dark mode
Reset