พอพวกเราหายตกใจจากเรื่องที่เราเพิ่งเจอคุเนะคุเนะแล้ว พวกเราก็เริ่มเดินกันต่อ
พอพวกเราเดินต่อไปทางทิศตะวันออก ระดับน้ำก็ลดลงเรื่อยๆ ดวงอาทิตย์เองก็เริ่มจะลับขอบฟ้าแล้วด้วย ลมก็พัดแรงเลย พอลมชื้นๆ นี่พัดผ่านน้ำมา มันก็ยิ่งทำให้หนาวเข้าไปอีก คุณโคซากุระน่ะตัวสั่นหงักๆ จนฉันสงสารเธอแล้วตอนนี้
“เห็นมั้ย? ฉันบอกแล้วว่าโทริโกะน่ะยังมีชีวิตอยู่ เธอก็น่าจะปล่อยยัยนั่นไปเลยนะ แทนที่จะลากฉันมาเอี่ยวด้วยแบบนี้”
เหมือนเธอจะพยายามทำให้ตัวเองอุ่นขึ้นด้วยการสุมไฟของความโกรธแล้วสินะเนี่ย เธองึมงำกระแสคำปรามาสที่แสดงความเกลียดชังออกมาใส่โทริโกะไม่ยั้งเลย
“ฉันจะจับยัยสมองนกนั่นมาทอดเป็นไก่ซะ… ไม่ก็จับต้มซุป… ถ้ามีกระทะก้นลึก ก็จับยัยนั่นลงไป ใส่เนื้อปลา แล้วจับทำหม้อไฟซะเลย…”
“นี่ไม่ใช่หน้าหม้อไฟนี่คะ”
“โอ้ย หนวกหูน่า หนาวจะตายแล้วเนี่ย”
น้ำลดลงไปจากระดับหัวเข่าลงไประดับน่องแล้ว ก่อนที่ในที่สุด พวกเราก็มาถึงพื้นดินแห้งๆ ซักที คุณโคซากุระก็หมอบลงไปกับพื้น หมดเรี่ยวแรงอย่างสมบูรณ์เลย
“ยังไหวมั้ยคะ?”
“ไหวก็แย่แล้ว ต้องเดินลากขามาตลอดทาง รองเท้าแตะจะได้ไม่ไหลหายไปไหน ปวดต้นขาจะตายแล้วเนี่ย”
“โอเคค่ะ งั้นพักกันซัก 3 นาทีนะคะ”
“อะไรกันเนี่ย นี่เธอเป็นยักษ์เป็นมารหรือไง…”
“โธ่! โทริโกะกำลังเรียกเราอยู่นะคะ!”
ฉันพูดออกไปพร้อมกับอารมณ์ที่พุ่งพล่านมากกว่าที่ตั้งใจ
ถ้าเธอเลือกจะยิง 2 นัด ก็น่าจะแปลว่าเธอได้ยินเสียงปืน 2 นัดที่เรายิงจัดการกับคุเนะคุเนะได้จากตรงที่เธออยู่ด้วย
“โทริโกะอยู่อีกไม่ไกลแล้วค่ะ มาพยายามกันจนกว่าจะไปถึงเจ้าตัวกันดีกว่า”
คุณโคซากุระเงยหน้าขึ้นมองฟ้าด้วยสีหน้าที่เหนื่อยอ่อนเต็มทน
“ฉันคิดว่าเธอจะเป็นแค่โอตาคุกระแสรองที่ไม่มีทักษะการสื่อสารซะอีก นี่ตกลงเธอเป็นคนวิกลจริตที่มีปัญหาโหยหาคนพึ่งพางั้นเหรอ? ขอทีเถอะน่า”
“เมื่อกี้ คุณพูดอะไรที่ใจร้ายมากๆ เลยหรือเปล่าเนี่ยคะ?”
“ขอร้องล่ะ ช่วยสำนึกตัวซะบ้างเถอะ นี่จริงจังนะ”
ฉันมองคุณโคซากุระเกาะลูกซองของตัวเองเอาไว้แน่น แถมเข่าก็สั่นระริกไปหมด ก็รู้สึกสงสารเธอขึ้นมาเลย
“เออ ฉันไม่มีเสื้อผ้าไว้เปลี่ยนเลย แต่ว่า เออ… จะกอดมั้ยล่ะคะ?”
ดูจากสีหน้าของคุณโคซากุระแล้ว คงเป็นข้อเสนอที่ไม่เข้ากับสถานการณ์ตอนนี้สุดๆ เลยสินะเนี่ย
“เอิม เผื่อว่าคุณเข้าใจผิดอะไรนะคะ คือ ฉัน ไม่ได้มีปัญหาไม่พอใจอะไรคุณโคซากุระหรอกนะคะ”
“หยุดเลยนะ! หยุดเลย! ฉันยังพยายามจะเชื่อว่าตัวเองกำลังคุยกับมนุษย์ที่สื่อสารด้วยภาษาคนรู้เรื่องกันอยู่นะ!”
“ค- ค่ะ…”
“ก่อนที่เธอจะพูดอะไรที่มันบ้าบอไปมากกว่านี้ ฉันจะเริ่มพูดกับตัวเองก่อนเลยแล้วกัน ทางมหาวิทยาลัย MIT ได้สร้างโปรแกรมสร้างภาพขึ้นมาที่เรียกว่าไนท์แมร์แมชชีน มันเป็นโปรแกรมที่อาศัยการเรียนรู้แบบดีพเลิร์นนิ่ง เพื่อทำให้หน้าตาหรือสถานที่ดดูชั่วร้ายขึ้น สร้างภาพที่ทำให้คนรู้สึกเสียขวัญ ถ้าเราแค่เอาสิ่งของไปผ่านฟิลเตอร์ที่ใช้หลักการที่ตายตัวแบบนั้นแล้ว ก็สามารถทำให้มนุษย์หวาดกลัวได้ง่ายๆ เลย”
“อ้อ ฉันเข้าใจได้นะคะ คิดดูแล้ว น่าจะสามารถประยุกต์สูตรสำเร็จแบบนั้นกับเรื่องผีที่มีการพบเห็นจริงหรือเรื่องเล่าขานในอินเตอร์เน็ตได้เหมือนกัน”
TN: Nightmare Machine => ทาง MIT ได้แสดงผลงานจาก Artificial Intelligence (AI) เพื่อใช้ในการสร้างใบหน้าขึ้นมา โดยเริ่มต้นด้วยการสร้างใบหน้าหลอนๆ ขั้นต้นขึ้นมาก่อน จากนั้นจึงค่อยสอน AI ว่าใบหน้าไหนบ้างที่น่ากลัว ผลลัพธ์สุดท้ายก็คือ AI ได้เรียนรู้ความหลอนของใบหน้ามนุษย์ที่ถูกดัดแปลงให้เป็นผีมากขึ้น ใครอยากลองไปเล่น กดตรงนี้ได้เลยนะครับ http://nightmare.mit.edu/
นอกจากใบหน้าหลอนๆ แล้ว ก็มีภาพสถานที่หลอนๆ ด้วยนะครับ อ่านนิยายจบแล้วก็ลองไปเล่นดูได้นะ ^^
(อ่านให้จบก่อนนะครับ ค่อยกดออกไปเล่น 555)
“สิ่งที่ได้ออกมาจากไนท์แมร์แมชชีนก็คือรูปภาพ แต่ฉันมั่นใจเลยว่าการสร้างผลลัพธ์จะประมวลออกมาเป็นภาษาทางธรรมชาติในรูปแบบเดียวกันเนี่ยก็ทำได้เหมือนกัน ประเด็นก็คือ [ความกลัว] นั้นเป็นสิ่งที่สามารถสร้างขึ้นมาได้”
TN: Natural Language Processing (NLP) หรือการประมวลผลภาษาธรรมชาติ เป็นศาสตร์ที่สำคัญทางด้าน Machine Learning เพื่อให้คอมพิวเตอร์สามารถทำความเข้าใจข้อมูลที่มีลักษณะเป็นข้อความหรือคำพูดเฉกเช่นเดียวกับที่มนุษย์ที่ทำได้ ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่เข้าใจความหมายโดยตรงของข้อความนั้น ๆ แต่ยังรวมถึงการรับรู้ถึงความหมายโดยนัย ความรู้สึกของผู้เขียน ความแตกต่างทางบริบทของภาษา รวมถึงสามารถทำการวิเคราะห์ในรูปแบบต่าง ๆ ได้อีกด้วย
คุณโคซากุระเอานิ้วขึ้นมาแตะที่ขมับ ก่อนจะพูดต่อ
“มาเรียกฟิลเตอร์นี้ที่ทำให้เกิด [ความกลัว] ว่า ‘เฟียร์ฟังก์ชัน (Fear Function)’ แล้วกันนะ เมื่อข้อมูลที่รับเข้ามาผ่านทางประสาทสัมผัสนั้นวิ่งผ่านเฟียร์ฟังก์ชัน สิ่งที่เราเห็นหรือได้ยินก็จะน่ากลัวไปหมด นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ในกรณีของผู้มีภาวะติดสุราหรือภาวะซึมเศร้าได้ด้วยเหมือนกัน มันเป็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นในระบบประสาท แบบที่อยู่ภายในสมองล้วนๆ แต่ถ้าเฟียร์ฟังก์ชันมีตัวตนอยู่ภายนอกล่ะ เธอก็น่าจะพอเดาได้ว่า มันจะทำให้เกิดสิ่งเดียวกันขึ้นมาได้”
“ภายนอก…?”
“ในสถานที่ที่สามารถทำให้การรับรู้บิดเบี้ยวไปได้จากการแค่เข้าถึงมัน มันเป็นยิ่งกว่าสาเหตุทางสังคม หรือสาเหตุทางกายภาพ อย่างความกดอากาศหรือสารเคมี แต่ผลลัพธ์ของมันก็จะรุกเข้าหาจุดอ่อนในสมองของมนุษย์… สิ่งที่พวกเราเรียกว่า [สถานที่เฮี้ยน] อาจจะเป็นตัวอย่างนึงในสถานที่แบบที่ว่าก็ได้”
“งั้น ง่ายๆ คือ คุณจะบอกว่าโลกเบื้องหลังนี่ทำให้เกิดภาวะผิดปกติในสมองของมนุษย์ แล้วทำงานเหมือนเป็นเฟียร์ฟังก์ชันขนาดมหึมางั้นเหรอคะ?”
“ใช่ ฉันมีหลักฐานชิ้นนึงนะที่ว่าที่นี่มีผลกับสมองแน่นอน”
คุณโคซากุระชี้ไปที่ลำกล้องปืนลูกซองของเธอ
“ดูที่ปืนของเธอก็ได้ เธอน่าจะอ่านตัวอักษรหรือตัวเลขที่สลักอยู่บนนั้นไม่ได้นะ”
ฉันหยิบมาคารอฟออกมาจากซองเก็บปืนที่ขาแล้วก็ลองอ่านดู เป็นอย่างที่คุณโคซากุระบอกเลย ตัวอักษรที่สลักบนโลหะกลายเป็นสัญลักษณ์แปลกๆ ไปแล้ว ความหมายของคำที่เขียนเอาไว้ก็อ่านไม่ออกด้วย
“มาลองคิดๆ ดูแล้ว… เมื่อไหร่ที่มาที่นี่ผ่านทางลิฟต์ ตัวอักษรบนปุ่มกดก็เพี้ยนไปหมดเลยเหมือนกันค่ะ”
“ความสามารถทางภาษาของพวกเราคงจะถูกแทรกแซงซักตอนนึงระหว่างการเปลี่ยนผ่านจากโลกเบื้องหน้ามาที่โลกนี้ หลักฐานที่ว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี่ไม่ได้มีผลถาวรก็คือสิ่งที่สลักอยู่บนตัวปืนของพวกเราจะกลับไปเป็นปกติเมื่อเราเอาพวกมันจากโลกฝั่งนี้กลับไปที่เดิม แสดงว่าไม่ใช่ตัวอักษรที่เปลี่ยนไป แต่เป็นความสามารถในการอ่านของพวกเราต่างหาก ปรากฏการณ์นี้น่ะ เป็นเหมือนกับภาวะบกพร่องทางการสื่อสารจากระบบประสาทเลย โรคที่เกิดความบกพร่องกับกลไกการทำงานระดับสูงในสมองของเรา ถ้าสมองส่วนเวอร์นิกแอร์เรียที่อยู่ตรงสมองกลีบข้างของมนุษย์ได้รับความเสียหาย คนคนนั้นก็จะได้เสียความสามารถในการทำความเข้าใจกับความหมายของคำไป แล้วก็จะเริ่มพูดอะไรที่ไร้ความหมายออกมา แต่ว่า…”
TN: ปัญหาเรื่องการรับรู้เข้าใจในภาษา (Wernicke’s Aphasia) เป็นประเภทนึงของภาวะบกพร่องทางการสื่อสารจากระบบประสาท (Sensory Aphasia) โดยอาการของผู้ป่วยคือจะยังสามารถพูดได้คล่องและถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ แต่ไม่สามารถเข้าใจคำพูดนั้นๆ ได้ ยิ่งถ้าเป็นประโยคที่ซับซ้อนจะไม่เข้าใจเข้าไปอีก ไม่สามารถพูดตามได้เนื่องจากไม่เข้าใจในสิ่งที่ต้องพูดตาม ไม่สามารถเขียนหนังสือตามคำที่บอกได้ ในผู้ป่วยบางรายที่มีอาการน้อยอาจยังสามารถอ่านได้แต่จะมีตกหล่นไปบางคำ แต่หากมีอาการรุนแรง ผู้ป่วยจะไม่สามารถอ่านหนังสือได้เลย สาเหตุของความผิดปกตินั้นมาจากความผิดปกติที่เส้นเลือด Middle cerebral artery ที่ส่งเลือดไปเลี้ยงสมองบริเวณ left superior temporal lobe ทำให้ความเสียหายส่งไปถึง Cerebrum ส่วน Wernicke’s area
คุณโคซากุระยื่นนิ้วออกไปเขียนตัวคันจิ 月 (TN: Tsuki แปลว่า “ดวงจันทร์”) บนพื้น ฉันก็อ่านได้ไม่มีปัญหานะ
“ถ้ามีอะไรที่ถูกเขียนที่นี่ พวกเรามีความสามารถในการเข้าใจมันได้ร่วมกัน แต่ว่า สิ่งที่ฉันเขียนเอาไว้ที่นี่ เมื่อกลับไปที่โลกเบื้องหน้าก็ไม่ควรจะมีความหมายอะไรเลย ถ้างั้น แล้วสิ่งที่ฉันเขียนอยู่นี่จริงๆ มันคืออะไรกันล่ะ? นี่อาจจะไม่ได้ส่งผลกับตัวอักษรที่เขียนก็ได้ จริงๆ แล้ว พวกเรากำลังคุยกันอยู่จริงๆ หรือเปล่า?”
คุณโคซากุระเงยหน้าขึ้นมาสบตาฉัน ก่อนจะพูดต่อ
“ถ้าสิ่งที่เธอเพิ่งเจอมาผ่านมุมมองของคุเนะคุเนะเป็นเรื่องจริงล่ะก็ แสดงว่าคุเนะคุเนะก็มีผลกระทบกับความสามารถทางด้านภาษาของพวกเราแน่นอน ภาษาแปลกๆ นั่นมันเป็นแค่ผลพลอยได้ของเรื่องนั้น เราไม่จำเป็นต้องรอการเจอเข้ากับคุเนะคุเนะหรอกถึงจะเกิดเรื่องนั้นขึ้นหรอก ตั้งงแต่ตอนที่เราเหยียบเข้ามาที่โลกเบื้องหลังนี่ มันก็มีบางอย่างล้วงเข้ามาในสมองมนุษย์ของพวกเราไปเรียบร้อยแล้ว แล้วก็…
.
.
.
…เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการนั้น หรือผลลัพธ์ของมัน ก็เกิดความกลัวขึ้น”
พวกเรามองกันอยู่อีกซักพัก รู้สึกขนลุกขึ้นมาหน่อยๆ ฉันลังเลนิดๆ ก่อนจะเปิดปากพูด
“ทั้งหมดนั่นเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากๆ เลยค่ะ แต่หมดเวลา 3 นาทีแล้วนะคะ ไปกันเถอะค่ะ”
ตาของคุณโคซากุระเบิกกว้างเลย
“เอาจริงเหรอ? ขอฉันอีก 3 นาทีเถอะ…”
“อึม จะยังงั้นก็ได้นะคะ คุณโคซากุระ ฉันไปคนเดียวก็ได้ค่ะ”
“หยุดเลย! ยัยคนใจยักษ์!”