ฉันกับโทริโกะอึ้งจนตัวแข็งกันทั้งคู่ ปืนของเรายังเล็งตรงไปที่เจ้าตัวนั่นอยู่
หน้าของฉันติดอยู่กับร่างกายของวัว ผมยุ่งๆ กับตาที่ขุ่นมัวนั่น รู้สึกยังกับว่าสติหลุดลอยไปจากสายตาเหมือนคนตายนั่นมองมากับน้ำลายที่ไหลย้อยมาจากริมฝีปากชุ่มเลือดนั่นเลย
ปากนั่นเปิดออก ก่อนจะพูด
“คนตัวแดง”
เสียงนั่นพูดขึ้นมา
“คนตัวแดงมาแล้ว”
อ้อ ยังงี้เอง
ฉันฟังเสียงของตัวเองอย่างงงๆ อยู่แบบนั้น
ลืมไปเลย
อีกทีซิ คนตัวแดงนี่ใครนะ?
“ต้องไปจริงๆ เหรอ? ไม่เร็วไปหน่อยหรือไง?”
ฉันพูด
“ฉันบอกคนนั้นแล้วเหมือนกัน นี่มันไม่ยุติธรรมจะตาย ไม่คิดว่างั้นเหรอ?”
ฉันส่ายหัวอย่างไม่พอใจ
“ต้องจุดไฟต้อนรับเขาแล้วสิ ถ้าไม่รู้สึกร้อนหรือเจ็บปวด มันก็ไม่ยุติธรรมสิ”
ฉันพยักหน้า ก่อนจะ—
*ปั้ง!!*
เสียงปืนลั่นดังก้อง ระเบิดรูเข้าที่หน้าผากของฉัน
ฉันก้มหน้า ก่อนจะพ่นอะไรซักอย่างที่เหมือนถอนหายใจออกมา บู้บี้ไปกับพื้นถนน
“…อุ”
ฉันกระพริบตาปริบๆ เหมือนกับเพิ่งตื่นจากฝันเลย
บนถนนมีแอ่งเลือดตื้นๆ เหมือนกับมีใครซักคนขว้างลูกโป่งที่ใส่เลือดไว้เต็มลงใส่พื้นเลย แถมคุดันกับสาวหน้าวัวก็หายไปไหนไม่รู้ มองไปที่ไหนก็ไม่เห็นเลย
ฉันมองที่ทางด้านข้าง ก็เห็นโทริโกะถือ AK ของเธออยู่ มองไปที่แอ่งเลือดนั้นแบบอึ้งกิมกี่พูดอะไรไม่ออก แถมมีควันลอยโชยออกมาจากปากกระบอกปืนด้วย
“โทษนะ โซราโอะ ฉ- ฉัน ยิงมันไปแล้วอะ ฉันแค่… ทนไม่ไหวแล้วน่ะ”
โทริโกะพูดตะกุกตะกักออกมาแบบนั้น
ฉันอยากจะพูดอะไรซักอย่างนะ แต่ฉันก็พูดอะไรไม่ออกเลยซักคำ ฉันเลยส่ายหัวแทน ระหว่างลมหายใจที่สั่นเทา โทริโกะก็ลดปืนเธอลง
ฉันเห็นความสว่างรางๆ อยู่รอบตัวเรา พอฉันเงยหน้าขึ้นมา ก็เห็นว่าตอนนี้ กลายเป็นว่าพวกเรามาอยู่หน้าซากตึกหลังนึงตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แสงจากป้ายไฟนีออนกลายเป็นสีชมพูฟ้า มีตัวอักษรบางตัวหายไป แล้วมันก็ส่งเสียงหึ่งๆ ออกมาเหมือนแมลงด้วย ต่อให้มันจะไม่พัง เราก็อ่านป้ายนั่นไม่ออกอยู่ดี ตัวอักษรของโลกเบื้องหน้าไม่สามารถอ่านออกได้ที่โลกเบื้องหลังได้ซักหน่อย
ตอนนี้ฉันไม่ได้ยินเสียงแม่น้ำแล้ว ฉันลองมองดูรอบๆ แล้วก็เห็นว่าหิมะลงมาปกคลุมทุ่งหญ้ากับลานจอดรถนี่มันเด่นออกมา ยังกับว่าพวกเราอยู่ที่อาคารทรุดโทรมริมถนนในเขตชนบทเลยล่ะ ป้ายไฟนีออนฉายแสงเย็นๆ อย่างโดดเดี่ยวอยู่กลางค่ำคืนอันเวิ้งว้าง โดยไม่มีไฟถนนฉายแสงออกมาเป็นเพื่อนเลยซักดวง
ดูจากกำแพงที่ก่อเพื่อความเป็นส่วนตัวตรงหน้าตึก แล้วก็ป้ายราคากับผ้าม่านไวนิลสีเขียวที่ปิดหน้าทางเข้ามาที่ลานจอดรถนี่ ฉันก็สรุปได้แล้วล่ะว่าที่นี่คือเลิฟโฮเทลแน่นอน
แถม ฉันยังรู้จักโรงแรมนี้ด้วย
“ก่อนหน้านี้เราไม่ได้อยู่ที่นี่นี่นา มันเกิดอะไรขึ้นล่ะเนี่ย…?”
“ไม่รู้สิ แต่ว่า… จำตึกนั้นที่พวกเราเขาไปเมื่อตอนที่เจอยามาโนเกะได้มั้ย?”
“หมายถึงหอชมวิวน่ะเหรอ?”
“ทุกครั้งที่มันหมุน โลกเบื้องหลังก็จะเปลี่ยนไปนิดหน่อยใช่มั้ยล่ะ? ฉันคิดว่าเรื่องนั้นน่าจะเกิดขึ้นที่นี่ด้วยน่ะ”
“แล้วที่ดึงเรามานี่คือเจ้า เออ… โรงแรม?”
“โทษที น่าจะเป็นความผิดฉันเองแหละ”
“เอ๊ะ… ทำไมล่ะ?”
ฉันบอกเธอไป ถึงจะรู้สึกว่ามันแปลกๆ อยู่นิดหน่อยก็เถอะ
“ฉันว่าฉันรู้จักที่นี่นะ”
“ไหงงั้นล่ะ?”
“เพราะฉันเข้าไปข้างในมาแล้วไง?”
“…ว่าไงนะ!?”
โทริโกะตกใจตาโตเลย
ฉันอ่านป้ายไม่ออกหรอก แต่แค่เหลือบเห็นทีเดียวก็เพียงพอจะให้ฉันเห็นได้แล้ว วันนั้น ฉันก็โดนป้ายไฟนีออนล่อเข้ามาที่นี่เหมือนกันนั่นแหละ
เมื่อตอนที่ฉันเรียนอยู่ชั้นมัธยม ตอนที่ฉันไม่อยากกลับบ้านเลยเพราะที่นั่นมันกลายเป็นที่ชุมนุมแวะมาของพวกสาวกลัทธิ ฉันเข้าไปที่ตึกร้างหรือซากตึกหลังนึง แล้วก็ย้ายไปอีกหลัง หาที่ที่ปลอดภัยเพื่อจะซ่อนตัว
วันนึงในฤดูหนาว ที่ที่ฉันไปเจอเข้าก็คือเลิฟโฮเทลในแถบชานเมือง ตัวตึกมืดสนิท เห็นชัดเลยว่าโดนปล่อยทิ้งร้างไปแล้ว แต่เพราะอะไรซักอย่างป้ายไฟนีออนถึงยังสว่างอยู่ได้ พอคิดได้ว่ามันคงเจ๊งไปได้ไม่นานแน่ๆ เลย ฉันก็เข้าไปข้างใน
มีแค่ป้ายไฟอย่างเดียวเลยที่มีไฟฟ้าวิ่งเข้ามา เพราะไม่มีไฟดวงไหนเปิดติดเลย ถึงชั้นล่างจะเละไปหมด แค่พอฉันพังไม้อัดที่กั้นบันไดขึ้นออก ชั้นบนนี่ยังดูดีเหมือนกับว่าไม่มีใครไปยุ่งอยู่เลย หลังจากที่เดินทอดน่องไปทั่วตึกรกๆ ฝุ่นคละคลุ้งนี่ไปเรื่อยๆ พร้อมกับไฟฉายกระบอกนึงในมือ ฉันก็ไปเจอห้องที่ยังถือว่าดูดีห้องนึงใกล้กับทางออกฉุกเฉิน ก่อนจะตัดสินใจปักหลักอยู่ที่ห้องนี้
จากนั้น หลังจากที่อยู่ที่นั่นไปอีกพักนึง ฉันถึงค่อยกลับบ้าน
พอฉันอธิบายให้เธออย่างง่ายๆ โทริโกะก็เงยหน้าขึ้นไปมองที่ป้ายนีออนนั่น สีหน้าเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกเลย
“อ้อ งั้นเหรอ…? แสดงว่าที่นี่คือสถานที่ในความทรงจำของเธองั้นสินะ…?”
“ค- คือ จะว่ายังงั้นก็คงได้อยู่นะ”
ฉันสะดุ้งไปนิดหน่อยหลังจากที่เธอรวบเรื่องของฉันเข้ามาด้วยการใช้คำที่สวยกว่าสถานการณ์ความเป็นจริงแบบนั้น
“เอ๊ะ? แต่เดี๋ยวนะ นี่เป็นไปได้มั้ยเนี่ยว่าที่เรามาอยู่ที่นี่ได้จะเป็นเพราะฉันไปยิงเจ้านั่นเข้าน่ะ?”
“…ไปพะวงเรื่องนั้นมันก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก ฉันไม่รู้เลยซักนิดว่ามันมีตรรกะอะไรอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้บ้างหรือเปล่าด้วยซ้ำ”
ลมพัดผ่านเราไปวูบนึง ทำให้ตัวเราที่เหงื่อแตกพลักเพราะความกลัวและความเกร็งไปหมดอยู่แล้วหนาวเข้าไปใหญ่ โทริโกะตัวสั่น เงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้าที่มีดาวเต็มฟ้า เกล็ดหิมะที่เต้นไปมาในแสงไฟนีออนนี่ดูสวยดีนะ
“รู้สึกเหมือนหิมะมันตกหนักขึ้นนะ”
“อื้อ…”
“เธอจะเอาไงดีล่ะ? กางเต็นท์ที่นี่เหรอ?”
ฉันคิดแบบนั้นเลยนะ
ตอนที่เราเดินหลงเข้าไปที่มุมมองอื่นของโลกเบื้องหลัง แล้วก็ไปเจอเข้ากับยามาโนเกะ พอมาถึงตอนที่หอชมวิวหมุนกลับมาที่เดิม พวกเราก็กลับมาที่เดิมได้ ถ้าเวลาผ่านไปอีกจะเกิดเรื่องเดียวกันที่นี่ด้วยหรือเปล่านะ? หรือต้องมีเงื่อนไขอะไรซักอย่างที่เราต้องทำให้เรียบร้อยก่อน?
หลังจากที่เราเจอคุณลุงในห้วงมิติ ตอนที่เรากลับมาจากส่วนลึกของโลกเบื้องหลัง พวกเราใช้ตาของฉันกับมือของโทริโกะเปิดทางตรงกลับบ้านได้นะ ฉันใช้ตาขวาของตัวเองมองไปรอบๆ เผื่อว่าจะมีอะไรที่ทำให้เราทำแบบนั้นอีกรอบนึงได้ แต่ก็ไม่มีแสงเรืองๆ สีเงินนั่นที่เราไปใช้เป็นจุดตั้งต้นได้เลย
มันมืดเกินไป หนาวเกินกว่าจะไปลองอะไรอย่างอื่นไหวด้วย ต่อให้นี่จะเป็นมุมมองอื่นของโลกอีกฟากก็เถอะ ยังไงตอนเช้าก็ต้องมาถึงอยู่ดี ในสถานการณ์ของพวกเราตอนนี้ที่คลาดสายตาไปจากสะพานที่พวกเรามุ่งหน้าไปหาแล้วเรียบร้อย บางทีการปิดตัวเองจากโลกข้างนอก แล้วหลับไปจนกว่าฟ้าจะสว่างก็อาจจะดีที่สุดแล้วก็ได้ แต่ฉันกลัวเรื่องหิมะเกินกว่าจะกล้าลอวงกางเต็นท์ข้างนอกนี่เนี่ยสิ ไม่รู้เลยว่าหิมะจะตกอีกหนักแค่ไหน แถมถ้าต้องปะทะลมตรงๆ นี่ มันต้องหนาวสุดๆ แน่นอน
ฉันมองไปทางโทริโกะที่กำลังรอฟังฉันอยู่ด้วยสีหน้าตึงเครียดเลย
“อยากลองเข้าไปข้างในดูมั้ย?”
“ข้างใน?”
“เลิฟโฮเทลนี่น่ะ”
“เลิฟโฮเทล!?”
โทริโกะตะโกนลั่น เหมือนกับว่าเธอเสียความสามารถในการทำอะไรก็ตามนอกจากพูดตอบเป็นนกแก้วนกขุนทองเลย เห็นแบบนี้ก็ทำเอาฉันแทบหลุดหัวเราะออกมาอยู่แล้ว
โอเค! เราจะทำมันแล้วนะโทริโกะ!
เราจะเข้าไปเลิฟโฮเทลด้วยกันแล้ว!
แต่โทษทีนะ… เลิฟโฮเทลนี้มันเป็นซากตึกร้างน่ะ…!
ฉันถือไฟฉายไว้ ส่วนโทริโกะก็ถือ AK เอาไว้พร้อม ก่อนที่เราจะเหลือบไปมองหลังม่านไวนิลสีเขียว ข้างหลังมีที่พอให้รถจอดได้ 5 คัน แล้วทุกซองก็โล่งหมดเลย
หลังจากเราเช็คดูเรียบร้อยว่าปลอดภัย ฉันก็กลับขึ้นไปนั่งที่เบาะคนขับ แล้วก็ขับ AP-1 เข้าไปที่ลานจอดรถ ระหว่างนั้น โทริโกะก็คอยเฝ้าระวังรอบบริเวณเอาไว้
พอดับเครื่องปุ๊บ ทุกอย่างมันก็เงียบกริบไปแบบปุบปับเลย เสียงก้าวเท้าของเราดังก้องไปทั่วลานจอดรถเล็กๆ นี่ที่มีแค่ไฟฉายส่องแสงออกมา
เพราะประตูอัตโนมัติที่เข้าไปข้างในมันไม่มีไฟฟ้า พวกเราก็เลยงัดชะแลงอันยาวออกมา ปักเข้าไปที่ช่องว่างระหว่างบานประตู แล้วก็ช่วยกันงัดมันเปิดออก
เราเก็บชะแลงแท่งหนักยาวกลับไปที่ AP-1 คว้าเป้กับถุงนอนของเรากันมา เตรียมพร้อมจะออกสำรวจกันแล้ว ฉันหยิบชะแลงขนาดมือถือที่สามารถใช้เป็นตัวงัดตะปูได้ด้วย เอามาห้อยไว้ที่เข็มขัดเครื่องมือที่เอวอยู่ข้างๆ กับถุงที่ใส่ตัวน็อตเอาไว้เต็ม โทริโกะนี่เจ๋งกว่าอีกนะ เธอพกขวานสองมือพร้อมกับซองหนังหุ้มเหน็บอยู่ต้นขาฝั่งข้างนอกมาเลย
“เธอใช้เป็นด้วยเหรอนั่นน่ะ?”
“ฉันผ่าฟืนมาเยอะเลยนะ ถึงจะเป็นตอนที่ยังเด็กๆ ก็เถอะ”
“ไม่หรอก ถึงยังไงเธอก็ไม่เห็นจำเป็นต้องใช้อันที่ใหญ่ขนาดนั้นเลยนี่นา ไม่ใช่รึไง?”
“สำหรับคนที่สูงเท่าฉันนี่ ขวานเล่มยาวๆ เนี่ยใช้ง่ายกว่าจริงๆ นะ ดูเข้ากับฉันดีออกนะว่ามั้ย?”
“มันไม่เกี่ยวซักหน่อยว่ามันจะดูเข้ากันหรือเปล่า… ถึงจะดูเข้ากับเธอดีก็เถอะ”
“โอ้ เยี่ยมเลย ยังไงก็มีคำว่า ‘หญิงงามเพราะขวาน’ อยู่แล้วนี่”
“ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยนะนั่นน่ะ!?”
หลังจากที่เราเตรียมตัวกันแบบที่ไม่ได้ใส่ใจสถานการณ์ปัจจุบันอะไรเรียบร้อย เราก็เดินเข้าไปในโรงแรมกัน
TN: ตอนแรกนี่ว่าจะเครียดแล้วนะ
ส่วนเรื่องโรงแรมนี่ เดี๋ยวผมขอติดไว้ก่อนนะครับ ไว้จะขอมาอธิบายมากกว่านี้ในอนาคตอีกที
ขอแปะ Discord สำหรับแจ้งเตือนนิยาย กับมุมพูดคุยกันไว้ตรงนี้ด้วยนะครับ ใครสนใจก็แวะมาได้นะ ^^
https://discord.gg/Fm9NsqeH2r