[นิยายแปล] ฝ่าปริศนา ตะลุยโลกเบื้องหลัง 142 ไฟล์ 15 : ค้างคืนที่โลกเบื้องหลัง [5.1]

ตอนที่ 142 ไฟล์ 15 : ค้างคืนที่โลกเบื้องหลัง [5.1]

ตอนนี้ 4 โมงเย็นแล้ว ดวงอาทิตย์หลบไปหลังเมฆหนาๆ ที่คล้อยลงต่ำ ทำให้พื้นที่รอบๆ ตัวเรามืดลงไปนิดหน่อย อีกซักชั่วโมงนึงก็คงจะตกดินแล้วล่ะ ถ้าเราจะตั้งแคมป์ค้างคืนกันล่ะก็ เราก็ต้องหาที่เหมาะๆ สำหรับกางเต็นท์ให้ได้เร็วๆ แล้ว

AP-1 ขับลงมาตามทางลาดจนมาเจอพื้นที่ยุบลงไปที่มีเนินเขาล้อมรอบ ต้นหญ้าถูกถอนออกไปจนเห็นพื้นดินเปล่าๆ กับกองขยะที่สุมอยู่เหนือบริเวณนั้นด้วย ตรงกลางของกองขยะแบบที่เห็นได้ตามบ้านอย่างกล่องขนมกับขวดพลาสติกใช้แล้วทิ้ง ก็มีพวกขยะชิ้นใหญ่ๆ อย่างทีวีจอตู้ที่พังไปแล้ว ยางรถเก่าๆ แล้วก็ตู้เสื้อผ้าที่มีสติกเกอร์ของรายการเด็กแปะไปทั่วทั้งตู้เลยด้วย ฉันเห็นว่าลึกลงไปตรงกลางกองขยะนั่นมันมีแสงสีเงินเรืองๆ ออกมา เดาได้ไม่ยากเลยว่านั่นต้องเป็นกลิตช์แน่ๆ แสงริบหรี่แบบอื่นก็เป็นไปได้ว่าจะเป็นของชิ้นอื่นๆ ที่มีคุณสมบัติผิดปกติไปผสมปนเปอยู่ในกองขยะนั่นด้วยก็ได้

พวกเราวนอ้อนผ่านกองขยะไปพลางคุยกันว่าเดี๋ยวค่อยมาลองขุดรื้อมันดูทีหลัง ก่อนจะหันกลับไปมองดูทางทิศที่พวกเรามุ่งหน้าไป ซึ่งก็คือทิศตรงข้ามกับพื้นยุบนั่น ตอนนั้นแหละ พวกเรา 2 คนก็กลืนน้ำลายเอื๊อกกันทั้งคู่เลย

พวกเราเห็นภาพเงาย้อนแสงของสัตว์อยู่ที่สันเนินตรงหน้า มันมีขาตรงยาวเหมือนพวกสัตว์กินพืช ฉันว่ามันหันมามองทางเราด้วย แต่มันก็ไม่ขยับเลยซักนิด มันแค่ยืนอยู่ตรงนั้นโดยมีท้องฟ้าสีเทาเป็นฉากข้างหลัง

ฉันเหยียบเบรก ส่วนโทริโกะก็หยิบกล้องสองตาขึ้นมาส่อง

 

“เห็นมั้ย?”
“…เห็น ไม่คิดว่ามันยังอยู่นะ น่าจะ”

 

โทริโกะยื่นกล้องมาให้ฉัน ฉันก็ยกมันขึ้นมาส่องบ้าง

เธอพูดถูก ฉันว่ามันไม่ใช่แค่ไม่ขยับหรอก ตัวมันแข็งไปแล้ว ผิวนอกของตัวมันก็ดูไม่มีชีวิตเหมือนกัน ไม่รู้หรอกว่าเป็นหินหรือโลหะ แต่มันดูเป็นสสารอนินทรีย์นะ นี่มันสร้างมาจากสัตว์ตัวไหนเนี่ย? แกะ? หรือวัว? มองส่วนหัวไม่เห็นเลยแฮะ ดูไม่ออกเลยว่าไอ้ภาพย้อนแสงนั่นมันตัวอะไรกันแน่-…

 

“…อ๊ะ!”
“โซราโอะ?”

 

ฉันแทบจะทำกล้องสองตาหลุดมืออยู่แล้ว โทริโกะที่เห็นว่ามีอะไรผิดปกติก็หันมามองที่ฉันอย่างสงสัย แต่ฉันตอบรับอะไรกลับไปไม่ได้เลย

 

“โซราโอะ มีอะไร?”
“ค-”
“คะ?”
“คุดัน…”
“ไม่จริงน่า”

 

โทริโกะดึงกล้องสองตาออกไปจากมือฉัน ก่อนจะเอาไปส่องอีกรอบนึง

 

“…จริงด้วย หยะแหยงชะมัด”

 

โทริโกะลดกล้องในมือลงมา หันมาหาฉัน หันมาเห็นว่าตัวฉันตอนนี้เกร็งขนาดไหน

 

“อยากให้ฉันล่วงหน้าไปดูให้ก่อนมั้ย?”

 

เธอถามอย่างเป็นห่วง แต่ฉันก็ส่ายหน้าตอบ

 

“…ฉันไปด้วย”
“ได้เลย”

 

โทริโกะหยิบไรเฟิลของเธอขึ้นมา ตรวจดูว่ามีกระสุนแล้วใช่มั้ย ก่อนจะพักมันตรงหน้าขา ฉันสตาร์ทเครื่อง AP-1 เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มขึ้นมา แล้วพวกเราก็เริ่มเดินหน้าขึ้นจากพื้นยุบไป

พอเรามาถึงสันเนินแล้ว ตรงนี้ก็มีรูปปั้นของคุดันอยู่ด้วย ตัวเป็นลูกวัว มีหน้าเป็นคน ฉันเตรียมใจว่าจะต้องเห็นหน้าของพ่ออีกรอบนึงไว้แล้ว แต่กลายเป็นว่าหน้ามันกลับไม่ชัดเจน ดูไม่ได้คล้ายหน้าใครเป็นพิเศษซะงั้น ตัวรูปปั้นมันไม่ใช่รูปปั้นหินหรือทองแดง มันเป็นพลาสติก แล้วสีที่ทาไว้ก็ลอกออกไปแล้ว เท้ามันฝังลงไปในแผ่นคอนกรีตเหมือนกับพวกของที่อาจจะเห็นได้ในสนามเด็กเล่นตามสวนสาธารณะย่านชนบทเลย

 

“โซราโอะ ดูสิ”

 

พอโทริโกะเรียบชื่อฉัน ฉันก็ละสายตาตัวเองออกมาจากรูปปั้นคุดันนั่นได้ซักที เป็นครั้งแรกเลยที่ฉันได้เห็นภาพวิวเหนือสันเนินนั่นน่ะ

มันมีถนนเส้นนึงที่ปลายทางลาดที่มีหญ้าขึ้นรก มันกรุยทางเอาไว้ มีราวกั้นวิ่งเลียบข้างถนนไป แล้วเลยจากจุดที่พวกมันอยู่ ก็มีแม่น้ำสายนึงด้วย

 

“แม่น้ำนี่นา!”

 

ฉันเผลอตะโกนขึ้นมาเลย ถ้าเกิดแม่น้ำนี้มันเชื่อมกับอันที่อยู่อีกฟากของเกทที่ฟาร์มล่ะก็ แสดงว่าพวกเราก็อยู่ใกล้กับเป้าหมายปลายทางเราพอควรแล้ว

เราตกลงที่จะปล่อยรูปปั้นคุดันน่าขนลุกนั่นไว้ตรงนั้น แล้วก็มุ่งหน้าลงจากทางลาดไป

พอลงไปใกล้ขึ้น ก็เห็นได้ชัดเลยว่าถนนมันเก่าพอควรเลย มีหญ้างอกขึ้นมาตามรอยแตก มีหลุมมีบ่อให้เห็นแบบชัดเจน ตัวถนนคดไปมาเลียบข้างแม่น้ำไปแถวๆ ทางตะวันออกเฉียงเหนือ

เราลงจาก AP-1 มาดูรอบๆ บริเวณ ฉันเอามือวางค้ำกับราวกั้นข้างถนน แล้วก็มองข้ามขอบไป ฝั่งนี้เป็นเขื่อนกั้นแม่น้ำคอนกรีต ทิ่มลงไปในแม่น้ำตรงๆ เลย อีกฟากนึงเป็นหาดริมแม่น้ำที่มีหินมนๆ หลากหลายขนาดกระจายอยู่เต็มเลย กระแสน้ำก็ไหลเชี่ยวพอควร วิ่งไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ

 

“เราวางสปอร์ตไลท์ไว้บนหาดแบบนั้นนี่ ใช่มั้ย? เธอว่าที่ที่เราจะไปมันคือฝั่งตรงข้ามนู้นหรือเปล่า?”

 

โทริโกะถาม ในขณะที่มองไปทางตลิ่งฝั่งตรงข้ามไปด้วย

 

“ก็อาจจะใช่นะ ถ้างั้น เราก็ต้องหาซักที่มาข้ามไปฝั่งนู้นแหละ”
“เรื่องทิศทางนี่… เออ เธอว่าเราควรจะไปทางไหนดี?”
”ฉันว่าน่าจะเป็นทางต้นน้ำนะ ถึงฉันจะรู้สึกว่ามันจะพาเราไปไกลกว่ายังไงไม่รู้สิ”

 

พวกเราเงยหน้ามองท้องฟ้าที่มืดลง ลมเริ่มเย็นลงอีก พยากรณ์อากาศดูจะเป็นจริงมากขึ้นๆ แล้วแฮะ

 

“วันนี้เราจะพอแค่นี้ แล้วตั้งเต็นท์กันก่อนก็ได้ ไม่ก็…”
“ไม่ก็ เดิมพันเอาว่าตอนนี้มันอยู่อีกไม่ไกลแล้ว เดินหน้าต่อกันเลยสินะ?”

 

ไฟสปอร์ตไลท์จะไม่เปิดขึ้นจนกว่าอาทิตย์จะตกดิน เพราะงั้น เราก็เลยไม่รู้ว่าอีกไกลแค่ไหน หรืออยู่ทางไหนกันแน่ ตัดสินใจลำบากเหมือนกันนะ

 

“ทำไงดีน้า?”

 

คิดมากไปก็เสียเวลาเปล่า ฉันหยุดความคิดลังเลนี่ไปก่อนจะพูดขึ้นมา

 

“ถ้าเราจะไปกันต่อ เธอจะติดอะไรหรือเปล่าล่ะ? ฉันว่าเราตั้งเต็นท์แบบไม่มีอุปกรณ์ช่วยได้ใน 5 นาทีนะ ถ้ามันมืดแล้ว เราก็ยังรีบๆ ตั้งที่พักกันได้อยู่แหละ”

 

ฉันคาดการณ์สถานการณ์ประมาณนี้เอาไว้ก่อนแล้ว ฉันก็เลยเลือกซื้อเต็นท์แบบที่ผ้าใบกับส่วนเต็นท์หลังในรวมกัน การตั้งเต็นท์ก็เลยใช้เวลานิดเดียวเท่านั้นเอง การตัดสินใจของฉันไม่ได้ยึดแต่เรื่องที่ว่ามันน่ารักอย่างเดียวเลยหรืออะไรแบบนั้นซักหน่อยนะ

โทริโกะได้ยินแบบนั้นก็ขมวดคิ้วขึ้นมา

 

“ทางทฤษฎีแล้ว ก็ใช่นะ อาจจะเป็นไปได้ แต่เกิดฉุกเฉินขึ้นมา ตอนที่เรากำลังลน เราจะทำพลาดเอานะ”
“ถ้าฉันอยู่คนเดียวก็คงไม่เลือกทำแบบนี้หรอก แต่เพราะมีเธออยู่ที่นี่คอยช่วยดูด้วยไง ฉันก็เลยสบายใจได้ ถ้าฉันทำอะไรพลาด ก็คอยดูหลังให้กันด้วยล่ะ เนอะ?”

 

โทริโกะกระพริบตาปริบๆ เหมือนกับว่ากำลังแปลกใจอยู่

 

“ฉันดีใจนะที่เธอ… ไว้ใจฉันแบบนั้นน่ะ แต่…”
“แต่?”
“อ้อ ไม่มีอะไร ฉันคอยดูหลังให้เอง วางใจได้เลย”
“ขอฝากด้วยนะ”

 

AP-1 ของพวกเราวิ่งลงไปตามถนนริมแม่น้ำแบบเต็มกำลังความเร็วพร้อมๆ กับที่ความมืดย่างกรายเข้ามาเรื่อยๆ นัตสึมิพูดถูกเลยล่ะ: 25 กิโลเมตรต่ชั่วโมงเนี่ยไม่ใช่อะไรเล่นๆ เลย ขนาดตอนนี้เป็นถนนที่ปูพื้นมาแล้วนะ ยางตีนตะขาบหมุนบดไปอย่างรวดเร็ว วิ่งฝ่ารอยแตกและหลุมบ่อบนถนนไป ฉันเห็นแสงแววๆ ของกลิตช์อยู่เป็นระยะๆ ด้วย แต่ฉันก็ยังเห็นได้ชัดอยู่ ไม่มีความเสี่ยงเรื่องที่จะมองพลาดไปหรอก

หลังจากขับมาได้ประมาณ 10 นาที ภาพบรรยากาศรอบๆ มันก็เปลี่ยนไป เริ่มมีตึกมีอาคารโผล่ขึ้นมาทั้ง 2 ฟากของแม่น้ำ แล้วจำนวนมันก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วย

ซากปรักหักพังสีเทาขี้เถ้า ปกคลุมไปด้วยสนิมเหล็กและกอหญ้า การที่มันมีหน้าต่างเหมือนๆ กันหันมาทางแม่น้ำแบบนั้นทำเอานึกถึงพวกหมู่บ้านจัดสรรหรือโรงแรมเลย บันไดหนีไฟก็สนิมเกรอะ สีที่ทาไว้หลุดร่อน หลายๆ อันก็ถึงขึ้นร่วงกราวลงมากองที่พื้นไปแล้ว

แม่น้ำคดเคี้ยวไปเรื่อยๆ มีภาพของซากตึกรามบ้านช่องอยู่ทั้ง 2 ริมตลิ่ง และหันไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ด้วย มันคือทางที่พวกเรามุ่งหน้าไปตั้งแต่แรกแล้ว พอรู้สึกโล่งใจขึ้น เราก็คุยกันเรื่อยเปื่อยเรื่องอย่างซากตึกแต่ละหลัง อันไหนมันดูควรค่าที่จะเข้าไปสำรวจดูบ้าง แล้วพวกเราน่าจะน่าจะกลับมาดูกันซักตอนนึง

แล้ว…

 

“โซราโอะ! หยุดก่อน!”

 

ฉันดึงเบรกทันทีที่เสียงตะโกนของโทริโกะดังก้องแล้วสะท้อนมา ตรงหน้าพวกเรา ที่กลางถนน มีอะไรซักอย่างนอนขวางอยู่ด้วย

 

“คนเหรอ…?”

 

แขนขาสีขาวที่วางพาดยางมะตอยนั่นดูเหมือนจะเป็นของผู้หญิงนะ พวกเราลงจาก AP-1 เดินเข้าไปดูใกล้ๆ ร่างนั้น พร้อมกับชักปืนออกมาถือเอาไว้แล้วเรียบร้อย

ร่างนั้น ไม่ใช่มนุษย์

เจ้านั่นมีร่างกายเป็นเหมือนผู้หญิง มีชุดกิโมโนบางๆ คลุมร่างเอาไว้ ส่วนหัวกลับเป็นหัวของลูกวัว มันไม่ขยับเขยื้อนเลย ไม่มีทีท่าจะหายใจเลยด้วยซ้ำ บนหัวของมันดูมันเงาแปลกๆ ด้วย ยาวลงไปถึงนิ้วเท้าที่ดูไม่เข้ากันของมัน แม้แต่กิโมโนที่สวมอยู่นั่นก็ด้ว

โทริโกะลองโยนน็อตใส่ร่างนั้นดูแล้ว มันก็เด้งออกมาตกกับพื้นดัง *เคร้ง*

 

“…ทำจากแก้วนี่นา”

 

โทริโกะพูดขึ้นมาเงียบๆ

มันคือสัตว์ประหลาดที่มีหน้าเป็นวัว แต่มีร่างกายเป็นผู้หญิง สาวหน้าวัว

ไม่สิ ไม่ใช่กระทั่งเจ้านั่นเลย นี่มันรูปหล่อแก้ว วางทิ้งเอาไว้กลางถนนอยู่ตรงนี้อยู่ตรงนี้เท่านั้นเอง

 

“นี่มันอะไรล่ะเนี่ย?”

 

ฉันไม่มีคำตอบอะไรให้คำถามนั้นของโทริโกะเลย สำหรับฉัน นี่มันไม่สมเหตุสมผลเลย แต่ถ้าเราเห็นเจ้านี่ต่อจากรูปปั้นคุดันทันทีล่ะก็ ดูท่าคงไม่ต้องสงสัยเลยล่ะว่าต้องมีอะไรซักอย่างเกิดขึ้นแน่ๆ แล้วเป้าหมายก็ต้องเป็นฉันอยู่แล้ว…

 

“โซราโอะ”
“อะไรเหรอ?”
“โอเคมั้ย?”

 

ฉันก้มลงไปมองตามสายตาของโทริโกะ ก่อนจะเพิ่งเห็นว่าฉันกำลังใช้แขนพันรัดตัวเองเอาไว้อยู่ มือทั้ง 2 ข้างกุมอยู่ที่ต้นแขน ตัวสั่นไปหมด ฉันกำแน่นเข้าไปอีกแบบไม่ทันรู้ตัว ขนาดที่ว่าฉันใช้สติของตัวเองสั่งให้มันคลายออกยังไม่ได้เลย

พอฉันปล่อยมือจากแขนตัวเองได้แล้ว จนก้มลงไปมองเห็นนิ้วที่สั่นระริกของตัวเองได้ ฉันก็เห็นเกล็ดสีขาวหลายอันในฝ่ามือทั้งสองของฉันด้วย

หิมะนี่นา เกล็ดหิมะน้อยๆ ปลิวไหวๆ ลงมาจากท้องฟ้าสีเทาทะมึน หิมะแห้งๆ นี่ดูยังกับเป็นขี้เถ้าเลยนะ

ตอนนี้ เป็นตอนที่ดวงอาทิตย์หลบไปหลังแผงก้อนเมฆแล้ว ฉันรู้สึกว่าสภาพอากาศมันเปลี่ยนไปแบบปุบปับเลย รู้สึกเหมือนกับเสียงน้ำไหลของแม่น้ำที่เราได้ยินอยู่ตลอดนี่มันหยุดลงไปซะดื้อๆ ยังไงยังงั้นเลย

แล้วก็มีลมกระโชกนึงพัดเข้ามาจากทางลาดลงด้านขวาของเราที่หันหน้าเข้ามาหาถนนเส้นนี้ ระหว่างที่เรามองอยู่นี่ ถนนเลียบข้างแม่น้ำนี่ก็มืดลงๆ ไปเรื่อยๆ เลย แสงสว่างสุดท้ายที่ยังหลงเหลือจากเวลากลางวันนี่มันหายไปเร็วจริงๆ เลย

แล้วในเวลาเดียวกันนี่แหละ ที่ฉันเห็นแสงสว่างอันนึงอยู่ที่มุมสายตา พวกเราหันไปมองทางซ้ายกันทั้งคู่ แล้วก็ได้เห็น ที่อีกฟากนึงของแม่น้ำ ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ มีเสาลำแสงอันนึงยิงขึ้นไปบนฟ้าด้วย

 

““อยู่นั่นไง!””

 

สปอร์ตไลท์ของพวกเรา อยู่ใกล้ๆ นี่เอง! ต่อให้ประมาณดูด้วยสายตาแล้วก็ยังมองออกด้วยว่าระยะมันแค่กิโลเดียวเอง เผลอๆ อาจจะใกล้กว่านั้นอีกด้วยซ้ำ ถ้ารีบๆ หน่อยก็คงไปถึงได้แหละนะ

 

TN: โอ้ ถึงระหว่างทางจะมีอะไรแปลกๆ แต่ก็เจอจุดหมายแล้วนะ

ขอแปะ Discord สำหรับแจ้งเตือนนิยาย กับมุมพูดคุยกันไว้ตรงนี้ด้วยนะครับ ใครสนใจก็แวะมาได้นะ ^^
https://discord.gg/Fm9NsqeH2r

[นิยายแปล] ฝ่าปริศนา ตะลุยโลกเบื้องหลัง

[นิยายแปล] ฝ่าปริศนา ตะลุยโลกเบื้องหลัง

Score 10
Status: Completed
การพบกันครั้งแรกกับ นิชินะ โทริโกะ ของเธอคือที่โลกเบื้องหลัง หลังจากได้เห็น “สิ่งนั้น” และเกือบตายไปแล้ว ตั้งแต่วันนั้น ชีวิตของนักศึกษามหาลัยผู้เหนื่อยล้า คามิโคชิ โซราโอะ ก็เปลี่ยนไป ในโลกเบื้องหลังนี้ที่มีอยู่เคียงคู่กับโลกของเราอันเต็มไปด้วยปริศนา มีตัวตนที่อันตรายอย่างคุเนะคุเนะและท่านฮัชชาคุที่ถูกพูดถึงกันในเรื่องผีจริงๆ นั้นปรากฏอยู่ เพื่อการวิจัย เพื่อผลประโยชน์ และเพื่อตามหาคนสำคัญ โทริโกะกับโซราโอะจึงก้าวเท้าเข้าสู่ดินแดนแสนพิลึกพิลั่นนั้น! (เรื่องนี้ แปลจาก LN ENG)

Options

not work with dark mode
Reset