วันที่พวกเราเลือกจะออกสำรวจเป็นระยะทางไกลๆ เป็นครั้งแรก เป็นวันอังคารที่หมอกลงจัดวันนึงของปี ในตอนที่ปีนี้ใกล้จะจบลงแล้ว พยากรณ์อากาศบอกว่ามีโอกาส 50% ที่ใจกลางเมืองจะได้เห็นหิมะแรกของปี หนาวใช้ได้เลยล่ะ
“อะไรนะ? เธอจะไปกันวันนี้? มีวันตั้งเยอะตั้งแยะ แต่จะไปวันนี้เนี่ยนะ?”
ตอนที่พวกเราแวะมาทักทายกับเธอก่อนจะออกเดินทางกัน คุณโคซากุระก็ถามเราอย่างระแวงสงสัย พลางขมวดคิ้วแน่น
“เห็นเขาบอกว่าหิมะกำลังจะตก ฉันก็เลยกังวลนิดหน่อยน่ะค่ะ”
“หิมะ… อ้อ นั่นสินะ นั่นเองก็ด้วย”
คุณโคซากุระเหลือมองดูที่จอภาพอันนึงของเธอ นาฬิกาที่มุมห้องบอกว่าตอนนี้ใกล้จะเที่ยงแล้ว
“แต่หิมะในโตเกียวนี่ มันก็ไม่เคยมีอะไรให้น่าตื่นเต้นอยู่แล้วนี่นา”
“อ้อ พูดออกมาจนได้นะ ถ้าฉันเจอใครซักคนที่มาจากอากิตะกับใครซักคนที่มาจากแคนาดาเกิดไปติดแหงกกลางหิมะล่ะก็ ฉันจะเอามาล้อพวกเธอให้หายเบื่อกันไปข้างแน่”
คุณโคซากุระพูดแซวพวกเรา ก่อนที่เธอจะเปลี่ยนอารมณ์ของตัวเอง แล้วก็พูดต่อ
“แต่เดี๋ยวก่อนนะ บางทีหิมะที่ตกอยู่ฝั่งนู้นอาจจะต่างออกไปก็ได้นี่จริงมั้ย? ถ้ามันถมกองสูงขึ้นมา พวกเธอก็อาจจะมีปัญหาใหญ่ในมือแล้วก็ได้นะ”
“ฉันเองก็สงสัยแบบนั้นเหมือนกันเลยค่ะ เรื่องที่ว่าพยากรณ์อากาศที่ฝั่งนี้มันเป็นเหมือนกับที่โลกเบื้องหลังหรือเปล่า ฉันก็เลยลองแอบมองผ่านเกทมาแล้วเมื่อกี้ ท้องฟ้าปลอดโปร่งทุกทิศเลยค่ะ ฉันก็เลยคิดว่าพวกเราน่าจะไม่เป็นไรนะคะ”
“นี่เธอเพิ่งจะแวบเข้าแวบออกจากไอ้ที่วิปริตนั่นแบบไม่แยแสเลยเหรอ ฉันล่ะไม่ชอบใจเลยจริงๆ”
“เราทำทุกอย่างที่เราเตรียมตัวได้แล้วล่ะ เพราะงั้นพวกเราโอเคแน่”
โทริโกะพูดแทรกขึ้นมา
“เอาเถอะ ถ้าพวกเธอทั้งคู่โอเคกับมัน งั้นก็ไม่เป็นไร”
คุณโคซากุระพูดขึ้นมาอย่างจนใจ พลางเอนหลังพิงกับเก้าอี้ของเธอ
“ตอนนี้ เราจะออกไปแล้ว คุณจะออกมาส่งหรือเปล่าคะ?”
ฉันถามเธอดู แต่คุณโคซากุระส่ายหน้าตอบมาช้าๆ
“ไม่ล่ะ ถ้าฉันทำเรื่องที่ทุกทีก็ไม่ได้ทำ ฉันรู้สึกว่ามันจะไปปักธงอีเวนต์อะไรซักอย่างก็ได้ แล้วฉันก็ไม่อยากทำด้วย”
“มันเป็นแบบนั้นเหรอนั่นน่ะ?”
“พวกเธอ 2 คนก็แค่ออกไปอย่างที่พวกเธอทำทุกที แล้วก็กลับมาอย่างที่ทำเหมือนเดิมนั่นแหละ แล้วฉันควรจะต้องเจอพวกเธออีกทีตอนไหน? พรุ่งนี้?”
“ตามแผนก็เป็นแบบนั้นนะคะ”
“โอเค”
คุณโคซากุระหันกลับไปมองที่หน้าจอ ไม่แม้แต่จะเหลือบมามองทางพวกเราอีกด้วยซ้ำไป
“รักษาตัวด้วย แล้วก็ พยามยามระวังตัวกันด้วยล่ะ นี่จริงจังนะ”
“โอเค เจอกันนะ”
“เดี๋ยวพวกเราจะกลับมาใหม่นะคะ”
ฉันกับโทริโกะเดินออกทางประตูหน้าบ้านคุณโคซากุระ ก่อนจะเดินลอดเกทไปที่โลกเบื้องหลังอย่างทุกที
ท้องฟ้าที่โลกเบื้องหลังมีเมฆจางๆ—เหมือนกับที่โลกเบื้องหน้าวันนี้เลย ลมพัดมาจากทางตะวันออกเฉียงเหนือ อากาศหนาวใช้ได้เลยล่ะ ถ้าใครบอกว่าหิมะกำลังจะตกนี่ฉันก็เห็นด้วยนะ แต่อากาศมันก็ไม่ได้ชื้นอะไรขนาดนั้น มันก็อาจจะไม่พอให้มีหิมะก็ได้—เป็นความรู้ที่ฉันมีจากการโตมาในท้องถิ่นหิมะตกล่ะนะ
พวกเราเอา AP-1 ออกมาจากโรงรถเคลื่อนที่ ขนอุปกรณ์สำรวจการออกสำรวจ—ซึ่งก็เก็บไว้ในเพิงนั่นแหละ—ขึ้นรถ: เต็นท์ที่พับแล้ว ถุงนอน กล่องเครื่องมือ พลั่ว ชะแลง ผ้าใบกันน้ำ เชือก กระติกน้ำพกพา แล้วก็มัดเสาหลักไม้เลื้อยที่เราใช้ปักเป็นป้ายบอกทาง บวกกับเป้ของเรากับไรเฟิลจู่โจมอีก 2 กระบอกที่ห้อยไว้ในจุดที่เรารีบเอื้อมมือไปหยิบได้ พวกเราก็พร้อมจะออกเดินทางแล้ว
“ไม่ลืมอะไรเนอะ?”
โทริโกะถามพร้อมกับเข้าไปดูในโรงรถอีกทีเป็นครั้งสุดท้าย ฉันชี้ดูของทีละชิ้นๆ ในสัมภาระของตัวเองเพื่อตรวจว่าของมันอยู่ที่นี่แล้ว
“ฉันว่าเรียบร้อยดีแล้วนะ”
“โอเค ฉันก็ว่าฉันโอเคแล้วเหมือนกัน”
พวกเราดูทิศทางกันอีกที แล้วก็ขึ้น AP-1 กัน ขี่รถคันนี้กับเบาะรองนั่งอันใหม่นี่มันดีขึ้นเยอะเลยล่ะตอนนี้ ฉันเริ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ ก่อนจะหันตัวรถไปทางที่เราจะไป ฉันก็หันไปหาโทริโกะที่มองกลับมามองฉันเหมือนกัน
“ดีล่ะ… ออกเดินทางได้”
“ไปเลยๆ!”
ยางตีนตะขาบของ AP-1 ที่ยกเครื่องมาใหม่หมุนบดหญ้าไปพร้อมกับเริ่มเดินหน้า
AP-1 ถูกออกแบบมาเพื่อทำงานในไร่อยู่แล้ว เพราะงั้น หลังจากที่เดินหน้า มันก็จะวิ่งต่อไปด้วยความเร็วคงที่เลยโดยไม่ต้องเหยียบคันเร่งค้างเอาไว้ แต่ที่นี่มันคือโลกเบื้องหลัง—พื้นดินก็เลยไม่ได้เรียบเสมอกันแบบในทุ่งในไร่ พื้นมันเป็นหลุมเป็นบ่อ เด้งขึ้นๆ ลงๆ ฉันก็เลยต้องมองทิศทางของพวกเราให้ดี แล้วก็ต้องคอยปรับเส้นทางเล็กๆ น้อยๆ เพื่อที่จะไม่ทำให้รถพวกเราคว่ำไปซะก่อนด้วย
ยิ่งกว่านั้น เราก็ต้องมองหากลิตช์ด้วย เรื่องที่ต้องจัดการก็เลยมีเพียบเลย ฉันใช้ตาขวามองไปข้างหน้า แล้วเราทั้งคู่ก็คอยปาตัวน็อตออกไปเพื่อเช็คดูว่าปลอดภัยมั้ย นานๆ ทีก็จะปักเสาหลักไม้เลื้อยเอาไว้เป็นป้ายบอกทางด้วย ที่ปลายยอดของเสาจะมีเทปสะท้อนแสงพันรอบเอาไว้ เพราะงั้น ถ้าเราใช้ไฟส่อง ต่อให้อยู่ในที่มืด เราก็ยังมองเห็นได้
ฉันคิดว่าพวกเราเริ่มเดินทางกันประมาณบ่ายโมงได้นะ ชั่วโมงแรกผ่านไปได้ฉลุย ถ้ารถคันนี้มีสมรรถนะอย่างที่นัตสึมิบอกมาจริง เราก็คงมาได้ซัก 10 กิโลแล้วนะ แต่จากที่ทั้งต้องอ้อมต้องชะลอ ฉันว่าเราคงมาได้ซัก 7 กิโลเท่านั้นเอง ดีหน่อยก็อาจจะถึง 8 มั้ง
จากที่รถมันโยกไปโยกมา มันทำก้นฉันเจ็บไปหมดเลย สมาธิเองก็แตกซ่านไปแล้วด้วย เราก็เลยตกลงกันว่าจะพักกันก่อน ฉันเจอตู้ขายของอัตโนมัติเก่าๆ ที่มีไม้เลื้อยขึ้นเกาะเต็มไปหมดตั้งอยู่โดดๆ ด้วย ฉันก็เลยเอารถ AP-1 ไปจอดไว้ข้างๆ เลย
พอฉันดับเครื่อง โลกอีกฝั่งนี่ก็กลับมาเงียบกริบอีกรอบ เพราะก็มีแค่ AP-1 นี่แหละที่สร้างเสียงดังรบกวนออกมา ผลจากการที่มันหยุดทำงานในที่แบบนี้มันก็เลยทำเอาเสียงรอบๆ ที่เงียบเป็นเป่าสากเลย
“ฟิ่ว”
“เฮ้อ เหนื่อยจังเลยเนอะ?”
เราลงจากที่นั่ง เหยียดตัวบิดขี้เกียจ ก่อนจะพักดื่มน้ำกันแป๊บนึง ระหว่างที่โทริโกะจิบน้ำไป เธอก็ยื่นหน้าเข้าไปดูใกล้ๆ กับตู้ขายของอันนั้น
“โห ดูจะพังแล้วนะเนี่ย”
“มันเลยคำว่า ‘พัง’ ไปไกลแล้วล่ะ นี่มันเป็นซากแล้วเนี่ย ให้ตายเถอะ”
จากที่ฉันดูมันผ่านช่องว่างระหว่างเถาวัลย์ดูแล้วนี่ พวกกระป๋องที่มันอยู่หลังพลาสติกสีเหลืองเก่าๆ นั่นมันถูกแดดเผามาจนถึงจุดที่ฉลากมันเกือบจะขาวจั๊วะไปหมดอยู่แล้ว
“แต่ถึงงั้น ต่อให้ที่นี่มันจะมีตู้ขายของที่ทำงานได้ เธอจะไม่อยากลองซื้ออะไรซักอย่างดูเหรอ แค่ลองดูจะเกิดอะไรขึ้นอะไรแบบนั้นน่ะ?”
“ฉันเข้าใจนะว่าเธอได้ไอเดียพวกนั้นมาจากไหน แต่ต่อให้เราจะซื้ออะไรซักอย่างออกมา ฉันก็ไม่มีทางดื่มมันแน่”
“ถ้าแบบนั้น เอาไปขายให้โคซากุะก็ได้ ไม่ก็—อ้อ! จริงด้วย! ฉันเอาชะแลงมาด้วยนี่นา! งัดเจ้าตู้นี่เปิดเลยดีมั้ย?”
“ตาขวาฉันไม่เห็นอะไรเป็นแสงสว่างเลยนะ บางที มันอาจจะเป็นแค่เศษซากขยะก็ได้นะ”
“งือ…”
“อย่ามา ‘งือ’ ใส่ฉันสิ ถ้าเปิดแล้วเกิดมีแมลงทะลักออกมา เธอก็ไม่ชอบแบบนั้นใช่มั้ยล่ะ?”
“อื้อ ที่เธอว่ามานั่นก็จริงนะ ฉันก็ไม่ชอบเหมือนกัน”
ถึงเธอจะดูไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ แต่โทริโกะก็ล้มเลิกความคิดนั้นไป
ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากรู้นะ แต่เป้าหมายของเราครั้งนี้คือจะเปิดเส้นทางใหม่ ที่โลกเบื้องหลังมันก็มีที่น่าสนใจเป็นจุดๆ กระจายไปทั่วนั่นแหละ แต่เราจะไปมัวแต่หยุดสำรวจมันทุกที่ไม่ได้หรอก แบบนั้นก็คงไม่มีวันจบกันพอดี
ฉันหมุนฝาขวดน้ำของตัวเองปิดกลับไป แล้วก็หันไปมองตามทางที่เราขับผ่านมา ไม่รู้เหมือนกันว่ากว่าจะถึงที่หมายน่ะยังอีกไกลมั้ย ในการปักป้ายบอกทาง เราก็เลยสงวนเอาไว้ใช้แค่เท่าที่จำเป็นเท่าที่จะทำได้ จากตรงที่ฉันอยู่นี่ก็เห็นเสาอยู่แค่ต้นเดียวเอง เป็นเครื่องหมายสีเหลืองอยู่ข้างๆ รอยล้อที่ AP-1 เหยียบหญ้าทิ้งเอาไว้เป็นทาง
“นี่โซราโอะ อยากตั้งชื่อถนนเส้นนี้ว่าอะไรดี?”
“เอ๊ะ? ชื่อรูท 2 นี่ไม่ดีพออยู่แล้วเหรอ?”
“ตั้งชื่อให้มันดีกว่านี้เถอะ ที่รูท 1 น่ะดีแล้วเพราะมันเป็นถนนเส้นแรกที่เราทำนี่นา”
“โอเค งั้นเธอก็ลองตั้งดูแล้วกันนะโทริโกะ”
ฉันบอกเธอเพราะไม่ได้ใส่ใจจะทำเองเท่าไหร่ แล้วโทริโกะก็จ้องมาทางฉันแบบงงๆ เท่านั้นเอง
“ฉันเหรอ? เธอโอเคเหรอ?”
“ฉันไม่มีเซนส์ตั้งชื่อหรอก ตั้งชื่อดีๆ ซักหน่อยแล้วกัน”
“โอเค…”
ตอนที่ฉันพูดแบบนั้น ฉันก็ไม่ได้คิดมากเรื่องผลลัพธ์อะไรเลยซักนิดนะ แต่กลายเป็นว่าโทริโกะตอนนี้เอามือขึ้นมาเท้าคาง เริ่มคิดอย่างเอาจริงเอาจังเลย เดี๋ยวนะ นี่มันเป็นเรื่องใหญ่โตขนาดนั้นเลยรึไงเนี่ย?
หลังจากที่พักกันอยู่ซัก 10 นาที พวกเราก็เริ่มเดินหน้ากันต่ออีกรอบ คราวนี้พวกเราแลกที่นั่งกัน โทริโกะก็มานั่งขับที่เบาะขวา ส่วนฉันมานั่งเบาะซ้าย
แล้วตอนนั้นแหละที่ฉันเพิ่งสังเกตว่าโทริโกะเงียบไปจนผิดปกติแล้ว
“เรื่องชื่อน่ะรอได้นะ ตั้งสมาธิก่อนสิ ถ้า AP-1 ขับไปชนกลิตช์ล่ะก็ เราจะเรียกถนนนี้ว่าถนนน้ำตาและการขับรถเลิ่นเล่อหรืออะไรแบบนั้นแน่ เข้าใจนะ?”
“แต่นั่นมันฟังดูไม่ดีเลยนะ”
“ฉันไม่สนหรอกว่ามันจะฟังดูเป็นยังไง ขอแค่มันทำให้เธอสำนึกผิดทุกครั้งที่เราผ่านมาที่นี่ก็พอ”
“ใจร้าย!”
พวกเราตัดฝ่าทุ่งหญ้าไปต่อ พักกันเป็นช่วงๆ แล้วก็คอยเปลี่ยนคนขับตอนที่เรามีโอกาส ทางของพวกเราคดไปคดมานิดหน่อย เพราะเราต้องวนอ้อมเขตหินขรุขระกับเขตป่า แต่ก็ต้องตามเข็มทิศไปทางตะวันตกเฉียงเหนือเท่าที่จะทำได้
“ระยะทางที่เราขับผ่านมามันไม่ได้ต่างอะไรกันขนาดนั้น ฉันไม่ติดอะไรเรื่องนั้นหรอก แต่ยิ่งขับไปไกลๆ ฉันห่วงเรื่องที่รถมันเขย่าๆ นี่มากกว่า”
โทริโกะพูดขึ้นมาในขณะที่กำลังจ้องไปที่เข็มทิศที่แกว่งไปแกว่งมา
“พวกเราเล็งไปคร่าวๆ ในทิศที่อยู่ระหว่างตรงที่เข็มแกว่งไปแกว่งมาก็จริง แต่ฉันกลัวว่ามันจะพาเราออกนอกเส้นทางไปไกลขึ้นๆ เนี่ยสิ การใช้ไฟสปอร์ตไลท์มันก็เป็นความคิดที่ดีนั่นแหละ แต่การที่มันมองเห็นได้แค่ตอนกลางคืนนี่มันก็ไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่เลยเนอะ?”
“อื้ม นั่นสิ เราต้องหาของเอาไว้ใช้ที่ทำงานได้ในเวลากลางวันด้วยแล้วล่ะ”
“หาเสาที่สูงที่สุดเท่าที่เราจะหาได้ แล้วก็ผูกธงเอาไว้งั้นเหรอ?”
“ฉันไม่สนหรอกว่าเราจะใช้อะไร ขอแค่เห็นได้จากที่ไกลๆ ก็พอ แต่การจะเอาเสามาใช้เลยนี่มันก็มีข้อจำกัดอยู่นะ… ถ้าลมแรงเกินไปเดี๋ยวเสาก็ล้ม แต่ถ้าไม่มีลม ธงก็ไม่สะบัด เราก็มองไม่เห็นอีก”
“แล้วถ้าเราใช้อะไรที่มันเบากว่านั้นล่ะ? อย่างธงปลาคราฟไง? จำได้มั้ย? ที่เธอเคยบอกฉันก่อนหน้านี้น่ะ เรื่องเทศกาลที่อากิตะ ที่เขาจะห้อยตะเกียงเอาไว้ตามเสาไม้ไผ่น่ะ…”
“อากิตะคันโตน่ะเหรอ?”
“ใช่ๆ อันนั้นแหละ เธอใช้ไม้ไผ่ยาวยาวววววอันนั้น พวกมันอาจจะลู่ตามลมได้ดีด้วยก็ได้นะ”
“ถ้าเราซื้ออะไรพวกนั้นมาได้ล่ะก็นะ…? แล้วเรื่องธงล่ะจะเอายังไงดี?”
“ผูกกระจกเงาเอาไว้ตรงปลายก็ได้นะ ไม่ก็พันแผ่นฟิลม์สะท้อนแสงเอาไว้รอบๆ ก็ได้ พนันได้เลยล่ะว่าเราจะเห็นแสงสะท้อนนั่นได้ตั้งแต่ไกลๆ แน่นอน”
TN: เทศกาลแห่โคมไฟ (秋田竿燈まつり : Akita Kantou Matsuri) คือหนึ่งในสามเทศกาลหลักประจำภูมิภาค โดยจัดขึ้นในช่วงต้นเดือนสิงหาคมของแต่ละปี จุดประสงค์ของการจัดเทศกาลฤดูร้อนนี้คือเพื่อขอพรให้ผลผลิตของธัญพืช 5 ชนิดที่เพาะปลูกกันในภูมิภาคนี้ออกมาดี ไม่ว่าจะเป็นข้าวสาลี ข้าว ข้าวฟ่างหางหมา หรือข้าวฟ่างจีน
ทึ่งเลยแฮะ ฉันมองกลับไปที่โทริโกะที่ดูจะภูมิใจกับความคิดที่ออกมาของเธอนี่น่าดูเลย
“ฉลาดมากเลยล่ะ โทริโกะ”
“จริงเหรอ? แหม ไม่เอาน่า”
โทริโกะพูดแบบนั้น ก่อนจะเอียงหัวมาทางฉัน
“ลูบหัวฉันหน่อยสิ”
“…หา? เป็นหมารึไงเธอน่ะ?”
ฉันเผลอพูดออกไป ยังงงกับคำขอของเธอที่อยู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมาอยู่เลย
“ถ้าเธอไม่ยอมลูบ ฉันจะบีบหน้าเธอนะโซราโอะ”
“อุหวา…”
ตาของฉันกวาดไปทั่วแบบไม่มีเหตุผลดีๆ เลย ที่นี่ไม่มีใครมาเห็นพวกเราหรอก ก็แหงอยู่แล้วล่ะ ในทุ่งหญ้าสีเหลืองของหน้าหนาวนี่ มีแค่ฉันกับโทริโกะเท่านั้นแหละ
เอาจริงๆ ถ้าอุรุมะ ซัทสึกิยังยืนอยู่ตรงนั้น ฉันก็อาจจะรู้สึกมั่นใจกว่านี้ก็ได้นะ แต่พอเป็นตอนนี้ ฉันก็มีอยู่แค่ 2 ทางเลือกแล้ว ไม่ลูบหัวโทริโกะ ก็ต้องยอมให้เธอบีบหน้าฉัน
“งื่อ!”
โทริโกะส่ายหัว เร่งให้ฉันทำซักที ไร้ยางอายอะไรขนาดนี้เนี่ย พอเห็นแล้วว่าตอนนี้ฉันไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ฉันก็ยกมือขึ้นมา วางบนขวัญสีบลอนด์ทองของเธอ
“…โอ้ๆ”
“เยี่ยมเลย แบบนั้นแหละ”
หลังจากที่ฉันลูบหัวเธอไปแบบลวกๆ โทริโกะก็บอกมาแบบนั้น
…อะไรเนี่ย ใครไปยกให้เธอเป็นหัวหน้ากันน่ะฮะ?
ฉันชักมือกลับมา ไม่แน่ใจแล้วว่าสถานการณ์นี้มันยังไงกันแน่ ส่วนโทริโกะก็กลับไปนั่งท่าเดิม กลับไปโยนน็อตเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย นอกจากที่ว่าตอนนี้บนหน้าของเธอมีรอยยิ้มที่พอใจแบบสุดๆ อยู่ด้วยเท่านั้นเอง
ฉันก้มลงมามองมือของตัวเอง รู้สึกเคว้งคว้างยังไงไม่รู้ นี่ฉันทำเรื่องที่ถูกต้องหรือเปล่าเนี่ย? ฉันใส่ถุงมือเอาไว้อยู่ ความรู้สึกที่ยังหลงเหลืออยู่ในมือของฉันมันก็เลยคลุมเครือยังไงชอบกล
TN: โห… นี่เดือนธันวาแล้วเหรอเนี่ย?
ขอแปะ Discord สำหรับแจ้งเตือนนิยาย กับมุมพูดคุยกันไว้ตรงนี้ด้วยนะครับ ใครสนใจก็แวะมาได้นะ ^^
https://discord.gg/Fm9NsqeH2r