*กิ๊ง ก่อง…*
*กิ๊ง ก่อง…*
*กิ๊งกิ๊งกิ๊งกิ๊งกิ๊งก่อง กิ๊งก่อง กิ๊งก่อง…*
ไม่ว่าเราจะกดกริ่งกี่ครั้ง ก็ไม่มีการตอบสนองมาจากห้อง 103 เลยซักนิด
“โทริโกะ ถ้าเราทำเกินไป คนจากห้องอื่นจะออกมาหาพวกเรากันนะ”
“เอ๊ะ? นี่ห้องอื่นๆ เขาได้ยินเสียงกริ่งนี่ด้วยเหรอ?”
“ตึกหลังนี้มันก็โทรมทุกที่อย่างที่เธอเห็นนั่นแหละ”
โทริโกะลดมือลงมา แล้วก็กำไปที่ลูกบิดประตู เธอหมุนมือข้างที่สวมถุงมือเอาไว้ช้าๆ
“ไม่ล็อกนี่”
เธอหยุดมือ แล้วก็หันมาหาฉัน พอฉันพยักหน้าให้ โทริโกะก็บิดลูกบิดเข้าไปอย่างระมัดระวัง
““อึก…””
ฉันกับโทริโกะร้องขึ้นมาพร้อมกันเลย กลิ่นเหม็นรุนแรงมันพุ่งออกมาจากช่องว่างของประตู ทันทีที่เปิดมันออกมาเลย
“อะไรเนี่ย…? มีใครตายหรือไงน่ะ?”
“ไม่ใช่ มันไม่ใช่กลิ่นเน่า…”
ฉันเคยได้กลิ่นแบบนี้มาก่อนนี่ เพิ่งไม่นานนี้เองด้วย
ใช้เวลาไม่นานเลย ฉันก็นึกออก
“…กลิ่นของ [ฟาร์ม]”
กลิ่นที่ปนเปกันระหว่างมูลสัตว์ สิ่งปฏิกูล แล้วก็คราบสกปรกพากันเข้ามารุมสะกำจมูกของฉันจนยับเยิน
กลิ่นเหม็นเดียวกันกับ [คอกวัว] ที่ [ฟาร์ม] นั่นเลย
ประตูก็ถูกเปิดออกกว้าง แสงจากข้างนอกฉายเข้าไปข้างใน ทำให้เห็นกองฝุ่นและหยากไย่เกาะอยู่ที่มุมห้องด้วย
“มีใครอยู่มั้ย?”
โทริโกะตะโกนเข้าไปในห้อง ซึ่งก็ไม่มีการตอบรับใดๆ มันเหมือนกับว่า ห้องนี้มันว่างเปล่า ไม่มีใครอยู่เลย ห้องครัวก็มีแต่จานเปล่าๆ กระทั่งเตาแก๊สยังไม่มีเลย นอกจากกลิ่นเหม็นของพวกสัตว์ที่ตลบอบอวลอยู่ในห้องว่างๆ นี่แล้ว มันก็ไม่มีอะไรเลย ประตูกระจกฝ้าที่กั้นระหว่างห้องครัวกับห้องข้างหลังยังถูกปิดเอาไว้อยู่ และข้างหลังนั่นมันก็มืดสนิทเลย
แล้วฉันก็เพิ่งสังเกตว่าโทริโกะหันมามองฉันด้วยสายตาที่เป็นกังวลอยู่
“โซราโอะ ไม่เป็นไรใช่มั้ย?”
“…ทำไมถามแบบนั้นล่ะ?”
“ก็เธอดูหน้าซีดๆ นี่”
ฉันส่ายหน้า ปัดความทรงจำเกี่ยวกับคุดันกับสาวหน้าวัวที่กลิ่นนี้ไปขุดมันขึ้นมาออกไป
“โซราโอะ-”
“ฉัน… ฉันไม่เป็นไร มันก็แค่เหม็นเท่านั้นเอง”
“แน่ใจนะ?”
“แน่สิ เข้าไปกันเถอะ”
อย่างน้อย จนถึงตอนนี้ มันก็ยังไม่มีอะไรแปลกๆ เข้ามาในลานสายตาข้างขวาของฉันนะ เราเข้ามาในห้อง 103 โดยที่ทำท่าทางนำโทริโกะไปให้เธอทำตาม
คราวนี้ ฉันไม่คิดจะถอดรองเท้าออกไว้หน้าห้องหรอก ฉันเปิดประตูเข้าไปในห้องอาบน้ำอย่างเบามือ
ฉันพยายามเปิดไฟแล้ว แต่ดูเหมือนห้องนี้จะถูกตัดไฟไปแล้วนะ เปิดกี่ทีไฟก็ไม่ติดเลย
ฉันฉายไฟฉายที่พกเอาไว้ตลอดไปรอบๆ ก็เห็นแผ่นโลหะบางๆ หลายชิ้นทิ้งเอาไว้ที่ก้นอ่าง การที่มันกระจายไปทั่วแบบนี้มันทำให้ฉันนึกถึงภาพข้อมือของ [ผู้เช่า] ห้อง 103 ที่ฉันเหลือบเห็นตอนนั้นเลย
พอฉันออกมาจากห้องน้ำ ฉันก็เอามือวางทาบบนประตูกระจก ใช้สายตาส่งสัญญาณให้โทริโกะ ก่อนจะเปิดประตูบานนั้นเข้าไป
แล้วฉันก็แทบจะกรี๊ดลั่นเลย
โทริโกะเองก็ต้องเห็นสิ่งที่ฉันดูอยู่นี่ด้วยแน่ เพราะฉันได้ยินเสียงเธอหายใจเข้าเฮือกเลยเหมือนกัน
มันดูเหมือนกับมีคนๆ นึงนั่งอยู่กลางห้องมืดสลัว หันหลังให้พวกเรา มีผมปล่อยยาวประหลัง
“ค- ใครน่ะ―!?”
ไม่สิ ฉันไม่จำเป็นต้องถามอะไรแบบนั้นเลย เพราะถ้าลองคิดดูตามปกติแล้วเนี่ย พวกนั้นก็ต้องเป็นพวกลักลอบเข้ามาแบบผิดกฎหมายอยู่แล้ว แต่คำพูดนี้มันก็หลุดปากฉันออกมาทันทีอยู่ดี
ร่างที่นั่งอยู่นั่น นิ่งไม่ไหวติง ฉันฉายไฟไปที่มัน แล้วก็ ระหว่างที่มองดู ฉันก็รู้ตัวซักทีว่าตัวเองเข้าใจผิดไป
“โซราโอะ ถอยไปก่อน”
โทริโกะพยายามจะเอาตัวมาบังข้างหน้าฉันเอาไว้ แต่ฉันก็ยื่นมือออกไปหยุดเธอ
“โทริโกะ นั่นไม่ใช่คนหรอก”
“เอ๊ะ?”
“นั่นน่ะ… เป็นแค่ผมเท่านั้นเอง”
ฉันเข้าใจผิด นึกว่ามีคนนั่งอยู่ตรงนั้นด้วย แต่ที่อยู่ตรงนั้นมันก็แค่ไม้คานแท่งนึง กับวิกผมมาสวมคลุมเอาไว้เท่านั้นเอง
ข้างหน้ามันก็มีกระจกเก่าๆ บานนึงตั้งอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง ในห้องนี้ก็มีของอยู่แค่นี้แหละ
“อ๊ะ! นี่มัน―!”
ฉันนึกออกทันทีเลย ฉันเคยอ่านการติดตั้งแบบนี้มาจากเรื่องเล่าในอินเตอร์เน็ตนี่นา เรื่อง [แพนโดร่า (パンドラ)] หรือ [คินคิซากิ (禁后)]
[แพนโดร่า] เป็นเรื่องเล่าน่ากลัวที่เด็กๆ ไปเจอมา ตอนที่พวกเขาเข้าไปที่บ้านร้างหลังนึงในแถบชนบท คนที่เปิดลิ้นชักโต๊ะเครื่องแป้งที่ถูกทิ้งเอาไว้ในบ้านหลังนั้นออก แล้วมองเข้าไปดูของที่อยู่ข้างใน จะเสียสติและไม่มีทางรักษาให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีกเลย สาเหตุมันมาจากพิธีกรรมพิเศษในครอบครัวนั้น ที่ใช้เล็บ ฟัน และเส้นผมเป็นตัวเร่ง มันเอาคำสาปที่ไม่ได้สร้างอันตรายแค่กับครอบครัวเอง แต่ยังส่งไปถึงเพื่อนบ้านที่ติดกันด้วย
ถึงชื่อของเจ้าของผม บางครั้งจะถูกเรียกว่า ‘คินคิซากิ’ ก็ตาม อันที่จริงมันก็เป็นแค่การอ่านที่เป็นไปได้แบบนึงของตัวคันจิ 禁后 เท่านั้นเอง ส่วนคำอ่านจริงๆ น่ะเป็นความลับ
“โทริโกะ อย่าไปเปิดลิ้นชักเชียวนะ ฉันสาบานเลย ในนั้นมันไม่มีอะไรดีหรอก”
“…รับทราบ”
ฉันมองเข้าไปที่กระจกบานนั้นด้วยตาขวา ก็เห็นแสงสีเงินที่เรืองออกมาจางๆ ลอดมาจากข้างใต้ผ้าที่คลุมกระจกอยู่ด้วย
“ว่าแล้วเชียว”
ฉันดึงผ้าคลุมนั้นออกมาอย่างระวังมือ แล้วแสงเรืองสีเงินนั่นก็แผ่ออกมา ทำให้พื้นที่โดยรอบพอจะสว่างขึ้นมานิดๆ กระจกที่ถูกเปิดออกนั่นก็กลายเป็นเกท เป็นเหมือนช่องตาแมวที่มองเข้าไปที่อีกโลกนึงเลย―มันเล็กเกินกว่าที่จะมีคนผ่านเข้าไปได้ล่ะนะ
ฉันมองเข้าไปในกระจกบานนั้น พอตั้งสมาธิไปที่ตาข้างขวา ภาพสะท้อนของตัวเองที่เห็นในกระจกก็จางหายไป จนฉันสามารถเห็นอีกด้านนึงของเกทได้ชัดขึ้นแล้ว
มันคือบ้านหลังนึง ตั้งอยู่ที่นั่น อย่างโดดเดี่ยว อาคารสองชั้นที่เก่าจนน่ากลัวริมถนนที่ในละแวกนั้นไม่มีอะไรเลยนอกจากนาข้าว ฉันดูไปรอบบ้านหลังนั้น แต่มันกลับไม่มีประตูหน้าบ้าน
ประตูกระจกเลื่อนที่ชั้นหนึ่งแตกเป็นเสี่ยงๆ จนฉันสามารถเข้าไปทางนั้นได้ ฉันไปดูที่ห้องนั่งเล่นที่ไม่มีเฟอร์นิเจอร์เลยซักชิ้น จนไปถึงโถงทางเดินที่มีแสงสลัวๆ ทางขวาก็มีบันไดที่จะขึ้นไปที่ชั้น 2 และทางซ้าย ก็มีกระจกตั้งอยู่ในโถงทางเดิน และก็มีผู้หญิงคนนึงนั่งอยู่ตรงหน้ามัน หันหลังให้ฉัน หน้าถูกมือทั้ง 2 ข้างปิดเอาไว้จนมิด เธอคนนั้นร้องไห้กระซิกๆ ไม่หยุด ไม่ทำอะไรเลยนอกจากยัดผมสีดำมากมายเข้าไปในปากอยู่แบบนั้น
มีเด็กหลายคนยืนอยู่ในโถงทางเดินเลยผ่านไปจากโต๊ะเครื่องแป้งตัวนี้ด้วย กำลังจ้องผู้หญิงคนนั้นกันแบบอึ้งกิมกี่ พูดอะไรไม่ออกซักคำ ทุกคนสะพายเป้เอาไว้ยังกับว่ากำลังจะมุ่งหน้าออกไปทัศนศึกษากันยังไงยังงั้นเลย
กลิ่นสาปสัตว์มันดึงความสนใจของฉันออกมา แล้วฉันก็เห็นใครบางคนกำลังปืนบันไดมาจากข้างหลัง พอฉันตามพวกเขาขึ้นไปที่ชั้น 2 ก็เห็นประตู 2 บาน บานนึงเปิดอยู่ ให้เห็นโต๊ะเครื่องแป้งอีกตัวนึงอยู่ข้างในห้อง ข้างๆ กันนั้น มีคนสีแดงยืนอยู่ ตัวสูงจนหัวแทบจะชนเพดานเลย
คนสีแดงชี้ไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง ที่ด้านล่างของโต๊ะ มีลิ้นชักอยู่ 3 อัน
ฉันเปิดอันแรกออกมา ในนั้นมีกระดาษอยู่แผ่นนึง มันเขียนคำที่ฉันไม่รู้ว่ามันอ่านว่ายังไงเอาไว้ ฉันเปิดลิ้นชักอันที่ 2 ในนั้นก็มีกระดาษอยู่อีกแผ่นนึง
คนสีแดงคอยมองดูฉันตลอด
ด้วยความเมตตา และความอดทน
เหมือนกับคุณแม่เลย
ฉันรู้ คำที่เขียนไว้ในกระดาษแผ่นนี้ก็คือชื่อคน
ชื่อของผู้หญิง
ถ้าฉันเปิดลิ้นชักอันที่ 3 ฉันก็จะรู้แล้วว่าชื่อนี้อ่านว่ายังไง
เพราะในนั้น มีกระดาษเก็บเอาไว้อีกใบนึง
มันมีคำอ่านของชื่อที่ถูกซ่อนเอาไว้อยู่
ชื่อที่แท้จริง
ชื่อของฉัน
วิญญาณของผู้หญิงที่ถูกมอบให้จะจากโลกนี้ไป และได้รับการต้อนรับสู่สรวงสวรรค์ชั่วนิรันดร์
ดูสิ ฉันเงยหน้าขึ้น แล้วผู้หญิงที่ ดูเหมือนกับฉัน ได้รับรู้ชื่อที่แท้จริงของตัวเอง มองกลับมาหาฉัน กำลังยิ้มอย่างดีใจ สงบนิ่ง และพร้อมกันนั้น มีเสียงร้องมอ แล้วก็มอ เสียงร้องงึมงำจากวัวที่กำลังสำนึกผิด…
“โซราโอะ!!”
ภาพตรงหน้าของฉันบิดเบี้ยวไปอย่างรวดเร็ว บู้บี้เข้าหากันเหมือนเป็นแผ่นกระดาษ
มือซ้ายของโทริโกะกำแน่น และฉีกเกทที่โต๊ะเครื่องแป้งออก; แสงเรืองสีเงินสาดกระเซ็น นิ้วโปร่งแสงทั้ง 5 นิ้วของเธอไปได้เจาะแค่เกทอย่างเดียวจนเป็นรู แต่ยังไปถึงกระจกเลยด้วย เศษแก้วแตกปักเข้าไปในกำปั้นที่กำแน่นของเธอ แล้วก็มีเสียงดังเหมือนน้ำกระเซ็นดังออกมาตอนที่เธอทุบมันด้วย
“โซราโอะ! ได้ยินฉันมั้ย!? จำฉันได้หรือเปล่า!?”
ฉันกำลังนั่งนิ่งอึ้งอยู่ตรงนั้น ในขณะที่เธอกำลังเขย่าตัวฉันอยู่ เป็นกังวลจนหน้าซีดไปหมดเลย
“…ฮะ”
ฉันพยายามจะพูด ก่อนจะต้องไอเคลียร์ลำคอของตัวเอง มันแห้งผากยังกับว่าฉันกรี๊ดมานานเลย
“อะไรน่ะ? เกิดอะไรขึ้น?”
พอฉันได้เสียงกลับมาได้ โทริโกะก็ทรุดตัวลงนั่งตรงนั้นเลย
“ฟิ่ว…”
“เอ๊ะ? อะไรน่ะ? อะไรน่ะ?”
ดูจากท่าทางของโทริโกะแล้วนี่ ไม่ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม มันจะต้องน่ากลัวมากแหงๆ แต่ไม่ว่าฉันพยายามจะนึกให้ออกแค่ไหน ความทรงจำของสิ่งที่ฉันเห็นที่อีกฟากของเกทมันก็ค่อยๆ จางหายไปเหมือนความฝันตอนที่เราตื่นนอนตอนเช้า แทบจะนึกอะไรไม่ออกเลยเนี่ย
“พอเธอมองไปที่กระจก เธอก็ยืนตัวแข็งไปเลย มันเหมือนกับว่าเธอกำลังมองอะไรที่มันแย่สุดๆ อยู่เลยน่ะ โซราโอะ ฉันก็เลย…”
โทริโกะคลายมือที่กำอยู่ของเธอออก เศษแก้วที่ยังปักคามือเธออยู่ก็ตกลงพื้นเสียงดัง *ติ้งติ้ง*
“ทุบมันไปแล้วน่ะ… คงไม่เป็นไรใช่มั้ย?”
พอเธอพูดถึง ฉันก็เพิ่งจะสังเกตว่าบรรยายกาศโดยร่วมในห้องนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว กลิ่นสาปสัตว์หายไป ฉันไม่รู้สึกถึงอะไรเลย มีแค่กองเศษไม้กับเศษแก้วเล็กตรงที่เคยมีกระจกตั้งอยู่
ฉันมองไปรอบๆ ห้องใช้ตาขวาของตัวเองดู
“ฉันคิดว่าไม่เป็นไรนะ”
“ถ้างั้น… ปัญหาก็คลี่คลายแล้วสินะ? ห้องนี้ไม่เป็นไรแล้วใช่มั้ย?”
ซึ่งฉันก็พยักหน้าตอบ
“คิดว่านะ เกทเองก็แตกไปหมดแล้วด้วย”
อาจจะเพราะเธอทุบอุปกรณ์ที่ใช้ทำเป็นตัวเร่งล่ะมั้ง ถ้าวางอุปกรณ์ตกแต่งที่เลียนแบบจากในเรื่องน่ากลัวเพื่อเปิดเกทออกไปโลกเบื้องหลัง เหมือนอย่างในลัทธิของอุรุมิ รูนะทำกับ [ฟาร์ม] นั่นแหละ ถ้าเป็นแบบนั้น การไปทำลายตัวเร่งจะเป็นการทำลายเกทเองก็ดูสมเหตุสมผลนะ
“โล่งอกไปที…”
โทริโกะพูดขึ้นมา ท่าทางเธอจะโล่งใจจริงๆ
แล้วฉันก็เห็นน้ำสีแดงๆ หยดออกมาจากมือโปร่งใสข้างซ้ายของเธอด้วย พอเห็น ฉันก็ตาเบิกโพลงเลย
“โทริโกะ! เลือดออกนี่!”
“…อ๊ะ”
โทริโกะร้องขึ้นมา―ยังกับว่าเธอเพิ่มรู้ตัว―ก่อนจะก้มลงไปดูที่มือโปร่งแสงของตัวเอง
เธอทำกระจกบาดมือตัวเอง
เพื่อพยายามจะช่วยฉันสินะ
ฉันคว้ามือเธอมาดูแบบไม่ทันจะได้คิดอะไร หยดสีแดงฉานสั่นระริกไปบนผิวหนังโปร่งแสงของเธอ
สวยจัง
“…เลือดออกเป็นสีแดงด้วยสินะเนี่ย?”
“ดีนะเนี่ยที่เลือดไม่ล่องหนตามไปด้วยน่ะ ไม่งั้นคงดูไม่ออกแน่เลยว่าเลือดออกอยู่หรือเปล่า”
เธอตอบคำพึมพำของฉันมาเงียบๆ ก่อนจะชักมือกลับไปเบาๆ แล้วเอามือเข้าไปที่ปากของตัวเอง ฉันดูริมฝีปากของเธอเม้มเข้ามาเหมือนกับกำลังดูดเลือดจากแผลของตัวเองอยู่
ก่อนที่เธอจะลดแขนลงมา แล้วถามฉันแบบอายๆ หน่อย
“ยืนไหวมั้ย?”
คำถามนั้นช่วยดึงสติของฉันให้กลับมาพอดี จนในที่สุด ฉันก็ลุกกลับขึ้นมายืนจนได้
“เจ็บมั้ย? แผลลึกมั้ยนั่นน่ะ?”
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก แค่บาดนิดเดียวเอง”
“งั้นออกไปล้างแผลกันดีกว่า อาจจะยังมีเศษแก้วปักคาอยู่ก็ได้”
ฉันบอกเธอไปแบบนั้นก่อนจะหันไปทางประตูห้อง เป็นตอนนั้นแหละที่ฉันเพิ่งรู้ตัวว่าแสงแดดที่สาดเข้ามาในห้องมันมีอะไรแปลกไป
มันเป็นแสงแดดสีเหลืองของตอนเย็นชัดๆ เลย
“โทริโกะ… เราอยู่ในนี้มากี่ชั่วโมงเนี่ย?”
“เอ๊ะ? ชั่วโมง? มันยังไม่ถึง 10 นาทีเลยนะ… ไม่ก็ ไม่ควรจะขนาดนั้น…”
โทริโกะเองก็รู้ตัวแล้วเหมือนกัน จนคำพูดของเธอมันขาดช่วงไป
ตอนที่เราออกมาจากห้อง 103 สิ่งที่ต้อนรับเราน่ะ เป็นภาพของอาทิตย์ตกไม่ผิดแน่นอน ฉันลองดูนาฬิกาอีกทีก็เห็นว่าตอนนี้ 5 โมงเย็นแล้ว ทั้งๆ ที่ตอนเราเข้าไปที่ห้องนั้นน่ะ มันยังไม่ทันจะเที่ยงเลยด้วยซ้ำ
ตอนเราหันมามองหน้ากัน ยังงงกับปรากฏการณ์ที่อธิบายไม่ได้ตรงหน้านี่ ท้องฉันมันก็ร้องเสียงดังเลย
เกิดช่วงเงียบกริบกัน ก่อนที่โทริโกะจะทำลายความเงียบนี้
“…เราพลาดมื้อกลางวันกันไปแล้วแฮะ”
“นี่จะมืดแล้วนะ”
“ออกไปหาอะไรกินกันมั้ย? ฉันอยากดื่มจัง”
“แถวนี้ไม่ค่อยจะมีอะไรให้เลือกหรอกนะ”
“โอเค ถ้างั้น… ไปร้านหาซื้อของมาดื่มกันที่ห้องเธอกันเถอะ”
ดื่มที่บ้าน เหรอ…? นี่ทิศทางใหม่ของปาร์ตี้หลังจบงานของโทริโกะเหรอเนี่ย
“ถ้าเป็นห้างธรรมดาๆ จะเป็นไรมั้ย?”
“ไม่มีปัญหา”
กลางวันในฤดูใบไม้ร่วงมันสั้น กว่าฉันจะล้างแผลโดนบาดให้โทริโกะกับพันผ้าพันแผลให้เธอเสร็จ และพร้อมจะออกไปกัน ตอนนั้นฟ้าก็แทบจะมืดสนิทแล้ว
ตอนที่พวกเราออกไปที่ห้างในย่านที่อยู่อาศัยที่เปิดไฟกันสว่างไปทั่ว—ฉันก็นึกขึ้นมาได้พอดี
ฉันเคยอยู่ห้องเดียวกับโทริโกะมาก่อนนี่นา บ้านพักตากอากาศ ‘สไตล์นิวยอร์ก’ ที่นาฮะไง แล้วก็ห้องในรีสอร์ตที่อิชิงาคิ ตอนนี้ที่เธอจะมานอนค้างที่ห้องฉัน ฉันเลยนึกขึ้นมาได้ว่าทั้ง 2 ครั้ง เธอใส่อะไรนอน ตอนที่รีสอร์ต ในห้องมีชุดคลุมอาบน้ำด้วย เธอก็ใส่นั่นแหละเป็นชุดนอน แต่ตอนแรกที่บ้านพักตากอากาศน่ะ โทริโกะเธอนอนแบบไม่ใส่อะไรเลย ฉันยังจำได้ดีเลยว่าเธออะไรต๊องๆ อย่างเธอจะแก้ผ้านอนตามอารมณ์น่ะ
แล้วบ้านฉันก็ไม่มีชุดคลุมอาบน้ำด้วย
ฉันรู้ว่าเธอมีเสื้อผ้าไว้เปลี่ยนแล้ว เพราะเธอเป็นคนบอกเอง แต่นั่นก็คงเป็นเสื้อผ้าที่เธอจะใส่กลับพรุ่งนี้นั่นแหละ ไม่ได้หมายถึงชุดนอนหรอก
“มีอะไรเหรอ?”
พอเห็นว่าฉันเงียบไป โทริโกะก็มองมาที่ฉันแบบเป็นกังวล
ฉันมองเธอกลับไปโดยที่ก็ยังเงียบอยู่เหมือนเดิม ฉันถามไม่ได้หรอกว่า ‘นี่คืนนี้ เธอจะถอดเสื้อผ้านอนงั้นเหรอ?’
TN: ฟิ่ว~ รอดไปที
แต่คืนนี้จะรอดมั้ยนะ 555
ขอแปะ Discord สำหรับแจ้งเตือนนิยาย กับมุมพูดคุยกันไว้ตรงนี้ด้วยนะครับ ใครสนใจก็แวะมาได้นะ ^^
https://discord.gg/Fm9NsqeH2r