010:ซ้อมรบ③ (เทพธิดาในตำนาน)
ณ ป่าทางตะวันออกของลาทอส
ใกล้กับส่วนลึกสุดของป่ากองทัพพิทักษ์นางฟ้าซึ่งเป็นหน่วยรบทางอากาศกำลังสนุกกับการล่าสัตว์ภายใต้การฝึกและพบกับนักผจญภัยสองนาย
「ตามปกติแล้วคนเรานั้นมีชีวิตเดียว และหากเสียมันไปแล้ว ก็จะมาถึงจุดจบ แต่วันนี้พวกนายโชคดี เพราะฉันกำลังอารมณ์ดีสุดๆ」
ราวกับจะหยุดพักจากการบินบนอากาศจากนั้นเธอก็ลงมาที่พื้นภายใต้ชุดฝึก
ลูน่ามองไปที่ชายที่ขาขาดข้างหนึ่งและชายที่ตายไปแล้วหลังจากถูกกัดคอ ก่อนจะยิ้มให้อย่างร่าเริง
「ท่าน…..เทพธิดา……」
ชายเกราะเหล็กกำลังเงยหน้ามองลูน่าด้วยใบหน้าที่เศร้าโศก แต่เขาหายใจออกอย่างหนักราวกับว่าอาลัยตายอยากจากโลกใบนี้แล้ว
――วิชาสำนักมังกรซากุระ คืนชีพเหนือพิภพ
วิ่งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง น้ำเสียงแหลมสูงดังขึ้นและแสงสว่างก็ปรากฏขึ้นรอบลูน่า
「……เอ๊ะ?」
เหตุผลที่ทำท่าทีสงสัยเพราะตั้งแต่ปล่อยพลังปราณออกมาไปจนถึงการเปิดใช้งานทักษะมันราบรื่นเกินไปน่ะสิ แต่ช่างมันเถอะ
ปีกสีขาวบริสุทธิ์ผุดขึ้นที่่แผ่นหลังของเธอ วงแหวนเรืองแสงสีทองปรากฏขึ้นเหนือศีรษะ
เมื่อผมสีเงินเปล่งประกายด้วยแสงสีทอง
「――ดวงจิตที่ยังคงหลงทางเอ๋ย ตัวเจ้าที่ล้มลงท่ามกลางความทะเยอทะยานของตนเอง บัดนี้ข้าจะมอบโอกาสครั้งที่สองให้แก่พวกเจ้า」
โดยหลักการแล้วมันก็ไม่ต่างจากเวทย์ศักดิ์สิทธิ์มากนัก แต่มันไม่ใช่พลังเวทย์ ดังนั้นเลยไม่ต้องพูดว่า “ชุบชีวิต” อะไรทำนองนั้น
แต่ว่า หากไม่พูดอะไรเลยมันก็จะดูน่าเบื่อใช่ไหมล่ะ ให้เข้าถึงอารมณ์มันก็ต้องใส่สีตีไข่เข้าไปหน่อย
พลังงานจำนวนมากไหลเข้าสู่ร่างกายพวกเขาและเริ่มซ่อมแซมร่างกายและสร้างชิ้นส่วนที่ขาดหายไปขึ้นมาใหม่
สุดท้ายก็เหมือนกับปาฏิหาริย์ของพระเจ้า
――วิ้งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง!!!
โทนเสียงแหลมสูงดังมากยิ่งขึ้นและเสาแห่งแสงก็ปรากฏขึ้นภายในป่า
สำหรับมนุษย์ที่อยู่ภายใต้เสาแห่งแสง มันเหมือนกับฉากที่โลกใบนี้ถูกเติบเต็มด้วยแสงสว่าง
「อ่า เท่านี้ก็เรียบร้อย」
ณ จุดหนึ่งของป่าแสงได้หายไปและโลกกลับสู่สภาพเดิม
สาวน้อยที่ยังคงมีปีกและวงแหวนอยู่เหนือศีรษะ ผมสีเงินที่เปล่งประกายสีทองกลับมาเป็นสีเงินตามเดิม
เอ่อเมื่อครั้งที่แล้วฉันมีปีกเยอะกว่านี้และโคม่าไปประมาณสามวันเลย เพราะเหตุการณ์ครั้งนั้นมันเลยขยายความจุแหล่งเก็บพลังปราณของฉันล่ะมั้ง ถึงไม่รู้สึกเหนื่อยเลย
ในทางตรงกันข้ามรู้สึกแข็งแรงมากและยังฟิตเป็นพิเศษ เอิ่มเพราะว่าฉันเติบโตขึ้นรึเปล่านะ?
หลังจากเอียงศีรษะเล็กน้อยเธอก็เห็นว่าคนที่ตายไปแล้วกำลังวิ่งมาทางนี้
「เอ่อ………ผมยังมีชีวิตอยู่เหรอครับ?」
ชายที่หน้าดูเหมือนลิงมองที่มือจากนั้นก็เงยหน้ามองฉัน
「ท่านเทพธิดา……」
「ท่านเทพธิดา ขอบคุณมากจริงๆครับ!!」
เสียงของทั้งสองดังขึ้นเพื่อขอบคุณฉัน
พวกเขานั่งลงและเอาหน้ากราบพื้น
ในฐานะสาวน้อยการได้รับการขอบคุณหลังจากได้รับการทำดี ก็ไม่ได้รู้สึกแย่
ดังนั้นฉันที่โดนชมจนตัวลอยก็เลยพูดออกมาด้วยความใจเย็น
「ทุกคนล้วนมีชีวิตเพียงหนึ่งเดียว ไม่ควรเอาชีวิตของตนเองมาเสี่ยง เพื่อไม่ให้คนที่พวกนายรักต้องกังวลใจ เพราะงั้นพยายามใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ซะนะ」
ลูน่ากล่าวเช่นนั้นและบินขึ้นไปบนอากาศ
「ตอนนี้ได้เวลากลับแล้ว อย่าช้าล่ะ」
「「「ครับ/ค่ะ!!!」」」
เมื่อเธอเรียกเหล่าลูกน้อง พวกเขาก็รีบลุกขึ้นยืนและบินขึ้นตามเธอไป
เมื่อมองด้วยความพึงพอใจลูน่าก็รีบบินออกไปในทันที
หัวหน้าและเหล่าทหารต่างบินกลับสู่ท้องนภา
นักผจญภัยทั้งสองคนที่ร้องไห้เพราะความดีใจ ได้พึมพำกับตัวเอง
「เทพธิดาได้เสด็จลงมาหาพวกเรา ขอโทษจริงๆ เทปปาจิ ชั้นตัดสินใจแล้วว่าจะบูชาเธอไปชั่วชีวิตนี้」
「ไม่ต้องขอโทษหรอก ฉันเองก็คิดแบบเดียวกัน」
ชายทั้งสองพูดคุยกันและลุกขึ้น
ไม่ใช่ว่าจะลาออกจากการเป็นนักผจญภัย แต่ตัดสินใจจะใช้ชีวิตในฐานะสาวกของเทพธิดา
ในโลกเองก็มีโบสถ์แห่งแสงอยู่ซึ่งแพร่หลายไปทั่วโลกและมีเทพที่ได้รับการบูชานามว่า “เอย์นเฮริยาร์(エヘイエ)” (TN:ภาษาญี่ปุ่นสะกดชื่อเทพนอร์สยาก)
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือเทพคนอื่นๆจะถือนับเป็นเทพแห่งความชั่วร้ายทั้งหมดและจะกำจัดทิ้ง
นอกจากนี้ยังมีในคำสอนว่าผู้ที่นับถือเทพเจ้าองค์อื่นนับว่าเป็นตัวตนแห่งความชั่วร้ายโดยไม่คำนึงถึงเพศ อายุ หากถูกจับได้จะโดนทรมานแบบต่างๆ ไม่ก็ฆ่าและปล้นทรัพย์ของคนพวกนั้นด้วย
แน่นอนว่ามีเพียงไม่กี่คนที่จะดำเนินตามคำสอนอย่างจริงจัง แต่ถึงกระนั้น ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะโดนมองตาขวาง
มีกลุ่มศาสนาอื่นในโลกเช่นกัน แต่จะไม่บอกว่าเป็นกลุ่มศาสนาใดแต่เป็นข้อเท็จจริงที่ไม่สามารถถูกทดแทนได้ในโลกนี้ แต่ว่ายามที่มนุษย์ต้องการบางสิ่งเป็นที่ยึดติดและศรัทธา ความศรัทธาเหล่านั้นก็สามารถแปรเปลี่ยนเป็นอาวุธที่สามารถหันใส่คนอื่นได้อย่างง่ายดาย
นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทั้งสองต้องขอโทษกันเพราะว่าอาจจะศรัทธาเทพคนละองค์
「พวกเราจะรีบทำภารกิจให้เสร็จในชั่วอึดใจ จากนั้นพวกเราจะประกาศการมาถึงของเทพธิดา」
「อ่า นั่นสินะ พวกเราที่รับภารกิจที่มีความหมายต่อชีวิต นั่นคือการเผยแพร่คำสอนของเทพธิดาไปทั่วโลกจนกว่าพวกเราจะจากไป」
พวกเขาพยักหน้าให้กัน
เทพธิดากล่าวไว้ว่า
จงรักชีวิตยิ่งกว่าสิ่งใด
มันคือหลักคำสอนที่ว่าให้รักตนเองและรักผู้อื่นด้วย
ความรักและสันติภาพ
ความรักจะเติบเต็มโลกใบนี้
นี่คือการตีความของชายคนนั้น
แม้จะมีการมโนไปบ้าง แต่ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถปฏิเสธหลักคำสอนนี้ได้ ดังนั้นเขาจึงสร้างหลักการบนพื้นฐานของความเป็นเหตุและผลมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะกลับไปที่ลาทอส หลักคำสอนนั้นก็เสร็จสมบูรณ์พอที่จะก่อตั้งองค์กรทางศาสนา
เป็นเรื่องราวที่ทั้งสองคนไม่รู้ตัวเลยว่า พวกเขาได้ก่อตั้ง “ลัทธิเทพธิดา” หลังจากช่วงเวลาสั้นๆและได้เข้าปะทะกับศาสนาอื่น และเหตุการณ์หลังจากนั้นจะนำมาซึ่งผู้ศรัทธานับแสนคน