เหมือนกับเธอที่รักกรวิทย์เข้าเต็มๆ เธออยู่กับเขานานจนเกิดความผูกพัน และความเอาใจใส่ของเขามันทำให้เธอเข้าข้างตัวเอง ทำให้เธอหลงรักเขาโดยไม่มีข้อแม้ แต่เธอก็ไม่เคยปริปากพูดหรือถามเขาอย่างจริงจังสักครั้งว่าเขาจะให้ความสัมพันธ์แบบนี้อยู่นานแค่ไหน เพราะกลัวคำตอบและกลัวว่าความสัมพันธ์นี้จะจบลง
“มีอะไรก็โทรหาฉันได้”
“ค่ะ” เพราะเรื่องนี้ทำให้หทัยรัตน์ต้องย้ำเตือนตัวเองอยู่เสมอว่าอย่าทำอะไรให้เขาระแคะระคายเด็ดขาด ช่วงนี้เลยจำเป็นต้องกักเก็บความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ เขาถามเธอตอบ เขาไม่ถามเธอก็ไม่เซ้าซี้
“เป็นอะไร ช่วงนี้ถามคำตอบคำ” กรวิทย์รู้สึกหงุดหงิดกับท่าทางของหญิงสาวตรงหน้า
“เปล่าค่ะ รีบไปเถอะค่ะ เดี๋ยวตกเครื่อง หวานก็จะไปทำงานเหมือนกัน” เธอเดินไปลากกระเป๋าเดินทางมาให้เขา แล้วหยิบกระเป๋าของตัวเอง
เขาจะไปส่งเธอที่รถไฟฟ้าทุกวันก่อนไปทำงาน วันนี้ก็เหมือนเดิมถึงเขาจะไม่ได้ไปทำงานก็ตาม
“กลับมาฉันมีเรื่องจะคุยด้วย” กรวิทย์พูดก่อนที่หญิงสาวจะลงจากรถ
“คะ เรื่องอะไรคะ” ทำไมแค่คำว่ามีเรื่องจะพูดด้วยของเขา มันทำให้หัวใจเธอเหมือนจะหยุดเต้น
“หวานแกเป็นอะไรนั่งเหม่ออยู่นั่นแหละ” พิรุณรักถามเพื่อนที่เอาแต่นั่งเหม่อเหมือนมีเรื่องให้คิดมากมาย หลังจากทานข้าวเที่ยงเสร็จก็มานั่งเล่นที่สวนข้างๆ บริษัท พี่ๆ คนอื่นเข้าไปข้างในหมดแล้ว
“หวาน” ไม่มีเสียงตอบรับ
“หวาน”
“หือ อะไรนะ” หทัยรัตน์สะดุ้งกะพริบตาถามเพื่อน
“เป็นอะไร เอาแต่เหม่อ”
“ฉันมีเรื่องให้คิดนิดหน่อย ถ้าพร้อมจะเล่าให้ฟัง” ตั้งแต่วันที่กรวิทย์มาส่งที่รถไฟฟ้า และเขาบอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วยหลังจากกลับมาจากกระบี่ ใจเธอก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว คิดไปต่างๆ นานา ว่าเรื่องที่เขาจะคุยด้วยเป็นเรื่องอะไร คงไม่ใช่เรื่องของเธอกับเขาหรอกนะ
หรือว่าเขาจะหยุดติความสัมพีธุ์กับเธอ เขาจะเลิกเลี้ยงเธอแล้วงั้นเหรอ
“อืมๆ” เมื่อเพื่อนพูดแบบนั้นพิรุณรักก็ไม่เซ้าซี้
“แล้วแกเป็นไงบ้าง”
“ก็เรื่อยๆ”
ตั้งแต่ที่แกริคหายป่วยเขาก็ยังไม่เรียกเธอขึ้นไปหาอีกเลย ซึ่งมันก็เป็นผลดีกลับเธอเพราะถึงยังไงตอนเย็นเธอก็เจอกับเขาอยู่แล้ว
“มันดีไหม”
“ก็ดีนะ” ช่วงนี้ทุกอย่างมันดีสำหรับเธอไปหมด ถึงแม้ความสัมพันธ์ของเธอกับเขาจะยังไม่เปิดเผยแต่เธอก็พอใจ
“แกโชคดีจัง” หทัยรัตน์พูดขึ้นเบาๆ
“อะไรนะ”
“ฉันบอกว่าแกโชคดี”
“อ่อ แกเองก็โชคดีเหมือนกันแหละ” พิรุณรักไม่ได้สังเกตสีหน้าของเพื่อนสักนิดว่ามีสีหน้าซีดลงอย่างเห็นได้ชัด
“เออ แก เมื่อวานเอมมี่มันโทรหาฉัน บ่นใหญ่ว่าเราหายเงียบไปเลย มีผู้แล้วลืมมัน”
“แล้วไงต่อ”
“มันนัดเจอ แกไปได้ไหม” หทัยรัตน์ต้องถามก่อน เพราะตอนนี้เพื่อนเธอจะไปไหนมาไหนตามใจชอบไม่ได้อีกแล้ว
“ก็น่าจะได้นะ”
“ขอพ่อให้ได้ก่อนค่อยพูด”
“พูดมากแกอ่ะ ไปทำงานเลย” ทั้งสองสาวเดินเข้ามาในบริษัท ช่วงนี้เป็นช่วงที่พนักงานกลับมาจากทานอาหาร
ที่บริษัทก็มีโรงอาหารแต่บางคนก็เลือกที่จะออกไปทานข้างนอก แล้วแต่สะดวกตอนนี้เลยเต็มไปด้วยพนักงานที่กำลังเดินเข้ามาในบริษัท
“แก ท่านประธานใหญ่หล่อมาก”
“ใช่หล่อมาก ฉันเห็นแล้วยังละลาย แต่หน้าดุไปหน่อย”
“ใช่ ท่านเคยยิ้มรึเปล่านะ”
เสียงกระซิบกระซาบเข้ามาในหูของทั้งสองสาว พิรุณรักและหทัยรัตน์หันไปมองหน้ากัน
“หลัวแกลงมาข้างล่างเหรอวะ” หทัยรัตน์กระซิบถาม
“ไม่รู้สิ” ที่บอกไม่รู้เพราะยังไม่ได้คุยกับเขาตั้งแต่มาถึงที่ทำงาน ปกติแกริคจะมาถึงที่ทำงานตั้งแต่เช้าและเขาจะไม่ออกไปทานข้าวเที่ยงข้างนอก ส่วนมากจะสั่งมาทานที่นี่มากกว่า
เธอเคยถามเขาว่าทำไมไม่ออกไปทานข้างนอก เขาให้เหตุผลว่าทานข้างนอกก็ทานคนเดียว ไม่ต่างอะไรกับทานที่นี่
“ไม่ต้องสงสัย เดินมาโน้นแล้ว” พิรุณรักหันไปมองตามที่เพื่อนบอกก็พบกับร่างสูงใหญ่ที่เต็มไปความน่าเกรงขามแผ่รังสีความน่ากลัวออกมาจากตัวนิดๆ ข้างหลังมีแซคเดินตาม และมีคนชุดดำประจำอยู่ตามจุดต่างๆ
“เราโชคดีจริงๆ ตอนออกไปก็เจอท่าน พอเข้ามายังเจอท่านอีก โอ๊ย ฉันจะละลาย” พนักงานหญิงที่อยู่ใกล้ๆ กระซิบคุยกัน
ร่างสูงใหญ่เดินเข้ามาใกล้ตรงที่เธอยืนอยู่เรื่อยๆ ทำให้เธอแทบกลั้นหายใจ กลัวว่าตัวเองจะแสดงพิรุธให้คนอื่นเห็น และกลัวว่าแกริคจะไม่ยอมเดินผ่านเธอเฉยๆ
แกริคเห็นแม่เมียตัวน้อยของเขายืนเกร็งอยู่กับที่ก็อยากจะหัวเราะกับท่าทางของเธอ ดูเหมือนเธอจะกลัวว่าเขาจะทำอะไรไม่เข้าท่า รู้สึกมันเขี้ยวนิดๆ การเป็นแฟนเขาทำให้เธอลำบากขนาดนี้เลยรึไง มีแต่คนที่อยากจะวิ่งเข้าใส่เขา ผู้หญิงทุกคนอยากจะเดินควงเขาออกหน้าออกตาทั้งนั้น
ปากหนากระตุกขึ้นนิดหน่อยเมื่อเดินผ่านเธอ ปรายตามองคนที่ก้มหน้าให้เขาอย่างคาดโทษ
“อ๊าย ท่านหันมามองทางเราด้วยอ่ะแก” เสียงพนักงานหญิงกรี๊ดเบาๆ เมื่อเห็นว่าท่านประธานปรายตามองมาทางตน
“ไปแล้วแก” หทัยรัตน์สะกิดเพื่อนที่เอาแต่ก้มหน้า
พิรุณรักก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกมองตามหลังคนที่เดินเข้าไปในลิฟต์ผู้บริหาร ในใจเกิดความสงสัยว่าเขาไปไหนมานะ หรือว่าจะออกไปกินข้าวข้างนอก แต่ก็สลัดความสงสัยทิ้ง
ทั้งสองกลับเข้ามาที่แผนก
“ปลายฝนไปดูคอมกับต้นหลิวนะที่ชั้นเจ็ดแผนกเซลล์”
“อ่อค่ะ” พอเดินเข้ามาก็ได้รับคำสั่งจากทัศนัยทันที
“ไปกันปลาย” พิรุณรักเดินตามต้นหลิวขึ้นมาที่ชั้นเจ็ด เธอขึ้นมาที่ชั้นนี้เป็นครั้งแรก เลยไม่คุ้นชินเท่าไหร่
“มาแล้วเหรอพี่ต้นหลิว นี่เลยครับ” พิรุณรักตามต้นหลิวไปเงียบๆ ยิ้มบางๆ ให้กับคนที่เรียก
“มาแล้วจ้า นี่ปลายฝนนะน้องใหม่ เป็นอะไรอ่ะวันนี้” ต้นหลิวแนะนำพิรุณรักให้ทุกคนรู้จัก หญิงสาวก็ได้แต่ยกมือสวัสดีทุกคน เธอยังไม่คุ้นชินกับใครในบริษัท เรียกได้ว่าไม่รู้จักเลยดีกว่าเพราะยังไม่เคยขึ้นมาดูคอมให้ใครเลย นอกจากดูให้ท่านประธานใหญ่คนเดียว
“อีเมลครับเป็นอะไรก็ไม่รู้” ต้นหลิวเข้าไปดูคอม ส่วนพิรุณรักยืนอยู่ใกล้ๆ
“ชื่อปลายฝนเหรอครับเห็นไกลๆ ว่าสวยแล้วดูใกล้ๆ ยิ่งสวยนะครับ” เมฆาหันมาพูดกับเธอ
คนโดนชมซึ่งๆ หน้าเริ่มทำตัวไม่ถูก
“เมฆนายก็ชมน้องเขาตรงเกินไป”
“ก็มันจริงหนิครับ” เมฆายอมรับตรงๆ กับพี่ที่เอ่ยแซว
เพราะเป็นแผนกเซลล์เลยมีแต่คนหน้าตาดีๆ ผู้ชายก็มีแต่คนหล่อๆ ผู้หญิงมีแต่คนสวยๆ
เพราะการออกไปพบลูกค้าหน้าตาก็มีส่วนสำคัญ บริษัทเลยคัดสรรแต่คนหน้าตาดีและมีความสามารถ