“เดินมาดูสิ ยืนอยู่ตรงนั้นจะเห็นรึไง” แกริคพูดเสียงขรึม สีหน้าจริงจัง จนคนล้อเล่นใจหายแต่มันก็แค่แวบเดียวเธอก็รวบรวมกำลังใจกลับมาใหม่ เดินเข้าไปดูคอมที่โต๊ะทำงานของเขา
แกริคเลื่อนเก้าอี้ออกให้เธอเดินเข้าไป หญิงสาวเหลือบตามองเขานิดหน่อยดูว่าเขาจะมาไม้ไหนแต่ก็เห็นแค่แววตาจริงจังอยู่ในนั้น
เอ๊ะ หรือว่าเขาจะโกรธที่เธอเถียง
พิรุณรักเลิกคิดหาเหตุผลหันกลับมาดูคอมต่อ ก็เห็นว่าหน้าจอมันมืดสนิท เธอกดเปิดหน้าจอตรวจเช็คความผิดปกติแต่ก็ไม่เจออะไร
“ไม่ได้เป็นอะไรหนิคะ แค่คุณไม่เปิดเครื่อง”
“เหรอ ฉันนึกว่ามันเสียหน้าจอมืดๆ” แกริคเลิกคิ้วมองสีหน้าไม่ได้ยิ้มแย้มหรือว่ามีแววล้อเล่นสักนิด พิรุณรักอยากจะข่วนหน้าหล่อๆ ของเขาซะจริง เขาไม่ได้กำลังกวนเธออยู่ใช่ไหม
“ค่ะ ท่านไม่ได้เปิดเครื่อง หรือว่าท่านแก่แล้วเลยหลงๆ ลืมๆ” พิรุณรักเลิกคิ้วท้าทายยกยิ้มหน่อยๆ ให้คนที่จ้องหน้าเธอเขม็ง
“อะไรนะ” หญิงสาวยักไหล่ไม่สนใจสีหน้าถมึงทึงขึ้นของคนตัวใหญ่ หันหลังจะเดินออกไปจากโต๊ะเขา
“แก่แล้วงั้นเหรอ ให้พูดใหม่”
“ว๊าย”
ร่างบางลอยหวือนั่งลงบนตักแกร่งคนตัวโตจ้องหน้าหญิงสาวอย่างคาดโทษ เธอคนแรกที่กล้าว่าเขาแก่
“ไม่เก๊กขรึมแล้วเหรอคะ” พิรุณรักใจกล้าจูบแก้มสากของเขาเบาๆ มือคล้องเข้าที่คอแกร่งถามด้วยสีหน้ายิ้มๆ
“อยากโดนลงโทษแบบไหน” คนตัวโตถามเธออย่างคาดโทษ
“ลงโทษอะไรคะ หนูยังไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะ” พิรุณรักเลิกคิ้วถาม ทั้งที่รู้ความผิดของตัวเอง ที่จริงเขาไม่ได้แก่เลยสักนิดถ้าไม่บอกว่าเขาอายุสามสิบกว่าเธอก็นึกว่าเขาอายุแค่ยี่สิบห้ายี่สิบหก
“วันหยุดนี้ไม่ต้องออกจากห้องเลยดีไหม” พิรุณรักตาโต เข้าใจความหมายไม่ออกจากห้องของเขาเป็นอย่างดี
“ไม่เอา”
“จะได้ไม่หาว่าฉันแก่อีก” มือเล็กลูบแก้มสากเบาๆ เอาใจคนขี้น้อยใจ
“หนูล้อเล่น แก่อะไรหล่อขนาดนี้” พูดแล้วฉีกยิ้มกว้างให้เขา จนคนโดนชมว่าหล่อหัวใจเต้นแรงสายตาพร่าเบลอไปหมด ไม่ว่าใครจะชมว่าเขาหล่อดูดีแค่ไหนก็ไม่มีผลกับเขาทั้งนั้น แต่ทำไมพอผู้หญิงคนนี้ชม เขากลับดีใจชอบในสิ่งที่เธอพูด
“เที่ยงนี้จะกินอะไรจะให้แซคสั่งขึ้นมาให้” แกริคเปลี่ยนเรื่อง เขาไม่อยากอยู่ในโหมดนี้นานๆ มันเหมือนเด็กหนุ่มหัดรัก
พิรุณรักหัวเราะเบาๆ กับคนที่กลบเกลื่อนความเขิน
เขาเขินน่ารักนะเนี่ย
“คุณกินส้มตำเป็นไหมคะ”
“ส้มตำ”
“ใช่ค่ะ หนูอยากกินทีแรกว่าจะไปกินกับหวานแต่โดนเรียกตัวมาซะก่อน” พิรุณรักพูดหน้ามุ่ย เธออยากได้อะไรเผ็ดๆ จะได้หายง่วงนอน
“เอาสิ”
“คุณกินได้เหรอคะ” หญิงสาวแอบกังวล
“ไม่รู้สิยังไม่เคยกิน แต่น่าจะได้นะถ้าเธอกินได้ฉันก็กินได้ จดเมนูมาให้แซคลงไปซื้อ”
“ค่ะ เดี๋ยวหนูจะสั่งอย่างอื่นมาให้คุณด้วย” พิรุณรักหยิบกระดาษใบเล็กๆ ที่โต๊ะเขามาจด
“ให้คุณแซคมากินกับเราได้ไหมคะ” เธอหันไปถามแกริค
“เอาสิ” เมื่อได้รับอนุญาตหญิงสาวก็ทวนเมนูอีกรอบ แกริคกดเรียกแซคเข้ามา เขาปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหญิงสาวบอกร้านที่จะซื้อให้กับแซค
“ร้านอยู่ข้างๆ บริษัทนี่เองค่ะคุณแซค หนูสั่งมาเผื่อคุณด้วยนะคะมากินด้วยกันคุณแกริคจะได้มีเพื่อน” แซครับมาดูเมนูและรายชื่ออาหารที่เขาไม่คุ้นเคย
“ครับ” แซคเดินออกไปจากห้องพิรุณรักก็ย้ายตัวเองมานั่งที่โซฟา
“วันหลังไม่เอาแบบนี้แล้วนะคะ” เธอพูดกับแกริคที่นั่งทำงานต่อที่โต๊ะ
“อะไร”
“ไม่ต้องเรียกหนูให้ขึ้นมาหาแล้ว คนอื่นจะสงสัยหนูขี้เกียจหาข้อแก้ตัวกับพวกพี่ๆ เขา” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน แกริครู้สึกไม่ชอบใจกับความกังวลของเธอ เขาอยากจะใช้ชีวิตแบบคนปกติทั่วไป ที่เขากลับมาประเทศไทยก็เพื่อเธอ แล้วเขาต้องมาเจออะไรแบบนี้เหรอ
“ฉันจะอยู่ที่นี่แค่สามเดือน” แกริคเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ แต่คำพูดของเขานั้นทำให้พิรุณรักตัวแข็งทื่อ
สามเดือนงั้นเหรอ เธอมีเวลาอยู่กับเขาสามเดือนแค่คิดปากบางก็เม้มเข้าหากันแน่น
“ค่ะ”
ด้านคนที่ลงไปซื้อส้มตำแซคยื่นเมนูที่ผู้หญิงของเจ้านายจดให้แม่ค้า แล้วยืนรออยู่หน้าร้าน แม่ค้าส้มตำเองเห็นเป็นฝรั่งก็ไม่กล้าพูดเพราะพูดไม่รู้เรื่อง ไม่รู้จะบอกยังไงให้ลูกค้ารูปหล่อเข้าไปรอข้างใน เลยเดินไปหาลูกค้าประจำให้มาช่วยพูด
“นี่หนูมุตา ช่วยป้าหน่อย”
“อะไรคะป้า” มุตากับเพื่อนๆ ในแผนกมากินข้าวร้านนี้พอดี
“พอดีมีฝรั่งมาซื้อส้มตำ ป้าอยากจะบอกว่าให้เขาเข้ามานั่งรอในร้านเพราะคิวอีกนานโขแต่ป้าพูดไม่เป็น ไปช่วยพูดให้ป้าหน่อย” ทั้งโต๊ะหันไปมองคนที่ป้าบอกว่าเป็นฝรั่ง พอเห็นทั้งโต๊ะก็อ้าปากค้าง
“นั้นมันคุณแซคใช่ไหมพี่ทัศเลขาท่านประธาน”
“ใช่”
“คนนั้นใช่ไหมป้าที่มาซื้อส้มตำ”
“ใช่ๆ คนนั้นแหละ” ทุกคนในโต๊ะหันไปมองหน้ากันอย่างไม่ได้นัดหมาย มีแค่หทัยรัตน์คนเดียวที่รู้ว่าใครใช้ให้แซคมาซื้อส้มตำ
ยัยปลายฝนกินอะไรที่มันแพงๆ หน่อยก็ไม่ได้มีแฟนรวยซะขนาดนี้
“งั้นหนูไปพูดให้ค่ะป้า” มุตาอาสา ลุกขึ้นจัดเสื้อผ้าสางผมให้เข้าที่เข้าทาง
“น้อยๆ หน่อยยัยมุตา นอออกแล้วนั่น” มุตาไม่โกรธกับคำแซวหรือแขวะของพี่ร่วมงานแต่กลับยิ้มสวยๆ แล้วเดินไปหาเลขาของท่านประธานด้วยรอยยิ้มสว่างจ้า
“สวัสดีค่ะ”
แซคขมวดคิ้วเมื่อมีคนมาทัก มองสำรวจหญิงสาวตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้า ตัวเล็กๆ เพียงแค่ไหล่เขา แถมยังยิ้มเหมือนคนบ้า แต่ดูเหมือนจะเป็นพนักงานของบริษัท
“มีอะไรรึเปล่าครับ” แซคตอบด้วยสีหน้าเรียบๆ ดูก็รู้ว่าผู้หญิงคนนี้เข้าหาเขาเพราะอะไร
“เอ่อ..คือ” มุตาเรียบเรียงคำพูดไม่ถูกทันทีที่เจอสายตาแบบนั้น ปากบางเม้มเข้าหากัน รู้สึกไม่ชอบสายตาของอีกฝ่าย เธอคิดผิดรึเปล่านะที่อาสามา
“ครับ”
“คือคุณป้าเจ้าของร้านวานให้ฉันมาบอกคุณให้ไปนั่งรอข้างในก่อนค่ะ คิวเยอะกลัวว่าคุณจะเมื่อย” มุตาพูดจบก็รีบเดินหันหลังกลับทันที
แซคขมวดคิ้วเข้าหากัน อะไรของเขาเมื่อกี้ยังทำเหมือนจะอ่อยอยู่เลย แซคไม่สนใจแต่ก็เดินเข้าไปนั่งรอในร้าน เพราะเขาเองก็เมื่อยเหมือนกันแล้วแดดประเทศไทยร้อนจะตายถ้าได้ไปนั่งรอในร่มคงดี