เมื่อผมลืมตาตื่นขึ้นในตอนเช้า ผมก็พบว่าเฟอร์ริสมานั่งจ้องหน้าผมอยู่ เธอดูเหมือนกำลังโน้มตัวลงมาดูผมที่กำลังหลับอยู่
บางทีอาจตกใจที่ผมลุกขึ้นมาอย่างกะทันหัน เธอจึงรีบไปยังมุมห้องที่เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของเธอทันที
「อรุณสวัสดิ์นะ เฟอร์ริส」
「อืม… อะ รุ รุน ซา หวะ หวัด … 」
ถึงแม้ว่าวิญญาณประจำบ้านจะขึ้นชื่อเรื่องความไร้อารมณ์ แต่เฟอร์ริสก็ดูเหมือนเริ่มแสดงอารมณ์ออกมาบ้างแล้ว หรือบางทีผมอาจคิดไปเองก็ได้
ผมไม่แน่ใจว่าเธอรู้สึกเขินหรือไม่สบายใจที่ผมตื่นขึ้นมาพร้อมกับเห็นเธอกำลังจ้องหน้าผมอยู่ หรือเพราะผมจ้องเธอกลับไป แต่ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลอะไรก็ตาม ตอนนี้เฟอร์ริสก็หายตัวไปแล้ว
「อย่างน้อยตอนนี้เธอก็ทักทายผมได้แล้วล่ะนะ……」
ผมแต่งตัวเสร็จแล้วเดินออกจากห้องนอนตรงไปที่ห้องครัว ผมเตรียมอาหารเช้าด้วยวัตถุดิบที่ซื้อจากตลาดมาเมื่อวาน เห็นได้ชัดว่าผมคงพึ่งพาแต่ไอเทมจากสมัยเล่นเกมของผมไปตลอดไม่ได้
ผมหยิบไข่และเนื้อสัตว์ ซึ่งน่าจะเป็นเบคอน มาปรุงในกะทะบนเตาเวทมนตร์
เตาเวทมนตร์เป็นเครื่องใช้ในบ้านตามปกติในโลกนี้ และคฤหาสน์หลังนี้ก็มีเช่นกัน การใช้งานก็คือการเติมพลังเวทลงไปที่หินเวทมนตร์ที่ติดตั้งอยู่ ซึ่งหินเวทมนตร์สามารถใช้ซ้ำได้ ในแง่หนึ่งก็ถือว่าเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ผมคิดไปเรื่อยเปื่อยเกี่ยวกับการทำงานของเตาในขณะที่กำลังทำอาหารจนเสร็จ ผมก็นำจานอาหารไปยังห้องอาหาร
ผมพนมมืออธิฐานขอบคุณอาหารต่อหน้าจานอาหาร ที่วางอยู่บนโต๊ะ ก่อนจะลงมือรับประทาน
วันนี้ผมต้องไปรับเงินส่วนที่เหลือของรางวัลที่กิลด์นักผจญภัย และหลังจากนั้นคงต้องศึกษาเกี่ยวกับเมืองและประเทศนี้เพิ่มเติม
「เฟอร์ริส อยู่ตรงนี้หรือเปล่า ?」
ผมเรียกหาเธอ ในห้องที่หากไม่มีผมอยู่ มันก็คงจะเป็นห้องที่ว่างเปล่าอย่างแน่นอน ในที่สุดเฟอร์ริสก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าผมอย่างเป็นธรรมชาติ
「วันนี้ผมจะออกไปข้างนอกนะ ไม่ได้ไปทำภารกิจหรอก แต่ผมจะไปหาข้อมูลนิดหน่อยสักสองสามวัน」
เฟอร์ริสพยักหน้าและยิ้มบาง ๆ ให้ผม
หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ ผมก็ใช้เวลาตรวจสอบของในคลังมิติ
ผมคุ้นเคยกับชื่อของไอเทมหลายอย่าง แต่มีบางอย่างที่ผมไม่รู้ถึงผลของมันถ้าไม่หยิบออกมาดู นอกจากนี้ยังมีของไม่จำเป็นอีกเยอะแยะจนจำได้ไม่หมด
…… เป็นเรื่องดีที่ผมมีไอเทมอื่น ๆ นอกเหนือจากอุปกรณ์สายเบอร์เซิร์กเกอร์… ผมจะได้ใช้มันก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นอาชีพนักรบ……
ผมตรวจดูไอเทมต่าง ๆ ขณะที่คิดเรื่องนี้ไปพลาง ๆ
ประมาณก่อนเที่ยงเล็กน้อย ผมตัดสินใจว่าได้เวลาไปที่กิลด์พ่อค้า ผมบอกเฟอร์ริสว่าจะกลับมาตอนเย็น ๆ และขอให้เธอช่วยดูแลโคคุโยด้วย
เมื่อผมไปถึงกิลด์พ่อค้า ผมพบว่านาตาลี นักปราชญ์โลลิ กำลังคุยกับแซมมี่อยู่แล้ว
เธอยิ้มให้ผมเมื่อเห็นผมเดินเข้าไป
「โทยะ! มาทางนี้เลย」
「อรุณสวัสดิ์ โทยะ」
「อรุณสวัสดิ์ นาตาลี แซมมี่」
ผมนั่งลงที่เก้าอี้ว่างข้าง ๆ พวกเธอ และแซมมี่ก็เริ่มอธิบาย
「เข้าใจแล้วค่ะ… คุณต้องการจะโอนคฤหาสน์นี้ให้กับโทยะใช่ไหมคะ งั้นดิฉันจะไปเอาเอกสารการเปลี่ยนชื่อกรรมสิทธิ์มาให้ รอสักครู่นะคะ」
แซมมี่ขอแยกตัวออกไป ส่วนนาตาลีก็วางหนังสือเล่มหนึ่งลงบนโต๊ะ
「นี่คือสิ่งที่ฉันสัญญาเอาไว้ ถึงแม้ฉันคิดว่านายยังไม่พร้อมจะอ่านมันก็ตามเถอะ」
「ขอบใจมาก ผมกำลังต้องการอยู่พอดีเลย…..」
「ได้แล้วค่ะ! 」
ผมที่กำลังกล่าวขอบคุณปราช์โลลิอยู่นั้น ก็พอดีกับตอนที่แซมมี่กลับมาพร้อมกับเอกสาร
「กรุณาลงชื่อทั้งสองฝ่ายด้วยนะคะ นอกจากนี้ ค่าธรรมเนียมในการเปลี่ยนชื่อกรรมสิทธิ์คือ 50,000 กิล ซึ่งทางกิลด์พ่อค้าจะเป็นผู้รับไว้ค่ะ」
ผมวางเหรียญเงินห้าเหรียญลงบนโต๊ะ คิดว่ามันคงเหมือนกับค่าธรรมเนียมนายหน้าแบบในญี่ปุ่น
「ในเมื่อบ้านเป็นของนายแล้ว ต่อไปฉันคงแวะมาหารบ่อยแล้วล่ะ 」
「….. หยุดเลย….. ถ้ามาละก็เดี๋ยวฉันไม่ให้ไอ้นั้นซะหลอก ‘เจ้านั้นหนะ’ 」
「งื้อออออ….. อย่าทำแบบนั้นน้าาา….. 」
นาตาลีทำหน้าเศร้า ดูเหมือนเธอจะยังลืมรสชาติของอาหารเมื่อวานไม่ได้เลย ซึ่งก็ไม่แปลก
แซมมี่เพียงแค่พยักหน้าให้กับบทสนทนาระหว่างผมกับนาตาลี แล้วอธิบายต่อ
「ดิฉันจะเก็บค่าธรรมเนียมนี้เอาไว้ค่ะ กิลด์พ่อค้าจะเก็บสำเนาเอกสารฉบับหนึ่งไว้สำหรับการจัดการทรัพย์สินค่ะ」
เอกสารสามชุดถูกแบ่งให้ทั้งสามฝ่าย: กิลด์พ่อค้า, ผม, และนาตาลี
แซมมี่เดินกลับไปหลังเคาน์เตอร์พร้อมเอกสาร แต่ก็กลับมาอย่างรวดเร็ว
「การเปลี่ยนกรรมสิทธิ์เสร็จสิ้นแล้วค่ะ」
「ถ้างั้น ผมขอตัวก่อนนะครับ」
ผมเป็นคนเดียวที่ลุกขึ้นจากเก้าอี้ แต่ก็ถูกแซมมี่หยุดเอาไว้ทันที
「คุณโทยะคะ ยังมีขั้นตอนอย่างอื่นที่ต้องจัดการอีกค่ะ…..」
นอกจากการเปลี่ยนชื่อกรรมสิทธิ์แล้ว ผมคิดว่าไม่น่ามีเรื่องอื่นอะไรที่ต้องทำที่นี่แล้วนี่นา…
อย่างไรก็ตาม ผมก็กลับมานั่งลงที่เก้าอี้อย่างว่าง่าย
「ในเมื่อคุณได้ซื้อบ้านหลังนี้แล้ว คุณต้องจ่ายภาษีที่ดินสำหรับคฤหาสน์ค่ะ เราเรียกมันว่า ‘ภาษีทรัพย์สินที่ดิน’ 」
……ภาษีงั้นเหรอ…… ในญี่ปุ่น ผมไม่เคยต้องจ่ายภาษีเลย เพราะอยู่บ้านเช่า แต่ผมก็จำได้ว่ามีเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งบ่นเรื่องนี้หลังจากเขาซื้อบ้านไป
ผมพยักหน้า เข้าใจว่านี่คงเป็นเรื่องปกติที่ต้องเจอ
「สำหรับปีนี้ ภาษีอยู่ที่ 2 ล้านกิลค่ะ」
「 WTF!? ……..2 ล้านกิล! นี่มันบ้าไปแล้ว……..」
แค่ได้ยินจำนวนเงิน ผมก็ถึงกับลุกพรวดขึ้นมายืนทันที
ไม่ใช่ว่าผมไม่มีเงินจ่ายหรอกนะ แต่จำนวนนี้มันเยอะเกินไปแล้ว แต่ก็เถอะ…… ผมไม่รู้ราคาตลาดของบ้านในเมืองนี้ สำหรับคฤหาสน์หลังนั้น อาจจะสมเหตุสมผลก็ได้……
「สำหรับบ้านธรรมดา มันคงเป็นจำนวนเงินที่มากเกินไปค่ะ แต่สำหรับคนที่เป็นเจ้าของคฤหาสน์ใหญ่ขนาดนั้น มันก็ถือว่าไม่เยอะเกินไปค่ะ จนถึงตอนนี้ คุณนาตาลีเป็นคนจ่ายมาตลอด」
「ใช่แล้วล่ะ แล้วก็ไม่มีใครมาอยู่เลยด้วย เพราะงั้นก็ไม่มีค่าเช่าเข้ามาเลย เกือบจะขาดทุนด้วยซ้ำ นี่แหละเหตุผลที่ตอนที่เฟอร์ริสยอมรับนาย มันถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะเจาะพอดีเลยล่ะ」
นาตาลียิ้มกริ่ม
นั่นหมายความว่าถ้าปล่อยเช่า มันจะต้องจ่ายเดือนละ 150,000 กิล และถ้าปล่อยเช่าเป็นปี มันก็จะเท่ากับ 1.8 ล้านกิล แต่พอผมซื้อมัน ผมก็ต้องจ่ายภาษีปีละ 2 ล้านกิลแทน
ผมคิดทบทวนและก็ได้ข้อสรุป
「—ผมโดนหลอกเข้าแล้วสินะ…….」
แซมมี่อธิบายต่อ
「ถึงแม้คุณอยากจะขายมัน แต่ถ้าเป็นบ้านที่มีวิญญาณประจำบ้านอาศัยอยู่ จะไม่สามารถทำสัญญาซื้อขายได้ เว้นแต่จะได้รับการยินยอมจากวิญญาณประจำบ้านค่ะ สำหรับกรณีของคุณนาตาลี……. เอ่อ……. ก็เพราะสัญญาที่ทำไว้เมื่อนานมาแล้ว เลยไม่มีเงื่อนไขพิเศษแบบนี้…..」
บ้านที่ไม่มีผู้เช่าเป็นเวลาหลายสิบปี และตอนนี้วิญญาณประจำบ้านก็ยอมรับและตัดสินใจเลือกเจ้าของแล้ว
พูดได้เลยว่ากระบวนการหาผู้ครอบครองคนถัดไปคงเป็นฝันร้ายแน่ ๆ
แต่อย่างน้อย ผมก็เริ่มชอบเฟอร์ริสขึ้นมาซะแล้ว ผมยอมจำนนต่อทั้งเหตุผลและอารมณ์ของตัวเอง ก่อนจะวางเหรียญทองสองเหรียญลงบนโต๊ะ
———————————————
ขออภัยที่หายไปวันนึงนะครับ
ก่อนอื่นขอบคุณสำหรับการสนับสนุนค่ากาแฟมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
ที่หายไป 1 วันพอดีว่าที่ทำงานจัดกันตั้งกะเที่ยงเลย กลับบ้านเร็วก็จึงแต่หัวปะทะหมอน ก็มาตื่นตอนนาฬิกาปลุกเลย แถมหัวยังหน่วง ๆ อีกด้วย 5555 ก็มาต่อกันเลยละกัน หากถูกใจ คอมเมนต์เป็นกำลังใจ หรือมีคำแนะนำก็บอกได้นะครับ