ริชาร์ดนั่งอยู่ที่ข้างเตียงของเขาเพียงลำพัง เขาใช้มือทั้งสองประคองหน้าผากไว้ ภาพสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นฉายวนอยู่ในความคิดของเขาอย่างชัดเจนทุกฉากทุกเหตุการณ์
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันกะทันหันเกินไป ในตอนนั้นเขารู้สึกได้แค่อันตรายรอบ ๆ ตัว เขาจึงโกรธแค้นตอนที่ผู้คุ้มกันพวกนั้นโจมตีเขาและเลือกที่จะตอบโต้ด้วยพละกำลังเต็มที่โดยทำให้พวกเขาพิการอย่างไร้ความปราณี ทว่าเขากลับล้มลงเพราะมีคนโจมตีเขาจากทางด้านหลัง แต่ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นสิ่งที่เขาคาดเดาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว เขาไม่ได้หยิ่งทะนงมากซะจนคิดว่าตนเองจะสามารถเอาชนะการโจมตีจากวอริเออร์ 3 คนซึ่งอยู่ในระดับสูงกว่า 8 ที่รวมตัวกันได้ การที่เขาสามารถจัดการกับ 2 ใน 3 คนได้นั้นก็ถือว่าเป็นผลลัพธ์ที่เกินความคาดหมายมากแล้ว
ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่เขาได้รับมือกับสถานการณ์เช่นนี้ เขารู้ว่ามันจะส่งผลถึงชื่อเสียงของตระกูลอาเครอนและแม้ว่าปัญหาเล็ก ๆ เช่นนี้ไม่ได้เป็นเรื่องธรรมดาทั่วไปในเฟาสต์ ทว่าก็ไม่ใช่เรื่องที่หายากเช่นกัน ทุก ๆ ตระกูลที่เข้ามาตั้งรกรากในเฟาสต์ได้สำเร็จมักมีความเป็นปรปักษ์กับตระกูลที่เก่าแก่และมีอำนาจเหนือกว่าซึ่งอยู่ที่นี่มาก่อนทั้งนั้น ดังนั้นเขาจึงได้เตรียมรับมือกับความอับอายไว้แล้ว การที่ฟอล์กเหยียบย่ำบนศีรษะของเขานั่นก็นับเป็นรูปแบบหนึ่งเช่นกัน ถึงแม้ว่ามันจะเป็นสิ่งที่รุนแรงจนก่อให้เกิดความอาฆาตแค้นได้ ทว่าหลังจากนั้นไม่นานทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
เมื่อเขานึกย้อนกลับไป แรงกดที่มาจากเท้าของฟอล์กนั้นมีพละกำลังมากจนสามารถขยี้กะโหลกของเขาให้แตกเป็นส่วน ๆ ราวกับเป็นเพียงถ้วยชามกระเบื้องได้ ! ในวินาทีนั้นเงาของความตายปกคลุมไปทุกประสาทสัมผัสของเขา ฟอล์กต้องการสังหารเขา ! และมันไม่ใช่แค่การตัดสินใจกระทำไปเพราะความเลือดร้อนทว่าฟอล์กต้องการสังหารเขาอยู่แล้วและมีการเตรียมการไว้ล่วงหน้าด้วย !
ริชาร์ดไม่เคยรู้สึกใกล้กับความตายมากเท่านี้มาก่อน การโจมตีจากบลัดแพร์รอทครั้งนั้นรวดเร็วและเงียบเชียบจนเขาไม่มีโอกาสได้รู้สึกหวาดกลัวด้วยซ้ำ แต่ครั้งนี้ทุกอย่างมันต่างออกไป พละกำลังที่น่าสะพรึงกลัวจากรองเท้าและเสียงลั่นดังเอี๊ยดของกะโหลกศีรษะของเขาภายใต้แรงกดนั้น… มันฉายวนอย่างชัดเจนในความคิดของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
มือของเขาเย็นมากและมันก็สั่นสะท้านไม่หยุด เขารู้สึกอ่อนแอราวกับจะหมดสติไปในไม่ช้าและจมลงในความมืดมิดที่ไม่สิ้นสุด อีกทั้งเขายังรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่นิ้วมือซึ่งเกิดจากการอัดกำปั้นเข้าใส่วอริเวอร์ระดับ 8 โดยไม่มีสกิลใด ๆ ข้อต่อต่างเริ่มบวมขึ้น และเหงื่อก็ผุดขึ้นทั่วตัวด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ริชาร์ดรู้สึกขอบคุณความเจ็บปวดเหล่านั้นเพราะมันทำให้เขาอยู่นิ่งได้ เหงื่อที่ชุ่มไปทั่วทำให้เสื้อผ้าติดอยู่กับผิวหนังของเขา ทว่าความไม่สบายตัวนั้นก็ทำให้เขายังมีสติชัดเจนอยู่ได้เช่นเดียวกัน
หากไม่ใช่เพราะอลิซและโกลิอัทปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันและช่วยเขา หากว่าเท้านั่นเหยียบลงมาจนสุดแรง… ตอนนี้เขาไม่สามารถหยุดให้ตัวเองคิดเรื่องนั้นซ้ำไปซ้ำมาได้เลย เขาต้องการควบคุมตัวเองแต่ก็ไม่สามารถกดเก็บความหวาดกลัวเอาไว้ในใจได้ เมื่อความเดือดดาลและอัปยศอดสูหายไป สิ่งที่หลงเหลืออยู่ก็คือความกลัวตาย มันเป็นความหวาดกลัวอย่างมากที่เขาเองก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะต้องมารู้สึกเช่นนี้ !
เขาเงยหน้าขึ้นและพยายามมองทุกอย่างในห้องโดยพยายามสังเกตมันอย่างตั้งใจเพื่อขับไล่ความกลัวออกไป พรีซิชั่นของเขาเพิ่มขึ้นผิดปกติและตัวเลขมากมายนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นในวิสัยทัศน์ของเขา แต่แม้ว่าจะพยายามมากแค่ไหนเขาก็ไม่สามารถทำความเข้าใจตัวเลขเหล่านั้นได้ราวกับว่าสติของเขาถูกผนึกไว้ในน้ำแข็ง จนกระทั่งเมื่อมองไปเห็นดาบหน้าตาแปลก ๆ หัวใจของเขาก็สะดุ้งขึ้นมาเล็กน้อย
ที่พักของเขามีพื้นที่ไม่ได้กว้างใหญ่นัก มีแค่โถงและห้อง 2 ห้องเท่านั้น ห้องนอนมีความยาวประมาณ 10 เมตร ดังนั้นดาบที่มีความยาวประมาณ 1 เมตรครึ่งนั้นจึงกินพื้นที่ในห้องไปค่อนข้างเยอะทีเดียว ดาบเล่มนั้นไม่มีปลอกและถูกห่อไว้อย่างหยาบ ๆ โดยหนังอสูร มันถูกวางเป็นแนวนอนอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือที่อยู่ข้างหน้าต่าง มุมของมันเผยขึ้นเล็กน้อยทำให้มองเห็นใบมีดคมกริบที่อยู่ภายใน
หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นและเขาก็กระโดดลงจากเตียงแล้วเดินไปยังโต๊ะเขียนหนังสือช้า ๆ ราวกับโดนอาคม เขาเอื้อมไปหยิบดาบเล่มนั้นขึ้นมาและคลี่หนังอสูรที่ห่อไว้ออกพร้อมกับหลับตาลงและหายใจเข้าออกลึก ๆ และช้า ๆ
นี่เป็นดาบโบราณเก่าแก่ที่มีรูปทรงไว้ใช้สำหรับแทงโดยเฉพาะ รอยตรงด้ามดาบเผยให้เห็นร่องรอยสึกหรอทว่าเขากลับสามารถจับมันได้อย่างสบายและถนัดมือ เพียงอึดใจเดียว จิตใจของเขาก็กระจายไปยังด้ามและคมดาบ สายเลือดซิลเวอร์มูนในตัวเขาเริ่มไหลไปทั่วร่างขณะซึมซับพลังของดวงจันทร์จากฟากฟ้าและส่งไปยังดาบเล่มนั้น และนั่นก็ส่งผลให้ดาบนั้นเกิดสีที่แปรผันกับพลังแห่งดวงจันทร์ มันเปลี่ยนสีอย่างผิดปกติไปตามสีของดวงจันทร์อย่างรวดเร็ว
ในตอนนั้นสติของเขาเริ่มคงที่แล้ว ดาบที่ถืออยู่ในมือทำให้เขารู้สึกเหมือนมีพลังงานบางอย่างให้ยึดเหนี่ยว เขายังไม่สามารถลืมเรื่องที่เกิดขึ้นใกล้วิหารได้ก็จริง แต่ตอนนี้ทุกอย่างแตกต่างออกไป เขาเริ่มจำลองภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหากเขามีดาบเล่มนี้อยู่ด้วยในระหว่างการต่อสู้
ดาบเล่มนี้จะช่วยให้เขาดึงพลังจากดวงจันทร์มาได้ตั้งแต่ตอนที่เขามีความรู้สึกถึงภัยอันตราย และหากเพิ่มพลังจากเออรัพชั่นของเขาเข้าไปด้วยนั้น พลังในการต่อสู้ของเขาก็จะเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่า ! เขาจะสามารถสังหารผู้คุ้มกันทั้งหมดและเหล่าขุนนางอายุน้อยพวกนั้นได้ในพริบตา พลังทำลายล้างของดวงจันทร์สีฟ้าจาง ๆ นี้จะทำให้ฟอล์กบาดเจ็บสาหัสได้
เขาเข้าใจถึงความหวาดกลัวและความสำคัญของพลังอย่างแท้จริงก็เมื่อเขาเข้าใกล้กับความตายและเงื้อมมือของมัจจุราชเท่านั้น หากไม่มีใครหยุดฟอล์กได้ก็ไม่สำคัญว่าอาเครอนจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร และตระกูลโจเซฟจะไม่มีทางเลือกนอกจากต้องประหารชีวิตฟอล์ก ? แต่ถึงอย่างไรเขาก็จะตายไปแล้วอยู่ดี และความตายไม่สามารถเติมเต็มความปรารถนาหรือความฝันใด ๆ ได้อีก
ความคิดมากมายของเขาเริ่มสงบลงและทุกอย่างที่เขามองเห็นก็เริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่และค่อย ๆ วางดาบเล่มนั้นลงก่อนนั่งลงริมหน้าต่างและเริ่มนึกถึงประสบการณ์ในวันนั้น เหตุการณ์น่าสงสัยหลายอย่างเริ่มเชื่อมโยงกันทีละนิด และเขามีความรู้สึกแปลก ๆ ว่ามีบางอย่างผิดปกติ ในตอนนั้นเองเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาแทบไม่รู้เรื่องราวอะไรเกี่ยวกับตระกูลของเขาและโลกภายนอกเลย เขาไม่มีทางเชื่อมโยงเรื่องทุกอย่างเข้าด้วยกันได้อย่างสมเหตุสมผล ในที่สุดความเหนื่อยล้าก็เริ่มครอบคลุมร่างกายและจิตใจที่อ่อนแอของเขาทำให้เขาทำอะไรไม่ได้นอกจากเอนตัวพิงโต๊ะและค่อย ๆ หลับไป…
เวลาผ่านไปพักใหญ่ ระฆังสีบรอนซ์อันเล็กก็ดังขึ้นในห้องของเขาด้วยเวทมนตร์ มันปลุกให้เขาตื่นจากความฝัน เขาขยี้ตาก่อนจะเห็นว่าเป็นเวลากลางคืนแล้ว ภายในห้องมืดลง มีเพียงพื้นที่บางส่วนเท่านั้นที่มีแสงจากดวงจันทร์ส่องลงมากระทบผ่านทางหน้าต่าง
ระฆังสีบรอนซ์นั้นยังคงส่งเสียงต่อไปเรื่อย ๆ และตามด้วยเสียงเคาะเบา ๆ ที่ประตู ริชาร์ดเปิดประตูให้กับหัวหน้าพ่อบ้านของเขา แต่แทนที่จะเป็นอาหารเย็น เขากลับจะถูกพาตัวไปยังชั้นใต้ดินของปราสาทเพื่อเข้าร่วมการสอบสวนภายในของตระกูลแทน
หลังจากนั้นไม่นาน ริชาร์ดที่ดูงุนงงก็เดินตามหัวหน้าพ่อบ้านไปยังชั้นใต้หอคอยหลักของปราสาท ทางเดินที่นี่แตกต่างจากความชื้นและความมืดมิดของปราสาท แต่กลับมีความแห้งและกลิ่นอับมาแทนที่ เมื่อเดินผ่านประตูขนาดใหญ่ที่มีทหารราบอาวุธครบมือ 2 คนยืนคุ้มกันอยู่ เขาก็ถูกพาตัวเข้าไปในห้องโถงใต้ดินที่มีขนาดใหญ่
ห้องโถงนี้กว้างหลายร้อยตารางเมตรและมีความสูง 2 ชั้น ผนังทำจากหินและมีธงสีแดงเข้มสองสามผืนแขวนประดับอยู่ด้านบน
ตรงส่วนท้ายของห้องโถงมีแท่นวางอยู่พร้อมด้วยเก้าอี้ 5 ตัว กาตอนนั่งอยู่ตรงกลางโดยมีโกลิอัทและอลิซนั่งเรียงกันอยู่ทางด้านขวาของเขา ส่วนทางด้านซ้ายมีเมจที่ดูมีอายุคนหนึ่ง ตามด้วยเมจวัยกลางคนที่มีท่าทางนิ่งเฉยซึ่งสวมชุดเกราะหนังสีดำดูน่าเกรงขามนั่งอยู่ ผนังสองข้างของห้องโถงมีสมาชิกอาเครอนคนอื่น ๆ นั่งกันอยู่เรียงราย เขาจำหน้าทายาทบางคนได้จากเมื่อวันที่จัดงานเลี้ยง
ตัวเขาถูกพาให้มุ่งหน้าไปด้านข้าง ในตอนนี้เขาจึงยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน ประตูไม้ขนาดใหญ่ 2 บานที่มีเหล็กฝังอยู่ข้างในปิดลงอย่างช้า ๆ พร้อมกับเสียงของระฆังที่ห่างไกลออกไป ทันใดนั้นประตูตรงมุมในห้องโถงก็ถูกเปิดออกและมีวอริเออร์ที่ดูหยาบกระด้างซึ่งไม่สวมเสื้อหิ้วตัววอร์เรนออกมาและพาเข้ามาข้างใน !