ในที่สุดกลุ่มคนที่ได้รับบาดเจ็บรวมถึงซุนจ้งหยางก็มีรถม้าให้นั่งแล้ว แม้จะมีรูใหญ่อยู่ที่ด้านหลังรถม้า และยังต้องจ่ายเงินถึงห้าหมื่นเพื่อซื้อรถม้าพังๆ คันนี้ แต่พวกเขาก็ไม่สนใจเรื่องเงิน
เพราะอย่างน้อยๆ มันก็ยังดีมากที่มีที่ให้พักพิงใและกำบังลมฝนได้ ในตอนเย็น หลังจากที่ได้รับรถม้ามา ฝนก็ตกหนักไม่ลืมหูลืมตา โม่เสี่ยวหยาจึงรู้สึกขอบคุณซุนจ้งหยางมาก
รถม้ารองรับผู้โดยสารได้เพียงห้าคนเท่านั้น ดังนั้นซุนจ้งหยางและคนอื่นๆ จึงให้โม่เสี่ยวหยารวมถึงเด็กสาวอีกสี่คนที่มาด้วยกันนั่งในรถม้า
หากไม่มีการเปรียบเทียบ ก็ย่อมจะไม่รู้ว่าใครดีใครชั่ว ดังนั้นหลังจากที่โม่เสี่ยวหยาและคนอื่นๆ ดูพฤติกรรมของหลี่ว์ซู่และซุนจ้งหยางและพิจารณาเปรียบเทียบกันแล้ว ก็รู้สึกว่าซุนจ้งหยางเป็นสุภาพบุรุษในขณะที่หลี่ว์ซู่เทียบไม่ได้เลย พวกเขาต่างกันราวกับสวรรค์และนรก
พวกเขาล้วนติดต่อและคุ้นเคยกันมานานกว่ายี่สิบปี ดังนั้นความดีของซุนจ้งหยางจึงค่อยๆ ถูกละเลยไป และยากที่พวกเขาจะพัฒนาความรู้สึกระหว่างชายและหญิงต่อกันได้
แต่ในคืนนี้ จู่ๆ เด็กสาวก็รู้สึกว่าซุนจ้งหยางเป็นคนดีจริงๆ ความรู้สึกบางอย่างที่มีต่อเขาค่อยๆ พัฒนา…
หลี่ว์ซู่มองดูพวกเขาอย่างมีความสุขโดยไม่สนใจว่าเขาจะถูกมองอย่างไร เขาถึงกับรู้สึกว่าหากมีใครสักคนในกลุ่มนั้นกลายมาเป็นคู่รักกันได้ พวกเขาก็ต้องขอบคุณตนเอง…
แม้จะรอดพ้นจากการลอบสังหารครั้งนี้มาได้ แต่หลี่ว์ซู่ก็ยังกังวลใจอยู่ เพราะเห็นได้ชัดว่าผู้ที่มาโจมตีในคราวนี้แค่ลองทดสอบดูเท่านั้น นอกจากนี้ การลอบสังหารที่เกิดขึ้นซึ่งตามมาทันทีหลังจากที่พวกทาสถูกสังหารหมู่ก็ทำให้หลี่ว์ซู่มั่นใจว่า อีกฝ่ายเตรียมการโจมตีเอาไว้มากกว่าหนึ่งครั้งอย่างแน่นอน
ซุนจ้งหยางและพวกของเขาต่างพยายามฟื้นฟูพลังอย่างเต็มที่ แต่ปัญหาคือพวกเขาได้รับบาดเจ็บไม่น้อย และต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามวันเพื่อฟื้นฟูตัวเอง
ดังนั้นในช่วงเวลาสามวันนี้ จึงเป็นเวลาที่อันตรายที่สุดของกองคาราวานทั้งหมด
แต่ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลใด โม่เสี่ยวหยาจึงรู้สึกอยู่เสมอว่า หลี่ว์ซู่ไม่ได้รู้สึกถึงภาวะวิกฤตใดๆ และยังคงฝึกฝนทักษะวิชากระบี่ของเขาอย่างไร้กังวล
และในวันที่สอง ระหว่างช่วงเวลาอาหารกลางวัน โม่เสี่ยวหยาก็กล่าวขึ้นทันทีว่า “นายไม่กังวลเลยหรือ ในเมื่อนายต้องคอยคุ้มกันพวกเราตามข้อตกลง นายจะทิ้งพวกเราไปไม่ได้ และหากนายทรยศพวกเราในครั้งนี้ ตระกูลของพวกเราทั้งสิบสองคนจะตามไล่ล่าสังหารนายไปจนสุดขอบโลกอย่างแน่นอน”
หลี่ว์ซู่เลิกคิ้วแล้วกล่าวว่า “แล้วใครว่าฉันไม่ได้กำลังคุ้มกันพวกเธอล่ะ อย่ามาทำเหมือนฉันเป็นคนเลวไปหน่อยเลย”
โม่เสี่ยวหยาคิดกับตัวเองว่าโดยปกติแล้ว หลี่ว์ซู่ผู้นี้ก็ไว้ใจได้ทีเดียว และเธอก็ไม่จำเป็นต้องสงสัยหรือกังวลเรื่องความตั้งใจของเขา
อันที่จริง เธออยากทดสอบว่าหลี่ว์ซู่เป็นสายลับมาจากภูเขาด้านหลังของกระท่อมกระบี่หรือไม่ แต่ทันทีที่เธอพยายามทำเช่นนั้น หลี่ว์ซู่ก็ถามเธอว่าด้านหลังกระท่อมกระบี่มีภูเขาหรือไม่?
ในขณะที่บรรดาเด็กๆ ในเมืองหลวงกำลังพูดคุยกันเองนั้น โมเสี่ยวหยาก็กล่าวออกมาเงียบๆ ว่า “ฉันไม่คิดว่าเขาเป็นสายลับที่มาจากภูเขาด้านหลังของกระท่อมกระบี่ ฉันไม่คิดว่าคนจากภูเขาด้านหลังของกระท่อมกระบี่จะละโมบเงินมากขนาดนี้ได้ พวกเธอเคยเห็นคนที่งกเงินมากเช่นนี้มาจากกระท่อมกระบี่ไหมล่ะ? กระท่อมกระบี่ไม่ได้ขาดเงินนะ!”
กระท่อมกระบี่ไม่มีกิจการ และแม้ว่าจะมีค่าธรรมเนียมในการรับผู้สืบทอดสูง แต่ก็รับเพียงสี่คนต่อปี ทำให้กระท่อมกระบี่จึงมีรายได้จำกัด แต่ถึงกระนั้น ซุนจ้งหยางและพวกของเขาก็ไม่กล้าดูถูกความสามารถของกระท่อมกระบี่
อีกทางหนึ่ง ประการแรก กระท่อมกระบี่ก็มีรายได้ร้อยละยี่สิบจากภาษีในเมืองหลวง ส่วนรายได้จากภาษีร้อยละแปดสิบจะเป็นของราชาแห่งทวยเทพ และประการที่สอง กระท่อมกระบี่จะได้รับข้าวของจำนวนมากมายมหาศาลที่บรรดาศิษย์ของกระท่อมกระบี่ทั่วทั้งจักรวาลหลี่ว์มอบให้
มีคนในเมืองหลวงเคยกล่าวไว้ว่า กระท่อมกระบี่เป็นหนึ่งในสถานที่ที่หายากไม่กี่แห่งในโลกนี้ที่ไม่เคยต้องกังวลเรื่องเงินเพราะไม่เคยขาดเงิน
ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จู่ๆ จะมีคนโลภเงินมาจากสถานที่ที่ไม่เคยขาดเงิน!
“เป็นไปได้ไหมว่าผู้ฝึกฝนจากภูเขาด้านหลังของกระท่อมกระบี่จะไม่ได้รับเงินช่วยเหลือและต้องหารายได้ทั้งหมดด้วยตัวเอง?” มีใครบางคนเอ่ยถามขึ้นมาอย่างสงสัย
“หยุดหาเหตุผลแก้ตัวให้เขาได้แล้ว” โมเสี่ยวหยากล่าวจริงจัง “เขาก็แค่ยากจนเท่านั้น”
“นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดถึงเรื่องนี้” ซุนจ้งหยางกล่าวขึ้นอย่างกะทันหัน “เสี่ยวหยา ยอดฝีมือจากตระกูลของเธอจะมาถึงเมื่อไหร่กันล่ะ?”
“ดูจากระยะทางแล้ว ฉันคิดว่าคงต้องใช้เวลาบินจากเมืองหลวงถึงที่นี่สักสองวัน” โม่ เสี่ยวหยากล่าวตอบ “ดังนั้นในช่วงระหว่างสองวันนี้ พวกเราต้องหาทางเอาตัวรอดเองให้ได้”
“ฉันไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มคนนั้นจะต้านไหวหรือเปล่า?” ซุนจ้งหยางกล่าวพลางถอนหายใจ “ฉันเกรงว่ามันจะไม่ได้ผล ไม่ว่าเขาจะเก่งแค่ไหน ก็เป็นแค่ยอดฝีมือระดับสอง สุดท้ายก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของยอดฝีมือระดับหนึ่ง”
เวลานี้ ซุนจ้งหยางฝากความหวังกับหลี่ว์ซู่เอาไว้สูง เพราะเขาเดาว่าตัวตนของหลี่ว์ซู่จะเกี่ยวข้องกับกระท่อมกระบี่ แต่หากผู้ที่ต้องการสังหารพวกเขาส่งยอดฝีมือระดับหนึ่งคนอื่นมาอีกครั้ง ก็เกรงว่าจะไม่รอดแล้ว
ตอนนี้พวกเขาได้แต่หวังว่าอีกฝ่ายจะไม่กล้าส่งยอดฝีมือระดับหนึ่งในสังกัดหรือนอกสังกัดมา
ยอดฝีมือระดับหนึ่งของแต่ละตระกูลล้วนมีชื่อแซ่ และหากพวกเขาเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยก็จะถูกตระกูลอื่นสังเกตเห็นได้ เพราะในท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาแต่ละฝ่ายต่างก็คอยระวังกันและกัน เมื่อพบว่ามีใครคิดทำร้ายลูกหลานของอีกตระกูลหนึ่ง ทั้งสองตระกูลก็จะออกโรงเข้าห้ำหั่นกันเอง
บรรดาขุนนางในราชสำนักมักชอบลอบกระทำการสิ่งเหล่านี้ในที่ลับ คล้ายกับมหาสมุทรที่ ไม่ว่าจะมีคลื่นใต้น้ำเชี่ยวกรากรุนแรงเพียงใด แต่ผิวน้ำทะเลก็ยังคงดูเงียบสงบอยู่ตลอดเวลา
ทุกคนล้วนมีแผนสำรองของพวกเขาเอง
ในเวลานี้ จู่ๆ หัวหน้ากองคาราวานการค้าก็กล่าวขึ้นมาทันทีว่า “กระผมคิดว่าเขาอาจจะเป็นลูกหลานผู้สืบทอดของกระท่อมกระบี่”
“โอ? เพราะเหตุใดกันล่ะ?” ซุนจ้งหยางเอ่ยถามอย่างสงสัย
ซ่งป๋อจึงกล่าวถึงเรื่องเกี่ยวกับการตายของนักฆ่าที่ไม่อาจอธิบายได้เมื่อคืนนี้ “กระผมยังสงสัยว่าจะมียอดฝีมือคอยแอบปกป้องพวกเขาอยู่ลับๆ และบางทีอาจจะมากกว่าหนึ่งคนด้วยซ้ำ ดังนั้นเวลานี้กระผมจึงคิดว่า พวกเราอาจจะไม่ได้ตกอยู่ในอันตรายอย่างที่คาดคิดเอาไว้ พวกท่านไม่สังเกตหรือว่า เจ้าเด็กนั่นดูใจเย็นและสงบนิ่งอย่างผิดปกติ!”
ซุนจ้งหยางครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วกล่าวว่า “ดูจากเรื่องนี้แล้ว เขาก็ยังมีเหตุผลในการเก็บเงิน แต่พวกเราก็ยังไม่มีใครสังเกตเห็นว่ามีคนคอยแอบปกป้องเขามาก่อน เป็นไปได้ไหมว่าคนผู้นั้นมีพลังมากกว่าเรา ดังนั้นพวกเราจึงไม่เห็นพวกเขา”
“ก็เป็นไปได้” ซ่งป๋อกล่าว
จากนั้นกลุ่มของพวกเขาก็พูดคุยกันถึงเรื่องต่างๆ ในเงามืดข้างๆ รถม้า และทันใดนั้น ซุนจ้งหยางก็ฉุกคิดถึงบางอย่างขึ้นมาได้ก่อนจะกล่าวว่า “เดี๋ยวก่อน แล้วเล่ออี๋หลี่ว์อยู่ที่ไหนล่ะ?”
พวกเขาทุกคนต่างมองไปรอบๆ และไม่เห็นร่างของหลี่ว์ซู่จริงๆ ก่อนหน้านี้เขายังอยู่ที่ข้างๆ กองไฟไม่ใช่หรือ?
แล้วจากนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังมาจากเหนือศีรษะของพวกเขา “ฉันอยู่นี่ อยู่ที่นี่”
ซุนจ้งหยางและพวกของเขาต่างเงยหน้าขึ้นมองทันที และแทบจะหัวใจวายเมื่อเห็นหลี่ว์ซู่อยู่บนหลังคารถม้า! ตอนนี้พวกเขาแต่ละคนล้วนได้รับบาดเจ็บสาหัส และไม่มีใครทันสังเกตเมื่อมีคนเข้ามาใกล้พวกเขาด้วยซ้ำ!
หลี่ว์ซู่นั่งยิ้มอยู่บนหลังคารถม้าและมองดูพวกเขาที่เหลืออย่างมีความสุข ว่ากันตามตรง เมื่อซุนจ้งหยางถามว่าเล่ออี๋หลี่ว์อยู่ที่ไหน เขาก็แทบจะไม่มีปฏิกิริยาใดๆ และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าซุนจ้งหยางกำลังเรียกเขา
“แล้วทำไมนายถึงไปอยู่บนหลังคารถม้าล่ะ?” โม่เสี่ยวหยามีสีหน้าเคร่งขรึม เธออยากจะกล่าวหาว่าหลี่ว์ซู่กำลังแอบฟังพวกเธอ แต่ก็ไม่ได้พูดตรงๆ เพราะพวกเธอยังต้องพึ่งพาหลี่ว์ซู่ให้ช่วยปกป้องตลอดระหว่างสองวันนี้
หลี่ว์ซู่ยิ้มและกล่าวว่า “ฉันกำลังฟังสิ่งที่พวกเธอพูดคุยกันอยู่”
ทันใดนั้นใบหน้าของโม่เสี่ยวหยาก็ยิ่งมืดทะมึนขึ้นมาทันที ทำไมเขาถึงแอบฟังอย่างโจ่งแจ้งแบบนี้? และทุกคนก็เงยหน้าขึ้นมองอีกครั้ง แล้วจึงได้เห็นหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ และสวีมู่จวินกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนหลังคารถม้าอีกด้วยเช่นกัน…
จู่ๆ ซุนจ้งหยางก็รู้สึกเหมือนถูกทิ่มแทงที่หัวใจราวกับอกหัก ทำไมสวีมู่จวินซึ่งเป็นสตรีเพียบพร้อมจึงได้รับอิทธิพลแย่ๆ เช่นนี้จากเล่ออี๋หลี่ว์ไปด้วยเล่า!
เมื่อรถม้าเข้ามาใกล้พวกเขามากขึ้นเรื่อยๆ หลี่ว์ซู่ก็ยังไม่เคลื่อนไหวใดๆ และซ่งป๋อ หัวหน้ากองคาราวานก็ดีใจแล้ววิ่งไปหยุดรถม้าทันที “มีใครอยู่ในรถม้าหรือเปล่า กองคาราวานของกระผมยินดีจะขอซื้อรถม้าของท่านในราคาสูง กระผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้พวกท่านขุ่นเคือง แต่ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะมีบางอย่างเกิดขึ้นกับพวกเรา และหวังว่าท่านจะเข้าใจ ช่วยบอกกระผมด้วยว่าต้องใช้เงินเท่าใดและมีเงื่อนไขใดบ้าง กองคาราวาของกระผมจะพยายามทำอย่างสุดความสามารถ”
ซ่งป๋อกล่าวอย่างสุภาพมากโดยไม่ได้อาศัยพลังของตนรังแกคนอื่น และไม่คิดบีบบังคับคนอื่นให้ขายรถม้าของพวกเขาเช่นกัน
ความจริงแล้ว สิ่งแรกที่พ่อค้าเดินทางเหล่านี้เรียนรู้ก็คืออย่าทำร้ายผู้อื่นและยอมรับความผิดพลาด ดังนั้นก่อนที่จะเข้าใจสถานการณ์ พวกเขาจะต้องรักษาความสุภาพเอาไว้ก่อน ซึ่งทั้งหมดนี้มักจะนำสิ่งดีๆ เข้ามามากกว่าอันตรายเสมอ
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่ซ่งป๋อกล่าวจบ เขาก็รู้สึกได้ถึงพลังมหาศาลที่มาจากทางด้านหลังเมื่อมีคนดึงเขากลับไปด้วยการดึงเสื้อผ้า ซ่งป๋อรีบหันไปและเห็นเพียงว่าผู้ที่กระทำการนั้นคือ หลี่ว์ซู่ แต่เขาไม่เข้าใจว่าทำไมหลี่ว์ซู่ถึงทำเช่นนี้
และในเวลาต่อมา ก็มีกระสุนกรวยแหลมถูกยิงออกมาจากด้านใน และม่านประตูของรถม้าก็ฉีกขาดออกป็นชิ้นๆ!
ซุนจ้งหยางและพวกของเขาหันไปมองในทันที กระสุนกรวยแหลมนี้จะไม่สามารถทำอันตรายใดๆ ให้แก่พวกเขาได้หากพวกเขายังอยู่ในสภาวะสูงสุด แต่ยามนี้มันต่างออกไป เพราะซุนจ้งหยางและพวกของเขาไร้พลังที่จะต่อสู้!
โชคดีที่กระสุนกรวยแหลมนั้นยังคงช้ากว่าหลี่ว์ซู่หนึ่งก้าว ซ่งป๋อมองดูกระสุนกรวยที่แหลมคมผ่านไปข้างหน้าเขาแล้วคิดว่า หากหลี่ว์ซู่ช้าลงกว่านี้เพียงเล็กน้อย ศีรษะของเขาก็คงจะกลายเป็นแตงโมเน่าและสมองระเบิดเละไปเสียแล้ว !
แต่หลี่ว์ซู่รู้ได้อย่างไรกันว่าคนในรถม้านั้นมีเจตนาไม่ดี? และใครเป็นคนส่งรถม้าคันนี้มาเล่า?
และก่อนที่คนในรถม้าจะออกมา คนขับรถม้าก็ดึงกริชเล็กๆ ออกมาจากแขนเสื้อแล้วแทงไปที่หลี่ว์ซู่ แล้วทันใดนั้นหลี่ว์ซู่ก็เหวี่ยงร่างของซ่งป๋อไปทางด้านหลังของเขาด้วยมือข้างเดียวของเขา และคนขับรถม้าก็มองดูหลี่ว์ซู่ทันทีอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดีในขณะที่หลี่ว์ซู่คว้ากระสุนเจาะเกราะเอาไว้ด้วยมือเปล่า แล้วขว้างมันคืนกลับใส่คนขับรถม้าด้วยมือเปล่าของเขาราวกับดาวตก
คนขับรถม้ารู้สึกสยดสยองราวกับว่าร่างกายทั้งร่างของเขาได้แตกเป็นเสี่ยงๆ และร่างกายของเขาก็ปลิวกระเด็นออกไปทางด้านหลัง กระสุนเจาะเกราะหนักไม่ได้เจาะร่างกายของเขาโดยตรง แต่มันกระแทกคนขับรถม้าจนกระเด็นไปปะทะกับรถม้าแทน
ในเวลาเดียวกันนั้นหลี่ว์ซู่ก็ดีดนิ้วและพลังกระบี่ก็ปรากฏขึ้นระหว่างนิ้วของเขาราวกับว่ามีบางสิ่งในอากาศถูกตัดขาดจากกัน
เวลานี้หลี่ว์ซู่อยู่เหนือขอบเขตที่จะต้องใช้กระบี่ต่อสู้แล้ว เขาสามารถใช้ทุกสิ่งเป็นกระบี่ได้ และพลังกระบี่ของเขาเหนือพลังกระบี่นับพัน
กระบี่เป็นวัตถุภายนอกซึ่งมีพลังกระบี่เป็นรากฐาน
คนในรถไม่กล้าที่จะสัมผัสกับพลังกระบี่โดยตรง เขาเพียงหลบหลีกจากแรงกระแทกระหว่างคนขับรถม้าและกระสุนกรวยเจาะเกราะแล้ววิ่งหนีไป เขาทำลายผนังด้านหลังของรถม้าจนพัง และจากนั้นก็วิ่งหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต เมื่อดูจากความเร็วของเขาแล้ว ก็ดูเหมือนว่าเขาน่าจะเป็นยอดฝีมือระดับสอง
แต่แม้จะเป็นยอดฝีมือระดับสอง ก็ไร้ประโยชน์ ซุนจ้งหยางและพวกของเขาตระหนักว่ายอดฝีมือระดับนี้ได้ตัดสินใจในเสี้ยววินาทีว่าเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลี่ว์ซู่ ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะหลบหนีไปในทันที!
บัดนี้พวกเขาล้วนมองไปที่หลี่ว์ซู่แล้วคิดว่า นี่คือผู้บำเพ็ญน้อยที่พวกเขาดูถูกจริงๆ หรือไม่?
ซุนจ้งหยางและพวกของเขาต่างพากันมองหน้ากันและกันอย่างเงียบๆ แม้แต่อัจฉริยะระดับสองในหมู่พวกเขาที่นี่ก็อาจจะไม่สามารถเอาชนะเล่ออี๋หลี่ว์ผู้นี้ได้! พลังกระบี่นี้มีพลังรุนแรงที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ยิ่งราวกับเป็นพลังกระบี่ที่ไร้เทียมทาน!
เขาสามารถเรียกพลังกระบี่ออกมาอย่างง่ายดายได้ตามต้องการเช่นนี้ นี่คือระดับสูงสุด! แล้วเด็กคนนี้เรียนรู้มาจากที่ใดและเขาเป็นยอดฝีมือแบบใดกัน?
“เคยได้ยินจากผู้อาวุโสในตระกูลกล่าวถึงบ้างหรือไม่” ซุนจ้งหยางกล่าวอย่างสงบนิ่ง “ปรมาจารย์ในกระท่อมกระบี่จะสามารถเปลี่ยนทุกสรรพสิ่งให้เป็นกระบี่ได้ และเขาจะสามารถดึงพลังกระบี่และกระบี่แสงได้ตามต้องการด้วยมือของเขาเองอย่างง่ายดาย?”
“เดี๋ยวนะ นายกำลังจะบอกว่า เขามาจากกระท่อมกระบี่หรือ? แต่ทำไมกระท่อมกระบี่ถึงมีศิษย์ที่เยาว์วัยได้ถึงขนาดนี้?” มีคนถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ
“รู้แค่ว่า กระท่อมกระบี่จะเลือกคนจากกองทัพทุกปี แต่ลืมไปว่า กระท่อมกระบี่นั้นมีภูเขาอยู่ด้านหลังด้วย!” ซุนจ้งหยางกล่าวอย่างสงบ
“เดี๋ยวก่อน ภูเขาด้านหลังนั่นมีอยู่ในตำนานเท่านั้นนี่” โมเสี่ยวหยาขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “กระท่อมกระบี่อยู่ในเมืองหลวง และไม่มีภูเขาใดอยู่ในเมืองหลวง! แล้วมีใครเคยเห็นภูเขาด้านหลังในตำนานนั้นบ้างล่ะ?”
“มันมีอยู่” ซุนจ้งหยางกล่าวอย่างหดหู่ “ท่านพ่อของฉันบอกว่า ราชาแห่งทวยเทพในโลกนี้คือฟ้า เขาเป็นเสมือนเทพ เขาเป็นตัวแทนของผู้คนในโลกนี้ แต่ย้อนกลับไป เมื่อเขาพิชิตโลก เขายังไม่ได้ทรงพลังมากนัก และต้องขอบคุณความช่วยเหลือของกระท่อมกระบี่”
“ทุกคนรู้เรื่องนี้หรือ?” โมเสี่ยวหยาถามอย่างสับสน “แล้วเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับภูเขาด้านหลังล่ะ?”
“พวกนายอาจจะไม่รู้หรอกว่าจริงๆ แล้ว กระท่อมกระบี่มีภูเขาด้านหลัง และคนที่ออกมาจากภูเขาด้านหลังก็คือคนที่อยู่บนโลกใบนี้เพื่อราชาแห่งทวยเทพ จริงๆ ทหารมังกรจักรพรรดิมักจะอยู่ในหมู่รัฐบาลและประชาชนเสมอ แต่ผู้คนจากภูเขาด้านหลังนั้นมีอยู่ทั่วโลก พวกเขาไม่ได้เข้าไปโดยผ่านการสอบประเมิน แต่พวกเขาจะถูกพามาเมื่อถือกำเนิดขึ้น เมื่อยามที่ฉันเพิ่งเกิด ท่านพ่อของฉันต้องการส่งฉันไปที่ภูเขาด้านหลัง แต่ฉันถูกปฏิเสธ”
“เคยเห็นภูเขาด้านหลังว่าเป็นอย่างไรบ้างไหม?” มีคนถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
“ไม่ ฉันไม่เคยเห็นมัน แต่เคยได้ยินว่ามีคนมาจากภูเขาด้านหลัง ไม่แน่ว่าพวกนายอาจจะเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนด้วยเช่นกัน” ซุนจ้งหยางกล่าว “หลงเชวี่ย”
โม่เสี่ยวหยาตกตะลึง “นายหมายถึง หลงเชวี่ยหรือ?”
“ใช่” ซุนจ้งหยางถอนหายใจ “ยังจำการต่อสู้เมื่อสามปีที่แล้วได้ไหม? มีบางคนบอกว่าพ่อค้าชื่อหลงเชวี่ยเอาชนะผู้อุปถัมภ์ที่ทรงพลังของจอมทัพสวรรค์อุดร ในเวลานั้น พวกนายไม่เชื่อ แต่ฉันเชื่อ”
“แล้วนายหมายความว่า เล่ออี๋หลี่ว์คนนี้ก็เป็นคนที่มาจากภูเขาด้านหลังด้วยหรือ?” โม่เสี่ยวหยางงงวยเล็กน้อย “มีคนละโมบเช่นนี้อยู่ที่ภูเขาด้านหลังของกระท่อมกระบี่ด้วยหรือ?”
“แม้ว่าฉันจะยังคิดไม่ออกเหมือนกัน” ซุนจ้งหยางถอนหายใจด้วยอารมณ์ “แต่เธอคิดดูสิว่าทักษะกระบี่ระดับนี้จะมาจากที่ไหนได้อีก ยกเว้นที่นั่น? ฉันขอถามเธอ คิดว่าเขาอายุไม่เกินสิบแปดปี แต่มีใครในหมู่พวกเราบ้างที่มีพละกำลังเช่นนี้เมื่ออายุสิบแปดปี? แล้วมีใครที่สามารถฆ่าคนอย่างนิ่งสงบได้อย่างเขา? ฉันเพิ่งฆ่าคนเป็นครั้งแรกเมื่ออายุสิบเก้าปี ฉันยังอาเจียนไปถึงสามวันสามคืนติดต่อกัน!”
โม่เสี่ยวหยาคิดไม่ออก จู่ๆ หนุ่มน้อยที่เธอรังเกียจเหยียดหยามจะกลับกลายเป็นคนที่อาจมาจากภูเขาด้านหลังกระท่อมกระบี่ได้อย่างไรกัน?
หรือแม้หลี่ว์ซู่จะไม่ใช่คนที่มาจากภูเขาด้านหลังของกระท่อมกระบี่ เธอก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมหลี่ว์ซู่ถึงแข็งแกร่งอย่างที่ซุนจ้งหยางกล่าว พลังกระบี่ของหลี่ว์ซู่นั้นทรงพลังรุนแรงมาก แม้กระทั่งว่ายอดฝีมือระดับหนึ่งก็อาจบาดเจ็บได้ หากพวกเขาไม่ระมัดระวัง
ในบรรดายอดฝีมือระดับสอง โม่เสี่ยวหยายังไม่เคยเห็นคนใดที่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ของหลี่ว์ซู่ได้
ชั่วเวลานั้นหลี่ว์ซู่ก็ไล่ตามยอดฝีมือระดับสองที่กำลังหลบหนีเพื่อเอาชีวิตรอดได้ทัน เขาเรียกพลังกระบี่จากปลายนิ้วของเขาและพุ่งพลังกระบี่เข้าไปที่แผ่นหลังแล้วพุ่งเจาะไปที่หัวใจของคู่ต่อสู้โดยตรงจนทำให้คนผู้นั้นตายอย่างฉับพลันทันที
ขณะที่ซุนจ้งหยางและพวกของเขากำลังครุ่นคิดอย่างเงียบๆ พวกเขาก็ได้ยินหลี่ว์ซู่แสร้งร้องอุทานราวกับว่าเขาประหลาดใจ “โอ๊ะ? แม้ด้านหลังของรถม้าคันนี้จะแตก แต่เราก็สามารถซ่อมได้ พวกคุณยังต้องการซื้อมันหรือไม่?”
ซ่งป๋อรู้สึกอนาถใจ “เห็นได้ชัดว่านี่เป็นรถม้าที่ไร้เจ้าของแล้ว”
ทันใดนั้นหลี่ว์ซู่จึงหยิบกระสุนกรวยเจาะเกราะขึ้นมาจากบนพื้นแล้วชี้ไปที่ซ่งป๋อพลางกล่าวว่า “ไหนลองพูดใหม่ซิ”
“มันเป็นรถม้าของนาย ของนาย ของนาย… “
“ได้แต้มอารมณ์จากซ่งป๋อ+999!”
หัวหน้ากองคาราวานรู้สึกว่าถูกหลี่ว์ซู่ข่มขู่คุกคามอย่างชัดเจน เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “ให้ฉันจัดการตกลงกับนาย นายเข้าร่วมเดินทางกับกองคาราวานโดยจ่ายเงินแล้วก็หวังว่าเราจะพานายไปที่เมืองหลวงได้ ฉันพูดถูกไหมล่ะ?”
“ใช่” หลี่ว์ซู่พยักหน้า
“ตอนนี้ไม่เพียงแค่ฉันจะไม่ต้องการเงินของนาย แต่ฉันยังต้องให้เงินนายเพื่อให้นายปกป้องฉันด้วย” ซ่งป๋อ หัวหน้ากองคาราวานกล่าว
หลี่ว์ซู่โบกมือแล้วกล่าวว่า “อย่าบอกนะว่านายไม่ต้องการการปกป้องของฉัน?”
ซ่งป๋อพูดไม่ออก “ฉันต้องการ”
“งั้นก็ห้าแสน” หลี่ว์ซู่กล่าว
“ได้แต้มอารมณ์จากซ่งป๋อ +666!”
ไม่ว่าซ่งป๋อจะคิดอย่างไร หลี่ว์ซู่ก็รู้สึกว่าเขาเป็นคนจิตใจบริสุทธิ์ เป็นโจรเพียงวันเดียวก็ต้องกลายเป็นโจรไปตลอดชีวิต เขายังไม่เคยลืมปณิธานเดิมและยังคงรักษาศีลธรรมของเขาเอาไว้เสมอ
ในขณะนี้ เสียงการต่อสู้ที่อยู่ห่างออกไปในระยะไกลนั้นค่อยๆ ลดลงแล้ว และซ่งป๋อก็มองไปยังด้านทิศทางของการต่อสู้นั้นอย่างกระตือรือร้น จนกระทั่งในที่สุดซุนจ้งหยางและพวกของเขาก็กลับมาที่กองคาราวานการค้าในยามรุ่งสาง
ในการต่อสู้ครั้งนี้ ซุนจ้งหยางและพวกของเขาชนะ แต่สถานการณ์นั้นก็ไม่ใช่ว่าดีนัก หลี่ว์ซู่พบว่าพวกเขาสิบสองคนได้รับบาดเจ็บสาหัสโดยเฉพาะหนึ่งในนั้นก็คือซุนจ้งหยาง
หลี่ว์ซู่ผ่านประสบการณ์การต่อสู้มามากมายหลายร้อยครั้งแล้ว ดังนั้นเพียงแค่ดูอาการบาดเจ็บของ ซุนจ้งหยาง เขาก็สามารถเข้าใจได้ว่าซุนจ้งหยางได้เผชิญกับคู่ต่อสู้ที่มีพลังแรงกดดันรุนแรงมากที่สุดในการต่อสู้ครั้งนี้
แต่ซุนจ้งหยางเป็นยอดฝีมือระดับหนึ่งและเขายังคงมีสติอยู่ในขณะที่มีอัจฉริยะของเมืองหลวงอีกคนหนึ่งหมดสติไปโดยมีสหายแบกเขาเอาไว้บนหลัง
ซุนจ้งหยางเหลือบมองหลี่ว์ซู่และคนอื่นๆ อย่างหมดแรงก่อนจะกล่าวกับซ่งป๋อว่า “พวกเราจะเริ่มออกเดินทางทันที รีบไปเตรียมรถม้าให้พวกเรา พวกเราต้องรีบรักษาอาการบาดเจ็บ”
สิ่งที่น่ากังวลที่สุดของซ่งป๋อได้เกิดขึ้นแล้ว แน่นอนว่านี่คือสิ่งที่หลี่ว์ซู่กังวลเช่นกัน แม้ซุนจ้งหยางและพวกของเขาจะสามารถสังหารทาสกลุ่มนี้ได้ แต่พวกเขาก็ต้องเสียหายอย่างหนักเช่นกัน
“น่ากลัวว่าจะยากสำหรับพวกเขาที่จะฟื้นคืนพลังการต่อสู้ขึ้นมาได้ในระยะเวลาอันสั้น” หลี่ว์ซู่กระซิบกับหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ “เมื่อยอดฝีมือระดับหนึ่งบินไม่ได้ นั่นก็แสดงว่าพวกเขาได้สูญเสียพละกำลังจนหมดสิ้นแล้ว และหากมีใครซุ่มโจมตีพวกเขาก็น่ากลัวว่าจะไม่มีใครแม้แต่สักคนเดียวที่จะสามารถตอบโต้ได้ พวกเขายังเด็กและดื้อรั้นมั่นใจมากเกินไป”
เห็นได้ชัดว่า ซุนจ้งหยางและพวกของเขามีอายุมากกว่าหลี่ว์ซู่ แต่กลับดูเป็นเรื่องปกติเมื่อหลี่ว์ซู่กล่าวว่าซุนจ้งหยางและพวกของเขายังเด็กและดื้อรั้นมั่นใจมากเกินไป และซ่งป๋อก็ถามหลี่ว์ซู่อย่างไม่ทันรู้ตัวว่า “แล้วเราจะทำอย่างไรกันต่อไป?”
เมื่อกล่าวจบ ทันใดนั้นซ่งป๋อก็อยากจะตบตัวเองนัก เขากำลังถามหลี่ว์ซู่ว่าควรจะทำอย่างไร ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนี่ที่เขาเริ่มรู้สึกว่าต้องพึ่งพาหลี่ว์ซู่…
และจากนั้นซ่งป๋อก็เห็นหลี่ว์ซู่มองเขาคล้ายกับกำลังหัวเราะเยาะเขาแล้วกล่าวว่า “เร็วเข้า รีบคุยเรื่องสถานการณ์กันก่อน”
ทุกคนล้วนกังวลใจอย่างหนัก เดิมทีซุนจ้งหยางและพวกของเขาเป็นดั่งเครื่องรางป้องกันในกองคาราวาน แต่กลับได้รับภัยพิบัติที่คาดไม่ถึง บัดนี้ทุกคนล้วนอยู่ในเรือลำเดียวกันแล้ว หลี่ว์ซู่สงสัยว่าจะมีคนเฝ้าดูการต่อสู้เมื่อคืนนี้ และมันคงเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาหากคิดจะหลบหนีในเวลานี้
แต่หลี่ว์ซู่ไม่ได้ตื่นตระหนกแต่อย่างใดเลย และเขายังอยากจะรู้ด้วยซ้ำว่าศัตรูมีเงินหรือไม่
การฝึกฝนกระบี่นั้นแตกต่างจากการฝึกแผนภูมิดารา แผนภูมิดารานั้นเพียงแค่ต้องการได้รับแต้มอารมณ์จากเขาทีละขั้น แต่การฝึกฝนกระบี่นั้นแตกต่างกัน และนี่เป็นครั้งแรกที่หลี่ว์ซู่เข้าใจความหมายของคำว่า ‘ค่าวิกฤต’ หลังจากที่ฝึกฝนอย่างช้าๆ จนกระทั่งเขาไปถึงยอดฝีมือระดับสองขั้นสูงสุด
ในอดีตนั้น เขาเคยได้ยินหลี่เสียนอีพูดเสมอว่าสิ่งที่อยู่เหนือระดับสองนั้นขึ้นอยู่กับความเข้าใจของตัวเอง ระดับหนึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่จะมีปฏิสัมพันธ์อย่างเป็นทางการกับฟ้าดิน นอกจากนี้ยังเป็นจุดเริ่มต้นที่ผู้คนเริ่มแสวงหาเต๋าอย่างเป็นทางการ
และหลี่ว์ซู่ยังไม่เคยไปถึงขอบเขตระดับหนึ่งจริงๆ เวลานี้เขาเป็นเหมือนกับเนี่ยถิงเมื่อยามที่ตีบตันอยู่ที่ระดับหนึ่งขั้นสูงสุด ย้อนกลับไปในเวลานั้น เนี่ยถิงได้เริ่มไปที่เทือกเขาคุนหลุนเพื่อรับข้อมูลใหม่ผ่านการต่อสู้สังหารมังกร และจากจุดนั้นก็สามารถฝ่าทะลวงด่านได้ในคราวเดียว
แต่มังกรก็ไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่คิด หรืออาจกล่าวได้อีกอย่างว่า เนี่ยถิงแข็งแกร่งเกินกว่าที่เขาคิด ดังนั้นเนี่ยถิงจึงไม่ได้รับสิ่งที่เขาต้องการตามหาและไม่สามารถพิสูจน์ยืนยันได้
และตอนนี้หลี่ว์ซู่ก็อยู่ในช่วงเวลาดังกล่าว การฝึกฝนกระบี่ของเขายังต้องได้รับการยืนยัน
ดังนั้นเมื่อซุนจ้งหยางบอกว่าจะจ่ายให้เขามากขึ้น ซุนจ้งหยางคิดว่าหลี่ว์ซู่นั้นช่างน่ารังเกียจ แต่ความจริงแล้ว หลี่ว์ซู่จะไม่ทำให้เขาต้องสูญเสียเลย
และสิ่งที่เขาต้องทำในเวลานี้ก็คือการปรับตัวเองให้อยู่ในสภาวะที่ดีที่สุดก่อนที่ศัตรูจะมาถึงอีกครั้ง
จากนั้นซุนจ้งหยางและพวกของเขาก็พบว่ารถม้าในกองคาราวานถูกทำลายไปในช่วงที่มีห่าธนูรอบแรก และส่วนที่เหลือก็เป็นเกวียนที่เปิดหลังคาสำหรับใช้ในการขนส่งสินค้า…
และมีรถม้าเหลืออยู่เพียงคันเดียวในกองคาราวานที่สามารถใช้บังลมและฝนได้ซึ่งเป็นของหลี่ว์ซู่…
ซุนจ้งหยางและพวกของเขากำลังนั่งอยู่บนเกวียนที่ง่อนแง่นโคลงเคลง และทันใดนั้นพวกเขาก็นึกถึงภาพเหตุการณ์ที่หลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ขับรถม้าและวิ่งไปรอบๆ แล้วพวกเขาก็หัวเสียเล็กน้อย ในเวลานั้น ทุกคนกำลังคิดถึงเรื่องการต่อสู้ในขณะที่หลี่ว์ซู่สนใจแต่รถม้า แต่หลังจากการต่อสู้ ทุกคนก็ต้องมานั่งบนเกวียนที่สกปรกรกรุงรังนี้ พวกเขาดูเหมือนเหล่าผู้ลี้ภัยที่กำลังไปหาญาติเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ในทางกลับกัน หลี่ว์ซู่สามารถนั่งในรถม้าของเขาและฝึกฝนพลังกระบี่ของเขาได้ต่อไป เขายังคงสงบนิ่งได้ในสถานการณ์เร่งด่วนนี้…
บัดนี้ซุนจ้งหยางและพวกของเขาดูไม่เหมือนพวกเด็กเมืองหลวงแล้ว แต่กลับเป็นหลี่ว์ซู่ที่ดูเหมือนแทน
แต่ลืมมันไปได้เลย เวลานี้ซุนจ้งหยางและพวกของเขาต่างก็เร่งปรับลมปราณและรักษาอาการบาดเจ็บ หากพวกเขานั่งได้เพียงแค่ในเกวียนเท่านั้น ก็ช่างมันเถอะ แต่ที่ทำให้พวกเขาหงุดหงิดยิ่งกว่านั้นก็คือ หลี่ว์ซู่แทบจะไม่ออกมาจากรถม้าเลย และนอกจากนี้บางคราวเขาจะออกมาจากรถม้าแล้วก็พ่นออกมาว่ารถม้าที่มีหลังคาบังลมกันฝนนั้นดีเพียงใด…
ซุนจ้งหยางทนกับความคับข้องใจนี้ไม่ได้และบอกว่าเขาจะขอซื้อรถม้าของหลี่ว์ซู่ แต่หลี่ว์ซู่ก็ปฏิเสธที่จะขายมัน
ไม่ว่าราคารถม้าจะแพงหูดับแค่ไหนก็ยังไม่สำคัญ เพราะหลี่ว์ซู่เก็บแต้มอารมณ์ของซุนจ้งหยางและคนอื่นๆ ไว้ให้ได้มากๆ ย่อมจะดีกว่า โม่เสี่ยวหยากัดริมฝีปากของเธอและมองไปยังรถม้าที่หลี่ว์ซู่อยู่ เธอรู้สึกว่าเจ้าเด็กคนนี้ไร้มารยาทมากเกินไป
ในเรื่องราวของนักเล่าเรื่อง บุตรธิดาผู้หาญกล้าของข้าราชการล้วนงามสง่าและปราดเปรื่องอยู่เสมอ ก่อนที่โม่เสี่ยวหยาจะออกมาจากเมืองหลวง เธอเต็มไปด้วยจินตนาการเกี่ยวกับโลกภายนอก แต่เมื่อเธอก้าวออกมาจริงๆ เธอก็พบว่าเรื่องราวทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องหลอกลวง โลกภายนอกนั้นมีเพียงเกวียนสกปรกและเจ้าตัวร้ายที่น่ารังเกียจอย่างหลี่ว์ซู่…
โม่เสี่ยวหยาและพวกของเธอเป็นผู้บำเพ็ญระดับสูงในสายตาของคนทั่วไป แต่ในท้ายที่สุดแล้ว เธอก็เป็นเพียงสาวน้อยที่ไม่เคยเผชิญกับความแปรปรวนของลมและคลื่นลูกใหญ่ของโลกจริงๆ ดังนั้นเธอจึงร้องไห้ออกมาและเยียวยารักษาบาดแผลของตัวเองในขณะที่ร้องไห้ ..
หลี่ว์ซู่รู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เขามึนงงเล็กน้อย เพราะสำหรับเขาแล้ว ความเจ็บปวดทนทุกข์เล็กน้อยแค่นี้ไม่มีความหมายใด สิ่งที่เขาประสบในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้นเจ็บปวดยิ่งกว่านี้มากนัก
ในช่วงเวลาที่เขาถูกจับในเครือข่ายฟ้าดิน เขาได้รับความเจ็บปวดทรมานและได้รับบาดเจ็บ แม้กระทั่งถึงจุดที่เพื่อนสนิทต้องแบกเขาเอาไว้บนหลัง และเขาก็มีประสบการณ์ของการแยกจากมิตรสหายที่ตายจากอย่างแท้จริงโดยไม่ได้พบกันอีกเลย
นี่อาจเป็นเหตุผลพื้นฐานว่า ทำไมซ่งป๋อจึงไม่รู้สึกแปลกเมื่อหลี่ว์ซู่กล่าวว่าซุนจ้งหยางและพวกของเขายังเด็กและดื้อรั้นมั่นใจเกินไป นั่นคือซ่งป๋อมีความรู้สึกว่าเด็กหนุ่มคนนี้ผ่านประสบการณ์และความตายมามากเกินไป
หลี่ว์ซู่ไม่เหมือนซุนจ้งหยางและพวกของเขาที่มีพลังอำนาจแต่ไม่รู้จักโลก เขาคือราชันฟ้าคนที่เก้าที่มีผู้คนนับหมื่นชื่นชม!
ทันใดนั้นก็มีรถม้าวิ่งเข้ามาใกล้พวกเขา และเสียงควบม้าก็ใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ หลี่ว์ซู่หันมองไปยังแหล่งที่มาของเสียงนั้นด้วยสีหน้าที่สงบนิ่ง ในขณะที่คนขับรถม้าก็มองกลับมาเช่นกัน
หัวหน้ากองคาราวานรู้สึกกังวลอย่างมากเมื่อเห็นประกายไฟเจิดจ้าบนท้องฟ้าในยามค่ำคืน
เขาห่วงว่าซุนจ้งหยางและพวกของเขาจะเกิดปัญหา และเขาจะต้องแบกรับผลที่ตามมาจากตระกูลซุนซึ่งเขาไม่สามารถรับผิดชอบมันได้
ในเวลานี้ เขารู้สึกอิจฉาหลี่ว์ซู่อยู่เล็กน้อยขณะที่ยังนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างกองไฟได้ ในขณะที่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋กำลังปกป้องหลี่ว์ซู่อยู่อย่างเงียบๆ
การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป การต่อสู้อันยาวนานนี้แสดงให้เห็นว่าพลังของทั้งสองฝ่ายนั้นอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน
และนั่นคือสิ่งที่หัวหน้ากองคาราวานกังวล เมื่อสามวันก่อน เขาบอกซุนจ้งหยางว่า เขาหวังว่าจะให้ยอดฝีมือของตระกูลซุนช่วยเข้ามาจัดการได้ แต่ซุนจ้งหยางลังเลอยู่เป็นเวลานานและไม่เห็นด้วย
มีความขัดแย้งภายในอย่างท่วมท้นระหว่างเหล่าตระกูลชนชั้นสูง เหล่าทายาทสายตรงย่อมมีฐานะที่เหนือกว่าพวกลูกหลานตระกูลสาขา และบรรดาลูกหลานตระกูลสาขาจะอิจฉาทายาทสายตรงอยู่ตลอดเวลา แต่พวกเขาก็ไม่รู้ว่าทายาทสายตรงนั้นไม่ได้มีชีวิตที่สุขสบายอะไรเลย
บรรพบุรุษของตระกูลซุนยังคงชีพอยู่และตำแหน่งผู้นำตระกูลก็เป็นที่ปรารถนาของทุกผู้คนอยู่เสมอ สำหรับในจักรวาลหลี่ว์นั้น ตราบใดที่ทรงพลังแข็งแกร่ง ก็จะได้รับความเคารพนับถือโดยไม่คำนึงถึงลำดับอาวุโส!
แม้ซุนจ้งหยางจะไม่มีโอกาสได้รับตำแหน่งผู้นำตระกูล แต่บิดาของเขาเป็นผู้ท้าชิงที่แข็งแกร่งซึ่งหากเขาต้องขอให้ยอดฝีมือของตระกูลมาช่วยเขาเพียงเพราะการทดสอบง่ายๆ เฉกเช่นในสำนักศึกษาเช่นนี้ เขาย่อมจะต้องถูกคนอื่นๆ ในตระกูลหัวเราะเยาะอย่างแน่นอน
หากไม่มีความสัมพันธ์เช่นนี้ ซุนจ้งหยางก็ย่อมจะทำให้ตัวเองอยู่ในสถานะที่ปลอดภัยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ อย่างไรก็ตาม หากมีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตระกูลของเขาเกิดขึ้น ไม่ว่าเขาจะได้รับการเอาใจมากมายเพียงใดก็ตาม เขาก็ไม่สามารถก่อปัญหาขึ้นมาได้
ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าเขาจะขอความช่วยเหลือจากเหล่ายอดฝีมือ แต่ซุนจ้งหยางก็แทบจะไม่สามารถยืนยันได้ว่าอีกฝ่ายจะมาช่วยเขาหรือไม่ แล้วจะเกิดอะไรขึ้น หากมีใครบางคนในตระกูลซุนเป็นไส้ศึกล่ะ?
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์นั้นไม่รุนแรงอย่างที่เขาคิด เพราะโม่เสี่ยวหยาได้ติดต่อกับตระกูลโม่แล้ว ในขณะที่ซุนจ้งหยางไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากตระกูลซุนของเขาได้ และตระกูลโม่ก็ไม่ได้กังวลใดๆ ในเรื่องนี้
บางทีเหล่ายอดฝีมือของตระกูลโม่กำลังอยู่ระหว่างเดินทางแล้ว แต่จะต้องใช้เวลาอีกสักระยะก่อนที่พวกเขาจะมาถึงที่นี่
ทันใดนั้น ดวงตาของหัวหน้ากองคาราวานก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจเมื่อเขามองไปที่หลี่ว์ซู่และพบว่าเมื่อหลี่ว์ซู่ฝึกฝนพลังกระบี่และขยับกระบี่อย่างไม่ตั้งใจ แต่ก็ยังสามารถเขยื้อนได้แม้กระทั่งกองไฟเช่นกัน
เปลวไฟของกองไฟนั้นลุกโชนวูบวาบเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และยิ่งไปกว่านั้น ก็ดูเหมือนว่าหัวหน้ากองคาราวานจะได้เห็นกระบี่โปร่งแสงในกองไฟที่เต็มไปด้วยพลังกระบี่มหาศาล!
แม้ว่าหัวหน้ากองคาราวานจะมีพลังเทียบเท่ากับยอดฝีมือระดับสอง แต่เขาก็ยังไปไม่ถึงขั้นสูงสุด ในการต่อสู้ครั้งนี้ เขาไม่ได้ผลักดันตัวเองเข้าไปสู่การต่อสู้ เพราะเขารู้ดีว่าเขามีเพียงขอบเขตพลัง แต่ความสามารถในการต่อสู้ของเขายังไม่ดีพอ
มันก็เหมือนการเล่นเกมอย่างหนึ่งซึ่งถึงแม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในระดับเดียวกัน แต่ซุนจ้งหยางนั้นเชี่ยวชาญในด้านการต่อสู้ในขณะที่หัวหน้ากองคาราวานนั้นเชี่ยวชาญในการสร้างชีวิตของเขา…
ซุนจ้งหยางและพวกของเขาจำเป็นต้องขัดเกลาทักษะการต่อสู้อย่างต่อเนื่องในขณะที่หัวหน้ากองคาราวานนั้นง่วนอยู่กับการหาเงิน แม้ว่านี่จะเป็นเรื่องปกติมากในจักรวาลหลี่ว์ แต่บัดนี้การฝึกฝนทุกอย่างไม่ได้จำกัดอยู่เพียงในด้านการต่อสู้อีกต่อไป
กองไฟยังคงลุกโชนโชติช่วงอยู่และหัวหน้ากองคาราวานก็ชื่นชมในความสามารถของหลี่ว์ซู่ที่ยังคงสามารถรักษาอารมณ์สงบเพื่อฝึกฝนในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ได้ เขามักจะรู้สึกว่าเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ธรรมดา แต่เขาก็ไม่สามารถระบุเหตุผลได้ว่าเพราะเหตุใด
และเขายังค้นพบด้วยว่า สวีมู่จวินยังคอยเฝ้าปกป้องหลี่ว์ซู่อย่างเงียบๆ เหมือนกับหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ ราวกับกลัวว่าจะมีใครมาทำร้ายหลี่ว์ซู่
หัวหน้ากองคาราวานเดินทางจากทางใต้ไปเหนือ เขาต้องดูแลซุนจ้งหยางและพวกของเขา ดังนั้นในตอนแรกเขาจึงไม่ได้ใส่ใจเรื่องของหลี่ว์ซู่มากนัก แต่บัดนี้ จู่ๆ เขาก็ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขารู้ดีว่า สวีมู่จวินอาจมีปัญหา และเขารู้ได้จากท่าทางที่สงบของเธอว่าหญิงสาวคนนี้ก็เป็นยอดฝีมือเช่นกัน
รูปโฉมงดงาม ความสามารถหลากหลาย และเป็นยอดฝีมือ แต่ทำไมถึงสังเกตเห็นหลี่ว์ซู่ได้อย่างรวดเร็วนัก?
ดังนั้นหัวหน้ากองคาราวานจึงคิดว่าหากเขาเดาไม่ผิด สวีมู่จวินจะต้องได้รับการมอบหมายจากคนที่อยู่เบื้องหลังเธอให้เข้าหาหลี่ว์ซู่ด้วยจุดประสงค์บางอย่างและแม้กระทั่งคอยปกป้องหลี่ว์ซู่ แล้วภูมิหลังของคนที่อยู่เบื้องหลังในการผลักดันให้สวีมู่จวินดำเนินการเช่นนี้จะเป็นอย่างไรเล่า?
ผู้ทรงพลังอำนาจยิ่งใหญ่คนใดหรือ? หรือคือ…ผู้ดำรงอยู่ที่เกินกว่าจะจินตนาการได้?
ทว่าทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น และหัวหน้ากองคาราวานก็ตื่นตัวขึ้นทันที เหล่าทาสนักฆ่ากำลังเข้ามา ซึ่งหมายความว่าพวกเขาไม่ต้องการปล่อยใครไป
“สิบเก้าคน” ชายคนหนึ่งที่อยู่ข้างๆ ซึ่งเป็นผู้ช่วยหัวหน้ากองคาราวานกล่าวขึ้นโดยเอาหูแนบไปที่พื้น “แต่กระผมไม่สามารถสัมผัสได้ถึงระดับพลังของพวกเขาเลย”
หัวหน้ากองคาราวานมองมาที่หลี่ว์ซู่ ตัวเขาเองต่อสู้ไม่เก่ง และทาสของเขาก็เก่งในการต่อสู้กับโจรเท่านั้น เมื่อเผชิญหน้ากับพวกทาสนักฆ่าเหล่านี้ เขาจึงต้องฝากความหวังไว้กับหลี่ว์ซู่และสวีมู่จวิน
ในเวลานี้ หัวหน้ากองคาราวานไม่คิดฝากความหวังรวมไปถึงหลี่ว์เสี่ยวอวี๋เลย เพราะในความเห็นของเขา คนในวัยเดียวกับหลี่ว์เสี่ยวอวี๋นั้น ไม่ว่าจะเป็นอัจฉริยะของเมืองหลวงที่แข็งแกร่งปานใด แต่ก็ไม่สามารถทรงพลังมากได้
แต่หลี่ว์ซู่ก็ยังนั่งขัดสมาธิและสร้างสมพลังกระบี่โดยไม่คิดจะเคลื่อนไหวใดๆ เลย
และชั่วขณะนั้น สวีมู่จวินก็กล่าวกระซิบกับหลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ว่า “ให้ฉันไปไหม?”
และนั่นทำให้หัวหน้ากองคาราวานได้เห็นหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ยิ้มและกล่าวตอบสวีมู่จวินว่า “ไม่ ไม่จำเป็น”
แล้วทันใดนั้น ก็มีเสียงตูมดังสนั่นมาจากทิศทางของฝีเท้าเหล่านั้น มันราวกับว่าพื้นดินกำลังแตกแยกและท้องฟ้ากำลังจะถล่มทลายลงมา
และพร้อมกับเสียงแตกทลายนั้นก็มีเสียงร้องตะโกนก้องของเหล่านักฆ่า แต่ในชั่วพริบตานั้นก็ดูเหมือนบรรยากาศจะพลิกกลับด้านไปอย่างสิ้นเชิง
ชั่วเวลาถัดมานั้น ผู้ช่วยหัวหน้ากองคาราวานก็เงยหน้าขึ้นมองอย่างประหลาดใจ “หลังจากเสียงระเบิดดังนั่น ก็ไม่รู้ว่าทำไมเสียงฝีเท้าทั้งหมดกลับหายไป มันดูเหมือนว่าทุกคนจะตายหมดแล้ว!”
ทุกคนในกองคาราวานล้วนตกตะลึง ไม่มีใครที่นี่เคลื่อนไหวเลย แล้วใครเป็นคนสังหารกลุ่มนักฆ่าเหล่านั้นล่ะ?! ขณะที่พวกเขายังคงแตกตื่นด้วยความหวาดกลัวนั้น มีใครบางคนยุติการต่อสู้ในทันที? เป็นไปได้ไหมว่าจะมียอดฝีมือซ่อนตัวอยู่ใกล้ๆ และเป็นผู้ลงมือ?
หัวหน้ากองคาราวานมองไปที่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋และขมวดคิ้วมุ่น สาวน้อยคนนี้ไม่ได้ลงมือ แต่เห็นได้ชัดว่าเธอรู้ว่ามีคนกำลังจะจัดการอยู่
เขาคิดไม่ออกเลยสักนิดว่าเด็กหนุ่มและเด็กสาวสองคนนี้มีตัวตนแท้จริงเป็นอย่างไร? และมียอดฝีมือคนใดบ้างที่คอยปกป้องพวกเขาอย่างเงียบๆ อยู่โดยรอบ?
แปลก แปลกมากจริงๆ!
หัวหน้ากองคาราวานอดคิดถึงภูมิหลังของหลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ในทางที่น่าสะพรึงกลัวมากขึ้นไม่ได้ และด้วยเหตุนี้ หลี่ว์ซู่จึงกล่าวออกมาอย่างสงบว่า “นายต้องการให้ปกป้องไหมล่ะ? หากนายยินดีที่จะจ่าย ฉันก็รับประกันได้ว่า นายจะสบายไร้ความเจ็บปวดใดๆ จนกระทั่งไปถึงเมืองหลวง… “
จู่ๆ หัวหน้ากองคาราวานก็พูดไม่ออกด้วยความรู้สึกปวดร้าวใจนัก เจ้าหนุ่มคนนี้มีภูมิหลังที่น่าสะพรึงกลัวถึงเพียงนี้ แล้วทำไมเขาถึงยังต้องโลภมากขนาดนี้?!
เมื่อเห็นว่าหัวหน้ากองคาราวานยังนิ่งเงียบไม่โต้ตอบ หลี่ว์ซู่ก็ใคร่ครวญราวสองวินาทีแล้วกล่าวว่า “ดูจากหน้านายแล้ว นายจะประสบกับภัยพิบัตินองเลือดในอีกไม่กี่วันนี้…”
หัวหน้ากองคาราวานพลันกล่าวว่า “…นี่คิดจะหลอกคนเพื่อหาเงินเหรอ?”
“ได้แต้มอารมณ์จากซ่งป๋อ +666!”
หลี่ว์ซู่ส่ายศีรษะ “ฉันไม่ได้หลอก… แต่เห็นได้ชัดว่าฉันกำลังข่มขู่นาย…”
แล้วหัวหน้ากองคาราวานก็ผงะงันทันที “…”
“ได้แต้มอารมณ์จากซ่งป๋อ …”
สวีมู่จวินนั่งเท้าคางเงียบๆ อยู่ที่ด้านข้างของเขา และทันใดนั้นเธอก็รู้สึกว่าชายหนุ่มคนนี้ไม่เพียงแค่หน้าตาดีเท่านั้น แต่เขายังน่าสนใจอย่างมาก
อย่างน้อยๆ ก็น่าสนใจมากกว่าบรรดาชายอื่นที่เธอเคยพบพาน
ห่าธนูกระหน่ำฉับพลันมากทำให้หลี่ว์ซู่ต้องหนีอย่างกะทันหัน ซุนจ้งหยางที่เพิ่งมั่นใจว่าหลี่ว์ซู่จะไม่หนี แต่เขาก็พุ่งปรี่หนีไปเสียแล้ว
แต่หากพวกเขาอยากหนี ก็แค่หนีไปสิ แล้วเหตุไฉนถึงต้องเอารถม้าไปด้วยล่ะ?
อันที่จริง ห่าธนูครั้งนี้ไม่ได้คุกคามอะไรพวกเขามาก อย่างน้อยๆ ยอดฝีมือระดับสองหรือสูงกว่านั้นก็จะไม่มีวันตายด้วยการโจมตีเช่นนี้ ดังนั้นหลี่ว์ซู่จึงเชื่อว่าแม้เวลานี้พวกเขาจะยังไม่เป็นไร แต่การเดินทางต่อไปข้างหน้าจะยากมาก หากม้าและรถม้าของพวกเขาถูกทำลายไป
ต้องรู้ว่าเวลานี้ หลี่ว์ซู่กำลังสร้างสมพลังกระบี่ของเขาอยู่ในรถม้าทุกวัน และหากไม่มีรถม้า เขาย่อมจะต้องเดิน แล้วเมื่อถึงเวลานั้น นับประสาอะไรกับปัญหายุ่งยาก เพราะที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ มันจะทำให้ความก้าวหน้าในการฝึกฝนของเขานั้นต้องล่าช้าไป
ไม่เพียงแต่ซุนจ้งหยางจะไม่ได้คาดหวังว่าหลี่ว์ซู่จะทำเช่นนี้ แต่แม้กระทั่งเหล่าทาสที่ซุ่มโจมตีอยู่ในระยะไกลก็ไม่คาดคิดเช่นกัน…
และทันใดนั้นก็มีคนกระซิบด้วยความสงสัยว่า “มีอะไรที่สำคัญเป็นพิเศษอย่างมากในรถม้าหรือเปล่าล่ะ?”
“ก็เป็นไปได้ ไม่ต้องห่วง แต่คิดถึงงานของพวกเราก่อน เจ้านายของเราบอกว่าพวกเราต้องฆ่าอัจฉริยะของเมืองหลวงทั้งสิบสองคนเท่านั้น แค่พวกมันก็ยากที่จะรับมือได้แล้ว” ใครบางคนกล่าวเสียงเย็น “เราต้องจับตาดูเป้าหมายของเราเอาไว้”
คนกลุ่มนี้เป็นมืออาชีพมาก พวกเขาได้สังหารบรรดายอดฝีมือมาแล้วมากมายนับไม่ถ้วนในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้
มีผู้คนจากกองคาราวานการค้าตายท่ามกลางห่าธนู แต่ผู้ที่เสียชีวิตเหล่านั้นล้วนเป็นทาสของหัวหน้ากองคาราวาน ส่วนซุนจ้งหยางและพวกของเขานั้นต่างก็ไม่ได้รับอันตรายใดๆ
หัวหน้ากองคาราวานก็เจ็บปวดเช่นกัน เมื่อทาสของเขาตาย เขาก็ทำได้แค่ทิ้งสินค้าที่เหลือของเขาไปตามถนนเท่านั้น แต่หัวหน้ากองคาราวานก็ยังมีความหวังอีกอย่างในใจ เพราะตระกูลซุนไม่เคยปฏิบัติต่อคนของเขาอย่างเลวร้าย ซึ่งหากเป็นเพราะการที่ซุนจ้งหยางอยู่ในกองคาราวานแล้วทำให้เกิดความสูญเสียอย่างหนักต่อกองคาราวานของเขา ตระกูลซุนก็ย่อมจะชดเชยให้เขาเป็นสองเท่าในอนาคตอย่างแน่นอน
ไม่ใช่ว่าตระกูลซุนจะใจดีแต่อย่างใด แต่ทุกคนเข้าใจว่า ด้วยวิธีนี้จะทำให้มีผู้คนจำนวนมากขึ้นเต็มใจที่จะเสียสละชีวิตเพื่อตระกูลซุนในอนาคต
ดังนั้นในตอนนี้จึงมีสองสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ประการแรก ซุนจ้งหยางจะต้องมีชีวิตอยู่ และประการที่สองคือ ตัวเขาเองก็จะต้องมีชีวิตอยู่
พ่อค้าย่อมให้ความสำคัญกับคุณค่าของวัตถุเหนือความชอบธรรม ดังนั้นเมื่อหัวหน้ากองคาราวานเห็นทาสของเขาตายเพราะห่าธนูอยู่รอบๆ ตัวเขา เขาจึงไม่โศกเศร้ามากนัก และก็ไม่ใช่ว่าทาสทั้งหมดของเขาจะเสียชีวิต พวกเขาครึ่งหนึ่งยังมีชีวิตอยู่ แต่ม้าและรถม้าของเขาส่วนใหญ่คงต้องถูกทิ้งเอาไว้
ทว่าหัวหน้ากองคาราวานรู้สึกสับสนเมื่อเห็นหลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋กลับมาพร้อมรถม้าและม้าอีกครั้ง “พวกเขาจะมาเพื่อต่อสู้หรือ?”
เมื่อเห็นว่าหลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ยังไม่ได้หยุดม้าและรถม้าในมือของพวกเขาลง บางทีหากหัวหน้ากองคาราวานบอกว่าพวกเขาจะมาที่นี่ พวกเขาก็อาจจะหนีอีกครั้ง…
แน่นอนว่าซุนจ้งหยางไม่ยอมให้ปล่อยพวกเขาไปเช่นนั้น เขากล่าวอย่างเย็นชาว “แทนที่จะรอให้พวกมันโจมตีเรา เราควรจัดการพวกมันทั้งหมดให้เด็ดขาดสิ้นซากเสียที”
หัวหน้ากองคาราวานตกใจกลัวจนหน้าซีดเผือดแล้วกล่าวว่า “ท่านเป็นบุตรของตระกูลซุน ขออย่าได้ไปเผชิญหน้าต่อสู้กับพวกเขาโดยตรงเลย! หากท่านเป็นอะไรไปกระผมคงชดใช้ไม่ไหวแน่”
อย่างไรก็ตาม ในตอนแรกนั้น หลี่ว์ซู่ก็คิดว่าซุนจ้งหยางเป็นคนหยิ่งผยองจองหองและก้าวร้าวเพราะเชื่อว่าตนเองทรงพลังและไร้เทียมทานในโลกนี้ด้วยเป็นยอดฝีมือระดับหนึ่ง แต่เมื่อเขาสังเกตดูท่าทีของซุนจ้งหยางอย่างละเอียดแล้ว เขาก็พบว่า ชายหนุ่มคนนี้ยังคงสงบและดูเหมือนจะไม่มีทีท่าว่าใจร้อนมุทะลุแต่อย่างใด
หลี่ว์ซู่เข้าใจในทันใดว่าซุนจ้งหยางผู้นี้ไม่ได้หุนหันพลันแล่น และในอีกด้านหนึ่งนั้น เขาก็เข้าใจว่าหากศัตรูอยู่ในที่มืดในขณะที่พวกเขาอยู่ในที่แจ้ง ก็ย่อมจะไร้ประโยชน์ที่จะหลบซ่อนต่อไป และทางที่ดีที่สุดก็คือ ควรเริ่มลงมือโจมตีในยามที่พวกเขาแข็งแกร่งที่สุด
หากพวกเขาอ่อนแอก็คงไม่มีประโยชน์ แต่ด้วยพวกเขามีสี่ยอดฝีมือระดับหนึ่งและอีกแปดยอดฝีมือระดับสอง ดังนั้นไม่ว่าพวกเขาจะไปที่ใดก็ย่อมไม่มีใครกล้าที่จะดูแคลนความแข็งแกร่งเช่นนี้ของพวกเขา
ซุนจ้งหยางหยิบกระบี่ยาวสีแดงเจิดจ้าออกมาจากคลังไร้รูปแล้วถือมันเอาไว้ในขณะที่ส่งเสียงร้องตะโกนออกมาว่า “ไปฆ่าพวกมันกับฉัน จงสู้อย่างระมัดระวัง”
ทันทีที่เขาพูดจบ เขาก็เห็นว่าหลี่ว์ซู่วางม้าของเขาไว้ก่อนจะพับแขนเสื้อขึ้นแล้วเตรียมที่จะตามไปกับพวกเขา
ซุนจ้งหยางผงะแข็งค้างอยู่นานก่อนจะถามว่า “นายจะทำอะไรน่ะ?”
“ฉันก็จะปกป้องนายไงล่ะ” หลี่ว์ซู่กล่าวอย่างเด็ดเดี่ยวราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่เขาต้องทำอยู่แล้ว “ไม่ต้องห่วงนะ นายต้องได้จ่ายเงินให้ฉันแน่ ที่ผ่านมา ฉันก็เคยทำงานสำเร็จมาแล้ว ฉันมีคุณสมบัติระดับมืออาชีพ”
“ลืมมันไปเถอะ นายไม่ต้องไป มันอันตรายเกินไป” ซุนจ้งหยางส่ายศีรษะ แม้เขาจะไม่พอใจหลี่ว์ซู่และอยากทิ้งเขาไว้ที่นี่ หากพวกเขาตกอยู่ในอันตรายจริงๆ เขาก็ไม่ต้องการให้เรื่องไปเกี่ยวข้องกับหลี่ว์ซู่ เขาจึงปฏิเสธไม่ให้หลี่ว์ซู่ไปกับเขา
แต่หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าในเมื่อเขาได้รับเงิน เขาก็ต้องทำหน้าที่ให้เสร็จสมบูรณ์ใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นชื่อเสียงของเขาจะยืนยงคงมั่นได้อย่างไรเล่า?
ในขณะนั้น จู่ๆ โม่เสี่ยวหยาก็ถามขึ้นทันทีว่า “แล้วอาวุธของนายอยู่ที่ไหนล่ะ? นายไม่มีอาวุธเลยหรือไง?”
หลี่ว์ซู่เหลือบมองไปรอบๆ และสามารถหากิ่งไม้ได้พบตามต้องการ แต่ซุนจ้งหยางคงต้องเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับผู้บัญชาการกองทัพอู่เว่ยที่ว่าสามารถใช้กิ่งไม้ฆ่าศัตรูของเขามาอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงไม่อาจเปิดเผยตัวเองด้วยลักษณะที่ชัดเจนเช่นนั้น หลี่ว์ซู่จึงต้องคิดอย่างรอบคอบเพื่อปิดบังตัวตนของเขา
ดังนั้นหลี่ว์ซู่ก็มองไปที่หัวหน้ากองคาราวานการค้าแล้วกล่าวทวงบุญคุณเพื่อแลกอาวุธ “ฉันช่วยชีวิตนายเอาไว้”
จากนั้นเขาก็จับจ้องมองหัวหน้ากองคาราวานการค้าอยู่เป็นเวลานาน
“ได้แต้มอารมณ์จากซ่งป๋อ +666!”
ในคราแรกนั้นหัวหน้ากองคาราวานการค้าต้องการแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เขารู้สึกว่าตราบใดที่เขาแสดงท่าปฏิเสธแล้ว เด็กหนุ่มคนนี้ก็จะยอมแพ้ไป แต่เขาประเมินหลี่ว์ซู่ต่ำไป
หัวหน้ากองคาราวานจึงถึงกับพูดไม่ออกนอกจากกล่าวตอบว่า “ฉันก็ไม่มีอาวุธเหมือนกัน”
“ฉันได้ช่วยชีวิตนายเอาไว้” หลี่ว์ซู่กล่าวอย่างสงบอีกครั้งก่อนจะจ้องมองต่อไป
“ได้แต้มอารมณ์จากซ่งป๋อ +666!”
แต่ก่อนที่หัวหน้ากองคาราวานจะหยิบเอาอาวุธออกมา ซุนจ้งหยางก็รอไม่ไหวอีกต่อไป หากเขารอจนกว่าหลี่ว์ซู่จะได้รับอาวุธ ศัตรูก็คงจะหนีไปแล้ว
แม้ซุนจ้งหยางจะไม่พอใจและดูถูกหลี่ว์ซู่ แต่หลี่ว์ซู่ก็ถูกเขาลากมาให้ส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จริงๆ
ซุนจ้งหยางเป็นถึงอัจฉริยะของเมืองหลวง และเขาก็ไม่เคยทำร้ายผู้บริสุทธิ์ ดังนั้นเขาจึงยังคงอยากให้หลี่ว์ซู่อยู่ที่นี่ “นาย…”
“ก็ได้ ฉันจะอยู่” หลี่ว์ซู่กล่าวอย่างสงบ
ซุนจ้งหยางเงียบงัน “…”
“ได้แต้มอารมณ์จากซุนจ้งหยาง +888!”
คราวนี้ซุนจ้งหยางไม่พูดอะไรอีก และนำเหล่าอัจฉริยะของเมืองหลวงตรงไปยังทิศทางที่มาของห่าธนู ในขณะที่หลี่ว์ซู่นั่งลงและกินบะหมี่โซบะของเขาต่อไปอย่างสบาย และเขาก็ยังเงยหน้าขึ้นถามหัวหน้ากองคาราวานอีกว่า “ยังมีบะหมี่อีกไหม?”
“อ้อ มี มี มีสิ” หัวหน้ากองคาราวานรีบกล่าวพร้อมกับฝืนยิ้มอย่างขมขื่น เจ้าเด็กคนนี้น่าจะเป็นคนที่แปลกประหลาดที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมาตลอดหลายปีมานี้แล้ว…
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ถือชามบะหมี่แล้วถามหลี่ว์ซู่ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “เราจะไม่ไปช่วยพวกเขาจริงเหรอ?”
หลี่ว์ซู่กล่าวตอบเสียงไม่ชัดเจนนักขณะกินบะหมี่ว่า “เราต้องไปช่วยพวกเขา ไม่เช่นนั้นเขาก็จะไม่ให้เงินแน่ๆ แต่ปัญหาก็คือ คราวนี้อีกฝ่ายจะต้องมีกลยุทธ์อื่นแฝงอยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอน เราต้องสังเกตดูสถานการณ์ให้แน่ชัดก่อนจะกระทำการใดๆ หากเราเข้าไปมีส่วนร่วมในเรื่องนี้โดยไม่ได้ทำเงินอะไร มันก็จะไม่คุ้มค่า”
และโม่เสี่ยวหยาก็มองไปที่หลี่ว์ซู่ด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความรังเกียจเหยียดหยันก่อนจะจากไป ราวกับว่าหลี่ว์ซู่กลายเป็นเจ้าตัวร้ายที่มีแต่ความละโมบและขี้ขลาด
แล้วการต่อสู้ระหว่างอัจฉริยะของเมืองหลวงกับเหล่าทาสที่ได้รับการว่าจ้างมาก็ดำเนินไปตลอดทั้งคืนในระยะทางที่ห่างไกลออกไป
ในขณะที่หลี่ว์ซู่ใช้เวลาฝึกฝนท่วงท่าวิชากระบี่ของตัวเองท่ามกลางเสียงสู้รบดังสนั่นหวั่นไหว โดยที่เขายังคงไม่ได้เคลื่อนไหวแต่อย่างใด
ซุนจ้งหยางและโม่เสี่ยวหยาต่างมองหน้ากัน ดูเหมือนไม่มีเหตุผลจริงๆ ที่จะรั้งหลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋เอาไว้ พวกเขาเป็นแค่คนแปลกหน้าที่บังเอิญมาพบกัน และหลี่ว์ซู่และพวกเขาก็แค่มีข้อตกลงชั่วคราวในการ ‘ตามหาผู้บัญชาการกองทัพอู่เว่ย’ เท่านั้นซึ่งไม่มีเหตุผลที่หลี่ว์ซู่จะต้องทรยศพวกเขา
และว่ากันตามตรงแล้ว ซุนจ้งหยางและพวกของเขาก็มั่นใจมากเช่นกัน พวกเขาไม่คิดว่ายอดฝีมือระดับสองชั้นสูงสุดอย่างหลี่ว์ซู่จะสามารถช่วยอะไรได้มาก แน่นอนว่า ซุนจ้งหยางก็สงสัยว่าชายหนุ่มคนนี้อาจมีภูมิหลังที่ดีเช่นกัน ไม่อย่างนั้นเขาจะสามารถไปถึงขั้นยอดฝีมือระดับสองชั้นสูงสุดในขณะที่ยังเยาว์วัยถึงเพียงนี้ได้หรือ?
แม้ว่าซุนจ้งหยางและเหล่าอัจฉริยะคนอื่นๆ จะมีอายุและทรงพลังพอๆ กับหลี่ว์ซู่ แต่ซุนจ้งหยางก็ไม่รู้ว่านี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่หลี่ว์ซู่ฝึกฝนจนไปถึงยอดฝีมือระดับสองชั้นสูงสุด…
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อซุนจ้งหยางมองไปที่หลี่ว์ซู่ เขาก็รู้สึกว่าเขาไม่อาจดูถูกหลี่ว์ซู่ได้ ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าเขาอันตรายยิ่งกว่าคนกลุ่มนี้อีก เมื่ออยู่ในเมืองหลวงนั้น พวกเขาล้วนโดดเด่น ไม่ว่าพวกเขาจะไปที่ใด บรรดาผู้คนล้วนหมุนรอบตัวพวกเขาราวกับดารารายล้อมจันทรา แต่ทำไมพวกเขากลับมาถูกคนอื่นเหยียบย่ำที่นี่ได้? และซุนจ้งหยางก็ไม่สามารถทนต่อความคับข้องใจเช่นนี้ได้เช่นกัน!
“ฉันจะให้เงินนายมากขึ้นอีก” ซุนจ้งหยางกล่าวอย่างสงบขณะมองไปที่หลี่ว์ซู่
“พี่ชาย!”
เมื่อซุนจ้งหยางได้ยินสองคำนี้ออกมาจากปากของหลี่ว์ซู่ เขาก็เริ่มปวดศีรษะ จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ถูกต้อง เจ้าหนุ่มคนนี้ต้องไม่ได้ถูกศัตรูส่งมาแน่นอน ไม่เช่นนั้น เขาย่อมจะไม่ยอมทรยศต่อทุกอย่างตลอดเวลาได้อย่างนี้…
ดวงตาของหลี่ว์ซู่สว่างวาบฉับพลัน “จะเพิ่มเท่าไหร่ล่ะ?”
“หนึ่งล้าน นายคุ้มกันพาพวกเราไปเมืองหลวง” ซุนจ้งหยางกล่าว “เมื่อไปถึงเมืองหลวงแล้ว นายก็สามารถไปรับเงินที่ธนาคารแห่งใดก็ได้ของตระกูลซุน”
ความจริงแล้ว ซุนจ้งหยางไม่ได้คาดหวังว่าหลี่ว์ซู่จะสามารถคุ้มกันพวกเขาไปเมืองหลวงได้ แต่เขาก็ทำเพื่อต้องการให้หลี่ว์ซู่อยู่ในกองคาราวานต่อไป นายอยากไปเหรอ? นายรักเงินมากใช่ไหม? งั้นก็อยู่ที่นี่เถอะ!
หลี่ว์ซู่คิดในใจว่าตระกูลซุนนั้นไม่ธรรมดาจริงๆ พวกเขาสามารถเปิดธนาคารในเมืองหลวงได้ แต่เขาก็ส่ายศีรษะแล้วกล่าวว่า “ภารกิจคุ้มกันนายนั้นมันอันตรายมาก เงินหนึ่งล้านนี่ไม่พอหรอก ต้องสักสามล้าน!”
ไม่ว่าซุนจ้งหยางและพวกของเขาจะคิดอย่างไรในครั้งนี้ หลี่ว์ซู่ก็คิดเพียงว่ายิ่งภูมิหลังของตระกูลซุนยิ่งใหญ่เท่าใด ผู้คนที่มาโจมตีในครั้งนี้ก็ต้องยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น บางทีทาสเหล่านี้อาจแค่มาลองเชิงดูเท่านั้น ดังนั้นเงินหนึ่งล้านย่อมไม่เพียงพอที่จะให้หลี่ว์ซู่คุ้มกันพาพวกเขาไปในการเดินทางครั้งนี้
หากพวกเขาพบกับอันตรายที่พวกเขาไม่อาจต้านทานได้จริงๆ หลี่ว์ซู่ก็ยังสามารถให้แอนโทนี่พาเขาและหลี่ว์เสี่ยวอวี๋หนีไปได้
ซุนจ้งหยางครุ่นคิดอยู่นานและในที่สุดก็กล่าวเสียงเย็นว่า “ก็แค่เงินสามล้านไม่ใช่หรือ? มันก็แค่เงินค่าขนมติดตัวเวลาหนึ่งปีของฉัน อย่าเอาเงินเก็บตลอดชีวิตของนายมาท้าทายกับเงินค่าขนมของฉันเลย”
“เยี่ยม เยี่ยมเลย” หลี่ว์ซู่ชื่นชมทันที “งั้นช่วยเขียนใบเสร็จรับเงินให้ฉันและพิมพ์ลายนิ้วมือลงไปบนนั้นให้ด้วย”
“ได้แต้มอารมณ์จากซุนจ้งหยาง +777!”
ซุนจ้งหยางและพวกของเขาพบว่า หลี่ว์ซู่แค่ต้องการเงินโดยไม่ได้พิจารณาดูความแข็งแกร่งของตัวเองเลย ดังนั้นเขาจึงกล้ายอมรับข้อตกลงนี้!
“คนอย่างนาย” โมเสี่ยวหยากล่าวนิ่งสงบ “สำหรับนาย เงินมีความสำคัญเท่าชีวิต แต่นายเคยคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่? นายไม่ได้คิดถึงชื่อเสียงของตัวเองเลย จะเกิดอะไรขึ้นหากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป? ใครก็ตามที่เป็นคนจ้างนายจะต้องเป็นคนโง่แน่ๆ แล้วในอนาคต นายก็จะมีโอกาสทำเงินได้น้อยลงใช่ไหมล่ะ?”
หลี่ว์ซู่ครุ่นคิดอยู่สองวินาทีแล้วมองไปที่ซุนจ้งหยาง “เธอบอกว่านายเป็นคนโง่”
โม่เสี่ยวหยามึนงง
ซุนจ้งหยางก็พูดอะไรไม่ออก
“ได้แต้มอารมณ์จากซุนจ้งหยาง …”
ซุนจ้งหยางและพวกของเขารู้สึกว่า ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้ พวกเขามีความโกรธมากมายยิ่งกว่าที่เคยผ่านมาทั้งชีวิตเสียอีก!
และชั่วขณะนั้น อาหารในกองคาราวานก็พร้อมแล้ว แต่ก่อนที่หลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋จะไปทานอาหารกัน สวีมู่จวินก็ได้นำอาหารไปให้พวกเขาแล้ว จากนั้นก็นั่งลงข้างๆ พวกเขาและมองดูพวกเขาอย่างกระตือรือร้น
หลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็ทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน หญิงสาวคนนี้เป็นเช่นนี้มาตลอดตั้งแต่เข้ามาในกองคาราวานและเธอก็มีบทบาทของเธอ…
“มู่จวิน” หลี่ว์ซู่กล่าวอย่างจริงจัง “ที่จริงแล้ว เธอไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ ตามสถานะของเธอ เธอจะสามารถมีชีวิตได้ดีในทุกที่ที่เธอไป”
สวีมู่จวินส่ายศีรษะแล้วกล่าวว่า “พวกเขาดูไม่ดีเท่าคุณ”
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า…เป็นเช่นนั้นหรือ อู้ว์!” หลี่ว์ซู่หันศีรษะกราดไปมองที่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ เป็นไงล่ะ!
สวีมู่จวินไม่เอ่ยอะไร เธอดีดพิณและร้องเพลง หลี่ว์ซู่ต้องบอกว่าเด็กสาวคนนี้ยอดเยี่ยมจริงๆ เวลานี้หลี่ว์ซู่กำลังกินบะหมี่โซบะอยู่ด้านนอกอย่างเพลิดเพลินราวกับกำลังอยู่ในงานเลี้ยงใหญ่…
เหวินไจ้เฝ่ยมีทรัพยากรมากมายจริงๆ เขายังวางหญิงสาวคนนี้ไว้ให้เป็นสายลับ แต่หลี่ว์ซู่ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขารู้สึกว่าเหวินไจ้เฝ่ยยังมีแผนใหญ่กว่านี้อีก
ชั่วขณะนั้น หลี่ว์ซู่ก็มองขึ้นไปบนท้องฟ้าและดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างที่คล้ายกับอุกกาบาตกำลังจะตกลงมาที่เขาอย่างรวดเร็ว มันไม่ใช่ดาวตก แต่เป็นลูกธนูขนนก!
ซุนจ้งหยางและพวกของเขาก็เห็นเช่นกัน แต่พวกเขามองว่าลูกธนูนั้นได้พุ่งไปที่หลี่ว์ซู่เท่านั้น ดังนั้นพวกเขาจึงดูนิ่งเฉยเงียบๆ จากด้านข้าง เพื่อดูว่าหลี่ว์ซู่จะมีปฏิกิริยาโต้ตอบอย่างไร พวกเขาอยากรู้ว่าที่หัวหน้ากองคาราวานคาดเดาเอาไว้นั้นถูกต้องหรือไม่?
และในเวลาต่อมา เมื่อลูกธนูขนนกพุ่งออกจากแล่ง เสียงปานสายฟ้านั้นก็ดังมาถึงหูของพวกเขา แต่หลี่ว์ซู่กลับหลบออกไปไปอีกทางด้านหนึ่งกับหลี่ว์เสี่ยวอวี๋และสวีมู่จวิน แล้วเขาก็ยังคงกินบะหมี่ของเขาต่อไป
ตูม! ลูกธนูพุ่งปะทะพื้นและทำให้เกิดหลุมที่น่ากลัวบนพื้นดิน แต่หลี่ว์ซู่ก็ไม่ได้นั่งอยู่ที่นั่นอีกต่อไป
ซุนจ้งหยางและพวกของเขาต่างมองหน้ากัน และจากนั้นก็มองไปยังหลี่ว์ซู่ที่กำลังกินบะหมี่อย่างสบายใจ หัวหน้ากองคาราวานคิดได้ถูกต้องแล้ว แม้หลี่ว์ซู่ผู้นี้จะกระหายเงิน แต่เขาก็มีความสามารถจริงๆ
คนธรรมดาย่อมจะต่างจากหลี่ว์ซู่ พวกเขาจะต้องตื่นตระหนกด้วยลูกธนูที่พุ่งเป้ามานี้และไม่สามารถกินบะหมี่อย่างสงบได้อีกต่อไป
หลี่ว์ซู่กำลังใคร่ครวญเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะหลังจากที่เขาช่วยหัวหน้ากองคาราวานในยามกลางวัน แล้ว พวกทาสเหล่านี้ก็กระทำการเตือนเขาว่าอย่ายุ่งและจงระวังตัวให้ดี
น่ากลัวว่าอีกฝ่ายจะยังไม่สามารถรู้ถึงขีดจำกัดของหลี่ว์ซู่ในตอนนี้ ดังนั้น พวกเขาจึงอยากดูว่าพวกเขาจะสามารถทำให้หลี่ว์ซู่กลัวได้หรือไม่
บางทีทาสเหล่านี้คงไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าหลี่ว์ซู่ได้วางแผนเอาไว้แล้ว เพราะหากทาสเหล่านี้ทำให้ซุนจ้งหยางและพวกของเขาได้รับอันตราย เขาก็จะไม่ได้รับเงิน
หลี่ว์ซู่จะเรียกเงินที่เขาสมควรจะได้รับเมื่อเขาจัดการพวกทาสเหล่านี้…
ซุนจ้งหยางหัวเราะเสียงต่ำ “บางทีเขาอาจจะสามารถช่วยเราได้จริงๆ”
โม่เสี่ยวหยากล่าวอย่างเหยียดหยามว่า “เขาจะหลบหนีไปก่อนที่จะได้ต่อสู้มากกว่า”
“ฉันไม่คิดว่าเขาจะเป็นแบบนั้น” ซุนจ้งหยางส่ายศีรษะ “เธออาจจะไม่ได้สังเกต แต่ฉันสัมผัสได้ถึงเจตนาสังหารท่ามกลางความนิ่งสงบของเขา เขายังสะกดเก็บพลังสังหารนั้นเอาไว้ แต่เมื่อเขาปล่อยมันออกมา น่ากลัวว่ามันจะทรงพลังดุจสายฟ้าฟาด …”
และก่อนที่เขาจะทันได้กล่าวจบ ทันใดนั้นซุนจ้งหยางก็ได้ยินหลี่ว์ซู่ส่งเสียงตะโกนอยู่ห่างออกไปไม่ไกล “อะไรน่ะ?! หนี หนีเร็ว!”
แค่ได้ยินเสียงดังแหลมจากฟากฟ้า แล้วห่าธนูนับไม่ถ้วนก็ตกลงมาราวกับฝนดาวตก น่ากลัวว่าห่าธนูเหล่านั้นจะยิงใส่ผู้คนนับร้อย!
จากนั้น ซุนจ้งหยางและพวกของเขาก็มองดูหลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋อย่างตื่นตกใจ คนหนึ่งขับรถม้า และอีกคนก็ควบม้าแล้วหนีไปอย่างรวดเร็ว…
นี่มันเงียบเชียบเกินไปไหม? มันมีรถม้าว่างตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
และสวีมู่จวินก็โอบอุ้มพิณถอยกลับตามหลี่ว์ซู่ออกไปเงียบๆ ด้วยระยะทางหนึ่งร้อยฉื่อในก้าวเดียวอย่างเหนือชั้นปานนางฟ้าย่างผ่านขุมนรก
หัวหน้ากองคาราวานไม่เข้าใจว่าเวลานี้เกิดอะไรขึ้นในกองคาราวานของเขา พวกเขาทั้งหมดช่างแปลกประหลาดเหลือเชื่อจริงๆ…
ในขณะที่พูดคุยเกี่ยวกับการยกเว้นค่าบริการกับหัวหน้ากองคาราวานการค้า หลี่ว์ซู่ก็สังเกตเห็นสีหน้าท่าทีของซุนจ้งหยางและพวกของเขา ซุนจ้งหยางและพวกของเขารู้สึกตื่นเต้นอย่างมากและทำราวกับว่าการลอบโจมตีนั้นไม่มีอะไรร้ายแรง
ในท้ายที่สุด หัวหน้ากองคาราวานก็ไม่ได้โต้แย้งอะไรกับหลี่ว์ซู่ ไม่เพียงแต่เขาเห็นด้วยกับคำขอยกเว้นค่าบริการของหลี่ว์ซู่เท่านั้น แต่เขายังสัญญาด้วยว่าหากพวกเขาได้พบกันอีกในอนาคต หลี่ว์ซู่จะสามารถติดตามกองคาราวานไปได้โดยไม่เสียค่าบริการเสมอ
แม้ว่าหัวหน้ากองคาราวานจะฉลาด แต่เขาก็รู้ว่าหลี่ว์ซู่ได้ช่วยชีวิตเขาเอาไว้ หากเขาตายไปก่อน ตระกูลซุนก็อาจจะมาล้างแค้น แต่เมื่อคนที่ต้องการแก้แค้นตายไปแล้ว จะแก้แค้นไปทำไมล่ะ?
อย่างไรก็ตาม จุดยืนของเขายังคงชัดเจนมาก กองคาราวานการค้าพบสถานที่ที่ปลอดภัยเหมาะสมพอที่จะตั้งค่ายที่พักในวันนั้น และหัวหน้ากองคาราวานการค้าก็บอกซุนจ้งหยางและพวกของเขาเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น ตัวอย่างเช่น ลูกธนูที่น่าสะพรึงกลัวและการวิเคราะห์ทาสของเขา และสิ่งที่หลี่ว์ซู่สร้างความประหลาดใจให้เขา!
“เมื่อคิดดูแล้ว กระผมยังไม่ทันได้สังเกตเห็นลูกธนูจริงๆ แต่เล่ออี๋หลี่ว์สัมผัสรู้ล่วงหน้าได้ก่อน ตอนนั้นกระผมก็ไม่มีเวลาโต้ตอบได้ทันและตอนนั้นก็รีบร้อนจนไม่มีเวลาคิด เลยพลาดรายละเอียดบางอย่างไปบ้าง หัวหน้ากองคาราวานการค้ากล่าวขณะที่นึกขึ้นได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“หมายความว่าอันที่จริงแล้ว เขาสังเกตเห็นก่อนที่ลูกธนูจะมาถึง แต่นายเพิ่งรู้ก็ต่อเมื่อได้ยินเสียงดังมาจากระยะไกล” ซุนจ้งหยางกล่าวขณะนั่งข้างกองไฟ “นั่นหมายความว่าเขาเป็นยอดฝีมอจริงๆ หรือ?”
“ใช่แล้ว” หัวหน้ากองคาราวานการค้าพยักหน้า “นอกจากนี้ยังสงสัยว่าเขาอาจค้นพบลูกธนูก่อนตั้งแต่แรกแล้ว แต่เขาแสร้งทำเป็นเพิ่งพบมันเมื่อลูกธนูกำลังจะพุ่งใส่ร่างของกระผมแล้ว เพื่อช่วยชีวิตของกระผมเอาไว้”
“หมายความว่าเขาจงใจทำเพื่อให้นายต้องยอมรับติดหนี้บุญคุณช่วยชีวิตของเขาหรือ?” โม่เสี่ยวหยาครุ่นคิด “ทำไมเขาถึงทำเช่นนี้? แล้วจะเกิดอะไรขึ้นหากเขาไม่สามารถช่วยได้ล่ะ?”
หัวหน้ากองคาราวานการค้าครุ่นคิดอยู่นานก่อนจะกล่าวตอบว่า “เป็นไปได้ว่าเขาทำเพื่อให้กระผมซาบซึ้งใจเป็นการส่วนตัวเพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องจ่ายบริการของเขาในการเดินทางไปเมืองหลวง…
ซุนจ้งหยางถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “เหตุผลนี้…ฉันคิดว่าเป็นไปได้มากทีเดียว… “
โดยทั่วไปแล้วเหตุการณ์สำคัญที่เกี่ยวข้องกับการโจมตีเช่นนี้มักไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับเงิน ในมุมมองของซุนจ้งหยางนั้น เงินที่หลี่ว์ซู่ต้องจ่ายสำหรับการไปเมืองหลวงนั้นย่อมไม่มีความสำคัญใดๆ อย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุผลบางอย่าง เมื่อเหตุการณ์นี้เกี่ยวข้องกับหลี่ว์ซู่ พวกเขาก็คิดว่าหลี่ว์ซู่ตั้งใจทำเช่นนั้น โดยให้หัวหน้ากองคาราวานการค้ารู้สึกเป็นหนี้บุญคุณเขาเป็นการส่วนตัวเพื่อที่เขาจะได้มุ่งหน้าไปเมืองหลวงโดยไม่ต้องจ่ายเงิน…
ทุกคนล้วนมีบุคลิกแตกต่างกัน ดังนั้นมุมมองและความคิดของพวกเขาในสิ่งต่าง ๆ จึงแตกต่างกัน แต่ความรู้ความเข้าใจของพวกเขาเกี่ยวกับหลี่ว์ซู่นั้นช่างเหมือนกันอย่างน่าประหลาดใจ
“นายคิดว่าเขาทำจริงจังเช่นนี้เพื่อเงินจำนวนเล็กน้อยนั้นแค่นั้นจริงๆ หรือ?” ซุนจ้งหยางยังไม่เชื่อ
โม่เสี่ยวหยาเกลียดชังหลี่ว์ซู่อย่างยิ่ง เมื่อได้ยินคำพูดของซุนจ้งหยาง นางก็แค่นเสียงหัวเราะเยาะเย้ยออกมา “เหอะๆ ชายผู้นี้ยินดีทำทุกอย่างเพื่อเงินจริงๆ หากเขายอมรับเงินเก็บออมมาตลอดชีวิตของสวีมู่จวินได้ แล้วจะมีอะไรอีกที่เขาจะทำไม่ได้? ฉันคิดว่าเขาทรยศต่อผู้บัญชาการกองทัพอู่เว่ยเพราะเงิน เวลานี้ฉันรู้สึกว่าการได้พบกับเขาเป็นสิ่งที่โชคร้ายที่สุดที่ผู้บัญชาการกองทัพอู่เว่ยเคยประสบมาเลยทีเดียว”
“เฮ้ นายคิดบ้างไหมว่า หรือจะเป็นศัตรูของเราส่งเขาให้เข้าไปแทรกซึมในกองทัพล่วงหน้าหรือเปล่า?” ใครบางคนเอ่ยถามขึ้น
“ไม่น่าเป็นไปได้” ซุนจ้งหยางส่ายศีรษะ “บอกตามตรง มันน่าแปลกใจที่เขามาอยู่ในกองคาราวาน หากเขาเป็นสายลับแล้วซุ่มรอจะทำร้ายเราจริงๆ เขาก็ไม่น่าจะทำตัวให้เด่นออกมา…”
หลี่ว์ซู่กำลังทำตัวให้เด่นหรือ? ไม่นะ อันที่จริงแล้ว หลี่ว์ซู่ไม่ได้เด่นอะไรเลย แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ซุนจ้งหยางและพวกของเขาถึงสนใจหลี่ว์ซู่มากนัก…
“เฮ้ พวกนายคิดว่าเขาอาจจะเป็นผู้บัญชาการกองทัพอู่เว่ยหรือเปล่าล่ะ?” ใครบางคนถามขึ้นอย่างสงสัย
“ไม่น่าจะใช่นะ มียอดฝีมือระดับหนึ่งสี่คนอยู่ในอันดับแรกของกองทัพอู่เว่ย และผู้บัญชาการกองทัพอู่เว่ยก็ย่อมต้องเป็นหนึ่งในนั้นด้วย ไม่เช่นนั้น เหตุใดคนอื่นๆ ถึงฟังเขาล่ะ และเล่ออี๋หลี่ว์ผู้นี้ก็ไม่มีจิตวิญญาณทางทหารเลย!”
“ฉันคิดว่าเรายังต้องระวังเขาเอาไว้ดีกว่า” โมเสี่ยวหยากล่าวอย่างเย็นชา แล้วถามหัวหน้ากองคาราวานว่า “นายคิดว่าเขาอยู่ในระดับใด”
“น่าจะเป็นยอดฝีมือระดับสองขั้นสูงสุด” หัวหน้ากองคาราวานคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อว่า “เขาดูไม่เหมือนยอดฝีมือระดับหนึ่ง แต่เขาก็ดูเกินกว่าจะเป็นยอดฝีมือระดับสองธรรมดา คุณชายอาจจะไม่ได้ สังเกตท่าทีของเขาในขณะนั้น แต่กระผมสังเกตเห็น… เขาดูสงบเกินไป คนธรรมดาจะไม่นิ่งสงบถึงขนาดนั้น มันเหมือนกับว่า เขามีความรู้สึกว่าการลอบโจมตีและการต่อสู้นั้นล้วนเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเขาเหมือนกับการดื่มน้ำและการกินที่อยู่ในชีวิตประจำวันของเขา!”
และนั่นก็คือสิ่งที่หัวหน้ากองคาราวานรู้สึกในเวลานั้น เขาไม่รู้ว่าเขาวิ่งกองคาราวานมากี่ปีแล้ว เขาได้พบกับโจร กองทหารประจำการ และสงคราม เรียกได้ว่าเขาได้เห็นคลื่นลมรุนแรง สถานการณ์วุ่นวายต่างๆ มามากมายแล้ว แม้ว่าเขาจะจัดการกับวิกฤตได้เสมอ แต่หัวหน้ากองคาราวานก็สามารถจะสงบสติอารมณ์ได้เมื่อเผชิญกับการลอบโจมตีและลูกธนูขนนกที่อยู่ข้างหน้าเขา ในขณะที่ความสงบของหลี่ว์ซู่นั้นให้ความรู้สึกราวกับว่าเขาสามารถควบคุมชีวิตและความตายอยู่ในมือของเขาเองอย่างสมบูรณ์ และไม่มีใครจะสามารถแตะต้องมันได้เช่นกัน
โมเสี่ยวหยาเยาะเย้ยว่า “ฉันรู้ว่าเขาต้องมีบางอย่างผิดปกติ ฉันคิดว่าเราควรให้ความสนใจติดตามเขาอย่างใกล้ชิด หากเขายังสามารถทรยศผู้บัญชาการทหารได้ แล้วเขาจะทรยศเราเพื่อเงินไม่ได้หรือ? เราควรขับไล่เขาออกไปเพื่อไม่ให้เขากลายเป็นภัยคุกคามกองคาราวานหรือไม่?”
“เสี่ยวหยาพูดถูก เราควรป้องกันเอาไว้ก่อน แต่จะเป็นการโหดเหี้ยมเกินไปหรือไม่ที่จะไล่เขาออกไป?” ใครบางคนสงสัย
และชั่วขณะนั้นก็มีได้ยินเสียงควบม้าดังขึ้นในยามค่ำคืน พร้อมกับเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดของรถม้าที่บดล้อลงบนพื้น ไม่ใช่ว่าจะมีใครมา แต่มีคนจะออกจากกองคาราวาน…
ซุนจ้งหยางชะงักไปครู่หนึ่งก่อนที่จะนำคนกลุ่มหนึ่งรีบไปดู จากนั้นใบหน้าของเขาก็มืดทะมึนขึ้นทันทีเมื่อพบว่า ในขณะนั้น หลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋กำลังจะจากไปในคืนนั้น
เขายังคงคิดอยู่ว่าการขับไล่ผู้คนออกไปนั้นโหดร้ายเกินไปหรือไม่ แต่ว่าหลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋เองกลับต้องการที่จะจากไป
ซุนจ้งหยางเป็นคนฉลาด ดังนั้นในเวลานี้ ซุนจ้งหยางจึงอยากทำความเข้าใจว่าทำไมชายหนุ่มคนนี้จึงต้องการจะจากไป และอีกฝ่ายก็กังวลว่าเขาจะกลายเป็นเหยื่อที่ถูกซุ่มโจมตีและถูกปิดล้อมพร้อมกับกลุ่มคนของเขา! พวกเขาแค่กังวลถึงความปลอดภัยหากมีหลี่ว์ซู่ร่วมทางไปด้วย แต่สิ่งที่หลี่ว์ซู่กังวลคือ เขาคิดว่าอาจจะไม่ปลอดภัยที่จะติดตามกลุ่มคนเหล่านี้ไป…
“ได้รับแต้มอารมณ์จากซุนจ้งหยาง+666…”
“จาก… ”
ใบหน้าของซุนจ้งหยางมืดทะมึนขึ้นทันทีขณะถามว่า “นายจะไปไหน?”
หลี่ว์ซู่กล่าวตอบอย่างสงบว่า “เมื่อเป็นแบบนี้ ฉันคิดว่ามันไม่ปลอดภัยที่จะติดตามพวกนายไป พวกเราค่อยไปพบกันในเมืองหลวงอีกครั้งเถอะ แล้วฉันจะช่วยหาผู้บัญชาการกองทัพอู่เว่ย…”
โมเสี่ยวหยาโกรธจัดขณะกล่าวว่า “นายคิดจะไปในขณะที่ตอนนี้ทุกคนกำลังตกอยู่ในอันตรายงั้นหรือ?”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉันล่ะ?” หลี่ว์ซู่งุนงงเล็กน้อย สำหรับเขา นี่คือกลุ่มคนที่คอยจับผิดเขาแม้ว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ตาม เขายังดีพอด้วยซ้ำที่ไม่กวาดล้างพวกเขาทั้งหมดพร้อมกันในช่วงกลางดึก…
โมเสี่ยวหยาผงะไปชั่วขณะแล้วกล่าวว่า “นายจะทิ้งสหายและหนีไปเมื่อมีอันตรายเช่นนี้ ต่อให้อยู่รอดได้ดี แล้วนายยังจะคบใครได้อีกหรือ?”
“แล้วมันเรื่องของเธอหรือ?” หลี่ว์ซู่ยิ่งรู้สึกแปลกใจมากขึ้น
เขามองโม่เสี่ยวหยาที่เงียบงันไป และทันใดนั้นก็ถอนหายใจออกมา ความจริงแล้ว ในชีวิตนี้ มันก็มีเพียงการใช้คำว่า “มันเรื่องของเธอ” และ “มันเรื่องของฉัน”
แล้วมันก็ให้ประโยชน์ในการช่วยแก้ปัญหาต่างๆ ได้มากมายทีเดียว…
รถม้าผ่านเส้นทางเป็นหลุมเป็นบ่อเล็กน้อย แต่หลี่ว์ซู่ยังสามารถเดินทางและฝึกฝนต่อไปได้อย่างสบายใจ
ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ซุนจ้งหยางรู้สึกเจ็บปวดใจเป็นครั้งคราว เมื่อเขานึกถึงคำที่ว่า ‘เห็นเงินเหมือนเห็นหน้าเธอ’ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเขาเห็นสวีมู่จวินย้ายที่นั่งไปอยู่เคียงข้างหลี่ว์ซู่
เขาไม่เข้าใจเลยว่า สตรีที่งดงามและมากความสามารถ ทั้งเชี่ยวชาญในการเขียนอักษร ดีดพิณ การเดินหมากทุกรูปแบบ และยังพูดจาไพเราะเช่นนี้ ทำไมถึงไปติดตรึงใจกับหนุ่มน้อยหน้าขาวแบบนั้นได้?
ในบรรดาคนสิบสองคนที่เดินทางไปกับซุนจ้งหยางนั้นประกอบไปด้วยสตรีสาวห้าคนและบุรุษหนุ่มเจ็ดคน พวกเขาล้วนเติบโตมาด้วยกัน เรียนด้วยกัน และยังคงติดต่อกันหลังจากเข้าเรียนในสำนักศึกษา แม้ว่าโม่เสี่ยวหยาและคนอื่นๆ จะงดงามมาก แต่เขาก็ไม่สามารถคิดอะไรกับพวกนางได้เพราะพวกเขาสนิทกันมากเกินไป
บางที สักวันหนึ่ง พวกเขาอาจจะถูกตระกูลจัดให้แต่งงานกันก็ได้ และหลังจากแต่งงานแล้ว คาดว่าพวกเขาก็คงจะเคารพและให้เกียรติกัน เพราะท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาจะคิดถึงผลประโยชน์ร่วมกัน
ดังนั้นแม้พวกเขาจะแต่งงานกัน ซุนจ้งหยางก็จะไม่รู้สึกกังวลใดๆ หากเขามีทาสหญิงคนอื่นๆ
“เจ้าเด็กนั่นโลภเกินไป” ซุนจ้งหยางร่ำร้องออกมา เขาเคยบอกโม่เสี่ยวหยาก่อนหน้านี้ว่าไม่ควรใช้ข้ออ้างทางศีลธรรมเพื่อกดดันให้ใครต้องปฏิบัติตามหากไม่ได้ประสบกับชีวิตที่ย่ำแย่อย่างใครเขา แต่อย่างไรก็ตาม เขากลับไม่สามารถทนได้อีกต่อไป…
ซุนจ้งหยางรู้สึกโกรธเล็กน้อยเพราะเขาถูกตบหน้าด้วยคำพูดของเขาเอง…
“เหอะๆ หากเจ้าหมอนี่ไม่โลภ แล้วจะเลือกทรยศผู้บัญชาการกองทัพอู่เว่ยไปทำไมล่ะ?” ใครบางคนแค่นเสียงเยาะ “จะให้จัดการฆ่าเขาไหมล่ะ?”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ซุนจ้งหยางก็ยังคงส่ายศีรษะ “เขาไม่ได้โกหกหรือทรยศเรา ทำไมต้องฆ่าเขาด้วยล่ะ? พวกนายอย่าโหดร้ายจนเกินไป!”
ไม่รู้ว่าด้วยเหตุใด เมื่อซุนจ้งหยางกล่าวเช่นนี้ เขามักจะรู้สึกราวกับว่าเขาพูดเกินจริงมากเกินไป แต่เขาก็ไม่รู้ว่ามีสิ่งใดผิดปรกติ
ระหว่างทาง กองคาราวานการค้าไม่หยุดที่ใดเลย หัวหน้ากองคาราวานการค้าก็ไม่สนใจเมืองที่พวกเขามักจะเคยแวะเข้าไปและทำการเปลี่ยนถ่ายขนย้ายสินค้าของพวกเขา
บัดนี้มีเพียงหัวหน้ากองคาราวานและทาสของเขา และหลี่ว์ซู่ หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ รวมถึงบรรดาลูกหลานชนชั้นสูงในเมืองหลวง
หลี่ว์ซู่ยังพูดเล่นๆ ว่าหัวหน้ากองคาราวานไม่ต้องทำธุรกิจอะไรเลย เพราะต่อให้เขาไม่เสียเวลากับการขายและขนส่งสินค้า แต่เขาก็สามารถทำเงินได้จากการพาคนขึ้นมาระหว่างทางได้
ในท้ายที่สุด หัวหน้ากองคาราวานก็ส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “รู้อะไรไหม พวกบุตรธิดาชนชั้นสูงเหล่านี้ล้วนถูกทะนุถนอมเอาใจจนเสียนิสัย แล้วพวกเขาจะรู้จักโลกที่เลวร้ายได้อย่างไร? ข้างนอกวุ่นวายมากมาย! แล้วพวกขุนนางยังมีความแค้นกันเป็นพันๆ ปีมาแล้วอยู่ด้วย! หากพวกเขาโกรธ บางทีพวกเขาอาจจะไม่ยอมปล่อยให้พวกเด็กๆ กลับไป แล้วฉันจะรับผลที่ตามมาได้อย่างไร แม้ว่าเราจะไม่พูดถึงความแค้นระหว่างพวกชนชั้นสูงก็ตาม นายคิดว่า…”
ชั่วขณะนั้น พลันมีเสียงหึ่งดังมาจากระยะไกล หลี่ว์ซู่ก็มองกวาดออกไปทันทีและเห็นจุดสีดำกำลังบินมาจากท้องฟ้าไกลโพ้น
หัวหน้ากองคาราวานไม่มีโอกาสแม้แต่จะตอบโต้ได้ทัน โชคยังดีที่หลี่ว์ซู่มีปฏิกิริยารวดเร็วและดึงเขาออกไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นหัวหน้ากองคาราวานการค้าก็เห็นลูกธนูขนนกหนาหนักพุ่งผ่านแก้มของเขาจนเกิดลมแรงพัดผ่านแก้มของเขาจนแสบแก้ม!
ทันใดนั้นเขาก็เห็นซุนจ้งหยางบินออกมาจากรถม้าทันที และรถม้าก็กลายเป็นเศษไม้จากการกระแทกของซุนจ้งหยาง
ในพริบตาเดียว ซุนจ้งหยางก็ไปถึงด้านหน้าของหลี่ว์ซู่และหัวหน้ากองคาราวาน เขายื่นมือออกไปและไขว้นิ้วชี้และนิ้วกลางหนีบลูกธนูขนนกเอาไว้ระหว่างนิ้วชี้และนิ้วกลางของเขา
จากนั้นลูกธนูก็หมุนแล้วบินตรงขึ้นไปบนท้องฟ้าราวกับว่ามีตา แล้วตกลงไปอยู่ในมือของหลี่ว์ซู่
หลี่ว์ซู่ส่งลูกศรขนนกให้ซุนจ้งหยาง และซุนจ้งหยางก็หันหลังกลับไปถามหัวหน้ากองคาราวานว่า “รู้จักลูกธนูขนนกนี้หรือไม่?”
ลูกธนูขนนกเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปจะใช้ได้ หัวลูกธนูหนาพอๆ กับหมัดของทารกและมันทำด้วยทองคำและเหล็ก
หัวหน้ากองคาราวานส่ายศีรษะแล้วกล่าวว่า “แม้มันจะไม่ใช่ของธรรมดา แต่ก็มีพวกทาสและคนเร่ร่อนมากมายที่เก่งในเรื่องนี้ กระผมไม่สามารถระบุได้ว่าใครเป็นคนใช้มัน โดยปกติแล้ว การลอบโจมตี จะไม่แหวกหญ้าให้งูตื่นและจะ เป็นการดีที่สุดที่จะฆ่าด้วยการลงมือเพียงครั้งเดียว แต่คนเร่ร่อนเหล่านั้นล้วนกลัวความตาย และคุ้นเคยกับการสำรวจเส้นทางก่อนลงมือทุกครั้ง หากพบว่ายากที่จะบรรลุเป้าหมาย พวกเขาก็จะถอย พวกเขาจะทำแต่สิ่งที่พวกเขามั่นใจ และตอนนี้เมื่อท่านเคลื่อนไหวแล้ว พวกเขาก็อาจจะหนีไปออกไปไกลๆ ทันทีและจะไม่มาปรากฏตัวอีกในอีกสองสามปีข้างหน้า”
ซุนจ้งหยางขมวดคิ้วแล้วถามว่า “พวกเขาไม่มียอดฝีมือระดับหนึ่งหรือ?”
“ท่านอย่าไปไล่ตามพวกเขาเลย มีสถานการณ์อื่น…” หัวหน้ากองคาราวานมองไปที่ใบหน้าของซุนจ้งหยางอย่างลังเล
“พูดมา” ซุนจ้งหยางกล่าวนิ่งสงบ
“บางครั้งพวกเขาก็ใช้วิธีนี้ในการล่อหลอกพวกลูกหลานชนชั้นสูงในเมืองหลวง เนื่องจากคนเหล่านั้นมักจะหยิ่งทะนงและทะเยอทะยาน บางคนอาจหลงกลและไล่ตามไปจนถูกปิดล้อมและถูกสังหารในที่สุด หัวหน้ากองคาราวานการค้ากล่าวอย่างระมัดระวัง โดยพื้นฐานแล้ว คนเร่ร่อนมักดูถูกลูกหลานชนชั้นสูงในเมืองหลวง เพราะรู้สึกว่าพวกเขาหุนหันพลันแล่นและมั่นใจมากเกินไป
อย่างไรก็ตาม นี่คือความจริง แผนการของคนเร่ร่อนมักจะประสบความสำเร็จ และพวกเขาก็จะปกปิดตัวตน หลบซ่อนเป็นเวลาหลายปีเพื่อรอให้เบาะแสเกี่ยวกับตัวเองทั้งหมดหายไป ก่อนที่จะออกมาปรากฏตัวอีกครั้ง
ประวัติของพวกทาสเหล่านี้มีมาช้านานแล้ว และพวกมันเป็นภัยคุกคามที่ซ่อนเร้นหลังจากการต่อสู้นองเลือดที่ราชันองค์เก่ามีส่วนร่วมและรวมถึงยังมีทาสบางคนที่ค่อนข้างดุร้ายและโหดเหี้ยมอีกด้วย
เมื่อหลี่ว์ซู่ที่อยู่ข้างๆ ได้ยินว่ายังมีทาสที่ดุร้ายในจักรวาลหลี่ว์ เขาก็รู้สึกราวกับว่าพวกเขาทำตัวเหมือนรับจ้าง พวกเขากล้าโจมตีแม้แต่ลูกหลานชนชั้นสูงที่มีอำนาจอย่างซุนจ้งหยางได้อย่างไร?
“ไม่รู้ว่าพวกเขาพุ่งเป้าไปที่ใคร?” ซุนจ้งหยางฉงน มีสิบสองคนที่นี่และแต่ละคนก็อาจดึงดูดศัตรูที่ทรงพลังเหล่านี้ได้ มันเป็นความจริงที่ว่าพวกชนชั้นสูงสามารถโดดเด่นขึ้นมาได้ด้วยการเหยียบย่ำซากศพคนไปมากมายจริงๆ
อย่างไรก็ตาม ซุนจ้งหยางและพวกของเขาก็กล้าพอที่จะปรากฏตัวออกมา หากพวกเขาเป็นพวกบุตรชายชนชั้นสูงธรรมดาจริงๆ พวกเขาก็โง่มากที่จะออกมาโดยไม่มีผู้ติดตาม แต่ซุนจ้งหยางไม่ได้โง่ พวกเขาคิดถึงสถานการณ์ที่หัวหน้ากองคาราวานกล่าวเอาไว้ก่อนอยู่แล้ว
ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็มียอดฝีมือระดับหนึ่งสี่คนและยอดฝีมือระดับสองแปดคนซึ่งมีทักษะที่น่ากลัวอย่างยิ่งเช่นกัน พวกเขาพูดถึงเรื่องนี้กันก่อนที่จะออกมาแล้ว และซุนจ้งหยางตั้งใจจะให้พวกเขาฆ่าศัตรูทีละคน
และนี่ก็คือความมั่นใจในตนเองของซุนจ้งหยางและพวกของเขา
อย่างไรก็ตาม หัวหน้ากองคาราวานก็จำภาพเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ได้ และก็แสร้งทำเป็นมองหลี่ว์ซู่เพื่อตรวจสอบ
ชั่วขณะนั้น เขาซึ่งเป็นยอดฝีมือระดับสอง แต่กลับไม่สามารถโต้ตอบอะไรได้ทันเลยเพราะลูกธนูนั้นรวดเร็วมาก กว่าจะได้ได้ยินเสียงก็สายเกินไปที่จะหลบหลีกลูกธนูที่รวดเร็วพวกนั้นได้! และเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงดังราวกับเสียงระเบิด ลูกธนูนั้นก็พุ่งมาถึงตรงหน้าของพวกเขาแล้ว!
แต่แม้ว่าหัวหน้ากองคาราวานจะไม่สามารถโต้ตอบได้ทันท่วงที แต่หลี่ว์ซู่กลับสามารถตอบโต้ได้ เดิมทีนั้นหัวหน้ากองคาราวานคิดว่าหลี่ว์ซู่เป็นเพียงผู้บำเพ็ญตัวเล็กๆ ที่ไม่มีความสำคัญ และซุนจ้งหยางและพวกของเขายังกล่าวล้อเลียนกันเล่นๆ ว่า ต่อให้หลี่ว์ซู่จะพยายามฝึกฝนอย่างหนักก็ตาม แต่ก็เป็นได้แค่เจ้าตัวไร้ประโยชน์เท่านั้น
หลี่ว์ซู่พบว่าหัวหน้ากองคาราวานแอบตรวจสอบเขาอยู่ ดังนั้นเขาจึงยิ้มแล้วกล่าวว่า “ฉันจะไม่จ่ายเงิน หากคุณคิดจะหักหลังเรา”
หัวหน้ากองคาราวานจึงพูดไม่ออก ทำไมในเวลาอย่างนี้เขาถึงยังห่วงเรื่องเงินอยู่อีกล่ะเนี่ย…
ในโลกนี้ไม่มีความเกลียดชังใดที่มีอยู่โดยปราศจากเหตุผล ไม่มีความรักใดที่ไร้เหตุผล และไม่มีแต้มอารมณ์ใดที่ไม่มีเหตุผล
ดังนั้นหลี่ว์ซู่ยังคงสงสัยว่าสวีมู่จวินพยายามจะเข้าหาเขาเพราะความหล่อของเขาหรือไม่? แต่เมื่อเขาเห็นแต้มอารมณ์จากเหวินไจ้เฝ่ย +666 เข้ามา แล้วทันใดนั้นหลี่ว์ซู่ก็เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นทันที
เหวินไจ้เฝ่ยเป็นคนส่งสวีมู่จวินผู้นี้มาใช่ไหม? แต่ทำไมเหวินไจ้เฝ่ยถึงอยากวางคนไว้เป็นสายลับที่ตัวเขาล่ะ ทำไมจอมทัพสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่ถึงอยากต่อสู้กับเขาที่เป็นเพียงด้วยผู้บัญชาการกองทัพอู่เว่ยตัวเล็กๆ ล่ะ?
มันเป็นเรื่องที่แปลกมากเหมือนกันนะ
เป็นไปได้ไหมว่าแม้เหวินไจ้เฝ่ยจะบอกว่าเขาเชื่อว่าหลี่ว์ซู่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับจางเว่ยอวี่และพวกคนอื่นๆ ของเขามากนัก แต่เหวินไจ้เฝ่ยก็ยังสงสัยเขาอยู่ในใจ?
ในขณะนี้หลี่ว์ซู่รู้สึกเขินอายเล็กน้อย แล้วเขาต้องการรับเงินของสวีมู่จวินหรือไม่…
ไม่ เพราะนั่นจะเป็นการยอมรับให้สวีมู่จวินเป็นทาสของเขา…
หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าแทนที่จะแสร้งทำเป็นยอมรับเธอให้เป็นทาสของเขาอย่างไม่จริงใจ จะเป็นการดีกว่าหากเขาจะเพียงแค่ปฏิเสธเธอในตอนนี้ ภายใต้สถานการณ์ปกติที่หลี่ว์ซู่ทำเป็นไม่รู้ว่าใครส่งสวีมู่จวินมาที่นี่ แล้วเหวินไจ้เฝ่ยก็จะไม่อับอายจนกลายเป็นโกรธเช่นกัน
หลี่ว์ซู่จึงกล่าวว่า “มู่จวิน ฉันไม่สามารถรับทาสได้จริงๆ ดังนั้นอย่าขายตัวเองให้ฉันเลย”
สวีมู่จวินตกตะลึงและไม่รู้ว่าจะตอบโต้อย่างไรในตอนนั้น มันราวกับว่านางไม่ได้คาดหวังให้หลี่ว์ซู่กล่าวตอบเช่นนี้
โม่เสี่ยวหยาและคนอื่นๆ ต่างก็ตกใจเช่นกันเมื่อได้ยินสิ่งที่หลี่ว์ซู่กล่าวออกมา ต้องรู้ว่าสวีมู่จวินนั้นงดงามมาก และเหตุที่เหล่าอัจฉริยะจากเมืองหลวงตื่นเต้นกันมากนั้นก็ไม่ใช่เพราะทาสชาย…
แต่เพราะพวกเขาไม่คิดว่าจะได้เห็นทาสสาวแสนสะคราญเช่นนี้ที่นี่! ไม่เช่นนั้น ซุนจ้งหยางจะยอมรับคำพูดของสวีมู่จวินและเลือกที่จะพิสูจน์ว่าเขารู้บทกวีด้วยเช่นกันได้อย่างไร? ยิ่งพวกเขาโดดเด่นมากเท่าใด ก็ยิ่งซื้อตัวได้ยากมากขึ้นเท่านั้น นี่เป็นสิ่งที่ยากสำหรับซุนจ้งหยางและพวกของเขาที่จะยอมรับได้ หรือพูดง่ายๆ ก็คือ มันเป็นการดูถูกพวกเขา…
ความจริงแล้วการเคลื่อนไหวของเหวินไจ้เฝ่ยนั้นไร้ช่องโหว่ใดๆ สวีมู่จวินเป็นสาวพรหมจารีที่เขาคัดเลือกมาอย่างดีในบรรดาสายลับทั้งหมด และนางยังเป็นผู้เก่งกาจรอบด้านอีกด้วย!
แต่เหวินไจ้เฝ่ยก็ไม่รู้ว่า ทำไมหลี่ว์ซู่ถึงปฏิเสธนาง…
ดวงตาของโมเสี่ยวหยาเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อเห็นหลี่ว์ซู่กระทำเช่นนี้ โดยปกติแล้ว เมื่อพวกนางฟังเหล่าบัณฑิตเล่าเรื่อง หรือเชิญพวกคณะละครมาที่คฤหาสน์ของพวกนาง พวกนางจะชอบฟังเรื่องราวของคนที่โดดเด่นซึ่งโมเสี่ยวหยาจะชอบคนที่มีคุณธรรมเป็นพิเศษ
ทุกวันนี้คนในเมืองหลวงมักจะเปรียบเทียบทาสของตนอยู่เสมอ นอกจากนี้ ทาสทั้งหมดของพวกเขายังเป็นสตรี ซึ่งเดาได้ไม่ยากว่าชายเหล่านี้จะมีเล่นสนุกกับทาสของพวกเขามากมายเพียงใด
คิดแล้วมันช่างน่าขยะแขยงนัก!
ดังนั้นโมเสี่ยวหยาจึงมองไปที่ใบหน้าของหลี่ว์ซู่ และทันใดนั้นก็ยิ่งรู้สึกวุ่นวายใจ …
แต่ชั่วขณะนั้นหลี่ว์ซู่ก็มองไปที่ใบหน้าอาบน้ำตาของสวีมู่จวินและไม่สามารถทนได้ เขาชะงักและครุ่นคิดอยู่สองวินาทีก่อนจะกล่าวว่า “หากเธอยินดี เธอก็สามารถให้เงินของเธอกับฉันได้ ฉันจะเอาเงินของเธอไป มันจะทำให้รู้สึกเหมือนเธอได้อยู่เคียงข้างฉัน เห็นเงินแล้วก็เหมือนเห็นหน้าเธอ… “
แล้วจู่ๆ โม่เสี่ยวหยาก็รู้สึกราวกับว่ามีกระจกใสสะอาดในหัวใจของเธอได้แตกสลาย…
มันแตกออกเป็นชิ้นๆ มากมาย…
“ได้รับแต้มอารมณ์จากสวีมู่จวิน +666!”
“ได้รับแต้มอารมณ์จากโมเสี่ยวหยา… “
ซุนจ้งหยางมองไปที่หลี่ว์ซู่แล้วก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาฉับพลัน ทาสหญิงที่เขาไม่สามารถได้รับมานั้น กลับมอบตัวเองให้ชายหนุ่มคนนี้โดยที่เขาไม่ต้องจ่ายอะไรเลย แต่ชายหนุ่มคนนี้กลับปฏิเสธนาง! เขาต้องการแค่เงิน ไม่ใช่ตัวนาง!
แต่สวีมู่จวินกล่าวว่า “ได้ สิ่งที่ท่านกล่าวมานั้นสมเหตุสมผลยิ่ง ดังนั้นโปรดนำเงินของข้าไปเถิด”
ขณะกล่าว สวีมู่จวินก็เงินออกมาจากแขนเสื้อแล้วส่งให้หลี่ว์ซู่ จากนั้นนางก็กล่าวอย่างเศร้าใจใหญ่หลวงว่า “นี่คือ… นี่คือเงินที่ข้าเก็บไว้มาทั้งชีวิต…”
หากหลี่ว์ซู่ไม่รู้ว่าเธอถูกเหวินไจ้เฝ่ยส่งมา เขาก็อาจจะทนไม่ได้และไม่เต็มใจรับเงินของเธอ เขายังเป็นคนที่หาเงินมาได้อย่างยากลำบาก เขารู้ว่ามันยากแค่ไหนที่จะหาเงินและประหยัดเงินเพื่อความอยู่รอด แต่ตอนนี้มันต่างออกไป เขาทำได้เพียงถอนหายใจว่า เหวินไจ้เฝ่ยช่างใจกว้างจริงๆ ในการอนุมัติเงินทุนเป็นค่าใช้จ่ายของเขา ไม่รู้ว่าเหวินไจ้เฝ่ยจะส่งคนมาหาเขาอีกในอนาคตไหม? เมื่อเขาคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็มีความหวังตั้งตารอมัน…
ซุนจ้งหยางมองดูหลี่ว์ซู่รับเงินแล้วหันหลังกลับและเดินจากไป หากเขาไม่จากไป แล้วเขาจะทำอะไรได้อีกเล่า? จะรอให้สวีมู่จวินเสียใจกับการตัดสินใจของนางหรือ?
“สาวน้อย” โมเสี่ยวหยาตบไหล่ของสวีมู่จวิน “ผู้ชายหล่อไม่มีอะไรดีหรอก เอาเงินนี่ไป เงินของเจ้าที่ให้เขาไปแล้วนั่น ถือซะว่าเป็นบทเรียน!”
ขณะกล่าว โมเสี่ยวหยาก็ยัดเงินก้อนหนึ่งให้สวีมู่จวินแล้วจากไป ในเวลานี้โมเสี่ยวหยาไม่มีความรู้สึกที่ดีต่อหลี่ว์ซู่อีกเลย หลี่ว์ซู่ที่ทรยศต่อผู้อื่นและเวลานี้พวกนางยังได้เห็นถึงความละโมบของหลี่ว์ซู่เพิ่มเติมอีก โมเสี่ยวหยาจึงมีแต่ความรู้สึกแย่ๆ ต่อเขา…
หลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ต่างเดินไปข้างหน้า และหลี่ว์ซู่ก็ได้มอบเงินให้กับหลี่ว์เสี่ยวอวี๋โดยตรง “นางเป็นสายลับที่มีใครบางคนจงใจส่งมา ดังนั้นต่อไปนี้เราต้องระวังตัวให้มากขึ้น”
หลี่ว์ซู่ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ เขากำลังคิดว่า แล้วพวกเหวินไจ้เฝ่ยจะแน่ใจได้อย่างไรว่าพวกเขาจะเข้าไปที่ตลาดค้าทาสแห่งนี้ และยังสามารถเข้าไปในลานด้านในได้อีกด้วย?
เว้นเสียแต่ว่า…เว้นแต่พวกเขาจะสร้างสถานการณ์ทั้งหมดที่หน้าทางเข้าตลาดค้าทาสมาตั้งแต่แรก และทำให้เขาบังเอิญไปพบกับซุนจ้งหยางและพวกของเขาที่ประตูทางเข้าตลาดค้าทาส อย่างเช่น… เจ้าพวกโจรนั่นน่ะเหรอ?
บางทีอีกฝ่ายคงสร้างโอกาสเช่นนั้นขึ้นมาให้เขา ส่วนหลี่ว์ซู่จะตกเป็นเหยื่อหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตา
ซึ่งหากเป็นเช่นนี้จริงๆ หลี่ว์ซู่ก็อดที่จะปรบมือให้กับแผนการที่ยอดเยี่ยมมากเช่นนี้ไม่ได้ พวกเขาวางแผนไว้ครึ่งหนึ่งและปล่อยให้อีกครึ่งหนึ่งขึ้นอยู่กับโชคชะตา นี่เป็นแผนการที่ดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด
หากครั้งนี้ล้มเหลว ก็อาจจะมีครั้งต่อๆ ไป อีกฝ่ายมีเวลารอโอกาสที่จะทำให้สำเร็จ พวกเขาแค่ต้องทำให้สำเร็จเพียงครั้งเดียวเท่านั้นจึงจะสบายใจได้จริงๆ
เมื่อกลับไปที่กองคาราวาน หลี่ว์ซู่ก็พบว่า ซุนจ้งหยางและพวกของเขาไม่แม้แต่จะเหลือบมองเขา ราวกับว่าพวกเขาดูถูกเหยียดหยามหลี่ว์ซู่มาก
หลี่ว์ซู่มีความสุข แน่นอนว่าพวกเขาไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาทำ เพราะพวกเขาไม่รู้สถานการณ์ แต่เขาจะสามารถอธิบายเรื่องนี้กับซุนจ้งหยางและพวกของเขาได้หรือ? หลี่ว์ซู่จำเป็นต้องอธิบายให้พวกเขาฟังหรือไม่ล่ะ? ไม่จำเป็น
ในโลกนี้มีผู้คนมากมายที่ผ่านไปมา หลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ได้อยู่ด้วยกันและต่างพึ่งพากันมานานหลายปีแล้ว พวกเขาได้เรียนรู้วิธีที่จะไม่ใส่ใจต่อความคิดเห็นของคนอื่นมานานแล้ว เวลานี้ ตราบใดที่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ไม่รังเกียจเหยียดหยามเขา เขาก็ไม่สนใจอะไร
ในยามค่ำคืน หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ได้เตรียมขนมมากมายให้หลี่ว์ซู่บนรถม้า ราวกับจะเป็นรางวัลสำหรับเขา…
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ผลักขนมทั้งหมดส่งให้หลี่ว์ซู่แล้วกล่าวว่า “นี่ กินซะ!”
ก่อนออกเดินทางในวันรุ่งขึ้น หลี่ว์ซู่ก็สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติในกองคาราวาน ซุนจ้งหยางและพวกของเขาต่างพากันมองมาที่เขาอย่างเย็นชา หลี่ว์ซู่มองไปที่เสื้อผ้าที่กำลังสวมใส่ของเขาและก็พบว่า เขาไม่ได้สวมใส่อะไรผิดปกติไปนี่นะ
แต่ทันใดนั้น สวีมู่จวินก็ปรากฏตัวออกมาแล้วกล่าวว่า “ข้าจะตามท่านไปที่เมืองหลวงด้วย”
หลี่ว์ซู่ตะลึงงันเป็นเวลานาน เกิดบ้าอะไรขึ้นเนี่ย? เขาคิดว่าจะมีสายลับใหม่มาพร้อมกับเงินก้อนใหม่ซะอีก แล้วทำไมมันถึงยังเป็นสวีมู่จวินล่ะ?
ไม่น่าแปลกใจเลยที่ซุนจ้งหยางและพวกของเขาจะมองดูเขาอย่างเกลียดชัง พวกเขาอิจฉาเขา…
โม่เสี่ยวหยาเข้าไปในรถม้า และเสียงของนางก็ดังขึ้นยิ่งกว่าเสียงควบม้า “หนุ่มน้อยหน้าขาวๆ ไม่มีอะไรดี ในโลกนี้ช่างมีคนโง่งมมากมายเหลือเกิน”
ในตอนนี้นางเสียใจที่ได้ให้เงินสวีมู่จวิน ไม่เช่นนั้น สวีมู่จวินย่อมจะไม่มีเงินพอที่จะมาเป็นลูกค้าของกองคาราวานการค้านี้ได้
ชายหนุ่มข้างๆ ซุนจ้งหยางถอนหายใจด้วยอารมณ์หงุดหงิดแล้วกล่าวว่า “นี่คือรักแท้หรือ? นางยินดีที่จะตามเขาไปตลอดการเดินทางอันยาวนานถึงเมืองหลวง ช่างซาบซึ้งอะไรอย่างนี้!”
ซุนจ้งหยางไม่พอใจและระเบิดอารมณ์ออกมาทันที “หุบปากซะ!”
และหลี่ว์ซู่ก็รู้ได้ทันทีว่าหลังจากที่สวีมู่จวินปรากฏตัวออกมา เขาก็ได้รับแต้มอารมณ์จากซุนจ้งหยางและโม่เสี่ยวหยาอย่างมากมายไม่รู้จบตลอดระหว่างการเดินทาง…
แล้วกองคาราวานการค้าก็เริ่มเดินทางอีกครั้ง!
กล่าวกันตามตรง สำหรับความคิดของหลี่ว์ซู่แล้ว ยังไม่มีประโยชน์ใดคุ้มค่าพอที่จะให้เขาขายตัวเองไปเป็นทาสได้ แม้กระทั่งระดับปรมาจารย์ก็ตาม
ซุนจ้งหยางโบกมือแล้วกล่าวอย่างไม่พอใจว่า “ฉันไม่ชอบคนขายตัวเองเพื่อผลประโยชน์แบบนี้ที่สุด ยังมีทาสคนอื่นอีกไหม?”
ผู้จัดการเฒ่าหัวเราะอย่างโอ่อวดขณะกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้น กระผมจะพาทาสอีกสองสามคนมา แต่ท่านต้องเข้าใจนะว่านี่เป็นทาสที่ดีที่สุด พวกเขามักจะมาที่ตลาดด้วยเหตุผลของพวกเขาเอง และคนทั่วไปก็ไม่มีสิทธิ์เข้ามาที่นี่”
“หมายความว่า มีทาสอย่างอื่นด้วยงั้นหรือ…” ซุนจ้งหยางลังเล “เช่นนั้นมีทาสหน้าตาดีมีคุณภาพเยี่ยมไหม? แล้วจะเป็นการดีที่สุดหากมีการศึกษาดีทั้งดีดพิณ เดินหมาก เขียนอักษรได้ และจะดียิ่งขึ้นหากเข้าใจบทกวีแห่งราชัน”
เมื่อซุนจ้งหยางกล่าวเช่นนี้ ผู้จัดการเฒ่าก็เข้าใจได้ในทันที
ทันใดนั้น หลี่ว์ซู่ก็พูดไม่ออก ปรากฏว่าในเมืองหลวงทาสประเภทนี้… ไม่มีความแตกต่างอะไรกับเหล่านางสนมในสมัยโบราณบนโลกนั้น?
หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าทาสเหล่านี้ไม่มีอะไรน่าสนใจ… เดี๋ยวก่อน แล้วทำไมถึงพาทาสชายมาที่นี่ด้วย…
เมื่อมองไปก็พบว่า คราวนี้ผู้จัดการเฒ่าพาทาสมามากกว่าสิบคนและครึ่งหนึ่งเป็นชาย ทว่าทันใดนั้น หลี่ว์ซู่ก็พบว่า อัจฉริยะแห่งเมืองหลวงที่อยู่ข้างๆ ซุนจ้งหยางพลันมีทีท่าตื่นเต้นอย่างมาก.. .
เขาไม่เข้าใจโลกนี้จริงๆ
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋เหลือบมองไปที่หลี่ว์ซู่แล้วถามว่า “พวกเขาเป็นยังไง?”
หลี่ว์ซู่กล่าวด้วยความรู้สึกชอบธรรมว่า “ฉันไม่ชอบเห็นคนขายตัวเองเพื่อผลประโยชน์”
ผู้จัดการเฒ่าชำเลืองมองเขาและกล่าวกับซุนจ้งหยางว่า “พวกเขาล้วนมีความสามารถในการอ่านบทกวีแห่งราชัน ท่านอยากให้พวกเขาแสดงให้ชมหรือไม่ขอรับ?”
ซุนจ้งหยางกล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “ให้ฉันได้ฟังบทกวีแห่งราชันสักสองบทเถอะ”
หลี่ว์ซู่คิดกับตัวเองว่า นี่นายเป็นเด็กที่สนใจวรรณกรรมและศิลปะจริงๆ หรือ? ดูไม่เหมือนเลย!
อย่างไรก็ตาม ชั่วขณะนั้นก็มีทาสสาวแสนสวยสวมชุดยาวสีเขียวกล่าวอย่างยโสว่า “ฉันได้ยินว่า ท่านเพิ่งกล่าวว่าไม่ชอบคนที่ขายร่างกายเพื่อผลประโยชน์มากที่สุด แต่ท่านอาจเข้าใจผิดไปเอง ในลานนี้ ไม่เพียงแต่นายจะเลือกทาส แต่ทาสยังเลือกนายของตนด้วย เป็นเรื่องง่ายสำหรับท่านที่จะทำให้เราท่องบทกวีแห่งราชัน แต่ผู้ใดจะรู้ว่าที่เรายอมจำนนต่อท่านนั้นมันผิดหรือไม่?”
หลี่ว์ซู่ตกตะลึงเป็นเวลานาน พวกทาสที่นี่กล้าพูดแบบนี้เหรอ? ยังมีอีกหลายสิ่งในโลกนี้ที่เขายังไม่รู้อีกหรือ?
หรือจางเว่ยอวี่จะพูดถูก? อย่างที่ได้พูดก่อนหน้านี้ว่าทาสที่มีความรู้และสามารถเป็นอาจารย์ได้ จะไม่เพียงแต่ไม่ถูกเจ้าของทาสทำทารุณกรรม แต่ยังจะได้รับความเคารพจากเจ้าของทาสอีกด้วย นี่เป็นเรื่องจริงใช่ไหม?
หลี่ว์ซู่ตระหนักว่า ซุนจ้งหยางและพวกของเขาไม่ได้รี่ไปตบหญิงสาวในชุดกระโปรงสีเขียวด้วยความโกรธเกรี้ยวแต่อย่างใด แต่กลับดูเหมือนว่าจะมองอย่างครุ่นคิด
แต่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋กล่าวอย่างเย็นชาด้วยน้ำเสียงต่ำว่า “มันเป็นเพียงแค่กลยุทธ์ทางการตลาดเท่านั้นแหละน่า”
ทันใดนั้น ซุนจ้งหยางก็หัวเราะเสียงดังและกล่าวชัดเจนว่า “เอาอย่างนี้เป็นไง พวกเรามาเล่นกัน! เราจะต่อบทกวีแห่งราชันกันคนละประโยค ด้วยวิธีนี้ ทุกคนก็จะรู้ได้อย่างชัดเจนว่าแต่ละคนรู้กันมากแค่ไหน! ฉันจะเริ่มก่อน ข้าอยู่ต้นน้ำแยงซี!”
จากนั้นคนข้างๆ เขาก็ยิ้มและกล่าวต่อบทว่า “ข้าอยู่ท้ายน้ำแยงซี”
“คิดถึงท่านทุกวันไม่เห็นหน้า ได้แต่คนึงหาทวีคูณ” ใครบางคนกล่าวรับ
และเป็นผลให้หลี่ว์ซู่ตื่นตกใจที่พบว่าถึงคราต่อบทของเขาแล้ว ทว่าแล้วประโยคต่อไปคืออะไรล่ะ?
ทุกคนล้วนมองไปที่หลี่ว์ซู่ หลี่ว์ซู่ครุ่นคิดเป็นเวลาราวสองวินาที “งั้นพวกเราไปสร้างหมู่บ้านใหม่ด้วยกันดีไหม?”
“ได้รับแต้มอารมณ์จากซุนจ้งหยาง +666!”
“ได้รับแต้มอารมณ์จากโม่เสี่ยวหยา +666!”
“จาก…”
พวกของซุนจ้งหยางทั้งหมดต่างก็รู้สึกพะอืดพะอมทันที พวกเขาดื่มน้ำจากแม่น้ำแยงซีร่วมกัน แต่นายกลับจะสร้างหมู่บ้านใหม่ด้วยกันหรือ? ไม่นะ มันเป็นแบบนั้นได้ยังไงนี่?!
แล้วบรรยากาศสูงส่งสง่างามแต่เดิมนั้นก็ได้ถูกทำลายลงฉับพลัน
หลี่ว์ซู่ยังสังเกตเห็นว่าทุกคนล้วนมีสีหน้ามืดมน เขาจึงกระแอมไอสองครั้งแล้วกล่าวว่า “อะแฮ่ม ฉันขอกลับไปที่กองคาราวานก่อน ขอให้ทุกคนสนุกนะ”
ตลาดค้าทาสนี้ช่างไร้ความหมายจริงๆ ดังนั้นหลี่ว์ซู่จึงตัดสินใจไม่อยู่ที่นี่อีกต่อไป เขาไม่สามารถเล่นอะไรก็ตามที่พวกผู้มีการศึกษาอย่างชนชั้นสูงเหล่านี้ชื่นชอบกัน
แต่ในขณะนั้น สตรีสาวในชุดเขียวก็กล่าวขึ้นมาว่า “หากท่านยินดี ฉันก็ยินดีที่จะเป็นทาสของท่าน”
หลี่ว์ซู่ชี้มาที่ตัวเองแล้วถามย้ำ “ฉันเหรอ?”
สตรีสาวในชุดเขียวแย้มยิ้มและพยักหน้าพลางกล่าวตอบว่า “ใช่แล้ว”
หลี่ว์ซู่ตกตะลึงไปชั่วขณะแล้วถามว่า “เธอคงกินอาหารกลางวันมากเกินไปแล้ว…”
“ได้รับแต้มอารมณ์จากสวีมู่จวิน +199!”
ซุนจ้งหยางและพวกของเขาต่างตกตะลึงเช่นกัน เพียงก่อนหน้านี้ไม่นาน เธอเพิ่งมองหลี่ว์ซู่อย่างดูถูกราวกับว่าเขาว่าเป็นแค่เจ้าคนบ้านนอกหลังเขา แต่เวลานี้หญิงสาวกลับถามเขาว่าเขายินดีที่จะรับเธอเป็นทาสหรือไม่? จริงจังใช่ไหมนั่น? แล้วทำไมเธอถึงยอมขายตัวให้เป็นทาสเจ้าคนหลังเขานั่นล่ะ? ในสายตาของคนอย่างซุนจ้งหยางและพวกของเขานั้น แค่ประโยคของหลี่ว์ซู่ที่ว่า “สร้างหมู่บ้านใหม่ด้วยกัน” มันยังน้อยเกินไปด้วยซ้ำที่จะเรียกเขาว่าคนบ้านนอก…
ซุนจ้งหยางไม่เข้าใจจึงถามว่า “สาวน้อย บรรดาหนุ่มๆ ที่นี่ล้วนมีความสามารถทุกรูปแบบ บางคนร่ำรวย บางคนแข็งแกร่ง บางคนทรงพลังอำนาจ… ”
แต่ก่อนที่เขาจะทันได้กล่าวจบ เด็กสาวนามสวีมู่จวินก็กล่าวออกมาทันทีว่า “ฉันเลือกคนที่หล่อเหลาที่สุดเท่านั้น”
“ได้รับแต้มอารมณ์จากซุนจ้งหยาง …”
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ครุ่นคิดลึกซึ้งทันที โลกนี้แปลกมาก บนโลกนั้น แม้หลี่ว์ซู่จะมีท่าทางดูดี แต่ก็ไม่ได้ถึงขนาดจะเรียกได้ว่าหล่อเหลาอะไรมากนัก มีเพียงคนโง่เท่านั้นแหละที่จะเรียกหลี่ว์ซู่แบบนั้นได้
ดังนั้นหลี่ว์เสี่ยวอวี๋จึงคิดว่ามีอะไรผิดปกติกับสุนทรียศาสตร์ในการชื่นชมความงามในโลกใบนี้หรือไม่? หรือจะมีอะไรผิดปกติกับตัวตนของหลี่ว์ซู่? ถึงทำให้ทุกคนต้องคิดว่าหลี่ว์ซู่หล่อเหลา?
หากมีบางอย่างผิดปกติกับตัวตนของหลี่ว์ซู่จริงๆ แล้วฉันจะไปหาคำตอบสำหรับคำถามนี้ได้ที่ไหนล่ะ?
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋จึงถามหลี่ว์ซู่ด้วยเสียงต่ำว่า “เธอคิดว่าเรื่องนี้แปลกไหม?”
หลี่ว์ซู่ถามด้วยความสงสัย “แปลกอะไรล่ะ?”
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “ทำไมทุกคนที่นี่ถึงคิดว่าเธอหล่อ?”
หลี่ว์ซู่ครุ่นคิดเป็นเวลาสองวินาทีแล้วตอบว่า “เพราะฉันหล่อจริงๆ ไม่ใช่เหรอ?”
“ได้รับแต้มอารมณ์จากหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ +666!”
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋มองหลี่ว์ซู่อย่างเย็นชาแล้วกล่าวว่า “เธอมันขี้โอ่จริงๆ ทำให้ความคิดของฉันวุ่นวายเสียสมาธิไปหมดแล้ว”
ในเวลานี้ หลี่ว์ซู่มองไปที่สวีมู่จวินแล้วกล่าวอย่างจริงใจว่า “สาวน้อย ฉันไม่มีเงินที่จะซื้อเธอหรอก ฉันต้องเอาเงินไปใช้ประโยชน์อย่างอื่น”
ไม่มีเงินหรือ?
ซุนจ้งหยางและพวกของเขาต่างพากันมองดูหลี่ว์ซู่ แม้แต่หญิงสาวอย่างโม่เสี่ยวหยาก็ยังแปลกใจ ผู้ซื้อทุกคนที่พวกเขาเคยเห็นจะชอบโอ้อวดเพื่อจะได้รับความสนใจจากสาวๆ แต่ชายหนุ่มคนนี้ได้สารภาพสถานะทางการเงินของเขาว่าไม่มีเงินเลย แล้วเขายังทำให้คนอื่นรู้สึกสบายกายสบายใจมาก โดยเฉพาะความรู้สึกว่าเชื่อถือได้เป็นพิเศษ
สวีมู่จวินกล่าวอย่างสงบว่า “ฉันมีเงินอยู่บ้าง หากท่านยินดี เงินของฉันก็จะเป็นเงินของท่าน”
และชั่วขณะนั้น… หัวใจของหลู่ซู่ก็พลันหวั่นไหว…
ส่วนซุนจ้งหยางและพวกของเขาก็ตกใจ นี่คือเธอจะขายตัวเองเป็นทาสหรือเธอจะซื้อเจ้านายกันแน่? พวกเขาไม่เข้าใจสถานการณ์เช่นนี้!
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็ผงะไปเช่นกัน เดิมทีเธอคิดว่าท่าทางเย่อหยิ่งของสวีมู่จวินนั้นเป็นเพียงแค่กลยุทธ์ทางการตลาด แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น เธอจึงกล่าวกับหลี่ว์ซู่ว่า “เธอต้องมีแผนบางอย่างแน่!”
ใบหน้าของหลี่ว์ซู่นิ่งสงบ “ใช่ ฉันเห็นด้วย เธอกำลังวางแผนล่อคนหล่ออย่างฉัน”
ในขณะนั้น เหวินไจ้เฝ่ยก็กำลังสบถด่าอยู่ในราชสำนักว่า “ย่ามันเถอะ” ทำไมมันถึงยากนักที่จะวางใครสักคนให้เป็นสายลับอยู่ข้างๆ เขา?! เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ!
เจ้าหัวขโมยรู้สึกสิ้นหวัง หลังจากที่ถูกซุนจ้งหยางและพวกของเขาจับได้ เขาต้องถูกทุบตีที่ถนนอย่างแน่นอน หัวขโมยคิดไม่ออกว่าการกระทำของเขาไปเกี่ยวข้องกับพวกเขาได้อย่างไร?
หลี่ว์ซู่มองเจ้าหัวขโมย และทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าราวกับว่าเจ้าขโมยได้ขโมยรถยนต์ไฟฟ้า แต่กลับถูกเฮลิคอปเตอร์สี่ลำไล่ล่า แล้วเฮลิคอปเตอร์เหล่านั้นยังติดอาวุธซึ่งสามารถยิงออกมาได้ทุกเมื่อ…
แต่เรื่องนี้จุดประกายความคิดให้หลี่ว์ซู่อีกอย่างหนึ่งว่า ซุนจ้งหยางและพวกของเขาไม่รู้จักเขาเลย แต่ก็ไม่พอใจเขาอย่างมากเพราะเรื่องการเดิมพันในเมืองหลวง…
ซึ่งหลี่ว์ซู่ก็ได้บอกพวกเขาไปก่อนหน้านี้แล้วว่าผู้บัญชาการกองทัพอู่เว่ยได้ไปที่เมืองหลวงแล้ว
และจากนั้นหลี่ว์ซู่ก็พาซุนจ้งหยางไปที่เมืองหลวง… เพื่อจัดการตามตกลงน่ะสิ!
หลังจากที่พวกของซุนจ้งหยางทุบตีเจ้าหัวขโมย พวกเขาก็หันกลับไปมองหลี่ว์ซู่ “เล่ออี๋หลี่ว์ เขาคือ ผู้บัญชาการกองทัพอู่เว่ยใช่หรือไม่?”
หลี่ว์ซู่อึ้งจนพูดไม่ออก “พวกนายเข้าใจผิดแล้ว เขาคือหัวขโมยที่พยายามจะขโมยของจากฉันเท่านั้น… “
ซุนจ้งหยางก็พูดไม่ออกเช่นกัน พวกเขา… ลงมือผิดคนแล้ว…
แต่ซุนจ้งหยางก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนอกจากโบกมือแล้วกล่าวอย่างเย็นชาว่า “เขาเป็นหัวขโมย พวกเราต้องลงโทษเขา!”
แม้ว่าซุนจ้งหยางและพวกของเขาจะเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่พวกเขาก็รู้ดีว่าไม่สามารถไปกล่าวโทษหลี่ว์ซู่ได้ เพราะท้ายที่สุดแล้ว หลี่ว์ซู่เพียงตะโกนบอกให้เขาหยุดเท่านั้น และไม่ได้บอกเลยว่านี่คือผู้บัญชาการกองทัพอู่เว่ย
ดังนั้นซุนจ้งหยาง โม่เสี่ยวหยาและพรรคพวกจึงไม่คิดเรื่องนี้มากนัก เมื่อพวกเขาจัดการเจ้าหัวขโมยได้ มันก็ไม่สำคัญ แล้วพวกเขาก็ไม่ได้สร้างแต้มอารมณ์ให้หลี่ว์ซู่
ในเวลานี้ซุนจ้งหยางมองดูหลี่ว์ซู่แล้วกล่าวว่า “นายมาที่นี่เพื่อเยี่ยมชมตลาดค้าทาสด้วยหรือ?”
หลี่ว์ซู่ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็มองไปที่สภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างละเอียด มีประตูเปิดแง้มเอาไว้ซึ่งนำไปสู่ลานกว้างด้านใน เขาเห็นเวทีที่ทำด้วยไม้ และมีคนที่มีตราทาสยืนอยู่บนเวทีและมีบรรดาผู้ที่มาประมูลซื้อหลายรายที่อยู่ด้านล่างนอกเวทีกำลังดูทาสที่อยู่บนเวทีนั้น
“พวกเราอยากเข้าไปดู เข้าไปข้างในกันเถอะ” หลี่ว์เสี่ยวอวี๋กล่าวด้วยดวงตาสดใสเจิดจ้า
หลี่ว์ซู่มองเข้าไปด้านในอย่างกังวลแล้วกล่าวว่า “พวกทาสชายที่อยู่ข้างในนั้นสวมกางเกงในแค่ตัวเดียวนะ”
“แล้วชุดว่ายน้ำชายดีกว่านี้แค่ไหนล่ะ?” หลี่ว์เสี่ยวอวี๋กลอกตาแล้วดึงหลี่ว์ซู่เข้าไป เธอไม่ได้คิดจะซื้อทาสเลยด้วยซ้ำ แต่เพียงแค่อยากรู้อยากเห็นมากเท่านั้น
เนื่องจากตลาดประเภทนี้มีอยู่น้อยมากในโลก เพราะเมื่อพวกมันถูกค้นพบ ก็จะต้องเผชิญกับความกดดันอย่างรุนแรงจากความรู้สึกของผู้คน ดังนั้นพวกมันจึงไม่ได้มาอยู่ในย่านใจกลางเมืองอย่างที่เป็นอยู่ในโลกใบนี้
ซุนจ้งหยางและพวกของเขามองดูเหล่าทาสบนเวทีและดูเหมือนจะหมดความสนใจไปทันที มีการระบุระดับความแข็งแกร่งหรือความเชี่ยวชาญพิเศษห้อยอยู่ที่คอของทาสเหล่านั้น บางคนเก่งในเรื่องการสร้างบ้าน ขณะที่คนอื่นๆ มีฐานพลังระดับห้า อย่างไรก็ตาม ทาสเหล่านี้ไม่ดึงดูดให้ซุนจ้งหยางและพวกของเขารู้สึกสนใจได้เลย
ในสายตาของซุนจ้งหยางนั้น ทาสระดับห้าไม่จำเป็นสำหรับพวกเขา บรรดาขุนนางในเมืองหลวงได้เปรียบเทียบทาสที่แข็งแกร่งของพวกเขาว่าเทียบเท่ากับทาสระดับห้าถึงจำนวนหนึ่งพันคน
หลี่ว์ซู่เหลือบไปมองที่ป้ายราคาของทาสระดับห้าซึ่งบอกไว้อย่างชัดเจนด้วยราคาที่แปดพันหยวน
ราคานี้ทำให้หลี่ว์ซู่เข้าใจราคาสินค้าโภคภัณฑ์ของจักรวาลหลี่ว์อีกครั้ง ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าตอนนี้เขามีเงินสิบล้านหยวนอยู่ในมือ ก็ย่อมต้องถือว่าเขาเป็นคนรวยอย่างแน่นอน
ซุนจ้งหยางขมวดคิ้วแล้วถามว่า “ใครรับผิดชอบที่นี่?”
แล้วชายชราคนหนึ่งก็รีบปรี่เข้ามาแล้วถามว่า “พ่อหนุ่มน้อย กำลังตามหาฉันอยู่หรือ?”
ทันใดนั้นซุนจ้งหยางก็หยิบป้ายหยกขาวออกมาจากแขนเสื้อแล้วกล่าวว่า “เข้าใจสิ่งนี้หรือไม่?”
ผู้จัดการตลาดค้าทาสยิ้มอย่างมีความสุขทันทีแล้วกล่าวตอบว่า “เป็นคุณชายแห่งตระกูลซุนนี่เอง ท่านอย่าไปสนใจพวกทาสด้านนอกเลย ตามกระผมเข้าไปด้านในเถอะ”
ในคราแรกนั้น หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าทาสในตลาดค้าทาสนั้นมีคุณภาพต่ำเกินไป แต่กลับกลายเป็นว่าทาสที่มีคุณภาพดีที่สุดนั้นอยู่ด้านในตลาด
ผู้จัดการตลาดค้าทาสพาซุนจ้งหยางและพวกของเขาไปที่ด้านหลังลานค้าทาส หลี่ว์ซู่ก็ทะลึ่งติดตามพวกเขาไปด้วยอย่างหน้าทน แต่คราวนี้ เมื่อผู้จัดการตลาดค้าทาสเห็นหลี่ว์ซู่ เขาก็ถามว่า “พ่อหนุ่มนี่เป็นใครหรือ?”
“ฉันมากับพวกเขา” หลี่ว์ซู่กล่าวอย่างนิ่งสงบ
ซุนจ้งหยางและพวกของเขาที่อยู่ข้างหน้าก็หันขวับกลับไปมองหลี่ว์ซู่ทันที ทำให้หลี่ว์ซู่รู้สึกราวกับว่าเขาเป็นผู้เข้าร่วมการแข่งขันในเดอะว้อยซ์ออฟไชน่ารอบแรกและถูกตัดสินให้กลับไปซะ…
แต่ซุนจ้งหยางยิ้มแล้วกล่าวรับว่า “ใช่ เขามากับพวกเราด้วย”
เมื่อบรรดาคนที่อยู่ฝ่ายซุนจ้งหยางเห็นเช่นนี้ พวกเขาก็รู้สึกอยู่ในใจว่าเจ้าหมอนี่ช่างหนังหนาหน้าทนจริงๆ เขาไม่แม้แต่จะคิดว่าตนเองเป็นคนนอก
หลี่ว์ซู่คร้านจะใส่ใจพวกเขา เขาเองก็สามารถเข้าไปข้างในได้หากเขาต้องการเมื่อใช้ชื่อของเขาในฐานะผู้บัญชาการกองทัพอู่เว่ย ผู้บัญชาการกองทัพต้องมีสิทธิ์เข้าไปได้อย่างแน่นอน
เวลานี้เขาติดตามซุนจ้งหยางและพวกของเขาไป ด้านหนึ่งเพื่อช่วยแก้ปัญหายุ่งยากให้เขา และอีกอย่างหนึ่ง เขาเองก็ยังกลัวที่จะสู้กับซุนจ้งหยางและพวกของเขาเช่นกัน…
ลานด้านในนั้นวิจิตรงดงามกว่าด้านนอกมาก ในขณะที่พวกทาสด้านนอกจะยืนอยู่บนเวทีด้วยท่าทีน่าเวทนาราวกับว่าพวกเขาเป็นสัตว์ที่กำลังถูกเฝ้าดูอยู่ในขณะที่ด้านในเป็นศาลาที่ดูสง่างาม มันดูราวกับมีประตูแยกโลกสองใบที่ต่างกันมากออกไป
ผู้จัดการเฒ่ายิ้มและแนะนำซุนจ้งหยางว่า “ครั้งนี้คุณชายอยากซื้อทาสแบบไหนหรือ? เราเพิ่งได้รับทาสใหม่ๆ มาซึ่งดูไม่เลวเลย”
ซุนจ้งหยางยิ้มสบายๆ และกล่าวว่า “เอาออกมาดูให้หมด”
ผู้จัดการเฒ่าขยิบตาให้ผู้ช่วยที่อยู่ข้างๆ เขา และผู้ช่วยคนนั้นก็วิ่งออกไป เมื่อซุนจ้งหยางและพวกของเขานั่งลง บรรดาคนรับใช้ก็รีบนำขนมและชาชั้นดีมาให้
ดูเหมือนว่าซุนจ้งหยางจะไม่สนใจขนมเหล่านี้มากนัก เขาหยิบมาชิมชิ้นหนึ่ง แล้วจู่ๆ ดวงตาของเขาก็วาบสว่างขึ้น “ไม่เลว!”
โมเสี่ยวหยาก็หยิบมาชิมชิ้นหนึ่งแล้วถอนหายใจหลังจากที่กินมัน “ฉันไม่นึกเลยว่าจะมีขนมอร่อยๆ แบบนี้อยู่ที่นี่ด้วย”
หลี่ว์ซู่ก็ยังหยิบมาชิมชิ้นหนึ่งเช่นกัน แล้วจากนั้นก็ผลักจานทั้งหมดที่อยู่ข้างหน้าพวกเขาไปให้หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ เขาอยากรู้เกี่ยวกับจักรวาลหลี่ว์ทั้งหมดรวมถึงอาหารว่าง
หลี่ว์ซู่หยิบของว่างมาชิ้นหนึ่งมาบิออกครึ่งหนึ่งแล้วใส่อีกครึ่งหนึ่งที่เหลือกลับลงไปในถาดก่อนจะกล่าวกับหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ว่า “ลองดูสิ แล้วอย่ากินมากเกินไป มันไม่ค่อยอร่อยหรอก”
ผู้จัดการเฒ่าเป็นคนฉลาดมาก เขาเห็นว่าหลี่ว์ซู่ดูไม่น่าจะคุ้นเคยกับซุนจ้งหยางและพวกของเขา นั่นก็แสดงว่าเขาจะต้องไม่มีภูมิหลังที่ยอดเยี่ยมอย่างซุนจ้งหยางแน่นอน ดังนั้นเมื่อหลี่ว์ซู่บอกว่ามันไม่อร่อย เขาก็ไม่พอใจ ใครให้สิทธิ์นายวิจารณ์กันล่ะ? ขนมหวานของพวกเขาอร่อยขึ้นชื่อไปทั่วดินแดนตะวันตกเลยนะ!
แม้โมเสี่ยวหยาและคนอื่นๆ จะไม่ได้พูดอะไร แต่พวกเขาก็รู้สึกว่าเจ้าหมอนี่อวดดีเกินไป พวกเขามองไปที่เขาราวกับว่านายไม่เคยกินของดีๆ เลย แล้วยังจะมีหน้ามาบอกว่าขนมแสนอร่อยนี้ไม่อร่อยได้ด้วยเหรอ?
แต่สำหรับหลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ที่เคยกินของอร่อยบนโลกแล้ว การกินขนมแบบนี้ก็เหมือนกินเค้กนมสดที่มีครีมเค้กแบบเก่าเมื่อย้อนเวลากลับไปในยุค 90’s มันแข็งจนยากที่จะกลืนลงไปได้…
ในขณะนั้น ผู้ช่วยก็ได้กลับมาพร้อมกับนำทาสเจ็ดคนเข้ามาด้วย และผู้จัดการก็รีบพูดว่า “นี่คือทาสที่ดีที่สุดของเราที่นี่ พวกเขามีประสบการณ์การต่อสู้มานับไม่ถ้วน พวกเขาทั้งหมดล้วนอยู่ระดับสองขึ้นไป! และผู้ที่จะซื้อได้ต้องมีทักษะระดับหนึ่งขึ้นไป”
แล้วหลี่ว์ซู่ตระหนักได้ในทันทีว่า มันกลับกลายเป็นว่าผู้คนเหล่านี้เต็มใจขายตัวเองมาเป็นทาสเพื่อจะได้รับการฝึกฝน
เมืองซีตูมีขนาดใหญ่กว่าที่พวกเขาคาดไว้มาก และน่าประหลาดใจที่กำแพงเมืองดูธรรมดาและซอมซ่อ มันไม่ได้ดูแข็งแกร่งยิ่งใหญ่อลังการแต่อย่างใด
หลี่ว์ซู่เห็นทางผ่านยุทธศาสตร์อันน่าทึ่งมาตลอดทาง กำแพงเมืองสูงตระหง่านเปรียบได้ดั่งขุนเขา ย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่สร้างป้อมปราการหลังพยัคฆ์ หลักการออกแบบคือป้องกันไม่ให้ยอดฝีมือระดับสามสามารถข้ามความสูงของกำแพงป้อมปราการไปได้ กำแพงเมืองซีตูนั้นน่ากลัวมาก และหลี่ว์ซู่รู้สึกว่า แม้กระทั่งยอดฝีมือระดับสองก็ยังต้องใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อที่จะข้ามกำแพงนี้ไปได้
แน่นอนว่า ยอดฝีมือระดับหนึ่งสามารถบินได้ และกำแพงนี้ย่อมไม่สามารถป้องกันได้เลย ในขณะนั้น และพวกเขาจะต้องดูว่าใครที่ทรงพลังการต่อสู้สูงกว่า
อย่างไรก็ตาม เมืองซีตูไม่เหมือนทางผ่านยุทธศาสตร์เหล่านั้น ราวกับว่ามันไม่ได้รับการเสริมการป้องกันที่แข็งแกร่ง ด้วยเหตุผลบางอย่าง หลี่ว์ซู่ไม่รู้สึกแปลกใจ แต่กลับรู้สึกว่ามันเป็นเพราะความมั่นใจของเหวินไจ้เฝ่ยเอง หากกองทัพไม่ได้ตั้งรกรากในซีตูที่นี่ ก็ถึงเวลาที่เหวินไจ้เฝ่ยจะเคลื่อนไหว และเมื่อถึงเวลานั้นก็ไม่จำเป็นต้องมีกำแพงเมือง
แล้วเกวียนและม้าทั้งหมดก็เข้าไปในเมือง หัวหน้ากองคาราวานได้ใช้ประโยชน์จากเวลาที่ซุนจ้งหยางเที่ยวชมไปรอบๆ เมืองซีตูในการขายสินค้าที่เหมาะสม
ต้องรู้ว่าเขาได้สูญเสียเงินไปเล็กน้อยในระหว่างการเดินทางครั้งนี้ มีสินค้าบางอย่างซึ่งไม่คุ้มค่าที่จะขายหากถูกนำไปถึงเมืองหลวง แต่เขาไม่สามารถชะลอเวลาของซุนจ้งหยางและเหล่าลูกหลานผู้สูงศักดิ์คนอื่นๆ ให้ล่าช้าได้เนื่องจากเขาต้องการทำธุรกิจ และเขายังต้องพึ่งพาอาศัยอยู่ภายใต้ตระกูลซุน
แม้ว่าเขาจะทำธุรกิจมากมายใหญ่โต แต่ก็ไม่สามารถเทียบได้กับตระกูลซุน นี่คือความแตกต่างระหว่างตระกูลที่มั่งคั่งและเจ้าของทาสทั่วไป
หลังจากที่กองคาราวานการค้าทั้งหมดจากไปแล้ว หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็ยังคงอยู่ตรงประตูทางเข้ารถม้ากับหัวหน้าบาทหลวงด้วยท่าทีเบื่อหน่าย เธอมองดูถนนที่พลุกพล่านของเมืองซีตูและอยากเดินไปรอบๆ เล็กน้อย แต่เธอรู้ดีว่า หลี่ว์ซู่กำลังแข่งกับเวลาอยู่ และไม่สามารถรั้งรอได้อีกต่อไป
ดังนั้นหลี่ว์เสี่ยวอวี๋จึงยินดีที่จะอยู่ตรงที่ประตูทางเข้าแทนที่จะรบกวนหลี่ว์ซู่ให้เขาต้องเดินไปรอบ ๆ เมืองกับเธอ
แต่ทันใดนั้น ม่านของรถม้าก็ถูกเลิกขึ้นมาจากด้านใน หลี่ว์ซู่ยิ้มและกระโดดออกจากรถม้าแล้วกล่าวว่า “ไป ไปเดินเล่นรอบเมืองและดูว่าเมืองนี้เป็นยังไงกัน”
“จริงเหรอ?” ดวงตาของหลี่ว์เสี่ยวอวี๋เป็นประกายสดใสทันที “มีคนถือพวงอาหารน่าอร่อยอยู่ที่นั่น เราไปกินกันไหม?”
“แน่นอน” หลี่ว์ซู่พลางหัวเราะร่าเริง “ตอนนี้เรามีเงินแล้ว!”
ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เขาก็ยังเป็นเจ้าเมือง และยังเป็นประธานคณะกรรมการบริษัทข้ามดินแดนที่ผูกขาดตลาด…แล้วเขาจะตระหนี่กับการซื้อของเล็กๆ น้อยๆ แม้กระทั่งกินขนมแบบนี้ได้อย่างไรกันล่ะ?
ถูกต้อง ตอนนี้หลี่ว์ซู่ได้กำหนดตัวตนของเขาแบบนี้…
หลี่ว์ซู่ไม่ได้พาหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ไปที่ตลาดค้าทาส ในด้านหนึ่งนั้น หลี่ว์ซู่รู้สึกว่า หลี่ว์เสี่ยวอวี๋น่าจะเกลียดชังมัน ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องการพาเธอไปเห็นด้านมืดของโลก และอีกอย่าง เขาก็ไม่เคยคิดจะซื้อทาสเลย จึงไม่จำเป็นต้องไปที่นั่น
เวลานี้หลี่ว์เสี่ยวอวี๋มีพวงลูกชิ้นปลาอยู่ในแต่ละมือทั้งซ้ายและขวาพลางเดินไปกินไป ในขณะที่หัวหน้าบาทหลวงกำลังถือถุงซาลาเปาและเดินอยู่ข้างๆ อย่างใกล้ชิด ลูกชิ้นปลานี้แตกต่างจากโอเด้งของโลก มันมีก้างปลาเนื้อละเอียดอยู่ในลูกชิ้นปลาเหล่านี้ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อร้านค้าไม่ได้ทำความสะอาดปลาอย่างถูกต้องซึ่งปกติมันจะเกิดขึ้นเป็นครั้งคราวเท่านั้น และไม่ควรกินมัน ยิ่งไปกว่านั้น เธอยังได้ลิ้มรสหมูในขณะที่กินลูกชิ้นปลาอีกด้วย
อาหารของจักรวาลหลี่ว์นั้นไม่อร่อยเท่าของโลก สาเหตุหลักมาจากการปรุงรสและฝีมือที่ไม่ประณีตเท่า แต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคขัดขวางความสุขในการกินของหลี่ว์เสี่ยวอวี๋
ทั้งสองเดินเล่นไปรอบๆ เรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย หลี่ว์ซู่กำลังปรับตัวให้ชินกับจักรวาลหลี่ว์ให้เร็วที่สุด
และในขณะนั้น จู่ๆ ก็มีใครบางคนมาชนหลี่ว์ซู่ เมื่อเขาแตะไหล่หลี่ว์ซู่และกำลังจะก้าวเดินต่อไป ข้างหน้า ทว่าเขาก็ไม่สามารถขยับได้…
“ได้รับแต้มอารมณ์จากโจวเกอ+666!”
หลี่ว์ซู่กล่าวพลางหัวเราะอย่างเบิกบานว่า “ฉันเคยได้ยินคนพูดถึงขโมยที่เคยทำแบบนี้มาก่อน แต่ไม่เคยเห็นจริงๆ คราวนี้นายก็ทำให้ฉันได้เปิดหูเปิดตาแล้ว”
ทันใดนั้นอีกฝ่ายก็พลิกใบมีดไปมาระหว่างนิ้วของเขาขณะที่พยายามเข้าใกล้เพื่อตัดกระเป๋าที่หน้าอกด้านหน้าของหลี่ว์ซู่และขโมยของไป แต่หลี่ว์ซู่ก็พยายามหลบหลีกได้
หัวขโมยรู้ดีว่าสถานการณ์ไม่ค่อยดีนักจึงพยายามหลบหนีราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่หลี่ว์ซู่จะปล่อยให้เขาหนีไปได้อย่างไรล่ะ? หลี่ว์ซู่หัวเราะอย่างร่าเริงแล้วกล่าวว่า “เพื่อส่วนรวมหรือส่วนตัวล่ะ?”
เขาสังเกตดูหัวขโมยว่าเสื้อผ้าของเขาก็ดูเรียบร้อยหรูหรา หากเขาไม่ได้จับอีกฝ่ายด้วยมือของเขาเอง ก็คงยากมากที่จะรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นหัวขโมย!
ขโมยเดินตามมาตั้งแต่หลี่ว์ซู่และคนอื่นๆ ออกจากกองคาราวานการค้า พวกเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญในการสังเกตคนจากเมืองอื่นที่มาเยือนที่นี่ นอกจากนี้ จากการที่พวกหลี่ว์ซู่ติดตามกองคาราวานการค้ามา นั่นย่อมแสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก
เขาไม่กล้าโจมตีเด็กหนุ่มสองสามคนแรกเพราะพวกเขามีกลิ่นอายแห่งลมปราณที่ไม่ธรรมดา ซึ่งนี่ก็เหมือนกับบนโลกที่เมื่อโจรแสร้งทำว่าตกเป็นเหยื่อของอุบัติเหตุทางรถยนต์ แต่พวกเขาจะไม่มุ่งเป้าไปที่รถหรู เพราะเจ้าของรถหรูจะลงไปทุบตีทำร้ายโจรที่ดันไปแตะรถหรูที่ถนอมราวกับกระเบื้องของพวกเขา หรือบางทีรถอาจจะวิ่งเร็วเกินไปจนชนโจรตาย
ทุกวันนี้คนกล้าแตะรถหรูมีไม่มากนัก จากมุมมองเชิงวิวัฒนาการของสังคมดาร์วินนิสต์ บรรดาผู้ที่กล้าแตะรถหรูจะตายหรือไม่ก็ติดคุก ส่วนที่เหลือทั้งหมดก็ไม่กล้าพุ่งเป้าไปที่พวกรถหรูแล้ว
เมืองซีตูก็เป็นเช่นเดียวกัน มีพวกขุนนางชั้นสูงอยู่ทุกหนทุกแห่ง แม้จะไม่เท่าเมืองหลวง แต่ก็เป็นแกนหลักทางการเมืองของดินแดน ชาวบ้านจะไม่กล้ามีเรื่องกับคนในเมืองหรือจากต่างเมืองที่ดูแข็งแกร่งมาก ซึ่งจะเป็นการดีที่สุดที่ไม่แตะต้องพวกเขา และสิ่งที่พวกเขาชอบมากที่สุดก็คือ คนอย่างหลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ที่ดูไม่ได้โดดเด่นหรูหราและดูไม่ร่ำรวยนัก
ก็เลยทำให้ตัวเองเกือบตาย…
หลี่ว์ซู่ปล่อยหัวขโมยไป เขามั่นใจว่าฝ่ายตรงข้ามมีฐานพลังเพียงไม่เกินกว่าระดับหกและต่อให้เขาถึงระดับสี่ เขาก็ยังคงอยากหนีอยู่ดี เมื่อเห็นหลี่ว์ซู่
แต่ผลก็คือ ทันทีที่มันถูกปล่อยออกมา ก็มีคนสองคนเบียดเข้ามาแทรกทันทีและดูเหมือนจะเข้ามาขัดขวางระหว่างหลี่ว์ซู่กับหัวขโมยอย่างไม่ได้ตั้งใจ จากนั้นหัวขโมยก็หนีหายเข้าไปในฝูงชนทันที
คนสองคนที่เข้ามานั้นกำลังถือมีดสั้นอยู่ในมือ และพวกเขากำลังจะทำร้ายหลี่ว์ซู่ในขณะที่สีหน้าของหลี่ว์ซู่เยียบเย็น เขาดีดนิ้วและพลังกระบี่ก็พุ่งออกมาจากนิ้วของเขาแล้วเข้าทำลายมีดของพวกเขาทันที!
คนทั้งสองคนตื่นตกใจฉับพลัน นี่มันอะไรกัน?!
หลี่ว์ซู่ตะโกนเสียงเย็นไปทางหัวขโมยที่กำลังวิ่งหนีทันที “หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
อย่างไรก็ตาม ขโมยก็ไม่ได้หยุด และหลี่ว์ซู่ก็พบว่า ซุนจ้งหยางและคนอื่นๆ อยู่ในฝูงชนที่ห่างไปไม่ไกล
เมื่อซุนจ้งหยางได้ยินเสียงที่คุ้นเคย เขาก็หันไปมองดูหลี่ว์ซู่ และจากนั้นก็มองไปยังร่างที่กำลังหนีไปทางด้านหลัง เดี๋ยวก่อนนะ พวกเขารู้ว่าหลี่ว์ซู่ไม่เคยมาที่ซีตู หลี่ว์ซู่เองก็เคยพูดเช่นนั้นมาก่อน แล้วหลี่ว์ซู่จะไปมีเรื่องกับใครที่นี่ได้ล่ะ? แล้วยังตะโกนให้อีกฝ่ายหยุดด้วย?
คนที่หลบหนีไป คือ ผู้บัญชาการกองทัพอู่เว่ยใช่หรือไม่?
สำหรับซุนจ้งหยางและพวกของเขาคนอื่นๆ แล้ว มันไม่สำคัญเลยว่าจะใช่หรือไม่ เพราะไม่ว่าอย่างไร มันก็สะดวกง่ายดายสำหรับพวกเขาที่จะทำทุกอย่างได้อยู่แล้ว
จากนั้นโจรก็แอบหันศีรษะมองกลับไปในขณะที่กำลังวิ่งหนีเพื่อดูว่ามีใครไล่ล่าเขาอยู่หรือไม่ ดังนั้น เขาจึงเห็นซุนจ้งหยางและคนอื่นๆ บินขึ้นไปในอากาศท่ามกลางฝูงชน พวกเขามีสี่คนที่บินขึ้นมาพร้อมๆ กันในคราวเดียว!
ทันใดนั้น เจ้าหัวขโมยก็สติแตกทันที ทำไมถึงมียอดฝีมือระดับหนึ่งไล่ตามเขามาเยอะจริง? ทำไมต้องทำเช่นนั้นล่ะ?
มันก็แค่การขโมยเงินนิดหน่อยเท่านั้นนะ พวกคุณเป็นยอดฝีมือระดับหนึ่งที่ว่างจัดกันหรือไง?
“ได้รับแต้มอารมณ์จากโจวเกอ+999!”
และในเวลาเดียวกันนั้น หลี่ว์ซู่ก็ตกตะลึงเช่นกัน ทันทีที่ซุนจ้งหยางและพวกของเขาคนอื่นๆ บินขึ้นไป หลี่ว์ซู่ก็เดาได้ทันทีว่าเพราะอะไรซุนจ้งหยางและพวกของเขาถึงกระตือรือร้นอย่างนี้… แต่ในท่ามกลางความคิดของเขา จู่ๆ เขาก็เกิดความคิดแจ่มกระจ่างขึ้นมาทันที…
“เขาหล่อจริงๆ” หญิงสาวอีกคนหนึ่งกล่าวกับโม่เสี่ยวหยา เธอรู้สึกลืมไม่ลงเมื่อนึกถึงรูปร่างหน้าตาของหลี่ว์ซู่ “แต่อย่าได้คิดพัฒนาความรู้สึกกับเขานะ คนธรรมดาต่างชื่นชมเรื่องราวความรักของหญิงสาวผู้มั่งคั่งและชายหนุ่มที่ยากจน แต่ในความเป็นจริงมันเป็นเรื่องโง่เง่ามากทีเดียว ในเมืองหลวงก็มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นมากมาย เธอลืมเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้วหรือยังล่ะ?
บัณฑิตที่ศึกษาโคลงกวีขององค์ราชาได้เพียงสองหรือสามวันก็เริ่มล่อลวงหญิงสาวจากตระกูลหลิน แล้วเกิดอะไรขึ้นในตอนจบ?
บัณฑิตคนนั้นจมน้ำตายในแม่น้ำหลงอิ๋น และหญิงสาวคนนั้นก็ถูกบังคับให้แต่งงานกับขุนนางทางตะวันออก ขุนนางผู้นั้นแก่มากแล้ว และภรรยาของเขาก็ตายไปหลายคนแล้วด้วย!”
“เธอกำลังพูดเรื่องเหลวไหลอะไรเนี่ย?”
โม่เสี่ยวหยากลอกตา “ฉันก็แค่พูดความจริงเท่านั้น หล่อก็ว่าหล่อสิ เกี่ยวอะไรกับภูมิหลังตระกูลของเราล่ะ?”
อันที่จริงแล้วโม่เสี่ยวหยาไม่ได้คิดเรื่องนี้มากนัก แนวความคิดเกี่ยวกับชั้นเรียนในประวัติศาสตร์ของจักรวาลหลี่ว์นั้นเป็นเหมือนเลือดที่ไหลผ่านร่างกายของพวกเขา มันได้ลงลึกไปถึงกระดูกและกลายเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขาแล้ว
นอกจากนี้ พวกเธอและหลี่ว์ซู่ยังถูกลิขิตให้เป็นคนที่มาจากสองโลกที่แตกต่างกันซึ่งจะไม่มีวันได้มาปฏิสัมพันธ์กันอีกต่อไปหลังจากที่การเดินทางครั้งนี้เสร็จสิ้นแล้ว แม้ซุนจ้งหยางจะกล่าวว่าพวกเธอไม่ควรไปบังคับผู้อื่นให้รักษาศีลธรรมหรือหยุดการกระทำที่ขัดต่อศีลธรรมด้วยความคิดเห็นของตัวเองเท่านั้น แต่เมื่อโม่เสี่ยวหยาก็ยังคงรู้สึกไม่สบายใจเมื่อนึกถึงว่าชายหนุ่มคนนี้ทรยศคนอื่นเพียงเพื่อเงิน
นี่เป็นเรื่องทางศีลธรรมซึ่งไม่เกี่ยวกับว่าอีกฝ่ายจะดูดีหรือไม่
หลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋เข้าไปในรถม้าและกระซิบพูดคุยกัน หลี่ว์ซู่กล่าวว่า “ตอนนี้อย่างน้อยๆ ต้องนิ่งเอาไว้ก่อน หากปล่อยให้พวกเขาไปเมืองหนานเกิง พวกเขาก็อาจทำลายธุรกิจของเราจนพัง หลิวอี้เจาและหลี่เฮยทั่นไม่สามารถเอาชนะพวกลูกหลานชนชั้นสูงกลุ่มนี้ได้”
“อันที่จริง เราอาจจะชนะก็ได้นะ” หลี่ว์เสี่ยวอวี๋กล่าวอย่างสงบ “พวกเขาเป็นยอดฝีมือระดับหนึ่งสี่คนก็จริง แต่ไม่ว่าจะต่อสู้ร่วมกันอย่างไร พวกเขาก็ยังไม่มีประสบการณ์การต่อสู้มากเท่ากับพวกเรา เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็อาจจะลอบโจมตีในขณะที่พวกเขาไม่ทันระวังตัว ส่วนที่เหลือย่อมจะพอรับมือได้ง่ายขึ้น และแน่นอนว่า ฉันไม่คิดว่าพวกเขาจะสามารถคุกคามอะไรได้มาก เพราะพวกเขาก็ยังเป็นเพียงนักศึกษาและดูเหมือนว่าจะไม่มีจิตใจชั่วร้าย แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ฉลาดเท่าไหร่จึงโดนนายหลอกเอาได้ง่ายๆ”
หลี่ว์ซู่ตกตะลึง ปรากฏว่าหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ได้คิดหาวิธีจัดการกับคนเหล่านี้ไว้แล้ว แต่เขาก็ยังคิดเกี่ยวกับมัน แม้ว่าพวกเขาจะมีเจตนาร้าย และหลี่ว์ซู่จะต้องลำบากหากตกไปอยู่ในมือของพวกเขาอย่างแน่นอน แต่เขาก็รู้สึกไม่สบายใจอย่างมากหากต้องสังหารพวกเขาแบบนั้น
“พวกเราฆ่าพวกเขาไม่ได้ พวกเรากำลังจะไปที่เมืองหลวง หากฆ่าพวกเขา พวกเราก็ต้องจัดการตระกูลของพวกเขาเหล่านี้ต่อไปด้วย” หลี่ว์ซู่ครุ่นคิดในสิ่งที่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋พูดและรู้สึกว่ามีบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง “ทักษะการหลอกลวงผู้คนของฉันดีมากทีเดียวนะ พูดจริงเก้าส่วนพูดเท็จหนึ่งส่วน ใครฟังก็ต้องบอกว่าช่างน่าเชื่อถืออะไรอย่างนี้!”
“แล้วยังไงล่ะ?” หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ถามอย่างเย็นชา?”
“”ฉันหลอกคนโดยใช้ความสามารถของฉัน แล้วเธอมีสิทธิ์อะไรที่จะไปบอกว่าพวกเขาไม่ฉลาดล่ะ?” หลี่ว์ซู่กล่าวถาม
“เหอะๆ” หลี่ว์เสี่ยวอวี๋หัวเราะเสียงเย็น
“ฉันไม่แน่ใจว่าพวกเราจะได้รับรางวัลใดๆ หรือไม่ หากพวกเขารู้ตัวตนที่แท้จริงของพวกเราในเมืองหลวง…” หลี่ว์ซู่กล่าวพลางถอนหายใจด้วยความหนักใจ “ทำไมศัตรูยอดฝีมือระดับหนึ่งเหล่านี้ถึงปรากฏตัวออกมา? แล้วในเมืองหลวงจะยิ่งเลวร้ายขนาดไหนกันนี่?”
หลี่ว์ซู่คาดเดาเหตุการณ์ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในขณะนั้น เขาคิดว่ากลุ่มนักพนันนับไม่ถ้วนจะรายล้อมเขาเพื่อแก้แค้นและเรียกร้องค่าชดเชย และนอกจากนี้ พวกเขาทั้งหมดยังเป็นยอดฝีมือระดับหนึ่งที่สามารถเหินบินได้…
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่คิดถึงมันแล้ว หลี่ว์ซู่ก็รู้สึกว่าไม่ควรคิดเกินจริงเช่นนั้น เพราะจางเว่ยอวี่ได้กล่าวถึงจำนวนรวมของยอดฝีมือระดับหนึ่งในจักรวาลหลี่ว์ ดังนั้นลูกหลานชนชั้นสูงเหล่านี้ก็น่าจะเป็นอัจฉริยะผู้โดดเด่นในบรรดารุ่นเยาว์ของเมืองหลวง
“เราต้องใช้เวลาฝึกฝนให้เกิดประโยชน์ต่อไป” หลี่ว์ซู่กล่าว “และเมื่อถึงเวลา พวกเราก็จะมีพลังพอที่จะขอรางวัลจากพวกเขา”
หลี่ว์ซู่เริ่มฝึกฝนและเสริมสร้างพลังกระบี่ของเขาทันทีขณะที่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋กลอกตา คนอื่นอาจจะคิดว่าหลี่ว์ซู่พูดเล่น เพราะท้ายที่สุดแล้ว เขาก็ยังต้องการรางวัลหลังจากการที่หลอกคนอื่นได้ เป็นไปได้ไหมล่ะ?
แต่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋นั้นรู้ดีว่าหลี่ว์ซู่ยังอยากที่จะได้รางวัลของเขาจริงๆ
ถึงแม้คนเหล่านี้จะเข้าร่วมเดินทางกับกองคาราวานการค้าแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่ได้ไปเกี่ยวข้องกับใครเลย หัวหน้ากองคาราวานมักจะเตรียมของเล็กๆ น้อย ๆ ให้พวกเขาระหว่างมื้ออาหาร และยามเมื่อไม่มีอะไรทำ พวกเขาก็จะร่วมวงสนทนากันโดยไม่สนใจคนอื่นๆ รอบข้าง และบางครั้งพวกเขาก็ใช้เวลาฝึกฝนเช่นกัน
ชั้นเรียนในจักรวาลหลี่ว์ดำรงอยู่อย่างเป็นธรรมชาติซึ่งกลุ่มต่างๆ จะไม่รวมเข้าด้วยกันกับกลุ่มอื่น
หลี่ว์ซู่ถอนหายใจอย่างไม่สบายใจ แม้เขาจะรู้สึกว่า อัจฉริยะเหล่านี้เกิดมาพร้อมกับคาบช้อนเงินช้อนทองมาด้วย แต่พวกเขาก็ยังคงฝึกฝนอย่างหนักมาก และจะเป็นการดีที่สุดที่ทุกคนได้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข เขากังวลว่าพวกเขาจะมาพูดคุยกับเขาระหว่างการเดินทางและอาจส่งผลต่อเรื่องตัวตนของเขา เพราะหากเขายิ่งพูดมาก ก็มีโอกาสที่จะเผยความลับของเขามากขึ้น
แต่บางครั้งหลี่ว์ซู่ก็ฟังการสนทนาของบรรดาเด็กสูงศักดิ์เหล่านี้อย่างเงียบๆ ซึ่งได้ช่วยให้เขาเข้าใจโลกนี้ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น ซุนจ้งหยางกล่าวว่า จริงๆ แล้ว ผู้บัญชาการกองทัพอู่เว่ยนั้นน่าทึ่งอย่างยิ่ง…
และตัวอย่างเช่น โม่เสี่ยวหยากล่าวว่าชายหนุ่มในรถม้าที่อยู่ทางด้านหลังนั้นช่างหล่อเหลามากจริงๆ
หลี่ว์ซู่คิดว่าพวกเขาพูดถูก
และแน่นอนว่ายังมีข้อมูลที่สำคัญยิ่งกว่านั้นอีก ตัวอย่างเช่น เมื่อสามเดือนก่อน มีผู้เข้าร่วมการคัดเลือกของกระท่อมกระบี่มาถึงเมืองหลวงด้วยหวังว่าจะได้เตรียมการล่วงหน้าได้ก่อน
พวกเขาเป็นทหารชั้นยอดที่มีภูมิหลังจากตระกูลธรรมดา และเนื่องจากพวกเขาไม่มีภูมิหลังตระกูลที่ดี พวกเขาจึงทำได้เพียงต้องฝึกฝนอย่างหนักเท่านั้น
นอกจากนี้ยังมีลูกหลานของขุนนางบางคนในเมืองหลวงที่วางแผนจะกลับมาโดยผ่านการคัดเลือกของกระท่อมกระบี่ พวกเขาเหล่านี้มีโอกาสเข้าร่วมกองทัพและฝึกฝนที่นั่นเพื่อที่จะได้รับการเสนอชื่อจากกองทัพในการเข้าร่วมการคัดเลือกของกระท่อมกระบี่
ขณะที่ฟังไปเรื่อยๆ หลี่ว์ซู่ก็มีความเข้าใจคร่าวๆ เกี่ยวกับการคัดเลือกครั้งนี้ มีจำนวนผู้เข้าร่วมคัดเลือกทั้งหมดสี่สิบเจ็ดคน และจำนวนยอดฝีมือระดับหนึ่งราวเจ็ดหรือแปดคน พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นผู้เยี่ยมยอดที่สุดในแต่ละกองทัพ
ดังนั้นคู่ต่อสู้ที่แท้จริงของหลี่ว์ซู่ก็น่าจะมีเพียงราวเจ็ดหรือแปดคนเท่านั้นจึงทำให้ หลี่ว์ซู่ถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาไม่รู้ว่าเขาจะสามารถเอาชนะคนเจ็ดถึงแปดคนในคราวเดียวได้หรือไม่หลังจากที่ก้าวขึ้นสู่ยอดฝีมือระดับหนึ่ง…
คนอื่นคิดหาวิธีว่าจะกำจัดผู้คนให้มากขึ้นได้อย่างไร แต่หลี่ว์ซู่คิดยิ่งกว่านั้น ความไม่แน่นอนของการทดสอบรอบที่สองทำให้เขานึกถึงวิธีที่จะกำจัดผู้เข้าร่วมคนอื่นๆ ทั้งหมด…
ชั่วขณะนั้นซุนจ้งหยางเหลือบมองไปยังรถม้าที่หลี่ว์ซู่และคนอื่นๆ ที่เหลืออยู่ และมีท่าทีสงสัย “พี่น้องคู่นี้ค่อนข้างแปลก รู้ไหมว่านอกจากเวลาอาหารแล้ว ก็แทบจะไม่มีใครได้เห็นชายหนุ่มคนนั้นเลย? เขากำลังฝึกฝนกันอยู่เหรอ?”
“ฝึกฝนหรือ?” มีบางคนหัวเราะพลางกล่าวออกมาว่า “แล้วยังไงล่ะ? อาจจะไม่มีวิธีการฝึกฝนในทั่วทั้งเมืองหนานเกิงที่จะทำให้สามารถเลื่อนขั้นขึ้นเป็นยอดฝีมือระดับหนึ่งได้ซึ่งต่อให้พวกเขาฝึกฝนอย่างหนัก ก็ยังจะไร้ประโยชน์”
ซุนจ้งหยางยิ้มและส่ายศีรษะ เขารู้สึกว่าเขาคิดมากเกินไป กล่าวกันตามตรงแล้ว ก่อนการฝึกฝน ทุกคนจะรู้สึกว่าพวกเขาสามารถรักษาความสันโดษและฝึกฝนได้เป็นอย่างดี แต่ความมุ่งมั่นนี้กลับลดน้อยถอยลงหลังจากที่พวกเขาได้ประสบกับความน่าเบื่อของการฝึกฝนมา…
โดยทั่วไปแล้วกองคาราวานการค้าจะหยุดหลายครั้งในระหว่างทาง เพราะเดิมทีพวกเขาจะต้องหยุดและอยู่พักในแต่ละเมืองเป็นเวลาหนึ่งหรือสองวันเพื่อแลกเปลี่ยนสิ้นค้าอาหาร แต่เมื่อซุนจ้งหยางและพรรคพวกของเขาเดินทางมาด้วย หัวหน้ากองคาราวานจึงมุ่งหน้าตรงไปทางเหนือด้วยความเร็วเต็มที่ พวกเขาหยุดเพียงครั้งเดียวก่อนที่จะไปถึงเมืองซีตู
ไม่ใช่ว่าหัวหน้ากองคาราวานจะต้องการขายสินค้า แต่ซุนจ้งหยางและคนอื่นๆ ต้องการไปที่เมืองซีตู พวกเขาได้ยินมาว่ามีตลาดค้าทาสอยู่ที่นี่ และทาสที่ดีที่สุดในดินแดนทางเหนือทั้งหมดจะถูกส่งมาขายที่นี่ ซุนจ้งหยางและพรรคพวกคนอื่นๆ ของเขาจึงสนใจ และที่เมืองแห่งนี้ก็มีการแข่งขันทาส
กลุ่มคนที่ติดตามหัวหน้ากองคาราวานต่างก็หันกลับมองดูหลี่ว์เสี่ยวอวี๋และหัวหน้าบาทหลวงด้วยความอยากรู้ “เฮ้? สาวน้อยเป็นตัวแทนของกองทัพอู่เว่ยเพื่อเข้าร่วมการคัดเลือกของกระท่อมกระบี่ใช่ไหมนี่?”
แต่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ยังไม่ทันได้ตอบ ทันใดนั้นก็มีกลุ่มคนบนหลังม้าที่ควบมาจากปลายถนน หัวหน้ากองคาราวานการค้าจึงรีบนำกลุ่มขยับไปที่ข้างถนนเพื่อหลีกทางให้ “เสียงม้าควบดังชัดเจน จะต้องเป็นม้าดีแน่! อย่าไปยั่วโมโหพวกคนที่กำลังขี่ม้าพวกนี้นะ!”
เหล่าทาสต่างก็ยืนเคียงข้างกันอย่างไม่ขยับเขยื้อนไปไหน และในอีกด้านหนึ่งนั้น หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็มองด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า เพียงแค่ฟังเสียงฝีเท้าม้าเท่านั้น หัวหน้ากองคาราวานการค้าก็สามารถระบุได้ว่าอีกฝ่ายกำลังขี่ม้าแบบไหนเชียวหรือ?
เมื่อผู้คนบนหลังม้าปรากฏตัวขึ้นในสายตา ทันใดนั้นหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็พบว่าม้าของคนเหล่านี้พิเศษจริงๆ ไม่เพียงแต่พวกมันจะแข็งแกร่งกว่าเท่านั้น แต่เธอยังสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังงานระดับสามอีกด้วย และนอกจากนี้ ดวงตาของพวกม้าก็เป็นสีแดง ช่างแปลกประหลาดจริงๆ
เสียงเกือกม้าหยุดอยู่ข้างๆ หัวหน้ากองคาราวาน และชายหนุ่มที่มีกลิ่นอายแห่งพลังที่แข็งแกร่งเหนือธรรมดาก็มองไปยังกลุ่มคนในกองคาราวานแล้วเอ่ยถามว่า “เฮ้ เส้นทางไปเมืองหนานเกิงคือทางไหนหรือ?”
แล้วจู่ๆ หัวหน้ากองคาราวานก็เบิกบานขึ้นมาทันทีขณะกล่าวตอบว่า “ที่แท้ก็เป็นคุณชายตระกูลซุนนี่เอง กระผมได้เคยส่งของกำนัลไปที่ตระกูลของท่านมาก่อน”
เด็กหนุ่มบนหลังม้าตะลึงงันทันที “นายนั่นเอง ฉันจำได้ นายให้ปะการังแดงมาคู่หนึ่ง ท่านแม่ชื่นชอบมันมากทีเดียว!”
หัวหน้ากองคาราวานรู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นขณะกล่าวว่า “ใช่ ใช่ ใช่ กระผมมอบให้คุณชายเอง คุณชายจ้งหยางจะไปที่เมืองหนานเกิงหรือขอรับ?”
“ใช่” ซุนจ้งหยางกล่าวพร้อมด้วยรอยยิ้มกว้าง “นี่เป็นช่วงวันหยุดของสำนักศึกษาหลวง ฉันจะออกไปพบผู้บัญชาการกองทัพอู่เว่ย เมื่อคราวที่บ่อนพนันเปิดวางเดิมพันก่อนหน้านี้ เขาทำให้ฉันต้องสูญเสียเงินไปมากมายทีเดียว! จนตอนนี้ไม่มีเงินติดตัวเลย!”
หัวหน้ากองคาราวานรีบกล่าวอย่างรวดเร็วว่า “ท่านเป็นเชื้อสายราชวงศ์ ท่านจะไปหาเขาเองเช่นนี้ได้อย่างไร?”
“ไม่เป็นไร ฉันจะไม่ทำร้ายเขาถึงชีวิตหรอก” ซุนจ้งหยางยิ้มอย่างแข็งขัน “ฉันเพิ่งได้รับการเลื่อนขั้นเป็นยอดฝีมือระดับหนึ่งเลยอยากจะหาใครให้ลองฝึกปรือฝีมือสักหน่อย”
“โอ้ ยินดีด้วยขอรับ! หลังจากที่ไม่ได้พบท่านมาสองปี ตอนนี้ท่านก็ได้เลื่อนขั้นเป็นยอดฝีมือระดับหนึ่งแล้วหรือนี่?” หัวหน้ากองคาราวานกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เมืองหนานเกิงอยู่ทางใต้ของถนนสายนี้ ไปตามถนนสายนี้ต่อไปเรื่อยๆ ท่านก็จะไปถึงที่นั่นขอรับ”
“ตกลง” ซุนจ้งหยางโบกแส้ในมือของเขา “หากนายไปที่เมืองหลวง ก็ไปรับรางวัลที่ตระกูลซุนได้”
จากที่กล่าวมานั้น ดูเหมือนซุนจ้งหยางจะพาคนสิบเอ็ดคนที่อยู่ทางด้านหลังของเขาไปที่เมืองหนานเกิงด้วย และในขณะนั้น หลี่ว์ซู่ก็ออกมาจากรถม้าแล้วกล่าวว่า “เดี๋ยวก่อน ตอนนี้ผู้บัญชาการกองทัพอู่เว่ยไม่ได้อยู่ในเมืองหนานเกิงแล้ว รู้หรือไม่?”
ซุนจ้งหยางตกตะลึง “เขาไปไหนหรือ?”
“ฉันได้ยินคนบอกว่าเขาไปเมืองหลวง” หลี่ว์ซู่ตอบ “ฉันมีเพื่อนที่มาจากกองทัพอู่เว่ย พวกเขาบอกฉันอย่างนั้น”
หลี่ว์ซู่ไม่ได้โกหก ใช่แล้ว เพราะผู้บัญชาการกองทัพอู่เว่ย หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ ไม่ได้อยู่ในเมืองหนานเกิง และกำลังจะไปที่เมืองหลวงจริงๆ
แต่เหตุผลที่เขาหยุดคนเหล่านี้นั้นก็เป็นเพราะเขาพบว่าคนกลุ่มนี้มียอดฝีมือระดับหนึ่งถึงสี่คน
นี่จึงทำให้หลี่ว์ซู่ถึงกับครุ่นคิดอยู่ในใจ ในเมืองหลวงมีอัจฉริยะมากมายขนาดไหนกัน? มีเด็กหนุ่มเป็นยอดฝีมือระดับหนึ่งถึงสี่คนจากสิบสองคน และยิ่งกว่านั้นพวกเขายังเด็กมากอีกด้วย
อันที่จริง เขาไม่รู้ว่าคนเหล่านี้เป็นอัจฉริยะชั้นยอดของเมืองหลวง เพราะโดยพื้นฐานแล้วย่อมไม่มีใครที่ไม่รู้จักพวกเขา
แต่ไม่ว่าอย่างไร หลี่ว์ซู่ก็จะไม่ยอมปล่อยให้อัจฉริยะเยาว์วัยเหล่านี้ไปที่เมืองหนานเกิงเพื่อสร้างปัญหาแน่นอน เพราะที่นั่นเหลือเพียงหลิวอี้เจาคนเดียวเท่านั้นที่เป็นยอดฝีมือระดับหนึ่งอยู่ในเมืองหนานเกิง ซึ่งหากเด็กอัจฉริยะเหล่านี้ไปสร้างปัญหา ทหารของกองทัพอู่เว่ยย่อมจะได้รับบาดเจ็บและล้มตายลงอย่างแน่นอน
สำหรับผู้ที่ทรงพลังแข็งแกร่งจากเมืองหลวงเหล่านี้ หลี่ว์ซู่กลัวว่าพวกเขาจะไม่ใส่ใจต่อชีวิตมนุษย์และเข่นฆ่าเป็นผักปลา!
ซุนจ้งหยางหันไปมองหัวหน้ากองคาราวานแล้วถามทันที “เขาเป็นใครกัน?”
“เขาเป็นแขกที่ร่วมเดินทางมากับกองคาราวานของกระผมขอรับ” หัวหน้ากองคาราวานกล่าวพลางยิ้ม “กระผมไปอยู่ที่เมืองหนานเกิงมาครึ่งเดือนแล้ว แต่ก็ยังไม่เคยเห็นแม้แต่ผู้บัญชาการทหารด้วยซ้ำ ท่านก็รู้ว่าธุรกิจของกระผมค่อนข้างใหญ่ แต่ถึงแม้กระผมจะซื้อสินค้าของเขามากมาย เขาก็ไม่คิดที่จะพบกระผมเลย”
ซุนจ้งหยางไม่ไว้ใจหลี่ว์ซู่ แต่เขาไว้ใจหัวหน้ากองคาราวานเพราะธุรกิจมากมายของหัวหน้ากองคาราวานได้รับประโยชน์จากตระกูลซุน ดังนั้นหัวหน้ากองคาราวานย่อมจะไม่กล้าหลอกลวงเขา
จากนั้นซุนจ้งหยางก็หันศีรษะไปมองดูหลี่ว์ซู่แล้วกล่าวว่า “ฉันจัดการกับสิ่งต่างๆ ได้ด้วยความเป็นธรรมเสมอมา ขอบใจที่เตือน หากยืนยันได้ว่าข่าวนี้เป็นความจริง นายก็สามารถไปที่คฤหาสน์ตระกูลซุนเพื่อรับรางวัลของนายได้เช่นกัน”
เหล่าผู้คนที่อยู่ทางฝั่งพวกกองคาราวานต่างพากันตกตะลึง ตระกูลซุนนี้ร่ำรวยและมีอำนาจมากหรือ? แต่เมื่อมองไปที่ท่าทีประจบเอาใจของหัวหน้ากองคาราวาน ทุกคนต่างก็ลงความเห็นอยู่ในใจแล้ว ตระกูลซุนต้องมีอำนาจอิทธิพลอยู่ในเมืองหลวงไม่น้อยอย่างแน่นอน
หลังจากที่ซุนจ้งหยางกล่าวจบ เขาก็คิดจะรีบกลับไป แต่หลี่ว์ซู่ก็หยุดเขาอีกครั้ง “นายเคยเห็นผู้บัญชาการกองทัพอู่เว่ยมาก่อนหรือ? แล้วนายจะตรวจสอบยังไงหากนายไม่รู้จักเขาล่ะ?”
“แล้วยังไงล่ะ?” ซุนจ้งหยางมองดูหลี่ว์ซู่ด้วยรอยยิ้มบางแล้วถามว่า “นายรู้จักเขาหรือ?”
“ในเมื่อฉันมาจากเมืองหนานเกิง แน่นอนว่าฉันย่อมเคยเห็นเขามาแล้ว และหากฉันสามารถระบุตัวเขาได้ ฉันจะได้รับค่าตอบแทนไหม?” หลี่ว์ซู่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม
ทันใดนั้นซุนจ้งหยางก็พลันเข้าใจว่าเด็กหนุ่มที่อยู่ต่อหน้าเขาและกำลังช่วยเขาหาหลี่ว์ซู่ผู้นี้ ต้องการจะได้เงิน! เขาจึงหัวเราะออกมาทันทีและกล่าวว่า “แน่นอน ย่อมต้องมีค่าตอบแทน…”
แต่แล้วจู่ๆ หลี่ว์ซู่ก็ขัดจังหวะเขาขึ้นมาว่า “แต่เมื่อเร็วๆ นี้นายไม่ได้เพิ่งบอกเหรอว่านายยังไม่มีเงินติดตัว?”
ซุนจ้งหยางพลันนิ่งเงียบ “…”
เขามองดูหลี่ว์ซู่เงียบๆ
เหอะๆ เจ้านี่ช่างจับประเด็นได้เก่งจริงๆ
“ได้รับแต้มอารมณ์จากซุนจ้งหยาง +666!”
ซุนจ้งหยางเลิกคิ้วและกล่าวว่า “ฉันสามารถรับเงินติดตัวของฉันได้จากตระกูลในทุกๆ เดือน เงินติดตัวในแต่ละเดือนของฉันสูงมากจนนายจะคาดไม่ถึงเลย แล้วนายยังมากลัวว่าฉันจะไม่ให้เงินนายอีกเหรอ?”
“ไม่ ไม่ได้กลัวเลย” หลี่ว์ซู่กล่าวตอบด้วยรอยยิ้ม “ถ้าเป็นอย่างนั้น แน่นอนว่าฉันจะช่วยนายหาผู้บัญชาการกองทัพอู่เว่ย หลี่ว์ซู่!”
ซุนจ้งหยางมองหลี่ว์ซู่พร้อมกับชี้แส้ในมือไปที่เขาขณะกล่าวว่า “ดีมาก แล้วนายชื่ออะไร?”
“ฉันชื่อ เล่ออี๋หลี่ว์ [1] ” หลี่ว์ซู่กล่าวด้วยรอยยิ้มร่าเริง
ซุนจ้งหยางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพึมพำว่า “…เรียกง่ายจริง”
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋กลอกตา แน่นอนว่า มันย่อมจะเรียกง่ายใช่ไหมล่ะ นี่เป็นพินอินจีนนะ
“เตรียมรถม้าให้พวกเราด้วย” ซุนจ้งหยางกล่าวกับหัวหน้ากองคาราวาน “พวกเราขี่ม้ามาตลอดการเดินทางยาวไกลนี้จนทำให้เจ็บก้นแล้ว!”
หัวหน้ากองคาราวานรีบกุลีกุจอไปเตรียมรถม้าอย่างยิ้มแย้มแจ่มใสและยังจัดเตรียมสินค้าบางอย่างเอาไว้ให้ที่ด้านหลังอีกด้วย สำหรับหัวหน้ากองคาราวานแล้ว การประจบเอาใจซุนจ้งหยางเช่นนี้ย่อมมีค่ามากกว่าสินค้าของเขามากนัก
ว่ากันตามตรงแล้ว เขารู้สึกขอบคุณหลี่ว์ซู่ที่หยุดซุนจ้งหยางเอาไว้ในกองคาราวานนี้ ไม่ต้องพูดถึงประโยชน์ต่อธุรกิจของเขาในอนาคตจากการสร้างความสัมพันธ์เช่นนี้เลย เพราะนี่ยังช่วยให้เขามั่นใจได้ถึงความปลอดภัยระหว่างการเดินทางบนถนนสายนี้อีกด้วย
หากไม่เบื่อชีวิตแล้วล่ะก็ จะมีโจรคนไหนกล้ามาปล้นกองคาราวานที่มียอดฝีมือระดับหนึ่งถึงสี่คนล่ะ?
อย่างไรก็ตาม หัวหน้ากองคาราวานไม่รู้ว่า ความจริงแล้ว ในกองคาราวานของเขามียอดฝีมือระดับหนึ่งถึงเจ็ดคน และหลี่ว์ซู่ก็ยังคงฝึกฝนอย่างหนักเผื่อว่าบางทีเขาอาจจะสามารถทะลวงด่านสู่ระดับที่สูงขึ้นไปได้อีกก่อนที่พวกเขาจะไปถึงเมืองหลวง…
และนี่อาจจะเป็นกองคาราวานการค้าที่หรูหราอลังการมากที่สุดในประวัติศาสตร์…
กลุ่มของซุนจ้งหยางมีชายเจ็ดคนและหญิงห้าคน และจู่ๆ เด็กสาวคนหนึ่งก็กระซิบถามว่า “เธอเชื่อในสิ่งที่เขาพูดจริงๆ เหรอ? เธอเชื่อคนที่สามารถทรยศคนอื่นได้อย่างสบายๆ แบบนี้เหรอ?”
ซุนจ้งหยางไม่ใส่ใจและกล่าวตอบว่า “อย่าพูดอย่างนั้น โม่เสี่ยวหยา เขาแค่กำลังหารายได้ เธอไม่รู้หรอกว่าชาวบ้านธรรมดาหาเงินได้ยากแค่ไหน ดังนั้นพวกเขาจึงต้องยอมเสียศีลธรรมเพื่อฉวยประโยชน์จากผู้อื่น ถึงพวกเราจะมีจิตศีลธรรม แต่ก็ไม่ควรไปบังคับให้ต้องพวกเขาคงศีลธรรมหรือหยุดการกระทำที่ขัดศีลธรรมเพียงด้วยความคิดเห็นของเราเองเท่านั้น ฉันต้องการผลลัพธ์เท่านั้น ฉันไม่สนใจเรื่องพวกนี้”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดเหล่านี้แล้ว หญิงสาวที่มีนามว่าโม่เสี่ยวหยาก็ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “กล่าวได้ถูกต้อง…แต่เธอเห็นหรือเปล่า? เขาหล่อมาก!”
[1] หลี่ว์ผู้เบิกบาน
ก่อนออกเดินทาง หลี่เฮยทั่นคลานหลบอยู่ใต้รถม้าเพราะคิดที่จะแอบตามหลี่ว์ซู่ไป แต่เขาก็ถูกหลี่ว์ซู่จับได้เสียก่อน
หลี่ว์ซู่กล่าวอย่างจริงจังว่า “ฉันออกไปเพื่อสำรวจเส้นทางก่อนและเมื่อแน่ใจว่าปลอดภัยไม่มีปัญหา ฉันถึงจะมาพาทุกคนไป ระหว่างนี้ก็อยู่ที่นี่และฝึกฝนอย่างสงบ ความแข็งแกร่งที่มากขึ้นของทุกคนจะสามารถช่วยฉันได้ในอนาคต”
หลี่เฮยทั่นพยักหน้าอย่างรวดเร็ว พวกเขาเพียงต้องรอตามที่องค์ราชาสัญญาว่าจะเรียกพวกเขาไป!
เมื่อหลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ร่วมทางไปกับกองคาราวานการค้า โดยทั่วไปแล้วก็มีขุนนางจำนวนมากที่เข้าร่วมเดินทางกับกลุ่มของพวกเขา กองคาราวานนี้จึงยินดีที่จะพาทั้งคู่ไปด้วยกัน แลกกับการจ่ายค่าธรรมเนียมให้กับกองคาราวานการค้า และกองคาราวานการค้าก็จะรับผิดชอบค่าอาหารและที่พักประจำวันของพวกเขา
กองคาราวานจึงไม่แปลกใจอะไรมากเมื่อเห็นหลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ ประการแรกก็คือ พวกเขาไม่เคยเห็นทั้งหลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋มาก่อน และประการที่สองก็คือ พวกเขาไม่คิดว่าเจ้าเมืองหนานเกิงจะออกไปในเวลานี้ และยิ่งไปกว่านั้น หลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็ดูไม่เหมือนคนเป็นเจ้าเมือง…
ส่วนคนขับเกวียนของพวกเขาคือหัวหน้าบาทหลวงเป็นผู้เป็นยอดฝีมือระดับหนึ่ง ซึ่งได้กลายเป็นกำลังแรงงานที่ทรงพลังที่สุดของหลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋
เมื่อถึงยามค่ำ กองคาราวานการค้าจะตั้งค่ายอยู่ชายป่า เนื่องจากไม่มีคนเฝ้ายามอยู่รอบๆ หลี่ว์ซู่จึงไม่สามารถพักผ่อนได้อย่างสบายใจ เขาและหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ยังไม่ได้ก้าวเข้าสู่ยอดฝีมือระดับหนึ่ง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีสัมผัสจิตที่จะรับรู้ได้เมื่อถูกคนอื่นมุ่งร้ายใส่
คนในกองคาราวานไม่ได้คิดจะพูดคุยอะไรกับหลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ จากมุมมองของทั้งสองฝ่ายนั้น มันเป็นความสัมพันธ์ในการเป็นคู่ค้ากันเท่านั้น กองคาราวานจะนำหลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ไปส่งที่เมืองหลวงเท่านั้น ส่วนตัวตนของหลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋นั้นล้วนไม่สำคัญ มันไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขา
ในสายตาของกองคาราวาน ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ย่อมจะไม่มาเดินทางร่วมไปกับพวกเขา จะมีก็แค่คนที่กลัวโจร แล้วจะมีปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่คนไหนที่กลัวโจรกันล่ะ?
อันที่จริง หัวหน้ากองคาราวานไม่เคยคิดว่าพวกเขาจะนำโจรมาด้วย… แถมยังเป็นโจรที่มีชื่อเสียงมาก…
ก่อนที่หลี่ว์ซู่จะเข้าร่วมกองคาราวานการค้า เขารู้ว่าผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในกองคาราวานเป็นเพียงยอดฝีมือระดับสอง ดังนั้นเขาจึงสามารถมองข้ามเรื่องภัยคุกคามใดๆ จากกองคาราวานการค้านี้ไปได้ เพราะท้ายที่สุดแล้ว ทั้งจอห์นสัน แอนโทนี่ และหัวหน้าบาทหลวงต่างก็เป็นยอดฝีมือระดับหนึ่ง
แม้ว่าจะมีตระกูลที่มั่งคั่งมากมายในจักรวาลหลี่ว์ แต่ก็มีเด็กร่ำรวยเพียงไม่กี่คนจากตระกูลเหล่านี้ที่สามารถเดินทางโดยได้รับการคุ้มครองจากยอดฝีมือระดับหนึ่งสามคน … หรือแม้แต่ไม่มีเลย
ในกองคาราวานมีมากกว่ายี่สิบคนที่จ่ายเงินเพื่อร่วมเดินทางไปด้วยเช่นกัน แต่ไม่มีใครที่เดินทางไกลเหมือนหลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ อย่างไรก็ตาม กองคาราวานก็มักจะดูด ‘ผู้โดยสาร’ แบบนี้ไปตลอดทาง ดังนั้นจึงมีผู้คนมาเข้าร่วมเดินทางไปกับพวกเขาอย่างต่อเนื่อง
ในระหว่างวัน หลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋อยู่ในรถม้า หลี่ว์เสี่ยวอวี๋จะนั่งข้างหัวหน้าบาทหลวงด้วยความรู้สึกเบื่อสุดๆ ขณะที่นั่งห้อยขาของทั้งสองของเธอออกไปนอกรถม้า แต่หลี่ว์ซู่จะนั่งอยู่ข้างในรถม้าและฝึกฝนท่วงท่าวิชากระบี่ของเขา
เขานั่งขัดสมาธิในรถม้าและหลับตาในขณะที่มีกิ่งไม้ที่เพิ่งหักใหม่อยู่บนเข่าของเขาซึ่งคล้ายกับครั้งก่อนหน้านี้ที่มีใบไม้ยังอยู่บนกิ่งไม้
ตอนนี้ดูเหมือนว่า หลี่ว์ซู่จะไม่ต้องการเคลื่อนไหวใดๆ อีกต่อไปเมื่อเขาฝึกฝนท่วงท่าวิชากระบี่ พลังกระบี่ที่อยู่ในหัวใจของเขาพร้อมที่จะปรากฏออกมาตามการเรียกหาของเขา และในบางครั้งกิ่งที่อยู่บนตักของเขาจะสั่นสะท้าน แต่มันก็ไม่ได้เสียหายใดๆ
ในเวลาเดียวกันคลื่นพลังจิตวิญญาณแห่งสวรรค์และปฐพีก็ได้มารวมกันในร่างกายของเขาและช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อและร่างกายของเขาให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
หากมีคนในกระท่อมกระบี่มาอยู่ใกล้ๆ เขา พวกเขาก็ย่อมจะแปลกใจ เพราะแม้แต่ในกระท่อมกระบี่ก็ไม่มีใครสามารถละจากการฝึกดาบภายนอกและฝึกฝนพลังกระบี่ภายในของพวกเขาได้ก่อนที่พวกเขาจะก้าวขึ้นไปสู่ยอดฝีมือระดับหนึ่ง
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋นั่งแกว่งขาของเธอไปมาออกไปด้านนอกรถม้าขณะที่ฟังการสนทนาของคนในกองคาราวานการค้าที่พูดคุยกันว่า หากกองคาราวานเดินทางไปได้อย่างราบรื่น พวกเขาก็จะสามารถเห็นการคัดเลือกของกระท่อมกระบี่อันยิ่งใหญ่ในเมืองหลวง
หัวหน้ากองคาราวานกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “การคัดเลือกของกระท่อมกระบี่ในทุกๆ ปีนั้นเป็นงานที่ยิ่งใหญ่และคึกคักเสียยิ่งกว่าเทศกาลปีใหม่ บรรดาศิษย์ของกระท่อมกระบี่จะแสดงทักษะอันยอดเยี่ยมของพวกเขา และในที่สุดผู้บำเพ็ญระดับต้นๆ ก็จะมีโอกาสได้เห็นและเรียนรู้จากผู้บำเพ็ญที่ยิ่งใหญ่”
บรรดาศิษย์ของกระท่อมกระบี่จากนอกพื้นที่ก็จะรีบกลับมาเช่นกัน แม้ว่าบางพื้นที่จะกำลังทำสงครามกันอยู่ แต่ผู้บัญชาการกองทัพซึ่งเป็นศิษย์ของกระท่อมกระบี่ก็จะหยุดการต่อสู้กันในเวลานี้ แม้ว่าพวกเขาจะเป็นศัตรูกันในสนามรบ แต่พวกเขาก็ยังนับกันเป็นพี่น้องเมื่ออยู่ในกระท่อมกระบี่
สงครามมีไว้เพื่อผลประโยชน์ แต่สิ่งสุดอัศจรรย์ก็คือ แม้จะเป็นสงครามที่รบกันอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ก็ไม่สามารถทำลายมิตรภาพระหว่างศิษย์ของกระท่อมกระบี่ได้
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ทำปากยื่นทันทีเมื่อได้ยินเช่นนี้ “อะไรจะขนาดนั้น?”
และผลก็คือ เมื่อคนอื่นๆ ได้ยินก็หัวเราะและหัวหน้ากองคาราวานก็กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “สาวน้อยก็กำลังจะไปที่เมืองหลวงด้วยนี่ เมื่อไปถึงแล้วก็จะเข้าใจได้เองว่ากระท่อมกระบี่เป็นสถานที่ที่น่าทึ่งมาก”
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ทำปากยื่นอีกครั้ง ตามที่คนเหล่านี้กล่าวไว้ สถานที่อย่างกระท่อมกระบี่ไม่เคยแสวงหาผลประโยชน์ใดๆ พวกเขาสามารถรักษากระท่อมกระบี่ให้ยั่งยืนได้เพราะการเสียสละของบรรดาลูกศิษย์ นอกจากนี้ กระท่อมกระบี่ยังห้ามไม่ให้ยกย่องเจ้าสำนักของกระท่อมกระบี่เป็นเทพกระบี่ และกระท่อมกระบี่ก็เป็นถูกสร้างขึ้นมาโดยไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าการต่อสู้เพื่อราชันแห่งทวยเทพ
มีแต่คนบ้าเท่านั้นแหละที่ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์เพื่อผู้อื่นและเป็นอันตรายต่อตัวเอง และนั่นคือสิ่งที่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋คิด
แต่เมื่อคนเหล่านี้กำลังพูดคุยกันถึงเรื่องกระท่อมกระบี่ หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็ถึงคิดได้ว่า หลี่ว์ซู่กำลังจะกลายเป็นศิษย์ของกระท่อมกระบี่ในไม่ช้า และเมื่อได้ยินพวกเขาพูดถึงความอัศจรรย์ของบรรดาเหล่าศิษย์ของกระท่อมกระบี่ว่าทรงพลังและเยี่ยมยอดขนาดไหน เธอก็เบิกบานขึ้นในทันใด
ด้วยเหตุผลในตัวตนปัจจุบันของหลี่ว์ซู่ หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็ไม่สนใจว่าเขาจะสามารถเป็นศิษย์ของกระท่อมกระบี่ได้หรือไม่ แต่แค่คิดเธอก็มีความสุขแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น ในความคิดของเธอ หากหลี่ว์ซู่อยากจะเป็นศิษย์ของกระท่อมกระบี่ ก็ย่อมไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน
คาราวานการค้าชอบเรียกผู้โดยสารว่า ‘นายจ้าง’ เพื่อแสดงความเคารพต่อพวกเขา แล้วจู่ๆ ก็มีนายจ้างคนหนึ่งในกองคาราวานถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า “พวกคุณต้องได้พบผู้โดยสารจำนวนมากในขณะที่เดินทางจากเหนือล่องใต้ เคยเจอมีเหตุการณ์แปลกๆ หรือบุคคลที่น่าสนใจบ้างไหม?”
“ฮ่าฮ่า” หัวหน้ากองคาราวานหัวเราะแล้วกล่าวว่า “มีแน่นอน เมื่อสามปีก่อน ขุนนางผู้หนึ่งจากทางตะวันออก ว่าจ้างพวกเราหยิ่งผยองว่าเขาได้รับจดหมายรับรองและกำลังจะไปเข้าร่วมการคัดเลือกของกระท่อมกระบี่ แต่ทันทีที่ไปถึงเมืองหลวง เขาก็หวาดกลัวจนขอร้องให้เราพาเขากลับบ้านโดยเร็ว ฮ่าฮ่า ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถเข้าไปสู่การคัดเลือกของกระท่อมกระบี่ได้”
“แล้วโดยทั่วไปแล้วสินค้าที่คุณจัดส่ง เป็นของมีค่าหรือเปล่า?” นายจ้างวัยกลางคนถามด้วยรอยยิ้ม
“ไม่มากนักหรอก” หัวหน้ากองคาราวานกล่าวเสียงต่ำในทันที “เราซื้อและขายสินค้าหวังเอากำไรจากส่วนต่างมากกว่า และถ้าเป็นของราคาแพง คิดว่าเราจะได้เงินมากสักเท่าไหร่ล่ะ?”
หัวหน้ากองคาราวานรู้ความจริงที่ว่าอย่าได้โอ้อวดความมั่งคั่งของตนอย่างเปิดเผย แต่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ ในฐานะอดีตผู้จัดการ เธอรู้ชัดอย่างแน่นอนว่ากองคาราวานนี้ทรงพลังมาก จำนวนการซื้อสิ้นค้าจัดอยู่ในกลุ่มห้าอันดับแรกของทั้งหมด ซึ่งแม้แต่ตระกูลซ่งก็ยังไม่ได้ซื้อสินค้ามากเท่าที่พวกเขาทำด้วยซ้ำ
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋นึกโกรธขึ้นมาทันทีเมื่อจำได้ว่า จางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ ได้ส่งมอบบัญชีให้เธออย่างไร ทำไมวิชาคำนวนของพวกเขาจึงแย่ขนาดนั้น? พวกเขาไม่เข้าใจแม้กระทั่งการปรับดุลบัญชีด้วยซ้ำ?!
และชั่วขณะนั้น จู่ๆ ก็มีคนถามหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ว่า “สาวน้อยก็กำลังจะไปที่เมืองหลวงด้วยใช่หรือไม่? ไปทำไมหรือ?”
จู่ๆ หัวหน้ากองคาราวานก็ถามด้วยความสงสัยว่า “หรือว่าจะไปเข้าร่วมการคัดเลือกของกระท่อมกระบี่ล่ะ ?”
หืม?
เมื่อหัวหน้ากองคาราวานพูดแบบนี้ ทุกคนที่ได้ยินก็ยิ่งดูเหมือนจะเป็นไปได้ กองทัพอู่เว่ยได้เสนอชื่อผู้เข้าร่วมการคัดเลือกมาพักใหญ่แล้ว และกองทัพอู่เว่ยประจำการอยู่ในเมืองหนานเกิงใช่ไหม? นอกจากนั้นทั้งสองก็มาเข้าร่วมกับกองคาราวานการค้าที่เมืองหนานเกิง…
เนื่องจากมีความต้องการสบู่มากขึ้น จึงมีขบวนคาราวานการค้าเข้าและออกจากเมืองหนานเกิงมากขึ้นเช่นกัน ในสงครามนั้น เหล่าทหารจะไม่สามารถสังหารทูตหรือกองคาราวานด้วยเป็นกฎอันเข้มงวดที่ราชันองค์เก่าได้กำหนดขึ้นมาโดยปราศจากเหตุผลอื่นใด
กองคาราวานการค้าบางแห่งอยู่ใกล้ๆ และกลัวที่จะเข้าใกล้ช่องเขาเว่ยเป่ยและช่องเขาหลีหยางเนื่องจากสงคราม บัดนี้เมื่อสงครามสิ้นสุดลง พวกเขาจึงสามารถซื้อสบู่ในเมืองหนานเกิงได้ ดังนั้นพวกเขาจึงมาที่นี่
หลี่ว์ซู่ประเมินความต้องการของสบู่ต่ำเกินไป เขาคิดว่าจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองถึงสามปีกว่าที่สบู่จะได้รับความนิยม อย่างไรก็ตาม เขาไม่รู้ว่าจำนวนประชากรในโลกนี้เพิ่มขึ้นตลอดเวลา และพวกเขาต่างก็ต้องการความสะอาดและสุขอนามัย
มีหลายพิธีการที่กำหนดให้ผู้เข้าร่วมต้องอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนที่จะทำพิธีเพื่อให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้น แต่หากหลังจากอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว แต่ยังคงไม่สะอาดอยู่ แล้วจะอารมณ์เสียไหมล่ะ…? และในยุคนี้ หญิงสาวหลายคนก็ยังคงใช้น้ำข้าวสระผมอยู่
ในนิยายกำลังภายในหลายเล่มมีการบรรยายถึงความหล่อเหลาของชายหนุ่มที่อยู่ในนั้น เขายังคงหล่อเหลา งามสง่าและดูสะอาดตาน่ามองอยู่ได้หลังจากที่เดินอยู่ในป่ามากว่าครึ่งเดือน
แต่ถ้าหากลองทำเช่นนั้นในชีวิตจริง แล้วจะยังกล้ามองว่างามสง่าน่ามองได้ด้วยผมมันเยิ้มหลังจากที่ไม่ได้สระผมมาสามวันแล้วหรือไม่?
อย่างไรก็ตาม การกำเนิดของสบู่จะช่วยพวกเขาเหล่านี้ได้
ยิ่งพวกเขาโหยหาเสื้อผ้าสีขาวราวหิมะยามเมื่ออ่านถึงมันที่ถูกบรรยายเอาไว้ในบทกวีของกษัตริย์องค์ก่อนๆ มากเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งโหยหาสบู่มากขึ้นเท่านั้น…
ดังนั้นเมืองหนานเกิงจึงคึกคักขึ้นมาในทันใด และโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ก็ไม่สามารถก่อสร้างขึ้นได้ทัน
ก่อนที่หลี่ว์ซู่จะจากไป เขายังอธิบายเป็นการเฉพาะกับจางเว่ยอวี่ หลิวอี้เจาและหลี่เฮยทั่นว่าพวกเขาควรต้องปรับเปลี่ยนอะไร
อันดับแรกคือ ต้องปรับปรุงเส้นทางสำหรับม้าและรถม้า กองคาราวานควรมีที่ให้อาหารม้าและล่อได้ นอกจากนี้พวกเขายังต้องเพิ่มจำนวนที่พักแรมและโรงเตี๊ยมเพื่อให้มีที่ว่างเพียงพอสำหรับกองคาราวานการค้าที่จะอยู่พัก อีกทั้งยังจำเป็นต้องปรับปรุงเพิ่มการผลิตสบู่รวมถึงต้องพิจารณาถึงวิธีการปรับปรุงการดำเนินงานอีกด้วย
ชั่วขณะนั้น หลี่ว์ซู่มองไปที่จางเว่ยอวี่ หลิวอี้เจาและหลี่เฮยทั่นด้วยสีหน้าจริงจังแล้วกล่าวว่า “อย่างสุดท้าย พวกเราต้องใช้มาตรการป้องกันอย่างเข้มงวด หากพบว่ามีใครในกองคาราวานพยายามขโมยความลับของกิจการของพวกเรา ก็ต้องถูกลงโทษ!”
จางเว่ยอวี่ถามว่า “แล้วจะทำยังไงกับคนขโมยล่ะ?”
หลี่เฮยทั่นก็พูดขึ้นทันที “งั้นฉันรู้แล้ว หากใครขโมย ก็ส่งพวกเขาออกไป!”
จางเว่ยอวี่ผงะไปชั่วขณะ “ส่งพวกเขาออกไปหรือ? เพื่ออะไรล่ะ?”
ทว่าหลี่เฮยทั่นยังพยักหน้ายืนยันอย่างหนักแน่น “ส่งพวกเขาออกไปตาย!”
จางเว่ยอวี่รู้สึกหงุดหงิดฉับพลันเมื่อรู้ว่า นั่นคือสิ่งที่พวกเขาหมายถึง…
แต่พวกเขาไม่เข้าใจ “ทาสและขุนนางคือคนที่จะเป็นผู้สร้างเส้นทางและที่พักแรม แล้วพวกเราจะสั่งให้พวกเขาทำเช่นนั้นได้อย่างไร?”
“การบังคับให้พวกเขาทำเช่นนั้นจะทำลายความกระตือรือร้นในการทำงานของพวกเขา” หลี่ว์ซู่คาดหวังจากพวกเขาไว้ดีกว่านี้ พวกเขาติดตามเขามาเป็นเวลานาน แต่วิธีคิดของพวกเขาก็ยังคงยึดติดอย่างหนัก “พวกเราต้องให้ความช่วยเหลือในช่วงแรก เข้าใจไหม? ลดภาษีของพวกเขาซะ!”
หลังจากที่ได้เป็นเจ้าเมืองแล้ว หลี่ว์ซู่ก็ไม่ต้องใช้วิธีให้เงินอุดหนุนอีกต่อไป แต่เขาใช้วิธีลดภาษีโดยตรงแทน และเมื่อธุรกิจก่อตั้งขึ้นแล้ว เขาก็จะขึ้นภาษีอีกครั้ง พอถึงตอนนั้นใครจะไม่ทำตามข้อกำหนดของแหล่งที่มาของรายได้ล่ะ?
“นอกจากนี้คลองและการระบายน้ำในเมืองก็ควรจะปรับปรุงให้ดี เราต้องป้องกันน้ำท่วมทุกครั้งที่มีฝนตก และยิ่งตอนนี้ไม่มีแผ่นพื้นทางเท้าแล้ว ก็ยิ่งต้องรีบปูถนนที่ยังไม่ได้ปูพื้น เราต้องการสร้างเมืองที่มีระบบสาธารณูปโภคที่ดีและถูกสุขอนามัยใช่ไหม? และเมื่อทุกคนรู้สึกสบายใจเมื่อพวกเขามาที่นี่ พวกเขาก็จะกลับมาอีกครั้งในภายหลัง” หลี่ว์ซู่กล่าวอย่างเคร่งขรึม “จะทำธุรกิจอย่าคิดจะเห็นแก่เงิน พวกคุณต้องทำธุรกิจที่คิดถึงความต้องการของผู้อื่นด้วย เข้าใจไหม?”
จากนั้นจางเว่ยอวี่ก็ถามขึ้นทันทีว่า “ความต้องการของพวกเขาหรือ? แล้วหากมีคนสร้างปัญหาล่ะ?”
หลี่เฮยทั่นยกมือขึ้นอีกครั้ง นี่เป็นนิสัยที่เขาพัฒนาขึ้นเมื่อเขาได้เรียนรู้หนังสือแล้ว “ฉันก็รู้คำตอบนี้เหมือนกัน”
และก่อนที่หลี่เฮยทั่นจะทันได้กล่าวจบ จางเว่ยอวี่ก็พยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ส่งพวกเขาออกไปตาย ถูกไหมล่ะ?”
“ถูกต้อง!” หลี่เฮยทั่นกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
โจรก็ย่อมเป็นโจรเสมอ จางเว่ยอวี่ถอนหายใจ พวกขาก็รู้แค่ว่าจะสามารถปกป้องตัวเองในโลกที่มีปัญหานี้ได้ก็ต่อเมื่อแข็งแกร่งพอเท่านั้น
ในช่วงเวลานี้ จางเว่ยอวี่จะไปเยือนเมืองเถียนเกิ่งเพื่อตรวจสอบเป็นระยะๆ แม้ว่าตัวเขาเองจะไม่รู้ว่าเขากำลังรออะไรหรือมองหาอะไรอยู่ก็ตาม แต่เขาก็ต้องไปเยือนก่อนเสมอเพื่อความสบายใจของเขา
หลังจากที่หลี่ว์ซู่ได้อธิบายทุกอย่างและมอบหมายสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดให้กับพวกเขาแล้ว เขาก็พาหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ตามกองคาราวานที่มุ่งหน้าไปยังเมืองหลวง ตั้งแต่มาที่เมืองหนานเกิง หลี่ว์ซู่ก็ไม่เคยปรากฏตัวในที่สาธารณะและไม่เคยคุยเรื่องธุรกิจกับนักธุรกิจกองคาราวานเลย
ด้วยฐานะของหลี่ว์ซู่ ทำไมเจ้าเมืองที่สง่างามอย่างเขายังต้องเจรจาในธุรกิจของเขากับกองคาราวานการค้า? จางเว่ยอวี่คิดว่า หลี่ว์ซู่คงต้องการซ่อนตัวและฝึกฝนท่วงท่าวิชากระบี่ของตัวเองให้เฉียบคมในฐานะเจ้าเมืองใช่หรือไม่?
ไม่ต้องบอกเลยว่า จางเว่ยอวี่ชื่นชมหลี่ว์ซู่มากที่สุด ไม่ว่าพวกเขาจะไปที่ไหน เขาก็ไม่เคยหย่อนยานในการฝึกฝนกระบี่
ใครก็ตามที่ได้ฝึกฝนมาก่อนจะสามารถเข้าใจได้ว่าการฝึกฝนนั้นเป็นเรื่องที่น่าเบื่อจริงๆ แต่หลี่ว์ซู่กลับไม่เคยเกียจคร้านกับมัน
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋เคยถามหลี่ว์ซู่ว่า ทำไมเขาถึงต้องฝึกฝนอย่างหนัก ในเวลานั้นหลี่ว์ซู่กล่าวเพียงว่า เขาต้องการที่จะแข็งแกร่งขึ้น โดยเฉพาะเมื่อได้ดูนารูโตะกับหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ เขาชื่นชมความแข็งแกร่งของตัวละครเหล่านั้น
หลายคนต่างใฝ่ฝันที่จะใช้เคล็ดวิชาเพื่อช่วยให้พวกเขาทรงพลังพอๆ กับตัวเอกในการ์ตูนอนิเมะ
อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาค่อยๆ เติบโตขึ้น ทุกคนต้องเผชิญกับงานธรรมดา ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ที่ซับซ้อน และความชั่วร้ายของสังคม
พวกเขาล้วนต้องการตำแหน่ง ชื่อเสียง ความมั่งคั่ง การเลื่อนตำแหน่ง และค่าแรงที่เพิ่มขึ้น
กระทั่งในวันหนึ่ง ทุกคนก็ได้หันกลับมามองและพบว่าเมื่อพวกเขากำลังหลับ พวกเขาไม่ได้ฝันถึงนักรบ ผู้กล้า และมังกรอีกต่อไป และไม่ได้ฝันถึงชีวิตในฝันที่นึกถึงตลอดวันเมื่อครั้งที่พวกเขายังเยาว์วัยอยู่
บางคนบอกว่านี่คือความเป็นผู้ใหญ่ แต่หลี่ว์ซู่คิดว่ามันคือความตาย
ดังนั้น เนื่องจากหลี่ว์ซู่และคนอื่นๆ มีโอกาสที่จะเติมเต็มความฝันในวัยเด็กของตนเอง พวกเขาจึงต้องทะนุถนอมโอกาสล้ำค่านี้เอาไว้
และหลี่ว์ซู่ก็เป็นคนที่รู้วิธีที่จะรักษาโอกาสที่เขามีเอาไว้ได้อยู่เสมอ
เหตุผลที่หลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ติดตามกองคาราวานการค้านั้นเพราะพวกเขาไม่รู้จักทางและการเดินไปที่นั่นก็คงจะเหนื่อยมากเกินไป นอกจากนี้ หลี่ว์ซู่ก็ยังไม่ต้องการที่จะไปถึงเมืองหลวงเร็วเกินไป
เมื่อเห็นว่ายังมีเวลาอีกกว่าหนึ่งเดือนก่อนที่การเปิดลงทะเบียนเข้ารับการคัดเลือกของกระท่อมกระบี่จะเริ่มต้นขึ้น ยังมีระยะเวลาการลงทะเบียนสามเดือนหลังจากนั้น คราวนี้ กระท่อมกระบี่จงใจจัดสรรช่วงเวลานี้ให้กับผู้สมัครที่มาจากกองทัพ พวกเขาจะใช้วิธีการของตนเองเพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับพวกเขาและแม้กระทั่งตัดบางคนออกไป
กระท่อมกระบี่ไม่สนใจว่าคุณจะใช้วิธีใด ตามคำกล่าวของกระท่อมกระบี่นั้น หากไม่สามารถป้องกันตัวเองได้ ก็จงอย่าได้ฝึกฝน ยิ่งระดับการฝึกฝนสูงขึ้นก็จะยิ่งตายเร็ว กระท่อมกระบี่จะไม่ฝึกฝนพวกไร้ประโยชน์เหล่านี้
แน่นอนว่าหลังจากผ่านไปหลายปี ทุกคนก็เข้าใจเส้นทางสู่กระท่อมกระบี่ พวกเขาบอกว่าพวกเขาไม่สนใจอะไร แต่หากพวกเขาชั่วช้าเกินไป กระท่อมกระบี่ก็จะกำจัดพวกเขาอย่างแน่นอน
ดังนั้นผู้สมัครของกระท่อมกระบี่จึงมีความเฉพาะเจาะจงมากเกี่ยวกับช่วงเวลาและเวลาที่พวกเขาเข้าสู่เมืองหลวง และทันทีที่พวกเขาเข้าสู่ เมืองหลวง นั่นก็หมายความว่าการแข่งขันได้เริ่มขึ้นแล้ว
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ของหลี่ว์ซู่นั้นไม่เหมือนกับคนอื่น ผู้สมัครเหล่านั้นเพียงแค่ต้องกังวลเกี่ยวกับผู้สมัครคนอื่นๆ เท่านั้นในขณะที่หลี่ว์ซู่ยังต้องกังวลว่าจะมีใครบางคนมาแก้แค้นเขา…
หลี่ว์ซู่ยังรู้ว่ากองทัพอู่เว่ยมีศัตรูกี่คนในเมืองหลวง เขาจึงตัดสินใจมาทีหลังและฝึกฝนอย่างหนักในระหว่างทาง…
ขณะที่เจ้าเมืองกำลังจะเดินทาง กองทัพอู่เว่ยได้เตรียมรถม้าที่ทนทานและม้าที่ดีที่สุดให้กับหลี่ว์ซู่ หลี่เฮยทั่นร้องไห้คร่ำครวญและตะโกนว่าเขาอยากขอติดตามองค์ราชาไปด้วย แต่หลี่ว์ซู่ปฏิเสธเพราะมันอันตรายเกินไป
ทาสรู้สึกสับสนมากเมื่อได้ยินคำว่า ‘พี่น้อง’ ผู้บัญชาการกองทัพอู่เว่ยและองค์ราชาแห่งภูเขาราชันหลี่ว์คนนั้นช่างเป็นคนที่ไม่เหมือนใครจริงๆ จนทำให้ต้องหันไปมองเขาทันที
อันที่จริง ทุกคนเข้าใจมาก่อนแล้วว่าเขารักเงินเป็นที่สุด และนี่คือการยอมรับเงินที่มอบให้อย่างแน่นอน
แต่เมื่อทุกคนเห็นเหวินไจ้เฝ่ยมอบเมืองหนานเกิงให้กองทัพอู่เว่ย พวกเขาก็ล้วนยิ้มออกมาแล้ว เพราะกองทัพเฮยอวี่โจมตีดินแดนทางเหนือมาหลายปีแล้ว และเมืองหนานเกิงก็เป็นเมืองสำคัญที่กองทัพเฮยอวี่จำเป็นต้องผ่าน ดังนั้นหากกองทัพเฮยอวี่บุกมาอีกครั้งในอนาคต กองทัพอู่เว่ยก็จะต้องแบกรับภาระหนักอึ้งเพราะจะเป็นที่แรกที่จะถูกบุกโจมตี
อย่างไรก็ตาม บางคนก็คิดว่าการที่เหวินไจ้เฝ่ยวางกองทัพอู่เว่ยไว้ที่เมืองหนานเกิงนั้นถือเป็นกลยุทธ์ชั้นเยี่ยม เพราะในอนาคตต่อจากนี้ไป บางทีกองทัพเฮยอวี่อาจจะไม่กลับมาอีกเลย…
อย่างไรก็ตาม หลี่ว์ซู่ไม่คิดเช่นนี้ หากกองทัพเฮยอวี่ไม่มา เขาก็จะไปเชิญพวกเขามาเองให้ได้! เพราะท้ายที่สุดเขายังทำธุรกิจร่วมกับพวกเขาอยู่นี่?
และเมื่อกองทัพเฮยอวี่กลับมาอีกครั้ง กองทัพอู่เว่ยก็เข้าไปซ่อนตัวอยู่ในภูเขาราชันหลี่ว์ก่อนทันที พวกเขาไม่สนใจแม้ข้างนอกจะมีการสังหารหมู่ก็ตาม แต่จะรอออกมาเก็บกวาดที่เหลือในภายหลัง
ชั่วเวลานั้นก็มีคนพูดว่า “เจ้านายของกระผมขอแสดงความยินดีกับท่านที่ได้รับเมืองหนานเกิง และหวังว่าระหว่างเราจะมีมิตรภาพที่ดีต่อกัน…”
จู่ๆ ก็มีคนคิดว่าหากเงินหนึ่งล้านเพียงพอที่จะทำให้ได้เป็นพี่น้องกับผู้บัญชาการกองทัพอู่เว่ยแล้ว เช่นนั้น…เขาก็มีความคิดยิ่งใหญ่อย่างหนึ่ง!
หนึ่งในกลุ่มทาสกล่าวว่า “ท่านผู้บัญชาการใหญ่ จะเป็นอย่างไรหากเจ้านายของกระผมยินดีมอบให้ท่านห้าล้านขอรับ?”
หลี่ว์ซู่ครุ่นคิดเป็นเวลาสองวินาทีก่อนจะตอบว่า “ถ้าอย่างนั้นเขาก็นับฉันเป็นเหมือนบิดาบุญธรรมได้เลย!”
ทาสใหญ่ตะลึงไป ไม่ใช่ว่าเพราะรอนาน แต่ตรรกะนี้มีบางอย่างผิดปกติ แล้วเจ้านายจะยอมรับคุณเป็นบิดาบุญธรรมได้อย่างไรล่ะ?
หากพวกเขามอบเงินให้เพียงพอ พวกเขาก็นับหลี่ว์ซู่เป็นบิดาของพวกเขาได้หรือ?
“ได้รับแต้มอารมณ์จากหลี่ฉง +666!”
“จาก…”
“ว่าไง” หลี่ว์ซู่กล่าวพลางยิ้มร่า “สนใจไหมล่ะ?”
ทาสเงียบงันไปเป็นเวลานานก่อนจะกล่าวขึ้นมาว่า “พวกเราไม่มีเงิน มีปัญหาบางอย่างกับการหมุนเวียนเงินทุนของพวกเราเมื่อไม่นานมานี้ขอรับ”
ดูเหมือนว่าหลี่ว์ซู่จะรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย “โอ ถ้าอย่างนั้นคุณค่อยมาหาฉันอีกครั้งเมื่อมีเงินแล้วกัน”
เหล่าทาสพลันรีบอำลา พวกเขาไม่ควรรั้งรออยู่ในสถานที่แห่งนี้อีกต่อไป ยิ่งอยู่นานเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้หัวใจของพวกเขาแย่ลงเท่านั้น…
หลังจากส่งกลุ่มทาสออกไปแล้ว หลี่ว์ซู่ก็มองหลิวอี้เจาแล้วกล่าวว่า “นี่ถือได้ว่าเป็นการกลับมายังดินแดนของคุณ”
อย่างไรก็ตาม คำตอบของหลิวอี้เจาทำให้หลี่ว์ซู่งุนงง “ทุกอย่างในโลกนี้ล้วนเป็นขององค์ราชา นี่คือดินแดนขององค์ราชา”
หลี่ว์ซู่กำลังคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าผู้ชายคนนี้รู้ความจริง เขาจะโกรธมากจนอยากฆ่าตัวตายไหม? แต่ปัญหาคือจะอธิบายความจริงด้วยตัวเองกับเขามันไร้ประโยชน์มากจริง…
คืนนั้นหลี่ว์ซู่นำกองทัพอู่เว่ยออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองหนานเกิงโดยยอมรับพลังอำนาจทั้งหมดในฐานะของเจ้าเมือง เขาคิดว่าเขากำลังจะได้เป็นเจ้าเมือง หลี่ว์ซู่ยังรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย นี่หมายความว่าเขามีดินแดนของตัวเองอย่างแท้จริงแล้วใช่ไหม? ภูเขาราชันหลี่ว์เรียกไม่ได้ว่าเป็นของเขา เพราะมันน่าจะเป็นเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น
ในตอนแรกนั้น เมื่อเขามาถึงจักรวาลหลี่ว์ หลี่ว์ซู่เพียงแค่ต้องการเป็นทหารของกองทัพอู่เว่ยและได้รับการคัดเลือกให้เข้าร่วมในกระท่อมกระบี่เท่านั้น แต่เวลานี้เขากลายเป็นเจ้าเมืองได้อย่างไรกัน?
เขาเปลี่ยนจากการจัดการสบู่มาเป็นการจัดการคน…
และระหว่างทางไปเมืองหนานเกิง จางเว่ยอวี่ก็เอ่ยถามด้วยความรู้สึกสงสัยว่า “คุณคิดจะทำอะไรเมื่อไปถึงเมืองหนานเกิงหรือ?”
“สบู่” หลี่ว์ซู่กล่าวสบายๆ ราวกับว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติที่จะทำ
สิ่งนี้ทำให้จางเว่ยอวี่สับสนมาก เขาทำเงินจากธุรกิจสบู่นี้ได้มากเท่าไหร่กัน?
รายได้ปัจจุบันของพวกเขาคือสิบล้าน แต่ปัญหาคือ เขาใช้รายได้ทั้งหมดไปกับชุดเกราะของกองทัพอู่เว่ยแล้วใช่ไหมล่ะ? และยิ่งกว่านั้น ใครบอกว่าการขายสบู่ให้ผลกำไรน้อยกว่าการร่วมมือกับผู้อื่นล่ะ?
ว่ากันตามตรงแล้ว ความร่วมมือกันนั้นก็จำกัดอยู่ที่เมืองหลวง และในจักรวาลหลี่ว์นี้ก็ไม่มีอินเทอร์เน็ต แล้วก็ไม่ใช่ทุกคนจะวางเดิมพันได้ หลี่ว์ซู่ค้นพบมาก่อนหน้านี้นานแล้วว่า คนส่วนใหญ่ในจักรวาลหลี่ว์จะไม่เข้าไปในบ่อนพนัน มีเพียงผู้ที่มีเงินเหลืออยู่ในมือเท่านั้นที่จะทำเช่นนั้น
แต่สบู่ต่างกัน สบู่เป็นสิ่งที่คนทั่วไปใช้
จะไม่มีอนาคตสำหรับสินค้าโภคภัณฑ์รายวันเลยหรือ? อนาคตของพวกเขาต้องสดใสแน่นอน…
เมื่อปีที่แล้ว บริษัทสินค้าโภคภัณฑ์รายใหญ่ที่สุดในโลกมีรายได้มากกว่าห้าแสนล้านดอลลาร์ต่อปี…และนี่ยังไม่ได้อยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ผูกขาดธุรกิจ ซึ่งหากพวกเขาทำเช่นนั้น รายได้ต่อปีของพวกเขาอาจจะทะลุสูงขึ้นไปถึงหนึ่งล้านล้านดอลลาร์…
แน่นอนว่า หลี่ว์ซู่ไม่ได้ต้องการรายได้มากมายขนาดนั้น และเขาก็ทำเช่นนั้นไม่ได้ และย่อมจะเป็นการดีหากเขานำของพิเศษในท้องถิ่นบางอย่าง เช่น หินวิญญาณ อาวุธวิเศษ และเคล็ดวิชาติดตัวไปด้วยได้เมื่อเขากลับไป
และเขาก็ค่อยๆ สร้างความรู้สึกที่ดีกับทหารของกองทัพอู่เว่ยอย่างช้าๆ เช่นกัน นอกจากนี้นี่ยังเป็นการดีที่จะเหลือทางรอดสำหรับพวกเขาเมื่อถึงเวลาที่เขาจากไป ใครจะไม่อยากมีเงินมากกว่านี้ล่ะ?
ชาวเมืองหนานเกิงกังวลมากว่าเจ้าเมืองคนใหม่จะใช้ประโยชน์จากพวกเขา อย่างไรก็ตาม หลิวอี้เจาไม่ได้ทำอะไรที่เป็นการเอาเปรียบชาวบ้าน ในขณะที่ทุกคนล้วนรู้ว่าเจ้าเมืองคนอื่นๆ นั้นเป็นอย่างไร
ไม่ต้องพูดถึงความห่างไกลกันเลย กองทัพอู่เว่ยที่อยู่ใกล้เคียงซึ่งใช้ประโยชน์จากเมืองอวิ๋นอานมาหลายปีแล้วก็มาประจำการที่เมืองหนานเกิง …
ในตอนแรกนั้น โดยปกติกองทัพจะประจำการอยู่นอกเมือง แต่นั่นเป็นเพราะพวกเขามีคนจำนวนมาก แต่ตอนนี้เนื่องจากกองทัพอู่เว่ยมีเพียงห้าพันคนเท่านั้น หลี่ว์ซู่จึงปล่อยให้พวกเขาอาศัยอยู่ในเมืองโดยตรง
ดังนั้นผู้คนในเมืองหนานเกิงจึงพบว่าสิ่งแรกที่กองทัพอู่เว่ยทำคือซื้อที่ดิน จากนั้นจึงสร้างอาคารสูงสามชั้นจำนวนนับสิบๆ หลัง และสร้างค่ายทหารทันที
นี่นับเป็นครั้งแรกที่มีกองทัพมาประจำการที่เมืองหนานเกิงจึงทำให้ประชาชนตื่นตระหนก แต่ผลก็คือ เมื่อผ่านไปหนึ่งเดือนก็ไม่มีเหตุการณ์ใดที่กองทัพอู่เว่ยกระทำการคุกคามประชาชน และบางคนก็กล่าวว่าอดีตเจ้าเมืองหนานเกิงก็อยู่ในกองทัพอู่เว่ยด้วย บางคนยังเคยเห็นใบหน้าของทหารกองทัพชิงไส้ในอดีตมามาก
ทุกคนจึงเริ่มตระหนักว่ากองทัพอู่เว่ยไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด
จากนั้น กองทัพอู่เว่ยก็เปิดโรงงานขึ้น และเจ้าเมืองก็เริ่มพัฒนานโยบายและให้เงินอุดหนุนการปลูกถั่วลิสง นอกจากนี้เขายังเริ่มซื้อเหมืองแร่ รวมถึงรับสมัครคนงานในโรงงาน และผลิตสบู่…
ชาวเมืองหนานเกิงต่างพากันงุนงงกับการกระทำอันน่าตื่นตะลึงเหล่านี้ พวกเขาทำอะไรกันอยู่?
จากนั้นพวกเขาก็เห็นกองคาราวานการค้าจำนวนมากมาที่เมืองหนานเกิงและนำกล่องสบู่ที่ประดิษฐ์ขึ้นอย่างประณีตออกไป
กองคาราวานเหล่านี้เป็นผู้ที่มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงเป็นเครือข่ายธุรกิจที่หลี่ว์ซู่ได้สร้างขึ้นมาก่อนหน้านี้ ว่ากันตามจริงก็คือ พวกเขาล้วนเป็นตระกูลที่อยู่เบื้องหลังบ่อนพนันตระกูลซ่งและบ่อนพนันตระกูลหลิน
ทุกคนยินดีที่จะสร้างสัมพันธ์เครือข่ายธุรกิจกับกองทัพอู่เว่ย เมื่อการขายสบู่เป็นระบบที่สร้างความร่ำรวยได้มาก ในขณะที่กองทัพอู่เว่ยหยุดการทำสงครามไปและการเริ่มผลิตสบู่ก็เป็นในช่วงที่เมืองหลวงขาดแคลนสบู่
พวกสตรีชั้นสูงจับศีรษะมันเยิ้มของตนและพร่ำบ่นกันทุกวันว่าทำไมของดีอย่างสบู่ถึงหายไป?
หลี่ว์ซู่เสียใจที่เขาไม่ได้ผลิตแชมพู ไม่อย่างนั้นแล้ว โอกาสทางธุรกิจจะยิ่งใหญ่ขนาดไหนกัน? เมื่อก่อนนี้ ใครๆ ก็ไม่สนใจว่าเส้นผมของตนจะมันเยิ้มหรือไม่ แต่เมื่อพวกเขาได้เพลิดเพลินกับการใช้ชีวิตที่สะอาด มันก็แตกต่างออกไป
อย่างไรก็ตาม เมื่อสบู่ปรากฏขึ้นในเมืองหลวงอีกครั้ง หลายคนก็ตกใจว่า กองทัพอู่เว่ยคิดค้นสบู่นี้ขึ้นมาหรือ? พวกเขาเก่งเรื่องการต่อสู้ไม่ใช่หรือ? แล้วพวกเขามาผลิตสบู่ได้อย่างไรล่ะ?
นี่มันกองทัพบ้าอะไรกันเนี่ย?!
และชั่วเวลานั้น ในที่สุดวันคัดเลือกของกระท่อมกระบี่ก็กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว! หลี่ว์ซู่ไม่ได้พาคนอื่นๆ ติดตามเขาไปด้วย เขาขึ้นเรือไปทางเหนือกับหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ และเวลานี้ก็ไม่มีใครรู้ว่าผู้บัญชาการกองทัพอู่เว่ยได้ออกจากเมืองหนานเกิงแล้ว
“เกรงว่าเหล่าขุนนางคงลืมวิธีต่อสู้ไปแล้ว แม้แต่เสบียงของพวกเขาก็ถูกโจรขโมยไป ยิ่งมีชีวิตอยู่นาน ยิ่งถอยหลังไปเรื่อยๆ จริงๆ” เหวินไจ้เฝ่ยกล่าวอย่างสงบ ในเวลานี้ บรรดาขุนนางทั้งหมดล้วนมองไปที่หลี่ว์ซู่ซึ่งอยู่ข้างๆ เหวินไจ้เฝ่ย…
“ได้รับแต้มอารมณ์จากเผิ่งฮ่าวหมิง +666!”
“จาก…”
หลี่ว์ซู่จำลักษณะและชื่อของคนเหล่านี้ได้อย่างเงียบๆ พวกเขาเหล่านี้เป็นขุนนางสิบสองคนที่มีอำนาจมากที่สุดในดินแดนทางเหนือตอนใต้ และบางทีพวกขุนนางทั้งสิบสองคนเหล่านี้อาจจะทำงานร่วมกับพวกเขาได้ในอนาคต
เหวินไจ้เฝ่ยกล่าวขึ้นทันทีว่า “ดูสิ่งที่เขาทำสิ เขาเป็นผู้บัญชาการกองทัพอู่เว่ย ไม่ใช่โจร”
เหล่าขุนนางนิ่งงันไปชั่วขณะ พวกเขาไม่เชื่อว่าจอมทัพสวรรค์จะไม่รู้รายละเอียด แต่จอมทัพสวรรค์กลับกล่าวปกป้องกองทัพอู่เว่ยโดยตรง จากนี้ไปกองทัพอู่เว่ยย่อมจะเป็นกองทัพอู่เว่ย ส่วนโจรที่มีคติพจน์ว่า ‘กำจัดความยากจนและสร้างสมความร่ำรวย’ นั้นจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับพวกเขาอย่างแน่นอน!
“ใช่ ใช่ ใช่ ท่านจอมทัพสวรรค์กล่าวได้ถูกต้องแล้ว” เหล่าขุนนางรีบกล่าวรับออกมา
“ในเมื่อขุนนางชั้นสูงทั้งสิบสองคนทางตอนใต้ของดินแดนทางเหนือมารวมตัวกันอยู่ที่นี่แล้ว ถ้าอย่างนั้นก็เอาเช่นนี้ จงนำอีกสิบเมืองจากกองทัพเฮยอวี่กลับมาให้เรา” เหวินไจ้เฝ่ยกล่าว “และหากทำไม่ได้ ก็ไม่ต้องกลับมา”
เหล่าขุนนางชั้นสูงไม่คิดว่าการลงโทษครั้งนี้จะหนักหนาสาหัสเช่นนี้ พวกเขาต่อสู้ไปทางดินแดนตะวันตก แม้ว่าตระกูลขุนนางทั้งสิบสองนี้จะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ก็ตาม แต่พวกเขาก็ต้านทานสงครามใหญ่เช่นนี้ไม่ได้
หากพวกเขาแพ้ พวกเขาย่อมจะได้รับการลงโทษที่ร้ายแรงยิ่งกว่านี้ แต่ต่อให้พวกเขาจะชนะ พวกเขาก็ยังต้องแสดงรับผิดชอบร่วมกัน!
อย่างไรก็ตาม พวกเขาต่างก็นิ่งขึงไปครู่หนึ่งก่อนจะกัดฟันกล่าวตอบว่า “น้อมรับคำสั่งของท่านจอมทัพสวรรค์!”
ในเวลานี้จะมีใครกล้าคัดค้านเขาได้ล่ะ? ท่านจอมทัพสวรรค์ย่อมทำร้ายพวกเขาแน่นอน
โดยปกติแล้ว จอมทัพสวรรค์ผู้นี้จะไม่ค่อยชอบกลอุบายชั้นต่ำที่ผู้คนใช้กัน นอกจากนี้ เขายังทุ่มเทให้กับการฝึกฝน และไม่ค่อยสนใจเรื่องการเมืองมากนัก ซึ่งเรื่องนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสียเช่นกัน หากใครมีผลงานดีก็ย่อมจะได้รับรางวัลอย่างงามโดยที่พวกเขาไม่จำเป็นต้องคอยระวังด้วยความกลัวทุกวันว่าจะถูกตรวจสอบ
ขุนนางชั้นสูงทั้งสิบสองคนก็มาและจากไปอย่างเร่งรีบ เมื่อพวกเขาจากไปก็ยังมีคนบ่นว่า “ทั้งหมดมันเป็นเพราะพวกคุณทั้งเจ็ดคนโลภและต้องการยึดครองเส้นทางยุทธศาสตร์ทั้งห้านี้ ด้วยเหตุนี้พวกเราทั้งห้าคนก็ต้องตามมาร่วมจัดการปัญหาให้ด้วย!”
อันที่จริงแล้ว แต่เดิมนั้นมีขุนนางใหญ่เพียงเจ็ดคนที่เคยมีส่วนร่วมในเรื่องนี้มาก่อน
“ดูเหมือนว่าตอนนี้จอมทัพสวรรค์จะโปรดปรานและให้การสนับสนุนกองทัพอู่เว่ย อย่าเพิ่งไปหาเรื่องพวกมัน! คราวนี้จอมทัพสวรรค์อาจจะลงโทษหนักมากเพราะเขาต้องการช่วยกองทัพอู่เว่ย!”
แต่ก็มีคนโต้กลับว่า “ทำไมถึงเดาเช่นนั้น จอมทัพสวรรค์มาที่กองทัพอู่เว่ยทันทีที่เขาออกมาจากการปิดด่านนะ? นอกจากนี้พวกเราไปหาเรื่องกองทัพอู่เว่ยตั้งแต่เมื่อไหร่กันล่ะ? พวกมันต่างหากที่เป็นฝ่ายเริ่มโจมตีก่อน!”
พวกขุนนางชั้นสูงต่างก็ทุกข์ทรมานยิ่งนัก เห็นได้ชัดว่ากองทัพขุนนางของพวกเขาอดอยากหิวโหยมานานกว่าครึ่งเดือนแล้ว ใครหาเรื่องใครกันแน่ล่ะ?!
ดังนั้น ขณะที่กองทัพเฮยอวี่เพิ่งถอยทัพกลับไปดินแดนตะวันตก หลี่เหลียงก็วางแผนหยุดพักและลาออกจากการเป็นผู้บัญชาการกองทัพของเขา แต่ก่อนที่เขาจะทันได้พักหายใจ กองทัพขุนนางก็เริ่มไล่ตามพวกเขามาจากทางเหนือ
หลี่เหลียงรู้สึกย่ำแย่ยิ่งนัก แค่เขาจะจากไปมันยากนักหรือ?
เหวินไจ้เฝ่ยกล่าวถามหลังจากรอเหล่าขุนนางจากไปแล้วด้วยความสงสัยว่า “แน่ใจหรือว่านายไม่ต้องการเมืองที่คนส่วนใหญ่ทำได้แค่ฝันถึงเท่านั้น?”
“ไม่” หลี่ว์ซู่กล่าวอย่างจริงจัง “คุณให้พวกเขาปกป้องเมืองได้ไหม? ผมจะเก็บภาษีเอง…”
ชั่วขณะนั้น จู่ๆ จางเว่ยอวี่ก็กระซิบอะไรบางอย่างกับหลี่ว์ซู่ จากนั้นหลี่ว์ซู่ก็กล่าวว่า “เราต้องการเมืองอวิ๋นอาน”
“ตกลง” เหวินไจ้เฝ่ยพยักหน้า “ถ้าเช่นนั้น เราจะยกเมืองหนานเกิงให้กับนาย”
“ไม่นะ เดี๋ยวก่อน ผมบอกว่าผมต้องการเมืองอวิ๋นอาน!” หลี่ว์ซู่กล่าวด้วยความตกใจ เขาไม่ได้ยินจริงๆ เหรอ?
แต่ผลก็คือ เหวินไจ้เฝ่ยไม่สนใจหลี่ว์ซู่เลย เขาหันกลับและก้าวเดินจากไปราวกับว่ามีความว่างเปล่าไร้ที่สิ้นสุดอยู่ข้างหลังเขา และทั้งร่างของเขาก็หายวับไปทันที
หลี่ว์ซู่ตกตะลึงเป็นเวลานาน อะไรกันนี่? นี่เป็นวิธีการพิเศษของผู้ที่ครองระดับเสินฉังจิ้งใช่หรือไม่?
และในชั่วเวลาต่อมา หลี่ว์ซู่ก็ยิ้มแล้วกล่าวว่า “วิธีนี้ใช้ได้ผลทีเดียว หมายความว่าเขาจะต้องลำบากอยู่ตลอดเวลาอย่างนั้นหรือ?”
เมื่อสามวันก่อน พวกเขาคุยกันว่าหากจอมทัพสวรรค์จะให้รางวัลแก่พวกเขา พวกเขาจะเอาเมืองหนานเกิง แต่ก็ย่อมพูดไปได้ตรงๆ ไม่ได้ว่าพวกเขาต้องการอะไร…เพราะเหวินไจ้เฝ่ยจะไม่ให้ในสิ่งที่พวกเขาต้องการแน่นอน
ในตอนแรกหลี่ว์ซู่สงสัยว่านี่เป็นการป้องกันไม่ให้มีใครวางแผนอะไรบางอย่างหรือไม่ แต่จางเว่ยอวี่ตอบว่า ไม่ เขาชอบหยอกล้อและคอยดูสีหน้าตื่นตกใจของคนอื่น
“บอกว่าจอมทัพสวรรค์เคยเป็นอาจารย์ผู้ฝึกคุณหรือ?” หลี่ว์ซู่ถามด้วยความสงสัย “ราชันองค์เก่าน่าจะไว้ใจเขามาก แล้วทำไมเขาถึงกลายเป็นจอมทัพสวรรค์ได้ล่ะ?”
“เพราะราชันองค์เก่าน่ารำคาญเกินไป…” จางเว่ยอวี่กล่าวอย่างสงบ “เขาจึงไม่อยากเห็นราชันองค์เก่าอีก จึงออกมาอยู่ห่างๆ…”
หลี่ว์ซู่ตกตะลึงงัน เป็นไปได้หรือนี่?
จางเว่ยอวี่กล่าวอย่างจริงจังว่า “ในอดีต สถานที่ที่พวกเราซ่อนตัวอยู่คือในหมู่บ้านเถียนเกิ่งในเมืองเถียนเกิ่งซึ่งไม่เคยถูกกองทัพเฮยอวี่ค้นพบเลย แต่คราวนี้มันแตกต่างออกไป ดูเหมือนว่ากองทัพเฮยอวี่จะไปถึงสถานที่ที่ซ่อนตัวของพวกเราได้ ฉันสงสัยมากว่าเขาจงใจเปิดเผยตำแหน่งที่ซ่อนตัวของพวกเราเพื่อบังคับให้พวกเราต้องปรากฏตัวออกมา”
“เขาต้องการจะฆ่าพวกคุณเหรอ?” หลี่ว์ซู่ถามด้วยความสงสัย เมื่อดูจากท่าทีก่อนหน้านี้ของเหวินไจ้เฝ่ยกับสิ่งที่จางเว่ยอวี่กล่าวแล้ว การคาดเดาของจางเว่ยอวี่นั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
“เขารู้สึกว่าพวกเราทนทุกข์มากเกินไปและไม่อยากให้พวกเราตายอยู่ในเมืองเถียนเกิ่ง” จางเว่ยอวี่ถอนหายใจและกล่าวว่า “ฉันยังสงสัยว่าการประกาศว่าเข้าปิดด่านฝึกฝนของเขานั้นอาจเป็นเรื่องหลอกลวง และเป็นไปได้มากว่าเขาเฝ้าสังเกตสงครามนี้มาโดยตลอด ไม่เช่นนั้น ทำไมเขาถึงรู้เรื่องโลกภายนอกดีนักล่ะ?”
หลี่ว์ซู่คิดอยู่ครู่หนึ่ง หากเป็นเช่นนี้จริง เช่นนั้น จอมทัพสวรรค์ก็อาจเห็นการกระทำของเหล่าขุนนางทั้งหมดแล้ว แล้วเหวินไจ้เฝ่ยก็อาจเบื่อกับการไม่มีอะไรทำและอยากจัดการปรับเปลี่ยนพวกเขาใหม่
หากใครมีชีวิตอยู่นานเกินไปก็มักจะเบื่อกับการไม่มีอะไรทำและจะสร้างกิจกรรมพิเศษแปลกๆ บางอย่างให้กับตัวเอง ไม่อย่างนั้นจะฆ่าเวลาให้หมดไปอย่างไรล่ะ…
เพียงแต่หลี่ว์ซู่ยังคงรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เพราะความเข้าใจผิดของหลิวอี้เจาเกี่ยวกับตัวตนของเขาจึงทำให้เขากังวลอยู่ตลอดเวลาว่าเหวินไจ้เฝ่ยจะคิดแบบเดียวกัน และนอกจากนี้ก็ไม่มีใครแน่ใจได้ว่าเหวินไจ้เฝ่ยจะเป็นศัตรูหรือมิตร
แต่คำอธิบายของจางเว่ยอวี่ก็ยังทำให้เหวินไจ้เฝ่ยยังคงจัดการเรื่องต่างๆ ต่อไปได้เรื่อยๆ ราวกับว่าทุกอย่างง่ายดายอย่างมาก
หลี่ว์ซู่รู้สึกเศร้าเล็กน้อย คนที่ต่ำต้อยเช่นเขาจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับจอมทัพสวรรค์ได้อย่างไร?
ทันทีที่จอมทัพสวรรค์ก้าวเท้าจากไป ทาสขุนนางก็มาในตอนบ่าย พวกเขาเป็นคนเดิมที่เคยมาก่อนหน้านี้ เมื่อเห็นหลี่ว์ซู่ พวกเขาก็ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ยินดีด้วยที่ท่านได้รับเมืองหนานเกิงเป็นรางวัล เจ้านายของกระผมได้เตรียมของขวัญพิเศษเอาไว้ให้ และหวังว่าพวกเราทุกคนจะได้ช่วยเหลือซึ่งกันและกันต่อไปได้ในอนาคตโดยลืมความขัดแย้งในอดีตของพวกเราในครั้งก่อนไป”
หลี่ว์ซู่ชำเลืองมองพวกเขา ความจริงแล้วขุนนางชั้นสูงทั้งสิบสองคนเหล่านั้นล้วนแต่เอาเงินหนึ่งล้านหยวนมาให้เป็นของขวัญโดยที่เขาไม่ได้คาดคิด!
เนื่องจากก่อนหน้านี้หลี่ว์ซู่ให้หลิวอี้เจาและหลี่เฮยทั่นจัดการกับพวกทาสมาก่อน จางเว่ยอวี่จึงยังกังวลเล็กน้อยว่าหลี่ว์ซู่จะทำลายความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพอู่เว่ยและขุนนางชั้นสูงอีกครั้ง เพราะอย่างไรก็ตาม การมีมิตรมากกว่าศัตรูย่อมเป็นการดีกว่า
แต่ก่อนที่เขาจะทันได้เกลี้ยกล่อมหลี่ว์ซู่ เขาก็เห็นหลี่ว์ซู่จับมือทาสแล้วกล่าวว่า “กลับไปบอกเจ้านายของคุณว่านับจากนี้ไปพวกเราจะเป็นพี่น้องกัน! พี่น้อง!”
หลี่ว์ซู่ขนลุกด้วยความกลัวจนหนังศีรษะชายิบ โยนกิ่งไม้ที่แตกสลายในมือของเขาออกไป เขาไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายทำลายกิ่งไม้ให้เป็นผุยผงโดยไม่ทำร้ายฝ่ามือของเขาได้อย่างไร
ชายหนุ่มผู้สวมชุดพิธีการสีดำยืนตัวตรง และมีทีท่าผ่อนคลาย ดูเหมือนว่าเขาจะผสานเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดี และด้วยรอยยิ้มนั้น ก็ทำให้การปรากฏตัวของเขาไม่ได้ดูแปลกแยกและกดดันให้ผู้คนตึงเครียด
หลี่ว์ซู่ปัดเศษกิ่งไม้ออกจากฝ่ามือ แล้วแกล้งทำเป็นถามอย่างผ่อนคลายว่า “คุณเป็นใครหรือ?”
“นี่ไม่รู้หรือว่าเราเป็นใคร เดาได้ไหม?” ชายหนุ่มถามยิ้มๆ พร้อมล้วงมือเข้าไปในแขนเสื้อกว้างของเขา “เห็นเสื้อผ้าของเราหรือไม่? ไม่คิดว่าเสื้อผ้าชุดนี้ลึกลับหรือ? นอกจากนี้ เรายังเดินตามหลังนายโดยที่นายไม่แม้แต่จะสังเกตเห็นฉันด้วยซ้ำ ดังนั้น…ลองเดาสิว่าเราเป็นใคร”
หลี่ว์ซู่ครุ่นคิดเงียบๆ ชั่วครู่แล้วกล่าวว่า “คุณนี่ขี้อวดจริงๆ ใช่ไหม?”
ชายหนุ่มคนนั้นพูดไม่ออก “???”
“ได้รับแต้มอารมณ์จากเหวินไจ้เฝ่ย +199!”
แน่นอนว่า ความจริงแล้วหลี่ว์ซู่เดาไม่ผิด แท้จริงแล้วเขาคือ จอมทัพสวรรค์เหวินไจ้เฝ่ยซึ่งมาที่นี่ด้วยตนเอง
เป็นเพียงว่า หลี่ว์ซู่ไม่เข้าใจว่าทำไมเหวินไจ้เฝ่ยจึงมาปรากฏตัวที่นี่? มาปรากฏตัวในภูเขาราชันหลี่ว์ทันทีที่ออกจากการฝ่าด่านฝึกฝน มันเหมาะสมกับตัวตนที่ยิ่งใหญ่อย่างจอมทัพสวรรค์แล้วหรือ?
ว่ากันตามตรงแล้ว หลี่ว์ซู่ต้องการเข้าไปในกระท่อมกระบี่อย่างเรียบง่ายและเมื่อเขาพบทางกลับบ้านก็จะจากไปอย่างเงียบๆ แต่แล้วทำไมเวลานี้เขายังได้เจอแม้กระทั่งจอมทัพสวรรค์…
โชคดีที่หลี่ว์ซู่ไม่ได้พูดอย่างนั้นออกไป ไม่อย่างนั้น จางเว่ยอวี่จะหักล้างมันทันที ไม่ว่าหลี่ว์ซู่จะทำตัวเรียบง่ายหรือไม่ เขาน่าจะรู้ดีที่สุด…
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าเหวินไจ้เฝ่ยจะไม่โกรธแต่อย่างใด เขายังคงยิ้มละไมแล้วกล่าวว่า “ความจริงแล้ว เราควรจะออกจากการปิดด่านในอีกสามเดือนหลังจากนี้ แต่เพราะกองทัพอู่เว่ยของนายจึงทำให้แผนเดิมของเราต้องวุ่นวาย แต่เราก็มีคำถามอยากจะถามนายว่า ทำไมกองทัพเฮยอวี่ถึงต้องถอยทัพเพราะกองทัพอู่เว่ย พวกนายมีผลงานมากมาย แล้วทำไมถึงยังอยากหนีไปเสียล่ะ?”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เหวินไจ้เฝ่ยก็ยิ่งยิ้มกว้างขึ้นแล้วกล่าวว่า “หรือน่าจะถามว่า พวกนายจะหนีไปที่ไหนได้หรือ? แล้วก็ขอแนะนำตัวเองว่า เราคือ จอมทัพสวรรค์อุดร เหวินไจ้เฝ่ย แต่อันที่จริงแล้ว เราชอบชื่ออื่นมากกว่า”
หลังจากนั้นเหวินไจ้เฝ่ยก็หันไปมองจางเว่ยอวี่แล้วถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง สบายดีไหม?”
จางเว่ยอวี่กล่าวตอบเป็นทางการอย่างเคร่งขรึม “สบายดี ท่านเหวิน?”
หลี่ว์ซู่ชะงักไปครู่หนึ่ง ท่านเหวินหรือ? เรียกจอมทัพสวรรค์ว่า ‘ท่านเหวิน’ ไม่แปลกไปหน่อยหรือ
เหวินไจ้เฝ่ยเห็นท่าทางงงงวยของหลี่ว์ซู่แล้วก็ยิ้มพลางกล่าวว่า “นายไม่รู้ตัวตนของพวกเขาหรือ? หรือพอเดาได้ แต่ไม่กล้าพูดออกมา? ทำไมล่ะ? ยังมีอะไรที่นายไม่กล้าพูดอีก? ดูเหมือนว่านายก็ไม่ใช่คนขี้ขลาดนี่ เพราะนายก็ยังร่วมมือกับบ่อนพนันในเมืองหลวงและทำกำไรได้ตั้งมาก”
หลี่ว์ซู่ไม่พอใจ แต่เมื่อคิดถึงความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายแล้ว เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา…
และในเวลานี้ จางเว่ยอวี่ก็กล่าวว่า “ท่านเหวินเป็นอาจารย์ผู้ฝึกของทหารมังกรจักรพรรดิ ดังนั้นพวกเราจึงเรียกเขาว่า ท่านเหวิน ด้วยความเคารพ”
หลี่ว์ซู่แทบหายใจไม่ออก เขาเดาตัวตนของจางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ ในใจได้แล้ว หลิวอี้เจาไม่ได้ปิดบังอะไร เขาเพียงแค่จงใจไม่พูดถึงมันเท่านั้น
แต่หลี่ว์ซู่ไม่คาดคิดว่าเหวินไจ้เฝ่ยจะเป็นอาจารย์ผู้ฝึกของทหารมังกรจักรพรรดิในตอนนั้น บางทีเขาอาจจะเป็นคนที่ใกล้ชิดที่สุดกับราชันแห่งทวยเทพ ไม่เช่นนั้นเขาจะเป็นจอมทัพแห่งสวรรค์ได้อย่างไรกัน?
ยิ่งไปกว่านั้น ชั่วขณะนั้น จู่ๆ หลี่ว์ซู่ก็สงสัยขึ้นมาในทันใดว่า ทำไมราชันองค์เก่าจึงจัดวางให้ยอดฝีมืออย่างจางเว่ยอวี่และหลิวอี้เจาทั้งหมดอยู่ในดินแดนทางเหนือ?
ตอนนี้สิ่งที่กวนใจหลี่ว์ซู่มากที่สุดก็คือ เพราะจางเว่ยอวี่มาปรากฏตัวอยู่ข้างๆ เขา ทำให้เหวินไจ้เฝ่ยจะเข้าใจผิดอะไรไปหรือไม่?
แต่เขาก็ได้ยินเหวินไจ้เฝ่ยพูดกับจางเว่ยอวี่อย่างสนุกสนานว่า “ในที่สุดเจ้าเด็กเหลือขอบางคนก็ยินดีที่จะออกจากเมืองเถียนเกิ่งแล้ว ตอนแรกเราขอให้พวกนายออกจาก เมืองเถียนเกิ่งไปช่วยเรา แต่พวกนายก็บอกว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็จะไม่ยอมจากไป แล้วเกิดเรื่องบ้าอะไรล่ะ ทำไมพวกนายถึงเปลี่ยนความคิดได้?”
จางเว่ยอวี่ขมวดคิ้ว “อย่าบอกนะว่าท่านทิ้งกองทัพเฮยอวี่ไว้ข้างหลังเพราะต้องการบีบให้พวกเราออกจากเมือง”
เหวินไจ้เฝ่ยเลิกคิ้วขี้นแล้วกล่าวพลางหัวเราะ “ฮ่าฮ่า เราจะทำเรื่องไร้เดียงสาเหมือนเด็กๆ เช่นนี้ได้อย่างไร?”
ในเวลานั้น หลี่ว์ซู่มีลางสังหรณ์แรงมาก มีแนวโน้มว่าจางเว่ยอวี่อาจเดาได้ถูกต้อง! หลี่ว์ซู่เริ่มรู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆ ว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่เขาระบุไม่ได้แน่ชัด
เหวินไจ้เฝ่ยสะบัดชุดพิธีการสีดำของเขาและพูดกับจางเว่ยอวี่ว่า “เรามีทหารเพียงพอที่จะให้นายฝึกฝน แต่พวกนายยืนยันที่จะใช้กำลังของพวกนายเพื่อฝึกฝนกองทัพอู่เว่ย สำหรับกลุ่มโจรที่ได้รับการฝึกฝนตามมาตรฐานอย่างนี้นับว่าไม่เลวเลย”
จางเว่ยอวี่กล่าวอย่างสงบว่า “ท่านเหวินเยี่ยมยอดในเรื่องการฝึกทหารอยู่แล้ว แล้วเหตุใดถึงจะให้พวกเราไปฝึกฝนพวกเขาเล่า ในเมื่อท่านก็ฝึกฝนด้วยตัวเองได้?”
ดวงตาของเหวินไจ้เฝ่ยเบิกกว้างขึ้นทันทีแล้วกล่าวว่า “เราเป็นจอมทัพสวรรค์แล้ว! นายยังอยากให้เราไปฝึกทหารอีกหรือ? เราทำไม่ได้แล้ว มันตะขิดตะขวงใจเกินไป!”
จางเว่ยอวี่พูดไม่ออก “…”
“เจ้าหนุ่มคนนี้…” เหวินไจ้เฝ่ยมองดูหลี่ว์ซู่อย่างระมัดระวัง “เขาคือ… ?”
“ไม่ใช่” จางเว่ยอวี่ส่ายศีรษะและประสานตากับเหวินไจ้เฝ่ย
“เราก็ไม่คิดว่าเป็นเขาเหมือนกัน คนผู้นั้นย่อมมีอำนาจบารมีเหนือกว่า และเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ ที่พวกนายทั้งคู่ได้พบกัน” เหวินไจ้เฝ่ยพยักหน้าพลางกล่าว
จู่ๆ หลี่ว์ซู่ก็รู้สึกว่า แม้เหวินไจ้เฝ่ยจะเข้าปิดด่านฝึกฝน แต่ดูเหมือนว่าเขาจะรู้เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอกมากมาย และยิ่งกว่านั้น… ทำไมจอมทัพสวรรค์ถึงเย่อหยิ่งอวดดีนัก! นั่นคือสิ่งที่ชนชั้นสูงอย่างจอมทัพสวรรค์ควรทำอย่างนั้นหรือ?
ว่ากันตามตรง หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าจอมทัพสวรรค์ควรจะเป็นจอมวางแผนอย่างร้ายกาจ และมองการณ์ไกลอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม เมื่อคิดถึงจุดนี้…เขาต้องคิดใหม่อีกครั้ง…
เหวินไจ้เฝ่ยเหลือบมองหลี่ว์ซู่ราวกับเดาได้ทันทีว่าหลี่ว์ซู่กำลังคิดอะไรอยู่ และทันใดนั้นก็กล่าวออกมาว่า “บางคนใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อไขว่คว้าให้ได้ตำแหน่งนี้มา แน่นอนว่าพวกเขาคุ้นเคยกับการวางแผนทุกอย่าง แต่เรานั้นแตกต่าง เราใช้ทักษะที่แท้จริงของเราเพื่อมาถึงจุดนี้ นายรู้หรือไม่ว่าทักษะที่แท้จริงคืออะไร มันเป็นเรื่องที่ไม่ต้องไปต่อรองใดๆ กับคนอื่น”
หลี่ว์ซู่พูดไม่ออกเป็นเวลานาน มันเหมาะดีแล้วจริงๆ ใช่ไหมที่คนอย่างเหวินไจ้เฝ่ยได้เป็นจอมทัพสวรรค์?
หลี่ว์ซู่มองดูท่าทางนี้แล้วหัวเราะ เขาตัดสินใจที่จะไม่เกี่ยวข้องในสถานการณ์นี้ “งั้นก็ลืมไปเถอะ ผมจะไม่หนี แต่ทำไมท่านจอมทัพสวรรค์จึงตามเรามาที่ภูเขาด้านนี้? เพื่อมาให้รางวัลพวกเราหรือ?”
“ถูกต้อง” เหวินไจ้เฝ่ยพยักหน้า “มอบช่องเขาเว่ยเป่ย ช่องเขาหลีหยาง เมืองก่วงเหลียว เมืองหนานเกิง และเมืองอวิ๋นอานให้พวกนาย เป็นยังไงล่ะ?”
หลี่ว์ซู่กล่าวตอบ “ไม่ต้อง ขอบคุณ”
ปกป้องเมืองหน้าด่านห้าเมืองได้ด้วยคนเพียงห้าพันคนนะ? หลี่ว์ซู่ไม่ได้โง่พอที่จะทำเช่นนั้น
กองทัพอู่เว่ยเองนั้นรวมพลกันด้วยความสามัคคีและมีความแข็งแกร่งมาก หากพวกเขาแยกจากกัน พวกเขาจะไม่ทรงพลังเท่านี้
ในขณะนี้ มีคนสิบสองคนที่บินมาจากบนท้องฟ้าทางทิศเหนือ และหลี่ว์ซู่ก็เห็นว่าสีหน้าของเหวินไจ้เฝ่ยเย็นชาขึ้นอย่างกะทันหัน และน้ำเสียงและความเย่อหยิ่งทั้งหมดของเขาก็จริงจังชัดเจนขึ้นในทันที
เขาเห็นคนทั้งสิบสองคนต่างคุกเข่าข้างหนึ่งลงต่อหน้าเหวินไจ้เฝ่ยแล้วกล่าวว่า “ยินดีกับท่านจอมทัพด้วยที่ฝึกฝนสำเร็จออกจากการปิดด่านแล้ว”
“หากเราไม่ออกจากการปิดด่านมา เราจะต้องเสียเมืองไปทั้งสิบเมืองจริงๆ หรือไม่?” เหวินไจ้เฝ่ยถามอย่างสงบ
หนึ่งในนั้นกล่าวอย่างหวาดกลัวว่า “บัดนี้พวกเราได้ยึดเมืองหน้าด่านส่วนใหญ่คืนมาได้แล้ว ขอท่านจอมทัพสวรรค์ได้โปรดให้โอกาสพวกเราอีกสักครั้งขอรับ”
หลี่ว์ซู่มองดูวิธีที่ทหารของกองทัพอู่เว่ยเรียนรู้วิธีการอ่านด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยแล้วถามจางเว่ยอวี่ว่า “พวกขุนนางใหญ่เหล่านี้ถูกปล้นชิงมากจนอดทนไม่ไหวอีก พวกเราทำเรื่องที่ทำให้พวกเขาไม่พอใจมากมาย แต่พวกเขาก็ยังไม่มาโจมตีภูเขาราชันหลี่ว์อีกหรือ?”
แม้จะค่อนข้างเครียดหากมีทหารนับหมื่นจากกองทัพขุนนางเข้ามาในภูเขา แต่ตอนนี้หลี่ว์ซู่ก็รู้สึกค่อนข้างหงอยเหงาเพราะไม่มีรายได้…
ตั้งแต่ยังเยาว์ หลี่ว์ซู่ก็เข้าใจความจริงว่าเขาต้องไม่นั่งเฉยโดยไม่ทำอะไรเลย…
จางเว่ยอวี่ก็ค่อนข้างสับสนเช่นกัน “นี่มันไม่มีเหตุผล เมื่อหลิวอี้เจากลับมา เขายังคงกล่าวว่ากองทัพขุนนางอยู่ในช่องเขาเว่ยเป่ย ในช่วงสองวันที่ผ่านมา พวกเขาไม่กังวลและยังไม่รีบเร่งที่จะกู้คืนเมืองหน้าด่านที่สูญเสียไปทั้งสามแห่ง หรือเป็นไปได้ไหมว่าจอมทัพสวรรค์ฝึกฝนเสร็จสิ้นแล้ว?”
จู่ๆ หลี่ว์ซู่ก็พูดขึ้นว่า “หากจอมทัพสวรรค์ฝึกฝนเสร็จแล้ว พวกเขาจะไม่รีบกู้คืนเมืองหน้าด่านทันทีหรือ? ฉันคิดว่ามันไม่จะน่าเป็นไปได้ ฉันเลยเดาว่า… พวกเขาจะกลัวฉันหรือเปล่า?”
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ที่อยู่ข้างๆ เขาพยักหน้าทันที “สำหรับเรื่องอย่างนี้ หากพวกเขากำลังต่อสู้กับกองทัพอู่เว่ย ถ้าหากพวกเขาโชคดี พวกเขาก็แค่ต้องเปลี่ยนทหารหลายนาย แต่หากโชคร้ายก็ต้องเปลี่ยนเป็นขุนนาง”
หลี่ว์ซู่มองหลี่ว์เสี่ยวอวี๋อย่างชื่นชมแล้วกล่าวว่า “หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ เธอสรุปได้ดีมาก!”
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ยิ้มและกล่าวว่า “ก็แน่ล่ะสิ!”
จางเว่ยอวี่มองดูทั้งสองพูดคุยกันอย่างไร้ความรู้สึก และไม่อยากวิเคราะห์อะไรเพิ่มเติมอีก…
“ได้รับแต้มอารมณ์จากจางเว่ยอวี่ +199!”
อันที่จริง กองทัพขุนนางต่างกลัวตัวตนของหลี่ว์ซู่ ในตอนแรกพวกเขาคิดว่าหลี่ว์ซู่เป็นเพียงอัจฉริยะเยาว์วัยที่ไร้พื้นฐานและพรสวรรค์ จริงๆ แล้วในจักรวาลหลี่ว์มีอัจฉริยะที่ไม่มีพรสวรรค์มากพอจนเสียชีวิตไปในท้ายที่สุดหรือไม่?
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ก็มีข่าวมาจากเมืองหลวงว่า ตระกูลหลี่ว์ของหลี่ว์หลี่เซียงยอมรับว่า หลี่ว์ซู่เป็นสมาชิกของตระกูลหลี่ว์ของหลี่ว์หลี่เซียง คำพูดของตระกูลหลี่ว์นั้นคลุมเครือมาก พวกเขาไม่ได้บอกว่าหลี่ว์ซู่เป็นญาติตระกูลสาขาหรือทายาทสายตรง ทำให้ทุกคนสับสน
ทุกๆ สองสามทศวรรษ ตระกูลหลี่ว์ของหลี่ว์หลี่เซียงจะผลิตอัจฉริยะชั้นเยี่ยม แต่นี่ก็ไม่ใช่ประเด็นหลัก
ทุกคนล้วนรู้ดีว่าตระกูลหลี่ว์ของหลี่ว์หลี่เซียงนั้นสมถะและเรียบง่ายมาก และพวกเขาไม่ได้ทำการค้ากับใครนอกเมืองหลวงมากนัก แม้กิจการเหล่านั้นจะมีความสำคัญมาก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องหลักเช่นกัน
คนรุ่นก่อนมักไม่ค่อยพูดเอ่ยถึง และในขณะเดียวกัน คนรุ่นหลังๆ มาก็ไม่รู้ว่าทำไมตระกูลหลี่ว์ถึงทรงอำนาจมาก พวกเขารู้แค่ว่า นี่เป็นตระกูลมั่งคั่งที่พวกเขาไม่สามารถล่วงเกินได้
ในเวลานี้ก็มีคนหนุ่มสาวหลายคนในเมืองหลวงไม่พอใจ “พวกเราทำได้แค่ต้องปล่อยให้เขาทำร้ายโดยไม่โต้กลับเหรอ? กองทัพขุนนางทางเหนือขี้ขลาดอย่างนั้นเลยเหรอ?”
เหล่าอัจฉริยะในเมืองหลวงทนรับความอัปยศเช่นนี้ไม่ได้!
อย่างไรก็ตาม ผู้ใหญ่ในตระกูลก็กล่าวอย่างไร้อารมณ์ว่า “กองทัพทั้งสี่ดินแดนล้วนไม่กล้ายั่วยุตระกูลหลี่ว์ แต่ในเมืองหลวงนี้ไม่สนใจ พวกแกเลือกตัดสินใจได้เองว่าจะทำอย่างไรตามแต่สถานการณ์”
เหล่าอัจฉริยะล้วนเริงร่าที่เห็นว่าผู้ใหญ่ในตระกูลมีความเห็นเช่นนี้ นี่ย่อมหมายความว่า แม้ว่าตระกูลหลี่ว์ของหลี่ว์หลี่เซียงจะทรงพลังอำนาจ แต่ด้วยสถานะของพวกเขาในเมืองหลวง พวกเขาก็ไม่ต้องไปกลัวเกรง!
ดังนั้นเมื่อตระกูลหลี่ว์ของหลี่ว์หลี่เซียงกล่าวออกมา ก็ดูเหมือนว่าทุกคนจะพบกับคำอธิบายเกี่ยวกับการเจริญรุ่งเรืองขึ้นของกองทัพอู่เว่ย แต่คนหนุ่มสาวในเมืองหลวงก็ยังคงขุ่นเคืองใจ และบางคนก็เริ่มแอบวางแผนเดินทางไปยังดินแดนทางเหนืออย่างลับๆ
และคนที่แอบวางแผนจะลักลอบเข้าไปยังดินแดนทางเหนือต่างก็เป็นพวกที่สูญเสียเงินครั้งใหญ่ในบ่อนพนัน พวกเขาล้วนไม่มีอะไรทำและค่อนข้างมีความสามารถ โดยปกติแล้วพวกเขาก็จะเป็นพวกดื้อด้านที่ถูกตามใจจนเสียคนในเมืองหลวง หลังจากที่ถูกหลอกแบบนี้ก็ทนความอัปยศอดสูเช่นนี้ไม่ได้
กลุ่มอัจฉริยะสิบสองคนในเมืองหลวงพูดคุยและวางแผนกันถึงเรื่องนี้แล้ว และเมื่อถึงวันหยุดเรียน พวกเขาก็จะบอกกับบิดามารดาก่อนที่จะออกจากเมืองหลวงไป
แล้วจู่ๆ ก็มีคนพูดว่า “มีหลักสูตรที่เรียกว่า ‘การเดินทางพันลี้’ ในช่วงปิดเทอมนี้จะเป็นโอกาสดีที่พวกเราจะได้ไปดินแดนทางเหนือ!”
“นั่นสินะ!” อัจฉริยะคนหนึ่งยกเท้าวางลงบนเก้าอี้พร้อมกับแค่นเสียงเยาะเย้ย “ให้เราได้แสดงให้เห็นว่าเขาจะต้องทนรับกับผลที่ร้ายแรงที่ตามมาอย่างไรจากการวางแผนแบบนี้ ฉัน หลินอี้ จากบ้านหยกแดงคนนี้ ฉันสัญญาว่าฉันจะไปหานายในเดือนนี้ ตอนนี้ฉันไม่มีเงินเลย…”
นี่จึงเป็นผลให้พวกเขาตั้งใจวางแผนที่จะไปดินแดนทางเหนือในอีกสองเดือนต่อมา
หลี่ว์ซู่ไม่รู้เรื่องนี้ และหากเขารู้ เขาก็จะยินดีที่จะให้พวกเขาให้รีบมาโดยเร็ว และเขาจะช่วยให้อัจฉริยะเหล่านี้หายโกรธ… เขาไม่กังวลกับความจริงที่ว่าตอนนี้จะทำเงินได้ในหรือไม่?
ขณะที่หลี่ว์ซู่กำลังรู้สึกไม่สบายใจ หลี่เฮยทั่นและคนอื่นๆ ก็รู้สึกกังวลเช่นกัน เมื่อกลับไปที่ภูเขา พวกเขาต้องเรียนรู้การอ่านเขียน รวมถึงทำการบ้าน
ว่ากันตามตรง สำหรับหลี่เฮยทั่นและคนอื่นๆ แล้ว พวกเขาล้วนรู้สึกดีกว่าเมื่อได้ต่อสู้ร่วมกับผู้บัญชาการของพวกเขา…
เดิมทีหลี่เฮยทั่นเป็นโจร และกองทัพอู่เว่ยเก่าก็เป็นทัพที่แตกสลาย ไม่ได้ดีไปกว่าเขามากนัก แม้ว่ากองทัพชิงไส้จะเป็นกองทัพที่ทรงพลัง แต่พวกเขาก็แพ้การต่อสู้หลายครั้ง
ดังนั้นประสบการณ์ชีวิตในอดีตของพวกเขาจึงไม่ได้ตื่นเต้นเต็มไปด้วยความเบิกบานเท่าช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมานี้
ตั้งแต่เผชิญหน้ากับกองทัพเฮยอวี่ กองทัพอู่เว่ยไม่เคยพ่ายแพ้ และยิ่งกว่านั้น พวกเขายังเอาชนะศัตรูจนแตกพ่ายได้เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออยู่ในภูเขาขณะเดินผ่านถ้ำ และทหารทั้งหมดของกองทัพอู่เว่ยล้วนแต่รู้สึกตื่นเต้นเริงร่าอย่างมากที่ได้ต่อสู้ นี่คือความสุขของการต่อสู้ จนพวกเขาอุทานออกมาว่า ‘มันช่างยอดเยี่ยมอะไรอย่างนี้!’
ทุกคนล้วนสนิทสนมกันเหมือนเป็นครอบครัว พวกเขาทั้งหมดเป็นสหายร่วมรบร่วมตาย ร่วมทุกข์ร่วมสุขและผ่านศึกหนักหนาสาหัสมาด้วยกัน
เวลานี้ ถึงแม้จะมีใครได้รับอนุญาตให้จากไป แต่พวกเขาก็จะไม่จากไป
และหลี่ว์ซู่ก็คู่ควรที่จะเป็นผู้นำที่แท้จริงของกองทัพอู่เว่ย
อย่างไรก็ตาม ผู้นำคนนี้ต้องการทรมานพวกเขาด้วยการบ้าน หลี่เฮยทั่นทรมานกับมันมากจนอยากแนะนำองค์ราชาให้ปล่อยทุกคนออกโจมตีและเอาชนะช่องเขาเว่ยเป่ย เพราะพวกเขาไม่มีอะไรจะทำอยู่แล้ว
พวกเขาเต็มใจจะทำทุกอย่าง อะไรก็ได้ที่จะทำให้พวกเขาไม่ต้องทำการบ้าน…
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ จู่ๆ กองทัพขุนนางก็บุกโจมตีช่องเขาเว่ยเป่ย แต่พวกเขาไม่ได้มุ่งไปที่ภูเขาราชันหลี่ว์ แต่ไปที่เมืองอวิ๋นอาน เมืองก่วงเหลียว และเมืองหนานเกิงอย่างเร่งรีบไปตลอดทาง ดูเหมือนว่าพวกเขาจะรีบแข่งกับเวลาโดยไม่หยุด
แต่เมื่อหน่วยสอดแนม หลิวอี้เจา ส่งข่าวกลับไปยังกองทัพ จางเว่ยอวี่ก็กล่าวยืนยันอย่างมั่นใจว่า “จอมทัพสวรรค์ฝึกฝนเสร็จสิ้นและออกมาแล้ว!”
หลี่ว์ซู่ขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “เหวินไจ้เฝ่ยเป็นคนอย่างไร? หากเขาอยากจะลงโทษกองทัพอู่เว่ยจริงๆ เกรงว่าพวกเราคงต้องหนีก่อน ไม่อย่างนั้น พวกเรามุ่งหน้าไปที่ดินแดนตะวันตกกันดีไหม?”
จางเว่ยอวี่จ้องหลี่ว์ซู่ด้วยความงุนงง “นายไปก่อกวนให้กองทัพเฮยอวี่ในดินแดนตะวันตกโมโหแล้วและยังคิดจะมุ่งหน้าไปที่นั่นอีกหรือ? อย่าแม้แต่จะคิดเลย หากทหารของพวกเราทรยศ คนของจอมทัพสวรรค์จะต้องกวาดล้างกองทัพอู่เว่ยอย่างแน่นอน นี่ไม่ใช่เรื่องชนะหรือแพ้ แต่มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับชื่อเสียงของพวกเขา!”
“ผมก็แค่พูดเฉยๆ” หลี่ว์ซู่คิดในใจ โชคดีที่เขาไม่ได้ทำแบบนั้น…
“ดูเหมือนว่าจะไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับจอมทัพสวรรค์เหวินไจ้เฝ่ย” จางเว่ยอวี่กล่าวออกมาทันที “ฉันยังมีความประทับใจที่ดีในตัวเขา ในบรรดาจอมทัพสวรรค์ทั้งสี่ เขาเป็นคนเดียวที่มุ่งมั่นฝึกฝนอย่างทุ่มเท และเขาไม่ใส่ใจพลังอำนาจและผลประโยชน์มากเกินไป ซึ่งหากเขาเป็นคนที่สนใจเรื่องการเมืองมากเป็นพิเศษ เย่เสี่ยวหมิงก็คงดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการไม่ได้นานเช่นนี้ จอมทัพสวรรค์คงได้เห็นอุบายของเขาแล้ว เพียงแต่ไม่คิดจะสนใจเจ้ามดตัวนี้ให้รกสมองเท่านั้น”
“ถ้าอย่างนั้น พวกเราควรหนีไปก่อนดีหรือไม่?” หลี่ว์ซู่ถามอย่างสงสัย
ในขณะนั้น ก็มีเสียงเจือหัวเราะเบาๆ อยู่ข้างหลังหลี่ว์ซู่ “นายจะหนีไปไหนล่ะ? ไม่ใช่ว่านายประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่หรอกหรือ? แล้วทำไมถึงจะต้องหนีล่ะ?”
หลี่ว์ซู่ตกใจมากและโจมตีคนที่อยู่ข้างหลังเขาด้วยกิ่งไม้ที่ถูกตัดออกมาตามสัญชาตญาณทันที แต่ก่อนที่กิ่งไม้ของเขาจะกระทบกับคนผู้นั้น คนผู้นั้นก็ชี้นิ้วไปที่กิ่งไม้ และกิ่งก้านต้นไม้ก็แตกสลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยในพริบตา
ทางด้านหลัง หลี่ว์ซู่เห็นชายหนุ่มรูปงามในชุดพิธีการสีดำ เสื้อผ้าของเขาถูกประดับประดาไปด้วยลวดลายล้ำค่าสิบสองลาย มีลายมังกร ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว ภูเขา ไก่ฟ้า จอกบูชา กอสาหร่าย ไฟ เมล็ดข้าว ขวาน และคันธนูสองคัน!
ทันใดนั้น หัวใจของหลี่ว์ซู่ก็เย็นเยียบขึ้นมาฉับพลัน เขาเดาได้แล้วว่าคนผู้นี้เป็นใครกัน!
ขณะที่หลี่ว์ซู่กำลังจะนำกองทัพอู่เว่ยไล่ติดตามกองทัพเฮยอวี่ไปก็มีเหตุการณ์พลิกผันเกิดขึ้น ในคืนนั้น จางเว่ยอวี่ได้มาหาหลี่ว์ซู่และกล่าวอำลา
หลี่ว์ซู่ผงะไปชั่วขณะแล้วเอ่ยถามว่า “ทำไมจู่ๆ คุณถึงจะจากไปล่ะ?”
“มันไม่ใช่การจากไป” จางเว่ยอวี่ส่ายศีรษะ “แต่แค่จะกลับไปที่ภูเขาราชันหลี่ว์เพื่อรอนาย”
ชั่วขณะนั้นหลี่ว์ซู่มองไปยังสีหน้าที่ดูอ่อนล้าของจางเว่ยอวี่แล้วก็ตระหนักว่า จางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ นั้นต่างก็เป็นคนธรรมดา และพวกเขาก็ทนต่อการถูกทรมานจากการเดินทางอันยาวนานของกองทัพอู่เว่ยไม่ได้!
แม้หลี่ว์ซู่จะให้ม้าที่ทรงพลังกับจางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ เดินทางไปแต่เนิ่นๆ และจัดเตรียมพวกมันไว้ล่วงหน้าก่อนการต่อสู้ใดๆ เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาต้องเหนื่อยแล้ว แต่สำหรับจางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ ก็ยังเหนื่อยมากในการเดินทางยาวไกล
ดังนั้นจึงไม่ใช่ว่าจางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ อยากจะจากไป แต่พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่น ไม่เช่นนั้น พวกเขาจะกลายเป็นแค่ตัวถ่วงและทำให้กองทัพที่เหลือต้องเดินทางช้าลง
หลี่ว์ซู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “คุณต้องการเกวียนไหม? มันอาจจะช่วยให้คุณเหนื่อยน้อยลง และพวกคุณก็ไม่ต้องขี่ม้าไปตามเส้นทางลูกรัง”
อย่างไรก็ตาม จางเว่ยอวี่ยังคงส่ายศีรษะด้วยทีท่าเย่อหยิ่งขณะกล่าวว่า “พวกเรายังไม่ได้อ่อนแอจนถึงกับต้องถูกแบกพาตัวไป เว้นแต่ว่าจะได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่ต้องห่วง พวกเราจะกลับไปที่ภูเขาราชันหลี่ว์เอง หากนายกลับไป พวกเราก็จะพบกันที่ภูเขาราชันหลี่ว์…แต่หากนายไปที่ดินแดนตะวันตกแล้วไม่กลับไป พวกเราก็จะกลับไปที่เมืองเถียนเกิ่งหลังจากที่สงครามสิ้นสุดลงแล้ว”
หลี่ว์ซู่เงียบงันไปชั่วครู่ เขารู้ว่าจางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ ต่างก็เย่อหยิ่งและมีความเป็นตัวของตัวเองสูง ในตอนแรกนั้น หลี่ว์ซู่ต้องการใช้ประโยชน์จากจางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ ช่วยเขาสอนยุทธวิธีการต่อสู้และฝึกทหารอู่เว่ย
อย่างไรก็ตาม ทุกคนก็ค่อยๆ เข้ากันได้และเริ่มพัฒนาความสัมพันธ์อย่างช้าๆ และหลี่ว์ซู่ก็ไม่ใช่คนเย็นชา
และในขณะนี้ จางเว่ยอวี่ก็ยิ้มและกล่าวว่า “ในโลกนี้ ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา พวกเราได้ทำเพื่อกองทัพอู่เว่ยมาเพียงพอแล้ว นายเพียงแค่ปล่อยให้พวกเขาฝึกฝนไปทีละขั้นตอนตามคำแนะนำของพวกเรา ฉันเชื่อว่าพวกเขาจะพัฒนาขึ้นมาอีกครั้งภายในเวลาหกเดือน ซึ่งเป็นความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมาก!”
หลี่ว์ซู่เงียบไป เขารู้ว่าจางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ ตัดสินใจที่จะไปแล้ว ความจริงแล้ว เขาก็ไม่เข้าใจคนเหล่านี้ พวกเขาอยู่ในเมืองเถียนเกิ่งด้วยเหตุผลที่อธิบายไม่ได้ และเนื่องจากพวกเขาต่อสู้ไม่ได้ พวกเขาจึงต้องการใช้ประโยชน์จากกองทัพอู่เว่ยเพื่อรำลึกถึงช่วงเวลาในอดีตของพวกเขา
คนกลุ่มนี้มีอุดมการณ์และอารมณ์ที่หลี่ว์ซู่ยากที่จะเข้าใจ หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าเขาคงมีอุดมการณ์เดียวกันเมื่อเขากลายเป็นราชันฟ้าลำดับที่เก้า
แล้วหลี่ว์ซู่ก็ถามคำถามเดิมกับจางเว่ยอวี่เป็นครั้งที่สาม “มันคุ้มหรือ?”
แต่ก่อนที่จะได้รับคำตอบของจางเว่ยอวี่ในครั้งนี้ หลี่ว์ซู่ก็ยังคงพูดต่อไปอีกว่า “สำหรับข้อตกลงที่คลุมเครือแทบไร้ความหมาย สำหรับการชดใช้ความผิด? พวกคุณจะมีความสุขในเมืองเถียนเกิ่งหรือ? พวกคุณเต็มใจที่จะเป็นแค่เบี้ยเล็กๆ และสูญเสียความหมายในชีวิตของคุณไปทั้งชีวิตบนกระดานหมากรุกของคนอื่นหรือ? แล้วหากพวกคุณรอวันนั้นมาถึงไม่ได้จะเป็นอย่างไรล่ะ?”
จางเว่ยอวี่เงียบไปครู่หนึ่งแล้วจู่ๆ ก็หัวเราะออกมาพลางกล่าวว่า “แล้วมีใครที่ไม่ใช่เบี้ยหมากรุกในโลกนี้เล่า?”
หลี่ว์ซู่ส่ายศีรษะแล้วกล่าวตอบว่า “หากผมถูกมองว่าเป็นแค่หมาก ผมจะฆ่าคนเดินหมากแน่นอน และในอนาคต เมื่อนึกถึงความสูญเสียในชีวิต บางทีคุณอาจจะเสียใจ”
เวลานี้จางเว่ยอวี่ ตงเยี่ยและคนอื่นๆ ต่างก็ยิ้มให้กันและกันแล้วควบม้าสีดำแข็งแรงมุ่งหน้าตรงไปทางภูเขาราชันหลี่ว์ จางเว่ยอวี่ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ชีวิตก็เป็นเช่นการเดินหมาก เมื่อคุณวางหมากแล้ว คุณก็จะเสียใจไม่ได้”
กลุ่มคนจำนวนห้าสิบหกคนที่ควบขี่ม้าไปนั้นเร่งม้าอย่างดุดัน จางเว่ยอวี่รู้สึกราวกับว่าเขาได้กลับไปในอดีตยามเมื่อพวกเขาทรงพลังรุ่งโรจน์ในขณะนั้นเช่นกัน
ทันใดนั้นเขาก็กระชับบังเหียนแล้วมองย้อนกลับไปในทิศทางที่กองทัพอู่เว่ยออกเดินทางไป “กองทัพอู่เว่ยนี้ถือว่าสมบูรณ์แล้ว หากพวกเขาสามารถเลื่อนขึ้นสู่ระดับสองได้ในอีกหกเดือนข้างหน้า พวกเขาก็จะไปได้ทุกหนทุกแห่งในโลกใบนี้”
“น่าเสียดายที่จะต้องใช้เวลานานเกินไปกว่าจะได้ขึ้นสู่ระดับหนึ่ง” ตงเยี่ยถอนหายใจ “พวกเขายังขาด ‘รากฐาน’ ของทหารมังกรจักรพรรดิ”
‘รากฐาน’ ที่ตงเยี่ยกล่าวถึงก็คือจำนวนยอดฝีมือระดับหนึ่ง
จะไปถึงระดับสองง่ายดาย แต่การไปถึงระดับหนึ่งนั้นยาก สิ่งจำเป็นในการเลื่อนจากระดับสองขึ้นสู่ระดับหนึ่งนั้น ไม่ใช่มีเพียงแค่ทรัพยากรและทักษะเท่านั้น แต่ยังจำเป็นต้องมีความถนัดและการตระหนักรู้เข้าใจในตนเองด้วยเช่นกัน เหตุผลที่ทหารมังกรจักรพรรดิไร้พ่ายได้นั้นเพียงเพราะมีค่ายกลไร้พ่ายที่สร้างขึ้นโดยทหารมังกรจักรพรรดิจำนวนสามร้อยคน มันเป็นทวนยาวที่แหลมคมที่สุดในโลกซึ่งอยู่ในมือของราชันแห่งทวยเทพ
“น่าเสียดาย” ใครบางคนกล่าวพร้อมกับหัวเราะออกมาอย่างกะทันหัน “ฉันไม่คิดว่าจะอำลากันเร็วขนาดนี้ ฉันชอบเจ้าเด็กโง่ๆ พวกนั้นจริงๆ วิธีที่พวกเขาต่อสู้ทำให้ฉันนึกถึงพวกเราในสมัยนั้น”
“ฉันก็ไม่ค่อยอยากไปเหมือนกัน” อีกคนกล่าวต่อด้วยรอยยิ้ม
จางเว่ยอวี่มุ่นคิ้ว เขาก็รู้สึกแบบเดียวกัน แต่พวกเขาต่อสู้เคียงข้างกองทัพอู่เว่ยในสงครามเหนือและใต้ใดๆ ไม่ได้อีกต่อไป
ชั่วเวลานั้น จู่ๆ พวกเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งดังตึงตังมาจากทิศทางของกองทัพอู่เว่ยที่พวกเขาจากมา พวกของจางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ ทั้งห้าสิบหกคนต่างก็นิ่งอยู่ตรงจุดนั้นและจ้องมองหน้ากันและกัน
แล้วทันใดนั้นเสียงของหลี่เฮยทั่นก็ดังมาจากระยะไกลว่า “จางเว่ยอวี่ รอพวกเราด้วย พวกเราจะกลับไปที่ภูเขาราชันหลี่ว์ด้วยกัน!”
จางเว่ยอวี่มองไปที่หลี่ว์ซู่อย่างไม่เข้าใจ “นายรู้ผลที่จะตามมาจากการกลับไปที่ภูเขาราชันหลี่ว์กับพวกเราไหม?”
หลี่ว์ซู่ยิ้มและกล่าวว่า “มันก็แค่ถูกกองทัพขุนนางปิดล้อมแล้วปราบปรามไม่ใช่หรือ? และหากกองทัพเฮยอวี่เข้าไปในภูเขาแล้ว พวกเราจะทำอะไรได้อย่างนั้นหรือ?”
จางเว่ยอวี่เงียบอยู่นานและทันใดนั้นก็กล่าวขึ้นว่า “ถ้าอย่างนั้น นายรู้หรือเปล่าว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไรหากมีคนรู้ว่านายอยู่กับพวกเรา? คงจะดีกว่าหากจะบอกว่าเราอยู่คนเดียวในกองทัพอู่เว่ย แต่หากมีคนพบว่าพวกเราทั้งห้าสิบหกคนมาชุมนุมอยู่ด้วยกัน…”
กล่าวกันตามตรงแล้ว หลี่ว์ซู่ไม่ต้องการมีส่วนเกี่ยวข้องกับจางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ มาก่อน แต่หาก พวกเขากลับไปที่ภูเขาราชันหลี่ว์เพียงลำพัง แล้วหากกองทัพขุนนางบุกไปจริงๆ พวกเขาควรทำอย่างไร?
และประเด็นที่สำคัญที่สุดนั้นไม่ใช่เรื่องนี้ หลี่ว์ซู่มองดูจางเว่ยอวี่อย่างสงบและกล่าวว่า “พวกคุณนำอาหารมาหรือเปล่า?”
จางเว่ยอวี่พูดไม่ออกแล้ว “…”
“เสบียงอาหารและข้าวของของภูเขาราชันหลี่ว์หมดไปนานแล้ว หากพวกคุณไม่ได้นำอาหารมา แล้วยังไม่ได้นำเมล็ดพืชไปด้วย เมื่อพวกคุณกลับไปแล้ว พวกคุณคิดจะกินหญ้ากันหรือ?” หลี่ว์ซู่ถามอย่างสงสัย
“ได้รับแต้มอารมณ์จากจางเว่ยอวี่+666!”
หลี่ว์ซู่แย้มยิ้มเริงร่าและกล่าวว่า “หากพวกเราถูกพบ พวกเราก็หนีไปด้วยกัน ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่เคยทำมาก่อนนี่ วางใจเถอะ!” ขณะกล่าว หลี่ว์ซู่ก็หันศีรษะไปตะโกนใส่กองทัพอู่เว่ยที่อยู่ข้างหลังเขาว่า “พวกเรากลับบ้านกันเถอะ!”
หลี่เหลียง ผู้บัญชาการกองทัพเฮยอวี่ ใช้เครื่องมือวิเศษเพื่อติดต่อกับสหายร่วมชั้นของเขาในเมืองหลวงอีกครั้ง เขาต้องการหาเงินจากกองทัพอู่เว่ยหลังจากออกจากราชการแล้ว แต่ในท้ายที่สุดกองทัพอู่เว่ยก็ไม่ได้ปรากฏตัวอีกครั้ง
จ้าวซ่วย หัวหน้าเจ้าหน้าที่ของบ่อนพนันตระกูลซ่งต้องการเริ่มเดิมพันกับหลี่ว์ซู่อีกครั้ง แต่ก็พบว่า กองทัพอู่เว่ยได้กลับมาที่ภูเขาราชันหลี่ว์ทันทีราวกับว่าพวกเขากลายเป็นคนดีในชั่วข้ามคืน…
แล้วสงครามก็ยุติลงโดยไม่มีสัญญาณใดๆ และงานเฉลิมฉลองในเมืองหลวงก็จบลงด้วยผลกำไรจากการเดิมพันมากมาย และหลี่ว์ซู่ก็ยังได้รับคฤหาสน์อยู่ในเมืองหลวงอีกด้วย
หลี่เหลียงและหลี่ว์ซู่กำลังเจรจากันว่ากองทัพอู่เว่ยควรจะคุ้มกันกองทัพเฮยอวี่หรือไม่ ตามที่ หลี่ว์ซู่บอกว่าทุกคนเป็นพี่น้องกัน และในฐานะพี่น้อง แน่นอนว่าพวกเขาควรต้องปกป้องซึ่งกันและกัน เนื่องจากอาจต้องพบกับอันตรายระหว่างทาง
แต่ในทางตรงกันข้าม หลี่เหลียงกลับรู้สึกว่าสิ่งที่อันตรายที่สุดในระหว่างทางกลับไปยังดินแดนตะวันตกนั้น ไม่ใช่ใครอื่นเลย นอกเสียจากกองทัพอู่เว่ย…
หลี่เหลียงหยุดคิดอยู่นานแล้วกล่าวว่า “ตอนนี้ ขอแนะนำให้พวกคุณทุกคนปกป้องช่องเขาเว่ยเป่ย เพื่อป้องกันไม่ให้กองทัพขุนนางเข้ามา และหลังจากที่เหวินไจ้เฝ่ย จอมทัพสวรรค์ของคุณเสร็จสิ้นการฝึกฝนของเขา กองทัพอู่เว่ยก็จะได้ผลงานจากความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ทั้งหมดในการขับไล่กองทัพเฮยอวี่”
หลี่ว์ซู่ส่ายศีรษะ “ไม่ ไม่ ไม่ ผลงานนี้ย่อมไม่สำคัญเท่ากับการคุ้มกันพี่น้องอย่างแน่นอน!”
หลี่ว์ซู่หัวเราะในใจ ตอนนี้ทุกคนก็รู้แล้วว่ากองทัพขุนนางมองกองทัพอู่เว่ยอย่างไร และอาจเป็นไปได้ว่ากองทัพขุนนางจะมุ่งเป้าทิ่มแทงไปที่กองทัพอู่เว่ยทันทีที่กองทัพเฮยอวี่จากไป
เมื่อเห็นว่าหลี่ว์ซู่ไม่ยอมเลิกล้มความคิดที่จะ ‘คุ้มกัน’ พวกเขา หลี่เหลียงก็คิดว่า หลี่ว์ซู่เป็นคนที่รักษาคำพูดของเขามาก ดังนั้นหากต้องการกลับไปยังดินแดนตะวันตกอย่างปลอดภัยเขาก็ต้องอดทน
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้หลี่เหลียงโกรธก็เกิดขึ้นในวันถัดไป เพราะเป็นไปตามที่คาดไว้ กองทัพอู่เว่ยเริ่มใช้เล่ห์เหลี่ยมสร้างปัญหาจริงๆ
อันที่จริงแล้ว หลี่ว์ซู่ซึ่งเป็นผู้นำกองทัพอู่เว่ยไม่ได้ติดตามหลังกองทัพเฮยอวี่มาอย่างใกล้ชิดแต่เขากลับปรากฏตัวขึ้นเป็นครั้งคราวภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ทันตั้งตัวของกองทัพเฮยอวี่แทน ทันใดนั้น หลี่ว์ซู่ก็นำกองทัพอู่เว่ยดักจับกองทัพเฮยอวี่โดยพุ่งทะลุผ่านกองทัพเฮยอวี่มาจากทางด้านหลัง
ในเวลานั้น หัวใจของหลี่เหลียงเย็นชา และแน่นอนว่า กองทัพอู่เว่ยโจมตีพวกเขาจริงๆ! ที่เรียกว่าพี่ชายนั่นมันอะไรล่ะ? เสแสร้งทั้งเพ!
ทั้งหมดล้วนแต่เสแสร้งแกล้งทำทั้งนั้น!
ในขณะเดียวกัน ในเวลานี้ หัวหน้าเจ้าหน้าที่ของบ่อนพนันซึ่งอยู่ใกล้กองทัพเฮยอวี่ก็สบตากันและกันแล้วส่งข้อความกลับไป บ่อนพนันตระกูลซ่งเป็นที่แรกที่ส่งข้อมูลใหม่ให้ เนื่องจากกองทัพเฮยอวี่ต้านทานการคุกคามของกองทัพอู่เว่ยไม่ได้ พวกเขาจึงล่าถอยและกองทัพอู่เว่ยก็ไล่ตามเข่นฆ่าพวกเขา!
จากนั้นก็เปิดวางเดิมพันใหม่ กองทัพอู่เว่ยฝ่าผ่านกองทัพเฮยอวี่แล้ว ทหารของกองทัพอู่เว่ยจะตายกี่คน?
เป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้วนับตั้งแต่วันที่เลือดนองเมืองหลวง เวลานี้ บรรดานักพนันและลูกหลานชนชั้นสูงต่างก็หวนคืนกลับมาเล่นพนันกันอีกครั้งแล้ว
ใช่แล้ว ภายใต้สถานการณ์ปกติ ลูกหลานชนชั้นสูงจะได้รับเงินค่าใช้จ่ายติดตัวจากทางบ้านเป็นรายเดือนทุกเดือน ดังนั้นบ่อนพนันจึงคิดว่านี่เป็นเวลาที่ทุกคนน่าจะมีเงินอีกครั้งแล้วใ…
ดังนั้นจ้าวซ่วยแห่งตระกูลซ่งจึงพูดคุยกับหลี่ว์ซู่เพื่อหารือเรื่องนี้ เมื่อเห็นว่าสงครามกำลังยุติลงแล้ว พวกเขาก็คิดหาวิธีทำเงินเพิ่ม
กองทัพอู่เว่ยมีชุดเกราะเพียงพอแล้ว แต่คราวนี้ บ่อนพนันตระกูลซ่งได้เสนอข้อตกลงอื่น บ่อนพนันตระกูลซ่งในเมืองหลวงจะมอบหุ้นของหนึ่งในบ่อนพนันตระกูลซ่งสาขาให้หลี่ว์ซู่ยี่สิบเปอร์เซ็นต์และยังจะมอบคฤหาสน์ขนาดใหญ่ในเมืองหลวงที่มีมูลค่าหลายล้านอีกด้วย
ส่วนวิธีการที่จะเอาชนะการเดิมพันนี้นั้นขึ้นอยู่กับว่าหลี่ว์ซู่ว่าจะทำอย่างไร หลี่ว์ซู่จึงรู้สึกกังวลเล็กน้อย เขาเพิ่งโกงเงินของเหล่านักพนันในเมืองหลวงไปเมื่อเดือนที่แล้ว จะมีใครรีบกลับมาเล่นการพนันอีกครั้งในช่วงเวลาสั้นๆ อย่างนี้ล่ะ?
จึงเป็นผลให้จ้าวซ่วยบอกเขาว่าสบายใจได้ บรรดานักพนันลืมเรื่องนี้ไปแล้ว
หลี่ว์ซู่จึงตั้งใจแน่วแน่ที่จะมุ่งหน้าไปเมืองหลวง เอาละ! เขาจะไปแน่!
อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกัน คราวนี้ดูเหมือนว่าเหล่านักพนันในเมืองหลวงจะได้เรียนรู้บทเรียนของพวกเขาแล้ว และพวกเขาต่างก็เดิมพันกันว่า จะไม่มีใครในกองทัพอู่เว่ยถูกฆ่า ก็คือ ‘ไม่มีใครตาย’ และ ‘ตายหนึ่งถึงหนึ่งร้อยคน’ เท่านั้น
เวลานี้ทุกคนต่างก็รู้สึกว่ากองทัพอู่เว่ยนั้นไร้เทียมทานและทรงพลังแข็งแกร่งอย่างมาก และนอกจากนี้ ยังดูเหมือนว่าผู้บัญชาการกองทัพอู่เว่ยนาม หลี่ว์ซู่จะรักทหารของเขามาก และปกป้องทหารของเขาเป็นอย่างดี ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกว่าไม่น่าจะมีผู้บาดเจ็บล้มตายในกองทัพอู่เว่ย
แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาต้องผิดหวังก็คือรายได้สำหรับ ‘ไม่มีใครตาย’ นั้นค่อนข้างต่ำมาก แม้ว่าพวกเขาจะชนะเดิมพันมากก็ตาม แต่พวกเขาก็จะทำเงินได้ไม่มากนัก
ในขณะเดียวกันนั้น เหล่าบ่อนพนันก็กำลังให้ข้อมูลของสถานการณ์การต่อสู้แบบสดๆ ว่า กองทัพอู่เว่ยบุกโจมตีกองทัพเฮยอวี่ถึงสามครั้ง!
บรรดานักพนันในเมืองหลวงจึงต่างพากันยิ้มร่า กองทัพอู่เว่ยไม่ทำให้พวกเขาผิดหวังจริงๆ!
ทันใดนั้น บ่อนพนันทั้งหมดในเมืองหลวงก็เปิดวางเดิมพันใหม่ว่า ทหารของกองทัพเฮยอวี่จะตายกี่คน?
มันเหมือนกับเดิมพันเรื่องความตายของกองทัพอู่เว่ยในครั้งก่อน แต่คราวนี้พุ่งเป้าไปที่กองทัพเฮยอวี่แทน
ทุกคนล้วนคิดว่า ในเมื่อกองทัพอู่เว่ยได้โจมตีไปสามครั้งก็ย่อมจะต้องมีผู้บาดเจ็บล้มตายจำนวนนับไม่ถ้วน จึงเป็นผลให้มีเงินจำนวนมากหลั่งไหลไปที่เดิมพันนี้ในทันที
เมื่อหลี่ว์ซู่นำกองทัพอู่เว่ยโจมตีกองทัพเฮยอวี่อีกครั้ง กองทัพเฮยอวี่ทั้งหมดรวมถึงหลี่เหลียง ต่างก็ยืนนิ่งตะลึงงันอยู่กับที่ด้วยท่าทีงุนงงขณะที่มองกองทัพอู่เว่ยจากไป…
หัวหน้าเจ้าหน้าที่บ่อนพนันรายงานสถานการณ์การต่อสู้แบบสดๆ ว่าอัตราการตายเป็นศูนย์ คือ ไม่มีใครตายในกองทัพอู่เว่ย
พอข่าวกลับมาถึงเมืองหลวง เหล่านักพนันต่างก็รื่นเริงเต็มที่ มันเหมือนกับการให้เงินพวกเขา เป็นไปอย่างที่คาด กองทัพอู่เว่ยไม่มีใครตาย ฮ่าฮ่าฮ่า!
ในเวลานี้ ลูกหลานชนชั้นสูงทั้งหลายต่างเริ่มชื่นชมกองทัพอู่เว่ย “จิตวิญญาณของกองทัพอู่เว่ยช่างน่ายกย่องจริงๆ นานหลายปีแล้วที่ในจักรวาลหลี่ว์ไม่มีกองทัพที่ทรงพลังแข็งแกร่งเช่นนี้ แม้ว่าจะมีจำนวนทหารน้อย แต่ก็ไม่ได้อ่อนแอเลย!”
“ใช่แล้ว ผู้บัญชาการกองทัพอู่เว่ยคนนี้ช่างมีความสามารถจริงๆ หากวันหนึ่งเขามาที่เมืองหลวง พวกเราต้องพาเขาไปเลี้ยงเหล้านะ!”
“ไม่รู้ว่า กองทัพเฮยอวี่จะมีผู้บาดเจ็บล้มตายกี่คนกัน?”
และชั่วขณะนั้นก็มีรายงานข้อมูลล่าสุดของจำนวนผู้เสียชีวิตของกองทัพเฮยอวี่ออกมาแล้ว และทุกคนต่างก็รีบกรูกันเข้าไปในบ่อนพนัน “ดูสิว่า ทหารของกองทัพเฮยอวี่ตายไปกี่คนกันแล้วล่ะ?”
อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกันนั้น ผู้คนที่อยู่รอบนอกก็ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ และบรรดาคนที่อยู่ข้างในนั้นต่างก็พากันตกตะลึงแข็งค้าง จากนั้นก็มีคนรีบถามขึ้นว่า “เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”
คนที่อยู่ข้างในนั้นหันศีรษะมาและบ่นพึมพำว่า “เป็นไปได้อย่างไรนี่? กองทัพเฮยอวี่ก็ไม่มีใครตายเหมือนกัน…”
ตอนนี้ทุกคนล้วนตกตะลึงงัน ก่อนหน้านี้นั้น เพียงแค่พวกเขาพูดคุยให้ความเห็นกันว่ากองทัพอู่เว่ยนั้นทรงพลังมากและกองทัพอู่เว่ยก็โจมตีกองทัพเฮยอวี่ไปถึงสามครั้ง แต่สุดท้ายแล้ว กลับไม่มีทหารของกองทัพเฮยอวี่ตายสักคนหรือ?
หากเรื่องนี้เกิดขึ้นกับกองทัพอื่น มันย่อมจะเป็นการนองเลือด แต่ทำไมกองทัพอู่เว่ยถึงทำราวกับว่าพวกเขาแค่เข้าไปหยอกเล่น?
แล้วที่กองทัพอู่เว่ยโจมตีไปสามครั้งนั่นเพื่อความสนุกสนานหรือ? มันบ้าอะไรกันนี่!
เมื่อครู่ก่อนเพิ่งมีคนบอกว่า หากหลี่ว์ซู่ไปเมืองหลวง เขาก็จะชวนหลี่ว์ซู่ไปร่วมดื่มเลี้ยงเหล้าด้วย แต่เวลานี้ทุกคนต่างก็สงสัยว่า หลี่ว์ซู่จะกล้ามาเมืองหลวงหรือไม่ หากเขากล้ามา เขาย่อมจะถูกรุมทำร้ายและฆ่าตายอย่างแน่นอน…
ในเวลานี้ กองทัพเฮยอวี่ก็สับสนฉงนใจเช่นกัน เดิมทีนั้นเมื่อกองทัพอู่เว่ยบุกโจมตีเข้ามา พวกเขาก็ตื่นตระหนก แต่หลังจากที่กองทัพอู่เว่ยบุกเข้ามาแล้ว กองทัพอู่เว่ยทุกคนก็แค่ต่างตะโกนโห่ร้องขอให้พวกเขาทุกคนหลีกทางไป…
ก่อนที่หลี่ว์ซู่จะนำกองทัพเข้าโจมตี เขาก็วิตกกังวลเป็นอย่างมากว่าหลี่เฮยทั่นจะทำอะไรร้ายแรง จนควบคุมการโจมตีของเขาไม่ได้ และจะเข่นฆ่าผู้อื่นไปโดยไม่ตั้งใจ เพราะท้ายที่สุดแล้วก็ไม่มีใครสามารถคาดเดาความคิดของหลี่เฮยทั่นได้
ดังนั้น หลี่ว์ซู่จึงบอกหลี่เฮยทั่นเป็นการเฉพาะว่า “อย่าฆ่าใคร พวกเขาจ่ายเงินพวกเราแล้ว”
หลี่เฮยทั่นพลันตอบกลับว่า “เข้าใจแล้ว!”
ดังนั้นตั้งแต่ต้นจนจบ ในระหว่างการโจมตีทั้งสามครั้ง หลี่เฮยทั่นจึงไม่ได้ทำร้ายและฆ่าใครเลย…
และเมื่อกองทัพอู่เว่ยเข้าโจมตีเป็นครั้งแรก เมื่อเขาได้รับรู้ว่ากองทัพของเขาไม่มีใครตายเลยหลี่เหลียงก็ตระหนักได้ในทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น…
หลี่เหลียงพลันถอนหายใจ กองทัพอู่เว่ยทำเงินได้ง่ายดายจริงๆ… ทำไมเขาถึงไม่คิดที่จะทำเงินแบบนั้นเมื่อก่อนหน้านี้นะ?!
อย่างไรก็ตาม กองทัพอู่เว่ยมีความสามารถพิเศษในการทำเงินจริงๆ หากพวกเขาไม่โด่งดังหลังจากที่คว้าชัยชนะได้ทั้งที่เป็นกองกำลังที่อ่อนแอแต่กลับเหนือผู้ที่แข็งแกร่งกว่า บรรดาลูกหลานชนชั้นสูงและเจ้าของบ่อนพนันก็คงจะไม่มีใครรู้ว่ากองทัพอู่เว่ยเป็นใครกัน?
ดังนั้นจึงไม่ใช่ทุกคนที่จะทำเงินได้แบบนี้
กองทัพเฮยอวี่ยุ่งมาก พวกเขาต้องจากไปทันทีเมื่อคิดจะถอยหนี นี่คือสิ่งที่กองทัพชั้นเยี่ยมควรทำโดยไม่ต้องยื้อเวลาอย่างไม่จำเป็น
ดังนั้นก่อนที่กองทัพขุนนางจะตอบโต้ กองทัพเฮยอวี่ก็เริ่มเคลื่อนทัพไปยังเมืองหนานเกิงและเมืองอวิ๋นอานในชั่วข้ามคืน ผู้บัญชาการกองทัพเฮยอวี่ยังกังวลว่ากองทัพขุนนางจะไล่ตามพวกเขาทัน ดังนั้นในระหว่างวันพวกเขาจึงยังคงทำเสมือนว่าพวกเขาพร้อมสู้ตาย แต่ในเวลากลางคืนพวกเขาก็หลบหนีรอดไปได้
ทันทีที่ผู้บัญชาการกองทัพเฮยอวี่ออกมาจากช่องเขาเว่ยเป่ย เขาก็รู้สึกสดชื่น เขามองดูหน่วยสอดแนมจากบ่อนพนันที่ซ่อนตัวอยู่ในที่ลับอย่างมีความสุขและคิดถึงการแอบวางเดิมพันของเขาอย่างเริงร่า เขาชนะการเดิมพันครั้งนี้แล้ว
ผู้บัญชาการกองทัพเฮยอวี่วางเดิมพันไว้สิบล้าน และเขาจะได้รับเงินคืนกลับมายี่สิบสามล้านเก้าแสนหนึ่งหมื่น เขารู้สึกว่าตนไม่เคยทำเงินได้อย่างง่ายดายขนาดนี้มาก่อนในชีวิตเลย
เขาจะต้องกลับไปที่ดินแดนตะวันตกเพื่อเผชิญหน้ากับการลงโทษของตวนมู่หวงฉี่ เขาดำรงตำแหน่งฐานะผู้บัญชาการกองทัพเฮยอวี่ไม่ได้อีกต่อไป แต่เขาจบการศึกษาจากสำนักศึกษาหลวงและมีความสัมพันธ์กับสหายเก่ามากมาย ดังนั้น ตวนมู่หวงฉี่ย่อมจะไม่ทำอะไรกับเขามากจริงๆ
อันที่จริง หลี่เหลียง ผู้บัญชาการกองทัพเฮยอวี่ได้วางแผนที่จะลาออกจากราชการแล้วกลับเมืองหลวง เพราะบ้านของเขาอยู่ที่นั่น ดังนั้นการล่าถอยครั้งนี้จึงทำให้เขารู้สึกโล่งใจราวกับว่าได้ปลดภาระหนักลง
หลี่เหลียงขี่ม้าของเขาพุ่งทะยานออกไปข้างหน้า หลังจากเดินทัพมาครึ่งวัน เขาก็หันกลับไปมองที่ช่องเขาเว่ยเป่ยซึ่งเกือบจะมองไม่เห็นแล้ว เขาหัวเราะกับตัวเอง หากไม่ใช่เพราะการเผชิญหน้ากันระหว่างสองกองทัพ เขาย่อมจะพบว่ากองทัพอู่เว่ยนี้น่าสนใจมาก บางทีพวกเขาอาจจะกลายเป็นสหายร่วมดื่มและพูดคุยกันอย่างเพลิดเพลินได้
หลี่เหลียงเรียกกองทัพอู่เว่ยเป็นการส่วนตัวว่า กองทัพปีศาจ ไม่ใช่ว่าพวกเขาเต็มไปด้วยปีศาจ แต่เป็นเพราะว่าพวกเขามีความสามารถมากในการก่อเรื่องชั่วร้ายได้
พูดกันตามตรง หลี่เหลียงก็สู้รบมาหลายปีแล้ว ชนะหรือแพ้พ่ายย่อมเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเขา และเป็นเรื่องที่น่าสนใจทีเดียวที่กองทัพปีศาจอย่างกองทัพอู่เว่ยได้ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกะทันหันเช่นนี้
แต่เวลานี้สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดล้วนไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขา บางทีในอนาคตเขาอาจจะได้พบกับผู้บัญชาการนามหลี่ว์ซู่ในเมืองหลวง และเขาจะชวนไปร่วมดื่มได้ ซึ่งบางทีในเวลานั้น หลี่ว์ซู่คนนี้อาจจะไม่ใช่ผู้บัญชาการอีกต่อไป บางทีเขาอาจจะกลายเป็นหนึ่งในขุนนางชั้นสูงได้
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นไปได้ทั้งหมด
แต่สิ่งสิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกับหลี่เหลียงอย่างไรเล่า? นับแต่นี้ไปเขาก็จะกลายเป็นเศรษฐีในเมืองหลวงแล้ว
อย่างไรก็ตาม ชั่วเวลานั้น จู่ๆ ก็มีเสียงดังกึกก้องมาจากทางด้านซ้ายของหลี่เหลียงราวกับว่ามีกองทัพกำลังไล่ล่าตามพวกเขา!
และชั่วเวลาถัดมา หลี่เหลียงก็เห็นธง ‘กำจัดความยากจนและสร้างสมความร่ำรวย’ ทำให้เขาพลันอ้าปากค้าง “อะไรของมันอีกล่ะนี่…”
เขาเห็นกองทัพอู่เว่ยกำลังเร่งรีบไล่ไปข้างหน้าราวกับว่าพวกเขาไม่กลัวกองทัพขนาดใหญ่นับแสนของกองทัพเฮยอวี่ และความเร็วในการเดินทัพของพวกเขาก็เร็วกว่ากองทัพเฮยอวี่อย่างมากด้วย!
หลี่เหลียงรีบตะโกนใส่บรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาที่อยู่ด้านหลัง “เร็วเข้า!”
เพียงแต่ความแข็งแกร่งโดยรวมของกองทัพอู่เว่ยนั้นเทียบไม่ได้กับกองทัพเฮยอวี่ ในเวลาไม่นาน ผู้คนห้าพันคนจากกองทัพอู่เว่ยก็เข้าปิดล้อมกองทัพเฮยอวี่ที่มีกำลังพลแข็งแกร่งนับแสน หลี่ว์ซู่มองไปที่ผู้บัญชาการกองทัพเฮยอวี่ หลี่เหลียงอย่างไร้อารมณ์แล้วตะโกนว่า “กลับไปเดี๋ยวนี้!”
หลี่เหลียงงุนงง “???”
“ได้รับแต้มอารมณ์จากหลี่เหลียง +666!”
เขาใช้ความพยายามอย่างหนักในการนำกองทัพเฮยอวี่ออกมาได้ในที่สุด แต่ตอนนี้จะให้เขากลับไปแล้วเหรอ? หลี่เหลียงตะลึงงันขณะมองไปที่หลี่ว์ซู่แล้วพูดว่า “คุณบ้าไปแล้วเหรอ? คุณเป็นกองทัพจากทางเหนือ แต่คุณยังมาทำแบบนี้…”
“พวกเราไม่ใช่กองทัพจากทางเหนือ” หลี่ว์ซู่กล่าวพลางโบกมือชี้ให้หลี่เหลียงมองดูธงด้านหลังเขา “พวกเราเป็นกลุ่มโจร ‘กำจัดความยากจนและสร้างสมความร่ำรวย’”
ในเวลานี้คติพจน์กลุ่มโจร ‘กำจัดความยากจนและสร้างสมความร่ำรวย’ แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงอย่างบ้าคลั่ง ต้องบอกว่าคติพจน์นี้หายากมาก ไม่เหมือน คติพจน์อื่นๆ ที่ข่มขวัญอย่างกองทัพหลงเหมิ่ง กองทัพเพลิงแดง และกองทัพเฮยอวี่
แต่ตอนนี้ พวกเขาเอาความรู้สึกส่วนตัวในใจมาเป็นคติพจน์…
อย่างไรก็ตาม หลี่ว์ซู่ไม่สนใจ เขารู้สึกว่าคติพจน์ ‘กำจัดความยากจนและสร้างสมความร่ำรวย’ นั้นมีนัยของทั้ง ‘อุดมคติ’ และ ‘ความฝัน’ เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขารู้สึกว่าความมุ่งมั่นนั้นช่างทะนงองอาจจริงๆ
อันที่จริงแล้ว หลี่ว์ซู่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นเช่นกัน เมื่อกองทัพเฮยอวี่ถอยทัพ เขาจะต้องเผชิญหน้ากับกองทัพขุนนางและถูกไต่สวนเรื่องความรับผิดชอบทางเหนือของเขา…
เขาจะปล่อยช่องเขานี้ไปได้อย่างไร?!
แล้วการต่อสู้ที่ทุกคนตัดสินใจสู้ด้วยกันล่ะ? แล้วทำไมพวกคุณทุกคนถึงแอบหนีไปล่ะ? ห้ามทิ้งไป! ใครทิ้งไปก่อนก็ต้องสู้กับเขา!
หลี่ว์ซู่คิดว่าเขาทำงานหนักเกินไปเพื่อประโยชน์ของกองทัพอู่เว่ย เขาเคยคิดถึงวิธีการเช่นนี้ด้วยซ้ำ แต่เขาถูกบังคับด้วยชีวิต! หากกองทัพอู่เว่ยต้องการให้รออย่างสบายใจจนกว่าการคัดเลือกของกระท่อมกระบี่จะเริ่มต้นขึ้นกองทัพเฮยอวี่จะจากไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด…
อันที่จริงแล้ว หลี่ว์ซู่ยังไม่รู้ว่าตระกูลหลี่ว์ของหลี่ว์หลี่เซียงได้กางปีกปกป้องเขาแล้ว และแน่นอนว่า ต่อให้เขาจะรู้ เขาก็คงไม่มีความรู้สึกใดๆ เพราะเขารู้ชัดว่าเขาไม่ได้อยู่ในจักรวาลหลี่ว์นี้ และเขายังรู้ด้วยว่าไม่มีความรักที่ปราศจากเงื่อนไขใดๆ ในโลกนี้ เขาไม่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลหลี่ว์ของหลี่ว์หลี่เซียง เขาต้องการเป็นผู้บัญชาการกองทัพของเขาและตัดสินชะตากรรมด้วยตัวของเขาเอง!
หลี่เหลียงเงียบไปนานก่อนจะกล่าวว่า “คิดเอาคนห้าพันคนของคุณมาขวางกั้นกองทัพเฮยอวี่หรือ? หวังสูงเกินไปไหม?”
“ไม่หรอก” หลี่ว์ซู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้พวกเราไม่ได้คิดที่จะต่อสู้กับคุณ แต่คุณจะใช้เวลาประมาณหนึ่งเดือนเพื่อกลับไปยังดินแดนตะวันตก ลองเดาดูสิว่า ในช่วงเวลานี้กองทัพอู่เว่ยจะฆ่าทหารของคุณได้ไปกี่นาย?”
หลี่เหลียงรู้ดีว่าพวกเขาไร้หนทางออกที่ดีที่จะจัดการกับความคล่องตัวของกองทัพอู่เว่ยได้จริงๆ หากกองทัพอู่เว่ยไล่ล่าและเข่นฆ่าพวกเขาจากทางด้านหลัง สรุปสั้นๆ ก็คือ กองทัพอู่เว่ยมีพลังการต่อสู้ในระดับสูงมากเกินไป
หากเขานำกองทัพกลับคืนมาโดยสมบูรณ์ แน่นอนว่า เขาก็เป็นเศรษฐีได้อย่างสบายใจ แต่หากกองทัพไม่เพียงแค่บุกไปทางเหนือไม่ได้ แต่ยังสูญเสียทหารไปกว่าครึ่งอีกด้วย จะแก้ตัวก็กลายเป็นเรื่องยากแล้ว
ในเวลานี้ หลี่เหลียงมีแรงกระตุ้น เขาอยากจะสังหารใครบางคนนัก เมื่อสักครู่ที่ผ่านมา เขายังรู้สึกว่าเขาเป็นสหายร่วมพูดคุยและดื่มกับชายหนุ่มคนนี้ได้ แต่ความคิดหรูหรานี้ก็กำลังถูกความจริงทำลายลง…
มันกำลังจะแตกสลายเป็นชิ้นๆ แล้ว
อย่างไรก็ตาม หลี่เหลียงก็ยังไม่กล้าเคลื่อนไหว เพราะเขารู้ว่ายอดฝีมือระดับหนึ่งของกองทัพอู่เว่ย ยังคงจ้องจับตามองเขาอยู่ และยอดฝีมือระดับหนึ่งเหล่านั้นต่างก็คอยปกป้องชายหนุ่มคนนั้นอย่างเงียบๆ
บางทีหากเขาไม่ฆ่าพวกเขา แต่กลับทำให้คนบ้ากลุ่มนี้โกรธ ก็อาจไม่นับว่าสูญเสีย
ภายใต้แสงจันทร์ หลี่เหลียงกำลังพิจารณาชั่งน้ำหนักกำไรและขาดทุนของเขาอยู่ และเมื่อเขาบังเอิญมองเห็นธงที่อยู่เบื้องหลังซึ่งเขียนข้อความเอาไว้ว่า ‘กำจัดความยากจนและสร้างสมความร่ำรวย’ ทันใดนั้นเขาก็กล่าวออกมาว่า “หากคุณหลีกทางและปล่อยให้เราจากไป ฉันจะให้เงินคุณสามล้าน!”
หลี่ว์ซู่ชะงักไปสองวินาทีแล้วพูดว่า “พี่ชาย!”
หลี่เหลียงมึนงง “???”
“ได้รับแต้มอารมณ์จากหลี่เหลียง +666!”
โชคชะตาเป็นสิ่งสุดมหัศจรรย์พันลึก นี่คือภาพที่แท้จริงในหัวใจของหลี่เหลียงที่คิดไว้ในเวลานี้
เพียงเมื่อครู่ก่อน เขาอยากเป็นสหายกับหลี่ว์ซู่ แต่ตอนนี้ไม่เพียงแค่พวกเขาจะเป็นสหาย แต่ยังเป็นพี่น้องกันอีกด้วย! ในชีวิตของเขา หลี่เหลียงไม่เคยคิดว่าเขาจะเป็นพี่น้องกับใครสักคนในลักษณะนี้ได้…
ดังนั้นคติพจน์ของคุณ ‘กำจัดความยากจนและสร้างสมความร่ำรวย’ นั้นจึงเป็นเสียงสะท้อนความต้องการจากหัวใจของกองทัพอู่เว่ยของคุณอย่างแท้จริงใช่ไหม…
หลี่เหลียงไม่สงสัยเลยว่า หากเขาเอาเงินออกมาห้าล้านในตอนนี้ หลี่ว์ซู่จะยกย่องเขาในฐานะพันธมิตรได้ทันที…
เขาสงสัยว่าคนแบบนี้เป็นผู้บัญชาการกองทัพอย่างกองทัพอู่เว่ยจริงๆ หรือ?
แต่จู่ๆ หลี่ว์ซู่ก็พูดว่า “พี่ชาย! การเดินทางครั้งนี้ยากลำบากและมีอุปสรรคมาก พวกเราจะคุ้มกันพวกคุณไปที่นั่นเอง!”
หลี่เหลียงพูดไม่ออก คุ้มกันอะไรกัน? แน่ล่ะ เห็นได้ชัดว่าพวกคุณไม่ต้องการอยู่ในดินแดนทางเหนือ…
เดิมทีเมืองหลวงไม่เคยสนใจกองทัพห้าพันคนมาก่อน คนที่อยู่ในเมืองนี้ล้วนมีฐานะสูงส่ง และบรรดาขุนนางผู้ยิ่งยงก็ดูเหมือนจะห่างเหินจากสงครามมานานมากแล้ว และยังมีเหล่าอัจฉริยะปรากฏขึ้นมาเป็นจำนวนมาก จึงทำให้เมืองหลวงดูเหมือนเมืองสวรรค์ที่เป็นอิสระจากดินแดนทั้งสี่
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ไม่เพียงแต่ทุกคนจะให้ความสนใจกองทัพอู่เว่ยเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงผู้บัญชาการคนใหม่ของกองทัพอู่เว่ยนาม หลี่ว์ซู่ อีกด้วย
หลี่ว์เป็นแซ่สามัญทั่วไป และในจักรวาลหลี่ว์นี้ก็มีหลายแซ่เช่นกัน แซ่ที่ใช้กันทั่วไปมากที่สุดก็มี หลี่ว์ เฉียน ซุน หลี่…
เมื่อหลี่ว์ซู่และกองทัพอู่เว่ยมีชื่อเสียงแผ่ขยายออกไปไกลมากขึ้นเรื่อยๆ ขุนนางทั้งหลายที่มีแซ่หลี่ว์ก็เริ่มตรวจสอบลำดับวงศ์ตระกูลของตนอย่างละเอียดเพื่อต้องการดูว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นส่วนหนึ่งของตระกูลสาขาของพวกเขาหรือไม่
พวกตระกูลขุนนางที่ร่ำรวยและทรงอิทธิพลสูงล้วนยืนหยัดฝังรากมั่นคงอยู่ในจักรวาลหลี่ว์มาเป็นเวลาหลายพันปีและแผ่อำนาจอิทธิพลออกไปอย่างกว้างไกลแล้ว
ยกเว้นทายาทสายตรงแล้ว ก็ไม่มีใครสนใจตระกูลสาขาของตนเป็นพิเศษ เพราะนี่เป็นแค่ชนชั้นที่เกือบจะแข็งแกร่งเท่านั้น และในช่วงพันปีที่ผ่านมาก็มีน้อยมากที่ไพร่จากบ้านนอกคอกนาจะกลายมาเป็นขุนนางได้
อย่างไรก็ตาม คราวนี้กองทัพอู่เว่ยนั้นต่างออกไป ขุนนางทั้งหลายถึงกับคิดว่าผู้บัญชาการกองทัพอู่เว่ยอาจปรากฏขึ้นมาท่ามกลางความสับสนวุ่นวายและก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเข้าร่วมกับขุนนาง!
ดังนั้นทุกคนจึงรีบตรวจสอบลำดับวงศ์ตระกูลเพื่อดูว่ามีคนเช่นนี้อยู่หรือไม่ ทุกๆ ปี ตระกูลสาขาจะต้องรายงานเรื่องต่างๆ เช่น ลำดับวงศ์ตระกูลไปยังตระกูลหลักเพื่อที่พวกเขาจะเลี้ยงดูลูกหลานของตน หรือสร้างชื่อเสียงให้แก่ตนเองได้ แต่ถึงกระนั้นก็มักจะมีตระกูลสาขาที่ค่อยๆ กระจัดกระจายออกไปเรื่อยๆ และค่อยๆ ถูกลืมเลือนจนหายไป
แต่ตระกูลหลักจะไม่สนใจเรื่องนี้ เพราะพวกเขาจะมีสถานะสูงส่งอยู่ตลอดเวลา
แต่ตอนนี้มันต่างออกไป หากพวกเขาได้รับการยืนยันว่าหลี่ว์ซู่เป็นคนของตระกูลสาขาของพวกเขาเอง พวกเขาก็ย่อมจะได้ประโยชน์! เพราะเขาจะช่วยตระกูลหลักได้!
แต่หลังจากที่ตระกูลหลี่ว์ทั้งหมดเริ่มดำเนินการ พวกเขาก็ไม่พบคนที่มีนามว่าหลี่ว์ซู่… เขามาจากที่ใดก็ไม่อาจรู้ได้!
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ ตระกูลหลี่ว์ของหลี่ว์หลี่เซียงในเมืองหลวงก็ประกาศออกมาอย่างกระทันหันว่า หลี่ว์ซู่คนนี้เป็นคนของตระกูลสาขาของเขา
เมื่อข่าวนี้เริ่มแพร่สะพัดออกไป กองทัพอู่เว่ย และหลี่ว์ซู่ซึ่งไม่เป็นที่นิยมนักในแง่ของการเดิมพันก็กลับกลายเป็นหัวข้อสนทนาหลังอาหารมื้อค่ำทันที
“แน่ใจหรือ? ตระกูลหลี่ว์ของหลี่ว์หลี่เซียงพูดอย่างนั้นจริงๆ หรือ?”
“พวกเขาไม่ได้โกหก! ฉันคาดไม่ถึงว่าผู้บัญชาการกองทัพอู่เว่ยคนใหม่จะมาจากตระกูลนั้น!”
“ตระกูลหลี่ว์ของหลี่ว์หลี่เซียงมีรากฐานมั่นคงมานานแล้ว เป็นเรื่องปกติที่สมาชิกจากตระกูลสาขาจะได้ขึ้นสู่อำนาจอย่างกะทันหัน เหอะๆ ไม่น่าแปลกใจเลยที่ผู้บัญชาการหลี่ว์ซู่จะเผยให้เห็นความกล้าหาญเช่นนี้ นี่เป็นเพราะเขามั่นใจด้วยมีผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง!”
ในขณะนี้ ดูเหมือนจะไม่มีใครคิดว่าตระกูลหลี่ว์ของหลี่ว์หลี่เซียงกำลังสร้างประเด็นร้อนให้ยิ่งเป็นที่สนใจมากขึ้น แต่พวกเขาเพียงแค่ชื่นชมหลี่ว์ซู่จริงๆ!
แม้แต่จ้าวซ่วยก็ยังตกตะลึงเมื่อได้ยินเรื่องนี้ “ไม่แปลกใจเลยที่เด็กคนนั้นจะไม่ยอมรับข้อเสนอผูกมิตรจากพวกเรา ที่แท้แล้วก็เพราะเขามีฐานสนับสนุนที่แข็งแกร่งถึงได้กล้าเช่นนี้”
เมื่อจ้าวซ่วยส่งจดหมายให้หลี่ว์ซู่ เขาก็ถูกหลี่ว์ซู่ปฏิเสธ อันที่จริงแล้ว ในเวลานั้น จ้าวซ่วยนั้นมีเจตนาดีจริงๆ เพราะเมื่อเร็วๆ นี้ ทุกคนต่างก็รู้ว่า กองทัพอู่เว่ยเคลื่อนไหวอย่างกล้าหาญครั้งใหญ่มาก และเมื่อสงครามสิ้นสุดลง บรรดาขุนนางใหญ่ทางเหนือย่อมจะรวมกำลังกันโจมตีพวกเขา จากนั้นพวกเขาก็จะทำนิ่งเฉยไม่สนใจใดๆ
ดังนั้น ตระกูลซ่งจึงหยิบยื่นไมตรีให้ด้วยข้อเสนอที่น่าดึงดูดใจ ในอีกด้านหนึ่งนั้น พวกเขาก็ต้องการใช้กองทัพอู่เว่ยในอนาคต ในเมื่อพวกเขาทำงานร่วมกัน พวกเขาจึงอยากให้หลี่ว์ซู่ได้รับการปกป้องบ้าง และขุนนางตระกูลซ่งก็อยากเก็บเขาเอาไว้ใช้
และนั่นเป็นผลให้หลี่ว์ซู่ไม่ยอมรับข้อเสนอนั้น
เดิมทีตระกูลซ่งไม่เข้าใจเหตุผล แต่ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่า หลี่ว์ซู่ทำหน้าที่ตามที่เขาต้องการให้กับตระกูลหลี่ว์ของหลี่ว์หลี่เซียงที่อยู่เบื้องหลังเขาได้…
ดังนั้น สาเหตุที่กองทัพอู่เว่ยกล้าหาญ ยโสโอหัง และโดดเด่นขึ้นมาได้นั้น ทั้งหมดก็ล้วนเป็นเพราะตระกูลหลี่ว์ซึ่งราวกับว่ามันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ
แต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ หลี่ว์ซู่ไม่รู้จักตระกูลหลี่ว์ของหลี่ว์หลี่เซียงด้วยซ้ำ เหตุที่หลี่ว์ซู่กล้าทำเช่นนี้กับกองทัพอู่เว่ยก็เพราะตัวเขาเองเป็นคนเก่งกาจมาก!
ทว่าข่าวของตระกูลหลี่ว์นี้ไม่ได้แพร่กระจายออกไปภายนอกอย่างรวดเร็ว อย่างน้อยๆ ก็ไม่ได้มีผลกระทบต่อสมรภูมิรบ
หลี่ว์ซู่ยังคงคิดหาวิธีช่วยกองทัพอู่เว่ยเพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายเงินสำหรับการกระทำทั้งหมดของกองทัพเฮยอวี่เมื่อเร็วๆ นี้ เขาได้ตัดสินใจที่จะเฝ้าจับตารอดูการต่อสู้ในสนามรบ ตราบใดที่กองทัพเฮยอวี่ลากยาวการต่อสู้ได้นานพอจนถึงเวลาที่การคัดเลือกของกระท่อมกระบี่ได้เริ่มต้นขึ้น และเพียงหลี่ว์ซู่สามารถเข้าไปในกระท่อมกระบี่ได้ หลังจากนั้นก็ย่อมจะไม่มีใครกล้ามาตอแยกองทัพอู่เว่ยอีกต่อไป
ดังนั้นเขาจึงหวังว่า กองทัพเฮยอวี่จะยังคงทนอยู่ได้นานขึ้นอีกเล็กน้อย ซึ่งจะเป็นการดีสำหรับเขาเช่นกัน
จากนั้น หลี่ว์ซู่จึงจัดประชุมภายในเพื่อหารือว่าจะโจมตีกองทัพขุนนางในนามกลุ่ม ‘กำจัดความยากจนและสร้างสมความร่ำรวย’ หรือไม่ ในตอนนั้น จางเว่ยอวี่แทบคลั่ง นี่นับเป็นครั้งแรกที่เขาเห็นกลุ่มโจรจัดประชุมเพื่อหารือเกี่ยวกับกิจกรรมทางทหารที่จะโจมตีกองทัพ
พวกเขาจะมีความแข็งแกร่งเพียงพอหรือไม่นั้นไม่ใช่ปัญหา เพราะแม้ว่าโจรจะแข็งแกร่ง แต่ก็ยังต้องพิจารณาถึงผลที่จะตามมาจากการต่อสู้กับกองทัพด้วยใช่ไหมล่ะ?
อย่างไรก็ตาม หลี่ว์ซู่ไม่สนใจมากนัก “ผมกังวลมากว่าหากพวกเราไม่ช่วยกองทัพเฮยอวี่ พวกเขาจะทนอยู่ได้ไม่นาน…”
จางเว่ยอวี่เยาะเสียงเย็นว่า “นายประเมินกองทัพเฮยอวี่ต่ำเกินไป ฉันไม่ได้จะยกย่องพวกเขาเกินจริงไป แม้ว่าพวกขุนนางจะรอดูการต่อสู้สำหรับกองทัพเฮยอวี่ที่ต่อสู้ในสงครามอย่างเหนื่อยล้ามาสองสามเดือนแล้วอย่างสบายๆ แต่ชนชั้นสูงก็ยังคงเป็นชนชั้นสูง หากกองทัพขุนนางไม่ระดมเหล่าผู้ทรงพลังระดับสูง กองทัพเฮยอวี่ก็ย่อมจะเอาชนะกองทัพขุนนางได้อย่างง่ายดายมาก ดังนั้น แม้กองทัพเฮยอวี่ จะไม่สามารถมุ่งไปยังดินแดนทางเหนือได้ แต่ก็ยังไม่เป็นปัญหาสำหรับพวกเขาที่จะป้องกันช่องเขาเว่ยเป่ยไปได้อีกหกเดือน และนอกจากนี้ กองทัพขุนนางในช่องเขาหลีหยางก็ได้เริ่มสังหารศัตรูของพวกเขาแล้ว กองทัพเฮยอวี่ที่นี่ต้องปกป้องเส้นทางล่าถอยให้กับทหารทางตอนเหนือ! ดังนั้นฉันมั่นใจมากว่าก่อนที่จะถึงการคัดเลือกของกระท่อมกระบี่ สถานการณ์ในการต่อสู้ครั้งนี้จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก!”
ทว่าในขณะนั้น หน่วยสอดแนมหลิวอี้เจาก็เดินเข้ามาแล้วกล่าวว่า “ท่านเทพ กองทัพเฮยอวี่กำลังจะล่าถอยแล้ว!”
ทันใดนั้นหลี่ว์ซู่ก็มองจางเว่ยอวี่เงียบๆ จางเว่ยอวี่ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “ต้องมีบางอย่างผิดปกติแน่! พวกเขาจะล่าถอยออกมาอย่างนั้นหรือ?”
จางเว่ยอวี่สับสนเล็กน้อย เขาวิเคราะห์สถานการณ์ด้วยเหตุผล หากเขาเป็นผู้บัญชาการกองทัพ เขาจะไม่ยอมเสียช่องเขาเว่ยเป่ยไปง่ายๆ อย่างแน่นอน เพราะนั่นก็จะทำให้กองทัพเฮยอวี่ที่ช่องเขาหลีหยางจบสิ้นเช่นกัน!
อันที่จริง การวิเคราะห์ของจางเว่ยอวี่นั้นถูกต้องทั้งหมด หากเขาเป็นผู้บัญชาการกองทัพเฮยอวี่ เขาอาจจะต่อสู้ได้ดีกว่านี้
อย่างไรก็ตาม ปฏิบัติการที่สับสนของกองทัพอู่เว่ยก็ทำให้การต่อสู้ครั้งนี้เกิดขึ้นในลักษณะที่ไม่อาจคาดเดาได้…
คราวนี้ กองทัพเฮยอวี่ตั้งใจจะถอนทัพออกไปจริงๆ ผู้บัญชาการกองทัพเฮยอวี่ไม่คิดว่าเขาจะเอาชนะกองทัพขุนนางไม่ได้ อันที่จริงแล้ว การวิเคราะห์ของเขาก็เหมือนกับจางเว่ยอวี่ที่มั่นใจกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ว่าจะเอาชนะคู่ต่อสู้ได้!
แต่ปัญหาก็คือ เขารอไม่ไหวแล้ว ตอนนี้ผู้บัญชาการกองทัพเฮยอวี่ทุ่มสุดตัวในการวางเดิมพันกับบ่อนพนัน ทีแรกเขาก็มั่นใจว่ากองทัพอู่เว่ยจะไม่ส่งกองกำลังของพวกเขา แต่พวกโจร‘กำจัดความยากจนและสร้างสมความร่ำรวย’ ก็ทำให้พวกเขาวิตกกังวล
ดังนั้นผู้บัญชาการกองทัพเฮยอวี่จึงตัดสินใจที่จะไม่รออีกต่อไป เขาจะกวาดเดิมพันให้เรียบ หากไม่มีใครสามารถยั่วยุ เขาจะสามารถซ่อนตัวได้หรือไม่? เขาจากไปได้ไหม?
เมื่อกองทัพเฮยอวี่ถอนตัวออกจากช่องเขาเว่ยเป่ย การวางเดิมพันก็จะสิ้นสุดลงก่อนกำหนด และนี่ก็เป็นการยอมรับกันอย่างเงียบๆ ว่ากองทัพอู่เว่ยไม่ได้ส่งกองกำลังของพวกเขา ส่วนกองทัพอู่เว่ยจะส่งทหารของพวกเขาไปในอนาคตหรือไม่ ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการเดิมพันรอบนี้แล้ว!
และขณะนี้ผู้บัญชาการกองทัพเฮยอวี่ก็กำลังตื่นตระหนก เขาต้องรีบจากไปโดยเร็วที่สุดแล้ว!
นี่จึงเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของจักรวาลหลี่ว์ที่สงครามได้รับผลกระทบจากการพนัน…
ผู้บัญชาการกองทัพเฮยอวี่ครุ่นคิดมาตลอดในช่วงสองวันที่ผ่านมา เขามาเพื่อสู้รบ เขาบุกตีเอาชนะมาได้มากมายหลายเมืองแล้ว แต่บัดนี้เขากลับมาเริ่มแอบเล่นพนันได้อย่างไรกันนี่?!
ผู้บัญชาการกองทัพเฮยอวี่ไม่เชื่อมั่นในกองทัพอู่เว่ย แต่คำพูดของหลิวอี้เจาก็เกลี้ยกล่อมเขาได้ “กองทัพอู่เว่ยของพวกเราจะทำเงินได้มากมายในอนาคต หากพวกเราต้องการทำเงินจำนวนมาก พวกเราย่อมต้องรักษาสัญญาของพวกเราอย่างแน่นอน คำไหนคำนั้น พวกเราจะไม่ทำข้อตกลงเพียงแค่ครั้งเดียว คุณเข้าใจความหมายของความไว้วางใจใช่ไหมล่ะ? และด้วยความไว้วางใจนี้ ทุกคนก็ย่อมจะสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างไร้กังวลในอนาคต”
ผู้บัญชาการกองทัพเฮยอวี่ใคร่ครวญในใจว่า หรือกองทัพอู่เว่ยคิดที่จะร่วมมือกับเขาในครั้งต่อไปอีก?
แต่นี่ก็ยังไม่ใช่พื้นฐานสำหรับผู้บัญชาการกองทัพเฮยอวี่ที่จะให้ความไว้วางใจกองทัพอู่เว่ยได้ เพราะพวกเขาได้ร่วมมือกับบ่อนพนันและฆ่าคนไปมากมาย ดังนั้นทำไมเขาถึงจะไว้วางใจได้ด้วยเพียงแค่คำพูดไม่กี่คำล่ะ?
แต่เมื่อผู้บัญชาการกองทัพเฮยอวี่เผยให้เห็นทีท่ากังวลของเขา หลิวอี้เจาก็หยิบใบเรียกเก็บเงินพนันออกมาซึ่งระบุการเดิมพันว่ากองทัพอู่เว่ยจะไม่ส่งกองกำลังของพวกเขาซึ่งมีมูลค่าการเรียกเก็บเงินถึงจำนวนสองล้านหยวน นี่ถือเป็นเงินออมในเวลานี้ทั้งหมดของกองทัพอู่เว่ยที่ในตอนนั้น หลิวอี้เจาเก็บมาจากกองทัพชิงไส้
เมื่อเห็นเช่นนี้ ผู้บัญชาการกองทัพเฮยอวี่จึงรู้สึกเชื่อมั่นในกองทัพอู่เว่ย จริงๆ แล้วเขาก็กำลังคิดว่า กองทัพอู่เว่ยนี้มีความทะเยอทะยานมาก และตอนนี้พวกเขาก็เริ่มสร้างชื่อด้านความซื่อสัตย์และความน่าเชื่อถือของตัวเองเพื่อประโยชน์ที่พวกเขาจะได้ร่วมมือกับเจ้ามือในบ่อนพนันในอนาคตใช่หรือไม่?
จากนั้น หลังจากที่กองทัพอู่เว่ยซื้อหมูสามร้อยตัวและสุรามากกว่าสามพันขวดจากเมืองอวิ๋นอาน ผู้บัญชาการกองทัพเฮยอวี่ก็ขอให้สหายของเขาเพิ่มเงินเดิมพันขึ้นไปอีกห้าล้าน
กองทัพอู่เว่ยส่งผู้ใต้บังคับบัญชามาเพื่อชักชวนพวกเขา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาต้องการฉลองชัยชนะและให้รางวัลฉลองความสำเร็จแก่กองทัพของพวกเขา ซึ่งนี่จะเป็นโอกาสที่ดีสำหรับกองทัพเฮยอวี่ พวกเขาควรจะคว้าโอกาสนี้เข้าสู่ภูเขาหรือไม่?
ผู้บัญชาการกองทัพเฮยอวี่ครุ่นคิดเช่นนี้ แต่แล้วก็ตัดความคิดนั้นออกไปทันที “จะแน่ใจได้หรือว่าหากเข้าไปในภูเขาจะได้พบพวกเขา…”
พวกเขาจะพบเหล่านักรบไร้ตัวตนเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!
ในความเป็นจริงแล้ว เดิมทีหลี่ว์ซู่ต้องการให้หลิวอี้เจาไปหาขุนนางสองสามคนก่อน เพราะหากเขาร่วมมือกับขุนนางเหล่านี้ได้ พวกเขาก็อาจจะสังหารกองทัพเฮยอวี่ทางเหนือได้ เดิมทีกองทัพอู่เว่ยก็มีพื้นเพมาจากทางเหนือ และกองทัพเฮยอวี่ก็คือศัตรูของพวกเขา
แต่เหล่าขุนนางชั้นสูงเหล่านั้นกลับตั้งใจแน่วแน่ที่จะทิ้งกองทัพอู่เว่ย ดังนั้นพวกเขาจึงปฏิเสธกองทัพอู่เว่ยทันที
นั่นจึงเป็นผลให้หลี่ว์ซู่โมโห ‘หากไม่อยากทำธุรกิจกับฉัน ก็อย่ามาดูถูกฉันสิ!’ ดังนั้นเขาจึงทำธุรกิจนี้กับกองทัพเฮยอวี่
ยิ่งไปกว่านั้น หลี่ว์ซู่ยังจริงจังกับการทำธุรกิจ ในอดีตนั้น เมื่อเขาได้รับแต้มอารมณ์ เขาก็จะให้ความสำคัญกับการพัฒนาที่ยั่งยืนอยู่เสมอ และแน่นอนว่า ในตอนนี้เขาต้องทำสิ่งเช่นเดียวกันนี้
บางทีเขาอาจจะติดอยู่ในโลกนี้สักพัก ความซื่อสัตย์และความไว้วางใจย่อมเป็นวิธีที่จะทำเงินได้ใช่ไหมล่ะ? ใครจะรู้ล่ะ? บางทีเมื่อออกจากจักรวาลหลี่ว์ไปได้ หลี่ว์ซู่ก็อาจจะนำของที่ระลึกพิเศษจากที่นี่กลับไปได้มากมาย อย่างเช่น หินวิเศษ ชุดเกราะ อาวุธ และอื่นๆ…
แต่ในสงครามครั้งนี้ กองทัพอู่เว่ยจะอยู่ในภูเขาราชันหลี่ว์ และไม่ส่งกองกำลังของพวกเขาออกไปจริงๆ หรือ? มันเป็นไปไม่ได้
บ่อนพนันเปิดเดิมพันว่า กองทัพอู่เว่ยจะส่งกองกำลังของพวกเขาและแอบร่วมมือกับกองทัพขุนนางชั้นสูงในที่ลับหรือไม่?
ประโยคหลังนั้นสำคัญกว่า เพราะตราบใดที่กองทัพอู่เว่ยไม่ได้ต่อสู้กับกองทัพเฮยอวี่ นั่นก็จะไม่ถือว่าเป็นความร่วมมือกันแบบลับๆ!
และดังนั้นกองทัพอู่เว่ยก็อาจต้องต่อสู้กับเหล่าขุนนางอย่างโจ่งแจ้ง…
อย่างไรก็ตาม กองทัพอู่เว่ยและขุนนางชั้นสูงต่างก็เป็นพวกอยู่ทางเหนือ ซึ่งหากพวกเขาต่อสู้กันอย่างโจ่งแจ้งแล้วถูกจอมทัพสวรรค์ออกมาสอบสวนเองล่ะ พวกเขาจะทำอย่างไร?
ทันใดนั้น กลุ่มโจรกลุ่มเล็กๆ ที่เรียกกันว่า ‘กำจัดความยากจนและสร้างสมความร่ำรวย’ ก็ปรากฏตัวขึ้นที่ทางเหนือของช่องเขาเว่ยเป่ย พวกเขาปล้นอาหารและเสบียงที่ขุนนางครอบครองไปทั่วทุกหนทุกแห่ง เมื่อพวกเขาออกอาละวาดก็ทำให้กองทัพขุนนางต้องประสบกับความสูญเสียอย่างหนัก…
พวกขุนนางต่างพากันพูดไม่ออกเมื่อโจรกลุ่มนี้ที่เรียกว่า ‘กำจัดความยากจนและสร้างสมความร่ำรวย’ ปรากฏตัวออกมา แน่นอนว่าพวกเขารู้ว่านี่คือกองทัพอู่เว่ย แต่โจรพวกนี้ไม่ได้สวมชุดเกราะของกองทัพอู่เว่ย และอย่างที่สองก็คือ พวกขุนนางก็จับกุมพวกเขาไม่ได้เลยเช่นกัน ดังนั้นพวกเขาจึงหาหลักฐานไม่ได้แม้แต่น้อย
โจรกลุ่มนี้ที่เรียกว่า ‘กำจัดความยากจนและสร้างสมความร่ำรวย’ ต่างก็ปกปิดใบหน้าของพวกเขา และเป้าหมายของพวกเขาก็เป็นเพียงเสบียงและอาหารปันส่วนเท่านั้น โดยที่ไม่ได้ทำอะไรอื่นเลย
ครั้งแรกที่กลุ่มโจร ‘กำจัดความยากจนและสร้างสมความร่ำรวย’ บุกเข้าโจมตี พวกขุนนางก็เผชิญกับกลุ่มที่หลี่เฮยทั่นและหลิวอี้เจาเป็นผู้นำ ซึ่งพวกเขาสวมหน้ากากปกปิดใบหน้าของพวกเขาเอาไว้ และเมื่อผู้บัญชาการกองทัพขุนนางเห็นเข้าก็ตื่นตระหนกขณะกล่าวว่า “พวกทหารของกองทัพอู่เว่ยเหรอ…”
แต่ก่อนที่เขาจะทันได้พูดจบ หลี่เฮยทั่นก็ตกใจเช่นกัน “อย่าใส่ร้ายพวกเรา พวกเราเป็นโจร อุดมคติของพวกเราก็คือการเป็นโจร และหากทำลายอุดมคติของพวกเรา พวกเราก็จะบดขยี้ทันที!”
แล้วผู้บัญชาการกองทัพขุนนางก็พูดไม่ออก “…”
ข่าวนี้ถูกส่งกลับไปยังราชสำนักด้วย อันที่จริงแล้ว มีหลายคนรู้ว่านี่เป็นการต่อสู้ภายในระหว่างกองทัพอู่เว่ยกับกองทัพขุนนาง แต่ปราศจากหลักฐาน
และเรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวกับการเดิมพันของพวกเขาด้วย ทุกคนจึงไม่สนใจ
แต่ทุกคนในเมืองหลวงต่างก็พากันฉงนสนใจ สงครามระหว่างดินแดนทางเหนือและดินแดนทางตะวันตกนั้นน่าทึ่งมากจริงๆ และขณะที่พวกเขาต่อสู้กัน แม้แต่กลุ่มโจรที่เรียกกันว่า ‘กำจัดความยากจนและสร้างสมความร่ำรวย’ ก็ยังออกเคลื่อนไหวด้วย มันช่างแปลกประหลาดจริงๆ …
กองทัพอู่เว่ยทำอะไรให้จริงจังกว่านี้ได้ไหม? กำจัดความยากจนและสร้างสมความร่ำรวย งั้นเหรอ? นี่พวกคุณจริงจังไหม?
วิเศษล่ะสิ คราวนี้ทั่วทั้งจักรวาลหลี่ว์ทั้งหมดก็รู้ว่ากองทัพอู่เว่ยนั้นรักเงินอย่างมาก
และหลี่ว์ซู่รู้สึกว่า เขาจะเลิกใช้คติพจน์ของหมู่บ้านมังกรฟ้าแล้ว พวกเขาจะทำอะไรได้ล่ะ?
และในสภาพแวดล้อมที่ยากลำบากเช่นนี้ กองทัพขุนนางก็ไปถึงช่องเขาเว่ยเป่ย แต่ในระหว่างกระบวนการนี้ก็ทำให้พวกเขาตระหนักได้ว่า ไม่ใช่ว่ากองทัพเฮยอวี่จะอ่อนแอ แต่พวกเขาไม่รู้ว่าจะต่อสู้กับกองทัพอู่เว่ยได้อย่างไรจริงๆ…
มีเพียงสวรรค์เท่านั้นที่จะรู้ได้ว่า เหตุใดเวลานี้กองทัพอู่เว่ยถึงได้แข็งแกร่งขึ้นมาเช่นนี้?!
เหล่าขุนนางต่างรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง แล้วคิดว่าเมื่อสงครามยุติลง พวกเขาจะต้องไปหาจอมทัพสวรรค์และรายงานเรื่องของกองทัพอู่เว่ยนี้ พวกเขาก่อให้เกิดความวุ่นวายและสร้างผลกระทบจากการทำสงครามมากเกินไป!
หลี่ว์ซู่สังเกตการต่อสู้เพื่อยึดช่องเขานั้นในระยะไกลจากบนภูเขา เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “แม้พวกเราจะเปลี่ยนธงคติพจน์ของเราเป็น ‘กำจัดความยากจนและสร้างสมความร่ำรวย’ แต่ก็ยากที่จะแน่ใจได้ว่า จอมทัพสวรรค์จะไม่ตรวจสอบเรื่องนี้ ดังนั้นพวกเรายังต้องคิดหาทางออกให้กับกองทัพอู่เว่ย”
จางเว่ยอวี่พูดไม่ออกเป็นเวลานาน “ยากที่นายจะรู้ว่าความคิดนี้งี่เง่ามากแค่ไหน?”
หลี่ว์ซู่กล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสงครามมักเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จะมีผู้บัญชาการคนใดมั่นใจได้ว่ากลยุทธ์ของเขานั้นจะถูกต้องอย่างแน่นอน?”
“แต่เมื่อพวกเขารู้ว่าผิด พวกเขาก็จะแก้ไข แล้วนายล่ะ…นายก็จะว่าอย่ามายุ่งกับฉันนะ!”
“ได้รับแต้มอารมณจากจางเว่ยอวี่+666!”
หลี่ว์ซู่คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เก็บเสบียงอาหารและของมีค่าในภูเขาซะ หากสงครามนี้ยุติลงก่อนที่จะถึงการคัดเลือกของกระท่อมกระบี่ พวกเราก็จะต้องออกจากภูเขาราชันหลี่ว์ และแน่นอนว่าหากการคัดเลือกของกระท่อมกระบี่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น ทุกอย่างก็ยังไม่มีปัญหา พวกเขาจะไม่กล้ามีเรื่องกับคนของกระท่อมกระบี่”
“แล้วหากการคัดเลือกของกระท่อมกระบี่ยังไม่เริ่มในขณะที่สงครามสิ้นสุดลง พวกเราจะไปที่ไหนกัน?” หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ถามด้วยความสงสัย “ตอนนี้ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารแล้ว พวกเราจะมีกินเพียงพอไปถึงห้าปี…”
หลี่ว์ซู่พลันตื่นตกใจ “พวกเราเอามามากไปหรือเปล่านี่?”
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋พยักหน้าเงียบๆ “กองทัพขุนนางเริ่มใช้ชีวิตอย่างประหยัดกันมาตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว…”
“หากการคัดเลือกของกระท่อมกระบี่ยังไม่เริ่มในขณะที่สงครามสิ้นสุดลง พวกเราก็จะไปทางดินแดนตะวันตก และจะกลับมาเมื่อการคัดเลือกของกระท่อมกระบี่ได้เริ่มขึ้นแล้ว…” หลี่ว์ซู่กล่าวอย่างสงบ
ไม่มีใครคาดเดาได้ กองทัพอู่เว่ยเริ่มวางแผนรับมือกันแล้ว พวกเขาก่อเรื่องชั่วร้ายมามากเกินไป และดูเหมือนว่าดินแดนทางเหนือจะรับไม่ได้อีกต่อไปแล้ว…
ตอนนี้เส้นทาของกองทัพเฮยอวี่ที่จะไปทางเหนือคือเมืองหนานเกิง เมืองอวิ๋นอาน เมืองก่วงเหลียว และช่องเขาเว่ยเป่ย
เสบียงขนส่งของกองทัพเฮยอวี่ยังคงถูกขนส่งไปตามเส้นทางนี้อย่างต่อเนื่อง เมื่อพวกเขาต่อสู้ในช่องเขาเว่ยเป่ย พวกเขาก็ไม่มีอาหารเก็บเอาไว้ที่นี่ ขณะที่เมืองหนานเกิงถูกหลิวอี้เจาเผาทำลายก่อนที่จะจากไป และเมืองอวิ๋นอานก็ถูกหลี่ว์ซู่เผาและเอาอาหารธัญพืชที่มีเหลืออยู่ทั้งหมดออกไป ส่วนเมืองก่วงเหลียวยังคงมีเหลือสำรองเอาไว้อยู่บ้าง แต่ก็ยังไม่เพียงพอสำหรับการบริโภคประจำวันของกองทัพขนาดใหญ่อย่างกองทัพเฮยอวี่ได้
เดิมทีผู้บัญชาการกองทัพเฮยอวี่หวังว่าพวกเขาจะยึดอาหารบางส่วนในช่องเขาเว่ยเป่ยมาได้ แต่พวกเขาก็พบว่าพื้นที่นี้ยากจนข้นแค้นมาก ต้องรู้ว่าเมื่อกองทัพหลงเหมิ่งจากไป พวกเขาก็ไม่มีโอกาสเผาหรือนำเสบียงอาหารไปเลย ดังนั้นเวลานี้จึงมีเสบียงเหลืออยู่เล็กน้อย
ผู้บัญชาการกองทัพเฮยอวี่ฉุนเฉียวเล็กน้อย ว่ากันว่ากองทัพหลงเหมิ่งได้รับปันส่วนกองทัพแล้วไม่ใช่หรือ? แล้วทำไมพวกเขาถึงเหลือแค่เล็กน้อยอย่างนี้ล่ะ?
แต่ความจริงแล้ว อาหารของกองทัพหลงเหมิ่งก็ถูกหลี่ว์ซู่และคนอื่นๆ ปล้นเอาไปเช่นกัน…
ซึ่งหากผู้บัญชาการกองทัพเฮยอวี่รู้ความจริงก็คงจะยิ่งเกรี้ยวกราดมากขึ้น เมื่อกองทัพอู่เว่ยต่อสู้ พวกเขาจะไม่ปล่อยให้คนของพวกเขาเหลือทิ้งเอาไว้…
…
แต่สำหรับหลี่ว์ซู่ คนในจักรวาลหลี่ว์นั้นล้วนประหลาด พวกเขามาจากไหนกัน ในขณะที่กองทัพอู่เว่ยเป็นคนของเขาเอง ส่วนคนอื่นๆ นั้นนับไม่ได้
ดังนั้นอันตรายซ่อนเร้นที่ใหญ่ที่สุดสำหรับกองทัพเฮยอวี่ที่มุ่งหน้าไปทางเหนือนั้นก็คือกองหลังของพวกเขาไม่มั่นคง พวกเขาจะแน่ใจได้อย่างไรว่าการขนส่งเสบียงและทรัพยากรของพวกเขาจะราบรื่น และยังไม่รู้ว่าจะจัดการกับกองทัพอู่เว่ยได้อย่างไรเช่นกัน
ผู้บัญชาการกองทัพเฮยอวี่ก็ไม่ใช่คนระดับรากหญ้าที่ไม่มีรากฐานใดๆ ดังนั้นเมื่อเขาเริ่มให้ความสนใจกับการเดิมพันในเมืองหลวง เขาก็ได้ยินมาว่าตระกูลซ่งกำลังซื้อชุดเกราะเวทเป็นจำนวนมาก
ตระกูลซ่งเป็นตระกูลขุนนางชั้นสูงและไม่เคยทำสงครามกับใครมาหลายปีแล้ว แต่ทำไมพวกเขาถึงต้องการชุดเกราะเวทล่ะ?เพียงแค่ใช้นิ้วเท้าคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็รู้แล้วว่านี่เป็นของสำหรับกองทัพอู่เว่ย พวกเขากำลังร่วมงานกับกองทัพอู่เว่ย
เดิมทีความแข็งแกร่งโดยรวมของกองทัพอู่เว่ยนั้นก็แข็งแกร่งมากอยู่แล้ว เพียงแค่พวกเขามีจำนวนคนน้อยไปสักหน่อยเท่านั้น แล้วบัดนี้พวกเขาทั้งหมดสวมชุดเกราะเวทเสริมเข้าไปอีก แล้วจะสู้กันอย่างไรล่ะ?
พวกเขาคงทิ้งช่องเขาเว่ยเป่ย และต่อสู้กับกองทัพอู่เว่ยจนตายไม่ได้ใช่ไหม?
ผู้คนนับแสนคนกำลังจะสู้ตายกับคนห้าพันคนเหรอ? ช่างใช้กำลังคนอย่างเสียเปล่า ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็น่าอัปยศจริงๆ!
ปัญหาอีกประการหนึ่งคือหลังจากที่ความแข็งแกร่งโดยรวมของกองทัพอู่เว่ยเพิ่มสูงขึ้น ไม่เพียงแต่พวกเขาจะต่อสู้ได้เท่านั้น แต่พวกเขายังวิ่งได้อย่างรวดเร็วขึ้นอีกด้วย พวกเขาจะวิ่ง หากพวกเขาถูกสั่งให้วิ่ง และกองทัพเฮยอวี่ก็ไล่ตามไม่ทันด้วยซ้ำ แล้วเชื่อไหมล่ะว่า พวกเขายังมีสี่ยอดฝีมือระดับหนึ่งที่คอยคุ้มกันการล่าถอยของพวกเขาด้วย?
ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้ ผู้บัญชาการกองทัพเฮยอวี่กำลังยุ่งอยู่กับการปรับระบบการจัดในกองทัพ เขาต้องการสร้างกองกำลังที่ทัดเทียมกับกองทัพอู่เว่ย
ก่อนหน้านี้จะมีการกระจายยอดฝีมือระดับหนึ่งไปถึงระดับห้าอย่างเท่าเทียมกันในแต่ละกอง แต่ตอนนี้เขาจัดการให้ต่างออกไป ผู้บัญชาการกองทัพตัดสินใจให้ทหารบางกองยกระดับทหารผู้ที่ทรงพลังการต่อสู้ระดับสูงสองสามคนและสร้างหน่วยดังกล่าวขึ้นมาเพื่อที่พวกเขาจะได้สร้างกองกำลังที่เทียบเท่ากับกองทัพอู่เว่ยและไล่ตามกองทัพอู่เว่ยได้
และเป็นผลให้เขาพบว่าเหล่านักรบผู้ทรงพลังการต่อสู้ระดับสูงของกองทัพเฮยอวี่ทั้งหมดนั้นแทบจะไม่เหลือแล้ว มีเพียงสี่ยอดฝีมือระดับหนึ่ง และมียอดฝีมือระดับสามมากกว่าสองพันคนเท่านั้น เวลานี้แม้แต่จอมยุทธ์ชั้นยอดของพวกเขาก็ยังเทียบกับกองทัพอู่เว่ยไม่ได้… แล้วกองทัพอู่เว่ยก็ยังมีเกราะเวทเสริมเข้ามาอีกด้วย!
แต่อย่างไรก็ตาม ผู้บัญชาการกองทัพเฮยอวี่ก็ตระหนักดีว่าความคล่องตัวสูงของกองทัพอู่เว่ยนั้นสำคัญอย่างยิ่งในการสู้รบ ตอนนี้เขากำลังรอและหวังว่าบ่อนพนันในเมืองหลวงจะเปิดวางเดิมพันใหม่หรือไม่ และด้วยวิธีนี้ เขาก็จะรู้ว่ากองทัพอู่เว่ยกำลังวางแผนอะไรต่อไป และจะได้กำหนดเป้าหมายพวกเขาได้
ผู้บัญชาการกองทัพเฮยอวี่ก็หงุดหงิดเล็กน้อยเช่นกัน กองทัพอู่เว่ยนี้แปลกประหลาดและไม่อาจคาดเดาได้ หากอยากรู้ข้อมูล เขาต้องอาศัยดูข้อมูลการเดิมพัน… เป็นครั้งแรกที่ผู้บัญชาการกองทัพเฮยอวี่ทำข่าวกรองโดยใช้วิธีอันชาญฉลาดนี้
หากทั้งหมดนี้ล้มเหลว เขาก็จะวางเดิมพันว่า กองทัพเฮยอวี่จะแพ้ และในกรณีที่เลวร้ายที่สุด เขาก็จะสละตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพและกลายเป็นผู้มั่งคั่งในเมืองหลวงแทน…
ขณะที่กองทัพเฮยอวี่กำลังปรับระบบกองทัพอย่างเงียบๆ และเตรียมซุ่มโจมตีกองทัพอู่เว่ยอยู่นั้น เหล่าขุนนางทางเหนือก็มีการพูดคุยกันอย่างลับๆ เช่นกัน
เดิมทีพวกเขาวางแผนที่จะรอดูท่าทีจนกว่ากองทัพเฮยอวี่จะเคลื่อนกำลังพลไปทางเหนือเพื่อขยายอาณาเขตและแบ่งกำลังพลก่อน และหลังจากที่กองกำลังแยกย้ายกันไป พวกเขาก็จะส่งกองกำลังไปปราบกองทัพเฮยอวี่
อย่างไรก็ตาม หากกองทัพเฮยอวี่มาที่นี่และไม่ต้องการให้การเคลื่อนพลของพวกเขาถูกปิดกั้น พวกเขาจะต้องยึดเมืองและจัดกำลังทหารเพื่อปกป้องเมืองนั้น ทว่าเมื่อแนวป้องกันของพวกเขาขยายขึ้นเรื่อยๆ ความแข็งแกร่งของกองทัพเฮยอวี่ก็จะลดลง
และผลก็คือ หลังจากที่รอมาเกือบเดือน กองทัพเฮยอวี่ก็ถูกกองทัพอู่เว่ยดึงไว้ที่ช่องเขาเว่ยเป่ย!
ทุกคนต่างส่งทาสไปพูดคุยกับกองทัพอู่เว่ย แต่พวกเขาทั้งหมดล้วนคว้าน้ำเหลว เวลานี้มีคำกล่าวกันว่าจอมทัพสวรรค์กำลังจะมา หากพวกเขาขับไล่กองทัพเฮยอวี่ในเวลานั้นมันย่อมจะดีกว่า แต่หากกองทัพเฮยอวี่ไม่ถูกขับไล่ พวกเขาทั้งหมดจะต้องรับผิดชอบกับการนิ่งเฉย
และหากพวกเขาไม่เคลื่อนไหว กองทัพอู่เว่ยก็จะได้รับความชื่นชมมากที่สุด และเมื่อเหล่าขุนนางนึกถึงว่ากองทัพอู่เว่ยที่แตกสลายจะได้รับความชื่นชมและผลตอบแทนเพียงฝ่ายเดียว พวกเขาก็ค่อนข้างไม่มีความสุขเท่าใดนัก…
ดังนั้นเจ็ดขุนนางชั้นสูงจึงมุ่งความสนใจไปที่สถานการณ์นี้ มีขุนนางชั้นสูงสามคนที่บรรลุข้อตกลงลับเพื่อต่อสู้กับกองทัพเฮยอวี่ล่วงหน้าแล้ว! เมื่อพวกเขาทุกคนเห็นว่ากองทัพเฮยอวี่รับมือกองทัพอู่เว่ยไม่ได้ พวกเขาก็จะเริ่มคิดพิจารณาอย่างจริงจังว่ากองทัพเฮยอวี่อาจไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่คิดไว้?
ในขณะที่กองทัพเฮยอวี่กำลังรอให้มีการเปิดวางเดิมพันใหม่ในเมืองหลวง แต่แทนที่จะรอกองทัพอู่เว่ย พวกเขากลับรอขุนนางชั้นสูงในทางเหนือที่เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว…
ผู้บัญชาการกองทัพเฮยอวี่เครียดจัด พวกเขาจัดการกองทัพอู่เว่ยไม่ได้ แล้วตอนนี้พวกเขายังต้องจัดการกับเหล่าขุนนางชั้นสูงอีกด้วย? ทุกคนในโลกนี้ล้วนกล้ามีเรื่องกับกองทัพเฮยอวี่หรืออย่างไรกัน? มียอดฝีมือหลายคนจากจอมทัพสวรรค์ในกองทัพเฮยอวี่ พวกเขาจะเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ตามแผนการอันยอดเยี่ยม
พวกเขาผิดหวังมากที่กองกำลังทางเหนือถูกกองทัพอู่เว่ยกักขังเอาไว้ ทุกคนต้องการมีเรื่องกับกองทัพเฮยอวี่จริงๆ ใช่ไหม?
อย่างไรก็ตาม เขายังกังวลอยู่เล็กน้อย จะเกิดอะไรขึ้นหากเหล่าขุนนางและกองทัพอู่เว่ยร่วมมือกัน? พวกเขาจะทำอะไร?
เวลานี้มีการเดิมพันใหม่ในเมืองหลวงแล้ว กองทัพอู่เว่ยจะร่วมมือกับกองกำลังทหารที่ขุนนางทางเหนือส่งมาหรือไม่?
ผู้บัญชาการกองทัพเฮยอวี่ต้องการใช้สิ่งนี้เพื่อตัดสินว่ากองทัพอู่เว่ยจะส่งกองทหารของพวกเขามาหรือไม่ แต่การเดิมพันทั้งสองฝ่ายนั้นมีอัตราต่อรองต่ำมาก และไม่มีทิศทางที่จะชี้ไปยังข้อสรุปใดๆ เลย
ในขณะนั้นก็มีแขกจากกองทัพชิงไส้มาเยี่ยมเยียน กองทัพชิงไส้มาถึงช่องเขาเว่ยเป่ย เวลานี้ผู้บัญชาการกองทัพเฮยอวี่นั่งอยู่ในกระโจมกลางค่ายทหาร เขามองไปที่ชายหนุ่มรูปงามผู้กล้าหาญที่อยู่ตรงหน้าอย่างสงบแล้วพูดอย่างใจเย็นว่า “เป็นเรื่องน่าสนใจทีเดียวที่ผู้บัญชาการกองทัพชิงไส้ยินดีที่จะเป็นหน่วยสอดแนมให้กับคนอื่น และตอนนี้คุณกล้าดียังไงหรือถึงมาที่นี่คนเดียว? บอกมาเถอะว่าคุณมาที่นี่ทำไม”
หลิวอี้เจายิ้มและพูดว่า “หนึ่งล้านห้าแสน นี่เป็นราคาที่ดีมาก”
ผู้บัญชาการกองทัพเฮยอวี่ตะลึงงันไปครู่หนึ่ง “หนึ่งล้านห้าแสนคืออะไร?”
อย่างไรก็ตามในเวลาต่อมา ผู้บัญชาการกองทัพเฮยอวี่ก็แทบจะระเบิดโทสะออกมาอย่างโกรธจัด นี่เขามาที่นี่เพื่อจะขู่กรรโชกพวกเขาหรือ?!
กองทัพอู่เว่ยต่อสู้อย่างถูกต้องเหมาะสมไม่ได้หรือไง? พวกเขาจะใช้กลอุบายเล่ห์เหลี่ยมทุกอย่างในการต่อสู้ครั้งนี้หรือ? หือ?
อย่างไรก็ตาม ผู้บัญชาการกองทัพเฮยอวี่ย่อมไม่ใช่คนธรรมดา เขากลับสู่ความนิ่งสงบได้อย่างรวดเร็ว
นี่ไม่ใช่เวลามานั่งหัวเสีย ในฐานะผู้นำของกองทัพ เขาไม่อาจปล่อยให้อารมณ์มาควบคุมเขาได้ เขาต้องควบคุมอารมณ์ของเขาเอง
เวลานี้กองทัพอู่เว่ยนั้นทรงพลังมาก และกองทัพเฮยอวี่ก็ยังจับทางคู่ต่อสู้อย่างพวกเขาไม่ถูกเลย ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาต้องคิดในตอนนี้คือวิธีที่จะเพิ่มผลประโยชน์ของตนเองให้ได้มากที่สุด
ดังนั้น ผู้บัญชาการกองทัพเฮยอวี่จึงสั่งให้คนของเขามอบเงินหนึ่งล้านห้าแสนหยวนให้หลิวอี้เจา หลังจากนั้นก็แจ้งเรื่องนี้ไปให้สหายของเขาในเมืองหลวงรับรู้โดยใช้อาวุธเวทสื่อสารพร้อมกับวางเดิมพันห้าล้านหยวนว่ากองทัพอู่เว่ยจะไม่ส่งกองกำลังของพวกเขามา…
นี่เป็นการซื้ออย่างลับๆ และไม่มีใครรู้ว่ากองทัพเฮยอวี่รู้ข่าวล่วงหน้าแล้ว
ผู้บัญชาการกองทัพเฮยอวี่คิดอย่างเศร้าสร้อยและรู้สึกว่านี่เป็นหนทางหนีสำหรับตัวเขาเองเช่นกัน
เวลานี้บรรยากาศบนภูเขาราชันหลี่ว์เต็มไปด้วยความเบิกบาน หลี่เฮยทั่นและหลิวอี้เจายืนอยู่ด้านหลังของหลี่ว์ซู่ แล้วหลี่เฮยทั่นก็กล่าวพึมพำเบาๆ ว่า “คราวนี้พวกเราทำเงินได้มากมายขนาดนี้จริงๆ เหรอ?”
หลิวอี้เจายิ้มและพยักหน้า “หากคราวนี้เป็นไปอย่างที่จ้าวซ่วยพูดจริงๆ บ่อนพนันทั้งหมดในเมืองหลวงก็มาเข้าร่วม และทุกคนในเมืองหลวงก็วางเดิมพัน จะกล่าวว่าความมั่งคั่งที่พวกเราจะได้รับนั้นมหาศาลมากแน่นอนก็ไม่เกินความจริง แต่ทำไมเมืองหลวงจึงยังยืนหยัดอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้? อย่าได้ประเมินพลังของมันต่ำไป”
“เมืองหลวง…” หลี่เฮยทั่นครุ่นคิด “ในอนาคตเราจะมีโอกาสไปเมืองหลวงหรือไม่?”
“ได้แน่นอน” หลิวอี้เจากล่าวยืนยันหนักแน่น
ชั่วเวลานั้นจ้าวซ่วยก็ร่อนลงมาจากท้องฟ้า ในขณะที่หลี่ว์ซู่ก็เดินเข้าไปหาและทักทายเขาอย่างกระตือรือร้น “พี่ชาย!”
หลังจากที่จ้าวซ่วยพูดไม่ออกไปชั่วขณะ เขาก็ตระหนักได้อย่างหนึ่งว่า เมื่อเขาช่วยหลี่ว์ซู่สร้างรายได้ได้ หลี่ว์ซู่ก็เริ่มเรียกเขาเป็นสหาย และเมื่อช่วยให้หลี่ว์ซู่ทำเงินก้อนใหญ่ได้มากมาย เขาก็กลายเป็นพี่น้องของหลี่ว์ซู่…
‘นี่คือวิธีแยกแยะความสัมพันธ์ของคุณกับผู้อื่น ระหว่างคนรู้จักห่างๆ กับญาติสนิทเหรอ?! ’
แต่จ้าวซ่วยก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า “พี่ชาย! ครั้งนี้ผมทำรายได้ให้คุณครั้งใหญ่แล้ว!”
ทั้งสองเปรียบเหมือนพี่น้องต่างสกุลกันที่ก้มหัวบนทุ่งหญ้าทว่าบูชาด้ามขวาน พวกเขาจะทำตัวเหมือนพี่น้อง แต่จะไม่ลังเลเลยที่จะ…
หลี่ว์ซู่ยิ้มร่าแล้วกล่าวว่า “ครั้งนี้นำชุดเกราะมากี่ชุดล่ะ?”
คราวนี้หลิวอี้เจาเปลี่ยนคลังไร้รูป และหลังจากที่เขาเปิดมันแล้ว ก็มีชุดเกราะหลายพันตัวปรากฏขึ้นมาข้างๆ
จ้าวซ่วยยิ้มและพูดว่า “ความร่วมมือของพวกเราให้ผลที่น่าพอใจมาก พวกเราได้รับผลกำไรมหาศาลจากการเดิมพันสามรอบติดต่อกัน ไม่เพียงแต่ทุกคนในกองทัพอู่เว่ยจะมีชุดเกราะได้ แต่เรายังมีเงินส่วนที่เหลืออีกด้วย และโชคดีที่กองทัพอู่เว่ยนั้นมีจำนวนทหารค่อนข้างน้อย ไม่เช่นนั้นเราอาจไม่มีชุดเกราะเพียงพอ”
หลี่ว์ซู่พยักหน้าด้วยความพึงพอใจเมื่อเห็นชุดเกราะเหล่านั้น เขาประมาณได้ว่าจะได้เงินมาเท่าไหร่จากแต้มอารมณ์ความทุกข์ที่ได้รับในครั้งนี้ จากนั้นเขาก็พูดกับหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ว่า “ลงทะเบียนและแจกจ่ายสิ่งเหล่านี้ให้กับทุกคนซะ”
ความร่วมมือกับบ่อนพนันตระกูลซ่งในคราวนี้ ทำให้ทุกคนได้รับผลกำไรมากมาย แต่สำหรับหลี่ว์ซู่แล้ว ผลกำไรที่ใหญ่ที่สุดนั้นไม่ใช่อะไรอื่น นอกจากแต้มอารมณ์
ที่ระดับหนึ่งนั้น เขาต้องการแต้มอารมณ์สิบล้านแต้มเพื่อให้ดาวดวงแรกสว่างไสวขึ้น นับประสาอะไรกับดาวอีกสองสามดวงที่จะต้องการแต้มอารมณ์หลายร้อยล้านแต้ม
หลี่ว์ซู่เคยประมาณการคร่าวๆ ว่า แต้มอารมณ์ที่เขามีอยู่ในขณะนี้อาจช่วยให้เขาก้าวขึ้นสู่ระดับสี่ดาวได้ในทันทีหลังจากที่เขาทำลายพันธนาการแล้ว!
ในอดีตนั้นเมื่อได้รับชุดเกราะจากทหารของกองทัพเฮยอวี่ พวกเขาทุกคนยังต้องแยกแยะระหว่างสูง เตี้ย อ้วน ผอม และหาชุดเกราะที่เข้าชุดกันตามขนาดร่างกาย แต่ตอนนี้พวกเขาไม่ต้องทำเช่นนั้นแล้ว เพราะเกราะเวทปรับให้พอดีกับร่างกายของผู้สวมใส่มันได้
และคราวนี้ ความแข็งแกร่งของกองทัพอู่เว่ยก็เพิ่มขึ้นถึงระดับใหม่อีกครั้งแล้ว หากกองทัพเฮยอวี่เข้าไปในภูเขาเพื่อปิดล้อมพวกเขาเอาไว้อีกครั้ง เหล่าทหารธรรมดาก็จะทำอันตรายใดๆ กองทัพอู่เว่ยไม่ได้เลย
“ช่วงนี้มีเดิมพันอีกหรือเปล่า?” หลี่ว์ซู่ถามอย่างเริงร่า
“เราต้องหยุดสักพักก่อน” จ้าวซ่วยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “มีปราชญ์บัณฑิตหลายคนในเมืองหลวงที่ต่อต้านบ่อนพนัน และบางคนก็แพร่ข่าวลือว่าพวกเราสมรู้ร่วมคิดและตั้งตัวเป็นเจ้ามือกัน ดังนั้นตอนนี้แม้เราจะเปิดวางเดิมพันใหม่ก็ยังไม่สมเหตุสมผล และเงินที่ได้รับมาก็เพียงพออยู่
หลี่ว์ซู่รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย “ที่ผมลงมือก่อนหน้านี้มันชัดเจนเกินไปหน่อย แต่จะให้ไม่มีคนบาดเจ็บล้มตายเลยนั่นก็โหดอยู่นะ แล้วเราจะทำเงินแบบนี้ในอนาคตไม่ได้อีกใช่ไหม?”
“ไม่หรอก” จ้าวซ่วยส่ายศีรษะ “มนุษย์ล้วนเป็นสัตว์ที่หลงลืมสิ่งต่างๆ อย่างง่ายดาย ผ่านไปอีกสักพักหลังจากนี้ ความโลภในผลกำไรก็จะช่วยให้พวกเขาลืมความเจ็บปวดจากความสูญเสียนี้ไปได้ ตราบใดที่พวกเราแบ่งรายได้อย่างเป็นธรรม พวกเขาก็จะวางเดิมพันกันต่อไป แม้พวกนักพนันมักจะพูดว่าพวกเขาเสียเดิมพันเก้าในสิบส่วน แต่มีสักกี่คนกันที่เลิกเล่นการพนันไปจริงๆ ล่ะ? ยังไงทุกคนก็คิดจะกลับมากันทั้งนั้นใช่ไหมล่ะ?”
“ถูกต้อง” หลี่ว์ซู่มองจ้าวซ่วยแล้วหัวเราะ “ผมหวังว่าจะได้ร่วมงานด้วยกันกับคุณอีกครั้งในอนาคต”
ในมุมมองของหลี่ว์ซู่ บ่อนพนันตระกูลซ่งนี้ค่อนข้างน่าเชื่อถือ และพวกเขาอาจจะได้ร่วมมือกันอีกครั้งในอนาคต
จ้าวซ่วยยิ้มและหยิบจดหมายออกมาจากคลังไร้รูป “ขุนนางตระกูลซ่งยินดีที่จะเป็นสหายกับคุณ หากสักวันหนึ่งคุณไปเมืองหลวง แค่ยื่นจดหมายฉบับนี้ขอพบเขา รับรองว่าเขาจะต้องเป็นเจ้าภาพที่ดี ต้อนรับคุณอย่างอบอุ่นแน่นอน”
หลี่ว์ซู่หยิบจดหมายในมือของเขาและมองไปที่มัน มันไม่ได้ปิดผนึก และไม่มีเนื้อหาอะไรในนั้นนัก เป็นเพียงเทียบเชิญธรรมดา นี่ดูเหมือนจะเป็นกิ่งมะกอกที่ตระกูลซ่งแห่งเมืองหลวงได้มอบให้กับหลี่ว์ซู่
อย่างไรก็ตาม หลี่ว์ซู่ไม่ชอบสิ่งแบบนี้ มันดูไม่มีความจริงใจเลย
จากนั้นหลี่ว์ซู่ก็โยนจดหมายให้จ้าวซ่วยแล้วเอ่ยว่า “ไม่ต้องพูดถึงเลย ไม่ว่าพวกเราจะไปที่เมืองหลวงหรือไม่ ผมคิดว่าคงเป็นการดีกว่าสำหรับทุกคนที่จะยึดเรื่องการทำธุรกิจสร้างเงินเท่านั้น”
จ้าวซ่วยพูดไม่ออก “…”
“ได้แต้มอารมณ์จากจ้าวซ่วย +666!”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ทันใดนั้นหลี่ว์ซู่ก็นึกถึงหญิงสาวในชุดกิโมโนดอกซากุระขึ้นมาได้ เขาสงสัยว่าเธอจะจัดการกลุ่มทวยเทพอย่างไร และเมื่อนึกถึงวันเวลาที่ผ่านมาบนโลกแล้ว จู่ๆ หลี่ว์ซู่ก็อยากจะกลับไปทันที
เหลือเวลาอีกเพียงสี่เดือนเท่านั้นก่อนที่การคัดเลือกของกระท่อมกระบี่จะเริ่มขึ้น และในไม่ช้าก็น่าจะถึงเวลาแล้วที่หลี่ว์ซู่จะออกจากกองทัพอู่เว่ย และมุ่งหน้าตรงไปยังเมืองหลวง
เขาทำได้เพียงแค่หวังว่ากระท่อมกระบี่จะช่วยให้เขาหาทางกลับบ้านได้จริงๆ เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม หลี่ว์ซู่ยังไม่รู้ว่า เป็นเพราะเรื่องการพนันเหล่านี้จึงทำให้มีหลายคนหวังว่าจะได้พบเขาในเมืองหลวง… และคนเหล่านั้นก็ยังไม่รู้ว่า หลี่ว์ซู่มีแผนที่จะไปเมืองหลวงเพื่อเข้าร่วมการคัดเลือกของกระท่อมกระบี่
ในเวลานี้ ที่ริมฝั่งแม่น้ำหลงอิ้นนอกเมืองหลวง มีเหล่าชายนักพนันวัยกลางคนกลุ่มใหญ่กำลังมองดูแม่น้ำด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย และทันใดนั้น ก็มีเสียงคนหนุ่มดังขึ้นทางด้านหลังว่า “พวกที่ไม่ได้จะฆ่าตัวตายช่วยหลีกทางให้เราผู้มีการศึกษาลงไปก่อนได้ไหม?”
ลุงนักพนันวัยกลางคนรีบขยับย้ายออกไปทันที “ได้ ได้สิ ไปกันก่อนเถอะ พวกเราไม่ควรรั้งคนหนุ่มสาวเอาไว้…”
ในขณะเดียวกันนี้ ผู้บัญชาการของกองทัพเฮยอวี่กำลังนั่งเงียบๆ อยู่ในค่ายค่ายทหารในช่องเขาเว่ยเป่ย เมื่อภูเขาราชันหลี่ว์ได้ผลผลิตดีและทำการเก็บเกี่ยวได้ เขาก็เพิ่งได้รับข่าวจากเมืองหลวงรวมทั้งข้อมูลเกี่ยวกับการเดิมพันครั้งนี้
ดังนั้นเขาจึงเข้าใจในทันทีว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ทำไมกองทัพอู่เว่ยถึงได้ทำอะไรผิดปกตินัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับการจัดการเรื่องการเดิมพันลับๆ เหล่านั้น…
อันที่จริงแล้ว เรื่องการจัดการการเดิมพันของกองทัพอู่เว่ยนั้นไม่เกี่ยวอะไรกับเขา เพราะเขาก็ไม่ได้วางเดิมพันใดๆ ดังนั้นมันจึงไม่มีอะไรสำคัญที่จะให้สนใจ
แต่อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาหนึ่งเดือนมานี้ กองทัพอู่เว่ยโจมตีไปทุกพื้นที่เพื่อทำอัตราต่อรองของแต้มต่อกองทัพเฮยอวี่อันเป็นการสนับสนุนการเดิมพัน และกองทัพเฮยอวี่ในเมืองอวิ๋นอานก็ถูกทำลายไปกว่าครึ่งหนึ่ง ในขณะที่การสู้รบในเมืองหนานเกิงนั้น ไม่มีทหารคนใดในกองทัพอู่เว่ยตายเลยสักคน…
เดิมทีก่อนหน้านี้เคยวางเอาไว้ว่า หลังจากที่จัดการกับการต่อสู้ทางด้านหลังแล้วกองทัพเฮยอวี่จะเคลื่อนตัวมุ่งหน้าไปทางเหนือต่อไป… บ้าจริง มุ่งไปทางเหนืออะไรล่ะ? พวกเขาแทบจะตายกันหมดแล้ว!
ผู้บัญชาการกองทัพเฮยอวี่รู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อย ตอนนี้เขากังวลว่า ในเมืองหลวงจะเริ่มเปิดการเดิมพันใหม่อย่างไร…
แล้วพวกเขาจะหยุดการเริ่มเดิมพันใหม่ได้หรือไม่?! แล้วจะเกิดอะไรขึ้น?! หากกองทัพเฮยอวี่ออกจากการเดิมพัน!
เมื่อข่าวเรื่องหัวหน้าเจ้าหน้าที่ของบ่อนพนันถูกจับกุมตัวถูกเผยแพร่ออกไปในเมืองหลวงเป็นวงกว้าง ทุกคนต่างก็พากันพลุ่งพล่านปั่นป่วน เวลานี้กลายเป็นว่า กองทัพอู่เว่ยแข็งแกร่งมาก เพราะแม้แต่กองทัพเฮยอวี่ก็ยังไม่กล้าจับหัวหน้าเจ้าหน้าที่แบบนี้เลยใช่ไหมล่ะ?
ยิ่งไปกว่านั้น ประเด็นสำคัญคือ หลังจากเหตุการณ์นี้แล้ว ทุกคนก็เชื่อว่าบ่อนพนันล้วนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกองทัพอู่เว่ย เพราะในท้ายที่สุดแล้วก็ไม่มีบ่อนพนันแห่งใดที่จะยอมเสียชื่อเสียงเพื่อเงิน
ดังนั้นกองทัพอู่เว่ยจึงดูบริสุทธิ์ไร้เดียงสาและดึงดูดผู้คนให้วางเดิมพันมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากบ่อนพนันควบคุมผลลัพธ์ของการเดิมพันไม่ได้ว่าจะชนะหรือแพ้!
เรื่องตลกนี้กลับทำให้ทุกคนได้เห็นพลังของกองทัพอู่เว่ยและกล้าวางเดิมพัน…
ในเวลานี้ บ่อนพนันตระกูลซ่งได้เปิดให้ผู้คนวางเดิมพันว่าภายในหนึ่งสัปดาห์ กองทัพอู่เว่ยจะกล้าสละตำแหน่งที่ได้เปรียบทางด้านภูมิประเทศเพื่อโจมตีกองหลังของกองทัพเฮยอวี่หรือไม่
หลายคนหัวเราะร่า เพราะแม้ว่ากองทัพอู่เว่ยจะแข็งแกร่งมาก แต่กำลังพลโดยรวมของกองทัพเฮยอวี่ที่ช่องเขาเว่ยเป่ยนั้นก็มากกว่ากองทัพอู่เว่ยถึงยี่สิบเท่า แต่หากกองทัพอู่เว่ยคิดจะต่อสู้โดยอาศัยตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ พวกเขาก็อาจจะลองดูได้
แต้มต่อนี้ให้โอกาสทุกคนได้ทำเงิน ซึ่งหากกองทัพอู่เว่ยไม่โง่ พวกเขาย่อมจะไม่ออกมาจากภูเขาอย่างแน่นอน!
และผลก็คือ สามวันต่อมา กองทัพอู่เว่ยก็บุกเข้าไปในเมืองอวิ๋นอานที่มีทหารของกองทัพเฮยอวี่จำนวนสามพันนายประจำการอยู่ แล้วกองทัพอู่เว่ยก็ทำลายเรียบ…
ทุกคนในเมืองหลวงที่เดิมพันว่ากองทัพอู่เว่ยจะไม่กล้าออกจากภูเขาต่างก็ตกตะลึง อะไรเนี่ย? ทำไมพวกเขาถึงออกจากภูเขา? การโจมตีเมืองอวิ๋นอานจะให้ประโยชน์อะไรกับพวกเขา? ทำไมพวกเขาถึงไม่เล่นตามกฎเนี่ย!
แล้วหนึ่งสัปดาห์ต่อมา ก็มีชุดเกราะเวทมากกว่าหนึ่งร้อยชุดถูกส่งไปยังภูเขาราชันหลี่ว์ และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็รับพวกมันเอาไว้ทั้งหมด
แต่หลี่ว์ซู่เหลือบมองไปดูและไม่พอใจเท่าใดนัก ชุดเกราะเวทเหล่านี้ดูเป็นของธรรมดาที่คล้ายกับเกราะทองแดงเท่านั้น เมื่อก่อนหน้านี้ เขาได้คุยกับจ้าวซ่วยและบอกว่าเขาต้องการทั้งชุดเกราะและอาวุธ แต่จ้าวซ่วยเสนอเพียงชุดเกราะให้เขาเท่านั้น เพราะอาวุธมีราคาแพงกว่า และบ่อนพนันก็หาซื้อมาไม่ได้
ซึ่งแตกต่างจากสิ่งที่หลี่ว์ซู่รู้มาว่า โดยทั่วไปแล้ว ราคาเกราะน่าจะแพงกว่าอาวุธสองสามเท่า
ทำให้จ้าวซ่วยต้องชี้แจงว่า เพราะหลี่ว์ซู่เข้าใจว่าว่าอาวุธจะต้องสะท้อนกับพลังวิญญาณ ในขณะที่ชุดเกราะจะต้องแข็งแกร่งทนทาน และต้านทานแรงกระแทกและเวทมนตร์ได้
ในจักรวาลหลี่ว์ มีอาวุธน้อยมากที่จะสะท้อนกับพลังวิญญาณได้ดี ส่วนใหญ่จะอยู่กับจอมทัพสวรรค์ทั้งสี่และราชันแห่งทวยเทพ ดังนั้น ในเวลานี้อาวุธจึงมีราคาแพงอย่างยิ่ง!
ในเวลานี้ จ้าวซ่วยหยิบดาบยาวออกมาแล้วแสดงให้หลี่ว์ซู่ดู หมายความว่าแม้แต่เขาเองก็ยังทำได้เพียงใช้อาวุธระดับกลางธรรมดาๆ เช่นนี้เท่านั้น
หลี่ว์ซู่ตะลึงงันอยู่ครู่หนึ่ง ช้าก่อน ดูดาบของจ้าวซ่วยสิ มันมีคุณภาพพอๆ กับหอกที่อยู่ใต้โบราณสถานเป่ยหมัง แล้วนั่นจะถือเป็นอาวุธระดับกลางๆ ธรรมดาๆ อีกหรือ?
แล้วตรีศูลที่ดีกว่าหอกยาวล่ะ? เหตุใดอาวุธที่หายากในจักรวาลหลี่ว์เหล่านี้จึงมีอยู่ในโลกที่ไม่มีพลังวิญญาณ?
นี่เป็นเรื่องเจตนาหรือเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ กันแน่?
อย่างไรก็ตาม หลี่ว์ซู่ไม่ได้บีบบังคับจ้าวซ่วยแต่อย่างใด เขาเพียงแค่รับชุดเกราะเอาไว้ก่อน มันยังดีพอที่จะช่วยเพิ่มอัตราการอยู่รอดของกองทัพอู่เว่ยให้สูงขึ้นได้มาก
เดิมทีความแข็งแกร่งของกองทัพอู่เว่ยนั้นสูงกว่ากองทัพเฮยอวี่อยู่แล้ว และตอนนี้เมื่อเสริมด้วยชุดเกราะเวท มันยิ่งยากที่จะทำให้พวกเขาตาย… และพวกเขาย่อมทำทุกอย่างได้ตามต้องการ!
จ้าวซ่วยยิ้มและพูดว่า “บ่อนพนันตระกูลซ่งร่วมมือกับคุณอย่างจริงใจ ท่านผู้บัญชาการ พวกเราหวังว่าจะได้ร่วมงานกับคุณเป็นอย่างดีเป็นที่พอใจร่วมกัน!”
“ใช่ แน่นอน แน่นอน” หลี่ว์ซู่กล่าว “ผมก็หวังว่าจะได้ร่วมงานกับพวกคุณอย่างดี เป็นที่พอใจร่วมกัน!”
และหลังจากนั้นอีกสามวัน บ่อนพนันตระกูลซ่งก็ได้รวมแต้มต่อสูงในการเดิมพันใหม่จำนวนมากอีกครั้งว่า ภายในหนึ่งสัปดาห์ กองทัพอู่เว่ยจะโจมตีกองทัพเฮยอวี่อีกหลายครั้ง
ยิ่งตัวเลขการเดิมพันที่สูงมากขึ้น อัตราต่อรองก็ยิ่งสูง คราวนี้ เหล่าอัจฉริยะ ศิษย์ ลูกหลานและธิดาของบรรดาชนชั้นสูงรวมถึงนักพนันต่างๆ ล้วนได้รับบทเรียนและเรียนรู้ที่จะฉลาดในการเริ่มศึกษาอัตราต่อรองอย่างรอบคอบโดยหวังว่าจะป้องกันและลดความเสี่ยงลงได้
แน่นอนว่า การป้องกันความเสี่ยงนี้ยังอยู่ในช่วงที่คาดการณ์ว่าจะเป็นไปได้ ตัวอย่างเช่น บางคนได้วางแต้มต่อการโจมตีหนึ่งถึงเจ็ดครั้งในสัปดาห์นี้ ทำให้เห็นได้ชัดเจนว่าพวกเขาพยายามใช้อัตราต่อรองเพิ่มพลังเงินทุนที่มีอยู่ เพื่อสร้างผลตอบแทนให้ได้สูงสุด
และคราวนี้ทุกคนก็เต็มไปด้วยความมั่นใจสุดๆ ดังนั้น แม้จะสูญเสีย แต่ก็จะไม่ได้เผชิญกับความสูญเสียครั้งใหญ่ใช่ไหมล่ะ? และบางทียังอาจมีความเป็นไปได้ที่จะทำเงินได้เป็นจำนวนมากแทนอีกด้วย!
ทำให้…สุดท้ายในสัปดาห์นี้ … กองทัพอู่เว่ยบุกโจมตีกองทัพเฮยอวี่ถึงจำนวนยี่สิบเอ็ดครั้ง โดยเฉลี่ยแล้ว พวกเขาจะออกไปโจมตีอย่างบ้าคลั่งถึงสามครั้งต่อวัน ไม่ว่าพวกเขาจะไปที่ใด พวกเขาก็จะโจมตีเพียงครั้งเดียวและรีบจากไปทันทีโดยไม่สนใจแม้กระทั่งไล่ตามเข่นฆ่า
กองทัพเฮยอวี่ทั้งหมดล้วนงงงันสับสนมาก เพราะในขณะที่หน่วยสอดแนมเพิ่งแจ้งข่าวมาว่ากองทัพอู่เว่ยกำลังมาถึงแล้ว แต่ในเวลาต่อมา พวกเขาก็ได้รับแจ้งข่าวอีกครั้งว่ากองทัพอู่เว่ยสังหารหน่วยสอดแนมสองคนแล้วก็จากไป
พวกเขากำลังทำอะไรเนี่ย?!
ผู้บัญชาการของกองทัพเฮยอวี่กำลังนั่งฉุนเฉียวอยู่ในค่ายด้วยใบหน้ามืดทะมึน กองทัพอู่เว่ยนี้ช่างกำแหงนัก! แต่เขาไม่กล้าไล่ตามออกไป ความจริงแล้วในสถานการณ์เวลานี้ เหล่ายอดฝีมือเข้าร่วมรบไม่ได้ ซึ่งสี่ยอดฝีมือระดับหนึ่งบวกกับกลุ่มการโจมตีระยะไกลของยอดฝีมือระดับสามและระดับสองก็สร้างความเสียหายร้ายแรงให้กับพวกเขาไม่ได้
ยิ่งไปกว่านั้น ไม่รู้ว่ากองทัพอู่เว่ยนี้ไปหาชุดเกราะเวทมากกว่าร้อยชุดมาจากที่ไหน และด้วยชุดเกราะเวทเหล่านี้ แม้เมื่อถูกโจมตีอย่างหนัก บรรดาทหารของกองทัพอู่เว่ยจึงไม่ได้รับบาดเจ็บร้ายแรงแต่อย่างใด…
บรรดาคนที่เล่นเดิมพันในเมืองหลวงล้วนคับข้องใจ กองทัพอู่เว่ยทำบ้าอะไรกันอยู่? เร่งโจมตีถึงยี่สิบเอ็ดครั้งในหนึ่งสัปดาห์เลยหรือ? พวกเขาบ้าไปแล้วเหรือ?
นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สงครามของจักรวาลหลี่ว์ ไม่เคยมีกองทัพใดเคยทำเรื่องแบบนี้มาก่อนใช่ไหมล่ะ?
ว่ากันว่าสัปดาห์นี้มีนักพนันจำนวนมากมายไปยืนอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำหลงอิ้นนอกเมืองหลวง และอาจกระโดดลงไปได้ทุกเมื่อ…
และครั้งนี้ บ่อนพนันตระกูลซ่งส่งชุดเกราะมากกว่าแปดร้อยชุดไปยังภูเขาราชันหลี่ว์ในคราวเดียว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาทำเงินได้มากมายเกินคาด และสิ่งที่ทำให้หลี่ว์ซู่ยิ่งเบิกบานใจมากขึ้นก็คือ แม้กองทัพอู่เว่ยจะไม่ได้รับแต้มอารมณ์ความทุกข์จากการเรียนรู้วิธีการอ่านของกองทัพ แต่เขาก็ได้รับแต้มอารมณ์ความทุกข์เพิ่มเติมจากผู้ที่วางเดิมพันในเมืองหลวงมากมาย…
คราวนี้ จ้าวซ่วยก็สำราญใจมากเช่นกัน เพราะเขาได้เสนอให้ขุนนางใหญ่ตระกูลซ่งเข้าร่วมมือกับกองทัพอู่เว่ยเพื่อทำเงิน และตอนนี้ทุกคนก็ทำเงินได้ และเขาก็ได้ใช้อาวุธที่ดีกว่าเดิมอีกด้วย…
จากนั้นบ่อนพนันตระกูลซ่งก็เริมเปิดวางเดิมพันใหม่ว่า ตอนนี้กองทัพอู่เว่ยบุกโจมตีไปทุกที่ ในไม่ช้าก็เร็ว พวกเขาจะต้องเผชิญหน้ากับกองทัพเฮยอวี่ แล้วสุดท้ายพวกเขาจะชนะหรือแพ้เฮยอวี่?
คราวนี้บ่อนพนันอื่นๆ เริ่มรับรู้รูปแบบแนวทางแล้ว และพวกเขาทั้งหมดก็ล้วนทำตามบ่อนพนันตระกูลซ่ง เวลานี้บ่อนพนันแต่ละแห่งต่างวางทาสไว้ที่หน้าประตูบ่อนพนันตระกูลซ่งเพื่อจะได้ปรับอัตราต่อรองเดิมพันตามบ่อนพนันตระกูลซ่งได้ทันที
แล้วจู่ๆ บ่อนพนันตระกูลซ่งก็กลายเป็นผู้นำบ่อนพนันทั้งหมด ชั่วเวลานั้น บ่อนพนันทั้งหมดในเมืองหลวงล้วนทำตามบ่อนพนันตระกูลซ่ง และเจ้าของบ่อนพนันตระกูลซ่งก็ฉีกยิ้มบานแฉ่งจรดถึงใบหู เขาแทบจะหัวเราะออกมาทุกวัน ช่างเป็นธุรกิจที่ทำกำไรได้ดีอะไรเช่นนี้!
อย่างไรก็ตาม เขาต้องพูดคุยกับบ่อนพนันต่างๆ ที่ได้กำไร แม้ทุกคนจะสร้างรายได้ร่วมกัน แต่การลอกเลียนทำตามอย่างบ่อนพนันตระกูลซ่งเช่นนี้ก็ทำให้บ่อนพนันตระกูลซ่งได้ผลกำไรลดลงอย่างแน่นอน ดังนั้นหากทุกคนต้องการมีรายได้ร่วมกัน พวกเขาก็จะต้องแบ่งผลกำไร! เพราะบ่อนพนันตระกูลซ่งก็ยังต้องแบ่งรายได้ให้กับกองทัพอู่เว่ยเช่นกัน!
เจ้าของบ่อนพนันต่างๆ ใช้เวลาพิจารณาอยู่หลายชั่วโมงก่อนที่จะตกลงกัน เพราะหากบ่อนพนันตระกูลซ่งร่วมมือกับกองทัพอู่เว่ยอย่างจริงจังจริงๆ มันก็จะง่ายมากสำหรับบ่อนพนันตระกูลซ่งที่จะต่อสู้กับบ่อนพนันที่เหลือ ดังนั้นความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันย่อมจะนำมาซึ่งความมั่งคั่ง!
ตอนนี้ ผู้คนทั่วทั้งเมืองหลวงทั้งหมดล้วนเชื่อว่ากองทัพอู่เว่ยนั้นแข็งแกร่งมากจริงๆ ดังนั้นทันทีที่มีการเปิดวางเดิมพันใหม่ครั้งนี้ ผู้คนจำนวนมากจึงวางเดิมพันว่ากองทัพอู่เว่ยจะเอาชนะกองทัพเฮยอวี่ได้อย่างแน่นอน! เพราะในท้ายที่สุดแล้ว กองทัพอู่เว่ยก็แข็งแกร่งอย่างมาก!
คราวนี้อัตราต่อรองทั้งสองฝ่ายนั้นต่ำมาก ทั้งสองฝ่ายจึงไม่ได้เสียอะไรมากนัก และนักพนันก็พบว่า เจ้ามือก็ยังเห็นด้วยว่าพลังของกองทัพอู่เว่ย และกองทัพเฮยอวี่นั้นใกล้เคียงกัน ฝ่ายหนึ่งมีความแข็งแกร่งสูง และอีกฝ่ายก็มีกำลังพลเป็นจำนวนมาก ดังนั้นการเดิมพันรอบนี้จึงไม่ยุ่งยาก ต่อให้เป็นคนเจ้าเล่ห์ก็ทำกำไรได้ไม่มากนักเช่นกัน
และผลในท้ายที่สุด ในวันต่อมา กองทัพอู่เว่ยก็มุ่งหน้าไปยังเมืองหนานเกิงที่กองทัพเฮยอวี่ประจำการอยู่และเริ่มต่อสู้กัน ซึ่งยกเว้นแต่ช่องเขาเว่ยเป่ยและช่องเขาหลีหยางแล้ว เมืองหนานเกิงก็เป็นสถานที่ที่ทหารส่วนใหญ่ประจำการอยู่มากที่สุดโดยมีทหารมากกว่าหนึ่งหมื่นนาย!
ในขณะที่กองทัพอู่เว่ยและกองทัพเฮยอวี่ต่างต่อสู้กันอย่างไม่หยุดยั้ง ทันใดนั้นบ่อนพนันก็เริ่มเปิดวางเดิมพันใหม่อีกครั้งว่า ทหารของกองทัพอู่เว่ยจะตายกี่คน?
ครั้งนี้เป็นการเดิมพันใหญ่ที่มีอัตราการสูญเสียสูง คนที่เดิมพันว่าไม่มีทหารตาย ‘ความตายเป็นศูนย์”’ จะเสียเงินจำนวนหนึ่ง และคนที่เดิมพันด้วยอัตราต่อรองว่ามีทหารตายหนึ่งถึงหนึ่งร้อยคน ‘ความตายหนึ่งถึงหนึ่งร้อยคน’ ก็จะเสียเงินก้อนอีกจำนวนหนึ่ง และอื่นๆ ต่อไป…
คราวนี้บ่อนพนันทุกแห่งในเมืองหลวงล้วนเปิดให้วางเดิมพันกัน ทุกคนรวมทั้งขุนนางใหญ่ต่างวางเดิมพันโดยไม่มีใครสนใจว่าจะชนะหรือแพ้ เพราะพวกเขาเล่นกันเอาสนุก!
และครั้งนี้หัวหน้าเจ้าหน้าที่บ่อนพนันตระกูลซ่ง จ้าวซ่วยก็รายงานสถานการณ์แบบสดๆ ทันทีและนักพนันทุกคนต่างก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น มันหาได้ยากมากที่บ่อนพนันจะเปิดทำการได้เช่นนี้
หลังจากที่หลายคนวางเดิมพันแล้ว กองทัพอู่เว่ยก็เริ่มล่าถอยกลับไป และจากนั้นทุกคนก็เริ่มให้ความสนใจติดตามจำนวนคนที่เสียชีวิตในกองทัพอู่เว่ย
และผลก็คือ…ไม่มีใครตาย…
ทุกคนล้วนตะลึงงัน มีคนเดิมพันด้วยอัตราต่อรองอื่นๆ เกือบทั้งหมด แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่วางเดิมพันว่าไม่มีใครตาย หรือ ‘ความตายเป็นศูนย์’
ทำไมล่ะ? กระบี่ย่อมไร้ตา และอาวุธย่อมไร้ความปรานี แล้วจะมีสงครามที่ไม่มีคนตายเลยได้อย่างไร? นี่มันเรื่องเหลวไหลอะไรกันที่กองทัพอู่เว่ยต่อสู้อย่างดุเดือดแต่จบลงด้วยการไม่มีใครตายเลย? บอกได้ไหมว่าพวกเขาทำมันได้อย่างไรหรือ?
อันที่จริง ในการต่อสู้ครั้งนี้ ยกเว้นการต่อสู้ของหลิวอี้เจากับผู้บัญชาการระดับหนึ่งแล้ว หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ หลี่ว์ซู่ แอนโทนี่ จอห์นสัน และหัวหน้าบาทหลวงต่างก็ไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากวุ่นวายอยู่กับการช่วยเหลือผู้คน…
และในเวลาต่อมาก็มีคนเรียกวันนี้ว่า ‘วันที่เลือดนองเมืองหลวง’ ลือกันว่าวันนี้ ที่ริมฝั่งแม่น้ำหลงอิ้นนอกเมืองหลวง มีนักพนันหลายคนกระโดดลงแม่น้ำหลงอิ้นตามกันไปอย่างต่อเนื่องไม่หยุด…
และเมื่อมาถึงจุดนี้ ทุกคนก็ได้แต่หวังเพียงว่า สักวันหนึ่งพวกเขาจะได้พบหลี่ว์ซู่ในเมืองหลวง และฆ่าเขาซะ
หลี่ว์ซู่เลิกคิ้วขึ้นเมื่อได้ยินสิ่งที่จ้าวซ่วยพูดออกมา คาดเดาผลที่ตามมาไม่ได้ หมายความว่าอย่างไร?
เขาหันศีรษะไปยิ้มให้หลี่เฮยทั่นและหลิวอี้เจา “เขากำลังขู่ฉันจริงๆ”
และทันทีที่หลี่ว์ซู่กล่าวจบ หลิวอี้เจาและหลี่เฮยทั่นก็เข้าล้อมจ้าวซ่วยเอาไว้ ในขณะที่จอห์นสัน หัวหน้าบาทหลวง และแอนโทนี่ยังคงรออยู่ใต้ดินอย่างเงียบๆ โดยที่จ้าวซ่วยไม่กล้าเคลื่อนไหว…
“พวกเราพูดคุยกันดีๆ เถอะ!” จ้าวซ่วยกล่าว เดิมทีเขาต้องการหลอกกองทัพอู่เว่ยให้หวาดกลัว เพราะพวกกองทัพธรรมดาๆ หากรู้ว่าพวกเขามาจากราชสำนักย่อมไม่กล้ามีเรื่อง
แต่จ้าวซ่วยพบว่ากองทัพอู่เว่ยนั้นแตกต่างไป พวกเขาร้ายกาจจริงๆ!
เพียงแต่จ้าวซ่วยไม่เข้าใจว่าทำไมกองทัพอู่เว่ยจึงมียอดฝีมือระดับหนึ่งอยู่มากมาย!
หลี่ว์ซู่ยิ้มและพูดว่า “คุณรู้ว่าจะพูดคุยกันดีๆ ในตอนนี้อย่างไรใช่ไหม?”
จ้าวซ่วยพยักหน้า “ใช่!”
“คุณมาจากเมืองหลวงเหรอ?” หลี่ว์ซู่ถาม
“ใช่ ผมเป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่ของบ่อนพนันตระกูลซ่ง” จ้าวซ่วยชี้แจง “เนื่องจากบรรดาบ่อนพนันในเมืองหลวงเปิดเดิมพันเกี่ยวกับพวกคุณเอาไว้ ผมจึงได้รับมอบหมายให้มาตรวจสอบรายละเอียดและติดตามสถานการณ์เพื่อจะได้เปลี่ยนอัตราต่อรองใหม่ได้ทันเวลาเมื่อมีเหตุการณ์เปลี่ยนแปลง”
หลี่ว์ซู่ตะลึงงันไปชั่วขณะก่อนจะกล่าวว่า “เดิมพันเกี่ยวกับพวกเราหรือ? ทำไมบ่อนพนันในเมืองหลวงถึงสนใจกองทัพอู่เว่ยของพวกเรา?”
“ใช่ ผมเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าทำไม…เดี๋ยว อย่าเพิ่งทำร้ายผมนะ!” จ้าวซ่วยร้อง “ตอนนี้กองทัพอู่เว่ยของคุณมีชื่อเสียงโด่งดังแล้ว ผู้คนมากมายในเมืองหลวงต่างก็พากันสนใจพวกคุณ และแน่นอนว่าบ่อนพนันย่อมจะสนใจ เพราะทุกคนสนใจเรื่องเงินใช่ไหมล่ะ?”
และทันใดนั้นจ้าวซ่วยก็พูดขึ้นทันทีว่า “เมื่อผมถูกจับ คุณก็คุยเรื่องค่าไถ่ตัวกับบ่อนพนันตระกูลซ่งได้ พวกเขาจะยินดีจ่ายเงินก้อนใหญ่เพื่อไถ่ตัวผม”
ดวงตาของหลี่ว์ซู่เป็นประกาย “เท่าไหร่ล่ะ?”
“หลายล้าน!” จ้าวซ่วยกล่าว
และทันใดนั้นหลี่ว์ซู่ก็เข้าใจประเด็นสำคัญได้ทันที “นอกจากบ่อนพนันตระกูลซ่งแล้ว ต้องมีบ่อนพนันมากกว่าหนึ่งแห่งในเมืองหลวงแน่ บ่อนพนันอื่นๆ ก็ส่งคนมาด้วยใช่ไหม?”
ชั่วขณะนั้นจ้าวซ่วยพลันตกตะลึงงัน หลี่ว์ซู่คนนี้ต้องการอะไร? เขาจริงจังใช่ไหม เขาต้องการจะจับคนอื่นๆ เพื่อมาเรียกค่าไถ่อีกใช่หรือไม่?
หลี่ว์ซู่ให้จ้าวซ่วยติดต่อบ่อนพนันตระกูลซ่งในเมืองหลวงเพื่อเรียกเงินค่าไถ่ของจ้าวซ่วยก่อน และหลังจากจ้าวซ่วยและบ่อนพนันตระกูลซ่งพูดคุยกันเป็นเวลานาน พวกเขาก็ตกลงจ่ายค่าไถ่ภายในสามวัน
ต้องรู้ว่าบ่อนพนันนั้นไม่ได้โดดเดี่ยว บ่อนพนันตระกูลซ่งก็เป็นของขุนนางชั้นสูงตระกูลซ่ง และขุนนางใหญ่ผู้นี้ยังมีกิจการอื่นๆ อีกทั่วทั้งจักรวาลหลี่ว์
และนี่คือเบื้องหลังของเหล่าขุนนางในราชสำนักที่มั่งคั่งอย่างแท้จริง
ทันทีที่บ่อนพนันตระกูลซ่งได้รับข่าว เจ้านายแห่งตระกูลซ่งในเมืองใกล้เคียงทางตอนเหนือก็ให้คนส่งเงินไปหลายล้านหยวน
ในเวลานี้ผู้รับผิดชอบในบ่อนพนันก็ค่อนข้างแตกแยกกัน ธุรกิจดีๆ ยังไม่ทันเริ่มก็กลับต้องมาเสียเงินไปก้อนใหญ่เสียก่อนแล้ว เขาไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องจับคนในบ่อนพนันของพวกเขา! ขณะที่พวกเขาเฝ้าดูสิ่งที่เกิดขึ้นทางฝั่งของหลี่ว์ซู่
หลี่ว์ซู่กล่าวอย่างเบิกบานว่า “จ้าวซ่วย คุณคงไม่ชอบที่จะถูกจับเพียงคนเดียวใช่ไหม? คุณคงไม่พอใจที่บ่อนพนันตระกูลซ่งจะต้องเสียเงินจำนวนมากใช่ไหม?”
จ้าวซ่วยมองไปที่หลี่ว์ซู่อย่างเงียบๆ เป็นเวลานานแล้วกล่าวว่า “ผมจะได้ประโยชน์อะไร”
“คุณจะได้รับส่วนแบ่ง!” หลี่ว์ซู่เสนอให้อย่างยินดี
เวลานี้มียอดฝีมือระดับหนึ่งทั้งหมดสี่คนในกองทัพอู่เว่ย แต่ตามคำพูดของจ้าวซ่วยที่บอกมานั้น มียอดฝีมือระดับหนึ่งห้าคนมาถึงแล้ว ดังนั้นหลี่ว์ซู่จึงคิดเล่นกับไฟ เพราะหากคนทั้งห้าที่ถูกส่งมาเป็นหน่วยสอดแนมรวมกำลังกันต่อสู้กับเขา เขาย่อมจัดการรับมือไม่ได้
แม้แต่กองทัพเฮยอวี่ก็ยังไม่กล้าโกรธคนที่ถูกส่งมาเป็นหน่วยสอดแนมเหล่านี้ แต่กองทัพอู่เว่ยกลับกล้ากับพวกเขา…
จ้าวซ่วยและคนอื่นๆ แค่คิดว่าจะไม่มีกองทัพใดกล้าลงมือกับพวกเขา แต่ผลกลับกลายเป็นว่า กองทัพอู่เว่ยทำตัวเหมือนโจรและจับผู้คนโดยไม่สนใจว่าตัวตนของพวกเขาจะเป็นใคร…
แต่หลี่ว์ซู่คิดว่าบ่อนพนันทั้งห้านี้ไม่ได้เป็นหนึ่งเดียวกันอย่างแน่นอน ดังนั้นหัวหน้าเจ้าหน้าที่ทั้งห้าคนย่อมจะไม่ร่วมมือกันด้วย เพราะหากร่วมมือันก็ย่อมส่งคนมาเพียงคนเดียว ไม่ใช่ส่งมาห้าคนให้เปลืองค่าจ้างราคาสูงลิบเช่นนี้
ดังนั้น ตราบใดที่เขาไม่ได้เผชิญกับผู้คนจำนวนมากเกินไปพร้อมๆ กันในคราวเดียว เขาก็น่าจะปลอดภัย
ในกรณีที่เลวร้ายที่สุดจริงๆ เขาก็จะทำลายข้อตกลงและเอาผลประโยชน์ไว้เสียเอง หลี่ว์ซู่รู้ช่องทางหลบหลีกดี
ในเวลานี้ บรรดาหัวหน้าเจ้าหน้าที่อื่นๆ ก็ได้ยินข่าวว่าจ้าวซ่วยปลอดภัยสบายดีเพราะบ่อนพนันตระกูลซ่งได้จ่ายค่าไถ่แล้ว
เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องตลกในแวดวงเล็กๆ ของบ่อนพนันไปพักหนึ่ง เพราะจ้าวซ่วยซึ่งเป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่ของบ่อนพนันในเมืองหลวงก็ถูกกองทัพอู่เว่ยจับตัวได้ มันช่างเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่จริงๆ!
อย่างไรก็ตาม จ้าวซ่วยก็ไม่ได้กลับไปยังเมืองหลวงหลังจากที่ได้รับการปล่อยตัวแล้ว แต่กลับพบเขาที่กำลังพักผ่อนและรอคอยอย่างอดทนในเมืองใกล้เคียง
และภายในเวลาไม่กี่วันหลังจากนั้น ก็มีข่าวจากวงในว่าหัวหน้าเจ้าหน้าที่ของบ่อนพนันตระกูลหลินก็ถูกจับกุมเช่นกัน…
แล้วจากนั้นก็มีเหตุการณ์เรียกค่าไถ่และปล่อยตัวคนตามลำดับขั้นตอนต่อเนื่อง
หลังจากนั้นอีกไม่กี่วัน หัวหน้าเจ้าหน้าที่ของบ่อนพนันตระกูลอวิ๋นก็พลาดท่าถูกจับตัวเช่นกัน…
ลือกันว่าหัวหน้าเจ้าหน้าที่ของบ่อนพนันตระกูลอวิ๋นเมื่อเห็นว่ามีเจ้าหน้าที่สองคนถูกจับก็เตรียมจะออกไปจากที่นั่นแล้ว ทำให้เขาอยู่ห่างจากภูเขาไปมากกว่าสามร้อยกิโลเมตร แต่อย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้ว เขาก็ถูกจับกุมได้อย่างกะทันหัน
ในเวลานั้น หัวหน้าเจ้าหน้าที่ของบ่อนพนันตระกูลอวิ๋นแทบจะทรุดลงไปเลย เพราะถึงแม้เขาจะหนีมาไกลนานแล้วแต่ก็ยังหนีไม่พ้น!? กองทัพอู่เว่ยน่าทึ่งจริงๆ!
หลังจากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น หัวหน้าเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ของบ่อนพนันสองแห่งที่เหลือก็กลับไปที่เมืองหลวงทันทีโดยไม่พูดอะไรสักคำ แม้งานนี้ไม่สำเร็จ แต่ชื่อเสียงของพวกเขาก็สำคัญยิ่งกว่า!
บรรดานักพนันตัวยงทั้งหลายในบ่อนพนันต่างมาเตรียมพร้อมและต้องการฉวยโอกาสนี้เพื่อดูดเอาเงิน แต่ผลก็คือกองทัพอู่เว่ยไม่สนใจแม้แต่จะต่อสู้กับกองทัพเฮยอวี่เพราะกำลังยุ่งอยู่กับการจับพวกหัวหน้าเจ้าหน้าที่ไปเรียกค่าไถ่จากบ่อนพนัน…
ความจริงแล้วมีบ่อนพนันมากกว่าห้าแห่งในเมืองหลวง แต่มีเพียงห้าแห่งนี้เท่านั้นที่ส่งคนไปสอดแนม
ดังนั้นหลังจากเกิดเหตุการณ์ใหญ่เหล่านี้ เมื่อหัวหน้าเจ้าหน้าที่มีปัญหา บ่อนพนันอื่นๆ ก็เริ่มเปิดเดิมพันว่าใครจะถูกจับเป็นรายต่อไป…
ในขณะนี้ ผู้บัญชาการกองทัพเฮยอวี่ก็ได้รับแจ้งข่าวจากแหล่งข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน เขาไม่อยากสนใจกองทัพอู่เว่ยที่จัดการควบคุมไม่ได้ แต่เขาก็ต้องสนใจ เพราะไม่เช่นนั้นเขาก็จะบุกต่อไปทางเหนือไม่ได้
แต่กองทัพอู่เว่ยนี้มีความสามารถจับยอดฝีมือระดับหนึ่งได้ จึงทำให้เขาไม่อาจคาดเดา…
ในขณะนี้ มีแขกที่ดูคุ้นเคยอีกคนหนึ่งมาถึงภูเขาราชันหลี่ว์ หลี่ว์ซู่ยิ้มขณะมองไปที่หัวหน้าเจ้าหน้าที่ของบ่อนพนันตระกูลซ่ง จ้าวซ่วย “คุณกลับมาอีกทำไม?”
จ้าวซ่วยพูดอย่างใจเย็นว่า “ผมรู้ว่าคุณชอบทำเงิน แล้วทำไมเราไม่ร่วมมือกันแล้วเป็นเจ้ามือรับแทงเองล่ะ? ตอนนี้การเดิมพันในเมืองหลวงกำลังเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และผลประโยชน์ที่เราจะทำได้ย่อมจะมหาศาลเกินกว่าจะจินตนาการได้”
“ผมต้องการส่วนแบ่งห้าสิบเปอร์เซ็นต์” หลี่ว์ซู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ส่งชุดเกราะและอาวุธมาให้ผม!”
ตระกูลซ่งฉลาดมาก พอเห็นหลี่ว์ซู่จับหัวหน้าเจ้าหน้าที่มาแลกเปลี่ยนเป็นเงินได้อย่างไร พวกเขาก็รู้ว่ากองทัพอู่เว่ยจะแลกชีวิตของพวกเขาเป็นเงิน ดังนั้นหาเงินด้วยกันจะผิดอะไร? เหตุที่ขุนนางกลายเป็นขุนนางได้ก็เพราะพวกเขารู้วิธีบรรลุผลลัพธ์แบบได้ประโยชน์ร่วมกัน!
ส่วนอีกด้านหนึ่งนั้น หลี่ว์ซู่ก็รอมาเป็นเวลานานเช่นกัน เขาต้องการดูว่าจะมีบ่อนพนันใดที่ยินดีจะร่วมมือกับเขา และหลังจากการร่วมมือกันแล้ว กองทัพอู่เว่ยก็จะมีแต้มต่อที่จะตัดสินใจขั้นสุดท้ายว่าใครเป็นผู้ชนะ?
แต่เงินมากมายขนาดนี้ไร้ประโยชน์สำหรับเขา ดังนั้นเขาจึงขอเกราะและอาวุธเวทแทน!
ต้องรู้ว่าถึงแม้เขาจะได้รับอาวุธของกองทัพเฮยอวี่มามากมายก่อนหน้านี้ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่อาวุธเวทจึงทำให้หลี่ว์ซู่ผิดหวังอย่างมาก และความปรารถนาของผู้คนย่อมไร้ที่สิ้นสุด ด้วยชุดเกราะธรรมดา หลี่ว์ซู่ก็เริ่มคิดถึงอาวุธเวท…
ท้ายที่สุด กองทัพอู่เว่ยยังคงแข็งแกร่งยิ่งขึ้น และหลี่ว์ซู่ก็เข้าใจหลักการของม้าที่ดีคู่กับอานที่ดี เขาจึงต้องการจับคู่พลังกับอาวุธของพวกเขา และเขาจะได้รับผลประโยชน์มากขึ้นเมื่อกองทัพอู่เว่ยแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น…
เมื่อเรื่องราวของกองทัพอู่เว่ยแพร่มาถึงเมืองหลวง ทุกคนก็มองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยที่ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขาเลย เพราะเมืองหลวงไม่เคยเผชิญกับสงครามมาเป็นเวลานานแล้ว
สงครามระหว่างดินแดนทางเหนือและดินแดนทางตะวันตกแผ่ขยายไปทั่วทั้งจักรวาลหลี่ว์มานานแล้ว และความแข็งแกร่งที่กองทัพเฮยอวี่เผยออกมาให้เห็นในระดับยุทธศาสตร์จากการปิดล้อมก็ทำให้ทุกคนรู้สึกสนใจ
อย่างไรก็ตาม กองทัพเฮยอวี่ กองทัพเดียวกันนี้กลับต้านทานกองทัพเล็กๆ ที่ประกอบไปด้วยทหารเดนตายเพียงเท่านั้นไม่ได้
เมื่อคนที่รู้สถานการณ์พูดถึงกองทัพอู่เว่ย พวกเขาก็จะพูดว่า “เดิมทีกองทัพอู่เว่ยนั้น เป็นกองทัพที่ประกอบไปด้วยพวกคนพเนจร ผู้คนทางเหนือจะรู้ว่าพวกเขาไม่เป็นระเบียบ แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเขาจะเอาชนะกองทัพเฮยอวี่ได้ด้วยกำลังพลเพียงสามพันนาย คนพเนจรเหล่านี้ล้วนไม่กล้าต่อสู้ พวกเขาจะเอาแต่หลบหนีจากสนามรบเท่านั้น ไม่รู้ว่า เวลานี้พวกเขาแข็งแกร่งขึ้นมาได้อย่างไร”
ส่วนความอ่อนแอของกองทัพอู่เว่ยในอดีตนั้น ทุกคนล้วนพูดให้เห็นภาพที่ชัดเจนของพวกเขาออกมาได้อย่างง่ายดาย ราวกับว่ายิ่งพวกเขาอธิบายว่ากองทัพอู่เว่ยอ่อนแอมากมายเท่าใด สงครามครั้งนี้ก็จะยิ่งน่าตื่นเต้นเร้าใจมากขึ้นเท่านั้น
เพราะสงครามไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกเขา ดังนั้นไม่ว่าสงครามนั้นจะถูกหรือผิด และจะคว้าชัยหรือพ่ายแพ้ก็ล้วนไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญคือ มันน่าสนใจหรือไม่!
ในเมืองหลวงมีบุตรธิดาของขุนนางผู้มั่งคั่งเป็นจำนวนมาก พวกเขาส่วนใหญ่มักอ่านบทกวีขององค์ราชา พวกเขาล้วนทำตัวดังผู้มีอารยะชื่นชมทหารหาญที่ป้อมปราการชายแดนว่าเก่งกาจ แต่น้อยคนนักที่จะอยู่ในสนามรบจริงๆ
และเพื่อดึงดูดใจลูกค้าผู้มั่งคั่งเหล่านี้ แน่นอนว่านักเล่าเรื่องที่โรงน้ำชาและร้านสุราย่อมจะพูดคุยถึงอะไรก็ตามที่กำลังเป็นเรื่องที่ร้อนแรงที่สุดในขณะนี้
เวลานี้ ในร้านสุราที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง มีชายชราผู้หนึ่งนั่งอยู่บนเวทีและลูบเคราของเขาขณะกล่าวว่า “ผู้นำกองทัพอู่เว่ย เย่เสี่ยวหมิง ถือง้าว…”
“ไม่ พูดผิดแล้ว!” จู่ๆ เด็กสาวคนหนึ่งก็ลุกขึ้น “ลุงของฉันไปทางเหนือมาเมื่อเดือนที่แล้ว เขาได้รับข่าวจากกองทัพเฮยอวี่ว่า เวลานี้ผู้บัญชาการของกองทัพอู่เว่ยถูกแทนที่ด้วยเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มีแซ่ชื่อหลี่ว์! และยิ่งกว่านั้นคือ เขาไม่ได้ใช้ง้าวในการต่อสู้!”
ในช่วงเวลานั้น การเล่าเรื่องกลายเป็นประดักประเดิดที่สุด คนที่แต่งเรื่องและพูดเกินจริงส่วนใหญ่ต่างก็กลัวว่าในหมู่ผู้ฟังจะมีผู้ที่รู้ข้อเท็จจริงของสถานการณ์ นักเล่าเรื่องตัวเล็กๆ อย่างเขาจะเข้าไปสำรวจอะไรในสนามรบได้อย่างไรเล่า?
ภายใต้สถานการณ์ปกติ พวกเด็กๆ ในเมืองหลวงเหล่านี้จะไม่รู้เรื่องเช่นนี้กัน เพราะพวกขุนนางชั้นสูงในเมืองหลวงจะไม่สนใจกองทัพเล็กๆ อย่างทัพอู่เว่ย ดังนั้นลูกหลานของพวกเขาจึงไม่รู้เรื่องราวใดๆ
แต่คราวนี้ มีผู้คนให้ความสนใจเกี่ยวกับสถานการณ์ เพราะตัวเอกของเรื่องนี้คือ กองทัพอู่เว่ยซึ่งน่าทึ่งมากจนแม้แต่ขุนนางชั้นสูงก็ยังถือเป็นเรื่องชูโรง
นักเล่าเรื่องลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “ขอบังอาจถามหญิงสาวผู้กล้าคนนี้สักหน่อย คุณได้ยินอะไรมาบ้างหรือ? แซ่หลี่ว์ เป็นแซ่ธรรมดา แล้วคุณรู้ชื่อจริงของเขาหรือไม่?”
“ฉันไม่รู้ชื่อจริงของเขาชัดเจน แต่รู้ว่าอาวุธที่เขาใช้ขณะต่อสู้เป็นเพียงแค่กิ่งไม้เท่านั้น!” เด็กสาวกล่าวพูดอย่างโอ้อวด “ว่ากันว่าเด็กหนุ่มคนนี้หน้าตาดีและมีระดับการฝึกบำเพ็ญที่สูงมาก เขาไม่ได้ด้อยไปกว่าเหล่าอัจฉริยะในเมืองหลวง และยิ่งไปกว่านั้นเขายังมีสายเลือดที่ดีกว่า!”
บรรดาลูกหลานขุนนางที่เฝ้าคอยสังเกตการณ์อยู่ต่างก็ไม่รู้สึกยินดี ผู้บัญชาการของกองทัพอู่เว่ยที่แตกสลายอยู่ในระดับเดียวกับพวกเขาได้อย่างไร … และว่ากันว่า เขาหน้าตาดีมากด้วยหรือ? ตอนต่อสู้อยู่จะดีได้สักแค่ไหนเชียว?
ยิ่งกว่านั้นยังกล่าวกันว่า เขายังใช้กิ่งไม้เป็นอาวุธ หากเป็นเรื่องจริงก็แสดงว่าเขาอวดเก่งวางท่ามาก!
มีอัจฉริยะนับไม่ถ้วนในเมืองหลวงที่อวดดี แต่ผู้บัญชาการของกองทัพอู่เว่ยเป็นคนแรกที่กล้าอวดวางท่าใช้กิ่งไม้ในการต่อสู้ เขาคิดว่าเป็นปรมาจารย์เจ้าสำนักกระท่อมกระบี่หรือ?
เพียงเวลาชั่วข้ามคืน นักเล่าเรื่องทั้งหมดในเมืองหลวงก็เปลี่ยนเรื่องราวของพวกเขา หลี่ว์ซู่ถูกเปลี่ยนจากนักรบผู้ทรงพลังในกองทัพมาเป็นคนที่ชื่นชอบในบทกวี
และในคืนเดียวกันนั้น บรรดาเด็กสาวๆ ในเมืองหลวงต่างก็เริ่มปรารถนาถึงเด็กหนุ่มคนนี้ แต่ในทางกลับกัน พวกผู้ชายในเมืองหลวงต่างก็ไม่พอใจหลี่ว์ซู่เป็นอย่างมาก หากเขามาที่เมืองหลวง พวกเขาก็จะจัดการสั่งสอนให้เขาทำตัวดีๆ สักหน่อย!
ทันใดนั้นก็มีการเดิมพันใหม่ตามบ่อนพนันใหญ่ๆ ในเมืองหลวง พวกเขาเดิมพันกันว่า กองทัพอู่เว่ยจะรอดพ้นจากการถูกกองทัพเฮยอวี่ปิดล้อมได้หรือไม่? กองทัพอู่เว่ยจะอยู่รอดได้นานแค่ไหน? และกองทัพอู่เว่ยจะเข่นฆ่าบรรดาทหารของกองทัพเฮยอวี่ได้จำนวนเท่าใด?
มีการเดิมพันทุกประเภท และแน่นอนว่าเจ้ามือรับแทงย่อมเป็นผู้กำหนดอัตราต่อรอง
เดิมที ข่าวเรื่องของกองทัพอู่เว่ยน่าจะถูกพูดถึงไม่กี่วันก่อนซาไป แต่ทันทีที่เปิดการเดิมพันเหล่านี้ ข่าวก็ยิ่งแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ
แล้วบ่อนพนันก็เริ่มเผยแพร่เรื่องความอ่อนแอของกองทัพอู่เว่ยและพูดถึงว่าพวกเขาโชคดีเพียงใดที่เอาชนะกองทัพเฮยอวี่มาได้เพราะโชคช่วย และหลังจากที่คนกลุ่มใหญ่วางเดิมพัน พวกเขาก็เริ่มให้ความสนใจและตั้งตารอข่าวของกองทัพอู่เว่ยทุกวัน
พวกเขาไม่สนใจว่ากองทัพอู่เว่ยจะแข็งแกร่งหรืออ่อนแอเพียงใด แต่สนใจแค่ว่าพวกเขาจะชนะหรือแพ้เดิมพันเท่านั้น
ต้องบอกว่าเงินทำทุกอย่างได้จริงๆ และเพื่อเป็นการกระตุ้นกระแสนิยม บ่อนพนันหลายแห่งก็ส่งยอดฝีมือระดับหนึ่งของพวกเขาไปเป็นหน่วยสอดแนมเพื่อรับข้อมูลในเวลาเดียวกัน จากนั้นพวกเขาก็จะส่งข้อมูลผ่านวัตถุเวทมาทันทีและบ่อนพนันก็จะเปลี่ยนอัตราต่อรองได้ทันเวลา
ด้านหนึ่งนั้นคือเจ้ามือจะได้รับข้อมูลที่ถูกต้องจริงๆ และเร็วกว่าพวกนักพนัน
และในอีกด้านหนึ่งนั้น ยังเป็นการเผยแพร่ข่าวกรองแบบสดๆ ทันทีทันควันเพื่อให้ผู้คนในเมืองหลวงยังคงความกระตือรือร้นสนใจกองทัพอู่เว่ย
นอกจากนี้ เจ้ามือรับแทงในบ่อนพนันยังติดสินบนนักเล่าเรื่องทั้งหมดให้มาเข้าร่วมงานใหญ่นี้อีกด้วย
หลังจากที่ได้รับการฝึกฝนแล้ว บรรดาหน่วยสอดแนมก็บินไปยังดินแดนทางเหนือ พวกเขาคาดว่าจะกลับมาถึงในอีกหนึ่งสัปดาห์ข้างหน้า และจะเริ่มกระจายข่าวเมื่อจัดการทุกอย่างพร้อมแล้ว!
เหล่าเจ้ามือรับแทงในบ่อนพนันล้วนเต็มไปด้วยความมั่นใจและกระตือรือร้น
แต่ในวันที่แปด บ่อนพนันบางแห่งก็ได้รับข้อมูลมาว่า หน่วยสอดแนมจากบ่อนพนันตระกูลซ่งถูกกองทัพอู่เว่ยจับกุมตัวไป…
บรรดาบ่อนพนันทั้งหลายต่างตกตะลึง นั่นเขาเป็นยอดฝีมือระดับหนึ่งนะ! กองทัพอู่เว่ยร้ายกาจในการจับกุมผู้คนจริงๆ! พวกเขาจับได้อย่างไร? บ้าหรือเปล่า? นี่พวกเขากำลังทำสงครามกับกองทัพเฮยอวี่อยู่หรือเปล่า? ทำไมถึงมาจับหน่วยสอดแนมจากบ่อนพนันของเรา?
ยอดฝีมือระดับหนึ่งบางคนพยายามหนี พวกเขาไม่แม้แต่จะได้ต่อสู้ด้วยซ้ำ
ทว่าพวกเขาถูกจับกุม…กองทัพอู่เว่ยแข็งแกร่งแค่ไหน? พวกเขาจับเป็นยอดฝีมือระดับหนึ่งได้อย่างไรกัน?
บรรดาบ่อนพนันที่เต็มไปด้วยความมั่นใจล้วนพูดไม่ออก ส่วนพวกนักเล่าเรื่องต่างก็บอกว่าพวกเขาไม่กล้าไปเข้าใกล้ภูเขาที่กองทัพอู่เว่ยอยู่ และพวกเขายังต้องหนีห่างออกไปหลายสิบกิโลเมตรเพื่อหลีกเลี่ยงการค้นหาของอีกฝ่าย…
ในเวลานี้ บ่อนพนันต่างๆ พลันตระหนักได้ในทันทีว่าพวกเขาทั้งหมดล้วนประเมินกองทัพอู่เว่ยต่ำเกินไป กองทัพอู่เว่ยนั้นแข็งแกร่งอย่างน่าทึ่งมากจริงๆ!
แน่นอนว่า หลี่ว์ซู่ซึ่งอยู่ห่างไปไกลในภูเขาราชันหลี่ว์ไม่รู้ว่ามีผู้คนในเมืองหลวงที่อยู่ห่างออกไปกว่า สองหมื่นกิโลเมตรได้เปิดวางเดิมพันให้กับกองทัพอู่เว่ยแล้ว เขาเพียงแค่มองไปที่บรรดาชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “คุณมาจากกองทัพเฮยอวี่ใช่หรือไม่?”
ชายหนุ่มส่ายหัวแล้วกล่าวว่า “คุณควรจะปล่อยผมนะ ผมมาจากราชสำนัก หากคุณเป็นปฏิปักษ์กับผม คุณคาดเดาผลที่ตามมาไม่ได้หรอก”
หน่วยสอดแนมจากบ่อนพนันตระกูลซ่งมีนามว่าจ้าวซ่วย เขามีชีวิตอยู่มาก็มาก แต่บอกตามตรงว่าความจริงแล้วเขาไม่เคยคิดเลยว่าจะถูกจับ คาดไม่ถึงว่ากองทัพอู่เว่ยจะมียอดฝีมือระดับหนึ่งสี่คน ในตอนที่เขาเพิ่งเข้าไปใกล้ภูเขาราชันหลี่ว์ เขาก็ถูกหัวหน้าบาทหลวง แอนโทนี่ จอห์นสัน และหลิวอี้เจาเข้าปิดล้อม …
แล้วเขาจะทำอะไรได้เล่า? เขาก็หมดหวังอย่างที่สุดแล้ว!
จางเว่ยอวี่และหลี่ว์ซู่ยืนเคียงกันอยู่ที่ด้านหน้าประตูห้องสนทนา ฟังเสียงคร่ำครวญจากภายในนั้น จางเว่ยอวี่พูดอย่างกังวลว่า “นายกำลังเล่นกับไฟ ท่านเทพ นายดูถูกพลังอำนาจของพวกขุนนางชั้นสูงเหล่านั้น”
“พวกเขาเป็นเพียงขุนนางกลุ่มหนึ่งเท่านั้น หากตระกูลอื่นๆ มาเจรจากับพวกเรา ก็แน่นอนว่า ปัญหาของกองทัพอู่เว่ยย่อมเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องแก้ไข ผมกังวลเรื่องนี้” หลี่ว์ซู่กล่าว
“แล้วหากนายบรรลุข้อตกลงกับขุนนางคนอื่นๆ ไม่ได้ล่ะ จะทำอย่างไร?” จางเว่ยอวี่ขมวดคิ้ว “พวกขุนนางเหล่านี้โลภมาก จากมุมมองของพวกเขา พวกเขาสูงส่งเหนือพวกเรา แล้วผู้นำเล็กๆ ของกองทัพอู่เว่ยอย่างนายกล้าดียังไงถึงจะไปเจรจาต่อรองกับพวกเขาได้? ฉันคิดว่าเงื่อนไขที่พวกเขาให้มานั้นแทบจะเหมือนๆ กัน ยิ่งไปกว่านั้น นายก็ยอมรับเงื่อนไขเหล่านี้ไม่ได้ แล้วนายจะทำอย่างไร?”
หลี่ว์ซู่ยิ้มร่าแล้วกล่าวว่า “คุณคิดว่าสงครามครั้งนี้จะใช้เวลานานแค่ไหน?”
จางเว่ยอวี่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวตอบว่า “ดูจากความทะเยอทะยานของกองทัพเฮยอวี่แล้ว คิดว่ายากที่จะสิ้นสุดได้ในหนึ่งปี”
“การคัดเลือกของกระท่อมกระบี่จะเริ่มขึ้นในอีกครึ่งปี คุณคิดว่าเหล่าขุนนางชั้นสูงเหล่านี้จะกล้าหาเรื่องศิษย์ของกระท่อมกระบี่ไหม?” หลี่ว์ซู่เอ่ยถาม
จางเว่ยอวี่ตะลึงงันไปชั่วขณะ เขาไม่คาดคิดว่า หลี่ว์ซู่จะพิจารณาเรื่องนี้เอาไว้ในแผนของเขาแล้ว “กระท่อมกระบี่นั้นยอดเยี่ยมเหนือธรรมดา แม้บรรดาศิษย์ของกระท่อมกระบี่จะอยู่ภายใต้บัญชาการของจอมทัพสวรรค์ แต่จอมทัพสวรรค์ก็ปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างสุภาพเช่นกัน และเหล่าขุนนางชั้นสูงย่อมไม่กล้าหาเรื่องพวกเขา”
“ดังนั้น ก่อนที่สงครามนี้จะยุติลงโดยที่กองทัพเฮยอวี่เอาชนะพวกเราไม่ได้ แล้วขุนนางชั้นสูงเหล่านี้จะทำอะไรได้?” หลี่ว์ซู่กล่าวพลางยิ้ม “ตราบใดที่สงครามยังไม่สิ้นสุด ก็จะไม่มีใครกล้าเคลื่อนย้ายกองทัพอู่เว่ย ย่อมรอจนกว่าสงครามจะสิ้นสุดลง และเมื่อสงครามยุติลงแล้ว ผมก็อาจจะเป็นศิษย์ของกระท่อมกระบี่ และจากนั้น ใครจะกล้ามาสร้างปัญหายุ่งยากให้กองทัพอู่เว่ยอีกล่ะ?”
“งั้นนายก็มีแผนนี้แล้ว ไม่แปลกใจเลยที่นายกล้านำทัพอู่เว่ยเป็นจุดสนใจที่นี่ และกล้ารุกรานขุนนางชั้นสูงเหล่านั้นด้วยวิธีนี้” จางเว่ยอวี่ถอนหายใจ “ฉันไม่คิดเรื่องนี้ไปไกลเท่านาย ฉันขอถามนายอย่างจริงจังคำถามหนึ่ง นายเริ่มคิดแผนนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
หลี่ว์ซู่กล่าวอย่างสงบ “เพิ่งคิดเดี๋ยวนี้”
จางเว่ยอวี่กล่าวต่อไปว่า “เป็นไปตามคาด ฉันประเมินความสามารถในการวางแผนของนายไม่ได้จริงๆ”
กล่าวจบ จางเว่ยอวี่ก็มองกลับไปที่ห้องสนทนาและรู้สึกโล่งใจที่หลิวอี้เจาและหลี่เฮยทั่นไม่ได้ยินการสนทนาของเขากับหลี่ว์ซู่
แต่เขาก็เห็นด้วยกับแผนของหลี่ว์ซู่ หากหลี่ว์ซู่กลายเป็นศิษย์ของกระท่อมกระบี่ได้จริงๆ ปัญหาที่กองทัพอู่เว่ยกำลังเผชิญอยู่ย่อมจะไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป
แต่จางเว่ยอวี่ก็ยังฉงน “แต่ในเวลานั้น บรรดาอัจฉริยะทั้งหมดในโลกนี้จะมารวมตัวกัน นายแน่ใจเหรอว่านายจะได้รับเลือก? นอกจากนี้ ยังไม่มีใครรู้ว่าการทดสอบรอบสองจะเป็นอย่างไร นายมั่นใจแค่ไหนว่าจะผ่านไปได้”
หลี่ว์ซู่ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “คุณเคยคิดถึงเรื่องนี้หรือเปล่า? แม้ผมจะไม่รู้ว่าการทดสอบรอบสองจะเป็นอย่างไร แต่ทุกปีกระท่อมกระบี่ก็จะคัดเลือกเพียงสี่คนใช่ไหม?”
“ใช่” จางเว่ยอวี่กล่าวตอบ
“แล้วหากผมไม่ผ่านรอบสองล่ะ คุณเคยคิดถึงเรื่องนี้บ้างไหม? แล้วหากมีผู้สมัครเหลือให้เลือกแค่สี่คน มันก็จบ ทุกคนก็ย่อมผ่านไปได้ใช่ไหม?” หลี่ว์ซู่กล่าวถาม
“เดี๋ยวก่อน ฉันรู้ว่าตอนนี้นายแข็งแกร่งและทรงพลังมาก แต่หลังจากการทดสอบรอบแรกก็จะคัดเลือกเหลือสิบหกคนเพื่อเข้าสู่รอบที่สอง ในรอบแรก นายยังไม่เจอพวกเขาหรอกนะ” จางเว่ยอวี่อธิบาย
หลี่ว์ซู่ครุ่นคิดเงียบๆ เป็นเวลาสองวินาที “นี่คุณกำลังหยุดผมจากการเอาชนะพวกเขาด้วยตัวเองหรือ?”
จางเว่ยอวี่ “…ไม่ใช่”
“ได้รับแต้มอารมณ์จากจางเว่ยอวี่ +666!”
ในเวลานี้ หลี่ว์ซู่ถอนหายใจอย่างมีอารมณ์เล็กน้อย จางเว่ยอวี่ช่างใจกว้างจริงๆ เขาสร้างแต้มอารมณ์ให้กับหลี่ว์ซู่ทุกวันโดยไม่รู้ว่าแต้มอารมณ์ที่เขาให้ทุกวันนี้มีค่าเพียงใด หากถึงวันหนึ่งที่เขาจะกลับไปยังโลก เขาจะให้จางเว่ยอวี่กินผลล้างไขกระดูกอย่างแน่นอน แม้เขาจะไม่รู้ว่าผลไม้นั้นจะช่วยในเรื่องการฝึกบำเพ็ญของจางเว่ยอวี่ได้หรือไม่ แต่ช่วยกำจัดสิ่งสกปรกในร่างกายเขาออกไปได้แน่นอน
ทันใดนั้นจางเว่ยอวี่ก็รู้สึกว่า ในทางกลับกัน ในช่วงเวลาที่หลี่ว์ซู่ก้าวเข้ามาในเมืองหลวงนั้นจะต้องเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจมาก เขาไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่เขาก็แอบตั้งตารออย่างคาดหวังอยู่ลับๆ…
แต่นี่คือ กระท่อมกระบี่ บรรดาอัจฉริยะทั้งหมดที่หลี่ว์ซู่จะได้เผชิญย่อมล้วนแล้วแต่เป็นพวกสุดยอดของกองทัพ และในเวลานั้น เหล่าขุนนางชั้นสูงก็จะทุ่มเททุกอย่างเพื่อลูกหลานอัจฉริยะของพวกเขาได้เข้าไปด้วย ซึ่งพวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นยอดฝีมือที่เกิดจากการได้รับทรัพยากรมากมาย
จางเว่ยอวี่อยากรู้จริงๆ ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อหลี่ว์ซู่ได้พบกับพวกเขา…
ในเวลานี้ เสียงในห้องสนทนาก็เงียบลง หลี่ว์ซู่เดินเข้าไปและได้ยินพวกทาสร่ำร้องและวิงวอนว่า “โปรดช่วยพวกเราด้วย นายท่าน! เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราจะทำได้จริงๆ พวกเราต้องกลับไปหาเจ้านายและรายงานเรื่องนี้ก่อนที่เราจะเสนอเงื่อนไขใหม่ให้คุณได้ สิ่งที่กระผมพูดไปเมื่อกี้ไม่ได้เป็นการข่มขู่คุณจริงๆ โปรดอย่าเข้าใจกระผมผิด!”
หลี่ว์ซู่โบกมือของเขาแล้วกล่าวว่า “เอาละ กลับไปเถอะ แล้วไปบอกเจ้านายขุนนางของคุณว่ายังเร็วเกินไปที่จะแบ่งปันผลประโยชน์และพื้นที่ของช่องเขาเว่ยเป่ย หากพวกเขาอยากจะร่วมมือกับกองทัพอู่เว่ยของผม ผมก็ต้องดูก่อนว่าพวกเขามีคุณสมบัติดีพอหรือไม่ หากพวกเขายังไม่แม้แต่จะเอาชนะกองทัพเฮยอวี่ได้ ก็อย่าพูดถึงเรื่องการดึงกองทัพอู่เว่ยของผมไปเลย”
ถ้อยคำของหลี่ว์ซู่ช่างโอหังนัก ราวกับเหยียดหยามกองทัพเฮยอวี่…
เวลานี้พวกทาสไม่กล้าพูดอะไรเลย กองทัพเฮยอวี่นี้มีแต่พวกยอดเยี่ยม แต่พวกเขากลับถูกกองทัพอู่เว่ยที่แตกสลายหมิ่นแคลน
หลี่ว์ซู่ได้พบกับทูตของขุนนางชั้นสูงทั้งเจ็ดในเวลาเจ็ดวันติดต่อกันตลอดทั้งหนึ่งสัปดาห์โดยไม่เว้นว่าง แต่ก็ไม่มีใครเสนอเงื่อนไขที่ทำให้เขาสนใจได้
ตอนนี้หลี่ว์ซู่ไม่รีบร้อนที่จะหาที่คุ้มภัย เขาเพียงแค่อยากจะกลับไป อย่างไรก็ตาม กองทัพเฮยอวี่ย่อมจะไม่มีการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ใดๆ ไปสักพักหนึ่ง แล้วในขณะที่พวกขุนนางชั้นสูงจากทางเหนือยังคงจับตาเฝ้าดูช่องเขาเว่ยเป่ย หากพวกเขายังคงส่งคนไปมากกว่านี้ พวกเขาจะยังปกป้องช่องเขาเว่ยเป่ยได้หรือ?
หลังจากที่พวกทาสกลับไป เมื่อบรรดาขุนนางเห็นจมูกพวกทาสเป็นสีเขียวคล้ำ และใบหน้าบวมปูดจากการถูกทำร้ายทุบตีมาอย่างหนักก็มีสีหน้ามืดทะมึนขึ้นทันที “แค่ผู้บัญชาการเล็กๆ แห่งกองทัพอู่เว่ยยังกล้าเหิมเกริม เขาคิดว่าตัวเองจะปลอดภัยจากการได้รับการสนับสนุนที่แข็งแกร่งหรือ หึ? อะไรทำให้เขาคิดเช่นนั้น?”
ในเวลานี้ เหล่าทาสพยายามเกลี้ยกล่อมเจ้าของของพวกเขาอย่างเต็มที่ “นายท่าน ทำไมพวกเราไม่โจมตีกองทัพเฮยอวี่โดยตรงผ่านช่องเขาเว่ยเป่ยไปเลย หากกองทัพอู่เว่ยเอาชนะกองทัพเฮยอวี่ได้ด้วยคนเพียงไม่กี่คน กองทัพเฮยอวี่ก็น่าจะไม่ดุร้ายอย่างที่พวกเราคิด และเมื่อพวกเราเอาชนะกองทัพเฮยอวี่ได้แล้ว พวกเราค่อยจัดการกับกองทัพอู่เว่ย พวกเรายังส่งกองทหารไปปิดล้อมและสังหารพวกเขาได้ พวกเราจะกวาดล้างพวกเขาต่อหน้าจอมทัพสวรรค์!”
ขุนนางผู้สูงศักดิ์เหลือบมองทาสที่พูดขึ้นมา “ไสหัวไปเดี๋ยวนี้ เจ้าพวกสวะไร้ประโยชน์ คิดว่าสงครามมันง่ายอย่างที่แกพูดหรือ? ฉันรู้ดีว่ากองทัพเฮยอวี่แกร่งกล้าเพียงใด มันต้องไม่ใช่เพราะพวกเขาอ่อนแอเกินไป แต่เวลานี้กองทัพอู่เว่ยมีผู้นำที่แข็งแกร่ง พวกเขาได้รับการฝึกฝนจากยอดฝีมือจึงทรงพลังอย่างมากจริงๆ!”
เหล่าขุนนางไม่ใช่คนโง่ และย่อมจะไม่ถูกหลอกด้วยคำพูดยุยงเพียงไม่กี่คำจากทาสของพวกเขา พวกเขารู้ว่าหากกองทัพเฮยอวี่อ่อนแอ พวกเขาก็จะยึดครองเอาช่องเขาหลีหยางและช่องเขาเว่ยเป่ยไม่ได้เลย
แต่ยามนี้กองทัพอู่เว่ยก็แข็งแกร่งนัก!
และในช่วงเวลาหนึ่ง ข่าวการเปลี่ยนแปลงของกองทัพอู่เว่ย รวมถึงการที่พวกเขาเอาชนะกองทัพเฮยอวี่ด้วยขนาดกองกำลังที่เล็กกว่าได้ก็ค่อยๆ แพร่กระจายออกไป
ในเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน แม้กระทั่งเหล่าขุนนางในราชสำนักก็ยังพูดคุยกันถึงเรื่องนี้หลังอาหาร เรื่องราวของการเอาชนะกองกำลังขนาดใหญ่ได้ด้วยกำลังคนที่น้อยกว่าและจากกองทัพที่อ่อนแอกลับกลายเป็นแข็งแกร่งอย่างยิ่งนั้นเป็นเรื่องที่ใช้เป็นหัวข้อสนทนามากที่สุด
และดังนั้น…กองทัพอู่เว่ยจึงโด่งดังมาก!
จู่ๆ ทาสทั้งเจ็ดคนที่นอนอยู่บนพื้นต่างก็รู้สึกเปิดหูเปิดตาราวกับว่าความรู้เกี่ยวกับโลกของพวกเขาได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ พวกเขาล้วนถูกเหล่าขุนนางชั้นสูงส่งตัวมายังกองทัพอู่เว่ยที่แตกสลายนี้ พวกเขาเป็นยอดฝีมือระดับสอง ในขณะที่ศัตรูของพวกเขาเป็นเพียงหน่วยสอดแนม แต่พวกเขากลับถูกทำร้ายและเกือบถูกสังหาร
บ้าไปแล้ว? เขาเป็นหน่วยสอดแนมจริงๆ หรือ? พวกคุณเคยเห็นหน่วยสอดแนมอย่างเขาไหมล่ะ?
ใครจะทำให้ยอดฝีมือระดับหนึ่งเป็นหน่วยสอดแนมได้ล่ะ?! นี่คุณจริงจังไหม?
แต่พวกทาสมีอีกคำถาม กองทัพอู่เว่ยมียอดฝีมือระดับหนึ่งมาตั้งแต่เมื่อไหร่? และนี่ยังคงเป็นกองทัพอู่เว่ยที่พวกเขารู้จักหรือไม่?
ในความเป็นจริงแล้ว หลังจากที่กองทัพอู่เว่ยเอาชนะกองทัพเฮยอวี่ได้แล้ว จางเว่ยอวี่ก็วิเคราะห์ว่าเหล่าขุนนางทางเหนือกำลังวางแผนบางอย่างแต่ยังไม่เคลื่อนไหว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเขาต้องการแบ่งผลประโยชน์ก้อนโต คือ เมืองหนานเกิง เมืองก่วงเหลียว เมืองอวิ๋นอาน ช่องเขาเว่ยเป่ย และช่องเขาหลีหยาง
อย่างไรก็ตาม ด้วยผลประโยชน์มหาศาลเช่นนี้ บรรดาขุนนางย่อมไม่อาจทำอะไรได้มากนักเพราะล้วนแต่ขึ้นอยู่กับจอมทัพสวรรค์ที่จะเป็นผู้ตัดสินใจในขั้นสุดท้าย
ดังนั้นหากเหล่าขุนนางรู้ว่ากองทัพอู่เว่ยอยู่บนภูเขาและเอาชนะกองทัพเฮยอวี่ได้ พวกเขาย่อมส่งคนมาที่นี่เพื่อเอาชนะอย่างแน่นอน และเวลานี้ หลิวอี้เจาและหลี่เฮยทั่นก็กำลังรอทาสเหล่านี้มา
แต่หลิวอี้เจาและคนอื่นๆ ก็รออยู่ที่นี่มาเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์แล้ว ด้วยไม่คาดคิดว่าเหล่าขุนนางจะมีความสามารถทางด้านข่าวกรองจำกัดจึงขาดข้อมูล และไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากองทัพอู่เว่ยอยู่ที่ใด
จางเว่ยอวี่ หลี่ว์ซู่ และคนอื่นๆ วางแผนสำหรับเรื่องนี้ บัดนี้กองทัพอู่เว่ยเป็นที่รวมตัวของยอดฝีมือระดับสูงที่หายาก ด้วยความจริงที่ว่าอาศัยผู้คนเพียงแค่ห้าพันคนเพื่อสังหารกองทัพเฮยอวี่ได้ถึงหนึ่งหมื่นนายซึ่งนับเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ และหากหลี่ว์ซู่ได้รับการตอบแทน กองทัพอู่เว่ยก็ย่อมจะได้รับส่วนแบ่งด้วยอย่างแน่นอน
ดังนั้นกองทัพอู่เว่ยก็น่าจะได้ครองตำแหน่งผู้นำคนสำคัญและรอคอยข้อเสนอสูงสุด
หากเป็นกองทัพธรรมดา แน่นอนว่าพวกเขาย่อมจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับเหล่าขุนนาง แต่กองทัพอู่เว่ยนั้นแตกต่างออกไป เวลานี้กองทัพอู่เว่ยทรงพลังแกร่งกล้าอย่างยิ่ง เพียงพอที่จะกวาดล้างไปได้ทุกที่ที่พวกเขาไปถึง
ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติสำหรับผู้ชนะที่ผู้คนอาจพยายามจะดึงพวกเขาเข้าเป็นพวก แต่พวกเขาก็จะไม่รีบร้อนตกลง!
อย่างไรก็ตาม จางเว่ยอวี่ยังพูดคุยกับหลี่ว์ซู่ว่า ตอนนี้ขุนนางมีอำนาจมากนัก และหากเป็นไปได้ก็ย่อมเป็นการดีกว่าที่จะไม่ล่วงเกินให้พวกขุนนางเหล่านั้นขุ่นเคือง
หลี่ว์ซู่พยักหน้ารับ “สบายใจได้ ผมรู้ขีดจำกัดดี”
จากนั้นหลี่ว์ซู่ก็ถ่ายทอดคำแนะนำเหล่านี้ไปให้หลิวอี้เจาและหลี่เฮยทั่น
ในขณะนั้น ผู้ซื่อสัตย์ทั้งสองคนคือหลิวอี้เจาและหลี่เฮยทั่นก็กำลังยืนอยู่ต่อหน้าเหล่าทาสและพูดคุยกันว่า “คุณคิดว่า หากพวกเขาไปพบกับท่านเทพในเวลานี้ พวกเขาจะพูดจาล่วงเกินท่านเทพของพวกเราหรือไม่?”
หลิวอี้เจาส่ายหัวแล้วกล่าวว่า “ฉันไม่คิดอย่างนั้น แต่ถึงแม้จะมีใครบางคนทำให้ท่านเทพขุ่นเคือง ทั้งหมดที่พวกเราต้องทำก็แค่กำจัดมันซะ”
บรรดาทาสต่างพากันแตกตื่นทันที แม้พวกเขาจะไม่ได้ยินเสียงการสนทนาเบาๆ นั้น แต่ก็ยังรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติกับกองทัพอู่เว่ย และเมื่อพวกเขาบอกว่าจะสังหารใครสักคน พวกเขาก็ย่อมทำจริงๆ!
หลังจากที่พวกเขาลุกขึ้นแล้ว เดิมทีเหล่าทาสผู้หยิ่งยโสก็เดินตามหลังหลิวอี้เจาและหลี่เฮยทั่นอย่างนอบน้อมถ่อมตน แต่หลี่เฮยทั่นก็รู้สึกว่าทาสเหล่านี้จะสร้างปัญหายุ่งยาก ดังนั้นพวกเขาจะต้องจัดการกับพวกทาสเหล่านี้ก่อนที่จะพูดคุยกันดีๆ ได้
อย่างไรก็ตาม หลี่เฮยทั่นก็ชื่นชมหลิวอี้เจาเป็นอย่างมาก “เมื่อไหร่ฉันจะแข็งแกร่งได้เทียบเท่าคุณ? ฉันรู้สึกว่าเส้นทางสู่การเป็นระดับสองนั้นยังต้องใช้เวลาอีกยาวนาน”
หลิวอี้เจาหัวเราะ “ไม่นานหรอก และระดับหนึ่งนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากจะบรรลุได้”
เมื่อเหล่าทาสได้ยินเช่นนั้น พวกเขาก็ทำเบะปากหน้ามุ่ย คุณพูดถึงการบรรลุระดับหนึ่งแบบนั้นได้อย่างไรกัน? แต่เมื่อหลิวอี้เจาเหลือบมองพวกเขาจากหางตา พวกทาสเหล่านั้นก็รีบกลับคืนสู่ท่าทางนอบน้อมอย่างรวดเร็ว…
พวกเขาไม่อาจยั่วยุให้เขาขุ่นเคืองใจได้!
เมื่อพวกเขาไปถึงภูเขาราชันหลี่ว์ พวกทาสก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ ค่ายทหารและทุ่งนาล้วนถูกจัดการอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย พวกเขาเคยไปที่ค่ายทหารมาก่อน ต่อให้พวกเขาเดินทางไปทั่วทั้งภาคเหนือ ก็ไม่อาจพบค่ายทหารที่สะอาดเอี่ยมเรียบร้อยเช่นนี้ได้
นอกจากนี้พวกเขายังอยู่บนภูเขา เมื่อคิดดูแล้วก็คิดว่ากองทัพอู่เว่ยน่าจะเพิ่งอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน และเมื่อมองไปยังพืชผลในทุ่งนา ในเวลานี้พวกมันก็ยังไม่เติบโตเต็มที่
พวกเขาทำความสะอาดสถานที่แห่งนี้ได้ในระยะเวลาสั้นๆ เช่นนี้
ยิ่งไปกว่านั้นยังมีผู้คนมากมายกำลังเรียนรู้วิธีอ่านเขียนอยู่ในลานจัตุรัส! พวกทาสต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่กด้วยทำอะไรไม่ถูก ในเมื่อกองทัพอู่เว่ยนั้นแข็งแกร่งมาก เช่นนั้นแล้ว ในเวลานี้ก็น่าจะมีคนฝึกกระบี่อยู่โดยรอบ แต่พวกเขาทั้งหมดกลับกำลังเรียนรู้วิธีอ่านเขียน…
ไม่ถูกต้อง!
เดี๋ยวก่อนนะ ทันใดนั้นเหล่าทาสก็เห็นธงผืนใหญ่ปักอยู่ที่หน้าลานจัตุรัส บนธงนั้นมีถ้อยคำที่ระบุเอาไว้ว่า ‘กำจัดความยากจนและสร้างสมความร่ำรวย…‘
เริ่มแรก มันคือหน่วยสอดแนมระดับหนึ่ง จากนั้นก็เป็นค่ายทหารที่สะอาดเอี่ยมเรียบร้อย หลังจากนั้นก็เป็นเหล่าทหารที่กำลังเรียนรู้วิธีการอ่านเขียน และสุดท้ายก็มีธงที่ระบุข้อความว่า ‘กำจัดความยากจนและสร้างสมความร่ำรวย’
สำหรับพวกทาสแล้ว กองทัพอู่เว่ยนั้นล้วนแปลกประหลาดไปหมดในทุกๆ ด้าน…
และในขณะนั้นหลี่ว์ซู่ก็มาถึงและทักทายพวกเขา “พวกคุณเดินทางมาไกล ขอโทษด้วยที่ไม่ได้ออกไปพบ หลิวอี้เจาและหลี่เฮยทั่นดูแลพวกคุณดีไหม?”
พวกทาสต่างพากันเบิกตาถลน คุณไม่เห็นสภาพสะบักสะบอมอย่างเลวร้ายของพวกเราหรือ? คุณจะเสแสร้งไปเพื่อใครกัน? แต่แม้จะคิดเช่นนั้น พวกเขาก็กลับพูดออกมาว่า “ไม่ ไม่ พวกเขาดูแลดีมาก…”
และเมื่อมองไป หลี่เฮยทั่นที่อยู่ข้างๆ พวกเขาก็ชูกระบี่ของเขาขึ้นมาขู่แล้ว…
จากนั้นหลี่ว์ซู่ก็เชิญพวกเขาไปที่ห้องสนทนาในภูเขาราชันหลี่ว์ เมื่อทุกคนนั่งลงแล้ว หลี่ว์ซู่ก็ยิ้มอ่อนโยนแล้วถามว่า “พวกคุณมาที่นี่เพื่ออะไร?”
หนึ่งในพวกทาสเหล่านั้นรีบแย่งพูดขึ้นมาก่อนว่า “เจ้านายขุนนางของกระผมได้ยินมาว่า กองทัพอู่เว่ยสร้างผลงานยอดเยี่ยมอยู่ทางด้านหลังช่องเขาเว่ยเป่ย พวกเราทุกคนล้วนรู้กันดีว่ากองทัพอู่เว่ยนั้นเคยเป็นแบบไหนมาก่อน คงเป็นเรื่องยากที่จะเปลี่ยนมันให้กลายเป็นแบบนี้ได้ในเวลานี้ ดังนั้นเจ้านายของกระผมจึงชื่นชมพวกคุณมาก และอยากสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับพวกคุณ”
หลี่ว์ซู่หัวเราะร่าออกมา “พูดตรงๆ ให้เข้าใจง่ายๆ เถอะ”
ทาสคนนั้นกล่าวว่า “หากคุณรับใช้เจ้านายของกระผม เมื่อสงครามสิ้นสุดลง คุณก็จะได้กลายเป็นผู้นำแห่งช่องเขาเว่ยเป่ย”
“เท่านั้นหรือ?” หลี่ว์ซู่ถามอย่างสงสัย
ทาสพยักหน้า “คุณคิดว่ายังไง ท่านผู้บัญชาการ?”
ทันใดนั้นหลี่ว์ซู่ก็พูดขึ้นว่า “คุณมาผิดที่แล้ว พวกเราไม่ใช่กองทัพอู่เว่ย ที่นี่คือหมู่บ้านมังกรฟ้า คุณไม่เห็นธงด้านนอกเหรอ? นั่นคือสัญลักษณ์ของหมู่บ้านมังกรฟ้า”
ชั่วขณะนั้นหลี่ว์ซู่ก็ขยิบตาให้จางเว่ยอวี่ คุณเห็นไหม พวกเราคือหมู่บ้านมังกรฟ้า! และพวกคนที่ทำให้พวกเขาขุ่นเคืองก็ยังคงเป็นหมู่บ้านมังกรฟ้า ไม่ใช่กองทัพอู่เว่ยนะ
จางเว่ยอวี่มองไปที่หลี่ว์ซู่ จากนั้นก็มองไปยังทาสที่มีสภาพสะบักสะบอมนั้น คุณแน่ใจหรือว่าเรื่องนี้ไม่มีสิ่งใดผิดไป? ยังมีอะไรจะพูดอีก …
“ได้รับแต้มอารมณ์จากจางเว่ยอวี่ +666!”
บอกตามตรงว่าหลี่ว์ซู่ไม่ได้คิดถึงตำแหน่งผู้นำของกองทัพอู่เว่ยมากนัก แต่เมื่อเหล่าทาสนึกถึงสิ่งที่เจ้านายบอกพวกเขาก่อนที่พวกเขาจะออกมา พวกเขาก็พูดขึ้นมาอีกว่า “คุณควรรู้ว่า แม้คุณจะได้เป็นผู้บัญชาการกองทัพอู่เว่ย แต่ทางวังหลวงก็ยังไม่ได้บันทึกลงไปอย่างเป็นทางการ ซึ่งอาจจะมีตัวแปรอื่นๆ อีกมากมาย!”
ตามเหตุผลแล้ว จะไม่มีเหตุร้ายเช่นนี้ในการแต่งตั้งผู้นำ แต่หากมีใครสร้างปัญหาให้กับพวกเขาก็อาจจะส่งผลให้เกิดสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดได้
หลี่ว์ซู่ถอนหายใจ นี่เป็นการข่มขู่เขาหรือไม่? เขาลุกขึ้นและเดินออกจากห้องสนทนาไป “หลิวอี้เจา คุณพูดคุยเรื่องนี้กับพวกเขา และพยายามตกลงกันให้ได้”
หลิวอี้เจากล่าวตอบว่า “รับทราบ”
แล้วสีหน้าท่าทีของพวกทาสก็เปลี่ยนไปทันที มีบางอย่างไม่ถูกต้องกับถ้อยคำที่ว่า ตกลงกัน ที่พวกคุณใช้!
การที่ทัพเฮยอวี่กลับมาที่ภูเขาไม่ใช่เรื่องที่เป็นความลับอะไร แต่ตระกูลขุนนางใหญ่ได้รับข้อมูลที่คลุมเครือเท่านั้น อีกอย่างข่าวที่ได้ก็ไม่ได้มาจากทัพเฮยอวี่โดยตรงอีกด้วย
มีสายลับของทัพเฮยอวี่จำนวนมากที่ซ่อนตัวอยู่ในช่องเขาเว่ยเป่ย เนื่องจากพวกเขาได้วางแผนเรื่องนี้มาเป็นเวลานาน นอกจากนี้ตระกูลขุนนางใหญ่ต้องการแบ่งปันผลประโยชน์กันอีกด้วย แต่พวกเขาก็เพิ่งมาตกลงกันได้ไม่นาน ดังนั้นการเตรียมตัวด้านการหาข่าวนั้นก็ยังไม่ค่อยมั่นคงนัก
เมื่อข่าวการพ่ายแพ้ของกองทัพขนนกดำมาถึงมือของเหล่าขุนนางใหญ่พวกเขารู้เพียงว่ามีทัพที่พวกเขาไม่รู้จักหลบอยู่ในภูเขา และทัพนี้ก็ฆ่าทหารทัพเฮยอวี่ไปได้ถึง 11000 นาย…
เมื่อพวกขุนนางได้ข้อมูลอย่างนั้น พวกเขาก็คิดว่ากำลังฝันไป ทัพที่มีกำลังพลเหลือในภูเขาจะฆ่าทหารทัพเฮยอวี่ไปได้ถึง 11000 นายได้อย่างไรกัน
ทัพเฮยอวี่แข็งแกร่งมากไม่ใช่เหรอ ทำอะไรกันอยู่ ทำไมถึงได้ปล่อยให้ทัพกระจอกแบบนั้นมาฆ่าตัวเองได้!
เพราะฉะนั้นพวกตระกูลขุนนางจึงคิดว่าข้อมูลที่ได้มานั้นเชื่อถือไม่ได้ พวกเขาสงสัยว่าทัพเฮยอวี่อาจจะกำลังวางกับดักพวกเขาอยู่ก็ได้
แต่ทัพหลงเหมิ่งยังไม่ตาย ผู้นำของพวกเขาได้พาผู้ใต้บังคับบัญชาจากไปอย่างลับๆ เพื่อหลีกเลี่ยงความตายอย่างที่ทัพชิงไซทำ สิ่งที่น่าสนใจกว่านั้นก็คือทั้งทัพฉือเหยียนและทัพหลงเหมิ่งไม่ได้มีความคิดว่าพวกเขาจะสู้จนตัวตาย แต่กลับเลือกที่จะหนีไปแทนตอนแนวป้องกันในทัพถูกทำลายลง
ตอนนั้นเองทัพหลงเหมิ่งที่มีทหารเหลืออยู่ 4000 นายก็หนีออกไปในเมืองที่ห่างไปไกลกว่า 300 กิโลเมตรหลังจากการต่อสู้ที่ช่องเขาเว่ยเป่ย พวกเขามาขอความช่วยเหลือจากขุนนางอย่างดุเดือด ถึงแม้ว่าพวกเขาจะแพ้มาจากที่ช่องเขา แต่พวกเขาก็ยังตั้งใจกลับไปสู้กันต่อ!
ตระกูลขุนนางทั้งหลายยังคงติดต่อกับทัพหลงเหมิ่งอยู่ ตอนนี้ทุกคนก็อยากเอาหน้า พวกเขาก็เลยพยายามดึงทัพหลงเหมิ่งมาเป็นพวก
ดังนั้นพวกขุนนางจึงส่งคนไปขอข้อมูลจากทัพหลงเหมิ่ง พวกเขาอยากจะรู้ว่าข้อมูลที่ได้มานั้นเชื่อถือได้จริงหรือเปล่า และถามพวกเขาว่ารู้จักทัพที่ซ่อนตัวอยู่ในภูเขาไหม
เมื่อผู้นำของทัพหลงเหมิ่งได้รับข้อมูลนั้นมาเขาก็ตะลึงไป มีทัพอยู่ในภูเขาด้วยเหรอ เป็นทัพที่รวมกันระหว่างทัพอู่เว่ยและทัพชิงไซใช่ไหมนั่น
ตอนแรกเมื่อทัพหลงเหมิ่งได้รับข้อมูลมาว่าหลี่ว์ซู่เป็นผู้บัญชาการ พวกเขาก็ไม่ได้มีความหวังมากนัก พวกเขายังได้รับข้อมูลกันมาอีกว่าทัพเฮยอวี่ส่งกำลังสี่หน่วยเข้าไปในภูเขา เพราะฉะนั้นพวกเขาก็จะต้องระวังเอาไว้
แต่ก่อนที่ทัพหลงเหมิ่งจะได้เจอกับหน่วยทั้งสี่ของทัพเฮยอวี่ ทัพหลงเหมิ่งก็พ่ายแพ้ไปแล้วอย่างสิ้นเชิง…
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าทัพเฮยอวี่จะไม่ได้เคลื่อนไหวช้าเกินไป แต่กลับกลายเป็นว่าทัพเฮยอวี่โดยฆ่าตายบนภูเขาไปแล้วต่างหาก!
นี่มันอะไรกันเนี่ย ทัพอู่เว่ยและทัพชิงไซป่าเถื่อนขึ้นมาตั้งแต่ตอนไหนนะ ไปทำอะไรกันมาล่ะเนี่ย!
ไม่มีใครในรัฐทางเหนือรู้เลยว่าทัพเฮยอวี่พ่ายแพ้ไปแล้ว ไม่มีใครรู้ด้วยว่าทัพอู่เว่ยแข็งแกร่งด้วยเช่นกัน แต่พวกเขาก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่าพวกเขาป่าเถื่อนมากกันขนาดไหน…
ไม่มีใครรู้ด้วยว่าทำไมทัพอู่เว่ยและทัพชิงไซถึงได้เป็นทัพที่ป่าเถื่อนขึ้นมาอย่างกะทันหัน
เมื่อผู้บัญชาการทัพหลงเหมิ่งส่งข้อมูลกลับไปในพวกขุนนาง พวกขุนนางก็งงงวยเช่นกัน พวกเขาเคยได้ยินชื่อทัพอู่เว่ยกันมาก่อน พวกทัพนั้นมีแต่คนเร่ร่อน!
แต่ทัพอู่เว่ยเป็นได้แค่ทัพกระจอกให้รัฐทางเหนือไม่ใช่เหรอ ทำไมพวกเขาถึงโจมตีกลับอย่างนั้นได้
พวกขุนนางไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้มาก พวกเขาสนใจว่าพวกเขาจะใช้งานทัพอู่เว่ยได้หรือเปล่าต่างหาก! ถ้าทัพอู่เว่ยแข็งแกร่งขึ้นมาได้อย่างลึกลับแบบนี้ แปลว่าใครที่ได้ครอบครองทัพอู่เว่ยก่อนจะได้ส่วนแบ่งชิ้นโตไปครอง!
จอมทัพสวรรค์เหวินไจ้โฝ่วไม่ค่อยถามเรื่องการต่อสู้ในสนามรบ แต่เขาก็ส่งเสริมและให้รางวัลคนที่กล้าหาญอยู่ตลอด ทัพอู่เว่ยเอาชนะทหารทัพเฮยอวี่ได้เป็นหมื่นนายเช่นนี้ ท่านจอมทัพสวรรค์น่าจะตกรางวัลให้พวกเขาอย่างงามทีเดียว
คืนนั้นพวกขุนนางก็ส่งทาสออกไปที่ภูเขา พวกทาสเดินไปตามภูเขาราชาหลี่ว์เพื่อไปหาทัพอู่เว่ย
พวกเขาอยากจะไปเห็นกับตาว่าทัพอู่เว่ยเป็นอย่างไร และพวกเขาก็อยากจะแข่งขันกันครอบครองทัพอู่เว่ยก่อนใครด้วย
ทัพเฮยอวี่ประจำการอยู่ที่ช่องเขาเว่ยเป่ยและช่องเขาหลีหยาง พวกเขาได้รับมอบหมายให้รักษาความสะอาดภายในและรักษาความปลอดภัยของพื้นที่นี้ด้วย อย่างไรก็ตามพวกฝั่งที่อยู่ช่องเขาหลีหยางอยากจะเดินทางต่อไปทางทิศตะวันออก แต่พวกที่อยู่ฝั่งช่องเขาเว่ยเป่ยกลับรู้สึกไม่ค่อยพอใจ
พวกเขาเดินทางต่อไปทางเหนือไม่ได้ เพราะในภูเขานั่นมีทัพที่แข็งแกร่งอยู่ แล้วจะเดินต่อไปทางเหนืออย่างไรกัน
ทาสของขุนนางจากทางเหนือวิ่งไปในภูเขาเพื่อทำตามแผนของเจ้านายให้สำเร็จ แต่พวกทาสก็ต้องหัวเสียที่พวกเขาไม่รู้ว่าทัพอู่เว่ยอยู่ที่ไหนกันแน่ พวกเขาเลยทำได้แค่ตามหาอย่างช้าๆ
ครึ่งเดือนผ่านไปแล้ว และตอนนั้นเองพวกทาสก็เห็นค่ายทหารอยู่ในภูเขาราชาหลี่ว์
แต่เมื่อพวกเขาเข้าไปใกล้ภูเขาราชาหลี่ว์พวกเขาก็หยุดเดิน เพราะหลิวอี้เจาและหลี่เฮยทั่นกำลังลาดตระเวนบริเวณนั้น
พวกทาสเห็นชายหนุ่มทั้งสองคนยิ้มและพูดคุยกัน พวกเขามีความเย่อหยิ่งเหมือนขุนนาง เมื่อเทียบกับทัพอู่เว่ยกับพวกขุนนางแล้ว ขุนนางเหมือนเป็นผู้สูงส่งจากสวรรค์แต่ทัพอู่เว่ยเป็นเหมือนคนธรรมดาที่อยู่บนดิน ไม่ว่าทัพอู่เว่ยจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ตาม ทาสคนนั้นพูดออกไป “พวกเรามาตามหาผู้บัญชาการของทัพอู่เว่ยเพื่อจะเสนอเงินทองและลาภยศให้เขา”
หลี่เฮยทั่นมองพวกเขากลับด้วยสีหน้าไม่พอใจ “แล้วทำไมท่าผู้ยิ่งใหญ่ของเราจะต้องอยากได้เงินทองและลาภยศจากพวกแกด้วย พวกแกเป็นใคร”
พวกทาสเริ่มอารมณ์ไม่ดี “แล้วแกล่ะเป็นใคร เอาผู้บัญชาการมาพูดกับเราดีกว่า”
หลิวอี้เจายิ้มตอบ “ฉันเป็นหน่วยสอดแนม รู้ใช่ไหมว่าแปลว่าอะไร ฉันดูแลเรื่อง…”
“พวกเรารู้ว่าหน่วยสอดแนมคือใคร” ทาสคนหนึ่งหัวเราะอย่างเย็นชา “ทำไมไม่ไปรายงานผู้บัญชาการอีก ถ้าเขารู้ว่าฉันมาที่นี่เขาจะต้องดีใจแน่”
“ขอโทษทีนะ” หลิวอี้เจาส่ายหัว “พวกคุณต้องเรียนรู้วิธีการพูดกับท่านผู้ยิ่งใหญ่ของเราก่อนที่ฉันจะพาไปหาเขา”
พวกทาสหัวเราะกันออกมา เพิ่งจะเคยเห็นหน่วยสอดแนมที่เย่อหยิ่งขนาดนี้ ถึงพวกทหารจะออกไปสู้รบในสนามรบอย่างกล้าหาญ แต่ในโลกนี้ขุนนางน่ะเป็นเหมือนเทพเลยนะ!
ทาสคนหนึ่งหัวเราะขึ้นมาอย่างน่ากลัว “งั้นให้พวกเราสอนพวกแกว่าต้องพูดยังไงกันดีกว่าไหม!”
มีทาสสองคนที่อยู่ระดับสอง แล้วพวกเขาจะยอมให้หน่วยสอดแนมกระจอกอย่างนี้มาสอนพวกเขาได้อย่างไร
ขณะที่พูดอยู่นั้นพวกทาสก็เข้าไปล้อมหลิวอี้เจาและหลี่เฮยทั่น ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่แข็งแกร่งเท่าไหร่ แต่พวกเขาน่าจะสั่งสอนหน่วยสอดแนมพวกนี้ได้อย่างสบายๆ
หลังจากผ่านไปสิบนาทีหลิวอี้เจาก็มองดูพวกทาสทั้งเจ็ดคนนอนสลบอยู่บนพื้น “ตอนนี้รู้หรือยังว่าจะไปพูดกับท่านผู้ยิ่งใหญ่อย่างไร”
“รู้แล้วครับ รู้แล้ว…”
[ได้รับแต้มจากจังจื้อเหวิน +999]
[ได้รับแต้มจาก…]
ภาพที่หลี่ว์ซู่ยืนสู้กับคนกว่าร้อยๆ คนด้วยสีหน้าใจเย็นนั้นยังตราตรึงอยู่ในใจของหลี่เฮยทั่นอยู่หลายปีทีเดียว หลี่เฮยทั่นได้ยินว่าสาวกที่มีเก่งที่สุดในกระท่อมกระบี่จะถูกเรียกว่าเป็นเทพกระบี่ แต่หลี่เฮยทั่นรู้สึกว่าท่านผู้ยิ่งใหญ่คนนี้นั้นแข็งแกร่งกว่าเทพกระบี่มาก อย่างน้อยก็ในตอนนี้ล่ะนะ!
ในตอนนั้นหลี่ว์ซู่ก็เห็นพวกหลี่เฮยทั่นอยู่ตรงนั้น “จะยืนกันอีกนานไหม เข้าไปโจมตีพวกมันสิ! ไม่เห็นเหรอว่าฉันถูกล้อมอยู่!”
“เอ้อ ครับ!” หลี่เฮยทั่นยกมีดผู่เตาขึ้นมาและนำทุกคนเข้าไปโจมตี
เขารู้สึกเหมือนว่าท่านผู้ยิ่งใหญ่นั้นยังเป็นท่านหัวหน้าหมู่บ้านมังกรฟ้าอยู่ แต่หลี่เฮยทั่นชอบที่เขาเป็นท่านผู้ยิ่งใหญ่มากกว่า… เขาไม่ได้เป็นคนที่ไร้เหตุผลเลย ถ้าเขาบอกให้พวกเขาเข้าไปโจมตี เขาก็จะเข้าไปโจมตีด้วยกับพวกเขา
แต่หลี่เฮยทั่นก็ตกใจเหมือนกัน พวกเขาสู้ทัพเฮยอวี่มาตั้งหลายครั้ง พวกเขาไม่ได้กลัวตายกันสักนิดแม้ว่าจะถูกล้อม การตอบโต้กลับของพวกเขายังแข็งแกร่งมากด้วย ถ้าพวกทัพเฮยอวี่ได้เปรียบในการต่อสู้ พวกเขาก็จะแสดงออกมาอย่างชัดเจน และพวกเขาแต่ละคนก็กล้าหาญอย่างกับเสือ
แต่หลี่เฮยทั่นนั้นก็เห็นได้ว่าพวกที่เข้ามาล้อมหลี่ว์ซู่ดูลังเล พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะมาล้อมหลี่ว์ซู่กันแบบจริงจังเลย!
ท่านผู้ยิ่งใหญ่ของพวกเขาทำทัพเฮยอวี่กลัวเสียแล้ว!
หลี่ว์ซู่จึงทำในสิ่งที่คนอื่นๆ ทำไม่ได้…
หลี่ว์ซู่เป็นคนไม่ค่อยสนใจใครอยู่แล้ว เขาเคยเจอเจ๋อเมิ่งมาก่อน และเขาก็หงุดหงิดมากที่แผนที่ดวงดาวและจุดชี่ไห่ของเขาถูกปิดกั้น ราชันฟ้าคนที่เก้าที่เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของระดับสองได้กลายเป็นเพียงแค่คนธรรมดาเท่านั้น
แต่ตอนนี้เขาได้พลังกลับคืนมาแล้ว อีกอย่างเขาก็ทนทรมานฝึกอย่างหนัก สองสามเดือนที่ผ่านมานั้นเขาฝึกกระบี่ทุกครั้งที่มีโอกาส เขาไม่ได้หยุดพักเลยแม้แค่ครั้งเดียว
เขาฝึกบำเพ็ญมาเพื่อการณ์นี้แหละ พอได้พลังกลับมาก็เหมือนกับเขาได้กุมชะตาของตัวเองแล้ว
เขาเลื่อนขึ้นมาเป็นระดับสองแล้ว ระดับหนึ่งจะอยู่อีกห่างไกลไหมนะ
เขารู้สุกได้ถึงการต่อสู้ระหว่างหลิวอี้เจาและผู้บัญชาการของทัพเฮยอวี่ คลื่นพลังที่ทั้งสองปล่อยออกมานั้นมีแค่ระดับหนึ่งเท่านั้นที่จะทำได้ คลื่นพลังนั้นกว้างใหญ่เหมือนทะเล ราวกับว่ามันสามารถโค่นล้มภูเขาได้
หลี่ว์ซู่อยากรู้ว่าการที่เป็นระดับหนึ่งจะรู้สึกอย่างไร
ในตอนนั้นเองทหารจากทัพเฮยอวี่ก็รู้สึกอ่อนแอไปถนัดตา หลี่ว์ซู่สามารถใช้กิ่งไม้ฆ่าคนได้แบบสบายๆ พลังกระบี่ของเขานั้นน่ากลัวมากและพวกเขาก็ไม่สามารถปกป้องตัวเองได้เลย ทุกคนรู้สึกว่าเมื่อใดที่ชายคนนี้ปลดปล่อยพลังกระบี่ของเขาออกมา พวกเขาก็คงจะไม่รอดแน่ๆ
จนถึงตอนนี้ใบไม้ก็ยังไม่หลุดออกจากกิ่งก้านเลย!
…
คืนนั้นทัพเฮยอวี่ประสบกับความสูญเสียอย่างหนัก ส่วนทัพอู่เว่ยเองก็มีผู้บาดเจ็บอยู่เหมือนกัน แต่เทียบกับการสูญเสียของทัพเฮยอวี่ไม่ได้เลย
แม้ว่าทัพอู่เว่ยจะไม่มีความได้เปรียบทางภูมิประเทศ แต่ตอนนี้ความแข็งแกร่งพวกเขาก็แข็งแกร่งเกินไปมาก และความพยายามอย่างหนักและหยาดเหงื่อทั้งหมดของทหารพวกนี้ได้ส่งผลดีต่อพวกเขาแล้ว
ทัพเฮยอวี่ตัดสินใจถอยทัพ ตอนแรกทหารกว่า 15000 นายเดินเข้ามาในภูเขา แต่หลังจากผ่านเจ็ดวัน ทหารก็เหลืออยู่เพียง 4000 นาย เท่านั้น
ผู้บัญชาการทัพเฮยอวี่รู้ว่าจะเขาจะต้องถูกลงโทษเมื่อตัดสินใจออกไปเช่นนั้น แต่ถ้าพวกเขาไม่หนีกลับมาตอนนี้ พวกเขาก็คงจะไม่มีโอกาสหนีอีกต่อไปแน่!
ตอนแรกทัพนี้มีผู้บัญชาการอยู่ห้าคน แต่ตอนนี้เหลืออยู่สองคนแล้ว ผู้บัญชาการระดับหนึ่งและระดับสองก็ตายไปหมด!
ผู้บัญชาการระดับหนึ่งโดนหลิวอี้เจาฆ่าไป ตอนที่เขาฆ่าผู้บัญชาการไป เขาก็รับรู้ได้ว่ามีคนบนพื้นนั่นเลื่อนเป็นระดับหนึ่งแล้ว…
ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องดีที่ทัพอู่เว่ยมียอดฝีมือระดับหนึ่งเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน แต่การเลื่อนระดับครั้งนี้ก็น่าทึ่งเกินไปแล้ว และเขาก็ไม่รู้ว่าใครที่เพิ่งจะเลื่อนระดับด้วย…
หลิวอี้เจาและคนอื่นๆ เห็นแค่หัวหน้าบาทหลวงเท่านั้น พวกเขาไม่เห็นแอนโทนี่ อย่างว่าแต่จอห์นสันเลย
ดังนั้นหลิวอี้เจาก็รู้สึกปนเปกันแปลกๆ เป็นไปตามที่ราชันคาดไว้ไม่มีผิด เขาซ่อนยอดฝีมือไว้เยอะจริงๆ! ราชันก็ต้องทำอย่างนี้เพื่อสมกับเป็นราชันสินะ!
หลิวอี้เจ้ารู้สึกอย่างนั้น เขาสามารถเป็นหน่วยสอดแนมได้ง่ายขึ้นแล้ว!
ทัพเฮยอวี่กลับมารายงานสถานการณ์ที่ภูเขากับแม่ทัพใหญ่ของพวกเขา ไม่ใช่ว่าพวกเขาอ่อนแอกันหรอก แต่ศัตรูแข็งแกร่งมากต่างหาก อีกอย่างพวกมันก็เจ้าเล่ห์มาก ภูมิศาสตร์เป็นข้อเสียเปรียบอย่างมากสำหรับพวกเขา เนื่องจากพวกเขาหาศัตรูไม่เจอ!
ทุกคนเข้าใจดีว่าหน่วยกองทัพเฮยอวี่ทั้งสี่ปรากฏตัวที่ใด แต่เมื่อหน่วยทั้งห้าเข้าไปในภูเขาด้วยกัน พวกเขาก็กลับพ่ายแพ้อย่างไม่เป็นท่า ผลลัพธ์ออกมาดูไม่ได้ยิ่งกว่าเข้าภูเขากันไปที่ละหน่วยอีก
แต่พวกขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน กองทัพในป่าน่าจะมาสองกองทัพคือทัพอู่เว่ยและชิงไซสิ แต่ทำไมพวกเขาถึงดูเข้ากันได้ดีและดุร้ายกันมาในเวลาเพียงแค่สองเดือนเท่านั้น
แล้วหลี่ว์ซู่ก็ได้ระลอกแต้มอารมณ์มาอีกระลอกใหญ่…
ในความเป็นจริงถ้ามีคน 15,000 คนที่เข้ามาในภูเขาครั้งแรก หลี่ว์ซู่ก็อาจจะเอาทหารอู่เว่ยไปซ่อนก่อนก็ได้ ทัพอู่เว่ยเคยสู้กับทัพชิงไซเพียงครั้งเดียวเท่านั้น พวกเขาไม่ค่อยมีขวัญกำลังใจ และพวกเขาจะต้องสติแตกขวัญเสียกันแน่นอนเมื่อต้องเผชิญหน้ากับกองทัพของตนเองมากกว่าสองเท่า
แต่เมื่อเขาส่งคนออกไปทีละระลอก ก็ทำให้ทัพอู่เว่ยมั่นใจกันมากขึ้น… ทุกคนรู้แล้วว่าตัวเองก็สู้ได้ดีเหมือนกัน
แม่ทัพใหญ่นั่งอยู่ในเต็นท์ที่ช่องเขาเว่ยเป่ย เขาขมวดคิ้วและถามออกไป “พอได้สู้กันแล้ว เจอจุดอ่อนของศัตรูหรือยัง”
ผู้บัญชาการสองคนนั่งคิด “พวกเขาดูจะโลภมากทีเดียว”
“อย่างไรล่ะ” แม่ทัพใหญ่ถามอย่างใจเย็น
“ตอนที่พวกเขาเริ่มสู้กัน พวกเขาไม่ได้ฆ่าใครเลย แต่กลับมาขโมยหอกของพวกเราไปแทน… อีกอย่างในระหว่างการต่อสู้นั้นพวกเขาก็ตะโกนกันว่า ‘อย่าทำลายเกราะของพวกมัน!’ ด้วยครับ” เมื่อผู้บัญชาการพูดเรื่องนี้ออกไปพวกเขาก็ดูโกรธกันใหญ่ พวกเขารู้สึกเหมือนกับตัวเองเป็นปลาบนเขียงให้พวกศัตรูจับเอาไปทำอะไรก็ได้ น่าหดหู่จริง!
แม่ทัพใหญ่ดูงุนงง “พวกเขาสู้กันแบบนั้นเหรอ”
แม่ทัพใหญ่และผู้บัญชาการมองหน้ากัน ผมพูดเรื่องจริงนะ!
“แล้วพวกเขามีจุดอ่อนอะไรอีกไหม” แม่ทัพใหญ่ถาม
“ก็ไม่เชิงว่าเป็นจุดอ่อนหรอกครับ แต่เป็นนิสัยของพวกเขามากกว่า” ผู้บัญชาการตอบกลับอย่างลังเล “พวกเขาชอบร้องเพลงกันตอนสู้ แล้วพวกเขาก็ร้องเพลงนี้ดังในภูเขาตอนทะเลาะกันอีกด้วยครับ”
“เดี๋ยวก่อน ทัพนี้มีผู้หญิงด้วยงั้นหรือ” แม่ทัพใหญ่รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง
“ไม่มีครับ ก็แค่ลุงสองคนร้องเพลงด้วยกัน…” เมื่อผู้บัญชาการคิดเรื่องนี้ออกเขาก็รู้สึกขนลุกไปหมด
แม่ทัพใหญ่นั่งอย่างใจเย็นบนเก้าอี้ เขาขมวดคิ้วและครุ่นคิด “ทัพนี้มีแต่เรื่องแปลกๆ เอาล่ะ ทั้งสองคนจบงานได้ รัฐทางตะวันตกจะจ่ายค่าส่วนแบ่งให้คนละ 30% ถ้าไม่พอใจก็เอาไปรายงานกับท่านจอมทัพสวรรค์เอง”
ระดับหนึ่งทั้งสองคนรับใช้ตวนมู่หวงฉี่ซึ่งเป็นจอมทัพสวรรค์บูรพา เมื่อพวกเขานำทัพออกไปพวกเขาก็ออกไปเปิดอาณาเขตใหม่ๆ ด้วย และจอมทัพสวรรค์ก็สัญญาจะจ่ายส่วนแบ่งและรางวัลตอบแทนให้
แต่ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรต่ออีก เพราะพวกเขาก็เพิ่งแพ้ในการต่อสู้ครั้งแรกมา พวกเขาจะไม่ได้ผลประโยชน์อะไรมาเลยถึงพวกเขาจะเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาท่านจอมทัพสวรรค์บูรพาก็ตาม ที่จริงจอมทัพสวรรค์บูรพาอาจจะคิดว่าพวกเขาไร้ประโยชน์มากก็ได้
ผู้บัญชาการทั้งสองตอบกลับ “ท่านผู้นำของเราเป็นคนยุติธรรมกับเรื่องนี้อยู่แล้วครับ เราทั้งสองไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ถ้าไม่มีอะไรแล้วพวกเราก็ขอตัวก่อน”
“ไปเถอะ” แม่ทัพใหญ่มองดูพวกเขาจากไป จากนั้นเขาก็นั่งคิดหนักในเต็นท์ต่อว่าเขาจะรับมือกับพวกที่ซุ่มโจมตีในภูเขาอย่างไร
เขาบัญชาการทัพเฮยอวี่ให้จอมทัพสวรรค์บูรพามากว่าร้อยปี แต่นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาเจอทัพแปลกๆ เช่นนี้!
หลี่ว์ซู่แกว่งกิ่งไม้ในมือและเดินออกไปจากถ้ำหินปูน เขาหันมาถามจางเว่ยอวี่ “อะไรอะ นายจะมาดูถูกกิ่งไม้ของฉันงั้นเหรอ อย่าได้ประมาทเชียวล่ะ อันนี้ใช้ฆ่าคนได้นะ”
จางเว่ยอวี่พูดไม่ออกเลย ถึงแม้ว่าพวกเขาจะใช้วิชาไม่เหมือนกัน แต่หลี่ว์ซู่ก็คล้ายกับคนคนนั้นตอนที่เขาโอ้อวดมากทีเดียว จางเว่ยอวี่ตอบกลับอย่างดูถูกว่า “ของที่ไม่ใช่อาวุธก็ไม่ใช่อาวุธอยู่วันยังค่ำนั่นแหละ ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมนายถึงใช้กิ่งไม้ทั้งๆ ที่นายก็มีอาวุธที่แท้จริงอยู่แล้ว!”
หลี่ว์ซู่หัวเราะอย่างร่าเริง “นี่คิดจริงๆ เหรอว่าฉันไม่มีอาวุธอะไรเลย ฉันทิ้งอาวุธของฉันไว้ที่บ้านเกิดโน่น เดี๋ยวฉันก็จะกลับบ้านไปสักวันแหละ ว่าแต่เมื่อก่อนนายใช้อาวุธอะไรเหรอ กระบี่ หรือมีด หรือหอก”
หลี่ว์ซู่ถามคำถามง่ายๆ แต่เขาเห็นว่าจางเว่ยอวี่ใจลอยไปไหนไม่รู้แล้ว!
หลิวอี้เจากำลังสู้กับผู้บัญชาการทัพเฮยอวี่บนท้องฟ้า การต่อสู้ของพวกเขาขยายวงกว้างและรุนแรง คลื่นพลังจากบนฟ้าถูกส่งลงมายังพื้นดิน จนกระทั่งต้นไม้ใหญ่ๆ ที่แข็งแรงก็เกือบจะโค่นลงได้
ทหารจากทัพเฮยอวี่และทัพอู่เว่ยมุ่งหน้าออกมาจากบริเวณนั้นเป็นการใหญ่ พวกเขาเข้าไปช่วยอะไรไม่ได้มาก และพวกเขาก็ไม่อยากจะเจ็บตัวจากการโดนลูกหลงด้วย
หลิวอี้เจาได้เปรียบในการสู้กับผู้บัญชาการเฮยอวี่อยู่เสมอ เคล็ดวิชาที่ราชาแห่งทวยเทพองค์เก่ามอบให้พวกเขาทำให้จางอวี่เว่ยนั้นไม่ใช้เคล็ดวิชาของครอบครัวอีกเลย และมันก็มีจุดแข็งในตัวเองอยู่
ระหว่างที่พวกเขาต่อสู้อยู่นั่นเอง ผู้บัญชาการก็ตระหนักได้ว่าเขาบินตามหลิวอี้เจาไม่ทันถึงแม้ว่าเขาจะใช้คลื่นพลังจิตวิญญาณมากแค่ไหนก็ตาม เพราะมีความแตกต่างของเคล็ดวิชาอยู่มาก
ผู้บัญชาการทัพเฮยอวี่หันหลังกลับและบินหนีไป ในขณะที่หลิวอี้เจากำลังบินตามไปอยู่นั้น ผู้บัญชาการก็สวนกลับมาโจมตีเขาแบบไม่ทันให้ตั้งตัว มีตราประทับงูหลามขนาดใหญ่ปรากฏอยู่ที่ด้านหลังของเขา จากนั้นก็มีหอกพุ่งเข้าใส่ตัวของหลิวอี้เจา
แต่หลิวอี้เจากลับไม่สะทกสะท้านและเขาก็ยิ้มตอบ
“ฉันก็คิดว่าแกจะหนีไปเสียอีก” หลิวอี้เจาพูดด้วยรอยยิ้ม จากนั้นเขาก็าบิดหอกในมือของเขา หอกที่ทำจากทองเล่มนั้นแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยทันที เผยให้เห็นว่ามีกระบี่อีกเล่มซ่อนอยู่ในหอกนั้น!
ก่อนที่ผู้บัญชาการทัพเฮยอวี่จะได้เห็นกระบี่ให้ชัดๆ กระบี่นั้นถูกแยกออกและแบ่งออกเป็นเจ็ดชิ้นด้วยกัน! แต่ละชิ้นไม่ได้ด้วยเหมือนกระบี่เดิมอีกต่อไป ราวกับว่ามีคนมาออกแบบแต่และเล่มใหม่ และกระบี่เล่มนี้ก็คมมาก!
เมื่อบัญชาการทัพเฮยอวี่เห็นแบบนั้น เขาก็รู้สึกเหมือนวิญญาณกำลังหลุดออกจากร่าง “เทียนเซี่ยเฉา! นี่มันเป็นอาวุธที่เรียกว่าได้เป็นกระแสน้ำของโลกเลยนี่! พวกขุนนางทำลายไปนานแล้วไม่ใช่หรือ ทำไมยังมาอยู่ในมือแกได้!”
ในขณะเดียวกันนั้นที่ถ้ำหินปูน จางเว่ยอวี่ก็หันไปมองหลี่ว์ซู่แล้วยิ้มออกมา “นี่นายกำลังทดสอบฉันอยู่ใช่ไหม แต่ไม่ต้องมากอะไรหรอกนะ ถ้าเรารู้ว่าเมื่อก่อนเราใช้อาวุธอะไรมา เราก็คงจะรู้ตัวตนของกันและกันเป็นแน่”
จางเว่ยอวี่พูดไว้อย่างชัดเจน เมื่อหลี่ว์ซู่รู้ตัวตนของพวกเขาและเอาเรื่องมาปะติดปะต่อได้แล้ว พวกเขาก็จะต้องลงเรือลำเดียวกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะเจอเหตุการณ์อะไรก็ตาม
“เฮ้อ ชักเริ่มไม่อยากรู้ขึ้นมาแล้วล่ะสิ” หลี่ว์ซู่โบกกิ่งไม้ในมือและเดินหนีไป
ทันใดนั้นจางเว่ยอวี่ก็พูดขึ้นมา “อาวุธของเราเรียกว่าเทียนเซี่ยเฉาหรือกระแสน้ำของโลก เป็นกระบี่ที่ราชาแห่งทวยเทพองค์ก่อนมอบให้พวกเรา!”
“ก็เพิ่งบอกไปว่าไม่อยากรู้อยู่หยกๆ “หลี่ว์ซู่มองหน้าจางเว่ยอวี่อย่างไร้อารมณ์
“แต่ละโลกในเทียนเซี่ยเฉาจะแบ่งออกเป็นเจ็ดส่วนด้วยกัน แต่ละชิ้นส่วนนั้นเป็นวัตถุเวทมนตร์ที่มีค่ามาก” จางเว่ยอวี่ยิ้ม “ทีนี้นายก็น่าจะรู้ตัวตนของเราแล้วนะ”
หลี่ว์ซู่มองสีหน้าฉงนของจางเว่ยอวี่ เขาเงียบไป “นี่นายเป็นใครกันแน่เนี่ย!”
หลู่ว์ซู่รู้สึกงุนงง ทำไมจางเว่ยอวี่ถึงทำเหมือนว่าหลี่ว์ซู่จะต้องรู้ตัวตนของเขาในทันทีเมื่อพูดชื่ออาวุธ ‘เทียนเซี่ยเฉา’ ออกมาล่ะ หลี่ว์ซู่จะไปรู้ได้อย่างไรล่ะ!
[ได้รับแต้มจากจางเว่ยอวี่ +199]
“ทำไมจะต้องเรียกนี่ว่ากระแสน้ำของโลกด้วยล่ะ” หลี่ว์ซู่ถามอย่างสงสัย
จางเว่ยอวี่ค่อยๆ ปรับลมหายใจของเขาอย่างยากลำบาก เมื่อเขามองหลี่ว์ซู่ดีๆ อีกครั้งก็พบว่าเขาไม่ได้ล้อเล่นจริงๆ ด้วย หลี่ว์ซู่ไม่เคยได้ยินมาก่อน จางเว่ยอวี่สับสนมาก นี่หลี่ว์ซู่มาจากโลกไหนกันแน่เนี่ย!
ถึงแม้ว่าจางเว่ยอวี่จะเป็นทหารจักรพรรดิมาก่อน ก็มีแต่ปรมาจารย์หุ่นเชิดเท่านั้นที่รู้เกี่ยวกับการมีอยู่ของดาวโลก เพราะฉะนั้นเขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมหลี่ว์ซู่ถึงไม่เคยได้ยินอาวุธที่แสนจะโด่งดังอย่างเทียนเซี่ยเฉา
เขาสูดหายใจเข้าลึก “ก็เพราะว่าตอนที่ใช้เทียนเซี่ยเฉานั้นมันจะแตกออกเป็นส่วนๆ เหมือนกระแสที่ปกคลุมโลกอย่างไรล่ะ… มันเอาไว้ฆ่าระดับปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ได้ด้วยนะ!”
หลี่ว์ซู่คิดตาม “เยี่ยมไปเลย”
จางเว่ยอวี่รู้สึกว่าคำชมของหลี่ว์ซู่ไม่ได้ทำให้เขาดีใจเลย ทำไมไม่รู้อะไรบ้างเลยนะ!
หลี่ว์ซู่หันหลังและเดินออกไปอย่างสบายๆ เขาโบกกิ่งไม้พร้อมหันหลังให้จางเว่ยอวี่ “เอาล่ะ เข้าใจแล้วว่าพวกนายเก่งกันจริงๆ ”
“เดี๋ยวสิ รอก่อน! ขอพูดต่อว่าเมื่อก่อนเราเก่งมากขนาดไหนก่อนสิ… กลับมานะ!” จางเว่ยอวี่รู้สึกไม่พอใจมาก ทำไมเขาจะต้องกลั้นอารมณ์โกรธทุกครั้งที่เขาพูดกับชายหนุ่มคนนี้ด้วยนะ!
[ได้รับแต้มจากจางเว่ยอวี่ +699]
ทัพเฮยอวี่กำลังคิดว่าจะรับมือกับทัพอู่เว่ยที่เข้ามาซุ่มโจมตีได้อย่างไร เพราะพวกเขาจะมาเสี่ยงโดนโจมตีทั้งกลางวันและกลางคืนไม่ได้ ทันใดนั้นก็มีกลุ้มทัพเฮยอวี่เดินเข้าไปในป่าเพื่อพูดคุยอะไรบางอย่าง ทหารที่ทำตัวดูลึกลับพวกนั้นมีรอยสีขาวอยู่บนหน้าด้วย เขาเห็นว่าพวกศัตรูทาสีขาวบนหน้า พวกเขาก็เลยทาสีขาวบนหน้าเพื่อหลอกล่อศัตรู
ทุกคนคิดว่าวิธีนี้เป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่พวกเขาไม่มีวิธีอื่นๆ ใช้กันแล้ว พวกเขาจะต้องลองทุกอย่างที่พอจะใช้ได้
ตกดึกคืนนั้นกลุ่มทหารจากทัพเฮยอวี่ที่ยังไม่เคยโดนโจมตีก็ใช้เวลาหาก้อนหินที่มีสีคล้ายกับรอยสีขาวนั้นอยู่นาน จากนั้นพวกเขาก็บดหินให้เป็นผงและทาไปบนหน้า
ไม่นานหลี่เฮยทั่นและคนอื่นๆ ก็ถือมีดผู่เตาวิ่งพุ่งออกมาจากถ้ำ
เมื่อทัพเฮยอวี่เห็นหลี่เฮยทั่นและคนอื่นๆ พวกเขาก็ตกตะลึง “ทำไมพวกแกไม่มีรอยสีขาวบนหน้าล่ะ!”
หลี่เฮยทั่นและคนอื่นๆ มองหน้ากัน เขาเงียบไปสักครูแล้วตอบว่า “เราลืมน่ะ…”
ทัพเฮยอวี่พูดไม่ออกกันเลย ลืมเรื่องสำคัญแบบนี้ในสงครามเนี่ยนะ! ใครเป็นคนสั่งการพวกแกเนี่ย! เราเสียเวลาหาสีขาวมาทาหน้ากันตั้งนาน แล้วพวกแกก็ลืมกันง่ายๆ เลย
ทัพเฮยอวี่โกรธเล็กน้อย “แล้วตอนสู้พวกแกก็ประมาทกันแบบนี้น่ะเหรอ”
ก็จริงอย่างที่มันว่า พวกเขาประมาท แต่แล้วยังไงล่ะ
หลี่เฮยทั่นได้ยินอย่างนั้นก็ไม่พอใจขึ้นมา “แกจะมาตั้งคำถามพวกเราเรื่องรอยสีขาวนี่จริงๆ นะเหรอ ท่านผู้ยิ่งใหญ่ของเรายังไม่สนใจเลย แล้วแกจะมาสนใจทำไม พี่น้องทั้งหลาย ฆ่ามันเลย!”
แล้วทัพเฮยอวี่กลุ่มนั้นก็ตายกันหมด
ตั้งแต่ทัพอู่เว่ยรู้ว่าตัวเองแข็งแกร่งกว่าทัพอื่นๆ พวกเขาก็ยิ่งทำตัวดุร้ายกันมากขึ้น…
ทันใดนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงครวญครางดังมาจากทางทิศตะวันตก พวกเขาตัดสินใจไปที่ทิศทางนั้นทันที แต่ก่อนที่พวกเขาจะไปถึงเขาก็เห็นหลี่ว์ซู่ถือกิ่งไม้ไว้ในมือ เขาโดยทัพเฮยอวี่ล้อมไว้ แต่เขาดูใจเย็นและไม่สะทกสะท้าน
พลังกระบี่ของเขาก่อตัวขึ้นมา และพลังนั้นก็สามารถทำลายป่าและทัพเฮยอวี่ได้จนหมด
หลิวอี้เจาเดินเข้าไปในภูเขาราชาหลี่ว์ในคืนที่มืดมิด เขามีท่าทีสบายๆ ก่อนหน้านี้เขาแทบจะไม่ได้พักเลยเพราะจะต้องแบกรับหน้าที่มีหลายปี เขาไม่สามารถประมาทได้เลยแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว
ตั้งแต่ตอนนั้นก็ผ่านมาแล้ว 18 ปี เขาไม่เคยได้มีชีวิตอยู่เพื่อตัวเองอีกเลย แต่ต้องอยู่เพื่อภาระหน้าที่
มีชั้นขุนนางผู้หญิงและเจ้านายทาสมาตามจีบเขาเหมือนกัน แต่หลิวอี้เจาเลือกที่จะอยู่คนเดียว เขากลัวว่าเขาจะโพล่งความลับของเขาออกไปอย่างไม่รู้ตัวตอนนอน
สิ่งที่เขาคิดถึงมากที่สุดคือช่วงเวลาที่เขาเป็นทหารมังกรจักรพรรดิ ตอนนั้นไม่มีปัญหาอะไรให้ต้องขบคิดมาก ก็แค่ทำตามความสั่งที่ราชันสั่งให้ทำ พวกเขาก็เลยไม่ต้องคิดอะไรให้เปลืองสมอง
ราชันไม่เคยปฏิบัติต่อผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาอย่างไม่ยุติธรรมในเรื่องเกียรติยศ ญาติมิตร และชีวิตคน
ทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นไปได้ดี และดูเหมือนว่าเขาจะสามารถกลับมาเป็นเบี้ยล่างได้อีกครั้งโดยไม่ต้องกังวลใดๆ เขาชอบงานสอดแนมของเขาในตอนนี้มาก
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่ามีคนจ้องมองเขาอยู่ตลอดเวลาหลังจากเขาเลื่อนระดับขึ้นมาเป็นระดับหนึ่งแล้ว
แต่เมื่อเขาหันไปดูแล้วก็ตกใจมาก เขาเห็นหน่วยสอดแนมจากทัพเฮยอวี่สองสามคน ดูเหมือนว่าพวกเขายังไม่เห็นหลิวอี้เจาและกำลังจะเดินออกไปแล้ว…
เขาอดเคืองไม่ได้แต่เขาต้องท่องในใจว่าพวกนั้นไม่ได้เข้ามายุ่งอะไรกับเขา… พวกนั้นไม่ได้เข้ามายุ่งอะไรกับเขา…
หน่วยสอดแนมของทัพเฮยอวี่พึมพำในใจเช่นกัน ฉันไม่เห็นแก…ฉันไม่เห็นแก… แต่ก็สายไปเสียแล้ว…
เมื่อพวกหน่วยสอดแนมทัพเฮยอวี่เห็นหลิวอี้เจาบินมาทางพวกเขา พวกเขาก็รู้สึกว่าทัพที่ซ่อนตัวอยู่บนภูเขานั้นทำตัวไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย ปรมาจารย์ระดับหนึ่งสามารถรับรู้ถึงคนที่มองเขาได้ ทำให้ปรมาจารย์ระดับหนึ่งพวกนี้ตามหาศัตรูเจออยู่ตลอด
พวกเขาจะมัวแต่เหลือบมองศัตรูแค่หางตาไม่ได้ ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะมาเป็นหน่วยสอดแนมทำไม…
หน่วยสอดแนมทัพเฮยอวี่ดึงเอาหลอดกระดาษออกมาก่อนที่พวกเขาจะตาย พาเปิดฝาหลอดนั้นออกก็มีประกายไฟสีแดงพุ่งออกมาจากหลอดนั้น จากนั้นพวกเขาก็พยายามโยนหลอดขึ้นไปฟ้า พวกเขาหวังว่าจะมีทัพเฮยอวี่อยู่ใกล้ๆ มาเห็นสัญญาณที่พวกเขาส่งไปและเข้ามาฆ่าหลิวอี้เจาเสีย
เชาใช้พลังของระดับสี่ที่มีในการโยนหลอดนั้นขึ้นไปประมาณร้อยเมตรเพื่อให้คนที่อยู่แถวนั้นได้เห็น
แต่ก่อนที่หลอดนั้นจะลอยขึ้นสูงไปเหนือต้นไม้ พวกเขาก็โดนหลิวอี้เจาฆ่าตายเสียแล้ว
หน่วยลาดตระเวนสิ้นหวังกันมาก สถานการณ์นี้มันไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด!
ในขณะเดียวกันนั้นเองทัพเฮยอวี่ก็กำลังเตรียมตัวสำหรับการรบ ทัพอู่เว่ยเองก็ไม่ได้นั่งเฉยๆ เช่นกัน พวกเชาใช้ประโยชน์จากภูมิประเทศให้ดีที่สุด
ทัพเฮยอวี่ไม่กล้าจะเข้าไปในถ้ำหินปูน วันนั้นทัพเฮยอวี่ก็เลยได้สลับกันพักผ่อนอย่างไม่ต้องกังวล แต่พวกทัพเฮยอวี่เองจะมาพักผ่อนอย่างสบายใจไม่ได้ พวกเขาจะต้องเฝ้ายามกันตลอดเพื่อไม่ให้ทัพอู่เว่ยมาซุ่มโจมตี
พอตกกลางคืนทหารทัพเฮยอวี่จะต้องบังคับให้ตัวเองตื่นตัวอยู่เสมอ ในขณะที่ทัพอู่เว่ยมีกำลังวังชาแบบเต็มพลัง!
โดยปกติแล้วทัพอู่เว่ยจะไม่ให้ใครออกไปไหนในยามวิกาล พวกเขาเลยไม่ค่อยมีกิจกรรมทำให้ตอนกลางคืน และพวกเขาก็เป็นเหมือนเด็กที่ตื่นเต้นก่อนในคืนก่อนปีใหม่ ในที่สุดพวกเขาก็ตื่นกันแบบไม่ต้องฝึกตลอดเวลาได้เสียที พวกเขาไม่ได้รู้สึกง่วงนอนกันเลย หนำซ้ำยังอยากจะจุดประทัดเล่นกันอีกด้วย!
โลกนี้ก็มีการฉลองปีใหม่เช่นกัน ราชาแห่งทวยเทพองค์เก่ากำหนดว่าวันแรกของเดือนจันทรคติจะถือว่าเป็นวันปีใหม่ ทุกอย่างจะเริ่มต้นใหม่อย่างสดใส และทุกคนสามารถลืมปีเก่าเพื่อเปลี่ยนเข้าปีใหม่ได้
ทัพอู่เว่ยจึงถูกส่งตัวออกไปกลางดึก คนที่ต้องซุ่มโจมตีในตอนกลางวันก็เริ่มมาพักผ่อนกันได้เพื่อรอรุ่งเช้าของวันต่อไป
ถึงแม้หลี่ว์ซู่จะบอกว่ากลยุทธ์ของทัพอู่เว่ยทั้งคือเป็นแบบไม่มีกลยุทธ์ แต่ในความเป็นจริงแล้วพวกเขาไม่ได้ไร้กลยุทธ์โดยสิ้นเชิง พวกเขาแบ่งกันออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกจะติดตามหลิวอี้เจาและแอนโทนี่ไป ส่วนคนอื่นๆ จะตามหลี่ว์เสี่ยวอวี๋และหัวหน้าบาทหลวง
ส่วนหลี่ว์ซู่หายตัวไปในป่าแล้ว เขาตัดสินใจที่จะลองดูผลลัพธ์จากการออกไปฝึกคนเดียวเสียหน่อย
จางเว่ยอวี่อยากจะบอกให้หลี่ว์ซู่หยุดทำแบบนั้นได้แล้ว เพราะถ้าหลี่ว์ซู่ถูกปรมาจารย์ระดับหนุ่งซุ่มโจมตีเข้า พวกเขาก็จบกันแน่ๆ
หลี่ว์ซู่เป็นเหมือนเสาหลักของทัพอู่เว่ยที่เอาไว้ให้ขวัญกำลังใจทุกคน ถ้าหลี่ว์ซู่ตายไปทุกสิ่งทุกอย่างก็ไม่เหลืออะไรแล้ว
แต่เมื่อเขาเห็นสีหน้าของหลี่ว์ซู่แล้วเขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติไป เขาเห็นสีหน้าที่มั่นใจของหลี่ว์ซู่อย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน จางเว่ยอวี่ถามออกไปอย่างสงสัย “นี่อยู่ระดับสองแล้วใช่ไหม”
“ใช่แล้วล่ะ” หลี่ว์ซู่พยักหน้า
“ถึงจะอยู่ระดับสองแล้วแต่ก็เอาชนะระดับหนึ่งไม่ได้หรอกนะ” จางเว่ยอวี่กล่าว
“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกน่า ฉันรู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่” หลี่ว์ซู่ยิ้มตอบ
จางเว่ยอวี่ตระหนักได้ว่าหลี่ว์ซู่ไม่ได้กลัวเลยสักนิด เขาไม่ได้ดูขาดความมั่นใจเหมือนกับผู้บำเพ็ญคนอื่นๆ ที่เพิ่งจะเลื่อนระดับเลย ว่ากันว่าการฝึกบำเพ็ญนั้นเป็นเหมือนการขึ้นมารับตำแหน่ง เมื่อมีใครเลื่อนระดับขึ้นมาเป็นระดับหนึ่งแล้ว ก็เหมือนกับว่าได้ขึ้นมารับตำแหน่งเจ้าเมือง คนคนนั้นไม่เคยเป็นเจ้าเมืองมาก่อน ไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวอย่างไร เพราะฉะนั้นจะต้องค่อยๆ ทำตัวให้ชินกับตำแหน่งใหม่ไป
การฝึกบำเพ็ญก็เหมือนกัน หลังจากที่มีใครเลื่อนระดับขึ้นมาแล้ว พวกเขาไม่รู้ว่าความสามารถของตัวเองได้พัฒนาไปไกลแค่ไหน ดังนั้นจึงมีบ้างที่ผู้คนจะแสดงท่าทีลังเลเมื่อเจอกับศัตรู
แต่เรื่องแบบนี้ดูจะไม่เกิดกับหลี่ว์ซู่เลยสักนิด
จางเว่ยอวี่ถามออกไปอย่างใจเย็น “เมื่อก่อนนายเคยเลื่อนมาเป็นระดับนี้แล้วเหรอ”
หลี่ว์ซู่ชะงักไปนิดหนึ่ง เขามองจางเว่ยอวี่กลับแล้วยิ้มตอบ “ใช่แล้วล่ะ นี่ไม่ใช่ความลับอะไรหรอก ตอนแรกที่เราเขอกันความสามารถของฉันตกลงมาเหลือระดับต่ำสุดเลยนะ แต่ฉันเคยฝึกบำเพ็ญมาก่อนหน้านี้แล้วล่ะ”
หลี่ว์ซู่สารภาพตรงๆ ออกไปเพราะเขาเข้าใจสถานการณ์นี้ดี ในอนาคตเขาก็อยากจะปลดล็อกแผนที่ดวงดาวเช่นกัน เดี๋ยวจางเว่ยอวี่ก็รู้เข้าสักวันเอง
จางเวยอวี่เข้าใจทุกอย่างแล้ว งั้นชายหนุ่มคนนี้ก็เป็นยอดฝีมืออยู่แล้วน่ะสิ
แต่จางเว่ยอวี่กลับมีอีกคำถามผุดขึ้นมาในหัว แล้วชายคนนี้มาจากไหนกัน ทำไมเขาถึงแข็งแกร่งได้ขนาดนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย อีกอย่างหลี่ว์เสี่ยวอวี๋เองก็เหมือนจะซ่อนความลับไว้มากมาย
จางเว่ยอวี่เดาคำตอบที่ดูจะเป็นไปไม่ได้มากที่สุด และเป็นคำตอบที่เขาหวังว่าจะได้ยินด้วย ที่สุดแล้วตอนนั้นหลี่ว์ซู่ก็ปรากฏตัวอยู่ในพื้นที่อ่อนไหวอย่างทุ่งหญ้าล่ะนะ
แต่ปัญหาอยู่ตรงที่ท่าทีที่หลี่ว์ซู่แสดงออกมานั้นไม่ได้เป็นไปทางเดียวกันกับคำตอบที่เขาบอกมาเลย ตราบใดที่หลี่ว์ซู่แสดงลักษณะเฉพาะอะไรบางอย่างออกมา จางเว่ยอวี่ก็อาจจะคาดเดาได้บ้าง แต่เขากลับไม่ได้แสดงอะไรออกมา
หลี่ว์ซู่เดินออกไปจากถ้ำหินปูน เขาไม่ได้ถือกระบี่ไปด้วย แต่กลับมีแค่กิ่งไม้ในมือเท่านั้น
หลี่ว์ซู่ไม่ได้ไปหักกิ่งไม้ออกมาเองด้วย เขาแค่เดินและฮัมเพลง จากนั้นใบไม้บนกิ่งไม้ทั้งหลายก็โอนเอนตามเขาไป จางเว่ยอวี่พูดไม่ออก นี่ถือว่าเป็นอาวุธของเขาหรือเปล่านะ เขาเป็นคนที่น่าทึ่งโดยเนื้อแท้หรือว่าความมั่นใจที่เขามีนั้นมีจากทักษะที่สุดยอดกันล่ะเนี่ย
แต่อย่างไรชายหนุ่มที่ยืนอยู่ในแสงจันทร์คนนี้ก็มีพลังกระบี่อยู่เต็มปรี่ เหมือนกับว่าเขาฝึกฝนตัวเองมาเพื่อฆ่าใครบางคนโดยเฉพาะ
ตอนนั้นเองผู้บัญชาการของทัพเฮยอวี่ก็โฉบบินขึ้นฟ้าไป เขามีหอกอยู่ในมือและกำลังเล็งไปที่ภูเขา ทหารที่อยู่ข้างใต้เขาตายกันอย่างต่อเนื่อง เขาเต็มไปด้วยความชั่วร้าย และเขาอยากจะทำลายภูเขาตรงหน้าให้สิ้นไป รวมถึงไอ้ถ้ำหินปูนบ้าๆ ในภูเขานั่นด้วย!
เขารู้ดีว่าความแข็งแกร่งของเขานั้นสามารถทำลายภูเขาได้ แต่ก็เป็นไปได้ว่าเขาอาจจะใช้พลังเกินขีดจำกัดถึงขั้นอันตราย เขาจะต้องหาสถานที่ให้ทหารของเขาพักผ่อนได้เสียที เขาไม่อยากจะกังวลว่าทัพอู่เว่ยจะกระโดดออกมาจากหลุมไหนอยู่ตลอดเวลา
แต่ก่อนที่เขาจะโจมตีออกไป เขาก็เจอหลิวอี้เจาหยุดเขาไว้ได้ก่อน ทั้งสองบินขึ้นบนในท้องฟ้า หลิวอี้เจารู้สึกได้ว่าในที่สุดเขาก็ฆ่าคนได้โดยไม่ต้องกังวลกับสถานการณ์สักที เขาไม่จำเป็นต้องเสียสมาธิในการสั่งการเหมือนกัน ตอนนี้เหมือนกับว่าเขาได้กลับไปเป็นทหารมังกรจักรพรรดิอีกครั้งแล้ว
ด้วยความที่หลิวอี้เจาแข็งแกร่งมาก เขาจึงถูกส่งไปประจำอยู่เป็นทหารมังกรจักรพรรดิ และเมื่อเขาเป็นทหารมังกรจักรพรรดิ เขาก็เป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่งเท่านั้น
หลังจากการโจมตีครั้งแรก ทัพเฮยอวี่พยายามแกะรอยพวกเขา พวกเขาต้องการรู้ว่าทหารลึกลับเหล่านี้ปรากฏตัวมาจากไหน
เมื่อทัพเฮยอวี่จริงจัง แม้ว่าทางเข้าสู่ถ้ำหินปูนจะถูกซ่อนไว้อย่างดี แต่นั่นก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาของพวกเขาไปได้
เมื่อผู้บัญชาการทัพเฮยอวี่เห็นทางเข้าถ้ำ พวกเขาก็อ้าปากค้างด้วยความตกใจ ทหารเหล่านั้นปรากฏตัวจากที่นี่จริงหรือ ข้างในนั้นมีอะไรอยู่กันแน่
เขาส่งทหารสองหน่วย หน่วยละห้าคนเข้าไปในถ้ำ แต่อู่เว่ยไม่ได้จากไปไหน พวกเขารอให้ทัพเฮยอวี่เข้าไปในถ้ำ ดังนั้นทหารเหล่านี้จากทัพเฮยอวี่จึงถูกกำจัดเช่นกัน…
สีหน้าของผู้บัญชาการมืดครึ้มลง เขาสูญเสียคนเกือบสี่ร้อยคนจากการโจมตีครั้งเดียว แต่ไม่มีทหารจากกองทัพศัตรูแม้แต่คนเดียวที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง ช่างน่าอับอายเสียจริง!
ในครั้งนี้ เขาพากลุ่มของเขาเข้าไปในถ้ำด้วยตัวเอง ทัพอู่เว่ยได้รับข่าวจากใครบางคนและแยกย้ายกันไป พวกเขาหลบหนีไปในเส้นทางต่างๆ กว่าสิบเส้นทาง…พวกเขาแยกย้ายกันไปไกล ไม่มีทางที่จะไล่ตามพวกเขาได้เลย!
ผู้บัญชาการสังเกตถ้ำอย่างระมัดระวัง พูดตามตรง นี่เป็นครั้งแรกของเขาที่ได้เห็นสถานที่แบบนี้ หินงอกหินย้อยที่แปลกและขรุขระทำให้ที่นี่ดูเหมือนเป็นนรก ทหารจากทัพเฮยอวี่คนหนึ่งพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “นี่ใช่นรกหรือเปล่า…ดูสิ พวกเขาสวมชุดเกราะจากของทัพเฮยอวี่ พวกเขายังมีอาวุธของทัพเฮยอวี่ เพียงแต่พวกเขามีรอยสีขาวบนใบหน้าเท่านั้น สหายของเราที่หายตัวไปไม่ใช่ว่าถูกกลืนหายไปในนรกนี้หรอกเหรอ หลังจากนรกได้รับพลังของพวกนั้น ก็จะออกมาคร่าชีวิตมากขึ้นอีกใช่ไหม”
การวิเคราะห์นี้สมเหตุสมผล นอกจากนี้ อีกสี่ทีมที่เหลือของทัพเฮยอวี่ก็หายตัวไปอย่างลึกลับ มีการกล่าวถึงเรื่องนี้ในแง่ร้าย ในตอนนั้น มีคนพูดติดตลกว่าทั้งสี่ทีมที่หายตัวไปอาจถูกภูเขากินเข้าไป เพราะไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาหายไปไหน
ดังนั้นความคิดเห็นเหล่านี้ จึงทำให้ภูเขากลายเป็นสถานที่ลี้ลับ
ทันใดนั้น พวกเขาก็เห็นคนที่แข็งแกร่งกว่าสวมชุดเกราะของทัพเฮยอวี่…
ตามหลักเหตุผลแล้ว ถ้าพวกเขาแข็งแกร่งมาก พวกเขาก็จะมีชุดเกราะและอาวุธเป็นของตัวเองอย่างแน่นอน แล้วทำไมพวกเขาถึงต้องการชุดเกราะของทัพเฮยอวี่ หรือสหายของพวกเขาที่ถูกกลืนกินจะมาที่นี่เพื่อเรียกร้องขอชีวิต นั่นดูจะเป็นความคิดที่เข้าท่า…
ผู้บัญชาการหันกลับมามองทหาร และตบเข้าที่หน้า “ถ้านรกมีอยู่จริง เราก็ต้องเหยียบย่ำมัน! หาให้เจอว่าใครอยู่ที่นี่ และจัดการมันทั้งเป็น!”
เขาสามารถบินได้ในฐานะยอดฝีมือระดับหนึ่ง แน่นอนว่าเขาจะไม่เชื่อว่ามีผีและวิญญาณอยู่ที่นี่ มีพระเจ้าเพียงองค์เดียวในโลกใบนี้
เขาไม่เชื่อเรื่องนี้เพราะเขาแข็งแกร่งมาก แต่ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาไม่สามารถสงบลงได้
ผู้บัญชาการนำกลุ่มของเขาออกมาและครุ่นคิดถึงสิ่งที่พวกเขาจะทำต่อไป บางคนเริ่มแพร่กระจายข่าวลือว่าทหารลึกลับเหล่านี้มาจากนรก คำบอกเล่าที่สมจริงเริ่มแพร่กระจายไปทั่วในหมู่ทหาร ในตอนแรกทุกคนคิดว่านี่เป็นเรื่องไร้สาระและถือเป็นเรื่องตลก แต่ต่อมาบางคนก็ค้นพบทางเข้า และเมื่อพวกเขามองเข้าไปข้างใน พวกเขาก็เริ่มเชื่อข่าวลือเหล่านี้
คงไม่ต้องบอกว่าสถานที่เช่นถ้ำหินปูนนี้เหมาะกับสภาพแวดล้อมเช่นนรกมากแค่ไหน นี่คือก่อนที่จะมีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์และตอนที่ยังไม่มีคนติดตั้งไฟหลากสีในถ้ำ หลี่ว์ซู่ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ คนแรกที่บอกว่านรกมีอยู่จริงอาจเผลอสะดุดเข้าไปในถ้ำหินปูน…
เมื่อผู้บัญชาการได้ยินเรื่องนี้ เขาจึงอยากจะฆ่าคนที่เริ่มข่าวลือนี้ทิ้งซะ แต่เขาไม่แน่ใจว่าสิ่งนี้จะสามารถหยุดการแพร่กระจายของข่าวลือได้หรือไม่
แต้มอารมณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดถูกส่งไปให้หลี่ว์ซู่
เป็นเรื่องยากสำหรับทัพเฮยอวี่ที่จะตัดสินใจ ก่อนที่พวกเขาจะมาที่นี่ พวกเขาคิดว่าว่าต่อให้มีกองทัพอยู่ที่นี่ แต่พวกเขาก็เคยยึดช่องเขาหลีหยางและช่องเขาเว่ยเป่ยไปแล้ว ยังจะมีกองทัพไหนอีกที่พวกเขาไม่สามารถรับมือได้
วลี ‘ซ่อนตัวอยู่ในภูเขา’ มีความหมายโดยทั่วไป นั่นหมายความว่าแม้ว่าพวกเขาจะซ่อนตัวอยู่ในแนวเทือกเขา แต่ผู้คนก็ยังคงอยู่บนพื้นดิน
แต่สุดท้ายแล้ว พวกเขาก็ซ่อนตัวอยู่ในภูเขา…
จากหน่วยสอดแนวหลิวอี้เจาไปจนถึงทหารระดับสามทั้งหมดไปจนถึงหลุมลึกลับเหล่านี้ กองทัพที่ซ่อนตัวอยู่บนภูเขาถูกปกคลุมไปด้วยความลึกลับ
แต่ปัญหาที่สำคัญที่สุดก็คือพวกเขาจะล้อมกองทัพได้อย่างไร พวกเขาควรเข้าไปในถ้ำหรือไม่
ผู้บัญชาการทัพเฮยอวี่มีสีหน้าครึ้ม “จุดไฟเผาถ้ำ ใช้ควันไล่พวกมันออกมา!”
เหล่าทหารตาเป็นประกาย นี่เป็นความคิดที่ดี! ตามคาดจากผู้บัญชาการของพวกเขา!
ในวันนั้น ทัพเฮยอวี่ได้จุดไฟเผาทางเข้ากว่าสิบทาง และพ่นควันเข้าไปในถ้ำ พวกเขาทำเช่นนี้ตลอดทั้งวัน แต่ไม่มีทหารแม้แต่คนเดียวจากทัพอู่เว่ยโผล่ออกมาเลย
ผู้บัญชาการรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ นี่ไม่ควรเป็นเช่นนี้ แม้ว่าถ้ำจะใหญ่มาก แต่พวกเขาก็ไม่น่าจะทนต่อการสัมผัสกับควันได้เป็นวันๆ
เขาเข้าไปดูและเห็นว่าทางเข้าถูกปิดกั้นโดยหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ ไม่มีควันเล็ดลอดเข้าไปได้แม้แต่นิดเดียว
ที่พวกเขาทำไปล้วนเปล่าประโยชน์
จากนั้นพวกเขาก็ได้รับข่าวว่าทัพเฮยอวี่ที่อยู่ทางตะวันออกถูกซุ่มโจมตี คราวนี้ผู้บัญชาการเป็นยอดฝีมือระดับสอง ดังนั้นพวกเขาจึงสูญเสียอย่างหนัก หน่วยทั้งหมดถูกกำจัดในหนึ่งชั่วโมง!
ในวันแรกที่พวกเขาได้สัมผัสกับทัพอู่เว่ย ทัพเฮยอวี่สูญเสียไปหนึ่งหน่วยแล้ว พวกเขาประหลาดใจอย่างมาก
ผู้บัญชาการคนอื่นๆ ของทัพเฮยอวี่รู้ดีว่าถ้ำหินปูนใต้ดินขยายออกไปทุกทิศทาง ดังนั้นทหารจากทัพอู่เว่ยจึงเป็นเหมือนภูตผี ทัพเฮยอวี่ไม่มีทางรู้เลยว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน
หลี่เฮยทั่นถือหอกของเขาและปกป้องคอยปกป้องหลี่ว์ซู่ขณะร้องเพลงแองเตอร์นาซิอองนาล หลี่ว์ซู่ ไม่อาจทนต่อจังหวะของเขาได้ “เฮยทั่น ลองฟังเสียงของตัวเองดูนะ ฉันรู้สึกเหมือนกำลังเดินทางไปในทุ่งขณะนั่งอยู่บนรถม้า”
หลี่เฮยทั่นตาเป็นประกาย นี่ท่านเทพกำลังชมเขาอยู่หรือเปล่า กำลังเดินทางไปในทุ่งขณะนั่งอยู่บนรถม้า นี่ฟังดูอบอุ่นดีจัง
แต่หลี่ว์ซู๋พูดต่อ “น่าเสียดายที่ล้อของรถม้าเป็นสี่เหลี่ยม…”
[ได้แต้มจากหลี่เฮยทั่น +9…]
หลี่ว์ซุ่ไม่มีความสุข แค่เก้าแต้มเองเหรอ นี่ล้อเล่นหรือเปล่า
หลี่ว์ซู่พบว่าการได้รับแต้มอารมณ์จากหลิวอี้เจาและหลี่เฮยทั่นเป็นเรื่องยากที่สุด พวกเขาภักดีต่อเขามาก พวกเขาเชื่อทุกอย่างที่หลี่ว์ซู่บอกพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจะไม่ก่อให้เกิดแต้มอารมณ์มากมายขนาดนั้น…
แต่ไม่เป็นไร หลี่เฮยทั่นสร้างแต้มอารมณ์มากมายเมื่อเขาทำการบ้าน…เห็นได้ชัดว่าการทำการบ้านนั้นเจ็บปวดมาก…
“ท่านเทพ พวกเราควรทำยังไงต่อไป” หลิวอี้เจาพูดว่า “พลังของพวกเขาลดน้อยลงแล้ว ผมขอแนะนำให้เราจัดการหน่วยที่ไม่มีผู้บัญชาการระดับหนึ่งก่อน”
หลี่ว์ซู่ครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ “อย่าให้พวกเขาเข้าใจกฎ นั่นคือกลยุทธ์ของเรา เพราะฉะนั้นอย่าจงใจเลี่ยงหน่วยที่มีผู้บัญชาการระดับหนึ่ง เพราะถ้าทำแบบนั้น พวกเขาก็จะไปซุ่มรอเราอยู่”
มีคำกล่าวในประวัติศาสตร์ของการก่ออาชญากรรมว่า คนที่ฆ่าคนที่ดูเหมือนไม่เกี่ยวข้อง ในยามจำเป็นคือคนที่มีข้อบกพร่องน้อยที่สุด
ยิ่งพวกเขาคิดมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทิ้งร่องรอยไว้มากเท่านั้น
สิ่งที่ทัพอู่เว่ยต้องทำตอนนี้ก็คือการไม่ทำตามแบบแผนในยุทธวิธีทางทหารของพวกเขา
จางเว่ยอวี่ทนต่อสิ่งนี้มาเป็นเวลานาน แต่เขาไม่สามารถทนได้อีกต่อไป “ไม่ใช่ว่านายคือคนที่ไม่มีความสามารถในยุทธวิธีทางทหารหรอกเหรอ…พวกนายสองคนปล่อยฉันเดี๋ยวนี้! อะไรของมันวะ! หลิวอี้เจา! นี่นายกำลังต่อต้านฉันเหรอ ฉันคือที่ปรึกษาทางทหารนะ! พวกนายสองคน ปล่อยฉันไปเดี๋ยวนี้!”
จางเว่ยอวี่ถูกลากออกไปทั้งอย่างนั้น
[ได้แต้มจากจางเว่ยอวี่ +666!]
เมื่อทหารชุดแรกของทัพเฮยอวี่เข้ามาในภูเขา หลิวอี้เจาก็รีบกลับไปที่ภูเขาราชาหลี่ว์และแจ้งให้ทุกคนทราบ
ตอนนี้หลิวอี้เจาได้รับหน้าที่ในการสอดแนมและสืบข้อมูล หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าหลิวอี้เจามีคุณสมบัติเหมาะสมกับตำแหน่งนี้ ไม่ว่าหน่วยสอดแนมของฝ่ายตรงข้ามจะเก่งแค่ไหน แต่หน่วยสอดแนมจากอู่เว่ยสามารถบินได้ น่ากลัวหรือไม่
ถึงแม้เขาจะถูกพบ แต่พวกนั้นก็ไม่สามารถไล่ตามเขาได้
หรือต่อให้ตามไม่ทัน ก็ลืมมันซะ กองหน้าของทัพเฮยอวี่รู้ดีว่าไม่เพียงแต่พวกเขาไม่สามารถตามทัน แต่พวกเขาก็ไม่สามารถเอาชนะเขาได้เช่นกัน!
ในความเป็นจริง หลิวอี้เจาถูกพบหลายครั้ง เมื่อทัพเฮยอวี่พบเขา พวกนั้นต่างก็ตื่นเต้นมาก ทุกคนรู้ดีว่ามีความลับมากมายซ่อนอยู่ในภูเขา ดังนั้นหากพวกเขาสามารถจับหน่วยสอดแนมได้ นั่นจะเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ พวกเขาอาจรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นบนภูเขาได้
นั่นจะเป็นความสำเร็จที่ยอดเยี่ยม
แต่เมื่อพวกเขาเตรียมพร้อมที่จะจับหลิวอี้เจาอย่างตื่นเต้น หน่วยสอดแนมจากทัพเฮยอวี่ก็ติดกับและถูกจัดการในป่า
เมื่อผู้บัญชาการเห็นสิ่งนี้จากที่ไกลๆ พวกเขาก็อ้าปากค้างด้วยความตกใจ นี่ไม่สมเหตุสมผลเลย พวกเขาใช้ยอดฝีมือระดับหนึ่งมาเป็นหน่วยสอดแนม นี่มันโกงกันชัดๆ!
หน่วยสอดแนมคนอื่นๆ จะวิ่งหนีทันทีที่เห็นคน แต่หน่วยสอดแนมของพวกนี้กลับไม่ได้หนีไปทันทีที่ถูกพบตัว แต่กลับฆ่าคนที่พบตัวเขาแทน
ช่างเป็นการเคลื่อนไหวที่ต่ำช้าจริงๆ!
ในความเป็นจริง นี่เป็นเรื่องที่ต่ำช้ามาก ภายใต้สถานการณ์ปกติจะไม่มีใครใช้ยอดฝีมือระดับหนึ่งมาเป็นหน่วยสอดแนม ยิ่งไปกว่านั้นคือยอดฝีมือระดับหนึ่งไม่มีใครอยากเป็นหน่วยสอดแนม พวกเขาสามารถได้ทำในสิ่งที่เหมาะสมกับตัวเองภายใต้จอมทัพสวรรค์ ใครจะยอมมาเป็นหน่วยสอดแนมและทำงานหนักขนาดนี้
แต่หลิวอี้เจาจงรักภักดีต่อหลี่ว์ซู่มาก เขาจะทำทุกอย่างที่หลี่ว์ซู่บอกให้เขาทำ
หลิวอี้เจาค่อยๆ มีความสุขอย่างมาก ตำแหน่งของเขาในฐานะหน่วยสอดแนมจะทำให้เขาสามารถแสดงศักยภาพได้เต็มที่ ในอดีตเขาเคยเป็นผู้บัญชาการกองทัพ เขาต้องคอยสังเกตสถานการณ์ทั้งหมดและสั่งการกองทัพ
แต่ตอนนี้ต่างออกไป หลิวอี้เจารู้สึกว่าความสามารถในการบัญชาการกองทัพของเขาไม่แข็งแกร่งเท่ากับจางเว่ยอวี่หรือแม้แต่ตงเยี่ย พวกเขาทั้งคู่เคยเป็นทหารวังหลวงซึ่งเป็นผู้นำของหลิวอี้เจาและคนอื่นๆ
ดังนั้น หลิวอี้เจาจึงมีความสุขกับบทบาทของเขาในฐานะหน่วยสอดแนม…ผู้บัญชาการของพวกเขาจะไม่กลายเป็นหน่วยสอดแนม ดังนั้นตราบใดที่ผู้บัญชาการของพวกเขาไม่ได้ต่อสู้กับเขาในระยะประชิด เขาก็จะยังอยู่รอดปลอดภัยไปสักพัก เขาเพียงแค่ต้องคอยระวังยอดฝีมือระดับหนึ่งทั้งสามคนเท่านั้น
และถึงแม้ว่าเขาจะถูกทำร้ายก็คงไม่เป็นไร ตราบเท่าที่เขาอดทน เขามั่นใจว่ายอดฝีมือระดับหนึ่งสองคนที่มาพร้อมกับหลี่ว์ซู่จะมาช่วยเขา เขาเชื่ออย่างนั้น
เมื่อข่าวของเขาเริ่มแพร่กระจายไปทั่วทัพเฮยอวี่ หน่วยสอดแนมของทัพเฮยอวี่ก็รู้สึกรำคาญเล็กน้อย ในอดีต พวกเขาหวังว่าจะสามารถพบร่องรอยของศัตรูได้ เพราะอย่างไรนี่ก็เป็นงานของพวกเขา
แต่ตอนนี้กลับต่างออกไป พวกเขาไม่ต้องการเจอใครทั้งนั้น ทำไมน่ะเหรอ นั่นก็เพราะพวกเขากลัวที่จะตาย
ทัพเฮยอวี่เริ่มคิดเช่นกันว่าถ้าหน่วยสอดแนมของพวกเขาเป็นยอดฝีมือระดับหนึ่ง แล้วส่วนที่เหลือของกองทัพล่ะ แน่นอนว่าพวกเขาละทิ้งความคิดนี้ อย่างไรทัพเฮยอวี่ก็เป็นยอดฝีมือของยอดฝีมือ ยังจะมีกองทัพไหนที่แข็งแกร่งกว่าทัพเฮยอวี่อีกหรือ
แน่นอนว่ามีกองทัพที่แข็งแกร่งกว่าพวกเขา แต่คนเหล่านั้นอยู่ในเขตเหนือและเขตตะวันออก!
เมื่อหลิวอี้เจาบินกลับมาพร้อมข่าวสาร ทัพอู่เว่ยก็เริ่มระดมพล พวกเขารีบขนธัญพืช อาวุธ และชุดเกราะเข้าไปในถ้ำหินปูน แยกออกไปตามมุมต่างๆ ของถ้ำหินปูนอย่างเป็นระเบียบ
อย่างไรทัพเฮยอวี่ก็มีขนาดใหญ่กว่าทัพอู่เว่ยถึงสามเท่า ยิ่งไปกว่านั้นคือพวกเขายังสูสีกันอย่างเท่าเทียมกันในแง่ของพลังการต่อสู้ของยอดฝีมือระดับหนึ่ง ดังนั้นหลี่ว์ซู่จึงไม่ต้องการปะทะกับพวกเขาโดยตรง
แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะสามารถหลบหนีได้โดยปราศจากอันตรายเมื่อทัพเฮยอวี่บุกเข้ามา พวกเขามีเกราะและหอกของหลี่ว์ซู่อยู่ในครอบครอง…
ถึงแม้จางเว่ยอวี่จะไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ แต่นี่คือสิ่งที่หลี่ว์ซู่คิด…
ก่อนที่ชนชั้นสูงในเขตเหนือจะเข้าใจว่าทำไมทัพเฮยอวี่จึงต้องการเข้าสู่ภูเขา ทัพอู่เว่ยก็ได้เปิดฉากการจ่อสู้กับทัพเฮยอวี่แล้ว!
ไม่ว่าจะเป็นทัพเฮยอวี่หรือเหล่าชนชั้นสูงในเขตเหนือ ก็คงไม่มีใครคาดคิดว่าทัพอู่เว่ยเล็กๆ นี้จะปักหลักอยู่ที่นี่มาสักพักแล้ว พวกเขาคุ้นเคยกับเส้นทางใต้ดินเป็นอย่างดี ต้องขอบคุณแผนที่ของหลี่ว์เสี่ยวอวี๋
โดยปกติ เมื่อจางเว่ยอวี่พาพวกเขาออกไปฝึกหรือพาพวกเขาไปที่เทือกเขา เขาจะตั้งใจเดินผ่านถ้ำหินปูน นี่ก็เพื่อให้ทหารของทัพอู่เว่ยจะได้สามารถเดินไปมาในถ้ำหินปูนได้เหมือนเดินในสวน
ตอนนี้ นี่ไม่ใช่เรื่องเกินจริงที่จะบอกว่าตราบใดที่ยังมีแสงสว่าง จะไม่มีทหารแม้แต่คนเดียวของทัพอู่เว่ยที่จะหลงทางใต้ดิน
แต่ทัพเฮยอวี่นั้นแตกต่างออกไป ไม่ว่าพวกเขาจะกล้าเข้าไปในถ้ำหินปูนหรือไม่ นั่นก็เป็นสองสิ่งที่แตกต่างกัน
ผู้บัญชาการทัพเฮยอวี่ทั้งห้าคนสั่งให้กองทหารเข้าไปในภูเขา เส้นทางบนภูเขาทั้งแคบและคดเคี้ยว นอกจากนี้ภูเขายังปกคลุมพื้นที่จำนวนมาก ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถเดินทัพไปเป็นกองทัพเดียวได้ ในตอนแรกพวกเขาต้องการที่จะล้อมกองทัพที่อาจอยู่ในภูเขา เพราะถ้าทั้งกองทัพอยู่ร่วมกัน ประสิทธิภาพของพวกเขาก็จะลดลงเช่นกัน
พวกเขาแยกออกเป็นห้ากลุ่ม หน่วยสอดแนมทำหน้าที่เป็นช่องทางการสื่อสารระหว่างกลุ่ม หากกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเกิดการต่อสู้ ผู้ที่อยู่ในพื้นที่อื่นก็จะมาช่วย
จากที่พวกเขาพูด ตราบใดที่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งสามารถซื้อเวลาไว้ได้ อีกสี่กลุ่มที่เหลือก็จะสามารถเร่งรีบไปต่อได้ พวกเขาอยู่ห่างจากกันมากที่สุดครึ่งวัน
แต่ในขณะที่พวกเขาแยกจากกัน กลุ่มที่ประกอบด้วยทหารสามพันนาย ก็ถูกทัพอู่เว่ย ซุ่มโจมตี
ทหารเหล่านั้นปรากฏตัวขึ้นเหมือนภูตผี ทัพเฮยอวี่ไม่รู้ว่าพวกเขามาจากไหน ราวกับว่าพวกเขาโผล่ออกมาจากอากาศรอบตัว และทันใดนั้นพวกเขาก็เริ่มโจมตีจากด้านหลัง
ยิ่งไปกว่านั้นคือทหารเหล่านี้ไม่ได้ต่อสู้เป็นเวลานานนัก หลังจากที่พวกเขาโจมตีและสังหารแล้ว พวกเขาก็วิ่งหนีไป ทัพเฮยอวี่ไม่แม้แต่จะสามารถกันพวกเขาไว้ได้!
ทัพเฮยอวี่ได้รู้ว่าไม่มีใครที่ระดับต่ำกว่าสามเลยในหมู่ทหารเหล่านั้น!
นี่เป็นเรื่องที่แปลกเกินไป กองทัพที่แข็งแกร่งเช่นนี้มาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร แม้แต่กองทัพในเขตเหนือและเขตตะวันออกก็ยังไม่แข็งแกร่งขนาดนี้ กองทัพทั้งสองยังคงมีทหารระดับสี่ปะปนอยู่ด้วย
การต่อสู้ขนาดย่อมๆ นี้เหมือนกับสายฟ้าฟาด เกิดขึ้นและจากไปอย่างรวดเร็ว
หากทหารฝ่ายตรงข้ามจะแข็งแกร่งขนาดนี้ ถ้าอย่างนั้นก็ลืมไปซะเถอะ ผู้บัญชาการทัพเฮยอวี่พบว่ามียอดฝีมือระดับหนึ่งอยู่ใต้ดินคอยป้องกันศัตรูให้ด้วย!
หลังจากแอนโทนีก้าวขึ้นสู่ระดับหนึ่ง ปัญหาของเขาก็ปรากฏขึ้น
ความจริงพิสูจน์แล้วว่าสวรรค์นั้นยุติธรรม ก่อนที่ผู้มีพลังธาตุดินจะก้าวเข้าสู่ระดับหนึ่ง พวกเขามักจะได้รับการยกย่องจากผู้มีพลังสายธาตุเสมอ แต่หลังจากที่พวกเขาก้าวไปสู่ระดับหนึ่งแล้ว ทุกคนก็บินได้ยกเว้นพวกเขา เขาสามารถแสดงศักยภาพทั้งหมดของเขาได้แค่บนพื้นดินเท่านั้น
ตัวอย่างเช่นหลี่ว์เสี่ยวอวี๋สามารถทำให้แอนโทนีควบคุมหาดทรายขาวและทะเลลึกจากบนฟ้าได้ แต่นี่จะเป็นการใช้ประโยชน์จากความสามารถเพียงบางส่วนเท่านั้น
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม แอนโทนีเป็นตัวช่วยที่ดีในการทำลายการรูปขบวนในระหว่างการต่อสู้ นอกจากนี้เมื่ออู่เว่ยถอยทัพ แอนโทนีก็สามารถสร้างกำแพงดินเพื่อกันทหารที่ไล่ล่าพวกเขามาได้อย่างง่ายดาย
สงครามสายฟ้าขนาดน่อมเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้ทัพเฮยอวี่ต้องประหลาดใจ
แต่นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น
ในจักรวาลหลี่ว์ ยอดฝีมือระดับหนึ่งไม่ใช่คนโง่ ทีมที่ทัพเฮยวี่ส่งไปซ่อนตัวบนภูเขานั้นมีความทะเยอทะยานมากเนื่องจากมียอดฝีมือระดับหนึ่งอยู่ในทีม ผู้บัญชาการทัพเฮยอวี่หวังว่าพวกเขาจะมีบทบาทสำคัญในการสู้รบ
ผลก็คือพวกเขาหายไปในอากาศ เหมือนก้อนหินเล็กๆ ที่ถูกโยนลงไปในมหาสมุทร
ทัพเฮยอวี่วางแผนเรื่องนี้มาหลายปีแล้ว และให้สายลับหลายคนแฝงตัวเขาไปอยู่ที่ด้านหลังของช่องเขาเว่ยเป่ย หากทัพเฮยอวี่ที่แฝงตัวเข้าไปในภูเขาสามารถบรรลุสิ่งต่างๆ ได้ ผู้บัญชาการของทัพเฮยอวี่จะต้องได้รับข่าวสารอย่างแน่นอน
ถึงแม้ว่าทัพเฮยอวี่จะยอมจำแพ้ต่อทัพหลงเหมิ่ง แต่พวกเขาก็ควรได้รับข่าวสารบางอย่าง!
แต่กลับไม่มีข่าวอะไรเลย ดูเหมือนกองทัพทั้งกองทัพจะหายไปในอากาศ…
สุดท้ายแล้วทัพเฮยอวี่ก็ให้แต้มอารมณ์มากมายแก่หลี่ว์ซู่
คนอายุน้อยคนหนึ่งของทัพเฮยอวี่กำลังพักผ่อนอยู่ในค่ายทหารนอกช่องเขาเว่ยเป่ย “ภูเขาลูกนี้แปลกมาก หลินเฮ่อ จางอวิ๋น พวกนายสองคนควรนำทัพไปดูรอบๆ ภูเขาหน่อยนะ ฉันอยากเห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ในภูเขา”
“รับทราบ” ทั้งสองคนตอบ
แต่พวกเขาก็ไม่กลับมาอีกเลย…
ทัพเฮยอวี่ทั้งหมดมีปัญหา พวกเขาสู้ตายกับช่องเขาเว่ยเป่ยเพื่อดึงดูดความสนใจของทัพหลงเหมิ่ง เพื่อให้ทีมชั้นยอดของทัพเฮยอวี่สามารถไปที่ด้านหลังและโจมตีช่องเขาเว่ยเป่ยจากทั้งสองด้าน ด้วยวิธีน้นจะได้เป็นการโจมตีที่ถึงตายแก่ช่องเขาเว่ยเป่ย
แต่ถึงแม้จะเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือด แต่หลายทีมก็หายไป นี่เป็นสถานการณ์แบบไหนกันแน่ มีอะไรอยู่ในภูเขา
ในขณะนี้ หลี่ว์ซู่กำลังยิ้มอย่างมีความสุขเมื่อแต้มอารมณ์ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในบันทึก หลี่ว์เสี่ยอวี๋ ช่วยให้เขาได้รับแต้มอารมณ์มากมาย และแต้มอารมณ์ก็เพิ่มขึ้นเพราะการตายของหลายทีมของทัพเฮยอวี่
หลี่ว์ซู่ไม่กล้าที่จะจินตนาการว่าเขาจะเลื่อนระดับได้กี่ระดับหลังจากหลุดพ้นจากโซ่ตรวน โดยแท้จริงแล้ว วิธีที่ถูกต้องในการได้รับแต้มอารมณ์ก็คือผ่านการต่อสู้และความตาย…
สิ่งนี้ทำให้หลี่ว์ซู่กลับมาคิดว่าวิธีที่เขาใช้เพื่อให้ได้มาซึ่งแต้มอารมณ์นั้นเหมาะสมหรือไม่…
จากนั้นเขาก็ส่ายหัว ท้ายที่สุดแล้ว ผลของสงครามก็คือการสูญเสีย หลังจากการสู้รบไม่กี่ครั้ง ทหารของทัพอู่เว่ยก็เสียชีวิตไปกว่าร้อยคน ถึงแม้ว่าจะมียอดฝีมือระดับหนึ่งถึงสามคนเป็นผู้คุ้มกัน แต่ความตายก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้อย่างสมบูรณ์ นี่คือปัญหาที่เกิดขึ้นจริง
ทัพอู่เว่ยได้เปลี่ยนแปลงไปจนหลี่ว์ซู่แทบไม่อยากจะเชื่อ ใครกันจะเชื่อว่ากองทัพนี้เคยเป็นกองทัพที่ทุกคนดูถูกเมื่อสองเดือนก่อน
ทัพอู่เว่ยไม่ขาดแคลนอาวุธและชุดเกราะอีกต่อไป ในความเป็นจริง หลี่ว์ซู่วางแผนที่จะให้หลิวอี้เจานำหอกยาวและชุดเกราะสามพันอันไปที่ช่องเขาเว่ยเป่ย และถามผู้บัญชาการว่าเขาต้องการสิ่งเหล่านี้หรือไม่…
แต่นั่นอาจจะเป็นการโอ้อวดมากเกินไป และหลี่ว์ซู่คิดว่ามันจะดีกว่าถ้าเขาไม่ทำอย่างนั้น ทัพอู่เว่ยจำเป็นต้องเปลี่ยนอาวุธและชุดเกราะอย่างแน่นอน ดังนั้นส่วนที่เหลือจึงสามารถเก็บไว้เป็นของสำรองให้ทัพอู่เว่ยได้
ในอดีต ผู้คนกล่าวว่าการพัฒนากองทัพนั้นมีค่าใช้จ่ายสูงเกินไป แต่หลี่ว์ซู่ไม่คิดอย่างนั้น เขาสามารถหาสิ่งที่กองทัพขาดจากคู่ต่อสู้ได้ ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป แล้วเขาก็จะไม่ขาดอะไรอีกต่อไป
ทัพเฮยอวี่นำอาหารมาให้เมื่อพวกเขาเข้ามาในภูเขา สัดส่วนเหล่านี้อาจทำให้ทัพอู่เว่ยอยู่ต่อได้สักพัก
ในเดือนที่สอง ทัพเฮยอวี่มาถึงช่องเขาเว่ยเป่ย ใครบางคนจากทัพอู่เว่ยสามารถบุกทะลวงได้อีกครั้ง!
เป็นเรื่องยากเกินไปสำหรับระดับสองและระดับสามที่จะก้าวผ่านไปได้ แต่ด้วยการฝึกฝนและการบำรุงจากสมุนไพรในระดับสูง ทหารระดับสี่มองเห็นความเป็นไปได้ที่จะเกิดความก้าวหน้าได้ภายในช่วงเวลาสั้นๆ
ดังนั้น หลี่ว์ซู่จึงตัดสินใจที่จะไม่ทำอะไรในตอนนี้ แม้ว่าทัพเฮยอวี่จะเข้ามาอยู่ในภูเขาแล้วก็ตาม เขาอยากมุ่งไปที่การพัฒนาทักษะของเขามากกว่า ในตอนแรก หลี่ว์ซู่เป็นกังวลว่าเขาจะทำอย่างไรดีหากทัพเฮยอวี่มาซุ่มโจมตีพวกเขาอยู่ในภูเขา แต่การต่อสู้ระหว่างทัพเฮยอวี่และช่องเขาเว่ยเป่ยนั้นรุนแรงมากจนเขาไม่มีอารมณ์ที่จะสนใจเกี่ยวกับความกังวลในตอนแรกของเขา
ในช่วงเวลานี้ หลี่ว์ซู่ก็มาถึงระดับสองได้ในที่สุด
นี่คือระดับที่หลี่ว์ซู่ทำได้ดีที่สุด ดังนั้นเขาจึงมั่นใจเต็มที่
ในขณะนี้ หลิวอี้เจากลับมาและทักทายหลี่ว์ซู่ด้วยความเคารพ “องค์ราชา ทัพเฮยอวี่กำลังจะเสร็จสิ้นการโจมตีของพวกเขา กำลังเสริมที่ช่องเขาเว่ยเป่ยรออยู่ยังมาไม่ถึง และทุกคนก็หมดแรงและเสบียงอาหารก็หมด ยิ่งไปกว่านั้นคือทัพเฮยอวี่ได้โจมตีช่องเขาหลีหยางเมื่อเดือนที่แล้ว จนทัพฉือเหยียนต้องล่าถอยไปกว่าสามร้อยลี้ ตอนนี้ทัพเฮยอวี่บางส่วนในช่องเขาหลีหยางกำลังเร่งไปที่ช่องเขาเว่ยเป่ย วันที่พวกเขามาถึงคงจะเป็นวันที่ช่องเขาเว่ยเป่ยต้องพบกับจุดจบ”
หลี่ว์ซู่รู้สึกหนักใจเล็กน้อย “เกิดอะไรขึ้นกับกองทัพทางเขตเหนือ ไม่มีใครสนใจการโจมตีของทัพเฮยอวี่เลยเหรอ”
“การสู้รบภายในของเขตเหนือนั้นเลวร้ายกว่าที่องค์พระราชาคิด หากจอมทัพสวรรค์ เหวินไจ้โฝ่ว ถามถึงเรื่องนี้ พวกเขาจะไม่กล้าทำเช่นนี้อย่างแน่นอน แต่ผมได้ยินมาว่าจอมทัพสวรรค์ เหวินไจ้โฝ่ว กำลังยุ่งอยู่กับการฝึกบำเพ็ญทักษะของเขา ทุกคนรู้ดีว่าทัพเฮยอวี่ไม่สามารถโจมตีพื้นที่ทางเหนือทั้งหมดได้ ถึงแม้ว่าจะได้รับความช่วยเหลือจากตวนมู่หวงฉี่ก็ตาม ดังนั้นพวกเขาจึงกล้าที่จะสู้จนกว่ากองทัพทั้งหมดของช่องเขาเว่ยเป่ยและหลีหยางจะพินาศเพื่อที่พวกเขาจะได้ยุติทุกสิ่ง” หลิวอี้เจาพูด
“นี่ออกจะมากเกินไปหน่อย” หลี่ว์ซู่พูด “หลังจากที่ช่องเขาเว่ยเป่ยพ่ายแพ้ หากทัพเฮยอวี่รู้ว่าทหารของพวกเขาจำนวนมากหายไป พวกเขาก็จะโจมตีเราบนภูเขาอย่างแน่นอน”
“ดังนั้นพวกเราจึงหวังว่าคุณจะสามารถเตรียมการที่จำเป็นได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ไม่ว่าจะสู้หรือถอย ก็โปรดตัดสินใจให้เร็วที่สุด” หลิวอี้เจาพูดอย่างสงบ
หลังจากนั้นเจ็ดวัน ในที่สุดช่องเขาเว่ยเป่ยก็พ่ายแพ้ให้แก่ทัพเฮยอวี่ เป็นผลให้กองทัพเฮยอวี่สามารถควบคุมทั้งช่องเขาหลีหยางและช่องเขาเว่ยเป่ยไว้ได้ พวกเขามีอำนาจเหนือกว่าทั้งในการโจมตีทั้งทางเขตตะวันออกและทางเหนือ
ในขณะนี้ ชนชั้นสูงของเขตเหนือและเขตตะวันออกเริ่มตื่นเต้น ทั้งทัพฉทิเหยียนและทัพหลงเหมิ่งต้องแบกรับผลที่ตามมาจากการสูญเสียการควบคุมป้อมปราการและถึงเวลาแล้วที่พวกเขาต้องจัดการเรื่องนี้ให้ได้ ดังนั้นทั่วทั้งเขตเหนือจึงรู้สึกตื่นเต้นหลังจากการสูญเสียเพราะทุกคนล้วนต้องการแบ่งปันผลประโยชน์
พวกเขาไม่สามารถยึดครองเมืองและป้อมปราการได้ พวกเขาต้องรอให้จอมทัพสวรรค์ฝึกบำเพ็ญทักษะของเขาจนเสร็จแล้วจึงมาให้รางวัลแก่พวกเขา ดังนั้นจำนวนทหารของทัพเฮยอวี่ที่ถูกสังหารและจำนวนป้อมปราการที่ยึดครองได้จึงเป็นเบี้ยต่อรองในระหว่างการแบ่งผลประโยชน์
แน่นอนว่าเพื่อที่จะยึดป้อมปราการและเมืองกลับคืนมาจากทัพเฮยอวี่ คนเหล่านั้นต้องมีความสามารถมากพอสมควร ทัพเฮยอวี่ไม่ได้อ่อนแอ หากคิดจะสู้กับพวกเขาก็ต้องยอมแลก
เหล่าชนชั้นสูงไม่ได้เร่งที่จะโจมตีและทุกคนต้องการที่จะรอ พวกเขาต้องการรอให้การก่อตัวของทัพเฮยอวี่ได้รับการพัฒนามากขึ้น รวมทั้งรอให้คนอื่นโจมตีเพื่อทำให้ทัพเฮยอวี่ถอยกลับไป
แต่ทันใดนั้นพวกเขาก็ได้รู้ว่าว่าทัพเฮยอวี่ไม่ได้กำลังมุ่งหน้าไปทางเขตเหนือหรือตะวันออก ตามรายงานข่าวกรอง ทัพเฮยอวี่กำลังเข้าไปในภูเขา…
เหล่าชนชั้นสูงต่างพากันตะลึง ทำไมพวกเขาถึงเข้าไปในภูเขา มีอะไรอยู่บนภูเขาอย่างนั้นเหรอ
ทุกคนรู้สึกได้โดยสัญชาตญาณว่ามีบางอย่างผิดปกติ ทัพเฮยอวี่ทำแบบนั้นเพราะมีจุดประสงค์อะไรหรือไม่
รอก่อน รออีกหน่อย…
พวกเขาไม่ได้สงสัยมากจนเกินไปแต่ สถานการณ์แปลกเกินไปจริงๆ ทัพเฮยอวี่สามารถจัดระเบียบกองทัพของตนใหม่ โจมตีเมืองต่อไป หรือถอยกลับไปยังเขตตะวันตกก็ได้ แต่ทำไมพวกเขาถึงเข้าไปในภูเขา…
กลุ่มแรกที่เข้าไปในภูเขาได้มีทหารมากถึงหนึ่งหมื่นห้าพันนาย มีผู้บัญชาการห้าคนคอยนำทีม และสามคนในผู้บัญชาการทั้งหมดเป็นยอดฝีมือระดับหนึ่ง
เป็นกองกำลังที่ยิ่งใหญ่อย่างมาก!
ในสนามรบ หลิวอี้เจาสามารถกวาดศัตรูออกไปได้ด้วยหอกยาวของเขา เมื่อเขาชี้ปลายหอกไปที่ผู้บัญชาการของทัพเฮยอวี่ ทหารที่อยู่ระหว่างหลิวอี้เจาและผู้บัญชาการ ถอยไปยืนอยู่ข้างๆ ด้วยความหวาดกลัว พู่สีแดงบนหอกยาวกำลังปลิวไสวอยู่บนท้องฟ้า
จู่ๆ จางเว่ยอวี่ก็คิดว่าเขาเคยได้เห็นว่าหลี่ว์ซู่น่าประทับใจแค่ไหนเมื่อเขาโจมตีและสังหารในฐานะระดับหก ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว จะเป็นยังไงถ้าเขาก้าวไปสู่ระดับหนึ่ง
เขารู้สึกว่าวันนั้นใกล้เข้ามาแล้ว เขาสามารถนึกภาพเหล่านั้นได้โดยตัดสินจากความก้าวหน้าของหลี่ว์ซู่
ด้วยเหตุผลบางอย่าง จางเว่ยอวี่ตั้งตารอวันที่จะมาถึง
ผู้บัญชาการทัพเว่ยอวี่อยากจะหนีไปเพราะเขารู้ว่าเขาเสียเปรียบ ไม่มีใครคาดคิดว่ากองทัพชั้นยอดจะซ่อนตัวอยู่ในภูเขา พวกเขาไม่ควรสู้จนตัวตาย แต่ควรนำข่าวนี้กลับไปที่บอกให้ทัพเว่ยอวี่รู้ เมื่อกองทัพมาถึง ไม่ว่าอู่เว่ยจะเก่งกาจแค่ไหน แต่พวกเขาจะทำอะไรได้
อย่างไรก็ตาม หลิวอี้เจาและเสี่ยวอวี๋ไม่ยอมให้เขาจากไปง่ายๆ หัวหน้าบาทหลวงลุกขึ้นมาจากพื้นและไล่ตามผู้บัญชาการทัพเฮยอวี่ไป ทันใดนั้นทัพเว่ยอวี่ก็รู้สึกได้ว่าแสงสีเงินอันอ่อนนุ่มที่อยู่บนร่างกายของพวกเขาหายไปแล้ว และพวกเขาก็กลับมาเคลื่อนไหวได้ตามปกติ
อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้แม้ว่าจะกลับมาเคลื่อนไหวได้ตามปกติ กองทัพเว่ยอู๋หวู่ล้อมรอบพวกเขาอย่างสมบูรณ์และกองทัพเว่ยอู๋ซึ่งตอนแรกไม่มีอะไรอยู่ในมือตอนนี้ติดตั้งอาวุธแล้ว
แต่ถึงแม้พวกเขาจะกลับมาเคลื่อนไหวได้ตามปกติ พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี ทัพอู่เว่ยล้อมพวกเขาไว้โดยสมบูรณ์ และทัพอู่เว่ยที่ตอนแรกไม่มีอะไรในมือ แต่ตอนนี้กลับมีอาวุธครบมือแล้ว…
หน่วยสอดแนมจากทัพเฮยอวี่มีมีดผู่เตาในขณะที่กองทัพปกติจะมีทั้งมีดผู่เตาและหอก ดังนั้น สำหรับฝ่ายตรงข้ามทุกคนที่ถูกทัพอู่เว่ยสังหาร ทหารสองคนจึงสามารถแบ่งอาวุธกันได้…
ในการต่อสู้ที่ไม่เท่าเทียมกันนี้ ทัพเฮยอวี่จึงตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย ถึงแม้ว่าทหารที่เหลืออยู่จะไม่กลัวความตาย แต่นั่นก็ไม่สามารถเปลี่ยนผลการต่อสู้ได้
หัวหน้าบาทหลวงใช้พลังของเขาที่กลางอากาศ รัศมีสีเงินทั้งหมดพันรอบร่างของผู้บัญชาการ จากนั้นหลิวอี้เจาจึงแทงเขาด้วยหอกยาว
ถึงแม้ผู้บัญชาการทัพเฮยอวี่จะต้องตายอย่างไม่เต็มใจ แต่ในสถานการณ์ที่เป็นการต่อสู้ของยอดฝีมือระดับหนึ่งสองคนกับอีกหนึ่งคนที่ซุ่มอยู่ ผู้บัญชาการก็รู้สึกหมดหวัง
หลิวอี้เจาเหลือบมองไปที่หัวหน้าบาทหลวง และกลับไปที่สนามรบของทัพเฮยอวี่เหมือนลูกธนูที่แหลมคมอีกครั้ง แต่เขาไม่รู้ว่าแอนโทนีที่อยู่ใต้ดินหยุดหัวเราะอย่างโง่เขลา
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ควบคุมแอนโทนีอย่างเงียบๆ ทำให้เขาคายไข่มุกวิญญาณออกมาเพื่อดูดซับวิญญาณของผู้บัญชาการและทหารที่เสียชีวิตของทัพเฮยอวี่ หลังจากนั้น แอนโทนีก็กลืนไข่มุกวิญญาณ และเริ่มหัวเราะอย่างโง่เขลาอีกครั้ง
ในเวลาต่อมา หมอกสีดำที่อยู่รอบตัวแอนโทนีก็เริ่มสั่นสะเทือนและพร่ามัว
หลิวอี้เจามองลงไปที่พื้นด้วยความสับสนและตกใจ เขาไม่แน่ใจว่าเขาเข้าใจผิดหรือเปล่า แต่เขารู้สึกว่ามีใครบางคนสามารถก้าวข้ามจากระดับสองไประดับหนึ่งได้!
นี่มันเกิดอะไรขึ้น เลื่อนขั้นในสนามรบ ยอดฝีมือระดับหนึ่งคนที่สามของทัพอู่เว่ยถือกำเนิดขึ้นแล้วอย่างนั้นเหรอ เขารู้ว่าหลี่ว์เสี่ยวอยู่ใต้ดิน และเพราะเขายังไม่ได้เห็นแอนโทนี เขาจึงคิดว่าหลี่ว์เสี่ยวอวี๋สามารถเลื่อนขั้นได้
ในจักรวาลหลี่ว์ แทบจะไม่มีกองทัพใดที่มีทหารระดับหนึ่งถึงสามคนเลย! แท้จริงแล้วนี่คือกองทัพขององค์ราชา บางทีทัพอู่เว่ยอาจจะสามารถสร้างความรุ่งโรจน์ให้กับทหารมังกรจักรพรรดิได้อีกครั้ง หลิวอี้เจารู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย…
อืม ไม่นะ จู่ๆ หลิวอี้เจาก็นึกขึ้นได้ว่าถ้าหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ได้เลื่อนขั้นเป็นระดับหนึ่ง ทำไมถึงไม่มีปรากฏการณ์แปลกๆ อะไรเลย เมื่อใดก็ตามที่มีคนได้เลื่อนขึ้นระดับหนึ่ง จะต้องมีปรากฏการณ์แปลกๆ เกิดขึ้น!
หลิวอี้เจารู้สึกสงสัยแต่ไม่ได้พูดออกมา ในทางกลับกันเขายังคงโจมตีทัพเฮยอวี่ต่อไปจนกว่าพวกนั้นจะพ่ายแพ้
ในขณะเดียวกัน หลี่ว์เสี่ยวอวี๋เริ่มสังเกตแอนโทนีอย่างมีความสุขในขณะที่เขายังคงหัวเราะอย่างโง่เขลา ถ้าหลี่ว์เสี่ยวอวี๋เปิดใช้งานภัยธรรมชาติพระไตรปิฎกน้ำตกทรายในตอนนี้ เธอก็ไม่ต้องการพลังจากผู้มีพลังธาตุดินคนอื่นๆ อีก
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ รู้ว่ายิ่งเธอมีพลังมากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งสามารถให้ความช่วยเหลือแก่หลี่ว์ซู่ได้มากขึ้นเท่านั้น ในขณะนี้ ด้วยวิญญาณของยอดฝีมือระดับหนึ่งสองคน หากเธอลอบโจมตีเฮยอวี่อีกสักสองสามครั้ง จอห์นสันอาจจะสามารถเลื่อนขั้นขึ้นสู่ระดับหนึ่งได้เช่นกัน
และเมื่อถึงตอนนั้น เธอก็จะสามารถมอบกระบี่บินให้หลี่ว์ซู่ได้มากขึ้นอีก!
หลี่ว์ซู่กำลังฝึกท่วงท่าวิชากระบี่ของเขาอย่างขยันขันแข็ง เมื่อไม่นานมานี้ แม้ว่าจุดชี่ไห่จะยังคงถูกปิดผนึกไว้ด้วยโซ่ตรวน แต่ต้นแบบกระบี่ก็ยังคงเพิ่มขึ้น ดังนั้นหลี่ว์เสี่ยวอวี๋จึงกังวลว่าจำนวนดาบของจอห์นสันจะไม่เพียงพอต่อการใช้งานของหลี่ว์ซู่เมื่อเขาสามารถหลุดพ้นจากพันธนาการได้
แต่ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในความเป็นจริงแล้ว หลี่ว์เสี่ยวอวี๋วางแผนที่จะแอบนำ จอห์นสัน แอนโทนี และหัวหน้าบาทหลวง ไปยังช่องเขาเว่ยเป่ย เนื่องจากเธอต้องการรวบรวมวิญญาณคนตายในสนามรบ!
สำหรับคนอื่นๆ ช่องเขาเว่ยเป่ยเป็นเหมือนเครื่องจักรสังหารหมู่ขนาดมหึมา กำแพงเมืองเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือดและซากศพ ทหารใหม่อาจจะรู้สึกคลื่นไส้เมื่อได้เห็น
แต่สำหรับหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ ที่นั่นก็เป็นเหมือนดินแดนแห่งขุมทรัพย์
เธอรู้แล้วว่าวิญญาณชั่วร้ายจะบิดเบี้ยวและน่ากลัวหลังจากที่พวกเขาตาย แม้ว่าหลี่ว์ซู่จะไม่ยอมให้เธอจับวิญญาณของคนดี แต่เธอก็คิดว่าอย่างน้อยเธอก็สามารถจับวิญญาณชั่วร้ายเหล่านี้ได้ใช่หรือไม่
แต่อย่างไรก็มีข้อจำกัด หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ไม่สามารถปล่อยให้แอนโทนีและคนที่เหลือไปถึงขั้น ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ได้จากระดับของวิญญาณที่ถูกจับ
เป็นเหตุผลเดียวกับที่แอนโทนีไม่สามารถเลื่อนขั้นสู่ระดับหนึ่งได้ ดวงวิญญาณไม่สามารถสร้าง ‘เต๋า’ ของตัวเองได้ จึงต้องแย่งชิงจากผู้อื่นโดยไม่ได้ตั้งใจ
สถานการณ์บนพื้นดินมีความรุนแรงอย่างประหลาด เสียงคำรามของทัพอู่เว่ยดังมาให้ได้ยินเป็นครั้งคราว “อย่าโหดนักเลยน่า ชุดเกราะชุดนั้นเหมาะกับฉันมาก อย่าทุบมันสิ!”
“พวกนายเคยเห็นทหารที่สูงกว่าฉันไหม ช่วยฉันเก็บชุดเกราะของเขาด้วย!”
ทหารของทัพเฮยอวี่รู้สึกสิ้นหวัง ทั้งหมดเป็นเพราะการกระทำของอู่เว่ยนั้นเกินกว่าที่พวกเขาจะรับมือได้ และพวกเขาคิดว่าอย่างไรพวกเขาก็ถูกกำหนดมาให้ตาย…
แต่ปัญหาก็คือพวกเขาไม่มีชุดเกราะเลยเหรอ แล้วทำไมกองทัพที่ไม่มีชุดเกราะถึงทรงพลังได้ขนาดนี้
เพลงพื้นบ้านยังดังมาให้ได้ยินเป็นระยะจากทางภูเขา “ท่านหญิง ฟังที่กระผมพูด ได้โปรดอย่ากล่าวหากัน…”
ในสภาพแวดล้อมที่แปลกประหลาดนี้ ทัพเฮยอวี่ไม่เต็มใจที่จะยอมรับความพ่ายแพ้…นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้พบกับกองทัพที่แปลกประหลาดอย่างทัพอู่เว่ยตั้งแต่ที่พวกเขาเริ่มเป็นทหารมา…
ในทันทีที่พระอาทิตย์ตกดิน หลี่เฮยทั่นก็นำทัพ เขาถือหอกยาวที่คว้ามาจากทัพเฮยอวี่และร้องเสียงดังกับคนที่เหลือว่า “ไม่มีผู้ช่วยให้รอดที่ยอดเยี่ยม และเราไม่ต้องการยอดมนุษย์หรือราชา…”
พวกเขารู้สึกมีพลังอย่างมากเมื่อพวกเขาร้องเพลงเพราะพวกเขาไม่จำเป็นต้องพึ่งพาใครอื่น ทั้งอู่เว่ยและชิงไซได้รวมเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ และทัพชิงไซก็ได้หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์อย่างเป็นทางการ
ในตอนแรก เมื่อหลี่ว์ซู่สอนเพลงให้พวกเขา ทุกคนรู้สึกว่าเนื้อเพลงนั้นสร้างแรงบันดาลใจได้ดีมาก ในที่สุดพวกเขาก็รู้สึกถึงประโยชน์ของการมีพลัง สิ่งนี้ทำให้รู้สึกราวกับว่าพวกเขาสามารถควบคุมชะตากรรมของตนเองได้
หากมีใครถามทัพอู่เว่ยว่าทัพเฮยอวี่แข็งแกร่งหรือไม่ หลี่เฮยทั่นก็คงตอบไปว่า ทัพเฮยอวี่ไม่นับเป็นอะไร
ใครบางคนล้อเลียนอยู่ภายใต้ดวงอาทิตย์ที่กำลังตกดินว่า “นายร้องเพี้ยนแล้ว!”
“ไร้สาระ ฉันร้องเพลงเก่งที่สุดในทัพอู่เว่ยแล้ว แล้วฉันจะไปร้องเพี้ยนได้ยังไง”
หลี่เฮยทั่นหัวเราะ “ฉันสงสัยว่าทัพเฮยอวี่จะกำลังมาหรือเปล่า ฉันคงใส่ชุดเกราะของพวกทหารที่มาไม่ได้ เพราะมันเล็กเกินไป!”
“ฉันคิดว่าพวกเขาจะมาและให้อาวุธหรือชุดเกราะกับเรามากขึ้น มันคงจะดีมากถ้าพวกเขาสามารถนำไวน์มาด้วย…”
มองจากด้านหลังของพวกเขา จางเว่ยอวี่ก็ได้รู้ว่าทัพอู่เว่ยมีกำลังใจเพิ่มขึ้นแล้ว!
อาหารบนภูเขาราชาหลี่ว์ควรเพียงพอไปสักระยะหนึ่ง ดังนั้นการจัดหาอาหารสำหรับทัพอู่เว่ยจึงควรจะเพียงพอ
ทัพอู่เว่ยรู้สภาพเสบียงของพวกเขาดี เดิมทีพวกเขาวางแผนที่จะจัดสรรอาหารสำหรับหนึ่งเดือน แต่ราชาของพวกเขาพบแหล่งอาหารใหม่แล้ว
ในตอนนี้เอง หลี่เฮยทั่นซึ่งควรจะฝึกอยู่ จู่ๆ ก็วิ่งกลับไปที่ภูเขาราชาหลี่ว์และตะโกนที่ปากทางเข้าถ้ำว่า” องค์ราชา ทัพเฮยอวี่เข้ามาในภูเขาแล้ว!”
หลี่ว์ซู่เดินออกมาจากถ้ำ “พวกนั้นมาเร็วขนาดนี้เลยเหรอ แล้วพวกเขากำลังมุ่งหน้าไปทางไหน”
“พวกเขาไม่ได้พุ่งเป้ามาที่พวกเรา” หลี่เฮยทั่นพูด “ดูเหมือนพวกเขาจะกำลังไปที่ด้านหลังของช่องเขาเว่ยเป่ย!”
ในยุคแห่งการฝึกบำเพ็ญ ความสำคัญของกับดักนั้นไม่ชัดเจน หากทุกคนเป็นเพียงคนธรรมดา แล้วคุณจะทำอย่างไรกับเสบียงอาหาร แม้ว่าคุณวางแผนจะผ่านไป ผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่งเคยพูดว่า “แต่เดิมโลกไม่มีถนน ที่ถนนเกิดขึ้นได้ก็เพราะคนเดิน”
ดังนั้น กับดักจึงไม่ใช่กำแพงเมืองจีน มันจะตั้งอยู่เฉพาะเส้นทางสำคัญที่มีการสัญจรผ่านไปมาเท่านั้น ผู้บำเพ็ญมีทักษะมากพอที่จะเดินไปรอบๆ เพราะการเดินป่านับเป็นแค่เรื่องกล้วยๆ สำหรับพวกเขา
แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นตอนนี้ ทัพเฮยอวี่ก็ต้องการที่จะยึดครองช่องเขาเว่ยเป่ย พวกเขายังคงรุกคืบไปทางทิศเหนือและไม่อาจทิ้งร่องรอยใดๆ ไว้เบื้องหลังได้
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขาสามารถไปรอบๆ ภูเขาได้ แต่กลับถูกโจมตีจากทั้งทัพหลงเหมิ่งและกองทัพของดินแดนทางเหนือทั้งสองฝ่าย เขาก็คงถึงจุดจบ
“ทัพเฮยอวี่เคยทำมาแบบนี้มาก่อน” หลี่ว์ซู่กล่าว “ทหารม้าคนหนึ่งของพวกเขาเคยโจมตีทัพที่เมืองอวิ๋นอานในลักษณะเดียวกันนี้ บางทีพวกเขาอาจวางแผนที่จะทำอีกครั้ง”
หลี่เฮยทั่นพูดว่า “เรากำลังรั้งพวกเขาไว้ที่หุบเขาสิบแปดลี้องค์ราชาโปรดบอกว่าเราต้องทำอย่างไรต่อไป จางเว่ยอวี่บอกว่าพวกเขามีสามพันคน”
หลี่ว์ซู่ตกตะลึงไปชั่วขณะ เขาคิดว่าทัพเฮยอวี่ยังหาทัพอู่เว่ยไม่พบ แต่พวกเขากลับสามารถรั้งพวกนั้นไว้ได้ เป็นไปได้ไหมว่าพวกเขาเริ่มการต่อสู้แล้ว เขาถามว่า “พวกนายสามารถรั้งพวกนั้นไว้ได้เหรอ! เกิดอะไรขึ้น พวกนายจัดการกับพวกนั้นได้ยังไง”
หลี่เฮยทั่นตอบ “โดยการร้องเพลงพื้นบ้าน”
หลี่ว์ซู่ตะลึงจนพูดไม่ออก
ร้องเพลงพื้นบ้านเพื่อรั้งทัพเฮยอวี่ไว้อย่างนั้นเหรอ พวกนายเสพติดการร้องเพลงบ้านกันเหรอ
หุบเขาสิบแปดลี้ถูกตั้งชื่อนี้เนื่องจากเป็นหุบเขาที่ยาวถึงสิบแปดลี้ ในอดีตเคยมีน้ำอยู่ในหุบเขานี้ แต่ดูเหมือนกระเเสน้ำจะเปลี่ยนทิศทางไปแล้ว
ทัพเฮยอวี่กำลังรุกคืบอย่างลับๆ เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงแปลกๆ ดังมาจากทั้งสองด้านของหุบเขาสิบแปดลี้ “น้ำในแม่น้ำใสมาก ต้องโทษเด็กหญิงตัวน้อยที่ขี้เล่น”
ทัพเฮยอวี่เงียบลงทันทีและวิเคราะห์ที่มาของเสียงอย่างระมัดระวัง พวกเขาต้องการโจมตีจากทางด้านหลังของช่องเขาเว่ยเป่ย เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับสนามรบที่อยู่เบื้องหน้า
ในตอนแรกพวกเขาคิดว่าไม่มีใครอยู่บนภูเขา แต่ตอนนี้พวกเขากลับได้ยินเพลงรัก หากพวกเขาพบคนที่ร้องเพลง พวกเขาจะต้องฆ่าเขาเพื่อให้แน่ใจว่าแผนการของพวกเขาจะยังเป็นความลับ
เมื่อหนึ่งเดือนก่อน ฉากนี้เป็นที่คุ้นเคยอย่างมาก ทัพชิงไซสาปส่งว่าพวกเขาเป็นบ้าและคิดว่าพฤติกรรมของพวกเขาแปลกมาก แต่ตอนนี้…พวกเขากลับต้องมาร้องเพลงด้วย…
หนึ่งในทหารของทัพชิงไซรู้สึกอับอายและไม่ยอมร้องเพลง
ในตอนนี้เอง คนที่ยืนอยู่ทางด้านทิศตะวันตกมองไปที่คนที่อยู่ทางด้านตะวันออก “ตานายแล้ว! “
เหล่าทหารของทัพชิงไซทำใจอยู่นาน “ฉันพูดอะไรตลกๆ กับเธอ และเธอก็ตกหลุมรักฉันจริงๆ …”
ทหารของทัพอู่เว่ยทั้งหมดเริ่มหัวเราะ ไม่ว่าใครก็รู้ว่าการร้องเพลงพื้นบ้านนั้นเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวของพวกเขา เขาร้องเพลงได้ดีมาก…
ในขณะเดียวกัน หลังจากร้องเพลงท่อนแรกจบแล้ว ทหารของทัพชิงไซก็ผ่อนคลายลง ในโลกเหนือธรรมชาตินี้ พวกเขาได้กลายเป็นส่วนหนึ่งไปแล้ว…
ผลลัพธ์ก็คือทุกคนเริ่มร้องเพลงด้วยความหลงใหลมากขึ้น และทหารของทัพชิงไซก็เริ่มร้องเพลงจนเริ่มติดลม
ใบหน้าของทัพเฮยอวี่เปลี่ยนเป็นดำคล้ำ นี่ใช่เวลาร้องเพลงเหรอ
“ระวังกลลวง” ผู้บัญชาการทัพเฮยอวี่กล่าวอย่างไร้ความรู้สึก “ตั้งขบวนเตรียมเผชิญหน้าการต่อสู้!”
ทันใดนั้น หลี่เฮยทั่นวิ่งมาจากทางหน้าผา “องค์ราชาสังให้พวกเราเริ่มการสังหาร!”
พวกเขาหยุดร้องเพลงพื้นบ้านและกลับเข้าไปในถ้ำ จากนั้นก็รออย่างอดทน…
ในเวลาต่อมา หลิวอี้เจากระโดดลงมาจากท้องฟ้าพร้อมกับหอกยาวสีแดง และบุกเข้าสู่เขตของทัพเฮยอวี่โดยไร้ซึ่งความลังเลใดๆ จากนั้นหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ที่รอมานาน ก็ควบคุมแอนโทนีให้โจมตี หินที่แตกทั้งหมดบนพื้นกลายเป็นทรายละเอียด!
ด้วยการโจมตีของหัวหน้าบาทหลวง ทัพเฮยอวี่มีรัศมีแสงสีเงินโอบล้อมรอบตัวและนั่นทำให้ความเร็วของพวกเขาลดลง!
ในสนามรบ ความเร็วที่ลดลงแม้เพียงเล็กน้อย ก็อาจจะก่อให้เกิดความแตกต่างอย่างใหญ่หลวง! บางครั้งหลี่ว์ซู่ก็รู้สึกว่า ถึงแม้หัวหน้าบาทหลวงอาจจะอ่อนแอในเรื่องการโจมตี แต่เขามีประโยชน์มากในการต่อสู้
ทัพอู่เว่ยกำลังรอจังหวะนี้อยู่ พวกเขาพุ่งออกมาจากถ้ำรอบๆ ทัพเฮยอวี่จึงถูกล้อมในทันที
ในตอนแรก ทัพเฮยอวี่ไร้ซึ่งความกลัวใดๆ ต่อให้มีทัพหลงเหมิ่งคอยซุ่มโจมตีอยู่ก็ตาม และผู้บัญชาการของพวกเขายังเป็นยอดฝีมือระดับหนึ่ง พวกเขายังแข็งแกร่งกว่าทัพหลงเหมิ่งอีกต่างหาก
แต่พวกเขาไม่คิดอย่างนั้นอีกต่อไป ผู้บัญชาการทัพเฮยอวี่รู้สึกโกรธ “ทำไมถึงมีระดับหนึ่งถึงสองคนมาซุ่มโจมตีอยู่ที่นี่ ไม่ใช่ว่ารายงานข่าวกรองบอกว่าพวกระดับหนึ่งเพียงแค่ดูอยู่ห่างๆ เหรอ ทำไมพวกหลงเหมิ่งถึงกล้าให้ยอดฝีมือระดับหนึ่งมาอยู่ที่ภูเขานี้ถึงสองคน แต่เดี๋ยวก่อน นี่ไม่ใช่ทัพหลงเหมิ่ง นี่คือทัพชิงไซกับทัพอู่เว่ย พวกเขาร่วมมือกัน!”
จากรายงานข่าวกรองของทัพเฮยอวี่ มียอดฝีมือระดับหนึ่งเพียงสองคนที่อยู่ในช่องเขาเว่ยเป่ยในตอนนี้
ยิ่งไปกว่านั้น ความสามารถของทหารคนอื่นๆ ในทัพอู่เว่ยก็พัฒนาไปไกลกว่าที่ผู้บัญชาการคาดคิด หุบเขาสิบแปดลี้ถูกปิดกั้นอย่างสมบูรณ์โดยคนห้าพันคนที่รีบออกไป ทัพเฮยอวี่รู้ว่าพวกเขาจะถูกโจมตีโดยทหารที่อยู่รอบๆ ทันทีที่พวกเขาเปิดฉากต่อสู้กับทัพอู่เว่ย
ในแง่หนึ่ง นั่นเป็นเพราะการควบคุมที่มีประสิทธิภาพของหัวหน้าบาทหลวง และในอีกแง่หนึ่ง เป็นเพราะทัพอู่เว่ยแข็งแกร่งกว่าทัพเฮยอวี่
อย่างไรก็ตาม ผู้บัญชาการทัพเฮยอวี่เข้าใจว่าความต้องการอันดับหนึ่งของทัพอู่เว่ยไม่ใช่การทำร้ายผู้คน แต่เป็นการชิงอาวุธของพวกเขา…
นี่เป็นกลวิธีการโจมตีแบบไหนกัน ใครก็ตามที่กล้าทำเเบบนี้ล้วนสมควรตาย แต่พวกเขาเข้าใจดีว่าทัพอู่เว่ยนั้นแข็งแกร่งมาก พวกเขาคว้าหอกเหมือนดึงแครอท ทหารของทัพเฮยอวี่เกือบจะถูกพวกเขาดึงไปด้วย…
จางเว่ยอวี่ไม่ได้ออกคำสั่ง เขายืนอยู่บนหน้าผาเพื่อตีความว่าหลี่ว์ซู่หมายถึงอะไรจากคำพูดที่ว่า “ไม่มีกลยุทธ์”
จากนั้น เขาก็ตระหนักได้ว่าตอนนี้ทัพอู่เว่ยมีพลังมากกว่ามาก ด้วยการโจมตีร่วมกันของยอดฝีมือระดับหนึ่งทั้งสองคน ทัพเฮยอวี่จึงไม่สามารถรับมือพวกเขาได้ และลงเอยเหมือนลูกแมวที่อ่อนแอ
ทหารของทัพเฮยอวี่ต้องการที่จะตอบโต้ แต่ทัพอู่เว่ยนั้นรวดเร็วและว่องไวเกินไป ทัพเฮยอวี่ไม่เพียงแต่ไม่สามารถแทงทัพอู่เว่ยด้วยหอกของพวกเขาได้ แต่หอกของพวกเขายังถูกคว้าไปอีกด้วย…
สงครามครั้งใหญ่เริ่มต้นขึ้น ทัพเฮยอวี่และหลงเหมิ่งเริ่มการต่อสู้ในช่องเขาเว่ยเป่ย มองจากด้านบน ดูเหมือนเป็นการต่อสู้ระหว่างน้ำและไฟ เป็นความขัดแย้งที่น่ากลัว
หลิวอี้เจาไปที่ช่องเขาเว่ยเป่ยพร้อมกับสัญญาและข้อแลกเปลี่ยนกับตำแหน่งผู้บัญชาการทัพอู่เว่ย ผู้บัญชาการของช่องเขาเว่ยเป่ยรู้สึกว่ามันคุ้มค่า เนื่องจากทัพอู่เว่ยอยู่ในสภาพขวัญเสียมาโดยตลอด และมันก็คุ้มค่าที่จะให้ความหวังกับพวกเขาเพื่อที่พวกเขาจะได้ต่อสู้กับทัพเฮยอวี่ เขาต้องการให้ทัพอู่เว่ยทั้งหมดถูกสังหารโดยทัพเฮยอวี่ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นเขาก็จะสามารถหาเงินได้เป็นจำนวนมากจากการใช้ตำแหน่งของเขาในฐานะผู้บัญชาการของทัพหลงเหมิ่ง
ในความเป็นจริง เขาไม่จำเป็นต้องให้ทัพเฮยอวี่สังหารหลี่ว์ซู่ก็ได้ เพราะเขาจะหาวิธีเอง คงมีแค่พระเจ้าที่รู้ว่าคนๆ นี้มาจากไหน เขาไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน…
สำหรับเขาแล้ว หลี่ว์ซู่กำลังยึดตำแหน่งผู้บัญชาการไปจากเขา สิ่งนี้ทำให้เขาเศร้าสร้อยเป็นอย่างมาก
ในขณะเดียวกัน หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าเขาไม่ได้รับความสูญเสียใดๆ จากเรื่องนี้ เขาถึงขั้นคิดว่าเขาสามารถเล่นสนุกกับตำแหน่งผู้บัญชาการได้ด้วยซ้ำ ถ้าเขาสามารถเอาชนะที่ช่องเขาเว่ยเป่ยได้…
อย่างไรก็ตาม เรื่องเหล่านี้ถือเป็นเรื่องรอง หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าเรื่องเร่งด่วนที่สุดคือต้องช่วยแต่งตัวให้ทัพอู่เว่ย
เมื่อทัพชิงไซมาถึง พวกเขามีอุปกรณ์ครบครันและแต่งกายได้อย่างเหมาะสม แต่ทัพอู่เว่ยกลับโยนอาวุธและชุดเกราะทั้งหมดของพวกเขาทิ้งไป ในขณะที่วิ่งเพื่อเอาชีวิตรอด
ในที่สุดพวกเขาก็รวบรวมความกล้าและความทะเยอทะยานได้บางส่วน แต่แล้วพวกเขาก็คิดได้ว่าพวกเขาไม่มีอาวุธบ้าอะไรทั้งนั้น… ดังนั้นหลี่ว์ซู่จึงรู้สึกว่าเขาควรขโมยอาวุธจากทัพเฮยอวี่
นี่อาจฟังดูตลกสำหรับผู้คนในเขตทางเหนือ ทัพชิงไซย่อยยับ ทัพหลงเหมิ่งแห่งช่องเขาเว่ยเป่ยและทัพฉือเหยียนแห่งช่องเขาหลีหยางล้วนอาศัยอยู่ด้วยทรัพยากรที่มีไม่เพียงพอ ขณะที่กองทัพชั้นยอดกำลังซ่อนตัว ทัพอู่เว่ยก็ต้องการที่จะขโมยของจากทัพเฮยอวี่…
จางเว่ยอวี่ถามหลังจากตกตะลึง “นี่นายเป็นบ้าไปแล้วเหรอ”
“ผมไม่ได้บ้า” หลี่ว์ซู่ตอบ “ผมแค่วางแผนที่จะทำในสิ่งที่ทำค้างไว้ต่อ คุณลืมตัวตนของผมก่อนที่ผมจะกลายมาเป็นผู้บัญชาการทัพอู่เว่ยแล้วเหรอ”
จางเว่ยอวี่ตอบอย่างระมัดระวัง “หัวหน้าโจรของหมู่บ้านมังกรฟ้า…”
“ถูกต้อง ผมต้องดำเนินชีวิตไปตามแนวทางของโจร ถ้าผมไม่ขโมยของจากทัพเฮยอวี่ในตอนที่พวกเขาเดินทางผ่านมา ผมจะต้องเสียหน้าแน่ หากว่าข่าวนี้แพร่กระจายออกไปในอนาคต” หลี่ว์ซู่กล่าว
[ได้แต้มจากจางเว่ยอวี่ +666!]
จางเว่ยอวี่คิดว่าต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ ยิ่งไปกว่านั้น จางเว่ยอวี่พบว่าหลี่ว์ซู่กำลังสอนบทเรียนวัฒนธรรมให้แก่เหล่าทหารของเขาในวันก่อนที่จะส่งพวกนั้นไปขโมยจากทัพเฮยอวี่!
หลี่ว์ซู่วิเคราะห์ว่า “ลองนึกถึงความสามารถของกองทัพเราตอนนี้สิ เรามียอดฝีมือระดับหนึ่งสองคน มีระดับสองยี่สิบเอ็ดคน ส่วนคนที่เหลือแบ่งเป็นระดับสามและสี่อย่างเท่าๆ กัน ผมพูดถูกไหม”
“ก็ใช่” จางเว่ยอวี่ตอบ “แม้แต่ทหารจากทัพชิงไซก็เพิ่มขึ้นเหมือนกัน”
“แล้วทัพเฮยอวี่ล่ะ” หลี่ว์ซู่ถามอย่างใจเย็น “ผู้บัญชาการคนเดียวเป็นผู้นำกองทัพกี่กองทัพ”
“ผู้บัญชาการหนึ่งคนนำทัพสามพันคน โดยครึ่งหนึ่งเป็นพวกระดับห้า ส่วนที่เหลือ…”
“แล้วพวกเขาแข็งแกร่งเท่าพวกเราหรือเปล่า” หลี่ว์ซู่ถาม
“ก็น่าจะไม่…” จางเหว่ยอวี่ถอนหายใจ อย่างไรก็ตามไม่มีใครสามารถคำนวณความแข็งแกร่งของกองทัพในลักษณะนี้ได้ ไม่มีทหารคนใดในทัพชิงไซที่ได้รับการฝึกฝนยุทธวิธีการรบ
“ใจเย็นก่อน” หลี่ว์ซู่ปลอบจางเว่ยอวี่หลังจากตบไหล่เขา “พวกเราไม่ได้จะต่อสู้กับทัพเฮยอวี่โดยตรงเสียหน่อย ยิ่งไปกว่านั้นคือถึงแม้ว่าพวกเราจะขโมยของจากพวกเขา เราก็ต้องรอให้กลุ่มต่อไปพัฒนาทักษะของพวกเขาก่อน ผมรู้ว่าคุณกังวล แต่ถ้าพวกเขาแข็งแกร่งพอ กลยุทธ์ของทัพอู่เว่ยก็คือการไม่มีกลยุทธ์”
หลังจากหลี่ว์ซู๋ปลอบใจเขา จางเว่ยอวี่ก็ยิ่งเป็นกังวลมากขึ้น…
เขาจะไม่ต้องการกลยุทธ์ใดๆ เลยถ้าเขาอยู่กับทหารมังกรจักรพรรดิ
เส้นชีวิตของทัพอู่เว่ยทั้งหมดกำลังพัฒนาขณะที่วันเวลาผ่านไป น้ำมันจากยาสมุนไพรหมดลงอย่างรวดเร็ว ด้วยการฝึกฝนกับคนกลุ่มนี้ จางเว่ยอวี่ต้องย้ายไปที่เนินเขาอื่นทุกวัน หนึ่งคือเพื่อเก็บเกี่ยวยาสมุนไพรทั้งหมดบนภูเขา และอีกอย่างหนึ่งคือเพื่อล่าสัตว์ร้ายบนภูเขา
ในตอนแรก ทุกอย่างดำเนินไปอย่างสงบ แต่การมาถึงของกลุ่มโจรกลับทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นเมื่อพวกเขากำลังล่าสัตว์ร้าย …
หลังจากการฝึกซ้อมของวันนั้น คนกลุ่มหนึ่งก็ส่งเสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวดอยู่ที่เชิงเขา จากนั้น หลังจากนั่งสมาธิมาทั้งคืน พวกเขาก็ได้รับการฟื้นฟู
ทุกคนค่อยๆ คุ้นเคยกับการฝึกอย่างเข้มข้น ในความเป็นจริง เมื่อเส้นชีวิตของพวกเขาพัฒนาขึ้นและมีเสถียรภาพมากขึ้น จางเว่ยอวี่จึงต้องการเพิ่มความเข้มข้นของการฝึกให้มากขึ้น
หลี่ว์ซู่ประทับใจจางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ มาก ในตอนกลางคืน พวกเขาต้องผลัดกันปรุงสมุนไพรและอุณหภูมิที่ใช้ก็จะต้องได้รับการดูแล ในตอนกลางวัน พวกเขาต้องเรียนรู้บทเรียนวัฒนธรรมและการฝึกฝน และสามารถนอนหลับได้ในช่วงพักเพียงสั้นๆ เท่านั้น แต่จางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ ก็ยังคงกระตือรือร้น
ราวกับว่าที่พวกเขามีความสุขก็เพราะกองทัพพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ
ในตอนแรก หลี่เฮยทั่นและคนอื่นๆ ไม่ชอบจางเว่ยอวี่และคนที่เหลือ และพวกเขายังคิดอีกว่าการให้กลุ่มคนธรรมดามาฝึกผู้บำเพ็ญนั้นดูแปลกๆ แต่ความนับถือที่พวกเขามีต่อจางเว่ยอวี่และคนที่เหลือก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป
ช่วงนี้หลี่ว์ซู่มีความสุขมาก ความเร็วในการฝึกของเขาเพิ่มขึ้น แต้มอารมณ์ก็เช่นกัน
ความก้าวหน้าของบทเรียนวัฒนธรรมก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน หลี่ว์เสี่ยวอวี๋เองก็ทำให้เขาประหลาดใจเช่นกัน หลังจากที่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ขโมยอาหารมา ช่องเขาเว่ยเป่ยก็เริ่มควบคุมเสบียงที่มอบให้กับทหารแต่ละคน และเมื่อเหล่าทหารเริ่มเห็นว่าส่วนแบ่งอาหารของพวกเขาลดลงเมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาก็ให้แต่อารมณ์จำนวนมหาศาล
จริงๆ แล้ว หลี่ว์ซู่ไม่ได้คาดหวังว่าการขโมยอาหารจะก่อให้เกิดประโยชน์มากมายขนาดนี้ เขาอยากจะขอให้หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ไปจัดการที่เก็บอาหารของทัพหลงเหมิ่งอีกสักครั้ง…
แต่เขาทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะทัพหลงเหมิ่งกำลังสู้กับทัพเฮยอวี่อยู่ เมื่อทัพหลงเหมิ่งพ่ายแพ้ ทัพเฮยอวี่ก็คงจะมีพลังงานเพียงพอที่จะออกค้นหา ‘ทัพชิงไซที่หายไป’ ในภูเขาได้
ในขณะที่ทัพเฮยอวี่และทัพหลงเหมิ่งกำลังต่อสู้กันอย่างสุดกำลัง สถานการณ์ที่ภูเขาราชาหลี่ว์ก็ค่อนข้างเงียบสงบ ราวกับว่าทุกคนกำลังยึดอำนาจของตนเองไว้
หลิวอี้เจากลับมาพร้อมกับคำแนะนำ ตอนนี้หลี่ว์ซู่ได้รับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในฐานะผู้บัญชาการทัพเว่ยอวี่แล้ว ดังนั้นในที่สุดเขาก็สามารถเขียนจดหมายรับรองการคัดเลือกเข้าสู่กระท่อมกระบี่ได้
หลี่ว์ซู่ก็อยากรู้เล็กน้อยเช่นกัน กระท่อมกระบี่ดูเหมือนจะเป็นสถานที่พิเศษ ตามตำนานเล่าว่า ถึงแม้ทั่วทั้งโลกจะตกอยู่ในความโกลาหล แต่พวกเขาก็จะไม่ให้เวลาผู้สมัครในการหยุดหย่อนเลย
บรรดาผู้ที่มีประสบการณ์ในวันคัดเลือกเข้ากระท่อมกระบี่เดินทางไปที่พระราชวังพร้อมกระเป๋าเดินทาง ผู้บัญชาการกองทัพก็ไม่สนใจและสนับสนุนพวกเขาเช่นกัน
หากบุคคลในตำนานของกระท่อมกระบี่ปรากฏตัวในกองทัพของพวกเขา เมื่อคู่ต่อสู้ประสบความสำเร็จในอนาคต ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็จะต้องช่วยเขา นี่นับเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง และผลลัพธ์ของความล้มเหลวก็คือการสูญเสียทหารเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ทุกคนสามารถจัดการเรื่องนี้ได้
เป็นเวลาเกือบหกเดือนในการคัดเลือกกระท่อมกระบี่ ซึ่งจะจัดขึ้นในช่วงฤดูหนาวที่หนาวเย็น
Related
ขบวนยานพาหนะที่ทอดยาวกว่าหนึ่งพันเมตรหยุดและหันกลับไปมอง ด้วยความตกใจ พวกเขาพบว่ารถม้าที่อยู่ท้ายสุดของขบวนกำลังจมลงสู่พื้น พื้นดินเป็นเหมือนพื้นผิวของน้ำ ! รถม้าร่วงลงสู่พื้นและหายไป
ยิ่งไปกว่านั้น จำนวนรถม้าที่หายไปก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่มีวี่แววว่าจะหยุด
ทหารจากทัพหลงเหมิ่งรีบปกป้องรถม้าของพวกเขา พวกเขาไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น! พวกเขาอยากจะทักทายศัตรูด้วยการโจมตี แต่พวกเขามองไม่เห็นแม้แต่ว่าศัตรูอยู่ที่ไหน!
ในท้ายที่สุด เมื่อรถม้ากว่าสามสิบคันหายไป ผู้บัญชาการระดับสองของทัพหลงเหมิ่งก็ตะโกนว่า “ฉันเกรงว่าทัพเฮยอวี่จะเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว ทุกคนต้องระวังตัวให้ดี! ยกรถม้าขึ้นจากพื้น!”
ในขณะนั้น ทัพหลงเหมิ่งได้ยกรถม้าที่เหลืออีกยี่สิบคัน ในที่สุดพวกเขาก็ป้องกันไม่ให้รถม้าหายไปได้
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋สามารถลากคนเหล่านี้ลงไปใต้ดินพร้อมกับรถม้าก็ได้ แต่หลี่ว์ซู่บอกเธอว่าห้ามฆ่าคน แหวนอวกาศของเธอไม่สามารถเก็บได้มากกว่านี้เช่นกัน หลี่ว์เสี่ยวอวี๋หันหลังและจากไป
ทหารของทัพหลงเหมิ่งตระหนักได้ว่านี่เป็นวิธีที่ได้ผล พวกเขาเริ่มชื่นชมผู้บัญชาการของพวกเขา “ผู้บัญชาการของพวกเราฉลาดมาก!”
สำหรับทัพหลงเหมิ่ง ยังจะมีใครมาขโมยธัญพืชอีก หากไม่ใช่ทัพเฮยอวี่ มีวิธีการในโลกนี้ที่ให้คนซ่อนตัวอยู่ในพื้นดินได้ แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ใช้วิธีการนี้ได้ ว่ากันว่าชนชั้นสูงในทัพเฮยอวี่สามารถทำแบบนี้ได้
หลี่ว์ซู่อยู่ในถ้ำหินปูนของภูเขาราชาหลี่ว์เพื่อฝึกฝนท่วงท่าวิชากระบี่ของเขา เขาพบว่าหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ได้รับแต้มเป็นจำนวนมาก แต่ที่ว่ามีจำนวนหลายร้อย ทันใดนั้น หลี่ว์ซู่รู้ก็สึกว่าอัตราที่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ได้รับแต้มอารมณ์นั้นเร็วพอๆ กับเขา…
บนเส้นทางทางตอนเหนือของช่องเขาเป่ยเว่ย มีคนห้าคนนั่งเรียงแถวกันเงียบๆ อยู่บนกิ่งไม้ พวกเขาหลับตาลงและพักผ่อน ทันใดนั้นก็มีม้าควบม้าเข้ามา พวกเขาทั้งห้าคนลืมตาขึ้นพร้อมกัน “พวกเขาอยู่ที่นี่”
“โจมตีแล้ววิ่งทันที” ผู้เป็นหัวหน้าพูดขึ้น “ผู้บัญชาการต้องการช่องเขาเว่ยเป่ย เราต้องไม่ประมาท”
“รับทราบ” อีกสี่คนที่เหลือพูดขึ้นพร้อมกัน
ห้าคนนี้เป็นหน่วยสอดแนมที่ยอดเยี่ยมที่สุดของทัพเฮยอวี่ หนึ่งในพวกเขาคือยอดฝีมือระดับสอง แม้ว่าพวกเขาจะถูกเรียกว่าหน่วยสอดแนม แต่พวกเขาก็แตกต่างจากหน่วยสอดแนมที่มักจะอยู่ในแนวหน้าของกองทัพ หน้าที่ของพวกเขาคือการแทรกซึมเข้าไปในพื้นที่และทำงานให้สำเร็จ
พวกเขาได้รับหน้าที่ให้มาเผาธัญพืชในช่องเขาเว่ยเป่ย พวกเขาแทรกซึมอยู่ในช่องเขาเว่ยเป่ยมาเป็นเวลากว่าห้าปีเต็ม เมื่อกองทัพเฮยอวี่มาถึงในเช้าวันนี้พวกเขาจึงได้จัดการกับช่องเขาเว่ยเป่ยอย่างเด็ดขาด
อย่างไรก็ตาม พวกเขารู้ดีว่าแม้พวกเขาจะทำลายธัญพืชทั้งหมดในช่องเขาเว่ยเป่ย แต่ทัพหลงเหมิ่งก็มีสิทธิ์ที่จะได้รับธัญพืชจากเมืองใกล้เคียงทั้งห้าเมือง ดังนั้น หลังจากที่พวกเขาจัดการกับช่องเขาเว่ยเป่ยแล้ว พวกเขาทั้งห้าคนจึงซ่อนตัวอยู่ใกล้ๆ และรอให้ขบวนขนส่งมาถึง
เพราะพวกเขาต้องการเริ่มการโจมตีที่รุนแรง พวกเขาจึงต้องทำลายรากฐานของฝ่ายตรงข้าม
แต่ในตอนนั้นเอง พวกเขาทั้งห้าคนก็ต้องตกตะลึง “มีบางอย่างไม่ถูกต้อง!”
เมื่อขบวนขนส่งเข้ามาอยู่ในระยะสายตาของพวกเขา ทั้งห้าคนถึงได้เข้าใจว่าจำนวนธัญพืชที่ขนส่งมานั้นมีน้อยมาก “หรือพวกนั้นจะรู้ว่าพวกเรากำลังซุ่มอยู่เพื่อรอทำลายธัญพืช ทำไมพวกนั้นถึงมีรถม้าน้อยขนาดนี้”
“เป็นไปไม่ได้” คนที่เป็นผู้นำส่ายหัว “พวกเราแฝงตัวอยู่ในทัพหลงเหมิ่งมาห้าปีแล้ว พวกเราจะไม่รู้ได้ยังไงว่าพวกเขาขนส่งธัญพืชกันยังไง ทุกคนอยู่ที่นี่ แต่รถม้าหายไป!”
เขาพูดถูก ทุกคนอยู่ที่นี่ แต่รถขนส่งล่ะ พวกเขามีรถขนส่งเสบียงจำนวนมหาศาล รถเหล่านั้นหายไปได้อย่างไร
“มีบางอย่างแปลกๆ” จู่ๆ ใครคนหนึ่งก็พูดขึ้น “ดูสิ…”
ทุกคนมองไปยังทิศทางนั้นทันที พวกเขาสังเกตเห็นทัพหลงเหมิ่งไม่ได้ใช้ล่อดึงในการลากรถม้า แต่พวกเขาเพียงแค่ยกรถม้าขึ้นแล้วเดิน…
“นี่มันเรื่องอะไรกัน พวกเรารออยู่ในทัพหลงเหมิ่งมาห้าปีแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นพวกเขาแบกรถขนส่งเดิน…” ใครบางคนถอนหายใจ
“ต้องมีบางอย่างผิดปกติแน่…”
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเข้าใจว่าทำไมทัพหลงเหมิ่งจึงต้องเดินแบกรถม้า แต่ฉากตรงหน้าของพวกเขานั้นแปลกเกินไป หน่วยสอดแนมทั้งห้าคนจากทัพเฮยอวี่คงไม่เชื่อว่าไม่มีปัญหาอะไรอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้…
“พวกเรายังต้องโจมตีอยู่ไหม” ใครบางคนถามเสียงต่ำ
ผู้เป็นหัวหน้าครุ่นคิดและพูดว่า “เดี๋ยวก่อนนะ เดี๋ยวก่อน ฉันขอคิดก่อนว่าทำไมพวกเขาถึงทำแบบนั้น…หรือนี่จะเป็นกับดัก แต่กับดักนี้แปลกเกินไป…”
หน่วยสอดแนมจากทัพเฮยอวี่ไม่เข้าใจว่าทำไมคนเหล่านี้ถึงต้องแบกรถขนส่ง ทัพหลงเหมิ่งไม่เข้าใจว่าทำไมยอดจึงขัดขวางกองเรือขนส่งขนาดเล็กเช่นพวกเขา …
ไม่ใช่ว่าทัพหลงเหมิ่งต้องการแบกรถขนส่ง ในความเป็นจริง ทุกคนคิดว่าถ้าเป็นยอดฝีมือที่พวกเขานึกถึง พวกเขาอาจถูกดึงลงใต้ดินไปพร้อมกับรถม้าแล้ว แต่หลังจากที่พวกเขายกรถม้าขึ้น ก็ไม่มีการโจมตีอีก…
นี่ให้ความรู้สึกเหมือนการทดลองในสัตว์ หากลิงในกรงยื่นมือออกไปเพื่อจับกล้วย มันจะถูกไฟช็อต และมันจะได้เรียนรู้ว่ามันจะถูกไฟช็อตถ้ามันพยายามจะหยิบกล้วย ดังนั้นมันจึงไม่กล้าหยิบกล้วยอีกต่อไป
พวกเขาจะทำอะไรได้ พวกเขาเองก็รู้สึกสิ้นหวังเช่นกัน
“ขบวนขนส่งหายไปก่อนที่พวกเราจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น…” หนึ่งในหน่วยสอดแนมจากทัพเฮยอวี่ถอนหายใจ
“เดี๋ยวก่อนนะ เดี๋ยวก่อน…ลืมมันไปก่อน นี่แปลกเกินไปแล้ว แยกย้าย!” หน่วยสอดแนมจากทัพเฮยอวี่แยกย้ายกันไป พวกเขามีเพียงห้าคนและแข็งแกร่งมาก พวกเขาจะจัดการเฉพาะการโจมตีขั้นเด็ดขาดเท่านั้น พวกเขาจะไม่ทำอะไรที่เสี่ยงเกินไป
แต่ในขณะนั้น จู่ๆ พวกเขาก็รู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลจากท้องฟ้า ผู้ที่เป็นผู้นำตะโกนว่า “มียอดฝีมือระดับหนึ่งมาจากทางเขตเหนือ!”
พวกเขาเห็นยอดฝีมือระดับหนึ่งยกมือขึ้นและออกแรงกดลงบนพื้น ฝ่ามือสีดำขนาดใหญ่ตกลงมาจากท้องฟ้า ลมกระโชกแรงพัดอยู่ในป่า ยอดฝีมือกดป่าที่พวกเขาอยู่ลงไป หน่วยสอดแนมของทัพเฮยอวี่ทั้งห้าคนนอนอยู่บนพื้นและไม่สามารถขยับตัวได้
พวกเขาพยายามดิ้นรน แต่ก็ถูกมือสีดำกดเอาไว้ พวกเขาไม่สามารถแม้แต่จะยกนิ้วขึ้นมา
คนที่อยู่บนฟ้าพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “คืนทุกอย่างที่พวกนายขโมยมาซะ ถ้าพวกนายกล้าขโมยธัญพืชของทัพหลงเหมิ่ง งั้นก็เตรียมร้องขอความเมตตาซะเถอะ”
เมื่อหน่วยสอดแนมทั้งห้าคนถูกโยนเข้าไปในคุกในช่องเขาเว่ยเป่ย ชายชราสวมเสื้อคลุมสีดำก็เดินเข้ามา เขามองไปที่หน่วยสอดแนมของทัพเฮยอวี่ที่ถูกขังอยู่และพูดว่า “บอกฉันสิ พวกนายซ่อนรถขนส่งธัญพืชของพวกเราที่หายไปไว้ที่ไหน”
หน่วยสอดแนมของทัพเว่ยอวี่หวาดกลัวอย่างมาก “พวกเราอธิบายได้นะ เมื่อเช้านี้พวกเราเพียงแค่นั่งอยู่บนต้นไม้ จากนั้นพวกเราก็เห็นทัพหลงเหมิ่งแบกรถม้าเดินผ่านไป…พวกเราไม่มีแม้แต่เวลาให้ตอบโต้ด้วยซ้ำ!”
ชายชราขมวดคิ้ว “ไม่สำนึกผิดใช่ไหม บอกฉันมา รถม้าขนส่งของพวกเราหายไปไหน!”
หน่วยสอดแนมของทัพเฮยอวี่แทบจะร่ำไห้ พวกเขาไม่ได้ขโมยรถม้าจริงๆ!
ในคืนนั้น ทัพหลงเหมิ่งได้ส่งชนชั้นสูงจำนวนมากออกค้นหาพื้นที่ พวกเขาต้องการค้นหาทหารของทัพเฮยอวี่ที่แทรกซึมเข้ามาในกองทัพของพวกเขา…
กลับไปที่ภูเขาราชาหลี่ว์ หลี่ว์ซู่มองไปที่รถขนส่งด้วยความตะลึง “เธอจ่ายไปเท่าไหร่”
“ฉันไม่ได้จ่ายอะไรเลย!” หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ฟังดูพึงพอใจในตนเองมาก “และฉันก็ไม่ได้ทำร้ายใครด้วย ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุม!”
Related
บทเรียนวัฒนธรรมเป็นสิ่งจำเป็น ถ้าไม่เรียนแล้ว จะได้แต่มอารมณ์มาจากไหน
แต่เนื่องจากบทเรียนวัฒนธรรมเหล่านี้ใช้เวลานาน การฝึกที่ดำเนินการในช่วงเวลาที่เหลือจึงต้องเอาจริงเอาจังให้มากพอ เพื่อเติมเต็มแผนของจางเว่ยอวี่ในการฝึกกองทัพอย่างสมบูรณ์ภายในสามเดือน
ถ้าพวกเขาไม่ทำเช่นนั้น เมื่อทัพเฮยอวี่จัดการช่องเขาเว่ยเป่ยจนเสร็จสิ้น และมุ่งความสนใจไปที่การแก้ไขพื้นที่นี้ ภูเขาราชาหลี่ว์อาจต้องเผชิญหน้ากับการต่อสู้โดยไม่ได้หยุดพัก
จางเว่ยอวี่ได้แต่หวังว่าก่อนที่ทัพอู่เว่ยจะล่มสลาย ดินแดนทางเหนือจะเริ่มโต้กลับได้ ถ้าไม่เช่นนั้น ถึงแม้ทัพอู่เว่ยจะแข็งแกร่งขึ้น แต่พวกเขาก็ไม่สามารถหยุดทหารหลายแสนคนจากทัพเฮยอวี่ได้!
แน่นอนว่าทัพเฮยอวี่ไม่สามารถส่งกำลังพลทั้งหมดมาที่นี่ได้ เพราะพวกเขาจะยังต้องการคนเพื่อคอยปกป้องช่องเขาเว่ยเป่ยและป้องกันการโจมตีจากดินแดงทางเหนืออย่างแน่นอน แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น มันก็ยังอันตรายมาก
หลี่ว์ซู่ฝึกท่วงท่าวิชากระบี่ตลอดทั้งวัน ราวกับว่าเขาจะไม่ยอมเดินออกจากถ้ำหินปูน เว้นแต่จะมีเรื่องเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น หลิวอี้เจาถอนหายใจ “เป็นอย่างที่คาดไว้ องค์ราชาแข็งแกร่งกว่าพวกเรา ผมไม่มีแรงแบบนี้ตอนที่ยังฝึกอยู่หรอกนะ”
จางเว่ยอวี่กลอกตา เขาไม่ว่างมาใส่ใจที่จะจัดการกับหลิวอี้เจา เขาไม่สามารถเข้าใจสถานการณ์ได้อย่างสมบูรณ์ เขาทำได้เพียงรอให้ราชาที่แท้จริงปรากฏตัว
เมื่อหลี่เฮยทั่นเห็นจางเว่ยอวี่กลอกตา เขาก็ยกดาบขึ้น “คุณ คุณมีอะไรอยากจะพูดกับท่านเทพหรือไม่”
จางเว่ยอวี่พูดไม่ออก
หึๆๆ ดีมาก พวกนายทุกคนจงรักภักดีกันเหลือเกิน!
จางเว่ยอวี่มองไปยังทัพอู่เว่ย แม้ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้พวกเขาก็ยังเข้าร่วมบทเรียนวัฒนธรรม เขาทนไม่ได้ เขาจึงวิ่งเข้าไปในถ้ำหินปูนเพื่อตามหาหลี่ว์ซู่
เขาเพิ่งเข้าไปในถ้ำหินปูนในตอนที่เขาเห็นรอยกระบี่รอยใหม่อยู่บนผนัง เขาแทบจะเป็นลมล้มลงกับพื้น จางเว่ยถอยกลับอย่างสับสน เขาไม่ได้คาดหวังว่าในช่วงไม่กี่วันที่เขาไม่ได้เข้ามาในถ้ำนั้น รอยกระบี่บนผนังกลายเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ยิ่งขึ้น เขาไม่สามารถแม้แต่จะมองไปที่พวกมัน!
“นี่ ออกมาเถอะ ฉันจะไม่เข้าไปหรอกนะ” จางเว่ยอวี่คำรามมาจากนอกถ้ำ
หลังจากนั้นไม่นาน หลี่ว์ซู่ก็เดินออกมาพร้อมรอยยิ้ม “เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ”
จางเว่ยอวี่มองไปที่หลี่ว์ซู่อย่างลังเล “นายเลื่อนขั้นอีกแล้วเหรอ”
“ใช่แล้ว ผมก้าวขึ้นสู่ระดับที่สามแล้ว!” หลี่ว์ซู่ตอบ ไม่มีอะไรต้องปิดบัง เขาเพิ่งก้าวขึ้นสู่ระดับที่สาม
แต่เขาไม่รู้ว่านี่ทำให้จางเว่ยอวี่ตกใจมากแค่ไหน!
ในตอนนั้นพวกเขารู้สึกว่าหลี่ว์ซู่เลื่อนระดับเร็วเกินไป มันไม่สมเหตุสมผล ดังนั้นพวกเขาจึงจดบันทึกทุกครั้งที่หลี่ว์ซู่เลื่อนระดับ ตอนแรก จางเว่ยอวี่และคนที่เหลือคิดว่าหลี่ว์ซู่จะเลื่อนระดับอีกครั้งในอีกสามเดือน แต่หลี่ว์ซู่ไม่เหมือนกับทัพอู่เว่ยและทัพชิงไซ พลังของเขาไม่ได้ติดอยู่ในคอขวด
แต่หลี่ว์ซู่กลับใช้เวลาไม่ถึงสามเดือนด้วยซ้ำ เขาเลื่อนระดับจากระดับสี่เป็นระดับสามในเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน ทำให้รู้สึกราวกับว่าเขากำลังเร่งความเร็วขึ้น
แต่จางเว่ยอวี่ไม่รู้ว่าสำหรับหลี่ว์ซู่แล้ว นี่ก็เหมือนกับว่าเกมรุ่นเล็กๆ ของเกมเก่าที่เคยปล่อยออกมาก่อนหน้านี้ เขาคิดว่าอาจจะต้องใช้เวลาพอสมควรในการก้าวขึ้นสู่ระดับสาม แต่เขาสังเกตเห็นว่าความก้าวหน้าของเขามีแต่เร็วขึ้นและเร็วขึ้น
ราวกับว่าความสำเร็จเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ
“ว่าแต่คุณมาทำอะไรที่นี่” หลี่ว์ซู่ถามอย่างสงสัย “ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับชั้นเรียนวัฒนธรรมล่ะก็ ลืมไปได้เลย”
ไม่เป็นที่แน่ชัดว่าเมื่อไรที่หลี่ว์ซู่จะก้าวไปสู่อัระดับสอง เขาอาจจะไปถึงระดับหนึ่งได้ด้วยซ้ำ ถึงเวลาแล้วที่เขาจะได้รับแต้มอารมณ์ครั้งใหญ่ เขาจะมาใจเย็นอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
เมื่อจางเว่ยอวี่ได้รู้ว่าจุดมุ่งหมายของเขาถูกบดขยี้อย่างสมบูรณ์ เขาก็แทบสำลัก “แล้วธัญพืชล่ะ พวกเราจะทำยังไง ในตอนนั้นนายบอกว่าพวกเราต้องประหยัดค่าธัญพืช แต่นายกลับอนุญาตให้ทัพอู่เว่ยจัดการด้วยตัวเอง แล้วทีนี้พวกเราจะทำยังไง ตอนนี้อาหารมีไม่พอกินแล้ว…เดี๋ยว ปล่อยฉันนะ!”
จางเว่ยอวี่ถูกพาตัวไปโดยหลิวอี้เจาและหลี่เฮยทั่นที่กำลังพยุงเขาไปทั้งสองข้าง ระหว่างทาง หลิวอี้เจาพูดอย่างสงบว่า “คุณจาง คุณกำลังช่วยราชาให้ได้ขึ้นครองบัลลังก์ ดังนั้นได้โปรดอย่าขัดขวางเขาเลย”
จางเว่ยอวี่กล่าวว่า “อะไรนะ! ฉันควรฆ่านายให้ตายๆ ไปซะตั้งแต่อยู่ที่พระราชวังในตอนนั้น…เจ้าโง่เอ๊ย! ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้!”
นายกำลังพูดถึงอะไร ช่วยหมอนั่นให้ขึ้นครองบัลลังก์เหรอ ทั้งหมดนั่นก็แค่เรื่องหลอกลวง จางเว่ยอวี่ค่อยๆ หยุดดิ้นรน การแสดงออกของเขาดูราวกับว่าเขาไม่เหลืออะไรให้มีชีวิตอีกแล้ว
หลี่ว์ซู่ยืนอยู่บนภูเขาราชาหลี่ว์ เขาดูน่าเกรงขามและยิ่งใหญ่ มันสุดยอดจริงๆ ที่ได้มีลูกน้อง
แต่เขาก็เป็นกังวลเรื่องอาหารเช่นกัน แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาหลัก หลี่ว์เสี่ยวอวี๋มีเงินแล้ว!
ก่อนที่เธอจะไป หลี่ว์ซู่ถึงขั้นบอกกับหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ว่า ตอนนี้พวกเขามีเงินแล้ว เธอควรจะทำให้เต็มที่ในการซื้อธัญพืช
ในแง่หนึ่ง หลี่ว์ซู่ไม่ใช่ฆาตกร ถึงแม้ว่าเขาจะกลายเป็นหัวหน้ากลุ่มโจร แต่เขาก็ไม่ต้องการที่จะจัดการกับเรื่องทุกอย่างด้วยความรุนแรง
ในทางกลับกัน เขาเป็นกังวลว่าช่องเขาเว่ยเป่ยอาจจะมียอดฝีมือคอยดูแล ถึงแม้ว่าพวกเขาอาจจะมีไม่มากเท่าทัพเฮยอวี่ แต่ถ้ามียอดฝีมือระดับหนึ่งมากกว่าสองคนคอยจับตาสี่ยวอวี๋อยู่ ก็คงจะไม่สะดวกนัก
นอกจากนี้ หลิวอี้เจายังต้องไปเป็นตัวแทนของทัพอู่เว่ย และแต่งตั้งให้เขาเป็นผู้บัญชาการทัพอู่เว่ย หลี่ว์ซู่ไม่ต้องการให้เกิดปัญหาใดๆ ในช่วงเวลาวิกฤตนี้
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋โบกมือ “ฉันจะไม่สู้กับใครทั้งนั้น!”
ถึงแม้หลี่ว์เสี่ยวอวี๋อาจจะรับปาก แต่หลี่ว์ซู่ก็ไม่อาจสบายใจได้
ในตอนแรก หลิวอี้เจาเอาเงินออมออกมาเพียงครึ่งเดียว แต่หลังจากที่เขาได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะจงรักภักดีแล้ว เขาก็นำเงินออมออกมาทั้งหมด อย่างไรหลิวอี้เจาก็เก็บเงินมาเพื่อวันนี้ …
แต่เขาไม่ได้มีเงินออมมากนัก หลี่ว์ซู่รู้สึกสงสัยเล็กน้อย ในฐานะเจ้าเมืองหนานเกิงและผู้บัญชาการทัพชิงไซ ทำไมเขาถึงมีเงินเพียงไม่กี่แสน ทั้งๆ ที่เก็บรักษามานานกว่าสิบปี หลิวอี้เจา อธิบายว่าเขาแค่ไม่อยากสร้างความวุ่นวายให้กับผู้คนมากเกินไป และเขาก็ไม่เต็มใจที่จะยักยอกเงินเดือนของทหาร มีหลายครั้งที่เขาใช้เงินของตัวเองเพื่อจ่ายให้ทหารและซื้ออุปกรณ์ให้พวกเขา
หลังจากได้ยินเรื่องนี้ หลี่ว์ซู่จึงไม่แปลกใจเลยที่ทัพชิงไซนั้นจงรักภักดีต่อเขามาก เขาแข็งแกร่งกว่าเย่เสี่ยวหมิง ผู้บัญชาการทัพอู่เว่ยคนก่อน
เงินสองสามแสนดูเหมือนจะไม่ใช่เงินเล็กน้อย พวกเขาสามารถซื้อข้าวได้สักสองสามแสน แต่ปัญหาก็คือพวกเขาต้องเลี้ยงดูกว่าห้าพันคน แม้แต่คลังไร้รูปของเสี่ยวอวี๋ก็ไม่เพียงพอที่จะจัดเก็บทั้งหมดนี้ เธอต้องเดินทางหลายครั้ง
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋พาหัวหน้าบาทหลวงและแอนโทนีไปยังเมืองในระยะหนึ่งร้อยห้าสิบกิโลเมตรจากช่องเขาเว่ยเป่ยเพื่อซื้ออาหาร หลังจากสอบถามไปรอบๆ เธอถึงได้รู้ว่าธัญพืชในเมืองทั้งหมดถูกทัพหลงเหมิ่งแห่งช่องเขาเว่ยเป่ยเอาไปหมดแล้ว ว่ากันว่ามีสายลับปรากฏตัวขึ้นในช่องเขาเว่ยเป่ย เปลวไฟทำลายธัญพืชทั้งหมดใน ช่องเขาเว่ยเป่ย ดังนั้นพวกเขาจึงขนส่งธัญพืชจากเมืองใกล้เคียง
จากเรื่องนี้ พวกเขาสามารถอนุมานได้ว่าเป็นแผนของทัพเฮยอวี่ พวกเขาเตรียมตัวมาเนิ่นนานก็เพื่อศึกในวันนี้!
คนขายที่อยู่ที่ร้านธัญพืชขมวดคิ้ว “สาวน้อย ไม่ใช่ว่าเราไม่อยากขายธัญพืชให้เธอนะ แต่ทั่วทั้งเมืองไม่มีธัญพืชเหลือแล้ว รถขนส่งจากทัพหลงเหมิ่งเพิ่งมาขนธัญพืชไป ฉันไม่คิดว่าพวกเขาจะอยู่ไกลมาก”
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ตาเป็นประกายหลังจากได้ฟังเรื่องนี้ “พวกเขาเดินทางไปไหนเหรอ”
ทัพหลงเหมิ่งกำลังเดินทางไปยังช่องเขาเว่ยเป่ยเพื่อขนส่งธัญพืช ทันใดนั้นใครคนหนึ่งก็ตะโกนขึ้นมาว่า “รถม้าขนของๆ ฉันหายไปไหน รถม้าขนส่งขนาดใหญ่ของฉันกับธัญพืชหายไป!”
Related
เมื่อหลิวอี้เจาถูกจางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ ดึงตัวออกไป หลี่ว์ซู่คิดว่าจางเว่ยอวี่น่าจะอธิบายเรื่องทุกอย่าง แต่หลังจากมองไปที่หลิวอี้เจาผู้ซึ่งมีสีหน้ามุ่งมั่น เขาก็เข้าใจได้ในทันทีว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่จะอธิบายเรื่องนี้…
หลิวอี้เจาเป็นคนที่ฉลาดมาก และด้วยความฉลาดของเขา เขาจึงสามารถเชื่อมโยงรายละเอียดและความบังเอิญทั้งหมดเข้าด้วยกันได้ หากเป็นหลี่เฮยทั่น เขาคงจะไม่คิดถึงเรื่องนั้นเลย
ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากความฉลาดและความมั่นใจของเขา เขาจึงเชื่อในวิจารณญาณและการอนุมานของตนเอง รวมทั้งไม่เชื่อในสิ่งที่คนอื่นพูด
ประเด็นหลักก็คือ ประการแรก จางเว่ยอวี่และคนที่เหลือเคยหลอกหลิวอี้เจามาแล้วครั้งหนึ่ง ประการที่สอง จางเว่ยอวี่และคนที่เหลือพบว่ามันยากที่จะอธิบายความบังเอิญนั้น
นั่นไม่ใช่เรื่องบังเอิญเหรอ จางเว่ยอวี่กำลังคิดว่าเขาบังเอิญพบกับหลี่ว์ซู่ที่ภูเขาราชาหลี่ว์ได้อย่างไร
หลิวอี้เจาพูดกับหลี่ว์ซู่อย่างใจเย็น “ได้โปรดตอบรับคำขอของผมที่จะเป็นทาสของคุณ มีเพียงสิ่งนี้ที่จะทำให้ทุกคนเชื่อว่าผมภักดีต่อคุณมาตลอด”
หลี่ว์ซู่พูดด้วยท่าทางรำคาญ “เอาล่ะ ฟังคำอธิบายของฉันให้ดีนะ จะต้องมีความเข้าใจผิดบางอย่างระหว่างพวกเราทั้งคู่ ยิ่งไปกว่านั้น ฉันจะไม่ยอมรับนายมาเป็นทาสอย่างแน่นอน ฉันไม่คิดว่านั่นจะเป็นความคิดที่ดีหรอกนะ”
หลิวอี้เจาตาเป็นประกาย ย้อนกลับไปในสมัยนั้น ราชาแห่งทวยเทพ ก็ไม่ยอมรับทาสเช่นกัน และไม่มีทหารมังกรจักรพรรดิคนใดที่เคยเป็นทาส นี่ไม่ใช่ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยหรือ เขาถามว่า “แล้วคุณจะควบคุมทัพอู่เว่ยได้อย่างไร”
หลี่ว์ซู่ตอบว่า “ตามสัญญาพันธมิตร ไม่มีใครเป็นทาสของฉันทั้งนั้น”
ในอดีต ทหารมังกรจักรพรรดิก็ได้ลงนามในสัญญาพันธมิตรเช่นกัน
“ไม่นะ พวกเรามีปัญหาแล้ว” จางเว่ยอวี่และคนที่เหลือเริ่มสิ้นหวังขึ้นเรื่อยๆ เมื่อพวกเขาได้ยินหลี่ว์ซู่จากที่ไกลๆ เรื่องยิ่งโคตรจะอธิบายยากขึ้นเรื่อยๆ
หลิวอี้เจาเปิดใช้งานคาถาของสัญญาพันธมิตรโดยการคุกเข่าลง “ได้โปรดยอมรับสัญญาพันธมิตรของผมด้วย”
หลี่ว์ซู่คิดถึงว่าหลิวอี้เจาจะผิดหวังแค่ไหน เมื่อนั่นเป็นการเข้าใจผิด หลังจากที่หลี่ว์ซู่รับหลิวอี้เจามาเป็นคนของเขา เชาควรจะทำอย่างไรดี
“ยอมๆ ไปเถอะ” จางเว่ยอวี่พูดอย่างหมดหนทาง “สัญญาณพันธมิตรทำให้เป็นโมฆะได้”
ความคิดของจางเว่ยอวี่คือให้หลี่ว์ซู่ยอมรับไปก่อน หรือไม่เรื่องนี้ก็คงไม่จบไม่สิ้น ตอนนี้ทัพอู่เว่ยสามารถหายอดฝีมือระดับหนึ่งอย่างหลิวอี้เจามาเข้าร่วมได้แล้ว พวกเขาคงสามารถพัฒนาความแข็งแกร่งได้อย่างมากเมื่อพวกเขาเข้าร่วมกองกำลังกับทัพชิงไซ
แม้ว่าเรื่องนี้จะฟังดูท้อแท้ แต่จางเว่ยอวี่คิดว่าความจริงจะถูกเปิดเผยออกมาในที่สุด เพราะหลี่ว์ซู่ไม่ใช่คนเลวร้าย ดังนั้นทุกอย่างจะไม่เป็นไรเมื่อหลี่ว์ซู่ทำให้สัญญาพันธมิตรเป็นโมฆะ
จากนั้น ทัพชิงไซและทัพอู่เว่ย ก็จะประนีประนอมกันในทันที หลิวอี้เจาบินกลับไปที่เทือกเขาทุนอวิ๋นที่ๆ ทัพชิงไซอยู่ และนำทหารกว่าพันคนกลับมาที่ภูเขาราชาหลี่ว์เพื่อให้แต่ละคนได้ลงนามในสัญญาพันธมิตรกับหลี่ว์ซู่
หลี่ว์ซู่ตกตะลึง “นี่พวกเราสบายๆ กับเรื่องนี้เหรอ”
เขารู้สึกว่าหลิวอี้เจากำลังเร่งส่งทัพชิงไซมาให้เขา ในความเป็นจริง นั่นคือสิ่งที่หลิวอี้เจาต้องการจะทำจริงๆ เขาอดทนรอที่เมืองหนานเกิงด้วยความอุตสาหะสำหรับวันที่จะได้ใช้ประโยชน์จากกองทัพเมื่อเขาประสบความสำเร็จและมีเกียรติ แต่โชคไม่ดีที่ทัพชิงไซมีคนเหลืออยู่เพียงหนึ่งพันกว่าคน
ทหารของทัพชิงไซเองก็ตกตะลึงเช่นกัน หลิวอี้เจาไม่เคยพูดถึงความรับผิดชอบของเขามาก่อน แต่ตอนนี้ หลิวอี้เจากำลังบอกพวกเขาว่า หลี่ว์ซู่จะกลายมาเป็นราชาของทุกคนนับแต่นี้ไป และใครก็ห้ามไม่เชื่อฟังหลี่ว์ซู่…
หลิวอี้เจากำลังอธิบายให้ทหารของทัพชิงไซฟังอย่างจริงจัง และเหล่าทหารจึงได้รู้ว่าผู้บัญชาการของพวกเขาไม่ได้กำลังล้อเล่น หลิวอี้เจาดูจะนับถือหลี่ว์ซู่มาก…
ในขณะนี้ หลิวอี้เจายังคงบอกกับเหล่าทหารว่า “ในท้ายที่สุด พวกนายจะขอบคุณฉันที่ตัดสินใจแบบนี้ และจะเข้าใจว่าพวกนายจะได้รับเกียรติมากมายแค่ไหนในอนาคต…”
ประโยคนี้ทำให้เหล่าทหารของทัพชิงไซสับสน ทำไมวันนี้ผู้บัญชาการของพวกเขาถึงพูดมากจัง
จางเว่ยอวี่ถอนหายใจขณะมองมา “หมอนี่ก็ยังพูดมากเหมือนเมื่อก่อน”
หลิวอี้เจามองไปที่จางเว่ยอวี่ในทันที “คุณจาง อย่าขี้เหนียวไปหน่อยเลยน่า ทัพชิงไซเองก็ต้องการกลยุทธ์เช่นกัน ทหารหลายคนหยุดชะงักมาเจ็ดหรือแปดปีแล้ว คุณจะช่วยพวกเขาหน่อยได้ไหม”
“สอน สอน สอน…” จางเว่ยอวี่โบกมือไปมาอย่างช่วยไม่ได้ จริงๆ แล้ว เขารู้ว่าถ้าหลิวอี้เจาเป็นคนของเขา ทัพชิงไซก็จะเป็นทัพสายตรงของพวกเขา…ตอนนี้ทุกคนกลายเป็น ‘สายตรง’ ของหลี่ว์ซู่ เขาทำได้เพียงภาวนาให้หลี่ว์ซู่ช้วยทุกคนได้ในอนาคต
จากนั้น จางเว่ยอวี่ได้เสนอให้รวมทัพชิงไซและทัพอู่เว่ยเข้าด้วยกัน จากนี้ต่อไป ทัพชิงไซจะหายไป เหลือเพียงทัพอู่เว่ยเท่านั้นที่ยังคงอยู่
หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าการรวมสองกองทัพเข้าด้วยกันคงเป็นกระบวนการที่ยาวนาน เนื่องจากทัพชิงไซมีจิตวิญญาณของตนเอง และคนแปลกหน้ามักจะขาดความไว้วางใจเสมอ
เหมือนกับนักเรียนเข้าเรียนในชั้นใหม่ หรือพนักงานใหม่ที่เข้าทำงานในที่ทำงานใหม่ คงเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดอย่างแน่นอนที่จะเริ่มทำ
ดังนั้น หลี่ว์ซู่จึงเรียกจางเว่ยอวี่ หลี่เฮยทั่น หลิวเชียนจือ และหลิวอี้เจา มาหารือเกี่ยวกับกลยุทธ์ และตอนนี้เองที่เขารู้สึกเหมือนได้เป็นผู้บัญชาการ
อย่างไรก็ตาม จางเว่ยอวี่ไม่ได้พูดถึงการรวมทัพชิงไซ แต่เขาวิเคราะห์กับหลี่ว์ซู่ “ในเมื่อทัพเฮยอวี่คอยสอดแนมทัพชิงไซมาโดยตลอด พวกเขาก็น่าจะรู้อย่างแน่นอนว่าทัพชิงไซเขามาในภูเขานี้ ลำดับความสำคัญของทัพเฮยอวี่คือการโจมตีในช่องเขาหลีหยางและช่องเขาเว่ยเป่ย ดังนั้นจึงอาจจะยังไม่ได้พุ่งเป้ามาที่พวกเรา อย่างไรก็ตาม หลังการโจมตีของพวกเขา พวกเขาจะต้องพุ่งเป้าไปที่ทัพชิงไซและมุ่งหน้าไปยังจุดที่พวกเขาซ่อนตัวอยู่ ดังนั้น ช่วงเวลา ‘หกเดือน’ ที่เคยพูดถึงก่อนหน้านี้ อาจจะต้องเดินหน้าต่อไป”
หลี่ว์ซู่ตกตะลึงไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะหันไปหาหลิวอี้เจาและถามว่า “นายคิดว่าทัพเฮยอวี่จะสามารถโจมตีช่องเขาหลีหยางและเว่ยเป่ยได้สำเร็จไหม”
“ได้” หลิวอี้เจายืนยัน “ทัพเฮยอวี่เตรียมตัวมาพร้อม แต่คนของช่องเขาหลีหยางกับช่องเขาเป่ยเว่ยไม่ได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ถึงจะมีอันตรายจากกับดัก แต่ยอดฝีมือระดับหนึ่งยังคงอยู่ในเมืองหลวงเหนือ และไม่ได้เข้าร่วมในการสู้รบครั้งนี้ แต่ในทางตรงกันข้าม ทัพเฮยอวี่ มียอดฝีมือระดับหนึ่งอยู่ในกองทัพ และพวกเขาถึงขั้นกลายเป็นผู้บัญชาการทัพด้วยซ้ำ ผมคิดว่าคุณสามารถส่งจดหมายไปถึงผู้บัญชาการช่องเขาเว่ยเป่ยเพื่อบอกเขาว่าคุณจะทำให้ทัพเฮยอวี่เสียสมาธิเอง แต่อย่างไรก็ตาม ผู้บัญชาการของทัพอู่เว่ยตายไปแล้ว และคุณจำเป็นต้องมีผู้บัญชาการคนใหม่ที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ ในขณะนี้ ช่องเขาเว่ยเป่ยจะทำทุกอย่างให้ใครบางคนเพื่อดึงความสนใจของทัพเฮยอวี่ และจะช่วยคุณแก้ปัญหานี้อย่างแน่นอน”
“คุณแค่ต้องใส่ชื่อทหารของทัพชิงไซลงไปในสมุดรายชื่อ และส่งมันไป” หลิวอี้เจาเสริม” นี่เป็นโอกาสทอง ถ้าคุณอยากจะรักษาตำแหน่งผู้บัญชาการของทัพอู่เว่ยไว้หลังจากที่สงครามจบลง คุณก็ต้องจ่ายด้วยราคาที่มากกว่านี้”
หลี่ว์ซู่พยักหน้า หลิวอี้เจาเป็นคนฉลาด และสามารถคิดแก้ปัญหาให้หลี่ว์ซู่เพื่อแก้ไขปัญหาตัวตนที่น่าอึดอัดของเขา ในขณะที่เขาซ่อนตัวอยู่ในเทือกเขา ตำแหน่งผู้บัญชาการของทัพอู่เว่ยมักจะประกาศตัวเองอยู่เสมอ และไม่ได้รับการยอมรับจากเจ้าหน้าที่
ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาเพียงแค่สร้างข้ออ้างในการทำให้ทัพเฮยอวี่เสียสมาธิ เมื่ออยู่ในภูเขาราชาหลี่ว์ ใครจะทำร้ายเขาได้
“ทัพเฮยอวี่ต้องใช้เวลานานแค่ไหนในการโจมตีช่องเขาเว่ยเป่ย” หลี่ว์ซู่ถาม
“สามเดือน!” หลิวอี้เจาพูดอย่างมั่นใจ
ในตอนนี้ จางเว่ยอวี่พูดว่า “ราชา ในเมื่อเวลากระชั้นชิดขนาดนี้ พวกเราควรหยุดบทเรียนวัฒนธรรมและให้ความสำคัญกับการฝึกการต่อสู้ดีไหม”
หลี่ว์ซู่พูดอย่างร้อนใจ “ไม่! ไม่มีทาง!”
เมื่อทุกคนเริ่มพูดคุยเกี่ยวกับรวมทัพชิงไซเข้ากับทัพอู่เว่ย หลี่ว์ซู่พูดกับเสี่ยวอวี๋เบาๆ ว่า “จางเว่ยอวี่บ้าหรือเปล่า ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ครูพละเข้ามาควบคุมบทเรียนวัฒนธรรม…!”
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋พูดไม่ออก
…
Related
ในตอนนี้ หลิวอี้เจาแทบจะเข่าอ่อนเมื่อเขาได้รับการยืนยันการคาดเดาของตนเองหลังจากได้พบจางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ
จางเว่ยอวี่ส่ายหัว “นี่ไม่ใช่องค์ราชา”
หลี่ว์ซู่ไม่พอใจ ทำไมถึงมีคนมาท้าทายอำนาจของเขา จางเว่ยอวี่สูญเสียจิตวิญญาณของเขาหรือราชาหลี่ว์พูดว่าเขาจะไม่โจมตีอย่างนั้นหรือ “ถ้าผมไม่ใช่ราชา แล้วถ้าอย่างนั้นคุณเป็นเหรอ หรือนี่ไม่ใช่ภูเขาราชาหลี่ว์ แล้วใครกันที่นามสกุลหลีว์ คุณหรือผมล่ะ”
จางเว่ยอวี่ดูตกตะลึงมาก ‘พวกเราไม่ได้กำลังพูดถึงราชาองค์เดียวกัน! นายกำลังพูดถึงราชาของภูเขาราชาหลี่ว์ แต่พวกเรากำลังพูดถึงราชาแห่งทวยเทพของในโลกใบนี้!”
[ได้แต้มจากจางเว่ยอวี่ +666!]
มีเพียงแค่จางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ ที่เหลือเท่านั้นที่รู้ว่าหลิวอี้เจาเข้าใจผิดเรื่องอะไร อย่างไรก็ตาม มันเป็นความบังเอิญจริงๆ ที่เขาได้พบกับหลี่ว์ซู่ พวกเขาทิ้งเมืองมาเพราะทัพเฮยอวี่นั้นโหดร้ายเกินไปจนพวกเขาอาจจะตายอย่างไร้ประโยชน์หากยังอยู่ที่นั่นต่อไป
ตาของหลิวอี้เจาเป็นประกายเมื่อเขาได้ยินคำว่าหลี่ว์ซู่ เขายอมรับเหรอ! แล้วนามสกุลของเขาก็คือหลี่ว์จริงๆ ด้วย!
ทำโลกนี้ถึงใช้ชื่อว่าจักรวาลหลี่ว์ ชื่อนี้ถูกเปลี่ยนโดยราชาแห่งทวยเทพหลังจากพระราชวังถูกสร้างขึ้น ในอดีต โลกนี้ถูกเรียกว่า ‘จักรวาล’ !
จางเว่ยอวี่กลอกตา ลืมไปซะเถอะ คนพวกนี้กำลังจะทำให้อะไรๆ แย่ขึ้นไปอีก…
หลิวอี้เจาพูดกับหลี่ว์ซู่ “ทัพชิงไซเต็มใจที่จะรวมกำลังกับทัพอู่เว่ย ถ้านายท่านเป็นกังวล กระผม หลิวอี้เจา สามารถเป็นทาสและขอต่อสู้เพื่อท่านได้!”
ในโลกนี้ไม่มีอะไรอย่างเช่นการรักโดยไม่มีเงื่อนไข เช่นเดียวกับไม่มีการเกลียดโดยไม่มีเงื่อนไข หลี่ว์ซู่นิ่งเงียบไปสองวินาที “นายพูดแบบนี้ก็เพราะหน้าตาของฉัน ฉันไม่ใช่คนแบบนั้น โปรดให้ความเคารพกันด้วย”
หลิวอี้เจาไม่สนใจเรื่องนั่น เขารอมามากกว่าสิบปีและในที่สุดก็ได้พบแสงสว่าง ใครจะสนใจล่ะว่าคนอื่นจะพูดอย่างไร เขาคุกเข่าลง “ฝ่าบาท กระผมจะเชื่อฟังท่านทุกอย่าง กระผมจะทำทุกอย่างเพื่อท่าน”
จางเว่ยอวี่และคนที่เหลือเดินไปข้างหน้าเพื่อพาหลิวอี้เจาออกไป “เอ่อ…ฝ่าบาท ขอพวกเราคุยกันเป็นการส่วนตัวหน่อย!”
หลิวอี้เจาไม่ได้ขัดขืนเพราะเขาคิดว่าจางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ คงมีบางสิ่งที่ต้องบอกเขา นี่เขาทำอะไรผิดหรือเปล่า
ในขณะเดียวกัน หลี่ว์ซู่เผยรอยยิ้มออกมาเมื่อเห็นหลังของจางเว่ยอวี่และคนที่เหลือเดินจากไป “ดูเหมือนว่าจางเว่ยอวี่จะอยู่ฝั่งเดียวกับราชาแห่งทวยเทพอย่างแน่นอน แต่หลิวอี้เจาน่าจะเข้าใจผิดคน พวกเราควรทำยังไงดี”
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋พูดขึ้นหลังจากครุ่นคิด “แค่หาเงินมาจำนวนหนึ่ง ฉันคำนวณแล้ว และพืชผลของเราจะพร้อมเก็บเกี่ยวในอีกสองเดือน และจะมีหนึ่งเดือนที่พวกเราจะไม่มีพืชผล แต่ถ้าพวกเรามีเงิน ฉันสามารถไปซื้ออาหารที่ด้านหลังช่องเขาเว่ยเป่ยได้”
“ใช่แล้ว เงินสำคัญมาก…” หลิวอี้เจาพยักหน้า “ไม่ว่ายังไงหลิวอี้เจาก็ให้เงินพวกเราตั้งเยอะ…”
หลี่ว์ซู่สงบลง เขารู้ว่าต้องมีการเข้าใจผิดบางอย่างแน่ หลี่ว์ซู่สังเกตเห็นว่าหลิวอี้เจามีท่าทางเปลี่ยนไปหลังจากจางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ ปรากฏตัว เขาคิดว่าตัวตนของจางเว่ยอวี่น่าจะทำให้หลิวอี้เจาเข้าใจเรื่องบางอย่างผิดไป
ดังนั้น ถ้าเขาเข้าใจไม่ผิด หลิวอี้เจาและจางเว่ยอวี่น่าจะรู้จักกันมานานแล้ว และต่างก็เป็นผู้ติดตามราชาแห่งทวยเทพองค์เก่าเสมอมา
ทุกสิ่งดูเหมือนจะยิ่งซับซ้อน หลี่ว์ซู่ถอนหายใจ ในตอนแรก เขาไม่ต้องการเกี่ยวข้องกับจางเว่ยอวี่ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะยิ่งเกี่ยวข้องมากขึ้นไปอีก
หลี่ว์ซู่ไม่ได้โง่ เขาเพียงแค่อยากชมดูการแสดงก็เท่านั้น
ที่ด้านหลังถ้ำ จางเว่ยอวี่พูดอย่างหนักแน่นว่า “ถึงฉันจะไม่รู้ว่าใครเป็นคนสั่งให้นายดูแลจัดการเมืองหนานเกิง แต่ฉันต้องบอกว่าฉันเจอหลี่ว์ซู่โดยบังเอิญ และพวกเราก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก นับแต่พวกเราแยกกันในเมือง!”
หลิวอี้เจาส่ายหัว “ผมไม่เชื่อ พวกคุณกำลังโกหก! ก่อนหน้านี้พวกคุณโกหกผม ตอนนี้ก็ยังจะมาโกหกผมอีก!”
หลิวอี้เจาถูกเลี้ยงดูมาโดยจางเว่ยอวี่ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ 23 ปีก่อนถูกกระทำโดยพระราชวังหลวง เพราะพวกเขาไม่ต้องการให้ทหารมังกรจักรพรรดิต้องเข้าไปเกี่ยวข้อง พวกเขาโกหก และบอกว่าพวกเขาเพียงทำงานทั่วๆ ไป
“ที่ฉันทำแบบนั้นก็เพื่อพวกนายทุกคน” จางเว่ยอวี่เริ่มโกรธเล็กน้อย
“อืม” หลิวอี้เจาพยักหน้า “กระผมไม่รู้ว่านายท่านต้องการให้กระผมไปอยู่แนวหน้า แต่กระผม หลิวอี้เจา ไม่เคยกลัวความตาย”
จางเว่นอวี่ตกตะลึง “นี่ฉันยังไม่ชัดเจนอีกเหรอ”
“นายท่านบอกเขาว่า เพราะพวกคุณทุกคนทำไร่ทำนา แล้วทำไมพวกคุณทุกคนถึงมาปรากฏตัวที่นี่” หลิวอี้เจาถามอย่างใจเย็นและดูจริงจังมาก
พวกเราอยู่ที่นี่ก็เพื่อหนีจากทัพเฮยอวี่”
“โลกใบนี้เล็กขนาดนั้นเลยเหรอ”
“…แน่นอนว่าโลกใบนี้เล็กมาก” จางเว่ยอวี่รู้สึกพูดไม่ออก จริงอยู่ว่าโลกนี้ใหญ่โตมาก แต่เขาพบกับหลี่ว์ซู่โดยบังเอิญจริงๆ
“ผมขอถามอะไรหน่อยนะคุณจาง ในเมื่อทุกคนก็แค่บังเอิญมาเกี่ยวข้องกับองค์ราชา ถ้าอย่างนั้นแล้วทำไมคุณถึงยังอยู่ช่วยฝึกทหารเว่ยอวี่ล่ะ” หลิวอี้เจาพูดอย่างสงบและมั่นใจในการอนุมานของตนเอง
หลังจากจัดระบบความคิด จางเว่ยอวี่จึงพูดว่า “ฟังนะ ฉันจะอธิบายกระบวนการให้นายฟัง พวกเราเจอเขาหลังจากหนีมาที่อุโมงค์นี้ และกินอาหารจำนวนหนึ่งเพราะพวกเราแทบจะอดตายอยู่แล้ว แต่เพิ่งกินไปได้ครึ่งหนึ่ง เขาบอกพวกเราให้ไปซะและสั่งให้ใครบางคนจัดการจานของพวกเรา จากนั้น…”
หลิวอี้เจาขัดขึ้นมา “นี่จะต้องเป็นเรื่องที่คุณแต่งขึ้นมาแน่ๆ คุณจาง ทำไมถึงจะมีคนแบบนั้นอยู่ในโลกนี้ล่ะ”
จางเว่ยอวี่แทบกระอักเลือด เขาพูดจากก้นบึ้งของหัวใจ “หมอนั่นก็เป็นคนแบบนี้จริงๆ เลยนั่นแหละ!”
[ได้แต้มจากจางเว่ยอวี่ +999!]
“เลิกพูดเรื่องนี้เถอะ” หลิวอี้เจาพูด “ผมทำทุกอย่างที่คุณทำให้องค์ราชาได้เหมือนกัน ผมรู้ว่าคุณยังไม่เชื่อใจผม แต่ไม่เป็นไร เวลาจะพิสูจน์ทุกอย่างเอง นอกจากนี้ ผมเต็มใจที่จะเป็นทาส ดังนั้นผมจึงไม่สามารถทรยศได้อย่างแน่นอน ใช่ไหมล่ะ ผมจะพิสูจน์ความจงรักภักดีด้วยการกระทำ”
จากมุมมองของหลิวอี้เจา จางเว่ยอวี่และคนที่เหลือไม่ได้บอกถึงตัวตนของเขา เพราะกลัวว่าเขาจะทำอันตรายหลี่ว์ซู่ เขาทำแบบนี้ก็เพื่อปกป้องหลี่ว์ซู่…
หลังจากพูดจบ หลิวอี้เจาหันไปรอบๆ เพื่อมองหาหลี่ว์ซู่ จางเว่ยอวี่และคนอื่นที่เหลือก็หยุดเขาไม่ได้ เพราะสุดท้ายแล้ว พวกเขาก็เป็นแค่คนธรรมดา ในขณะที่หลิวอี้เจาเป็นยอดฝีมือระดับหนึ่ง
จางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ มองหน้ากัน “พวกเราควรทำยังไงต่อไป”
“มีอะไรอีกที่พวกเราจะทำได้” ตงเยี่ยพูดอย่างสิ้นหวัง “ตอนแรกพวกเราหลอกเขา ตอนนี้เขาเลยปฏิเสธที่จะเชื่อพวกเรา เขายังคิดอีกว่าเราสร้างเรื่องบังเอิญทั้งหมดขึ้นมาเพื่อปกป้องหลี่ว์ซู่ ตอนนี้พวกเราทำอะไรไม่ได้เลยจริงๆ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ถ้าฉันเป็นเขา ฉันก็จะไม่เชื่อเหมือนกันว่าเรื่องทุกอย่างเป็นแค่ความบังเอิญล้วนๆ แต่ทุกอย่างก็เป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ …”
จู่ๆ ใครคนหนึ่งก็พูดขึ้นมาว่า “เดี๋ยวก่อน มีใครคิดไม่ว่าพวกเราก็แค่ไหลไปตามน้ำ และก็ปฏิบัติต่อหลี่ว์ซู่ในฐานะราชาองค์ใหม่ และผลักดันให้เขาเป็น ‘เกราะกำบัง’ ของพวกเรา เมื่อราชาองค์ใหม่ปรากฏตัว ก็จะไม่มีใครสังเกตหลี่ว์ซู่
จางเว่ยอวี่จริงจังขึ้นมาทันที “หุบปาก สงครามนี้เกี่ยวข้องกับความเป็นความตาย อย่าทำให้ผู้บริสุทธิ์ต้องมาตาย! พวกนายทุกคนก็รู้ว่าหลี่ว์ซู่เป็นคนดีที่มีศักยภาพมหาศาล เรื่องของเราก็คือเรื่องของเรา พวกนายลืมบทเรียนที่ราชาแห่งทวยเทพองค์เก่าเคยบอกไว้แล้วเหรอ”
คนที่เพิ่งจะเเสดงความคิดเห็นก่อนหน้านี้พูดขึ้นว่า “ฉันผิดเอง ฉันจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีกแล้ว”
Related
ในโลกใบนี้ ราชาแห่งทวยเทพองค์เก่านำกองทัพเข้าล้อมรับชายผู้น่าเกรงขามคนหนึ่ง หลังจากที่พวกเขาล้อมชายคนนั้น ราชาแห่งทวยเทพก็ให้พวกเขาร้องบทเพลงแห่งสงคราม ทำให้ชายคนนั้นตกอยู่ในความสิ้นหวัง ซึ่งสิ่งนี้ทำให้จิตวิญญาณในการต่อสู้ของเขาลดลง
ถ้าหลี่ว์ซู่รู้เรื่องนี้ เขาคงบอกว่าราชาแห่งทวยเทพองค์เก่านั้นช่างไร้ยางอาย…
แต่ตอนนี้ จู่ๆ หลิวอี้เจาก็รู้สึกว่าเขาคือชายผู้น่าเกรงขามคนนั้น…แต่ปัญหาก็คือ บทเพลงแห่งสงครามไม่ได้ถูกขับขาน แต่เทือกเขานี้กลับเต็มไปด้วยเสียงเพลงพื้นบ้าน!
นี่มันเรื่องอะไรกัน! เขาอยากจะสัมผัสความรู้สึกของชายผู้น่าเกรงขามคนนั้นว่ารู้สึกอย่างไรเมื่อไม่มีทางให้ไปต่อ เหมือนกับเรื่องราวของ hegemon king ที่ถูกเล่าสืบต่อกันมาปากต่อปาก
แต่ปัญหาก็คือ ชายหนุ่มและหญิงสาวในเพลงพื้นบ้านเหล่านั้นทำให้เขาหมดอารมณ์ในไม่กี่นาที นี่เป็นความรู้สึกที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง!
จะต้องมีอะไรผิดปกติอย่างแน่นอน!
แต่ทหารทัพอู่เว่ยที่กำลังร้องเพลงพื้นบ้านไม่มีทางเลือก พวกเขายังไม่ได้รับคำสั่งให้หยุดร้อง เป็นเรื่องที่ไม่ชัดเจนว่าจริงๆ แล้วทัพอู่เว่ยได้เรียนรู้อะไรจากการฝึกฝนของพวกเขาหรือไม่ แต่พวกเขาได้เรียนรู้การบังคับใช้คำสั่งและข้อห้ามที่เข้มงวด
หากท่านเทพและผู้บัญชาการไม่ได้สั่งให้พวกเขาหยุด พวกเขาก็จะไม่ยอมหยุด…
ทหารอู่เว่ยจำนวนหนึ่งที่กำลังร้องเพลงอยู่ท่ามกลางเทือกเขาที่เงียบสงัดบังคับตัวเองให้ร้องต่อไป ในขณะที่คนอื่นกำลังมองดูพวกเขาร้องเพลง…ความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงระหว่างความคาดหวังและความจริงเกือบจะทำให้การร้องเพลงของพวกเขาล่มกลางคัน…
ทันใดนั้น พวกเขาก็รู้สึกเหมือนได้ปล่อยวางภาระอันหนักอึ้ง พวกเขาได้รับคำสั่งใหม่จากท่านเทพว่าพวกเขาสามารถหยุดร้องได้แล้ว
หลี่เฮยทั่นเดินวางท่าออกมาจากถ้ำหินปูน เขายืนอยู่เบื้องหน้าทัพชิงไซทั้งหมด “ท่านเทพขอให้พวกนายเดินอ้อมไปทางตะวันออก พวกเราปล่อยทหารที่ถูกจับให้ไปพบพวกนายที่นั่น”
หลิวอี้เจารู้สึกประหลาดใจ เงื่อนไขของพวกเขาง่ายดายขนาดนั้นเชียวหรือ สิ่งที่พวกเขาต้องทำก็แค่เดินอ้อมไป นี่ไม่สมเหตุสมผลเลย พวกเขาควรจะใช้โอกาสนี้ในการตักตวงผลประโยชน์การเอาชนะทัพชิงไซ”
เป็นเรื่องปกติที่จะเอากองทัพที่พ่ายแพ้มาเป็นทาส ตราบเท่าที่พวกเขาถูกนำไปเป็นทาส ไม่ว่าพวกเขาจะเต็มใจหรือไม่ พวกเขาก็ทำได้เพียงต่อสู้เพื่อนายทาสคนใหม่ในอนาคต
หลิวอี้เจาไม่เข้าใจ “ทำไมพวกนายถึงไม่เข้าร่วมทัพชิงไซล่ะ”
หลี่เฮยทั่นพูดเสียงอู้อี้ “ทัพอู่เว่ยไม่มีอาหารพอจะเลี้ยงดูพวกนาย! ไปให้พ้นๆ ซะ!”
ที่เทือกเขาราชาหลี่ว์ จู่ๆ หลี่ว์ซู่ก็ปิดหน้าและถอนหายใจ เขาไม่ได้บอกให้หลี่เฮยทั่นพูดแบบนั้น
นี่เป็นโอกาสที่ดีที่จะลงมือทำอะไรสักอย่าง เขาสามารถพูดได้ว่าพวกเขาชื่นชมความกล้าหาญทางจริยธรรมของทัพชิงไซหรืออะไรทำนองนั้น ถ้าเขาพูดเหมือนกับผู้กล้า นั่นอาจจะได้รับการบันทึกไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์และกลายเป็นเรื่องให้เล่าขานต่อไป
แต่ตอนนี้ทุกคนรู้แล้วว่าทัพอู่เว่ยนั้นยากจนขนาดไหน…
แล้วแบบนี้หนังสือประวัติศาสตร์จะถูกเขียนไว้ว่าอย่างไร ทัพอู่เว่ยปฏิเสธทัพชิงไซเพราะพวกเขายากจนมาก…นี่ฟังดูหดหู่เหลือเกิน!
แต่หลิวอี้เจาไม่ยอมไป “ขอฉันพบท่านเทพของพวกนายได้ไหม”
หลี่ว์ซู่หยุดการฝึกท่วงท่าวิชากระบี่ของเขาที่กำลังทำอยู่ในถ้ำหินปูน เขาขมวดคิ้วและครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ ทำไมหลิวอี้เจาถึงอยากพบเขา เขาส่งผ่านข้อความไปถึงหลี่เฮยทั่นผ่านทางสัญญาพันธมิตรหลี่เฮยทั่นพูดว่า “ท่านเทพขอปฏิเสธ”
ทันใดนั้น หลิวอี้เจาก็เอากองกระดาษโน้ตสองสามกองออกมาจากอากาศ “นี่คือเงินเก็บครึ่งหนึ่งของทัพชิงไซ ซึ่งเก็บสะสมมานานกว่าหนึ่งทศวรรษในเมืองหนานเกิง ฉันขอแลกเงินจำนวนนี้กับโอกาสที่จะได้พบกับท่านเทพขอพวกนาย” หลี่เฮยทั่นเต็มไปด้วยความเคารพอย่างลึกซึ้ง “นายสามารถเป็นเพื่อนกับท่านเทพได้อย่างแน่นอน!”
หลี่ว์ซู่เกือบจะสบถออกมาขณะที่อยู่ในถ้ำหินปูน เรื่องแบบนี้สมควรพูดออกมาด้วยเหรอ!
เสื้อผ้าของหลิวอี้เจาโบกสะบัดท่ามกลางสายลม และเขาก็บินตรงไปที่เทือกเขาราชาหลี่ว์
เมื่อเขาไปถึง จางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ ไม่ได้ปรากฏตัว แต่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋พาตัวหัวหน้าบาทหลวงกลับมาได้ทันเวลาพอดี
เมื่อหลิวอี้เจาเห็นหลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ เขาก็เต็มไปด้วยความสงสัย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้พบสองคนนี้ แต่ตอนที่เขาได้พบสองคนนี้เมื่อสองเดือนก่อน พวกเขายังคงเป็นผู้บำเพ็ญที่ไร้ชื่อเสียงอยู่เลย แล้วพวกเขากลายเป็นท่านเทพได้อย่างไรในเวลาอันสั้นขนาดนั้น
หลิวอี้เจามองหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ด้วยความสงสัย เขาไวต่อร่างกาย ดังนั้นเขาจึงสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังระดับสองออกมาจากตัวของหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ ในตอนนั้น เขารู้ว่าหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน แต่เธอกลับไปถึงระดับสองได้ทั้งที่อายุยังน้อยขนาดนี้ เขารู้จักแต่คนที่เป็นทายาทของครอบครัวชั้นสูงเท่านั้นที่จะทำแบบนี้ได้
เพราะคนธรรมดาไม่ได้มีความสามารถตามธรรมชาติ นั่นจึงเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับพวกเขาในการที่จะได้รับพลังเหล่านั้นโดยปราศจากซึ่งทรัพยากร
แต่หลิวอี้เจาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าตัวตนของพวกเขาจะเปลี่ยนไปในเวลาเพียงสองเดือนที่พวกเขาได้พบกัน นอกจากนี้ คลื่นพลังของชายแก่ที่ใส่ผ้าพันคอสีชมพูที่ยืนอยู่หลังหลี่ว์ซู่นั่นก็เกือบจะเป็นระดับเดียวกับเขา
หลี่ว์ซู่หัวเราะอย่างร่าเริง “อย่าได้ผลีผลามล่ะ เพียงแค่การเคลื่อนไหวที่ผิดพลาดเพียงครั้งเดียว ก็อาจจะทำให้ทัพชิงไซทั้งหมดต้องตาย”
“ท่านเทพได้โปรดอย่ากังวล” หลิวอี้เจายิ้ม “ผมไม่ได้มาที่นี่เพื่อจับตัวราชาและเอาชนะกองกำลัง ผมแค่อยากเห็นว่าท่านเทพที่เอาชนะทัพชิงไซของผมนั้นหน้าตาเป็นยังไง ในเมื่อท่านเทพก็อยู่ตรงนี้แล้ว ลอร์ดจางเว่ยอวี่ก็น่าจะอยู่ที่นี่เช่นกันใช่ไหม”
ในตอนที่เขาเห็นหลี่ว์ซู่ หลิวอี้เจาก็รู้ได้ทันทีว่าวิธีการที่ทัพอู่เว่ยใช้นั้นมาจากหลายคน เขาเคยถามจางเว่ยอวี่ว่าหลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเขาไหม แต่เขาปฏิเสธ
อย่างไรก็ตาม ในฐานะผู้ดำรงตำแหน่งชั้นสูง หลิวอี้เจาไม่ง่ายเลยในความคิดเขา เขาเคยคิดถึงความสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่างผู้คน นี่จะช่วยให้เขาตั้งรกรากในอาชีพการงานและการใช้ชีวิตได้เร็วขึ้น
ดังนั้น จึงอนุมานได้ว่าจางเว่ยอวี่อยู่กับหลี่ว์ซู่และเป็นผู้มีส่วนช่วยเขาในการเปลี่ยนแปลงทัพอู่เว่ยมาตลอด
ในความเป็นจริง เป็นเรื่องบังเอิญที่หลี่ว์ซู่ได้พบกับจางเว่ยอวี่…แต่หลิวอี้เจาไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนั้น!
ดังนั้น หลี่ว์ซู่จึงสัมผัสได้ถึงความปั่นป่วนอันยากจะปกปิดของหลิวอี้เจา มันไม่ใช่ความโกรธ แต่เป็นความตื่นเต้น
นี่มันเรื่องอะไรกัน หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าต้องมีบางอย่างผิดปกติแน่…เขาไม่รู้ว่าหลิวอี้เจารู้ตัวตนที่แท้จริงของจางเว่ยอวี่ ในตอนนั้น จางเว่ยอวี่เคยเป็นหัวหน้าทหารหลวง เขาเคยเป็นผู้บังคับบัญชาของทหารมังกรจักรพรรดิกว่าสามพันคน
คนเช่นนี้จะช่วยคนอื่นฝึกกองทัพโดยไม่มีเหตุผลที่ชัดเจนได้อย่างไร นอกจากนี้ ทหารหลวงอย่างจางเว่ยอวี่มักจะอยู่แต่ในทุ่งเสมอ จะต้องมีเหตุผลบางอย่างที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้อย่างแน่นอน หลังจากที่เขากลับมา เขาส่งคนไปสืบเรื่องของจางเว่ยอวี่ เขารู้ว่าถึงแม้จางเว่ยอวี่อาจจะต้องทนกับความทุกข์ยากมาหลายปี เขาก็ไม่เคยจากทุ่งไปไหนเลย เเล้วพวกเขากำลังรออะไรอยู่
แต่ตอนนี้ จางเว่ยอวี่และคนที่เหลือได้ออกมาจากทุ่งแล้ว นี่หมายความว่าอย่างไร หมายความว่าสิ่งที่จางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ รออยู่มาถึงแล้ว!
หลิวอี้เจาก็กำลังรอคนผู้นั้นอยู่เช่นกัน คนผู้นั้นที่ทำให้เขาต้องรอและปิดบังตัวตนอยู่ในเมืองหนานเกิงกว่าหนึ่งทศวรรษ พอนึกย้อนกลับไปในตอนนี้ เมืองหนานเกิงคือเมืองที่อยู่ใกล้ทุ่งมากที่สุดไม่ใช่หรือ
ราวกับว่า…ทุกสิ่งทุกอย่างได้ถูกจัดวางไว้อย่างสมบูรณ์แบบ! เขาไม่ได้เสียเวลารอกว่าหนึ่งทศวรรษเพื่อไม่ได้อะไรเลย!
หลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋มองหน้ากันอย่างช่วยไม่ได้ พวกเขาทั้งคู่รู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ หลิวอี้เจาบอกว่าอยากมาเห็นหน้าเขา แต่จู่ๆ เขาก็เริ่มเว้นระยะห่าง และถึงขั้นเริ่มหัวเราะอย่างประหม่า หลี่ว์ซู่เริ่มจะกลัวแล้วจริงๆ …
จางเว่ยอวี่และคนที่เหลือเดินออกมาจากถ้ำหินปูน คนพวกนี้ปากร้ายมาก แต่เมื่อพวกเขาเห็นความตื่นเต้นของหลิวอี้เจา…
จางเว่ยอวี่ตบหน้าผากตัวเอง “จบแล้ว หลิวอี้เจาจะต้องอยู่ฝ่ายเดียวกับพวกเราแน่ ช่างเป็นความเข้าใจผิดอันใหญ่หลวงอะไรขนาดนี้!”
Related
กองทัพที่เพิ่งจะผงาดขึ้นจะเดินเหยียบย่ำไปบนร่างของคนตายอย่างแน่นอน เมื่อพวกเขาเห็นเลือด พวกเขาก็จะใช้ชัยชนะของตนเองเพื่อนทำให้การเปลี่ยนแปลงสมบูรณ์แบบ
ทัพชิงไซมาได้ถูกเวลา พวกเขาเดินทางมาไกลทั้งยังขาดทั้งอาหารและเสื้อผ้า ในทางตรงกันข้าม ทัพอู่เว่ยกลับรอศัตรูอย่างสบายใจ พลังของทัพชิงไซนั้นเทียบไม่ได้กับของทัพอู่เว่ย และพวกเขาก็ไม่ได้มีคนมากเช่นกัน นี่ช่วยให้หลี่ว์ซู่ได้ฝึกฝนทหารของเขาได้อย่างสบายอกสบายใจ
ถึงแม้หลี่ว์ซู่จะไม่ได้เข้าไปในถ้ำหินปูน แต่เขาก็ได้ทำสัญญาเป็นพันธมิตรกับทหารของทัพอู่เว่ย และถึงแม้เขาจะไม่ได้อยู่ที่สนามรบ เขาก็สามารถสำรวจสถานการณ์ทั้งหมดได้ เขาถึงขั้นมีมุมมองที่ชัดเจนกว่าจางเว่ยอวี่เสียอีก
ในขณะที่หลี่ว์ซู่ฝึกฝนท่วงท่าวิชากระบี่ของเขา เขาก็คอยสังเกตสถานการณ์ไปด้วย เขาใส่ใจกับคำสั่งของจางเว่ยอวี่อย่างใกล้ชิด และพยายามเรียนรู้ทักษะการออกคำสั่งของเขาไปด้วย
หลี่ว์ซู่ไม่เก่งเรื่องออกคำสั่ง แต่เขาก็ยินดีที่จะเรียนรู้ ประวัติศาสตร์การฝึกบำเพ็ญบนโลกมนุษย์ไม่ได้ยาวนานเหมือนกับที่นี่ เมื่อเขาได้เรียนรู้แล้ว เขาก็จะสามารถนำวิธีการออกคำสั่งขั้นสูงเหล่านี้กลับไปใช้ได้…
เขาพยายามทำให้หลี่เฮยทั่นและคนอื่นๆ ขโมยหอก แต่แม้แต่ทหารชั้นแนวหน้าอย่างทัพชิงไซก็ไม่ได้นำหอกวิเศษมาด้วย
นี่ทำให้หลี่ว์ซู่ประหลาดใจ มีของวิเศษมากมายในซากที่ถูกขุดขึ้นมาในโลกมนุษย์ เขาเคยคิดว่าของวิเศษน่าจะเป็นเรื่องธรรมกฝดาในโลกใบนี้ แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น
สุดท้ายแล้วซากทั้งหลายที่อยู่บนโลกมนุษย์ก็เป็นเหมือนกับแอ่งสมบัติที่ใครบางคนปกปิดไว้อย่างพิถีพิถันเพื่อรอให้ใครสักคนมาขุดพบ
ที่นี่จะต้องมีบางอย่างผิดปกติแน่
ทัพอู่เว่ยไม่ยอมหยุดก่อกวนทัพชิงไซ ในขณะที่ทัพชิงไซมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ แต่ทัพอู่เว่ยกลับยิ่งดูคึกคัก เพลงพื้นบ้านในเทือกเขาก็ยังคงดังมาให้ได้ยินเรื่อยๆ ราวกับว่าพี่ชายและพี่สาวที่อยู่ในบทเพลงจะได้แต่งงานกันอย่างมีความสุขในค่ำคืนนี้…
ทหารของทัพชิงไซพบว่าพวกเขาอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาฟังเพลงพื้นบ้านในขณะที่ชีวิตตกอยู่ในอันตราย…พวกเขารู้สึกเหมือนจะพังทลาย…
แม้แต่ตอนที่พวกเขาสู้กับทัพเฮยอวี่ พวกเขาก็ยังไม่ได้รู้สึกกดดันขนาดนี้ ประการแรก แม้แต่ทัพเฮยอวี่ก็ไม่ได้มีการรวมพลังเหมือนกับทัพอู่เว่ย พวก พวกเขาใช้พลังของตัวเองในการเพิ่มความเร็ว เมื่อพวกเขา
ทัพชิงไซไม่เข้าใจ ทัพอู่เว่ยมีชื่อเสียงในเรื่องความอ่อนแอไม่ใช่หรือ พวกเขาเปลี่ยนไปขนาดนี้ในช่วงเวลาเพียงสั้นๆ ได้อย่างไร
นอกจากนี้ ยังไม่ต้องพูดถึงพลังของพวกนั้น พวกเขาไม่สามารถทนฟังเสียงร้องเพลงได้ หากอยากจะสู้ ก็ช่วยสู้ให้ดีๆ หน่อย ถึงขั้นมีคนคอยร้องเพลงสร้างขวัญกำลังใจ นี่มันเรื่องอะไรกัน
ทัพอู่เว่ยรู้ว่าสหายของพวกเขาได้รับคำสั่งมาจากจางเว่ยอวี่ให้ไปก่อกวนพวกทัพชิงไซ และพวกเขาก็ทำสำเร็จอย่างมาก แต่ทัพชิงไซไม่รู้เรื่องนี้ พวกเขารู้สึกประหลาดใจถึงจำนวนคนที่มากเกินไปที่มาร้องเพลงในระหว่างการต่อสู้ ราวกับว่าพวกเขากำลังสนุกสนานในขณะกำลังต่อสู้
ขนาดของทัพชิงไซเล็กลงเรื่อยๆ ทุกคนถือหอกและตื่นตัวอย่างเต็มที่ พวกเขาจะไม่ยอมให้ทัพอู่เว่ยซุ่มโจมตีได้ง่ายๆ ในรูปขบวนนี้
จางเว่ยอวี่ที่อยู่ยังศูนย์บัญชาการขมวดคิ้ว เขาไม่คาดคิดว่าทัพชิงไซจะจัดการได้ยากถึงขนาดนี้ ตามหลักเหตุผลแล้ว ควรเป็นกองกำลังที่หมดแรงแล้วหลังจากการหลบหนี แต่จิตวิญญาณในการต่อสู้ของพวกเขายังไม่ตาย
นี่เป็นผลของการมีผู้นำที่ยอดเยี่ยม จางเว่ยอวี่คิดถึงเรื่องในอดีต เขาไม่เคยรู้เลยว่าหลิวอี้เจาจะมีความสามารถในด้านนี้ด้วย
เห็นพวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นเช่นนี้ จางเว่ยอวี้ถ่ายทอดคำสั่งไปให้คนที่คุ้มกันทางด้านหลัง “โยนหินและทำลายรูปขบวนของพวกนั้น!”
จากนั้นไม่นาน ทัพอู่เว่ยก็ขนก้อนหินขนาดใหญ่ที่พวกเขามักจะใช้ฝึกบนภูเขา จากนั้นพวกเขาจึงโยนก้อนหินลงไปด้านล่างโดยไร้ซึ่งความลังเลใดๆ
ก้อนหินแต่ละก้อนมีน้ำหนักมากกว่าสองตัน แม้แต่ผู้บำเพ็ญก็ไม่กล้าที่จะลองเสี่ยงกับก้อนหินที่กำลังร่วงลงมา ถึงแม้พวกเขาอาจจะไม่ตายจากก้อนหินเหล่านี้ แต่มันก็ทำให้รูปขบวนของพวกเขาแตกกระจัดกระจาย
ไม่ใช่ว่าทัพชิงไซนั้นอ่อนแอเกินไป ทัพอู่เว่ยเพียงแค่ใช้ประโยชน์ในเรื่องพื้นที่และจำนวนคนที่มากกว่า พวกเขาจะไม่แพ้ หากหลิวอี้เจาคาดหวังว่าจะมีกองทัพประจำอยู่ที่นี่ เขาอาจจะหลบหลีกและกระจายการต่อสู้กับทัพอู่เว่ย แต่พวกเขาไม่คิดว่าจะมีกองทัพมาปักหลักอยู่ที่นี่…
ทัพชิงไซไม่มีทางเลือก พวกเขาจำต้องหลบหลีกก้อนหินขนาดใหญ่เหล่านั้น ในขณะที่รูปกระบวนของพวกเขากำลังแตกกระเจิง ทหารจากทัพอู่เว่ยที่ซ่อนตัวอยู่ในถ้าหินปูน ก็พุ่งเข้าใส่พวกเขา!
หลิวอี้เจายืนอยู่ท่ามกลางสนามรบ และประเมินสถานการณ์ทั้งหมดอย่างใจเย็น เขารู้ว่าทัพอู่เว่ยก็ยังคงเป็นทัพอู่เว่ยที่เขารู้จัก ความรู้สึกที่เขามีต่อทัพอู่เว่ยก็คือพวกเขาเป็นทหารที่ขี้ขลาดและกลัวตาย แต่ผู้บัญชาการของพวกเขาฉลาดมาก พวกเขาเพิ่มความแข็งแกร่ง และอนุญาตให้เลือกเป้าหมายที่ง่าย นี่เป็นวิธีการที่ทำให้ทัพอู่เว่ยค่อยๆ คิดไปเองว่าพวกเขาแข็งแกร่ง และพวกเขาก็กล้าหาญมากขึ้นเช่นกัน
หลิวอี้เจาเข้าใจอย่างชัดเจนแล้วตอนนี้ ทัพอู่เว่ยขาดโอกาสในการฝึกฝนอย่างกองทัพ ทัพชิงไซมาได้ถูกเวลาพอดี พวกเขาช่วยเติมเต็มความต้องการในเรื่องของพลังกำลังและกำลังคนให้กับทัพอู่เว่ย
จะต้องมีใครสักคนที่แข็งแกร่งมากอยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอน ประการแรก พวกเขาทำให้ทัพอู่เว่ยทั้งกองทัพพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว และนั่นไม่ใช่ผ่านวิธีการง่ายๆ แต่อย่างใด เขารู้ว่าวิธีการเหล่านั้นถูกใช้ที่นี่ แต่การพัฒนาอย่างรวดเร็วอาจจะทำให้ช่องทางชีวิต vital channel ของพวกเขาได้รับบาดเจ็บ อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบอย่างใกล้ชิดแล้ว ทหารของทัพอู่เว่ยก็เต็มไปด้วยพลัง พวกเขาไม่ได้ดูเหมือนว่าได้รับบาดเจ็บแต่ประการใด
หลิวอี้เจามั่นใจมากว่าจะต้องมีผู้ที่แข็งแกร่งอยู่เบื้องหลัง การเพิ่มขึ้นของทัพอู่เว่ยเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หากทัพชิงไซไม่สามารถเอาชนะพวกเขาได้ ทัพเฮยอวี่ก็อาจจะพ่ายแพ้แก่พวกเขาในอนาคตเช่นกัน จากนั้น…พวกเขายังมีแผนการใหญ่อื่นๆ อีกหรือไม่
สถานการณ์ช่างสิ้นหวัง นี่คือความรู้สึกของหลิวอี้เจาที่มีต่อทัพชิงไซ
เขารู้สึกโดดเดี่ยวเล็กน้อย เขาได้รับหน้าที่ในกองทัพนี้มากว่าทศวรรษแล้ว พวกเขาถูกทำลายในการต่อสู้ แต่ตอนนี้พวกเขากลายเป็นหินลับมีดให้กับทัพอู่เว่ยเสียแล้ว หากทัพชิงไซได้รับการจัดระเบียบอย่างดีแล้วอย่างไร ถ้าทัพอู่เว่ยนั้นแข็งแกร่ง
จู่ๆ หลิวอี้เจาก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ทั้งดังและชัดเจน “ทัพชิงไซเต็มใจที่จะขอยอมแพ้ ถึงแม้ฉันจะไม่อยากทำแบบนี้ แต่ฉันก็ขอออกจากทัพชิงไซ ดังนั้นได้โปรดให้โอกาสทัพชิงไซได้มีชีวิตอยู่ต่อไปด้วย”
จากนั้น เขาไพล่มือไปด้านหลังและรอฟังคำตอบ แม้กระทั่งหลังจากที่เขายอมรับความพ่ายแพ้ หลิวอี้เจาก็ยังคงท่าทางภาคภูมิใจในฐานะนะทหารมังกรจักรพรรดิที่เคยรับใช้องค์ราชา
ทหารของทัพชิงไซทุกคนมองไปที่หลิวอี้เจาอย่างเงียบๆ พวกเขารู้ดีว่าผู้นำของตนนั้นภาคภูมิใจในตนเองมากแค่ไหน แต่เขาก็ยอมรับความพ่ายแพ้เพื่อช่วยชีวิตพวกเขา
ทุกคนเงียบเสียงลง แต่ในขณะนั้น…
“สาวน้อยนั้นเปรียบเสมือนดอกไม้ แต่เธอกลับแต่งให้คนตัวเล็กๆ คนหนึ่ง…” เสียงเพลงพื้นบ้านยังคงดังสะท้อนไปทั่วทั้งภูเขา
และเพลงยังดังต่อเนื่องมาจากภูเขาอีกลูก “เธออยากจะหาสามีดีๆ แล้วทำไมไม่แต่งกับเจ้าแคระ…”
หลิวอี้เจาพูดไม่ออก
[ได้แต้มจากหลิวอี้เจา +666!]
มีเพียงทัพอู่เว่ยที่กล้าร้องเพลงในภูเขาที่เงียบสงัดนี้ หลิวอี้เจามองไปที่ภูเขาอย่างไร้คำพูด นี่มันเรื่องที่เป็นงานเป็นการ! ช่วยหยุดสักพักจะได้ไหม
ทัพชิงไซถูกล้อมไว้ด้วยเพลงพื้นบ้านในเทือกเขาทุนอวิ๋น แต่กลับไม่มีทางออก..
Related
เมื่อทัพอู่เว่ยวิ่งหนีไปหลังจากที่พวกเขาร้องเพลงจบททัพชิงไซจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก นี่ไม่ใช่เพราะพวกถูกทำให้เขากลัว แต่เป็นเพราะสิ่งที่พวกเขาเพิ่งจะได้เห็นนั้นออกจากลึกลับซับซ้อนเกินไป
ใครจะไปคิดว่าอยู่ดีๆ พวกเขาจะร้องเพลงในสถานการณ์ที่จริงจังที่ทุกคนเตรียมตัวมาเพื่อการต่อสู้เช่นนี้
ไม่มีใครสู้แบบนี้หรอกนะ!
แต่ก่อนที่ทัพชิงไซจะได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก คนอีกกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นที่ภูเขาอีกลูก “หนุ่มน้อยและสาวน้อยตกหลุมรักซึ่งกันและกัน หญิงสาวอยากจะทำให้ชายหนุ่มกลายมาเป็นยอดดวงใจของเธอ…”
ทัพชิงไซยืนอยู่ที่เนินเขา พวกเขารู้สึกเจ็บปวดที่ต้องมาเห็นอะไรแบบนี้! ต้องมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับทัพอู่เว่ยอย่างแน่นอน!
มันเป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการว่าทัพอู่เว่ยทำอะไรกันเป็นปกติที่ๆ ตั้งค่ายของพวกเขา!
ครั้งนี้หลิวอี้เจาลงมือ เขาพาคนจำนวนหนึ่งไปด้วยเพื่อฟังและไปดูว่าสถานการณ์จริงๆ แล้วเป็นเช่นไร แต่ก่อนที่เขาจะไปถึงภูเขา เสียงนั้นก็เงียบสงบลงอีกครั้ง
เขารู้สึกถึงภัยคุกคามขนาดใหญ่ที่ใต้ดิน ภัยคุกคามกำลังเคลื่อนที่ไปรอบๆ และหยุดชะงักเป็นบางครั้ง พวกเขาไม่ได้เริ่มการสังหารหมู่ พวกเขาแค่พุ่งเป้าไปที่หลิวอี้เจา ราวกับว่า…พวกเขากำลังเตือนไม่ให้หลิวอี้เจาเคลื่อนไหวอย่างผลีผลาม
หลิวอี้เจารู้ได้อย่างชัดเจนว่ายอดฝีมือที่อยู่ใต้ดินนั้น อย่างน้อยก็อยู่ที่ระดับหนึ่ง และดูเหมือนว่ายอดฝีมือคนนั้นก็ยังได้นำยอดฝีมืออีกจำนวนหนึ่งมาด้วย พวกเขาเตรียมพร้อมมาเพื่อส่งมอบการโจมตีที่รวดเร็วและรุนแรงแก่หลิวอี้เจาหรือทัพชิงไซ
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ทัพอู่เว่ยมียอดฝีมือระดับนี้ หลิวอี้เจาขมวดคิ้ว
ต่อให้เป็นทัพเฮยอวี่ ผู้บัญชาการของพวกเขาก็อยู่แค่ระดับสอง นี่คือก่อนที่พวกเขาจะเข้าสู่เขตเหนือ แต่ตอนนี้ ทัพอู่เว่ยกลับมียอดฝีมือระดับหนึ่ง
ตอนนี้หลิวอี้เจารู้สึกว่าทัพอู่เว่ยช่างเต็มไปด้วยปริศนา โดยเฉพาะหลังจากที่พวกเขาเริ่มร้องเพลง…
หลิวอี้เจาที่ต่อแรกต้องการที่จะโจมตี ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อีกต่อไป เขาติดกับเข้าแล้ว เขาต้องเตรียมตัวเองให้พร้อมสำหรับการจู่โจมและการสังหารหมู่ทัพชิงไซอย่างทันทีทันใดของศัตรู
ถ้าเขายังคงมีไพ่ตายอยู่ในมือ หลิวอี้เจาก็จะสามารถส่งคนออกไปสู้ได้ แต่ตอนนี้ไม่เพียงแต่เขาต้องดูแลผู้ใต้บังคับบัญชา แต่เขายังต้องปกป้องตัวเองจากทัพอู่เว่ยสุดลี้ลับ…หลิวอี้เจาถอนหายใจ เขารู้แล้วว่าเขาประเมินทัพอู่เว่ยต่ำเกินไป
ราวกับว่าทัพอู่เว่ยอยู่ดีๆ ก็ไม่ใช่ทัพอู่เว่ยในอดีตอีกต่อไป แต่เวลาเพิ่งจะผ่านไปได้ไม่นาน พวกเขาพัฒนาไปไกลขนาดนี้ได้อย่างไรกัน
แต่หลิวอี้เจามีความภาคภูมิใจของตัวเอง ในฐานะทหารมังกรจักรพรรดิ ยอดฝีมือระดับหนึ่งทั่วๆ ไปไม่นับเป็นคู่ต่อสู้ของเขา สำหรับเขาแล้ว ศัตรูที่อยู่ใต้ดินไม่กล้าที่จะโจมตี ถ้าพวกเขาทำ พวกเขาอาจจะไม่สามารถเอาชีวิตรอดกลับไปได้
เมื่อทัพชิงไซกลับไป พวกเขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ผู้บัญชาการ จากทหารทั้งหมดที่เคยปรากฏตัว ไม่มีพวกระดับห้าเลย ขนาดพวกระดับสามก็ยังแข็งแกร่งมาก พวกเราต้องระมัดระวัง ผมไม่คิดว่านี่จะเป็นทัพอู่เว่ย เพราะทัพอู่เว่ยไม่ได้มีพลังที่น่ากลัวเหมือนที่คนเหล่านั้นมี”
หลิวอี้เจาพยักหน้า “ถ่ายทอดคำสั่ง ทุกคนต้องเตรียมพร้อม!”
ขณะที่ทัพชิงไซเดินทางต่อไปในเทือกเขา เสียงเพลงพื้นบ้านก็ดังมาให้ได้ยินเป็นระยะๆ ราวกับว่าทัพอู่เว่ยช่างเต็มไปด้วยชีวิตชีวาในขณะที่กำลังร้องเพลง และพวกนั้นก็ยังคุ้นเคยกับถ้ำนี้อีกด้วย หากทัพชิงไซไล่ตามพวกเขาไป คนพวกนั้นก็อาจจะหายไปอยู่ดี ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถร้องเพลงได้โดยไร้กังวล!
ทัพชิงไซได้ยินเสียงร้องเพลงพื้นบ้านดังมาจากเทือกเขา จู่ๆ ก็รู้สึกว่ามันช่างไร้สาระ ดูไม่เหมือนจริงแม้แต่น้อย…
แต่ครู่ต่อมา ทันใดนั้นทหารจากกองทัพอู่เว่ยก็ปรากฏตัวออกมาจากป่า และเริ่มการสังหาร พวกเขาไปได้สู้เพียงลำพัง แต่พวกเขาร่วมมือกัน ราวกับว่าทุกคนที่เคยซ่อนตัวอยู่ในถ้ำปรากฏตัวออกมาในเวลาเดียวกัน ทัพชิงไซถูกล้อมในทันที และพวกเขาก็ไม่สามารถตอบสนองได้ทัน
แต่ทหารจางทัพอู่เว่ยไม่ได้ตั้งใจที่จะสู้นานนัก หลังจากพวกเขาเอาชนะทหารจำนวนหนึ่งที่อยู่ชายขอบของทัพชิงไซได้แล้ว พวกเขาก็วิ่งหนีไป ทหารจากทัพชิงไซบางคนวิ่งตามพวกเขาไป แต่ทหารจากทัพอู่เว่ยสู้อยู่สักพักก่อนจะหายไปในรู หนึ่งในพวกนั้นถึงขั้นขโมยหอกของพวกทหารชิงไซไปด้วย…
ทัพชิงไซรู้ว่าทัพอู่เว่ยจะต้องทำอะไรบางอย่างแน่ แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ต้องตกใจ เพราะท้ายที่สุดแล้ว คนพวกนั้นก็ใช้ความคุ้นเคยกับพื้นที่ให้เป็นประโยชน์!
นอกจากนี้ พวกเขายังรู้สึกแปลกใจที่ทัพอู่เว่ยแข็งแกร่งมาก!
ทัพชิงไซไม่ได้อ่อนแอกว่าทัพเฮยอวี่ กองทหารม้าของพวกเขาสามารถเอาชนะได้แม้กระทั่งพวกทัพเฮยอวี่ ถึงแม้ทัพอู่เว่ยจะหลบหนีไปหลังจากซุ่มโจมตีทัพชิงไซ แต่พวกเขาก็ยังขโมยหอกไปด้วย! ไร้สาระเสียจริง! พวกนั้นกำลังทำอะไร ขโมยหอกของคนอื่นอย่างนั้นเหรอ!
ทหารของทัพชิงไซยอมรับผลนี้ไม่ได้ พวกเขากำลังเผชิญหน้ากับทัพอู่เว่ย!
หากเรื่องนี้เกิดขึ้นบนโลกมนุษย์ ก็จะเป็นเหมือนกับการที่หลี่ว์ซู่ไปตลาดและซื้อของบางอย่างที่ราคายี่สิบหยวนจากโรงงานผลิตหนังเจียงหนานเพื่อเอามาขายต่อในราคาสองหมื่นหยวน…
ผู้ใต้บังคับบัญชารายงานต่อหลิวอี้เจาว่า “เป็นทัพอู่เว่ยไม่ผิดแน่ ผมเห็นผู้ช่วยผู้บัญชาการหลิวเชียนจือผมเคยสู้กับเขามาก่อน แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ตอนนี้เขาพัฒนาไปถึงระดับสองแล้ว ถึงแม้เขาจะเคยหยุดชะงักอยู่ที่ระดับสามมาเจ็ดปีเพราะขาดวิธีการก็ตาม นอกจากนี้ ในทหารที่มาลอบซุ่มโจมตีพวกเรา มีอย่างน้อยห้าคนที่อยู่ระดับสอง และยังมีระดับสามอีกนับไม่ถ้วน”
ในตอนแรก พวกเขาทุกคนคิดว่าพวกระดับสี่ที่ร้องเพลงอยู่บนภูเขานั้นคือกลุ่มคนที่แข็งแกร่งที่สุดแล้ว แต่ตอนนี้ พวกเขาได้รู้แล้วว่าพวกเขาประเมินทัพอู่เว่ยต่ำเกินไป!
นี่คือทัพอู่เว่ย! ผู้ใต้บังคับบัญชารู้สึกไร้ซึ่งพลัง ราวกับโลกได้พลิกกลับตาลปัตรไปเสียหมด!
แต่หลิวอี้เจากลับหัวเราะ “พวกเราหนีจากทัพเฮยอวี่ แต่ตอนนี้พวกเรากลับติดอยู่ในเงื้อมมือของพวกทัพอู่เว่ยอย่างนั้นเหรอ”
“ผู้บัญชาการ…” ผู้ใต้บังคับบัญชามองไปที่หลิวอี้เจาอย่างสิ้นหวัง เขากังวลว่าหลิวอี้เจาอาจจะไม่สามารถทนรับเรื่องนี้ได้
ผู้ใต้บังคับบัญชารู้สึกว่าคงไม่มีใครที่จะยอมรับได้ว่ากองทัพที่แข็งแกร่งจะต้องพ่ายแพ้ให้กับคนกลุ่มหนึ่งที่ไร้ประโยชน์
แต่หลิวอี้เจาไม่ได้ดูเศร้าสลดแต่อย่างใด “จะต้องมีผู้นำที่แข็งแกร่งอยู่เบื้องหลังทัพอู่เว่ยอย่างแน่นอน พวกเราคงไม่ขาดทุนสักเท่าไรถ้าหากว่าพวกเราแพ้ ผ่อนคลายหน่อย ฉันไม่คิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคนที่ถูกจับตัวไปหรอกนะ”
ตอนนี้คงจะเร็วเกินไปที่จะยอมรับความพ่ายแพ้ แต่หลิวอี้เจาเป็นคนฉลาด เมื่อเขารู้ว่ามียอดฝีมือระดับหนึ่งอยู่ใต้ดิน และที่จู่ๆ ทัพอู่เว่ยก็แข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก เขาก็คาดเดาผลลัพธ์ของสงครามนี้ได้แล้ว
แต่หลิวอี้เจาไม่กังวล เขารู้ว่าศัตรูไม่ได้มีความคิดที่จะสังหารพวกเขา ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นดูเหมือน…การฝึกฝน?
ดังนั้นหลิวอี้เจาจึงค่อยๆ สงบลงและยังคงเงียบต่อไป
ถ้าทัพอู่เว่ยและทัพชิงไซสู้กัน ก็เป็นเรื่องยากที่จะบอกว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้ชนะ ทัพชิงไซสามารถเอาชนะทัพอู่เว่ยที่แข็งแกร่งแต่ขาดความกล้าได้ ตราบเท่าที่ทหารทั้งหมดของพวกเขายังไม่ตาย ทัพชิงไซก็จะไม่เป็นไร
แต่การรบแบบกองโจรนี้สอดคล้องกับความคิดของทัพอู่เว่ย ถ้าพวกเขาเอาชนะศัตรูไม่ได้ เพื่อเขาก็แค่หนีไป…
ในขณะที่พวกเขาต่อสู้อย่างช้าๆ ทหารของทัพอู่เว่ยก็ได้รู้ว่าจริงๆ แล้วทหารชั้นแนวหน้าขอทัพชิงไซนั้นไม่ได้แข็งแกร่งเท่าพวกเขา!
ดังนั้น ขณะที่พวกเขาสู้ กลุ่มคนขี้ขลาดกลุ่มนี้จึงมีความมั่นใจมากขึ้น พวกเขาโหดร้ายขึ้นเรื่อยๆ เมื่อพวกเขาสู้
ทัพอู่เว่ยเข้าใจแล้วว่าพวกเขาแค่จำเป็นต้องมียอดฝีมือระดับสองในการซุ่มโจมตี ทัพชิงไซมีจำนวนยอดฝีมือระดับสองน้อยกว่าพวกเขา ดังนั้น พวกเขาคงไม่สามารถตั้งรับได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ ทัพชิงไซยังไม่กล้าไล่ตามพวกเขาเข้ามาในถ้ำ…ถึงแม้บางคนจะพยายามตามเข้ามา แต่พวกเขาก็หาทัพอู่เว่ยไม่พบอยู่ดี พวกเขาเกือบจะหลงทางตอนขากลับออกไปอีกต่างหาก
ทัพอู่เว่ยต่อสู้อย่างคนพาล! นอกจากนี้ ขณะที่พวกเขาซุ่มโจมตีแบบกองโจร ยังถึงขั้นมีคนร้องเพลงพื้นบ้านอยู่บนภูเขาอีก! พวกเขาเป็นบ้ากันไปหมดแล้วเหรอ!
Related
จางเว่ยอวี่และคน ที่เหลือจุดคบไฟและส่องแสงไปในถ้ำ ผู้นำกลุ่มทั้งหมดมารวมตัวกันเพื่อรอรับคำสั่ง โดยมีผู้คนเดินเข้าเดินออกโพรงถ้ำจนก่อให้เกิดเสียงราวกับว่ากำลังมีสงครามเกิดขึ้นจริงๆ
ถึงแม้ทหารวังหลวงจะเป็นผู้นำทีมในขณะที่พวกเขายังฝึกกันอยู่ แต่พวกเขาก็เป็นเพียงครูฝึกเท่านั้น ส่วนคนอื่นๆ เป็นผู้นำกองทหาร คนเหล่านี้คือคนที่ถูกเลือกโดยอิงจากประสบการณ์หลายปีและการมองการณ์ไกลของพวกเขา
ว่ากันว่าถ้าผู้นำไม่โดดเด่น คนอื่นๆ ที่เหลือในทีมก็จะไม่โดดเด่นเช่นกัน ถึงแม้สถานการณ์ที่ภูเขาราชาหลี่ว์จะได้รับอิทธิพลจากหลี่ว์ซู่อย่างช้าๆ แต่พวกเขาก็ไม่อาจรู้ได้ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร เพราะการเลือกผู้นำก็ยังคงมีความสำคัญมาก
ท้ายที่สุดแล้ว ผู้ที่เป็นหัวหน้าไม่เพียงแต่ต้องควบคุมกองทหารและออกคำสั่งอย่างไร้ที่ติเท่านั้น แต่พวกเขายังต้องโน้มน้าวความคิดของเหล่าทหารของพวกเขา และทำให้แน่ใจว่าทุกคนมีความคิดเดียวกัน
ดังนั้นหลังจากการฝึกฝนสิบวัน จางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ ที่เหลือจึงใช้เวลาตลอดทั้งคืนในการพูดคุยก่อนที่พวกเขาจะตัดสินใจเลือกผู้นำ คนที่ได้รับเลือกดูเหมือนจะน่าเชื่อถือมากขึ้น
ผู้นำคนหนึ่งพูดเสียงเบา “ฉันได้ยินมาจากเฮยทั่นว่าท่านเทพต้องการที่จะโจมตีทัพชิงไซ…”
“ด้วยรูปแบบที่ใหญ่เช่นนี้ พวกเขาจะต้องแอบดูมาตรฐานของพวกเราแน่ เราต้องทำให้ดี ถ้าหากท่านเทพเกิดผิดหวังกับพวกเรา แล้วแบบนั้นพวกเราจะทำยังไงดี”
“ถึงแม้ฉันจะกลัวอยู่สักหน่อย แต่พวกเราก็ทำถูกแล้วที่จะติดตามท่านเทพ ฉันยังคงหวังที่จะไปถึงระดับหนึ่งให้ได้เหมือนกับเขา…”
“ฉันได้ยินมาว่าวันนี้พวกเราไม่ต้องฝึก ฉันมีความสุขจัง…”
กลุ่มคนมองไปที่คนที่เพิ่งจะพูดไป เพื่อนร่วมทุกข์ต่างเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน เพราะการฝึกนั้นเจ็บปวดกว่านี้!
จางเว่ยอวี่เงยหน้าขึ้นและมองไปที่พวกเขา เขาพูดกับทหารวังหลวงคนอื่นๆ ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “วันนี้พวกเราต้องสู้ให้ดี ถ้าไม่เช่นนั้นพวกเขาจะรู้สึกขัดแย้งหลังจากที่พวกเขาก้าวหน้าและได้รับการยกย่อง วิญญาณที่พองโตของพวกเขาจะได้รับผลกระทบ หลังจากนั้นการจะดึงพวกเขากลับมาก็ไม่ง่ายอีกต่อไป”
กองทัพทั่วๆ ไปล้วนแล้วแต่สงบในความคิดของพวกเขา พวกเขาไม่อาจปล่อยให้ทหารของพวกเขานิ่งนอนใจได้ เพราะสุดท้ายแล้วกองทัพที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจก็ต้องพ่ายแพ้
แต่ทัพอู่เว่ยนั้นต่างออกไป จู่ๆ กองโคลนก็กลายเป็นคอนกรีต จางเว่ยอวี่ต้องยอมให้พวกเขาภาคภูมิใจต่อไป เมื่อพวกเขาไปถึงระดับที่สูงกว่านี้ พวกเขาก็จะลดระดับความหยิ่งยโสลงเอง เพราะถ้าไม่ทำเช่นนั้น โคลนก็จะเป็นแค่โคลนตลอดไป
สิ่งนี้เปิดเผยความคิดของจางเว่ยอวี่ เขากลัวว่าทัพอู่เว่ยอาจจะยังภูมิใจไม่พอ แต่นี่ก็ไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดเรื่องการถ่อมตัวเช่นกัน!
ดังนั้นเมื่อจางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ ให้คำชี้แนะการต่อสู้ พวกเขาจึงจริงจังมาก และพวกเขายิ่งจริงจังยิ่งกว่าตอนที่พวกเขาชี้แนะทหารมังกรจักรพรรดิ ท้ายที่สุด ศัตรูจะต้องหวาดกลัวแค่เพียงเอ่ยถึงทหารมังกรจักรพรรดิ พวกเขามีพลังมากพอ พวกเขาไม่จำเป็นต้องจริงจังถึงขนาดนี้…
จางเว่ยอวี่เงยหน้าขึ้นและรวบรวมเหล่าผู้นำทั้งเจ็ด เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ฉันต้องการให้พวกนายทั้งเจ็ดคนเป็นผู้นำคนอื่นๆ ที่เหลือ และก่อกวนทัพชิงไซ พวกนายไม่จำเป็นต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการต่อสู้จริงกับพวกนั้น เราต้องทำให้พวกนั้นสับสนเกี่ยวกับความตั้งใจของเรา”
ทั้งเจ็ดคนถามด้วยความสงสัย “พวกเราควรทำอย่างไร”
จางเว่ยอวี่ชำเลืองมองพวกเขา “พวกนายต้องให้ฉันบอกจริงๆ น่ะเหรอ ถ้างั้นทำไม่ให้ฉันกินข้าวของพวกนายล่ะ พวกนายไม่จำเป็นต้องกินอีกต่อไปแล้ว”
เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนี้…พวกเขาก็เข้าใจได้ว่าถ้าพวกเขาทำงานนี้ไม่สำเร็จ พวกเขาก็จะไม่มีอะไรให้กินอีกต่อไป ดังนั้นพวกเขาต้องทำให้สำเร็จ…
หลังจากผู้นำทั้งเจ็ดคนจากไป จางเว่ยอวี่ก็ได้รวบรวมผู้นำกลุ่มสิบคน “ไปที่เทือกเขาทุนอวิ๋น เเละปิดกั้นเส้นทางของทัพชิงไซที่จะไปทางเหนือ หาทางซุ่มโจมตีพวกเขา ถ้าพวกนั้นไล่ตามพวกนาย ก็ให้ใช้ประโยชน์จากพื้นที่ภูมิศาสตร์เพื่อสลัดพวกนั้นออกถ้าพวกนั้นมีเป็นจำนวนมาก แต่ถ้ามีแค่ไม่กี่คนที่ไล่ตามมา ก็ให้เข้าไปในถ้าหินปูนและล้อมพวกนั้นไว้ ถ้าหากจับเป็นพวกนั้นมาได้ ก็ทำซะ แต่อย่าทุ่มเทกับการต่อสู้จนเกินไป”
นี่เป็นกลยุทธ์ที่หลี่ว์ซู่ให้จางเว่ยอวี่เอาไปปรับใช้ หลี่ว์ซู่ไม่ค่อยเข้าใจส่วนที่เหลือสักเท่าไหร่ แต่เขาบอกว่าในครั้งนี้ พวกเขาจะต้องได้เข้าร่วมในกองโจร จางเว่ยอวี่คิดว่านี่เป็นความคิดที่ดี ถ้าทำแบบนี้ เมื่อทัพเฮยอวี่มาถึง ทัพอู่เว่ยก็จะมีประสบการณ์เพียงพอแล้ว
ทัพชิงไซมุ่งหน้าไปที่เทือกเขาทุนอวิ๋นอย่างระมัดระวัง พวกเขารู้ว่ามีทางเข้าและทางออกถ้ำมากมาย กองทัพเว้ยอวี่อาจจะปรากฏตัวได้ทุกเมื่อ
ถึงแม้ทัพชิงไซจะเหนื่อยล้าจากการหลบหนีจากทัพเฮยอวี่มากว่าครึ่งเดือนแล้ว แถมยังมีอาหารและเสื้อผ้าไม่เพียงพอ พวกเขาก็ยังคงเป็นทหารชั้นยอด พวกเขายังคงมีความมุ่งมั่น
ทันใดนั้นทัพชิงไซก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ พวกเขาสัมผัสได้ว่าจู่ๆ ก็มีคนจำนวนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นไม่ไกลจากภูเขา ทัพชิงไซตื่นตัวขึ้นทันที ทัพอู่เว่ยหายตัวไปสักพักแล้ว พวกเขาคิดว่าทัพอู่เว่ยคงกลัวจนหนีไปแล้ว แต่คนพวกนั้นกลับปรากฏตัวขึ้นอีก นอกจากนี้ยังมีเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้น
เกิดอะไรขึ้น
แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้ตอบสนอง คนอีกจำนวนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นที่ภูเขาอีกลูกหนึ่ง จากนั้นพวกเขาก็เริ่มร้องเพลง “พี่ชายอู่เว่ย พี่สาวทุนอวิ๋นถ้าพวกเรามีวาสนา งั้นก็มาร้องเพลงด้วยกันเถอะ”
จากนั้นก็มีเสียงร้องเพลงดังมาจากภูเขาอีกลูก “เหล่าพี่ชายและพี่สาว มาค่องเพลงกันเถอะ สุราไม่ได้ทำให้คนมึนเมา ผู้คนต่างหากที่มอมเมาตัวเอง…
ทัพชิงไซรู้สึกสับสน
นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ เรากำลังสู้รบกันอยู่ที่นี่! แล้วทำไมพวกกลุ่มคุณลุงถึงได้มาร้องเพลงพื้นบ้านหากันบนภูเขา พวกนั้นจะช่วยจริงจังกว่านี้หน่อยไม่ได้เหรอ
พูดตามตรง ทัพอู่เว่ยก็กำลังสิ้นหวังเช่นกัน จางเว่ยอวี่เพียงแค่บอกพวกเขาว่าให้มาทำให้ทัพอู่เว่ยสับสนและหลงทาง แต่เขาก็ไม่ได้บอกอย่างแน่ชัดว่าให้ทำอย่างไร
ในความเป็นจริง ผู้นำมักจะคาดหวังผลในการสู้รบเสมอ พวกเขาไม่สนใจว่าคุณจะใช้วิธีอะไร นี่คือความแตกต่างของทหารที่โดดเด่น ถ้าพวกเขาเก่งกาจพอ พวกเขาก็จะคิดหาวิธีการของตัวเองอ้างอิงจากคำสั่งของหัวหน้า แต่ถ้าพวกเขาเก่งไม่พอ พวกเขาก็จะไม่สามารถหาวิธีได้
ตอนนี้กองทหารกำลังแตกตื่น ระหว่างทางมาที่นี่ พวกเขาคิดถึงสิ่งที่ทัพอู่เว่ยเคยพูด พวกเขาจะทำให้ทัพชิงไซสับสนได้อย่างไร
เมื่อทัพชิงไซเห็นทัพอู่เว่ย พวกเขาก็เตรียมพร้อมจู่โจมทันที แต่ดูไม่เหมือนว่าทัพอู่เว่ยจะโจมตีพวกเขา พวกเขายังคงร้องเพลงของตัวเองต่อไป “ตราบเท่าที่เรามีความเป็นมิตร บทเพลงของพวกเราจะอัญเชิญนกฟีนิกซ์สีทอง…”
กองทัพชิงไซรู้สึกมึนงงไปหมด
พูดตามตรง ทัพชิงไซเคยสู้รบมาแล้วหลายครั้ง แต่พวกเขาไม่เคยเจอกองทัพประเภทนี้มาก่อน…
“สรุปแล้วทัพอู่เว่ยทำอะไรอยู่ที่ลานเดินขบวนตลอดเวลาที่ผ่านมา…” ใครบางคนจากทัพชิงไซถอนหายใจ
“จับตัวพวกเขาไว้” หลิวอี้เจาพูดเสียงเย็นชา “มาดูกันว่าพวกเขาจะมีแผนลับอะไร”
กองหน้าเร่งออกไปทันที แต่ในขณะที่พวกเขาไปได้ครึ่งทาง ทัพอู่เว่ยก็หายไปแล้ว
ทุกคนจากทัพชิงไซถึงได้รู้ว่าทัพอู่เว่ยนั้นรวดเร็วมาก!
ใครบางคนพูดเสียงต่ำ “ผู้บัญชาการ ผมรู้สึกได้ว่าพวกเขาอยู่ไกลแค่ไหน! มีพวกเขามากกว่าสิบคน และไม่มีใครที่มีระดับต่ำกว่าสี่เลย! และยังมีระดับสามอยู่จำนวนหนึ่งอีกด้วย!”
เมื่อหลิวอี้เจาได้ยินเช่นนี้ เขาก็รู้สึกมึนงง “อาจจะมีพวกทหารชั้นนำจากทัพอู่เว่ย ดังนั้นพวกเขาคงจะแข็งแกร่งกว่าเรา”
ขนาดกองทัพชั้นยอดอย่างทัพชิงไซก็ยังมีระดับห้าตั้งหลายคน ทัพเฮยอวี่ก็เช่นกัน หลิวอี้เจาไม่อยากจะเชื่อว่ากองทัพที่น่ารังเกียจอย่างทัพอู่เว่ยกลับไม่มีระดับห้าแม้แต่คนเดียว!
Related
ทัพชิงไซ่หลบหนีออกจากสนามรบได้อย่างยากลำบาก หลังจากพวกเค้าออกจากเมืองหนานเกิง หม้อถูกไล่ล่าประชิดด้วยทหารชั้นยอดของทัพเฮยอวี่หนึ่งกอง ในตอนนั้นหลิวอี้เจาจึงตระหนักว่าทัพเฮยอวี่หมายจะบุกยึดทั้งสิบเมืองของหนานโจว ดังนั้นจึงทุ่มแรงในการจัดการให้เรียบร้อยก่อนเดินทัพต่อ
ถ้านิยามปกติ ทัพเฮยอวี่จะไม่ไล่ฆ่าทหารแสบครับเพราะทัพชิงไซ่บอกชัดแล้วว่าจะไม่รบต่อ
แต่แม่ทัพใหญ่ของทัพเฮยอวี่ไม่วางใจ พวกเขามีแผนการใหญ่โตมากไม่ยอมให้เกิดปัญหาตามหลังมาเด็ดขาดจึงต้องจัดการให้หมดสิ้น
ดังนั้นทัพชิงไซ่จึงระหกระเหินไปตามหุบเขา และเสียเวลาไปครึ่งเดือนเต็มถึงจะสลัดทัพเฮยอวี่พ้นจากนั้นก็เร่งเดินทางขึ้นเหนือจนมาถึงภูเขาราชาหลี่ว์หวัง
หลิวอี้เจาไม่ได้มีเป้าหมายที่นี่ ต้องการขึ้นเหนือต่อให้ลำบากก็ต้องพาทหารที่เหลือไปยังพื้นที่ปลอดภัย
ตอนนี้เขาเป็นห่วงทหารที่ติดตามมาหลายปีพวกนี้ได้ ถ้ามีแค่ตัวเขาคนเดียว บนโลกอันกว้างใหญ่นี้ต้องมีที่ให้ผู้มีพลังระดับหนึ่งไปได้
ในตอนนี้เอง หลิวอี้เจาขมวดคิ้วขึ้นเพราะเขารู้สึกว่ามีคนแอบมองอยู่แต่ยังไม่ทันได้ลงมือ อีกฝ่ายก็หายเข้าไปในถ้ำแล้ว
“ใต้เท้า” องครักษ์ก็เห็นความเคลื่อนไหวทางนั้น “ให้ตามไปดีไหม”
“ไม่ต้อง” หลิวอี้เจาส่ายหน้า “ที่นี่ไม่มีร่องรอยผู้คน อาจจะเป็นชาวบ้านหรือคนเร่ร่อนที่หลบหนีสงครามมา ไม่ใช่ทัพเฮยอวี่ พวกเราไม่ต้องกังวลมากไป”
“ถ้าหาก…” ทหารองครักษ์พูดเสียงค่อย “หากอีกฝ่ายจู่โจมเราล่ะ”
หลิวอี้เจาหัวเราะ “ในเมื่อไม่ใช่ทัพเฮยอวี่จะมีอะไรน่ากลัว หรือว่าในที่แบบนี้จะมีกองทัพซ่อนอยู่หรือ กองทัพที่ไหนจะมาอยู่ที่นี่”
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม หลิวอี้เจาก็เห็นทัพอู่เว่ยในหุบเขา รอยยิ้มบนใบหน้าจึงค่อยๆ หายไป…
[ได้แต้มจากหลิวอี้เจา +666!]
หลี่เฮียมั่นยืนอยู่หน้ากองทัพถือกระดาษอยู่แผ่นหนึ่งและตะโกนอ่าน “พวกเจ้าถูกล้อมไว้แล้วแต่ด้วยหลัก… ความร่วมมือที่พึ่งพากัน เสมอภาค จริงใจ ยินยอม หวังว่าพวกเจ้าจงอย่าเดินทางไปต่อไม่เช่นนั้นพวกเราจะโจมตี! “
หลิวอี้เจามองหาในกลุ่มนั้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม หรี่ดวงตาลง องครักษ์ข้างกายเขาพูดอย่างลังเลว่า “ดันมีทหารอยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย มาจากไหนกัน…”
“ทัพอู่เซ่น” หลิวอี้เจาพูดด้วยสีหน้านิ่งเฉย “ตอนนี้ไม่ได้สวามิภักดิ์ทัพเฮยอวี่แต่มาอยู่ที่นี่ นอกจากทัพอู่เว่ยที่เสียเมืองไปเหมือนกับพวกเราแล้วจะเป็นใครได้อีก”
“พวกเราจะทำอย่างไรดี” ทหารองครักษ์พูด “ถ้าเป็นทัพอู่เว่ยละก็ พวกเราก็ไม่ต้องไปสนใจ พวกนั้นเละเทะเข้ากระดูกไปแล้ว”
หลิวอี้เขาเข้าใจความหมายของเขา นั่นคือสังหารทัพอู่เว่ยให้หมดสิ้นไปเพื่อเปิดทางไปต่อ
หลิวอี้เจาพยักหน้า “ถ่ายทอดคำสั่งไป ให้พวกนั้นได้ลิ้มรสความพ่ายแพ้อัปยศ ทัพอู่เว่ยกล้าขวางทางทัพชิงไซ่ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ว่าไม่ต้องฆ่าล้างจนหมดเอาแค่ให้แตกพ่ายไปก็พอ”
ดูท่าหลิวอี้เจาไม่มีท่าทีเห็นใจทัพอู่เว่ยเลยและเขาไม่เคยมองทหารขยะพวกนี้ในสายตาอีกด้วยเพราะพวกมันไม่คู่ควร
ถ้าไม่ใช่เพราะทัพอู่เว่ยอวิ๋นอานไปง่ายๆ ทัพชิงไซ่ของเขาอาจจะมีกำลังพลสามพันกว่าคนในตอนนี้ก็ได้
ตอนนั้นเขาฝ่าวงล้อมออกจากเมืองหนานเกิงทัพเฮยอวี่ที่อ้อมทัพมา ทหารอู่เว่ยมีมากถึงสองหมื่นกว่าคนต้านทัพสามพันคนยังไม่ได้ ช่างเป็นขยะในขยะเสียจริง
เมื่อคิดเช่นนี้ หลิวอี้เขาจึงมีสีหน้าเย็นชาแต่ตอนนี้เขาไม่อยากฆ่าคนเพราะถ้ารบติดพัน ทหารของเขาอาจได้รับบาดเจ็บหรือล้มตายได้
ตอนนี้เขาไม่ยอมให้ทัพชิงไซ่เสียทหารไปแม้แต่คนเดียว
เมื่อทัพชิงไซ่เตรียมจัดโจมตีก็เห็นทัพอู่เว่ยเริ่มแตกทัพถอยหลังไป เมื่อทัพชิงไซ่ไล่ตามมาเห็นว่าทหารที่เต็มภูเขาหายไปต่อหน้าต่อตา…
หลิวอี้เจาถอนหญ้าขึ้นมากองหนึ่ง ก็เห็นทางเข้าถ้ำที่ซ่อนอยู่ ทหารองครักษ์พูดด้วยความตกใจ “คนพวกนี้มันเป็นกระต่ายหรือ แค่พริบตาเดียวก็หายไปจนหมด ใต้เท้าพวกเราจะตามเข้าไปในถ้ำไหม”
หลิวอี้เจาตามเข้าไปในถ้ำ เขาหยิบของวิเศษส่องสว่างภายในถ้ำนั้น ตอนแรกเขาคิดว่าทัพอู่เว่ยเส้นทางนี้แต่ดูแล้วไม่น่าใช่ ถ้ำพวกนี้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ทัพอู่เว่ยเพียงแค่ใช้ประโยชน์เท่านั้น
เขาเดินเข้าไปต่อ ตอนนี้ได้ยินเสียงสีเท้าจำนวนมากดังสะท้อนภายในถ้ำ แล้วมาเดินไปต่อไม่กี่ก้าวหลิวอี้เจาพบว่าเส้นทางภายในถ้ำเชื่อมโยงไปทั่ว กว้างขวางใหญ่โต
“ไม่ต้องตาม” หลิวอี้เจาเดินออกมาและส่ายหน้า “ทำข้างล่างกว้างใหญ่มาก พวกเราไม่คุ้นเส้นทางดีไม่ดีอาจหลงทางข้างใต้นั้นได้”
แต่ตอนนี้เอง หลี่เฮยทั่นวิ่งก้นขวิดกลับมาที่ภูเขาราชาหลี่ว์หวัง ไม่เห็นหลี่ว์ซู่ตะโกนขึ้นว่า “ใต้เท้า ทัพชิงไซ่พี่จะโจมตีพวกเรา! เราจะทำอย่างไรดี”
หลี่ว์ซู่อึ้งไปชั่วครู่ “พวกเขามีมาเท่าไหร่”
“ประมาณหนึ่งพันคน! “
“พวกเรามีเท่าไหร่”
“สามพันสองร้อยกว่าคน! “
“ยังจะพูดอะไรอีก ออกไปสู้สิ! ” หลี่ว์ซู่พูดอย่างโมโห ตอนนี้เขารู้สึกว่าทัพอู่เว่ยไม่ด้อยเรื่องพลังแล้ว ทัพในตอนนี้เพียงแค่ด้อยกว่าทัพเฮยอวี่เล็กน้อยเท่านั้น
นี่คือที่จางเว่ยอวี่บอกว่าเขาโชคดี ในตอนแรกๆ เลยที่ผู้บัญชาการทัพอู่เว่ยชอบเกณฑ์คนเร่ร่อนเป็นทหาร เพราะพลังของคนเร่ร่อนสูงกว่าคนทั่วไปนิดหน่อย โดยเฉพาะพวกที่เคยติดตามขุนนางใหญ่ ปรกติจะฝึกบําเพ็ญหนักกว่าทหารธรรมดา เพราะเป็นสมบัติของพวกขุนนางใหญ่ จึงมีสักเพียงก่อนการฝึกที่ต่างจากคนทั่วไป
แน่นอนด้วยความพยายามอย่างหนักของจางเว่ยอวี่วิชาอันใหม่ พลังของทัพอู่เว่ยที่พอใช้ได้ก็ต่างปะทุพลังเลื่อนระดับกัน…
ดังนั้นตอนนี้สิ่งที่ทัพอู่เว่ยขาดไม่ใช่พลังแต่เป็นความกล้า
หลี่เฮียมั่นเกาหัว “งั้นพวกเราจะลองไปสู้ละกัน”
“ไปเถอะๆ ” หลี่ว์ซู่โบกมือ จากนั้นก็กระซิบกับหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ “ให้แอนโทนี่ จอห์นสันและหัวหน้าบาทหลวงคอยคุ้มกันด้วย แอบๆ นะ อย่าให้พวกเขารู้”
ว่ากันว่าถ้าเมตตาอย่าคุมทหาร หลี่ว์ซู่ก็กำลังเรียนรู้ที่จะปล่อยให้พวกเขาเติบโต แต่ปัญหาคือทหารที่อุตส่าห์ฝึกออกมาจะให้ไปตายง่ายๆ ได้อย่างไร
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋พยักหน้าและมุดลงดินไป ขณะเดียวกันจางเว่ยอวี่และพรรคพวกที่ตั้งกองบัญชาการอยู่บนพื้นที่กว้างแห่งหนึ่งในถ้ำ ได้รับสัญญาณจากหลี่ว์ซู่ พวกเขาจึงเริ่มทำการลอบโจมตีทัพชิงไซ่
ในเมื่อเป็นการรบระหว่างสองทัพ จะปล่อยให้ออกไปสู้อย่างไร้ระเบียบไม่ได้
Related
หลี่ว์ซู่ครุ่นคิดดูแล้วว่าเวลาครึ่งปีเพียงพอสำหรับเขาที่จะไปถึงจุดสุดยอดของระดับสองอาจจะถึงระดับหนึ่งก็เป็นไปได้
ในตอนนี้ วิถีกระบี่ของหลี่ว์ซู่ก้าวไปไกลมาก ส่วนเรื่องการบำเพ็ญเขาเองก็มีความมั่นใจ
ส่วนจางเว่ยอวี่และพรรคพวกต่างมองกันและกันเงียบๆ พวกเขาสังเกตว่าชายหนุ่มคนนี้มีพลังเพียงระดับสี่แต่มีความมั่นใจและความสุขุมไม่เหมือนกับผู้มีพลังระดับสี่เลย
เขาได้ระดับสี่จริงๆ เหรอ ทำไมไม่เหมือนเลยและความจริงมันก็บอกตรงหน้าแบบนั้น
ตอนแรกจางเว่ยอวี่และพรรคพวกคิดว่าหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ช่วยหลี่ว์ซู่จัดการบัญชีและสิ่งอื่นๆ ไม่ได้ช่วยเรื่องอื่นอะไรมากนักแต่คราวนี้พวกเขาก็เข้าใจผิด
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสามารถเข้าไปสำรวจทัพเฮยอวี่ภายใต้สถานการณ์การต่อสู้และยังกลับมาอย่างปลอดภัย
แต่พวกเขารู้สึกใจชื้น เดิมทียังกังวลว่าอยู่ในภูเขาจะไม่ได้ข่าวคราวภายนอก ตอนนี้ไม่ต้องเป็นห่วงแล้วเพราะมีแหล่งข่าว
เมื่อพวกเขารู้ว่าเหลือเวลาอีกเพียงครึ่งปี พวกเขาก็เริ่มเพิ่มความเข้มข้นกับทัพอู่เว่ยมากขึ้น กิจวัตรประจำวันของทหารอู่เว่ยกลายเป็นเรียนหนังสือหนึ่งชั่วโมงในตอนเช้า ทำการบ้านหนึ่งชั่วโมง ทำนาสองชั่วโมงจากนั้นตอนบ่ายถึงเย็นเป็นการฝึกหนักปางตาย
หลี่ว์ซู่คอยขอให้จางเว่ยอวี่ให้คำปรึกษาด้านจิตใจให้พวกทหารหลังจากการฝึก ทหารหกสิบคนเป็นหนึ่งกลุ่ม คอยสลับผลัดเปลี่ยนกันระบายความทุกข์ใจ ความรู้สึกและเรื่องอื่นๆ …
ในตอนแรกทุกคนต่างเคอะเขิน พูดเรื่องพวกนี้ทำไม แต่แล้วก็เริ่มชินกันและบางครั้งก็รู้สึกชอบกิจกรรมนี้ด้วย
หลี่ว์ซู่กำลังเปลี่ยนแปลงพวกเขาอย่างไม่รู้ตัว โดยหวังว่าคนกลุ่มนี้จะมีความรู้สึกเป็นเจ้าของและมีความรู้สึกเป็นกลุ่มเดียวกันกับชื่อทัพอู่เว่ย
การฝึกทหารนั้นไม่ใช่แค่พัฒนาพลังเท่านั้น การรบไม่จำเป็นว่าฝ่ายไหนมีพลังมากกว่าจะเป็นผู้ชนะเสมอ จางเว่ยอวี่และพรรคพวกค้นพบว่าความคิดเพี้ยนๆ ของหลี่ว์ซู่ไม่มีที่สิ้นสุด แต่ทัพอู่เว่ยก็ให้ความร่วมมือกันมาก สามัคคีมากขึ้นเรื่อยๆ
จนกระทั่งครึ่งเดือนต่อมา พลังของทุกคนก็ขึ้นไปสู่ระดับใหม่ รวมถึงระดับสามทั้งเก้าคนและหลิวเชียนจือด้วยที่เลื่อนขึ้นสู่พลังระดับสอง พลังของทั้งกองทัพต่ำสุดจึงอยู่สูงกว่าระดับสี่ ตอนนี้พลังของทัพอู่เว่ยไล่ตามพลังของระลอกทองแดงในตอนนั้น
ถึงจำนวนคนจะไม่ได้มากเท่าระลอกทองแดง
“ตอนนี้เป็นเพียงการเริ่มต้น ด้วยวิธีการฝึกของพวกเรา กองทัพอู่เว่ยจะพลิกโฉมภายในครึ่งปี” จางเว่ยอวี่พูดอย่างภาคภูมิใจ “ถือว่านายโชคดีมาก บอกเขาติดอยู่ที่จุดคอขวดมันนาน ไม่มีใครช่วยให้เขาพัฒนา แต่ตอนนี้พวกเขาเติบโต แข็งแกร่งขึ้นภายใต้กองทัพของนาย”
หลี่ว์ซู่ชอบอกชอบใจที่เห็นเหล่าทหารกำลังทำการบ้านจึงไม่ได้สนใจจางเว่ยอวี่ ที่จริงเขารู้ว่าตัวเองโชคดี ทหารพวกนี้ก็ไม่ใช่พวกที่อกตัญญู พวกเขารู้สึกขอบคุณจากใจที่ช่วยให้พวกเขาพัฒนาพลังสูงขึ้น
แน่นอนว่าทั้งนี้ก็ได้ประโยชน์จากการฝึกและวิชาของจางเว่ยอวี่และพรรคพวก
แต่มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเฉพาะของจักรวาลนี้ หลี่ว์ซู่ทอดถอนใจที่เอามาเปรียบกับโลกไม่ได้
“แต่อย่าเพิ่งดีใจเร็วไป อย่างหลิวเชียนจือที่อยู่ระดับสองอย่าคิดว่าจะขึ้นสู่ระดับหนึ่งภายในครึ่งปีและอีกเก้าคนที่เหลือจะมีคุณสมบัติไปถึงระดับหนึ่งได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ หรือทั้งชาตินี้อาจจะติดอยู่ที่ระดับสองก็ได้” จางเว่ยอวี่มองหลี่ว์ซู่และพูดต่อ “นับจากวันนี้พวกเขาต้องเพิ่มการฝึกให้เข้มข้นขึ้นเท่าตัว จะต้องทนรับความเจ็บปวดทรมานทุกวัน อีกห้าเดือนภายหลัง ทหารที่อยู่ระดับสี่ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง จะลดการเรียนหนังสือลงไหม ให้มุ่งการฝึกไปก่อน? “
“ไม่รีบๆ ” หลี่ว์ซู่หัวเราะ “การเรียนหนังสือจะลดลงไม่ได้ การบ้านที่มอบให้ก็ต้องให้เขาทำเสร็จภายในเวลาให้ได้ทุกวัน นี่เป็นเรื่องที่สำคัญ”
จางเว่ยอวี่คิดในใจว่าหลี่ว์ซู่ทุ่มเทกับการสร้างความสามัคคีมากจริงๆ ไม่เหมือนผู้บัญชาการที่วิสัยทัศน์สั้นที่สนแต่เพิ่มพลังอย่างเดียว ส่วนหลี่ว์ซู่กลับหวังไปไกลว่าอยากให้กองทัพนี้พัฒนาทั้งบุ๋นและบู๊ไปพร้อมกัน…
มองการณ์ไกลมากจริงๆ!
ในความเป็นจริงหลี่ว์ซู่ไม่ได้คิดซับซ้อนแบบนั้น…
การฝึกและการใช้ชีวิตอย่างดำเนินไปตามปกติ เหล่าทหารเมื่อเลื่อนพลังขึ้นไปอีกขั้นแล้วก็มีวิถีการเดินชีพจรแบบใหม่ พวกเขาเพิ่งจะรอดจากธาตุไฟเข้าแทรกมาได้ก็ต้องเริ่มใหม่อีกครั้ง
ที่ตีนเขาจึงได้ยินเสียงคนร้องโหยหวนเจ็บปวดอีกครั้ง ตอนนี้หลี่เฮยทั่นที่มีพลังระดับสองแล้วจึงเสียงดังมากขึ้น
ทุกคนเริ่มเข้าใจเหตุผลที่จางเว่ยอวี่ให้พวกเขาทำเช่นนี้ เพราะชีพจรพวกเขาถูกทะลุทะลวงจนพัฒนาพลังไปเร็วมากเกินไป
คนธรรมดารับความทรมานขนาดนี้ไม่ได้แต่จางเว่ยอวี่มีสมุนไพรคอยช่วย
หลี่ว์ซู่คิดอยู่เรื่องหนึ่งถ้าเขาปลดโซ่ตรวนนั้นได้แล้วหยิบผลชำระกระดูกแจกให้ทหาร ไม่รู้ว่าพวกเขาจะพัฒนาไปถึงขั้นไหนกัน?
แต่ผลชำระกระดูกไม่ใช่ว่าจะเอาก็เอาได้เลย ถ้าเทียบกับบนโลก จักรวาลนี้มีความเสี่ยงมากกว่าเสียอีก
เวลาผ่านไปช้าๆ เหล่าทหารก็เริ่มปรับตัวเข้ากับวิถีของวิชาใหม่และก็ไม่เกิดธาตุไฟเข้าแทรก ดังนั้นจางเว่ยอวี่จึงให้เขาแบกหินก้อนใหญ่เดินทางระยะไกล ซึ่งหินก่อนนั้นมีน้ำหนักประมาณสองตัน
ถึงพวกเขาจะมีพลังแบกรับน้ำหนักขนาดนี้ได้ตั้งนานแล้วแต่เรื่องอยู่ที่ว่า…การเดินทางไกลใช้เวลายาวนาน
ถ้าพวกเขายกหินขึ้นมาจะไม่เสียแรงมากนัก แต่ถ้าต้องแบกแล้ววิ่งตลอดห้าชั่วโมงนั่นคือความทรมานอย่างมากเลย
การฝึกฝนเช่นนี้เจาะจงใช้กับผู้ที่มีพลังต่ำกว่าระดับสอง หลี่เฮยทั่น หลิวเชียนจือและคนอื่นๆ ที่อยู่ระดับสองขึ้นไปจึงไม่ต้องทำ ให้ทำตามการฝึกปกติไปก็พอ
ดังนั้นพอหมดการฝึกในหนึ่งวัน เหล่าทหารจึงเน้นเหนื่อยอ่อนล้าแทบหมดแรง…
เมื่อก่อน คนต่างแย่งกันไปทำนาไม่มีใครอยากจะเป็นหน่วยเฝ้ายาม เพราะถ้าเทียบกันแล้วการทำนายสบายกว่าเยอะแต่ตอนนี้ทุกคนต่างแย่งกันออกไปเฝ้ายามเพราะมันได้พักผ่อนทั้งวัน การไม่ต้องฝึกหนึ่งวันเป็นความรู้สึกที่สุดยอดมากๆ เลย
ในตอนนี้เองมีทหารวิ่งกลับเข้ามาในภูเขา ทหารนายนั้นร่างกายของแคล่วว่องไว เขาเห็นหลี่ว์ซู่ก็พูดอย่างเหนื่อยหอบว่า “ทางใต้ห่างไปสามสิบลี้มีกองทัพไม่ระบุนาม จำนวนประมาณพันกว่าคน และไม่ใช่ครับเฮยอวี่! “
หลี่ว์ซู่ตกใจ “ไม่ใช่ทับเฮยอวี่แล้วจะเป็นใครกัน”
“ทัพชิงไซ่! ” จางเว่ยอวี่พูดอย่างมั่นใจ “มีแค่พวกเขาเท่านั้นที่จะปรากฏตัวที่นี่ ก่อนนี้หลิวอี้เจานำทหารทัพชิงไซ่ฝ่าวงล้อม จากนั้นพวกเขาก็หายเข้ากลีบเมฆ ถ้าคิดดูแล้วน่าจะเข้ามาในเทือกเขา! “
หลี่ว์ซู่พูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “จะให้พวกเขาผ่านภูเขานี้ไปไม่ได้ พวกเราไม่มีผลประโยชน์ให้กันแล้วเสือสองตัวอยู่ในถ้ำเดียวกันไม่ได้ รวมพลเข้ามาที่ถ้ำนี้และขับไล่พวกเขาไป! “
หลี่ว์ซู่กำลังคิดว่าถ้าทัพชิงไซ่จะอยู่ที่นี่จะทำอย่างไร หรือว่าเขาต้องเลี้ยงคนเพิ่มอีกนับพันคน มันคือการหาอาหารเลี้ยงคนพันหนึ่งเชียวนะ!
ยิ่งกว่านั้นทัพอู่เว่ยถึงเวลาที่ต้องฝึกรบจริงแล้ว ถึงจะไม่ได้ฆ่าคนแต่อย่างน้อยก็ได้ประสบการณ์
หลิวอี้เจาที่อยู่ห่างออกไปสามสิบลี้เดินเข้าสู่ภูเขา ทันใดนั้นก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ…
Related
ทหารอู่เว่ยรู้สึกคาดหวังกับการเรียนในตอนแรกมาก เพราะจักรวาลนี้มีการกระจายการศึกษาค่อนข้างต่ำแต่มีความศรัทธา ดังนั้นเมื่อพวกเขาเป็นทาส พวกเขาจึงอิจฉาทาสที่ได้รับการศึกษาเป็นพิเศษ
ทาสที่มีการศึกษาสามารถเป็นอาจารย์ได้จะมีฐานะสูงมาก แทบไม่ถูกนายทาสบีบให้ทำอะไร
ความเคารพในวัฒนธรรมนี้ยังคงดำเนินมาตั้งแต่ยุคสังคมทาสจนถึงปัจจุบัน แต่ก็จบลงด้วยสิ่งมหัศจรรย์เช่นการบ้านของหลี่ว์ซู่ …
หนุ่มใหญ่ถือปากกาที่ทำจากถ่านแล้วเขียนๆ วาดๆ ลงบนสมุด ตัวอักษรก็เขียนคดๆ เคี้ยวๆ เช่นกัน หลี่เฮยทั่นเป็นคนที่เจ็บปวดที่สุด ตอนที่เขาเป็นทาส เขาไม่นับถือทาสที่มีการศึกษา เขามักจะรู้สึกว่าคนที่รู้หนังสือเหล่านั้นไม่ชอบพูดจาภาษาคน มีเล่ห์เหลี่ยม ด่าคนก็ไม่ใช่คำหยาบ
ครั้งหนึ่ง หลี่เฮยทั่นเห็นอาจารย์ซีสีของนายทาสตระกูลหนึ่งกำลังดุด่าคนอื่นๆ ด่าไปด่ามา หลี่เฮยทั่นก็ทนดูต่อไปไม่ไหว การด่ด่าคนมันเหมือนชักช้าจริงๆ ฟันอีกฝ่ายไปซะก็สิ้นเรื่อง
หลี่ว์ซู่ไปฝึกกระบี่แล้ว ตอนนี้เขาอาจจะสามารถปะทุระดับที่สามได้ภายในหนึ่งเดือน เขาเริ่มกังวลบ้างเมื่อเห็นทุกคนต่างปะทุพลังกัน
ในฐานะผู้บัญชาการกองทัพอู่เว่ย จะให้มีพลังน้อยกว่าลูกน้องได้อย่างไร
ยิ่งไปกว่านั้น แต้มอารมณ์มากมายขนาดนั้น หลี่ว์ซู่อยากจะรีบพัฒนาถึงระดับหนึ่งและทลายโซ่ตรวนนั้นและกินผลดวงดาว
ในตอนนี้เอง หลี่ว์เสี่ยวอวี๋มีความสุขที่ได้เห็นหลี่เฮยทั่นทำการบ้านด้วยใบหน้าบูดบึ้ง เธอคิดมาตลอดว่าการบ้านเป็นภาระของนักเรียน ดังนั้นเธอจึงไม่อยากทำการบ้านเลยเมื่อตอนเธอเรียน
ตอนนี้เห็นหลี่เฮยทั่นแสนซื่อถูกหลี่ว์ซู่ทรมานแบบนี้ หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ยิ้มและเดินไปที่หลี่เฮยทั่นแล้วดึงสมุดออกมาและฉีกทิ้ง “ไม่ต้องทำการบ้านแล้ว ถ้ามีคนถามบอกว่าฉันเป็นคนฉีกทิ้งเอง! “
หลี่เฮยทั่นมองหลี่ว์เสี่ยวอวี๋อย่างตกใจ จากนั้นก็มองไปที่หนังสือที่ฉีกขาด “ฉัน …เขียนเสร็จแล้ว …”
[ได้แต้มจากหลี่เฮยทั่น +999!]
ถ้าเป็นคนอื่น หลี่เฮยทั่นฟันตัวขาดไปแล้วแต่ไม่กล้าทำกับหลี่ว์เสี่ยวอวี๋
หลี่เฮยทั่นเป็นคนตรงไปตรงมาแต่ไม่โง่ เขารู้ว่าหลี่ว์เสี่ยวอวี๋เป็นคนใกล้ชิดหลี่ว์ซู่ที่สุดแล้วเขายังรู้สึกได้ว่าหลี่ว์เสี่ยวอวี๋มีความจริงใจกับเขา
บางครั้งคนโง่ก็มีลาภของคนโง่ คนที่ซื่อสัตย์ ซื่อตรงมักจะได้รับความช่วยเหลือจากผู้อื่นได้ไม่รู้ตัว ทุกครั้งที่เข้าไปล่าสัตว์ หลี่เฮยทั่นจะคุ้มครองหลี่ว์เสี่ยวอวี๋อย่างจริงจัง ติดตามไม่ห่าง เป็นเพราะเขาสัมผัสถึงความดีของหลี่ว์เสี่ยวอวี๋
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ไม่ได้เย็นชาแต่กำเนิด เธอรู้สึกว่าโลกนี้เต็มไปด้วยการหลอกลวง มีเพียงหลี่ว์ซู่เท่านั้นที่ไว้วางใจได้ ต่อมาเธอก็พบว่ายังมีคนดีอีกมากมายบนโลกนี้
เธอมองสมุดที่ฉีกขาดนั้นเงียบๆ “…นายอยากจะเขียนมันอีกครั้งไหม”
[ได้แต้มจากหลี่เฮยทั่น +666!]
ขณะที่หลี่ว์ซู่กำลังฝึกกระบี่ เขาเห็นแต้มจากหลี่เฮยทั่นก็คิดในใจว่าตอนที่เขาพาหลี่เสี่ยวอวี๋ไปจากจักรวาลนี้ จะให้ผลชำระกระดูกกับคนอื่นซักเท่าไรก็ได้ หลี่เฮยทั่นคงต้องให้มากหน่อย…
เธอตะโกนเรียนพวกจางเว่ยอวี่มาที่ถ้ำด้วยกัน นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขามาที่สถานที่ฝึกกระบี่ของหลี่ว์ซู่ ตะเกียงน้ำมันแขวนอยู่บนผนังถ้ำ น้ำมันพวกนี้ทำจากน้ำมันสัตว์ ปกติหลี่เฮยทั่นเป็นคนคอยเติมน้ำมัน คนอื่นๆ ห้ามเข้า
จางเว่ยอวี่ไม่รู้ว่าหลี่ว์ซู่เรียกพวกเขามาทำไม แต่เมื่อพวกเขาเห็นรอยกระบี่จำนวนมากบนกำแพงต่างมีสีกน้าเคร่งขรึมกัน รอยกระบี่พวกนั้นแฝงไว้ด้วยปราณพลังอันเข้มข้น
เหมือนพอมองนานเข้า รอยพวกนั้นเหมือนจะหลุดออกมาจากกำแพง พุ่งเข้าใส่พวกเขา
“เลิกมองเถอะ” จางเว่ยอวี่กระซิบ เขาพบว่าตัวเองรู้สึกอึดอัด
จางเว่ยอวี่และพรรคพวกต่างมีประสบการณ์สูงแต่ถึงประสบการณ์สูงแต่ก็จะประมาทหลี่ว์ซู่ไม่ได้
รอยกระบี่เกิดจากผู้บำเพ็ญระดับสี่ตัวเล็กๆ กลับสร้างแรงกดดันอย่างมากภายในการมองไม่กี่ครั้ง นั่นแสดงถึงปราณระดับไหน
หลี่ว์ซู่เห็นพวกเขาเข้ามาก็เก็บกระบี่และพูดกับหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ว่า “บอกสถานการณ์ให้พวกเขาฟังเถอะ ทุกคนจะได้เข้าใจสถานการณ์ตอนนี้”
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ออกไปข้างนอกเพราะเธอเป็นคนที่เหมาะสมและปลอดภัยที่สุดในการไปสืบข่าวข้างนอก การไปครั้งนี้เพื่อหาสมุดการบ้านให้หลี่ว์ซู่ อีกเรื่องคือสำรวจสถานการณ์ข้างนอกเพื่อนำมาเป็นข้อมูลการประเมินอย่างแม่นยำ
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋พูดด้วยเสียงราบเรียบ “ฉันได้ไปด่านหลีหยางเพราะมันไกลเกินไป ตอนนี้มีทหารประชิดด่านเว่ยเป่ย ทัพเฮยอวี่รวบกำลังอยู่ที่ด่านเว่ยเป่ย เกรงว่าพวกเขาต้องการบุกโจมตี ฉันได้ข่าวว่าจอมทัพสวรรค์ประจิมตวนมู่หวงฉี่เอ่ยปากสัญญา ถ้าทัพเฮยอวี่บุกยึดได้สิบเมือง ก็จะให้เลือกผู้บัญชาการจากภายในมาเป็นเจ้าเมือง”
เมืองอวิ๋นอาน เมืองหนานเกิงและเมืองกว่างเหลียว ทั้งสามเมืองนี้เปรียบเสมือนสามเหลี่ยมที่คั่นกลางระหว่างด่านเว่ยเป่ยและด่านหลีหยาง ตอนนี้ด่านเว่ยเป่ยกลายเป็นเส่นทางสำคัญที่จะขึ้นเหนือของทัพเฮยอวี่ ถ้าทัพเฮยอวี่หมายจะยึดทั้งสิบเมืองละก็ จะต้องตีด่านเว่ยเป่ยด้วย
“ว่าอย่างไรบ้าง พวกเราอยู่ที่นี่ปลอดภัยไหม” หลี่ว์ซู่ถาม พวกเขาอยู่ห่างจากด่านเว่ยเป่ยเพียงร้อยกว่าลี้ จึงฟันธงไม่ได้ว่าทัพเฮยอวี่จะมาที่นี่หรือไม่
เดิมทีตอนที่หลี่ว์ซู่อยู่ที่เมืองเถียนเกิ่ง เขารู้สึกว่าโลกใบนี้เล็กนิดเดียว แต่ต่อมาเขาก็ต้องตกใจเมื่อรู้ว่าจากเมืองเถียนเกิ่งไปเมืองหนานตูต้องเดินทางถึงหนึ่งหมื่นสองพันกว่าลี้ เมืองหนานตูตั้งอยู่ใจกลางหนานโจว และถ้าจะไปเมืองหลวงก็ต้องเดินทางต่ออีกหนึ่งหมื่นลี้
ความยาวรวมจากเหนือ – ใต้ของจีนมีเพียงประมาณหนึ่งหมื่นหนึ่งพันกว่าลี้ หนานโจวที่เดียวมีขนาดเท่ากับประเทศจีนสองเมือง? เมื่อคำนวณโดยละเอียดเขาก็เพิ่งจะรู้ว่าจักรวาลหลี่ว์ไม่เล็กเลย…
จางเว่ยอวี่วิเคราะห์ “ตอนนี้ทัพเฮยอวี่ต้องการโจมตีด่านเว่ยเป่ยเต็มกำลัง จึงไม่สนใจพวกเราแน่นอน พวกเราจึงปลอดภัยช่วงขณะ น่าจะปลอดภัยประมาณครึ่งปีหรือหนึ่งปี หากทัพเฮยอวี่คิดจะยึดด่านเว่ยเป่ยลงให้ได้ มันไม่ใช่เรื่องง่าย ทัพเฮยอวี่มีทหารจำนวนมากเพราะซีโจวมีกองทัพอยู่สองกองทัพและรวมคนทั้งหมดไว้ด้วยกันแล้ว แต่ด่านเว่ยเป่ยตระเตรียมกองกำลังเอาไว้นานแล้ว ด่านจึงมั่นคงดังหินผา”
ตงเยี่ยส่ายหน้า “แต่จะประมาทไม่ได้ โลกนี้ไม่มีด่านที่ทำลายไม่ได้ ฉันคิดว่าทัพเฮยอวี่บุกด่านเว่ยเป่ยครั้งนี้มันต้องเกิดขึ้นแน่นอน เมื่อด่านนี้ถูกยึดได้แล้ว ทัพเฮยอวี่จะต้องทำอย่างแรกคือการคุ้มกันเมืองให้ดีก่อน จากนั้นก็จัดการพื้นที่ที่อยู่ระหว่างด่านหลีหยางและด่านเว่ยเป่ยให้เรียบร้อยก่อน เมื่อจัดการเรื่องตรงนี้เรียบร้อยแล้ว พวกเขาถึงจะวางใจขึ้นเหนือไปต่อ”
“ดังนั้นเวลาที่เหลือสำหรับพวกเราก็คือประมาณครึ่งปี” หลี่ว์ซู่พยักหน้า “ถ้าอย่างนั้น ต้องรีบดำเนินการทุกอย่าง ต้องฝึกทหารอู่เว่ยก่อนที่ทัพเฮยอวี่จะมา ฉันไม่เชื่อว่าทัพเฮยอวี่จะทุ่มกำลังกวาดล้างทั้งเทือกเขานี้ เมื่อถึงเวลานั้นพวกเรามีพลังกล้าแกร่งขึ้นพอจะรับมือ”
Related
ทัพอู่เว่ยเข้าแถวเรียงหนึ่ง แต่ละคนรับยาหม่องสีขาวหนึ่งกำมือจากหม้อใบใหญ่ไปถูนวด พอใช้แล้ว ไม่ถึงสิบนาทีพวกเขารู้สึกสบายตัว
คนธรรมดาไม่รู้สึกอะไรหรอกเพราะมันใช้พลังวิญญาณในร่างกายของสัตว์ป่าเป็นตัวพื้นและเพิ่มสมุนไพรที่ช่วยฟื้นฟูความเจ็บปวดให้เส้นชีพจร
สิ่งนี้แตกต่างจากที่โลก ถึงแม้ว่าจะมีการกลายพันธุ์เกิดขึ้นที่โลกแต่เป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน ทุกคนไม่รู้ว่าสมุนไพรชนิดใดเปลี่ยนแปลงไปบ้าง
หลี่ว์ซู่ถามอย่างสงสัย “ทำไมไม่เริ่มทายานี้ตั้งแต่วันแรกล่ะ”
“ระดับการฝึกในวันแรกไม่หนักพอที่จะใช้เจ้านี้” จางเว่ยอวี่อธิบาย “วันหลังพวกเขาต้องใช้สัปดาห์ละครั้งหรือสองครั้งเท่านั้นขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของการฝึกฝนและความอดทนของพวกเขา”
“อะแฮ่ม” หลี่ว์ซู่ถามอย่างสงสัย “สิ่งนี้ขายได้ไหม”
จางเว่ยอวี่มองหลี่ว์ซู่และไม่พูดอะไรตั้งนาน “ประสิทธิภาพของเจ้าสิ่งนี้หลังจากต้มแล้วจะอยู่ได้เพียงหนึ่งวันหนึ่งคืน จะขนส่งหรือกักตุนไม่ได้เลย ดังนั้นไม่ต้องคิดเรื่องนั้นเลย”
“เอาเถอะ สบู่ของฉันยังดีกว่า” หลี่ว์ซู่ทำปากจู๋
จางเว่ยอวี่คิดในใจว่า ของที่ขายไม่ได้ในสายตาของนายจะเชื่อถือไม่ได้เลยหรือ!
[ได้แต้มจากจางเว่ยอวี่ +99!]
ในตอนนี้เขารู้สึกว่าขอให้จางเว่ยอวี่อยู่ที่นี่เป็นการเลือกที่ชาญฉลาดเพราะประสบการณ์ของจางเว่ยอวี่ในทุกด้านนั้นดีกว่าหลี่ว์ซู่และคนอื่นๆ มากโดยเฉพาะวิสัยทัศน์
จักรวาลนี้ต่างจากโลกมนุษย์ ผู้บำเพ็ญที่นี่ฝึกฝนนานมาก จำนวนของพวกเขามีไม่ค่อยมากแต่เรื่องการบำเพ็ญนั้นพวกเขาล้ำหน้าโลกไปไกล
เราต้องรู้ว่ามีตระกูลขุนนางและนายทาสจำนวนนับไม่ถ้วนที่นี่ หากทุกตระกูลมีวิชาเป็นของตัวเอง แสดงว่าจะต้องมีวิชาถ้าแสนก็แปดหมื่นวิชาได้
แต่แค่วิชาและระดับความเข้าใจมีสูงต่ำ บางคนฝึกทั้งชีวิตก็ไม่สามารถไปถึงจุดสูงสุดได้
ยิ่งกว่านั้นอายุขัยองผู้บำเพ็ญนั้นยาวนานมาก ผู้ที่มาก่อนได้ครอบครองทรัพยากรก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป แต่ผู้มาทีหลังก็อยากจะปีนป่ายขึ้นสูง จึงทำให้มีสงครามไม่หยุดหย่อน
ดังนั้นในมุมมองของหลี่ว์ซู่ สงครามเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ในจักรวาลหลี่ว์ แค่มียอดฝีมือคนใหม่เกิดขึ้นจะต้องเกิดการขัดแย้งทางผลประโยชน์กับกลุ่มเก่าอย่างแน่นอน
ดังนั้น หลี่ว์ซู่จึงไม่ชอบจักรวาลหลี่ว์มากนัก
หลี่ว์ซู่กำหนดชั้นเรียนวัฒนธรรมไว้ในตอนเช้า แต่เขาไม่ได้ให้พวกเขาเรียนรู้จากตัวอักษรง่ายๆอย่างหนึ่ง สอง สาม สี่แต่ให้พวกเขาเรียนรู้สิ่งที่ซับซ้อนเลย เช่นเริ่มสอนจากบทความที่ยกมา “ฉันฝันว่าสักวันหนึ่งกองทัพอู่เว่ยจะสามารถยืนหยัดได้ ตระหนักถึงความหมายที่แท้จริงข้อความนี้ พวกเราเชื่อว่าความจริงนั้นชัดเจนในตัวเองและมนุษย์ทุกคนถูกสร้างขึ้นมาเท่าเทียมกัน ฉันฝันว่าสักวันหนึ่ง บนภูเขาราชาหลี่ว์หวัง ในจักรวาลหลี่ว์นี้ ลูกหลานของอดีตทาสจะสามารถนั่งกับลูกหลานของอดีตนายทาสและบอกเล่ามิตรภาพ…”
“ฉันมีความฝัน…”
เมื่อจางเว่ยอวี่เห็นข้อความนี้เขาก็ตะลึงไปนาน เขาคาดไม่ถึงว่าหลี่ว์ซู่จะหวังใหญ่ขนาดนี้ ที่คิดจะพลิกโฉมชนชั้นของโลกนี้
แต่หลี่ว์ซู่ไม่ได้คิดมากขนาดนั้น เขาแค่ต้องการปลุกภูมิปัญญาของกองทัพอู่เว่ย
ความเป็นทาสของจักรวาลนี้ไม่สามารถล้มล้างได้ บางทีอาจมีตัวอย่างของคนที่ต้องการพลิกโฉมประวัติศาสตร์ของโลกมาแล้วมากมาย แต่มันต่างกับจักรวาลหลี่ว์เพราะสิ่งที่นายทาสใช้ควบคุมทาสคือวิชาและผลประโยชน์ที่แท้จริง
การทรยศของทาสนั้นมีต้นทุน พวกเขาต้องผ่านด่านที่เจ็บปวดปางตายก่อนและ 99% ของทาสในโลกนี้ไม่สามารถผ่านไปได้
ดังนั้นหลี่ว์ซู่ไม่เคยคิดที่จะเปลี่ยนโลกนี้ สิ่งที่เขาต้องการเปลี่ยนมีเพียงทัพอู่เว่ยเท่านั้น
แต่จางเว่ยอวี่ไม่คิดเช่นนั้น เขาชื่นชมหลี่ว์ซู่ตอนนี้จริงๆ …
ยิ่งเขาได้สัมผัสกับหลี่ว์ซู่มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าหลี่ว์ซู่แตกต่างออกไปมากเท่านั้น ความแตกต่างนั้นอยู่ในกระดูกของเขาและเป็นหัวใจหลักของความคิดเขา
ถ้าให้หลี่ว์ซู่รู้ความคิดของจางเว่ยอวี่มันเท่ากับเป็นเรื่องไร้สาระหรือเปล่า พวกเขามาจากคนละโลกกันและแน่นอนว่าย่อมต้องแตกต่างกัน…
ส่วนคนเร่ร่อนในกองทัพอู่เว่ย หลังจากประสบกับที่หลี่ว์ซู่ปฏิเสธการรับเป็นทาสแต่สอนวิชาให้อย่างไม่เห็นแก่ตัว เมื่อพวกเขาเริ่มเรียนประโยคนี้ ทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกัน ข้อความนี้มันแทงทะลุหัวใจพวกเขามาก
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่มีการศึกษามากนัก แต่พวกเขารู้สึกว่าหกคำนี้ดูงดงามมาก
ในขณะนี้หลี่ว์เสี่ยวอวี๋กลับมาจากข้างนอก เธอโยนหนังสือสีฟ้าจำนวนมากออกมาจากอากาศและกองไว้บนพื้นสูงเท่าเนินเขาได้แล้วพูดว่า “ในเมืองละแวกนี้หาได้แต่ของพวกนี้ ไม่มีร้านค้าขายของแล้ว ชาวบ้านต่างย้ายหนีภัยกันไปหมดแล้ว”
หลี่ว์ซู่เหลือบมอง มันดูเหมือนสมุดบัญชี กระดาษมีสีเหลืองและหยาบเล็กน้อย ฝีมือการผลิตกระดาษของจักรวาลหลี่ว์ยังไม่พัฒนามากนักแต่ก็เกี่ยวกพันกับราชาแห่งทวยเทพ การผลิตกระดาษกลับพัฒนากว่าการผลิตอื่น…เพราะต้องพิมพ์บทกวีของราชาที่มีมากมาย…
หลังเลิกเรียน หลี่เฮยทั่นเข้ามาใกล้ๆ อย่างสงสัย “ใต้เท้า ทำอะไรหรือ”
หลี่ว์ซู่ยิ้มอย่างมีความสุขและพูดว่า “นี่เป็นสมุดการบ้านของพวกนาย!”
จู่ๆ หลี่เฮยทั่นก็รู้สึกลางสังหรณ์ที่ไม่ดี…
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ค่อนข้างชอบนิสัยของหลี่เฮยทั่น เธอชอบอยู่กับคนตรงไปตรงมาและไม่ขี้โกง ดังนั้นหลี่เฮยทั่นจึงเป็นบุคคลที่หายากในกองกำลังทั้งหมดที่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋จะทักทายด้วย
ในสายตาของคนอื่นๆ หลี่ว์เสี่ยวอวี๋เป็นพ่อบ้านใหญ่ที่เย็นชาแต่จะยิ้มให้หลี่ว์ซู่เท่านั้น
นักเรียนหลี่ว์ซู่ที่มีประสบการณ์การศึกษาคิดว่าถึงจะไม่ควรมีการบ้านมากแต่จะขาดไม่ได้ หลายคนไม่เข้าใจทำไมต้องทำการบ้าน ทำไมจึงไม่แก้ไขโจทย์พวกนั้นในชั้นเรียน จำเป็นต้องทำการบ้านต่อหลังเลิกเรียนหรือ
แต่หลี่ว์ซู่รู้สึกว่ามันจำเป็น แต้มอารมณ์เขาจะคิดว่ามากไปได้ยังไงล่ะ…
เมื่อผู้คนสามพันกว่ามีแต้มอารมณ์เพราะต้องทำการบ้านอย่างทรมาน หลี่ว์ซู่ก็นั่งนับเงินอย่างสบายใจ เขานึกว่าถ้ากลับมาที่โลก จะลองเข้าไปกำกับสมาชิกเครือข่ายฟ้าดินซะหน่อยไหม อย่างเช่นให้พวกเขาทำการบ้าน
หลี่ว์ซู่คิดในใจว่าไม่ได้ให้ทำการบ้านเปล่าๆ เห็นแก่มิตรภาพช่วงก่อนที่เขาจะกลับโลก เขาจะมอบผลชำระกระดูกให้คนละเม็ดก่อนกลับ ถือว่าเป็นพวกนายจ่ายเงินมาให้ก่อนแล้ว… ยังไงเสียเมื่อไปแล้วก็คือตัดขาดจากจักรวาลนี้ ไม่มีอะไรต้องกลัว
ในความเป็นจริง แต้มอารมณ์ที่มอบให้กับหลี่ว์ซู่ของทหารทุกคนเกินพันแต้มไปมากแล้ว
ผู้ชายตัวใหญ่โตเพิ่งเริ่มเรียนเขียนตัวอักษร ท้อใจจริงๆ… การบ้านแค่วันเดียวก็ทำให้หลี่เฮยทั่นให้แต้มอารมณ์กับหลี่ว์ซู่มากกว่าเก้าร้อย…
แน่นอนว่าวันแรกจะได้มากหน่อย พอทุกคนเคยชินกับวิธีนี้แล้วก็ให้แต้มน้อยลงเรื่อยๆ
แต่หลี่ว์ซู่ไม่สนใจ พอถึงตอนนั้นเขาจะเปิดวิชาคณิตศาสตร์ขึ้นอีกวิชา …
ความกระหายแต้มอารมณ์ของหลี่ว์ซู่นั้นเป็นแรงผลักดันให้ทัพอู่เว่ยมีการศึกษามากขึ้น
Related
จางเว่ยอวี่จ้องหลี่เฮยทั่นอยู่สักพัก เขารู้ว่าเส้นชีพจรถูกปะทุจะเจ็บปวดแค่ไหน ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าทหารกว่าจะปีนเขาเสร็จกลับมาก็คงจะมืดค่ำแต่หลี่เฮยทั่นไปไม่นานก็กลับมา
เขาทอดถอนใจ ไม่ใช่ว่าหลี่เฮยทั่นพลังสูงกว่าคนอื่นแต่เจ้าวู่วามเกินไป คนอื่นๆ บาดเจ็บก็หยุดพักแล้วค่อยฝึกต่อ แต่หลี่เฮยทั่นไม่ทำแบบนั้น เขากัดฟันวิ่งไปกลับทีเดียวไม่มีเวลาให้ปรับชีพจรเลย…
แต่จางเว่ยอวี่รู้ว่าที่จริงทำแบบนี้ก็มีข้อดี แค่ฟื้นฟูร่างกายกลับมาได้ ชีพจรและพลังของหลี่เฮยทั่นจะสูงกว่าคนอื่นๆ แน่นอน
หนทางสู่วิถีอันยิ่งใหญ่ย่อมพบเจอกับความเจ็บปวด ความโดดเดี่ยว ความทรมาน การล่อลวงและอื่นๆ มากมาย
จางเว่ยอวี่ชื่นชมหลี่เฮยทั่นจริงๆ เพราะเขารู้ว่ามีเพียงคนที่มีจิตใจบริสุทธิ์เท่านั้นที่สามารถเดินทางบนถนนสายนี้ต่อไปได้
ดึกคืนนั้นที่ท้องฟ้าเพิ่งเริ่มเห็นดวงดาว ส่วนใหญ่ต่างกลับมากันแล้ว หลี่เฮยทั่นยังคงนอนร้องโหยหวนอยู่บนพื้น
หลี่ว์ซู่เข้ามาดูสีหน้าเจ็บปวดของแต่ละคนแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
จางเว่ยอวี่เอามือไพล่หลังและเดินนำสหายหน่วยมังกรหลวงกลับไปที่ค่ายทหาร เสียงของจางเว่ยอวี่ดังขึ้นในเวลากลางคืน “แค่นี้ยังไม่พอกลับไปอาบน้ำพักผ่อน คืนนี้ไม่ต้องนอน นั่งสมาธิไปทั้งคืน พรุ่งนี้จะต้องฝึกต่อ! อย่าขี้เกียจ เดี๋ยวอีกสักพักจะมาตรวจ! “
หลายคนปวดเนื้อปวดตัวจนอยากจะนอนแต่ก็ยังนอนไม่ได้ นี่มันทรมานกันชัดๆ!
ไม่ใช่แค่นี้ พวกเขาถูกสั่งให้ไปอาบน้ำแล้วถึงจะเข้าไปในค่ายทหาร …
ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง พวกจางเว่ยอวี่เริ่มลงมือ เดินถือไม้พลองเข้าไปในค่ายทหารแต่ละที่และฟาดทหารที่แอบนอน จนทั้งค่ายมีแต่เสียงร้องเจ็บปวดอย่างกับตกนรก
จางเว่ยอวี่ตรวจค่ายทหารสามสิบกว่าที่ เมื่อมั่นใจว่าทุกคนเริ่มบำเพ็ญแล้วก็เดินออกไปด้วยความพอใจ เขาเพิ่งพบกับหลี่ว์ซู่ ยิ้มให้และพูดว่า “ไม่ต้องสงสารพวกเขาหรอก มันมีผลดีกับพวกเขา เอื่อยเฉื่อยมานานก็ต้องมีปัญหาแบบนี้ จิตใจ วิชา ชีพจรต้องถูกปรับทั้งหมด พรุ่งนี้มีเรื่องประหลาดใจแน่นอน”
หลังจากพูดจบ จางเว่ยอวี่ก็เดินจากไป หลี่ว์ซู่คิดว่าเขากำลังจะเข้านอน แต่เขาพบว่าคนกลุ่มนี้จะมาตรวจทุกชั่วโมงเพื่อดูว่ามีใครขี้เกียจบ้าง ที่จริงจางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ ร่างกายอ่อนแอกว่าคนธรรมดาและการฝึกฝนที่เข้มข้นเช่นนี้ก็กินแรงพวกเขาไปไม่น้อย
และเป็นเหตุให้หลี่ว์ซู่เริ่มชื่นชมจางเว่ยอวี่และพรรคพวกขึ้นบ้าง พวกเขาสามารถทุ่มเทแรงกายแรงใจและหยาดเหงื่อเพื่อความคิดบางอย่างในใจได้
ถ้าฝึกเช่นนี้ต่อไป ทัพอู่เว่ย …คงจะต้องเปลี่ยนโฉมไปได้แน่นอน!
เช้าวันรุ่งขึ้น หลี่ว์ซู่อยู่ในถ้ำก็ได้ยินเสียงร้องดีใจจากข้างนอก เขาเดินออกจากถ้ำอย่างสงสัยและพบว่ามีทหารมากมายกระโดดโลดเต้นอยู่นอกค่าย เหมือนกับกำลังฉลองอะไรบางอย่าง
แล้วเมื่อลองถามดูเขาก็ถึงกับประหลาดใจที่พบว่าทหารที่มีพลังเพียงระดับห้ามาแต่เดิมได้เลื่อนระดับเป็นระดับสี่ภายในชั่วข้ามคืน! มันเป็นไปได้ยังไง
จางเว่ยอวี่ยืนอยู่ข้างๆ เขาและอธิบายด้วยรอยยิ้ม “คนเหล่านี้ติดอยู่ที่จุดสุดยอดของระดับห้ามาหลายปี ขาดไปแค่วิชาเท่านั้น ดังนั้นการฝึกฝนเข้มข้นสูงเมื่อวานนี้ทำให้เกิดความปั่นป่วนในชีพจร บวกกับมีวิชาใหม่จึงเป็นเหตุเป็นผลให้ปะทุพลังได้ ส่วนผู้ที่ยู่ระดับสี่ ภายในหนึ่งเดือนก็น่าจะทำได้เหมือนกัน”
หลี่ว์ซู่ตะลึงไปชั่วขณะ หากพลังโดยรวมของกองทัพอู่เว่ยเพิ่มขึ้นระดับหนึ่ง พลังโดยเฉลี่ยก็จะน่าประทับใจทีเดียว!
จางเว่ยอวี่เหมือนจะมองเห็นความคิดของหลี่ว์ซู่ออกจึงหัวเราะ “ไม่ต้องรีบร้อน นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น”
เมื่อมีความก้าวหน้าของกลุ่มคนชุดแรก คนอื่นๆ ที่ยังไม่ได้ปะทุพลังก็เริ่มเห็นความหวังและคนที่ปะทุพลังก็ได้ลิ้มรสความภูมิใจ
จางเว่ยอวี่รู้ว่ากองทัพอู่เว่ยเป็นกลุ่มคนที่ไร้ระเบียบวินัย ดงันั้นถ้าอยากให้พวกเขาตั้งใจต้องให้พวกเขาได้เห็นประโยชน์ที่จับต้องได้
เขาวางเชือกนุ่มๆ ไว้บนโต๊ะแล้วหยิบปลายเชือกเดินลากไปมันถึงจะเดินไปเป็นเส้นตรงตามคนจูง ถ้าลากไปข้างหลัง เชือกก็จะคด ไม่เคลื่อนที่ไปข้างหน้า
ด้วยการปะทุพลังแบบกลุ่มอย่างกะทันหันนี้ทำให้ภูเขาราชาหลี่ว์หวังเต็มไปด้วยความหวังและความสุข เดิมทีกองทัพอู่เว่ยมีจำนวนผู้มีพลังระดับห้ามากที่สุด ดังนั้นจึงเป็นผู้ได้รับประโยชน์มากที่สุดเมื่อปะทุพลังกลุ่ม
วันรุ่งขึ้นถึงทุกคนจะบำเพ็ญกันอย่างเหน็ดเหนื่อยแต่พวกเขาก็มีความหวังและกระตือรือร้น
ในตอนนี้จางเว่ยอวี่หยิบภาพที่เขาเพิ่งวาดด้วยมือ “วันนี้ ถ้าเห็นต้นไม้แบบนี้บนภูเขาให้นำมันกลับมาให้ฉัน บนภูเขามีอยู่แน่นอน ฉันเห็นมันที่ตีนเขาเมื่อวานนี้”
เมื่อตกกลางคืน ทุกคนในหน่วยทหารกลับมาพร้อมกับต้นไม้จางเว่ยอวี่ต้องการกลับมามากบ้างน้อยบ้าง จากนั้นแทบรอไม่ไหวที่จะอาบน้ำและกลับไปที่ค่ายทหารเพื่อฝึกฝน
แต่จางเว่ยอวี่และพรรคพวกถือหม้อขนาดใหญ่มากและเริ่มผสมน้ำมันสัตว์และสมุนไพรที่เด็ดได้จากภูเขา
หลี่ว์ซู่ปวดใจ “ใช้ประหยัดหน่อย น้ำมันนั้นฉันจะเอามาทำสบู่”
จางเว่ยอวี่อึ้งไปชั่วขณะ “น้ำมันสัตว์ป่าภูเขาเหล่านี้มีคุณภาพสูง เอามาทำสบู่อาจช่วยบำรุงผิวได้ มันเป็นความคิดที่ดีแต่อย่าตระหนี่ในตอนนี้ นายเลี้ยงดูทหารพวกนี้ดีๆ แผนของนายถึงจะใช้ได้”
หลี่ว์ซู่จำใจเห็นด้วย เขาเห็นว่าไขมันในหม้อใบใหญ่มากกว่าสิบใบเริ่มข้นเป็นสีขาวขึ้นเรื่อยๆ และค่อยๆ ข้นคล้ายเนย น่าประหลาดใจมาก
ใช้เวลาเคี่ยวห้าชั่วโมงเต็ม จางเว่ยอวี่และพรรคพวกต่างสับเปลี่ยนกันมาคน คนเดียวคนตลอดไม่ไหว
“พวกนายพักหน่อยไหม ให้พวกหลี่เฮยทั่นมาเคี่ยว?” หลี่ว์ซู่พูด
“ไม่ได้” จางเว่ยอวี่ปฏิเสธเด็ดขาด “ตอนนี้ชีพจรไม่เสถียร กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ จะให้พวกเขาเสียเวลาบำเพ็ญไปเสียเปล่าไม่ได้”
ในตอนเช้า ทหารส่วนน้อยที่อยู่จุดสุดยอดของระดับสี่ได้ปะทุไปสู่ระดับสาม เพียงแค่ระดับสี่มีจำนวนน้อย วันนี้จึงมีการฉลองไม่มากนัก
จางเว่ยอวี่ยิ้มและเรียกหลี่เฮยทั่นและคนอื่นๆ เข้ามา “มาๆๆ ถอดเสื้อออก แต่ละคนเอายาหม่องพวกนี้ไปนวด มันช่วยฟื้นฟูการบาดเจ็บของชีพจรและยังทำให้ผิวพรรณดีอีกด้วย! “
หลี่เฮยทั่นได้ยินก็ไปพอใจ “นี่มันของที่พวกลูกสาวขุนนางทากัน ผู้ชายอย่างพวกเราจะเอาผิวสวยไปทำอะไร พวกเราไม่ต้องทาพวกนี้”
จางเว่ยอวี่โมโหหลี่เฮยทั่น “ถ้าอย่างนั้น นาบอกฉันซิว่าผู้ชายทาอะไรกัน”
หลี่เฮยทั่นเกาหัวอยู่นานและพูดว่า “เลือดศัตรู?”
จางเว่ยอวี่ “… “
หลี่ว์ซู่หัวเราะเสียงดังลั่นอยู่ข้างๆ หลี่เฮยทั่นเป็นมนุษย์เหล็กโดยแท้จริง
Related
หลี่ว์ซู่คาดหวังว่าพวกจางเว่ยอวี่จะพัฒนาพลังของทัพอู่เว่ยให้แข็งแกร่งได้เร็วขนาดไหนเพราะเขาต้องการดูว่าวิธีของพวกจางเว่ยอวี่เหมาะสมกับเขาหรือไม่
หลังจากทหารอู่เว่ยลงนามพันธสัญญากับหลี่ว์ซู่แล้ว พวกเขาก็เริ่มเปลี่ยนปฏิรูปตนเองอย่างแท้จริง ความหมายของการปฏิรูปที่หลี่ว์ซู่บอกพวกเขานั้นคือ ถ่ายทอดวิชาและยังเป็นวิชาที่สามารถพัฒนาไปได้ถึงระดับหนึ่ง
ในเวลานี้ทหารทัพอู่เว่ยต่างกระตือรือร้นกันสุดกำลัง เหตุผลที่พวกเขาแต่ละคนไม่สามารถพัฒนาพลังให้สูงขึ้นได้ก็คือระดับพลังถึงจุดคอขวดจนพัฒนาต่อไปไม่ได้
ตอนนี้มาติดตามหลี่ว์ซู่ ไม่เพียงแต่สภาพความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นแต่เขายังสามารถพัฒนาพลังของเขาต่อไปได้
คนที่ตื่นเต้นที่สุดคือหลิวเชียนจือ เหตุผลที่เขาเลือกเข้าร่วมทัพอู่เว่ยไม่ใช่เพราะวิชาที่พัฒนาได้แค่ระดับสาม ถ้าเข้าร่วมกองทัพชั้นยอดอย่างทัพชิงไซ่ที่มีจำนวนคนมากมาย เขาก็อาจจะไม่ได้เชิดหน้าชูตา ดังนั้นเขาจึงมาที่ทัพอู่เว่ยเพื่อยอมเป็นหัวไก่ดีกว่าเป็นหางหงส์
ไม่มีใครเต็มใจมีพลังต่ำเตี้ยไปตลอด พลังระดับสามไม่ถือว่าเก่งกาจอะไรในจักรวาลหลี่ว์อันกว้างใหญ่ หลิวเชียนจือใฝ่ฝันมาเสมอว่าจะได้รับวิชาที่ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม
ทันใดนั้นมีคนในทัพอู่เว่ยกระซิบว่า “ใต้เท้าของเราบ้าไปแล้วหรือเปล่า ถ่ายทอดวิชาระดับนี้แต่ไม่รับพวกเขาเป็นทาส หรือคิดว่าไม่รับพวกเขาเป็นทาสแล้วจะปลอดภัยกว่า”
ทุกคนรู้สึกเสียใจในตอนแรก แต่พวกเขาไม่ได้โง่และรู้ดีว่าวิชาระดับหนึ่งคืออะไร
ทุกคนเคยชินกับการยอมรับการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ที่ไม่เป็นธรรมในโลกที่โหดร้ายนี้ ถ้าอยากมีชีวิตรอด คุณต้องขายตัวเป็นทาส หากต้องการบำเพ็ญพลังก็ต้องมอบความเป็นความตายให้กับนายทาส
โลกของผู้ใหญ่ทุกอย่างคือผลประโยชน์และข้อแลกเปลี่ยน แต่เมื่อทุกคนคุ้นเคยกับสิ่งเหล่านี้ ความใส่ใจเพียงน้อยนิดก็ทำให้พวกเขาหวงแหนและอาลัยอาวรณ์ได้ นี่ก็เป็นปัจจัยแฝงที่ทำให้พวกเขาต้องการเป็นทาสของหลี่ว์ซู่
เพราะพวกเขาสัมผัสถึงความแตกต่างของหลี่ว์ซู่
มันคือความต่างที่เยี่ยเสี่ยวหมิงมองพวกเขาเป็นสมบัติส่วนตัว ส่วนหลี่ว์ซู่มองพวกเขาเป็นมนุษย์
หลี่ว์ซู่พูดกับทหารอู่เว่ยทุกคนว่า “ที่จริงแล้วฉันจะครอบครองทัพอู่เว่ยเป็นของตัวเองเลยก็ได้ เพราะฉันก็แข็งแกร่งที่สุด แต่ฉันคิดว่ามันไม่ดี มันเหมือนกับว่าทุกคนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความรุ่งโรจน์และความเสื่อมถอยของทัพอู่เว่ย พวกนายก็จะไม่มีความกระตือรือร้น ฉันหวังว่าทุกท่านจะเข้าใจเรื่องนี้นับจากวันนี้ไป พวกนายไม่ใช่ทาสของใครและจะไม่มีใครปล่อยให้พวกนายเป็นทาสในอนาคต สิ่งที่เราทำในวันนี้คือเพื่อตัวเราเอง พวกเราทุกคนคือกองทัพอู่เว่ย ต้องสามัคคีกันเพื่อให้ตนเองเข้มแข็งและมีชีวิตที่ดีขึ้น พวกนายไม่ได้ต่อสู้เพื่อฉันแต่เพื่อตัวเอง เมื่อก่อนพวกนายเป็นบ่าว ต้องคอยให้เขาจูงจมูก ตอนนี้มีวิชาแล้วก็สู้ไปพร้อมกันเพื่ออนาคตเถอะ”
คำพูดไม่ได้สร้างความฮึกเหิม หลี่ว์ซู่แค่ต้องการบอกทุกคนในทัพอู่เว่ยว่ากองทัพจะเข้มแข็งขึ้นมาได้เพื่อเรื่องของทุกคน ไม่ใช่ของเขาเพียงคนเดียว
ดังนั้นความรุ่งเรืองและผลประโยชน์ในอนาคตเป็นของทุกคน
วิชาทั้งห้าของพวกจางเว่ยอวี่ได้รับการคัดเลือกมาอย่างดี ทั้งห้าสิบหกคน แต่ละคนรับผิดชอบทหารหกสิบนาย เพื่อความสะดวกหลี่ว์ซู่ถึงกับเลิกการโครงสร้างกองพลและจัดโครงสร้างใหม่เป็นสมาชิกหกคนเป็นหนึ่งหมู่ สิบหมู่เป็นหนึ่งหมวด
ทหารทั้งหมดของทัพอู่เว่ยนั่งอยู่บนพื้นและตั้งใจฟังจางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ บรรยายการบำเพ็ญวิชา ทุกคนรู้ดีว่านี่อาจเป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของพวกเขา!
แม้แต่หลี่เฮยทั่นก็ยังนั่งนิ่งๆ อยู่ท่ามกลางพวกเขาด้วย เป็นภาพที่หายากเพราะเจ้าคนนี้ไม่ค่อยอยู่สุข หลี่ว์ซู่พาเขาไปลาดตระเวนภูเขาราชาหลี่ว์หวัง ชายคนนี้วิ่งไปวิ่งมา แทบอยู่สุขไม่ได้…
เดิมทีหลี่ว์ซู่คิดว่าพวกจางเว่ยอวี่สอนวิชาไปแล้วจะปล่อยให้ทุกคนฝึกซ้อมไปก่อน แต่พอทุกคนเข้าใจวิธีการเดินชีพจร จางเว่ยอวี่ก็พาผู้คนปีนข้ามภูเขา
จางเว่ยอวี่ยืนอยู่ที่ตีนเขา จากนั้นให้หลี่เฮยทั่นและคนอื่นๆ ปีนข้ามภูเขาไปกลับพร้อมกับฝึกวิชาไปด้วย
“จะธาตุไฟเข้าแทรกไหมแบบนี้!” หลี่ว์ซู่ถามด้วยความประหลาดใจ
จางเว่ยอวี่เห็นหลี่ว์ซู่ไม่เข้าใจก็รู้สึกว่าในที่สุดก็เป็นฝ่ายเขาได้เปรียบเพราะความรู้ของเขาเสียที เขายิ้มและพูดว่า “ธาตุไฟเข้าแทรกได้ซิ”
หลี่ว์ซู่ “…อย่าฝึกจนพวกเขาตายล่ะ”
“ไม่ต้องห่วง ด้วยพลังของพวกเขาตอนนี้ ต่อให้เกิดปัญหาระหว่างการฝึกก็ไม่เป็นอะไรมาก อย่างมากก็แค่ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ถ้าพลังสูงกว่านี้จะทำแบบนี้ไม่ได้ ตอนนี้กลัวลำบากก็ไม่ต้องแข็งแกร่งขึ้นแล้ว” จางเว่ยอวี่พูดว่า “พวกเราฝึกพวกเขาแบบนี้ มีเหตุผลของพวกฉัน หวังว่านายจะไม่เข้ามายุ่งมากเกินไป”
“ฮ่าๆ ” หลี่ว์ซู่เดินไปด้วยสีหน้านิ่งเฉยและไปฝึกกระบี่ต่อ
แต่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ยัง ไม่เดินไปไหน เธอกะพริบตาและถามว่า “การฝึกฝนนี้มีประโยชน์อย่างไร”
จางเว่ยอวี่จงใจจะแกล้งหลี่ว์ซู่แต่เขาไม่อยากจะแกล้งหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ที่แสนน่ารักเช่นนี้ เขารู้ว่าหลี่ว์เสี่ยวอวี๋กำลังถามแทนหลี่ว์ซู่แต่เขาก็ยังอธิบาย “คนพวกนี้มีปัญหาเรื่องวิธีการบำเพ็ญวิชา ตอนนี้พวกเรายังหวังว่าทหารกลุ่มนี้จะไม่มีสมาธิจนทำให้พลังจิตวิญญาณในร่างเกิดการปะทะกันในระหว่างการฝึก แบบนี้จะทำให้ชีพจรที่รับได้แค่ลำธารขยายเป็นแม่น้ำ วิธีนี้จึงรุนแรงและทรมานไปบ้าง ปกติแล้วไม่ต้องทำถึงขนาดนี้แต่ตอนนี้เพื่อให้พวกเขาพัฒนาอย่างรวดเร็วจึงต้องเลือกวิธีที่ทรมานต่อเนื่องแบบนี้”
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋พยักหน้าและเดินไปอธิบายให้หลี่ว์ซู่ จางเว่ยอวี่ถอนหายใจ พวกเขาสองคนไม่ใช่คนที่รับมือได้ง่ายๆ จริงๆ
ในช่วงเวลานี้ จางเว่ยอวี่มักจะเห็นหลี่ว์เสี่ยวอวี๋นำขบวนออกล่าสัตว์ เดิมที่เขากังวลอยู่ว่าจะเกิดเรื่องกับแม่หนูคนนี้หรือเปล่าแต่ก็พบว่าเขาคิดมากไปเอง”
เด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่ชื่อหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ เป็นนักล่าที่พิเศษมากหลังจากเข้าไปในภูเขา เธอเห็นสัตว์ป่าก็จะกวักมือเรียก สัตว์ป่าก็จะเดินตามเธอไป
เป็นการล่าที่ไม่ต้องออกแรงต่อสู้ เธอกลับมาพร้อมกับสัตว์ที่ถูกล่าและแม้แต่สัตว์บางตัวยอมเป็นพาหนะให้เธอขี่ด้วยซ้ำ…
แต่ก็โชคไม่ดีเรื่องการเลี้ยงสัตว์ เพราะการเลี้ยงสัตว์หมายถึงมีสัตว์จำนวนมาก ส่วนหลี่ว์เสี่ยวอวี๋พบว่าที่จริงเธอสามารถควบคุมสัตว์ได้มากสุดสามสิบหกตัวในเวลาเดียวเท่านั้น ไม่ค่อยพอกับความต้องการ
จางเว่ยอวี่รออยู่ที่ตีนเขา ผ่านไปสองชั่วโมง เขาได้ยินเสียงหลี่เฮยทั่นวิ่งกรีดร้องมา หลี่เฮยทั่นเป็นคนที่ปีนข้ามเขาได้สำเร็จเป็นคนแรก พอกลับมาก็นอนอยู่ริมทางเพื่อปรับพลังจิตวิญญาณในร่างของตนที่กำลังปะทะกันเองอยู่ไปพร้อมกับร้องเจ็บปวด หายใจวุ่นวายไม่เป็นจังหวะ
Related
ดึกคืนนั้น ภูเขาราชาหลี่ว์หวังเงียบสงบ ยกเว้นหน่วยลาดตระเวนของกองทัพ ทหารที่เหลือต่างพักผ่อน ตอนนี้เป็นเวลาเข้านอนแล้ว
ในเมื่อหลี่ว์ซู่วางใจจางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ และขอให้พวกเขาฝึกทหาร หลี่ว์ซู่จึงมอบสำเนาแผนที่เส้นทางและถ้ำที่เสี่ยวอวี๋ทำให้แก่พวกเขา แง่หนึ่งเป็นการแสดงความเชื่อใจ อีกแง่หนึ่งก็ให้พวกเขาไม่ต้องห่วงเมื่อถูกเลิกจ้าง ต่อให้ทัพเฮยอวี่บุกเข้ามา พวกเขาจะมีทางหนีที่ไล่
พวกจางเว่ยอวี่ก็มีท่าทีกระตือรือร้น มากแม้กระทั่งจัดระเบียบเส้นทางลาดตระเวนและที่ตั้งป้อมยามของกองทัพอู่เว่ยใหม่
เดิมทีทัพอู่เว่ย หลิวเชียนจือและหลี่เฮยทั่นรู้ว่าคนธรรมดากลุ่มนี้จะกลายเป็นครูฝึกก็รู้สึกไม่ยอม คนธรรมดาๆ ไม่ใช่เหรอ หลี่เฮยทั่นคนนี้ต่อยหมัดเดียวก็ตายแล้ว…
แต่แล้วในระหว่างขั้นตอนการจัดเตรียมการป้องกันใหม่ หลิวเชียนจือจึงตระหนักว่าความรู้ทางการทหารของอีกฝ่ายนั้นเหนือชั้นกว่าของเขาเองที่อยู่ในกองทัพมานานนับสิบปี
ส่วนจางเว่ยอวี่ก็ประหลาดใจมากเช่นกันเมื่อเห็นแผนที่เส้นทางและถ้ำ เขาพบว่าใต้ดินนั้นมีเส้นทางที่เชื่อมต่อกันสะดวกมาก ถ้าทัพเฮยอวี่บุกมา ถ้ารู้ก่อนเพียงไม่นาน กองทัพก็สามารถมุดเข้าถ้ำใต้ดินที่แบ่งแยกทางเข้าเอาไว้สิบกว่าเส้นทาง
ยังไม่จบเท่านี้ จางเว่ยอวี่ประหลาดใจกับทางเข้าที่มากมายและเส้นทางภายในถ้ำก็ยาวมาก เขาถามหลี่ว์ซู่ด้วยความสงสัย “นายวางแผนที่จะตั้งค่ายที่นี่ไว้ตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหม”
“บังเอิญทั้งนั้น” หลี่ว์ซู่พูดพร้อมรอยยิ้ม “คนหน้าตาดี สวรรค์มักคอยช่วยเหลือ…”
[ได้แต้มจากจางเว่ยอวี่ +481!]
ไปตายไป วันๆ เอาแต่แอบชมตัวเอง
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ที่อยู่ข้างๆ รู้สึกเศร้าเล็กน้อย หลี่ว์ซู่…ตัวพองใหญ่แล้ว…
จางเว่ยอวี่ดูแผนที่ต่อ เขาพบว่าทางเข้าถ้ำบังเอิญไปอยู่ตรงถนนสายหลักที่เดินทางสะดวก แล้วอยู่ในจุดที่เร้นลับมาก
บังเอิญด้วยอีกหรือเปล่า จางเว่ยอวี่รู้ว่าหลี่ว์ซู่มาที่นี่ตั้งครึ่งค่อนเดือน ไม่ได้นั่งอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไร
แต่สิ่งที่จางเว่ยอวี่ไม่รู้คือเส้นทางในถ้ำใต้ดินนั้นมีไม่น้อยกว่าสิบเส้นทางที่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ไม่ได้ทำเครื่องหมายไว้บนแผนที่ เอาไว้เป็นทางหนีสุดท้ายของหลี่ว์ซู่
ไม่ใช่ว่าเขาสงสัยว่าจางเว่ยอวี่จะทรยศพวกเขาแต่หลี่ว์ซู่ระมัดระวังตัวมาตลอด อยู่ข้างนอกต้องเว้นทางหนีที่ไล่ให้ตัวเองเสมอถึงจะอยู่ในโลกนี้ได้
เดิมทีจางเว่ยอวี่รู้สึกกังวลว่าถ้าพวกเขาฝึกทหารยังไม่สมบูรณ์ดีแล้วทหารเฮยอวี่บุกเข้ามาจะทำอย่างไร
แต่ตอนนี้ไม่ต้องกังวลแล้ว มาตอนนี้ก็ไม่กลัว!
หลังจากพวกจางเว่ยอวี่และตงเยี่ยกลับมาที่ที่พักตนเองก็กระซิบคุยกันว่า “พวกนายคิดว่าแผนที่นี้เสร็จสมบูรณ์ไหม”
มีคนหัวเราะและพูดว่า “ด้วยนิสัยของเด็กคนนั้น แผนที่นี้ไม่มีทางสมบูรณ์แน่นอน เขาจะเหลือทางหนีของตัวเองเอาไว้ด้วย”
จางเว่ยอวี่พยักหน้า “น่าจะเป็นเช่นนั้น ถ้าเขาจริงใจและเปิดเผยกับใครๆ ที่เจอ คนคนนี้ไม่มีทางไว้ใจได้ พวกเราไม่ต้องไปสนใจเรื่องนี้หรอก แค่ฝึกทหารอู่เว่ยให้ออกมาดีก็พอ ทุกคนค่อยตรวจแผนงานกันอีกที แต่ละคนแบ่งดูแลกองไหน ถ่ายทอดวิชาไหน อย่าทำผิดพลาดเด็ดขาด”
ตอนนี้ เมื่อพูดถึงการฝึกกองทัพอู่เว่ย พวกจางเว่ยอวี่มีความกังวลมากกว่าหลี่ว์ซู่…
แต่สิ่งที่หลี่ว์ซู่สนใจมากกว่านั้นค่อนข้างไม่ค่อยสำคัญในสายตาของจางเว่ยอวี่ การสอนทัพอู่เว่ยให้รู้จักตัวหนังสือ
ในโลกแห่งชนชั้นแบ่งกันชัดเจน ทาสส่วนใหญ่ไม่มีสิทธิ์เข้าถึงความรู้และวัฒนธรรม นายทาสเองอยากให้พวกเขาโง่สักหน่อย ไม่ว่านายทาสหรือขุนนางต่างคิดว่ายิ่งทาสเหล่านี้เห็นมากเท่าไหร่ พวกเขาก็จะมีความคิดมากขึ้นเท่านั้น นานวันเข้าจะควบคุมลำบาก
แต่หลี่ว์ซู่ไม่คิดเช่นนั้น เขารู้สึกจริงๆ ว่าสื่อสารลำบากกับคนที่ไร้การศึกษาเหล่านี้ …
การฝึกต้องมีการผ่อนหนักผ่อนเบาคลาย การปลูกฝังวัฒนธรรมไม่ใช่สิ่งที่จะสำเร็จได้ในชั่วข้ามคืน ต้องเริ่มต้นด้วยการอ่านออกเขียนได้ก่อน
ทุกคืนจะใช้หนึ่งชั่วโมงในการเรียนรู้คำศัพท์ หลี่ว์ซู่คิดว่าไอคิวของผู้ใหญ่น่าจะจำคำศัพท์ได้หมดภายในครึ่งปี ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่การรับรู้เท่านั้น
แต่เขาเองจะไม่เสียเวลากับเรื่องนี้ คนที่สอนก็คือพวกจางเว่ยอวี่เช่นเคย
จางเว่ยอวี่ถามหลี่ว์ซู่ด้วยความอึดอัดเล็กน้อย “จำเป็นต้องรู้หนังสือหรือ แค่ต่อสู้ได้ก็พอแล้วไม่ใช่หรือ”
พวกเขาต้องการชี้แนะแนวทางการบำเพ็ญ ความร่วมมือและยุทธวิธีภายในกองทัพเพื่อให้กองทัพอู่เว่ยเข้มแข็งขึ้นแต่เรียนหนังสือจะแข็งแกร่งขึ้นจริงหรือ
หลี่ว์ซู่หัวเราะร่า “คุณคิดว่ากองทัพที่มีพลังเท่าเทียมกัน อีกทัพหนึ่งมีความศรัทธา อีกทัพหนึ่งรู้แค่ศาสตร์การต่อสู้ กองทัพไหนจะร้ายกาจกว่ากัน”
จางเว่ยอวี่ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง “ควรจะเป็นทัพแรกที่เก่งกาจกว่า เมื่อมีความศรัทธาแม้แต่ความเป็นความตายก็ยอมสละไม่สนใจได้”
“ฉันไม่ได้ขอให้พวกเขาตายแต่หวังว่าจะรวมความคิดของกองทัพอู่เว่ยให้เป็นหนึ่งเดียวในระหว่างการของการเรียนรู้หนังสือ” หลี่ว์ซู่พูด
จางเว่ยอวี่ตะลึงไปชั่วขณะ ในจักรวาลหลี่ว์นี้ไม่เคยมีกองทัพใดในโลกที่ใส่ใจเรื่องพวกนี้ ทหารควรออกไปรบเพื่อฆ่าศัตรูได้ก็พอ ทหารที่สามารถสังหารศัตรูได้คือทหารที่ดี ใครจะสนว่าทหารเหล่านี้คิดอย่างไร
แต่มาคิดดูดีๆ แล้ว แม่ทัพชื่อดังทั้งหลายต่างจัดการกองทัพของพวกเขาอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นค่ายหรือความคิด
เช่นเดียวกับหน่วยทหารมังกรหลวง นับตั้งแต่แรกที่พวกเขาเริ่มปฏิบัติภารกิจการปกป้องบัลลังก์ ความรู้สึกมีเกียรตินั้นเป็นความศรัทธาร่วมกันและยังทำให้พวกเขาคำนึงถึงความปลอดภัยของราชาแห่งทวพเทพมากกว่าชีวิตของพวกเขาเอง
ตอนนี้ หลี่ว์ซู่ดูเหมือนจะปล่อยให้พวกเขาส่งต่อความคิดนี้ไปอย่างไม่ให้ตั้งใจในกระบวนการเรียนนี้ การเรียนหนังสือเป็นเรื่องรอง ความคิดต่างหากเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
จางเว่ยอวี่อยากรู้อยากเห็น หลี่ว์ซู่รู้เรื่องนี้ด้วยตัวเองหรือ หรือว่าเจ้าหนุ่มคนนี้จะเป็นผู้บัญชาการโดยกำเนิด? ในตอนนี้ จางเว่ยอวี่เริ่มชื่นชมพรสวรรค์ของเขา แล้วคิดว่าถ้าเขาผลักดันชายหนุ่มคนนี้ด้วยตัวเอง อีกฝ่ายจะกลายเป็นแม่ทัพที่มีอำนาจทั่วโลกด้วยหรือไม่
ทันใดนั้นหลี่ว์ซู่ถามขึ้นว่า “คุณคำนวณเป็นไหม”
“รู้เรื่องนิดหน่อย” จางเว่ยอวี่มองหลี่ว์ซู่อย่างระวังตัว
“ถ้าอย่างนั้นก็สอนด้วยนะ การคำนวณง่ายๆ ก็ยังดี ไม่งั้นจะไม่สามารถชำระบัญชีได้หลังจากขายสบู่ ถ้าโดนโกงขึ้นมาคงแย่…”
จางเว่ยอวี่ “…ไม่สอน! “
จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าเขาไม่ควรคิดถึงเรื่องดีๆ จากเจ้าหนุ่มคนนี้ ไม่เช่นนั้นเขาจะกลายเป็นคนขี้โมโห นี่มันเวลาอะไรแล้วยังมาคิดเรื่องขายสบู่อีก
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร จางเว่ยอวี่รู้สึกว่าหลี่ว์ซู่ไม่ได้จะพูดเล่นกับเขาและเขาก็มีลางสังหรณ์ว่าในวันหลังทัพอู่เว่ยอาจจะไปขายสบู่ในอนาคต…
เมื่อนึกถึงกองทัพที่มีชื่อเสียงสะเทือนใต้หล้ามาขายสบู่ จางเว่ยอวี่เริ่มรู้สึกอยากตาย
ช้าก่อน… จางเว่ยอวี่อาจรู้แล้วว่า ก่อนหน้าที่หมู่บ้านชิงหลงขายสบู่ ใช้การขายแบบกึ่งขายกึ่งบังคับอย่างไม่มีความละอายแก่ใจแม้แต่น้อย…
ดังนั้นหากกองทัพอู่เว่ยแข็งแกร่งเทียบเท่ากับหน่วยทหารมังกรหลวง ใครจะกล้าไม่ซื้อสบู่ของหลี่ว์ซู่…
จู่ๆ จางเว่ยอวี่ก็รู้สึกปวดหัวเพราะเขาคิดว่าหลี่ว์ซู่อาจวางแผนไว้เช่นนี้!
เด็กคนนี้ คงไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นหรอกนะ!
Related
หลังจากทัพอู่เว่ยพบว่าผู้นำของพวกเขาไม่คิดจะรับพวกเขาเป็นทาสก็ต่างรู้สึกเสียดาย…
หลี่เฮยทั่นพูดอย่างเคร่งขรึมกับฝูงชน “พวกเราคงอ่อนแอเกินไป ใต้เท้าดูถูกพวกเรา! “
ทหารของทัพอู่เว่ยต่างมองหน้ากัน มันก็เป็นไปได้สูงเหมือนกัน ลองคิดดูว่าคนรับใช้เขายังมีพลังระดับหนึ่ง พวกเขาจะมีคุณสมบัติอะไรถึงมาเป็นทาสเขา…
แล้วจะทำอย่างไร บางคนใจร้อนอยากรีบบำเพ็ญแต่ปัญหาคือ… วิชาของพวกเขาช้าเร็วก็จะต้องถึงจุดคอขวด บำเพ็ญไปก็ไร้ประโยชน์
เป็นผลให้ทุกคนรู้สึกหมดอาลัยตายอยาก ตอนนี้พวกเขายังไม่รู้ว่าโอกาสที่หลี่ว์ซู่พูดถึงคืออะไร ในความคิดของพวกเขาหลี่ว์ซู่ คือโอกาสนั้นเอง
คนธรรมดาก็มีปัญญาแบบคนธรรมดา พวกเขาคุ้นเคยกับกาล้อไปตามแรงลมพัดเหมือนต้นหญ้าแล้วใช้ชีวิตอย่างเข้มแข็ง
แต่หลี่ว์ซู่ต้องการให้พวกเขากลายเป็นต้นไม้ใหญ่ แบกรับเส้นทางอันยาวไกล
พวกจางเว่ยอวี่พบว่าเรื่องต่างๆ เริ่มพัฒนาไปในทิศทางที่พวกเขาไม่เข้าใจ
หลี่ว์ซู่ทอดถอนใจเสียงแผ่วเบา “ฉันเกือบจัดการสถานการณ์ไม่ได้ พวกนายกังวลถูกแล้ว เกือบจะเกิดจลาจลขึ้นแล้ว”
จางเว่ยอวี่มองมีหน้าของหลี่ว์ซู่ที่แฝงร่องรอยความพอใจ…
[ได้แต้มจากจางเว่ยอวี่ +666!]
คนอื่นๆ ดึงจางเว่ยอวี่ไว้ “อย่าวู่วามๆ นายเอาชนะเขาไม่ได้…”
ถึงหลี่ว์ซู่จะไม่อยากควบคุมอิสรภาพของผู้อื่นแต่หลายคนร้องไห้และตะโกนว่าพวกเขาต้องการเป็นทาสก็เป็นความรู้สึกที่น่าภูมิใจเหมือนกัน หลังจากกลับไปที่โลก เขาจะพูดกับคนอื่นๆ ในเครือข่ายฟ้าดินว่า พวกนายรู้ไหม หลังจากที่ฉันไปที่นั่น มีคนมากมายอยากจะเป็นทาสฉัน…
จางเว่ยอวี่หัวเราะเยาะใส่ทหารวังในคนอื่น “ปล่อยให้เขาได้ใจไปก่อน เขาไม่รู้ว่าพันธสัญญาต้องใช้พลังจิตวิญญาณมาก คราวนี้ฉันจะไม่เตือนให้เขาแบ่งลงนามพันธสัญญาเป็นชุดๆ ฉันอยากจะเห็นผู้มีพลังระดับสี่ตัวเล็กๆ จะมีสภาพยังไงเมื่อใช้พลังจิตวิญญาณจนหมด! “
พวกเขาได้บอกหลี่ว์ซู่เรื่องวิธีการลงนามในพันธสัญญาแล้ว ในตอนนี้หลี่ว์ซู่ไล่ยอมรับพันธสัญญาและมอบพลังจิตวิญญาณให้ทหารอู่เว่ย หลี่ว์ซู่รู้สึกได้ว่าเขาเริ่มเชื่อมต่อกับทัพอู่เว่ยผ่านการลงนามพันธสัญญานี้ เขาไม่สามารถควบคุมอีกฝ่ายได้แต่สามารถสัญญาณลับๆ ได้และสัญญาณประเภทนี้เป็นการส่งทางเดียว
หลี่ว์ซู่ลองคิดแต่เขาไม่ได้พูด หลี่เฮยทั่นเหมือนได้รับสัญญาณจึงวิ่งไปหยิบเก้าอี้ให้หลี่ว์ซู่ นี่คือข้อความที่หลี่ว์ซู่ส่งถึงเขา
ทันใดนั้น หลี่ว์ซู่ก็ตระหนักว่าพันธสัญญาแบบนี้…ดูเหมือนจะเกิดมาเพื่อใช้ในสนามรบ หากผู้บัญชาการมีความสามารถในการส่งข้อมูลและมีความสามารถในการสั่งการที่ดีมาก การรวมพลังทั้งสองอย่างไว้ด้วยกันจะเพิ่มพูนกำลังรบได้อย่างชัดเจนให้กับกองทัพ
จางเว่ยอวี่กำลังเฝ้าดูอยู่ เขาอยากรู้ว่าพลังจิตวิญญาณของหลี่ว์ซู่จนหมดเมื่อไหร่ ปกติแล้วพลังจิตวิญญาณเกี่ยวพันกับการบำเพ็ญ ผู้บำเพ็ญที่แข็งแกร่งก็จะยิ่งมีพลังจิตวิญญาณที่กล้าแกร่ง
โดยทั่วไปแล้ว ต่อให้ยอดฝีมือพลังระดับหนึ่งธรรมดาก็ไม่อาจต้านทานพันธสัญญามากกว่า 3,000 คนในคราวเดียวได้
แต่คำถามคือหลี่ว์ซู่ยอมรับพันธสัญญาไปมากกว่า 1,000 คนแล้วแต่เขาก็ยังดูปกติดีอยู่!
มีคนกระซิบด้วยความประหลาดใจ “นี่คือผู้มีพลังระดับสี่จริงๆ เขายอมรับพันธสัญญาไปมากกว่าพันคนแล้ว ทำไมยังปกติดีอยู่ พวกนายดูสีหน้าของเขาไม่เปลี่ยนไปสักนิดเลย”
“รอต่อไปก่อนๆ … ” จางเว่ยอวี่จ้องมองหลี่ว์ซู่
ในตอนนี้ทุกครั้งที่หลี่ว์ซู่ยอมรับพันธสัญญาเขาจะพูดกับอีกฝ่ายอย่างจริงจังว่า “ตอนนี้พวกนายไม่ใช่ทาสของฉัน ไม่ใช่เพราะฉันดูถูกพวกนาย แต่หวังว่าพวกนายจะเข้าใจความหมายของชีวิตนายเอง กินเพื่ออยู่แต่ไม่ได้อยู่เพื่อกิน ช้าเร็วสักวันหนึ่งพวกนายจะขอบคุณฉันที่มอบอิสรภาพให้ในวันนี้และสนุกกับมัน”
ทหารทัพอู่เว่ยเหมือนจะเข้าใจ ระดับวัฒนธรรมของพวกเขาไม่สามารถเข้าใจได้ว่าหลี่ว์ซู่หมายถึงอะไร แต่ไม่รู้ทำไมพวกเขารู้สึกประทับใจอยู่ข้างในไม่มากก็น้อย
เพราะพวกเขาสัมผัสได้ว่าอุดมการณ์ของหลี่ว์ซู่แตกต่างจากโลกนี้ ซึ่งในนั้นมีเสน่ห์ที่เรียกว่า “การปลุกจิตสำนึก” หรือ “เสรีภาพ”
เพราะพวกเขาสัมผัสได้ว่าหลี่ว์ซู่ปฏิบัติต่อพวกเขาในฐานะมนุษย์
ในกลียุคนี้ ทาส คนเร่ร่อนได้รับการปฏิบัติเสมือนมนุษย์ เป็นการแสดงความเคารพอย่างหนึ่ง
ส่วนหลี่ว์ซู่ไม่เคยคิดว่าจะพึ่งพาทัพอู่เว่ยให้ทำเรื่องยิ่งใหญ่แต่เขาเริ่มรู้สึกว่าคนกลุ่มนี้เริ่มเข้าใจหลักการของการเป็นมนุษย์และไม่เต็มใจที่จะเป็นมดอีกต่อไป
พันธสัญญานี้ดำเนินไปตั้งแต่เช้าจรดค่ำถึงจะเสร็จสิ้น ทำเอาหลี่ว์ซู่รู้สึกล้าเล็กน้อย
แต่เมื่อเขาลุกขึ้นยืน เขาก็รู้สึกสงสัยเมื่อเห็นพวกจางเว่ยอวี่กำลังมองตัวเองด้วยความประหลาดใจ…
จางเว่ยอวี่เดินมาสำรวจหลี่ว์ซู่อย่างละเอียด “อย่าฝืนไปเลย ฉันรู้ว่านายเหนื่อยมากที่ยอมรับพันธสัญญามากมายในครั้งเดียว”
หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าพิลึกคน “พูดอะไรนะ บ่นพึมพำอะไร…”
พูดเสร็จหลี่ว์ซู่ก็ไปฝึกกระบี่ที่ถ้ำต่อ…ทิ้งให้จางเว่ยอวี่มองหลังหลี่ว์ซู่เดินไปอย่างเคร่งขรึม
จางเว่ยอวี่ไม่รู้ว่าในวันแรกของการฝึกกระบี่ของหลี่ว์ซู่ หลี่เสียนอีก็พูดว่าพลังจิตวิญญาณคือสอ่งที่สำนักหอกระบี่บำเพ็ญฝึก
จิตวิญญาณที่ทรงพลังนั้นจะผสานไปกับฟ้าดิน จิตวิญญาณเป็นสำนึกกระบี่
สิ่งที่ลึกลับแสนจะลึกลับนี้ จนทุกวันนี้หลี่ว์ซู่ยังไม่สามารถเข้าใจได้ถ่องแท้ แต่ก็ยืนยันฝึกกระบี่มาได้นานขนาดนี้ ระดับพลังที่ทำให้พลังกระบี่ของหลี่ว์ซู่ผสานไปกับฟ้าดินได้คือพลังระดับหนึ่ง
ตอนนี้แค่ร่างกายเขายังตามไม่ทันเท่านั้นเอง
“เด็กคนนี้แปลกเสียจริง” มีคนข้างหลังจางเว่ยอวี่พูดขึ้น
“ไม่ใช่แค่แปลกแต่แปลกไปทุกที่ แต่พูดตามตรงฉันชอบนิสัยของเขา น่าสนใจมาก” ตงเยี่ยหัวเราะ
จางเว่ยอวี่ขมวดคิ้ว “ฉันไม่รู้ว่าตัวเลือกของพวกเราถูกต้องหรือเปล่า ตอนที่ฉันอยู่ในเมืองเถียนเกิ่งเคยบอกว่าเขาเป็นมังกรซ่อนเร้น ในตอนนั้นฉันเห็นว่าเขายังห่างไกลวันที่จะทะยานขึ้นฟ้า แต่ตอนนี้…ฉันรู้สึกว่าวันนั้นอยู่ไม่ไกลแล้ว”
“คิดมากไปทำไม” ตงเยี่ยหัวเราะ “ยิ่งเขาบินได้สูงเท่าไหร่เขาก็จะยิ่งช่วยเราได้มากเท่านั้น ตอนฝึกทหารก็สร้างมิตรภาพดีๆ กันไว้ รอจนท่านนั้นมาหาพวกเรา พวกเราก็จะไม่ใช่คนไร้ประโยชน์อีกต่อไป อย่างน้อยก็ยังมีประโยชน์”
“ว่าแต่ทำไมชายหนุ่มคนนี้ต้องไปที่สำนักกระท่อมกระบี่” มีคนถามขึ้น “เขามีฐานะเป็นผู้นำกองทัพในตอนนี้ไม่จำเป็นต้องไปเสี่ยงที่สำนักกระท่อมกระบี่”
จางเว่ยอวี่ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งและพูดว่า “ฉันเหมือนรู้สึกว่าเขากำลังตามหาอะไรบางอย่างและสิ่งนั้นเกี่ยวพันเรื่องต่างๆ มากมาย เดิมทีฉันอยากจะบอกเขาว่าไม่จำเป็นต้องไปที่สำนักกระท่อมกระบี่ก็ได้แต่ตอนนี้ฉันไม่คิดแบบนั้นแล้ว ตอนนั้นฉันคาดหวังว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเขาไปที่สำนักกระท่อมกระบี่…”
“แน่นอน สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือเราต้องวางแผนให้กองทัพอู่เว่ยพลิกโฉมให้สำเร็จ! “
Related
จะทำอย่างไรให้ทหารอู่เว่ยมากกว่า 3,000 คนยอมตกลงทำพันธสัญญากับหลี่ว์ซู่โดยสมัครใจและรับใช้หลี่ว์ซู่ในฐานะเจ้านาย นี่เป็นคำถามที่ตอบยาก
เพราะในมุมมองของจางเว่ยอวี่ คนเร่ร่อนเหล่านี้อาจเคยชินกับการที่ไม่ถูกจำกัด แม้ว่าพันธสัญญาจะเป็นพันธนาการที่ค่อนข้างหลวมแต่ยังไงมันก็คือพันธนาการ
แต่หากพวกเขาไม่มีวิธีป้องกันใดๆ พวกเขาก็ไม่เต็มใจมอบวิชาทั้งห้าให้ วิชานี้หยิบออกมาวิชาเดียวก็มีค่าเทียบเมืองเมืองหนึ่ง อาจจะหมายถึงความเป็นตายของตระกูลขุนนางระดับสูงได้เลย
บางครั้งจางเว่ยอวี่ก็คิดเหมือนกันว่าเขาอาจจะบ้าไปแล้วที่พูดเรื่องนี้และยังรับปากเงื่อนไขของหลี่ว์ซู่อีก…
“ฉันคิดว่าฉันต้องบอกไว้ก่อน” จางเว่ยอวี่พูดกับหลี่ว์ซู่ “นี่คือการยอมรับพันธสัญญาของคนมากกว่า 3,000 คน หากพวกเขาไม่เห็นด้วยและก่อกบฏก็ไม่จำเป็นต้องพูดถึงมันอีก”
หลี่ว์ซู่คิดอยู่พักหนึ่ง “ฉันคิดว่าบอกพวกเขาตรงไปตรงมาเลยดีกว่าและให้พวกเขาเลือกเอง”
จุดยืนของหลี่ว์ซู่และจางเว่ยอวี่แตกต่างกัน จางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ เริ่มเพ้อฝันว่าหากกองทัพอู่เว่ยได้รับการฝึกฝนจริงๆ มันอาจจะมีประโยชน์ในภายหลัง อาจจะกลายเป็นกำลังสนับสนุนสำคัญก็ได้?
แต่หลี่ว์ซู่มองต่างออกไป ตอนนี้เขาหวังแค่ปกป้องตนเองได้ หลังจากสงครามสิ้นสุดลง เขาได้รับเอกสารแต่งตั้งผู้บัญชาการอย่างเป็นทางการแล้ว เขาจะเขียนจดหมายแนะนำตัวเองและไปรายงานตัวที่สำนักกระท่อมกระบี่ ภายในประมาณหนึ่งปี เขามั่นใจว่าจะสามารถฝึกถึงระดับหนึ่งได้
จางเว่ยอวี่พูดก่อนหน้านี้ว่าคนส่วนใหญ่ที่ได้รับการแนะนำให้เข้าสำนักกระท่อมกระบี่มีพลังระดับสอง ผู้มีพลังระดับต่ำกว่าไม่กล้าไปเพราะกลัวตาย ถ้าหากหลี่ว์ซู่เข้าสู่ระดับหนึ่งก็จะต้องได้รับเลือกเข้าสู่สำนักแน่นอน
และหลี่ว์ซู่เป็นเพียงแขกรับเชิญของดาวนี้ แค่ต้องการปกป้องตนเองและทำสบู่สร้างรายได้ในภายหลัง
เรื่องพัฒนากองทัพอู่เว่ยเป็นเพียงเรื่องที่ทำไปตามสถานการณ์เท่านั้น ที่สำคัญคือเปลี่ยนกองทัพเป็นกำลังการผลิต…
ทัศนคติที่แตกต่างกันทำให้หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าต่อให้จะมีคนต้องจากไปเพราะการทำพันธสัญญาเช่นนี้ก็ไม่เป็นไร
จางเว่ยอวี่หัวเราะเยาะ “นี่คือกองทัพของนาย แน่นอนว่าให้นายเป็นผู้เลือกแต่นายจะรับผลที่ออกมาได้หรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง”
หลี่ว์ซู่ไม่สนใจ มีอะไรที่เขาทนไม่ได้ หัวหน้าบาทหลวงอยู่เคียงข้างเขา เช่นเดียวกับแอนโทนี่ เสี่ยวอวี๋ จอห์นสัน ทัพอู่เว่ยพวกเนี่ยคิดจะทำอะไรได้
ดังนั้นหลี่ว์ซู่จึงเรียกรวมพลทัพอู่เว่ยทั้งหมด ส่วนจางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ ต่างเฝ้าดูอย่างเย็นชารอให้หลี่ว์ซู่ทำเรื่องวุ่นวาย
ทหารอู่เว่ยรวมตัวกันด้วยสีหน้ามึนงง บางคนยังคงถกขากางเกงขึ้น เท้าเปื้อนโคลน คงจะมาจากแปลงนา
ตอนนี้เนินเขาของภูเขาราชาหลี่ว์หวังถูกกดทับจนเรียบและกลายเป็นลานฝึกขนาดใหญ่ ปกติจะวิ่งออกกำลังกายตอนเช้าที่นี่
หลี่ว์ซู่ยืนอยู่ที่ลานฝึกและพูดกับทุกคนของทัพอู่เว่ยว่า “ฉันขอประกาศอย่างตรงไปตรงมา เพราะฉันต้องการมอบโอกาสให้ทุกคน ดังนั้นฉันต้องการอำนาจควบคุมกองทัพอู่เว่ยอย่างเบ็ดเสร็จ เรื่องนี้เหมือนกับการค้า ฉันไม่สามารถทำการค้าที่ขาดทุนได้ เดิมทีฉันสามารถบังคับให้ทุกคนมาเป็นทาสของฉันได้แต่ฉันไม่ชอบควบคุมใคร ฉันเชื่อว่าทุกคนไม่อยากเสียอิสรภาพ ฉันเลยคิดวิธีประนีประนอม…”
ในตอนนี้ หลี่ว์ซู่ยังพูดไม่ทันจบ หลี่เฮยทั่นก็ตะโกนร้องขึ้นมาว่า “ใต้เท้า ฉันยอมเป็นทาส! “
จางเว่ยอวี่ตะลึงไปชั่วครู่ นี่เตี๊ยมกับหลี่ว์ซู่ไว้แล้วหรือพูดขึ้นมาเอง
จากนั้นเขายังไม่ทันได้มองเรื่องออก คนกลุ่มใหญ่ของทัพอู่เว่ยก็ตะโกนขึ้นว่า “ใต้เท้า ให้พวกเราเป็นทาสเถอะ พวกเราไม่ต้องการอิสรภาพ! “
คราวนี้แม้แต่หลี่ว์ซู่เองก็ตกตะลึง เมื่อเห็นคนกลุ่มใหญ่ตะเกียกตะกายแย่งกันเป็นทาสเขา มีเพียงหลี่ว์ซู่เท่านั้นที่รู้ เขาไม่ได้เตี๊ยมสถานการณ์กับหลี่เฮยทั่น!
จางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ ต่างไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาต่างเป็นคนฉลาด ดังนั้นจึงมองออกว่าคนกลุ่มนี้ในทัพอู่เว่ยสมัครใจ ไม่มีใครบีบบังคับเขา
ต่อให้หลี่เฮยทั่นจะเป็นคนนำ แต่คำถามคือทุกคนมีจิตใจที่เป็นเอกเทศ เป็นไปไม่ได้ที่จะพูดแบบเดียวกัน ดังนั้นทหารเหล่านี้… อยากเป็นทาสของหลี่ว์ซู่จริงๆ!
พวกจางเว่ยอวี่เริ่มไม่เข้าใจโลกนี้…
แต่พวกเขามองข้ามไปเรื่องหนึ่งคือหลี่ว์ซู่ไม่ได้มีฐานะสูงส่งในใจของทหารอู่เว่ยหรือเป็นที่รักเทิดทูน แต่เป็นพวกจางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ ไม่เคยเข้าใจความคิดของทาสเลย
คนเหล่านี้กำลังหาทางออกในช่วงกลียุค สิ่งที่หลี่ว์ซู่แสดงให้เห็นในช่วงเวลานี้มีอยู่สองเรื่องที่เป็นที่ชื่นชอบของทหารอู่เว่ยมากที่สุด ประการหนึ่งคือหลี่ว์ซู่ไม่ทรมานพวกเขา พูดตามตรงต่อให้จะหนีมาอยู่ในภูเขาพวกเขาก็อยู่สุขสบายกว่าตอนเป็นทาสหรือตอนเป็นทหารทัพอู่เว่ย
อีกประการหนึ่งคือหลี่ว์ซู่มีพลังแข็งแกร่ง ทุกคนต่างคิดว่าคนรับใช้ที่สวมผ้าพันคอสีชมพูมีพลังระดับหนึ่ง แล้วหลี่ว์ซู่จะมีพลังระดับไหนกัน และภูมิหลังของคนแบบไหนที่ให้ผู้มีพลังระดับหนึ่งยอมเป็นผู้รับใช้
ระดับหนึ่งไง! หลังจากยุคสงครามสงบลง พวกเขาเป็นทาสของหลี่ว์ซู่ อนาคตในเมืองอู่เว่ยไม่สดใสหรือ
ยิ่งไปกว่านั้น ทุกคนรู้สึกว่าหลี่ว์ซู่แตกต่างจากผู้แข็งแกร่งชนชั้นสูงพวกนั้น เขาไม่เคยมองว่าใครเป็นมดเพราะเขาอาศัยอยู่ในโลกนี้ด้วยทัศนคติที่จริงใจมาโดยตลอด
ตอนนี้พวกเขาไม่กังวลว่าจะทำอย่างไรถ้าสูญเสียอิสรภาพ แต่เป็นห่วงว่าพลังจิตวิญญาณของหลี่ว์ซู่จะไม่เพียงพอที่จะให้พวกเขาทั้งหมดเป็นทาส
พลังจิตวิญญาณเป็นคำจำกัดความที่กว้างมากและไม่มีใครไปฝึกมันโดยเฉพาะ แม้กระทั่งไม่มีใครรู้วิธีการบำเพ็ญแต่มันมีตัวเลขสำคัญในการรองรับ “จำนวนทาส” ในจักรวาลหลี่ว์
ดังนั้นจึงมีความแตกต่างทางความเข้าใจระหว่างจางเว่ยอวี่และทัพอู่เว่ย ในฐานะที่เป็นทหารวังในอันสูงส่งต่อให้ตกต่ำก็ยังมีศักดิ์ศรีของตัวเองส่วนทหารอู่เว่ยนั้นต่างกัน …
หลี่ว์ซู่อธิบายอย่างอดทน “ทุกคนไม่จำเป็นต้องเป็นทาส ฉันเชื่อว่าทุกคนจะขอบคุณการตัดสินใจในวันนี้และทุกคนจะรู้ว่าอิสรภาพนั้นสวยงามแค่ไหน …”
พูดยังไม่ทันจบก็มีคนตะโกนว่า “ไม่เอา พวกเราแค่อยากเป็นทาส! “
จางเว่ยอวี่พึมพำ “บ้าไปแล้ว! “
ทหารวังในคนหนึ่งที่อยู่ข้างๆ ปวดหัว “หรือว่าพวกเราคิดผิด? “
หลี่ว์ซู่ยังคงอธิบายอย่างอดทนกับทุกคน ส่วนทัพอู่เว่ยต่างมีอารมณ์ฮึกเหิม
คนหนึ่งเป็นตายยังไงก็ไม่อยากรับทาส ส่วนอีกฝั่งเป็นตายยังไงก็จะเป็นทาส ก่อนหน้านี้พวกจางเว่ยอวี่กังวลว่าจะเกิดการก่อกบฏแต่กลับกลายเป็นคนละเรื่องกันเลย
แต่หลี่ว์ซู่ยืนกรานความคิดของตัวเอง ในที่สุดเขาก็ปฏิเสธคำขอของทัพอู่เว่ยและคนอื่นๆ และเลือกที่จะลงนามในพันธสัญญาจิตวิญญาณ เขาเชื่อว่าวันหนึ่งคนเหล่านี้จะขอบคุณการตัดสินใจของเขาในวันนี้
พันธสัญญาได้ตอบสนองความต้องการของเขาในการควบคุมกองทัพแล้ว
Related
จางเว่ยอวี่ยืนเผชิญหน้ากับหลี่ว์ซู่ทั้งสองฝ่ายต่างคิดถึงข้อดีข้อเสียและพิจารณาเรื่องวิชาทั้งห้า
หลี่ว์ซู่สั่งให้คนอื่นๆ แยกย้ายกันออกไป บทสนทนาต่อจากนี้ของพวกเขาจะต้องเป็นความลับ จางเว่ยอวี่เดาข้อกังวลของหลี่ว์ซู่ได้แล้ว เขาก็เข้าใจว่าควรจะเลือกยังไง เขาจึงมองหลี่ว์ซู่และพูดว่า “นี่เป็นโอกาสทองของชีวิต”
“ก็ขึ้นอยู่กับว่ามีวาสนาจะได้ไหม” หลี่ว์ซู่ยื้ออยู่นานกว่าจะรับตำแหน่งราชันฟ้า วิชาแค่นี้ไม่ไม่ใช่เรื่องยากอะไร
จางเว่ยอวี่พูดย้ำอีก “ครั้งนี้พวกเราไม่ต้องการทำสัญญาใดๆ กับนายและไม่ต้องการให้นายยอมรับเงื่อนไขใดๆ เพียงแค่ให้เราฝึกฝนพวกเขา!
หลี่ว์ซู่ครุ่นคิดอยู่สองวินาที “งั้นก็ได้แต่คุณต้องรับปากฉันเรื่องหนึ่ง”
“ได้! ว่ามา! ” จางเว่ยอวี่พูดและมองหลี่ว์ซู่ด้วยแววตาจริงจัง
แต่จางเว่ยอวี่เริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ!
เดี๋ยวนะ…ตัวเขามอบวิชาให้ยังต้องตกลงเงื่อนไขอีก! มันกลับกันหรือเปล่า ตัวเขาจะให้หลี่ว์ซู่รับน้ำใจไม่ใช่เหรอ ทำไมกลายเป็นหลี่ว์ซู่ไม่รับแล้วตัวเขากลับเป็นฝ่ายต้องรับน้ำใจของอีกฝ่ายแทน!
จางเว่ยอวี่มองใบหน้าที่ไร้เดียงสาของหลี่ว์ซู่อย่างเงียบๆ …
[ได้แต้มจากจางเว่ยอวี่ +666!]
“ขอฉันพูดเรียบเรียงใหม่นะ” จางเว่ยอวี่พูด “ทำไมฉันมามอบวิชาให้ต้องมารับปากเงื่อนไขของนายด้วย”
หลี่ว์ซู่มองจางเว่ยอวี่อย่างไร้เดียงสา “คุณว่ามา”
จางเว่ยอวี่ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งและตัดสินใจที่จะเริ่มจากจุดเริ่มต้น “พวกเราต้องการมอบวิชาให้นายห้าวิชา”
“ไม่ได้” หลี่ว์ซู่พูด
“พวกเราไม่ต้องการคำมั่นสัญญาใดๆ จากนาย เพียงแค่ให้พวกเราฝึกฝนพวกเขา”
“ได้แต่คุณต้องรับปากฉันเรื่องหนึ่ง” หลี่ว์ซู่พูด “มีปัญหาอะไรหรือ”
[ได้แต้มจากจางเว่ยอวี่ +199!]
จางเว่ยอวี่ถอนหายใจ “ช่างเถอะๆ เงื่อนไขอะไร”
“เงื่อนไขคือพวกคุณสอนฟรี” หลี่ว์ซู่พูดด้วยสีหน้าราบเรียบ “ดูนะ ทัพอู่เว่ยของพวกเรามีค่าใช้จ่ายเยอะมาก ตอนนี้รายรับยังไม่มีดังนั้นเงินจึงสำคัญมาก…”
จางเว่ยอวี่ใช้ความคิด กลายเป็น “ทัพอู่เว่ยของพวกเรา” ได้อย่างไร ทำไมทำซะเขามีความรู้สึกร่วมไปด้วยเลย…
ที่แท้ลีลาอยู่ตั้งนาน สุดท้ายก็เพราะไม่อยากควักเงิน 2,000 ธนบัตรต่อคน!
ที่จริงจางเว่ยอวี่ไม่ได้โง่ เขารู้ดีว่าปัญหาอยู่ที่ไหน ครั้งนี้เป็นเพราะพวกเขาต้องการจัดการทัพอู่เว่ยให้เป็นของเล่นชั้นเยี่ยม ถึงพวกเขาจะไม่มีพลังแล้ว แต่ถ้ามีกองทหารที่ให้พวกเขาได้แสดงฝีมือก็ถือว่าได้ปลอบประโลมจิตใจตัวเอง
ดังนั้นทำให้จางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ สนใจทัพอู่เว่ย ราวกับว่าพ่อแม่คาดหวังให้ลูกๆ ทำตามความฝันของตัวเอง มอบสิ่งที่ดีที่สุดให้พวกเขาและส่งพวกเขาในทุกการเดินทาง
พูดตรงๆ ก็คือพวกเขาโดดเดี่ยวมานานมาก หน่วยทหารมังกรหลวงที่เคยยิ่งใหญ่รุ่งโรจน์ในอดีตตกต่ำสู่ห้วงเหวลึก ย่อมมีบาดแผลและความเสียใจเหลือไว้ในใจ
และตอนนี้เมื่อพวกเขาตระหนักว่ากลุ่มคนไร้พลังสามารถเปล่งประกายได้อีกครั้ง พวกเขาก็เริ่มมีความตื่นเต้นและความหวัง
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ จางเว่ยอวี่เข้าใจหลี่ว์ซู่ หลี่ว์ซู่เคยช่วยพวกเขาและช่วยชีวิตจางเว่ยอวี่ด้วย ซึ่งถือว่าเป็นผู้มีพระคุณ
ประเด็นสำคัญคือหลี่ว์ซู่ไม่เป็นขุมพลังของกองกำลังใดๆ หลี่ว์ซู่ยังมีความลับของตัวเองซึ่งกลายเป็นพื้นฐานในการสร้างความไว้วางใจระหว่างทั้งสองฝ่าย
ทหารวังในไม่ได้รับใช้ผู้อื่นนอกจากราชาแห่งทวยเทพและตอนนี้พวกเขาไม่ต้องรับใช้ใคร
สำหรับจางเว่ยอวี่ พวกเขาอยู่ที่นี่เพราะความรู้สึก ไม่ใช่เพราะผลประโยชน์ พวกเขาไม่ได้เปลี่ยน พวกเขายังคงไม่ถูกขุนนางซื้อใจ ความภักดีของพวกเขายังคงมีต่อราชาแห่งทวยเทพตามเดิม!
พูดไปก็เหมือนเอาแต่ใจที่ไม่สนลาภยศสรรเสริญแต่มาฝึกทหารอู่เว่ยอยู่ในหุบเขาแห่งนี้ แต่ก็ด้วยสิ่งนี้ที่ยังเป็นการรักษาไว้ซึ่งศักดิ์ศรีสุดท้ายของทหารวังใน
ส่วนหลี่ว์ซู่ก็มองเรื่องนี้ออกดังนั้นจึงกล้าเสนอเงื่อนไขนี้
จางเว่ยอวี่มองหลี่ว์ซู่นิ่งๆ “อย่างน้อยก็ต้องดูแลเรื่องการกินใช่ไหม”
หลี่ว์ซู่เบิกตากว้างขึ้นและยิ้ม “ดูแลๆๆ เรื่องนี้จัดการให้เต็มที่เลย”
“อย่าเอาจานยกออกไปนะ” จางเว่ยอวี่พูดน้ำเสียงเย็นชา เขารู้ว่าหลี่เฮยทั่นต้องได้รับคำสั่งจากหลี่ว์ซู่ให้ยกจานอาหารพวกเขาออก
“ฮ่าๆๆ เข้าใจผิดกันไปใหญ่เลย…”
หลังจากที่ทั้งสองคุยกันเสร็จแล้ว หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็เห็นหลี่ว์ซู่ขยิบตาให้เธอ สำเร็จ!
ทันใดนั้นหลี่ว์ซู่ก็ยิ่งคาดหวังมากขึ้นว่าทัพอู่เว่ยจะพัฒนาไปถึงระดับไหน
คืนนั้น หลี่ว์ซู่มาที่ที่พักของจางเว่ยอวี่ ทั้งห้าสิบกว่าคนไม่นั่งอยู่บนเตียงก็นั่งอยู่ที่พื้น มองหลี่ว์ซู่ด้วยสายตาเดียวกัน
หลี่ว์ซู่ยิ้มและพูดว่า “ยินดีที่ได้ร่วมมือกัน”
จางเว่ยอวี่ตบไหล่เขา “พวกเราบอกนายชัดเจนแล้วเรื่องอำนาจการควบคุมทัพอู่เว่ย”
หลี่ว์ซู่นิ่งลง เข้าเรื่องเลยใช่ไหม แค่พูดเรืองอำนาจการควบคุมของกองทัพอู่เว่ย? จะตกลงยังไง หลี่ว์ซู่ไม่มีทางมอบอำนาจการควบคุมให้คนกลุ่มนี้แน่นอน
“อย่าคิดมากไป” จางเว่ยอวี่พูดอย่างใจเย็น “ถึงพวกเราเต็มใจมอบวิชาให้แต่ก็ไม่อยากให้วิชาเล็ดลอดออกไป ดังนั้นทัพอู่เว่ยจะต้องอยู่ในอำนาจการควบคุมของพวกเรา! พวกเราเชื่อใจนายแต่ไม่ใช่พวกเขา!”
“นี่หมายความว่าอะไร” หลี่ว์ซู่ครุ่นคิดสักพักแล้วพูดว่า “พวกคุณมีวิธีอะไรหรือ”
“เปลี่ยนพวกเขาให้เป็นทาสของนายทั้งหมด” จางเว่ยอวี่พูด “เมื่อมีวิชาแล้วบางที ความแข็งแกร่งทางจิตใจของนายอาจไม่รับทาสจำนวนมากขนาดนี้ไม่ไหวแต่ค่อยเป็นค่อยไป มีเพียงเปลี่ยนพวกเขาเป็นทาสของนายเท่านั้น พวกเราถึงจะมั่นใจได้จริง”
หลี่ว์ซู่ลังเลเขาเป็นคนยุคปัจจุบัน ไม่ใช่คนของจักรวาลหลี่ว์
ดังนั้นจางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ จึงคิดว่าการรับเป็นทาสเป็นเรื่องธรรมดา แต่เขารู้สึกอึดอัดมาก เขาไม่เคยคิดที่จะกดขี่ใครและเขาไม่คิดที่จะเป็นนายทาส
เขาไม่ต้องการให้ใครมาควบคุมอิสรภาพของเขา ดังนั้นเขาจึงเอาใจเขามาใส่ใจเรา เขาไม่เต็มใจที่จะควบคุมเสรีภาพของผู้อื่น
หลี่ว์ซู่จึงพูดว่า “ถ้าฉันบอกว่าทุกคนมีสิทธิ์เท่าเทียมกัน คงจะเสแสร้งไป ฉันไม่อยากควบคุมใครและไม่เคยคิดที่จะดูถูกใคร ยิ่งกว่านั้นฉันเห็นด้วยกับมุมมองหนึ่งคือความภักดีที่ควบคุมชีวิตของเขาไม่ใช่ความภักดีที่แท้จริง คนคนหนึ่งจะตระหนักถึงศักยภาพสูงสุดของเขาก็ต่อเมื่อพวกเขามีอิสรภาพในชีวิตตนเอง”
แต่แล้วจางเว่ยอวี่เพิ่งพูดจบ พวกเขาก็มองหน้ากันและเหมือนกำลังคบคิดกันอยู่
หลังจากนั้นไม่นาน จางเว่ยอวี่ก็หายใจเข้าลึกๆ และพูดว่า “แง่นี้ นายคล้ายกับคนที่เรารู้จักมาก…เธอเคยพูดอะไรบางอย่างที่มีความหมายคล้ายกับที่นายพูด ต่างกันแค่คำพูดเท่านั้น”
หลี่ว์ซู่ตกตะลึง มีคนพูดแบบนี้กับจางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ ด้วยหรือ
หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าเรื่องนี้มีเงื่อนงำแต่คิดไม่ออกว่ามันอยู่ตรงไหน
“ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากรับทาสแต่ฉันรู้สึกว่านี่ไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด” เขาพูด “มีวิธีอื่นอีกไหมนอกจากการรับทาส ฉันไม่ได้เอาแต่ใจแต่พูดตามตรงฉันไม่ได้เป็นคนไม่เห็นแก่ตัว ถึงไม่อยากให้คนอื่นมาเป็นทาสแต่ก็ไม่อยากถูกทรยศ”
หลี่ว์ซู่เป็นคนที่มีนิสัยเช่นนี้ มีนิสัยจริงจัง เขากล้ายอมรับว่าตนเองมีความเห็นแก่ตัวและยืนกรานในหลักการของเขาเสมอ
“มี มีอีกแบบหนึ่ง” จางเว่ยอวี่คิดอยู่ชั่วครู่และพูดว่า “พันธสัญญา ผู้ภักดียินยอมลงนามในพันธสัญญากับเจ้านายโดยสมัครใจเจ้านายไม่สามารถควบคุมพฤติกรรมของผู้ภักดีได้ เมื่อผู้ภักดีทรยศ พันธสัญญามีพลังที่หยั่งรากลึกลงในร่างกายจะทำลายรากฐานของผู้ภักดี นายลองคิด พลังผูกพันของพันธสัญญานี้อ่อนกว่าตราประทับของทาส ข้อได้เปรียบที่ใหญ่ที่สุดของนายทาสคือพวกเขาต้องการให้ทาสไปตายในสนามรบ ทาสก็ต้องไปสู้จนตายเพราะทาสบางคนเกิดมาเพื่อเป็นปืนใหญ่ในสนามรบ ถ้านายใช้พันธสัญญา นายต้องจัดการกองทัพอย่างระมัดระวัง พวกเขาแค่ไม่สามารถทรยศคุณได้เท่านั้น”
หลี่ว์ซู่หายใจออก แค่นี้ก็พอแล้ว เขาไม่ต้องการให้ใครมาเป็นปืนใหญ่ให้เขา
การพันธนาการแลกมาด้วยความภักดีไม่ได้ เครือข่ายฟ้าดินก็ไม่มีการรับเป็นทาส ทุกคนเต็มใจยอมไม่ใช่เพราะถูกบีบบังคับ เช่นนั้นคำว่าวีรชนจึงมีความหมาย
Related
หลิวเชียนจือพูดเสริมว่า “ทำหมันแพะเหล่านี้ไปแล้ว เหลือไว้ผสมพันธุ์เพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น จากการเจริญเติบโตของพวกมันอีกสามสี่เดือนก็น่าจะได้ลูกแพะชุดแรก”
“อย่าไปยุ่งกับแพะตอนนี้ เรื่องล่าสัตว์ก็ต้องทำต่อไป ทำนาเป็นงานหนักจะให้ทหารไม่มีเนื้อกินไม่ได้” หลี่ว์ซู่พูด “เทือกเขานี้เป็นกล่องสมบัติของเรา ขุดเท่าไหร่ก็มีเท่านั้น”
หลี่ว์ซู่พยายามทำให้ตัวเองเป็นกระดูกสันหลังของกองทัพและหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็พยายามทำให้ตัวเองเป็นคนที่สามารถช่วยเหลือหลี่ว์ซู่ได้
จางเว่ยอวี่มองไปที่ภาพลักษณ์ของทั้งสองคนนี้ก็รู้สึกว่าหลี่ว์ซู่เป็นคนติดดิน นายทาสและพวกขุนนางทั่วไปใครไหนจะมาสนใจเรื่องพวกนี้
แต่ตอนนี้เขากำลังคิดอยู่ว่าควรจะคุยกับหลี่ว์ซู่เรื่องการถ่ายทอดวิชายังไง ก่อนอื่นคือโน้มน้าวอีกฝ่ายให้เชื่อว่าวิชานี้เป็นของดี ถ้าไม่ใช่เพราะทหารมังกรหลวงให้เรียนวิชาเหมือนกันหมด เขาเองก็อยากฝึกวิชาของตระกูล
จากนั้นจะให้หลี่ว์ซู่รับน้ำใจครั้งนี้ยังไงดี จางเว่ยอวี่รู้ว่าหลี่ว์ซู่ไม่ใช่คนอกตัญญูแต่จะให้อีกฝ่ายยอมรับน้ำใจครั้งนี้ได้อย่างไร
เมื่อคืนจางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ คุยกันจนดึก พวกเขาแยกตัวกันไปแล้วมีโอกาสมาพูดคุยกันแบบนี้น้อยมาก คงห่วงอะไรมากไม่ได้ระหว่างหลบหนี ดังนั้นเมื่อวานพวกเขาได้พักผ่อนกัน ต่างรู้สึกผ่อนคลายลง
ราวกับได้วางภาระบางอย่างลงและมาพูดคุยกันอย่างสบายๆ
ผลก็คือมีคนร้องไห้และถามจางเว่ยอวี่ว่าพวกเขาจะต้องทนไปถึงเมื่อไหร่กว่าจะถึงวันนั้น หรือว่า…วันนั้นจะไม่มีอยู่จริง
จางเว่ยอวี่เข้าใจดีว่าในช่วงสิบปีที่ผ่านมาทุกคนอดทนมากเหลือเกิน แบกรับมามากจริงๆ แต่พวกเขาสามารถรอต่อไปเพื่อชดเชยความผิด
เพราะ…พวกเขาคิดถึงช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์และเข้าใจว่าใครเป็นผู้ให้
จางเว่ยอวี่เป็นคนที่โชคดี ราชาองค์เก่าเลือกเขาจากบรรดาตระกูลขุนนาง อย่างไรก็ตามหลายคนลืมไปว่าคนส่วนใหญ่ในทหารมังกรหลวงเป็นเด็กกำพร้าหรือมีประสบการณ์ที่น่าสังเวชและถูกราชาองค์เก่าพากลับมา
โลกภายนอกบอกว่าราชาองค์เก่าโหดร้ายอย่างนั้น โหดเหี้ยมอย่างนี้เพราะครั้งหนึ่งพวกเขาเคยเป็นศัตรูกับราชาองค์เก่าและได้เป็นพยานในยุคสงครามที่โหดร้าย
แต่จางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ เข้าใจอยู่เสมอว่าราชาองค์เก่าไม่ใช่ทรราชที่โหดเหี้ยมจริงๆ
พวกเขาไม่ได้ควบคุมทหารมานานกว่า 20 ปีแล้ว ในเวลานั้นราชาองค์เก่าพาคนใหม่กลับมาในทหารมังกรหลวง ทุกคนต่างล้อเล่นกับเขาแต่ก็ด้วยความปรารถนาดี จากนั้นคนใหม่คนนั้นก็ค่อยๆปรับตัวเข้ากับกลุ่มและไม่สามารถแยกออกจากกันได้อีกต่อไป
ทันใดนั้นทุกคนพบว่า มีโอกาสนำทหารอีกครั้งแล้ว ถึงพวกเขาจะไม่สามารถไปรบด้วยร่างกายในตอนนี้ได้แต่แค่นี้ก็ทำให้สมใจอยากแล้ว!
นี่เป็นความรู้สึกที่ซับซ้อน ทั้งๆ ที่รู้ว่าตนเองออกรบไม่ได้แล้วแต่ยังอยากกลับไปสัมผัสกับเวลาในตอนนั้น
แค่คิดว่าจะจัดการทหารอู่เว่ยพวกนี้ให้เหมือนกับตอนรับทหารคนใหม่เข้าหน่วยทหารมังกรหลวงก็สนุกอย่างบอกไม่ถูกแล้ว!
จากนั้น ไม่เพียงแต่จางเว่ยอวี่เท่านั้นที่เต็มใจที่จะนำวิชาออกมาแต่คนอื่นๆ ก็เอาสิ่งที่เก็บไว้ให้ตัวเองออกมาด้วย
ในตอนนั้นหน่วยทหารมังกรหลวงเป็นหูเป็นตาให้ราชาองค์เก่า หากบอกว่าเขาไม่มีความลับใดๆ ซ่อนอยู่ก็คงเป็นไปไม่ได้ ขุนนางบางตระกูลถูกพวกเขารื้อค้นบ้านและจับทรมาน พวกเขาจะไม่มีอะไรเก็บไว้ได้อย่างไร
สุดท้ายนับดูแล้ว ทั้งห้าสิบกว่าคนนำวิชาออกมารวมกันได้ยี่สิบกว่าวิชา…
ในตอนนี้ทุกคนเริ่มคัดเลือก วิชาที่ไม่สามารถบำเพ็ญได้ถึงระดับหนึ่งไม่ต้องเอาออกมา! ขายหน้าเขา!
ดังนั้นทั้งยี่สิบกว่าวิชานั้นจึงเหลือเพียงห้าวิชาและทั้งหมดสามารถบำเพ็ญได้ถึงระดับหนึ่ง!
การมีวิชามากก็มีข้อดี เพราะทหารกองหนึ่งมักจะเจอคู่ต่อสู้และสภาพแวดล้อมที่ต่างกันไป กองทหารที่มีความสามารถพลิกแพลงสูงจะมีโอกาสผิดพลาดต่ำ
หน่วยทหารมังกรหลวงมีวิชาที่แข็งแกร่งแต่วิชาพวกเขาเอาออกมานั้นก็ไม่ด้อยไปกว่ากัน
เดิมทีทุกคนมองการฝึกทัพอู่เว่ยเป็นเพียงธุระหรือแม้กระทั่งเป็นการแลกเปลี่ยนกัน แต่แล้วพอได้คุยๆ กันไปก็เริ่มเปลี่ยนไป จางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ ถึงกับมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของตนเอง แม้กระทั่งยังแอบหยอกล้อกันว่าให้ฝึกให้ดีอย่าฝึกได้ทหารข้างนอกสุกใสข้างในเป็นโพรง
ดังนั้นจึงเกิดอารมณ์การแข่งขันระหว่างพวกเขากันเอง
แต่ตอนนี้ จางเว่ยอวี่หวังที่จะเพิ่มผลประโยชน์ของเขาให้มากสุด ให้หลี่ว์ซู่ยอมรับน้ำใจก่อน เรื่องต่อจากนี้ก็ค่อยง่ายขึ้น
เมื่อหลี่ว์ซู่เดินสำรวจนาขั้นบันไดเสร็จแล้วและเตรียมกลับไปฝึกกระบี่ที่ถ้ำต่อไปเพื่อปะทุพลังระดับสาม จางเว่ยอวี่ลากหลี่ว์ซู่ออกมาข้างๆ “พวกเรายินดีที่จะมอบวิชาที่สามารถฝึกได้ถึงระดับหนึ่งมาฝึกทัพอู่เว่ย!”
“ไม่ได้” หลี่ว์ซู่ปฏิเสธ
จางเว่ยอวี่อึ้งในทันที วิชาที่สามารถฝึกถึงระดับหนึ่งทั้งห้าวิชานี้ หลี่ว์ซู่มีสิทธิ์อะไรมาห้าม จากนั้นเขาก็ดูสีหน้าของหลี่ว์ซู่ก็เข้าใจความกังวลของอีกฝ่าย…พวกเขาเอาออกมามากเกินไปและดีเกินไปในครั้งเดียว!
สำหรับหลี่ว์ซู่แล้ว อยู่ๆ มาเอาใจไม่ใช่เรื่องไม่ดี เขาเองไม่คิดจะให้ทัพอู่เว่ยเก่งกาจขนาดนั้น ส่วนเรื่องหน่วยทหารมังกรหลวงแค่คิดไปเรื่อยไม่ได้จริงจังอะไร
เพราะสุดท้ายเขาจะกลับไปที่โลก จักรวาลที่เขาเป็นแค่แขกรับเชิญเท่านั้น
หลี่ว์ซู่ไม่สงสัยวิชาของจริงเหล่านั้นของจางเว่ยอวี่ เพราะในสายตาของหลี่ว์ซู่ อีกฝ่ายสามารถเอาของพวกนี้ออกมาได้
แต่ปัญหาคือยิ่งอีกฝ่ายมีของดีมากเท่าไหร่ก็ยิ่งยืนยันฐานะของเขาก่อนที่จะตกต่ำ คนที่สามารถมีพลังระดับหนึ่งได้นั้นควรเป็นมีฐานะแบบไหน จอมทัพสวรรค์? หรือคนรอบตัวราชาองค์เก่า?
ไม่ว่าจะเป็นตัวตนแบบไหน กรงว่าหลี่ว์ซู่จะไม่สามารถเข้าไปมีส่วนร่วมและถอยหนีออกมาได้อย่างหมดจด หลี่ว์ซู่เป็นคนที่ระมัดระวังตัวมาก เขาสามารถปฏิเสธการถ่ายทอดวิชาของหลี่เสียนอี แล้ววันนี้จะมีอะไรที่เขาปฏิเสธไม่ได้ล่ะ อีกอย่างก็ไม่ใช่วิชาที่หลี่ว์ซู่ต้องการ ที่ดาวและเคนโด้ของเขาจะอยู่ยงคงกระพัน … อย่างน้อยเขาก็คิดอย่างนั้น
แต่จางเว่ยอวี่รู้สึกไม่ยอมอยู่ “เดี๋ยวก่อน ทั้งห้าวิชานี้ไม่ใช่ว่าจะขอแล้วจะได้ง่ายๆนะ ตอนนี้พวกเราอยากให้ทัพอู่เว่ยยิ่งใหญ่ ที่นี่มีพลังจิตวิญญาณเข้มข้นมาก ฉันบอกให้ว่าพวกเรามีวิธีรีดเค้นศักยภาพของพวกเขา พวกเขามีพื้นฐานอยู่แล้ว ภายในครึ่งปีนายสุ่มหยิบทหารออกมาคนหนึ่งก็จะได้ระดับสี่ หรือแม้แต่ครึ่งกองทัพพัฒนาได้ถึงระดับสามด้วยซ้ำ! อย่างหลิวเชียนจือได้ระดับสามสบายๆ ฉันกล้ารับประกันว่าเขาได้ระดับสองแน่นอน!”
ตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่เล่นไปตามเรื่องล่ะ
แม้ว่าทัพอู่เว่ยนี้จะเละเทะแต่คนเร่ร่อนพวกนี้เดิมก็มีพลังมากกว่าระดับห้าอยู่แล้ว ส่วนจางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ มีวิธีพิเศษ เขาบอกหลี่ว์ซู่ว่าการฝึกกองทัพที่มีพลังอันดับสี่เป็นการพูดแบบรักษาตัวไว้ก่อน เพราะถ้าพูดแล้วทำไม่ได้ก็คงเสียหน้า วันหลังใครรู้เข้าจะทำให้หน่วยทหารมังกรหลวงเสื่อมเสียชื่อเสียงเอาได้
จางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ ต่างตั้งหน้าตั้งตารอคอยวันที่ได้คุมทัพอู่เว่ยออกทัพและได้ข่มขวัญทุกคน…แค่คิดก็สนุกแล้ว มันเป็นความรู้สึกประสบความสำเร็จที่แตกต่างจากการฝึกฝนของพวกเขา
Related
เช้าตรู่ แสงจันทร์ยังสาดส่องลงมายังภูเขาราชาหลี่ว์หวังเบื้องล่างอย่างไม่ลังเล
แต่จางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ ได้ยินเสียงฝีเท้าได้ขึ้นจากข้างนอกระหว่างที่กำลังฝัน พวกเขาพลิกตัวลุกขึ้นมา มองลอดหน้าต่างว่าเกิดอะไรขึ้น คงไม่ใช่ทัพเฮยอวี่บุกเข้ามา ไม่เช่นนั้นทำไมถึงได้เอะอะโวยวายขนาดนี้
ตอนนี้เองจางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ จึงรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
พวกเขาค่อยๆ พบจุดผิดปกติ ทหารทัพอู่เว่ยทหารไม่ได้ตื่นตระหนก แต่ย่างก้าวของพวกเขาเรียบร้อยและสม่ำเสมอ เสียงฝีเท้าของหทารสามพันกว่าคน ย่ำลงพื้นพร้อมๆ กัน เสียงดังราวกับเสียงตีกลองสงคราม เสียงดังสนั่นราวกับคลื่นทะเล
“พวกเขากำลังทำอะไรกัน” จางเว่ยอวี่พูดอย่างไม่แน่ใจ
ตงเยี่ยเป็นหนึ่งในทหารวังในลังเล “ไม่เหมือนทัพเฮยอวี่บุกมา เหมือนกำลังรวมตัวอะไรสักอย่าง ถ้ามีทหารบุกมาจะไม่ใช่ท่าทีแบบนี้
แต่ในตอนนี้ จมีเสียงดังทุ้มของหลี่เฮยทั่นดังมาจากข้างนอก “หนึ่งสองหนึ่ง หนึ่งสองหนึ่ง หนึ่งสองสามสี่… “
จางเว่ยอวี่ที่คิดจะออกไปดูก็ตกใจ” นี่มัน…สัญญาณลับ”
“ไม่ใช่ สังเกตไหมว่าตอนที่เขานับเลขนั้น มีเสียงฝีเท้าดังพร้อมไปกับตัวเลขด้วย” มีคนพบเบาะแส “เป็นไปได้ไหมที่กำลังฝึกทหารอยู่”
“ไม่เคยเห็นวิธีการฝึกแบบนี้ …”
ในเมื่อมั่นใจว่าไม่มีอันตราย จางเว่ยอวี่จึงเป็นคนนำเดินออกไป พวกเขาเห็นทหารอู่เว่ยแบ่งออกเป็นสามสิบกว่ากอง กองละร้อยคนวิ่งไปพร้อมกัน ถึงจะมีทหารบางคนวิ่งผิดจังหวะบ้างแต่คนนั้นก็จะปรับจังหวะให้เข้ากับคนอื่นได้ในทันที
หลี่เฮยทั่นตะโกนนับตัวเลขก็เพื่อกำกับจังหวะฝีเท้าให้พวกเขา หนึ่งหมายถึงขาซ้ายย่ำพื้น สองหมายถึงขาขวาย่ำพื้น
จางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ เป็นคนฉลาด พวกเขาเข้าใจประโยชน์ของกาฝึกเช่นนี้ทันที นี่เป็นการทำให้กองทัพมีระเบียบวินัยมากขึ้นและยังเป็นการแสดงถึงสภาพจิตใจ สิ่งนี้อาจจะไม่มีประโยชน์มากในสนามรบแต่มันมีประสิทธิภาพอย่างน่าประหลาดใจในการฝึก
สิ่งที่น่าแปลกใจกว่านั้นคือหลี่ว์ซู่สามารถฝึกทหารอู่เว่ยที่ไร้ระเบียบวินัยให้กลายเป็นแบบนี้ได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ
ในทหารมังกรหลวงมีทหารวังในสามร้อยนาย แต่ละนายรับผิดชอบทหารมังกรหลวงธรรมดาร้อยนาย ดังนั้นทุกคนจึงเข้าใจดีว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายที่สามารถฝึกให้ทหารอู่เว่ยเชื่อฟังคำสั่งภายในระยะเวลาสั้นๆ แบบนี้
เมื่อคืนพวกเขายังคงคุยกันว่าหากกองทัพอู่เว่ยไม่เชื่อฟัง พวกเขาจะใช้ยาแรงในการอบรมพวกเขาก่อน แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าพวกเขาไม่ต้องใช้แล้ว
จางเว่ยอวี่เฝ้าดูอยู่นานแต่ไม่เห็นหลี่ว์ซู่ เขารอให้หลี่เฮยทั่นผ่านมาข้างๆ แล้วจึงถามอย่างสงสัยว่า “หัวหน้าอยู่ที่ไหนล่ะ”
หลี่เฮยทั่นมองจางเว่ยอวี่และตะโกนว่า “หนึ่ง! สอง! สาม! สี่! “
จางเว่ยอวี่ “… “
ประสาท คนถามไม่ตอบ!
สิ่งที่น่ารำคาญที่สุดของจางเว่ยอวี่ ในตอนนี้คือนิสัยอารมณ์ร้ายของหลี่เฮยทั่นแต่จะว่าเขาจิตใจชั่วร้ายก็ไม่ใช่…
ในตอนนี้ จางเว่ยอวี่ดึงหลี่เฮยทั่นไว้ “ฉันถามนาย หัวหน้านายอยู่ที่ไหน”
“ฝึกดาบอยู่” หลี่เฮยทั่นพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
จางเว่ยอวี่พยักหน้า หลี่ว์ซู่ยังคงฝึกดาบด้วยความสม่ำเสมอ
มหาวิถีบังเกิดแล้วนิรันดร์ คนธรรมดาเห็นแค่จุดที่สวยงาม แต่พวกเขาไม่รู้ว่าการกระทำที่เปลี่ยนชะตาชีวิตนั้นถ้าไม่มีความเพียรนั้นไม่มีทางทำได้ ดังที่พวกเขาปรึกษากัน บนเส้นทางที่คดเคี้ยวนั้นจะขาดความเพียร วาสนา คุณสมบัติสักอย่างหนึ่งไปไม่ได้ และหลี่ว์ซู่ไม่ขาดเลยสักอย่าง โดยเฉพาะความเพียรที่สำคัญที่สุด
“มีเรื่องอะไรอีกไหม” หลี่เฮยทั่นถามอย่างไม่สนใจ
จางเว่ยอวี่รู้สึกขัดใจ “หัวหน้านายไม่คุมเรื่องอารมณ์ร้ายของนายเหรอ”
“คุมนะ” หลี่เฮยทั่นพูด “แต่คุมไม่อยู่”
ตอนนี้หลี่ว์ซู่ยอมแพ้ไปแล้ว…แต่เขาก็มีความอดทนสูง ในเมื่อเขารู้ว่าหลี่เฮยทั่นมีนิสัยตรงไปตรงมาเช่นนี้ ถ้าหลี่ว์ซู่จะเปลี่ยนนิสัยหลี่เฮยทั่นให้เป็นคนมีความคิดลึกลับซับซ้อน หลี่ว์ซู่เองจะเสียหาย
จางเว่ยอวี่อึ้งไปชั่วขณะเมื่อได้ยินคำตอบของหลี่เฮยทั่น “ถ้าอย่างนั้น นายควบคุมตัวเองไม่ได้เหรอ”
หลี่เฮยทั่นผงะไปชั่วขณะ “ดูๆ คุณพูดอะไร ใต้เท้าหลี่ว์ยังคุมฉันไม่ได้ คิดว่าฉันจะคุมตัวเองได้เหรอ! “
จางเว่ยอวี่ “…นายพูดก็มีเหตุผล”
จางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ กำลังดูการฝึกซ้อมวิ่ง เป็นการฝึกที่ไม่เข้มข้นมากนัก ที่จริงไม่เกี่ยวกับการต่อสู้เท่าไหร่นัก อาจเป็นสาเหตุที่หลี่ว์ซู่ต้องการให้พวกเขาอยู่ที่นี่เพราะหลี่ว์ซู่เองก็รู้ว่าการออกกำลังกายแบบนี้จะทำให้ทัพอู่เว่ยกลายเป็นกองทัพที่ไร้เทียมทานไม่ได้ยังต้องผสมผสานการฝึกแบบอื่นอีก
หลี่ว์ซู่ปรากฏตัวในตอนอาหารเช้า จากนั้นหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็หยิบบัญชีออกมาให้หลี่ว์ซู่ดูเป็นเวลานาน ทั้งสองคนพึมพำกันโดยไม่รู้ว่าพวกเขากำลังคุยอะไรกัน
ตอนนี้หลี่ว์ซู่และคนอื่นๆ รับผิดชอบชีวิตของกองกำลังทั้งหมด พวกเขาต้องวางแผนอย่างรอบคอบ หลังจากจางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ มาถึง หลี่ว์ซู่ก็ไม่ได้คุยอะไรกับพวกเขาแต่ต้องการไปที่ภูมิศาสตร์ก่อน
จู่ๆ จางเว่ยอวี่ก็ค้นพบว่าหลังจากผ่านไปเพียงคืนเดียว จิตวิญญาณของหลี่ว์ซู่ดูเหมือนจะแตกต่างจากเมื่อวาน การพัฒนาแบบก้าวกระโดดภายในคืนเดียวช่างน่ากลัวเสียจริง เขาดูยังไงก็ไม่เหมือนคนที่เพิ่งเริ่มบำเพ็ญ
ในปกติ ผู้บำเพ็ญระดับต่ำจะเสียเวลานานถ้าฝึกโดยไม่มีคนแนะนำ
ส่วนหลี่ว์ซู่เหมือนจะไม่เป็นแบบนั้น เขาเหมือนรู้ว่าตัวเองจะไปสิ้นสุดที่ตรงไหนและเดินตรงไปเรื่อยๆ
จางเว่ยอวี่ไม่รู้ว่าสิ่งที่หลี่ว์ซู่กำลังทำอยู่ในตอนนี้เป็นเพียงการชดเชยข้อบกพร่องในการฝึกร่างกายของเขาเท่านั้น หากแผนที่ดาวถูกเปิดออกในเวลานี้สมรรถภาพทางกายของหลี่ว์ซู่น่าจะสูงขึ้นเป็นสองเท่าของยอดฝีมือในระดับเดียวกัน
เมื่อทั้งสองพลังหลอมรวมกัน ไม่ได้ง่ายดายแบบการบวกเลข เดิมหลี่ว์ซู่มีพลังสูงกว่าคนในระดับเดียวกันเมื่อได้เสริมจุดบกพร่องนี้ไปแล้ว ระดับของเขาจะสูงขึ้นไปขนาดไหน
“พืชผลที่นี่เติบโตเร็วขึ้นหน่อย” หลี่ว์ซู่ลาดตระเวนพื้นที่นาขั้นบันไดขนาดใหญ่ “อีกประมาณสามเดือน ผลผลิตก็จะออกรวง ตอนนั้นก็ไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารแต่ต้องจัดการเรื่องการขาดแคลนเกลือ อาหารจะขาดได้นิดหน่อยแต่เกลือจะขาดไม่ได้”
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋พยักหน้าและจดลงในสมุดบันทึก ตอนนี้เธอเป็นพ่อบ้านใหญ่ สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่เธอต้องดูแล
“การเลี้ยงสัตว์ป่าคืบหน้าเป็นยังไงบ้าง” หลี่ว์ซู่ถาม
“ช่วงนี้ หลิวเชียนจือและคนอื่นๆ พยายามไปล่าสัตว์บนภูเขาและไม่ล่าทั้งหมดแต่ในตอนนี้มีแพะเพียงชนิดเดียวที่เหมาะสำหรับการเพาะพันธุ์ในคอก มันดูเชื่องลงบ้างแต่สัตว์ตัวอื่นกลับไม่กินอาหารสัตว์เลย แล้วยังอดตายไปดื้อๆ หรือไม่ก็หงุดหงิดง่าย ควบคุมยาก” หลี่ว์เสี่ยวอวี๋พูด
“สัตว์ป่ายังไงก็คือสัตว์ป่า” หลี่ว์ซู่ถอนหายใจ
พวกเขามีความฝันอันยิ่งใหญ่แต่ความเป็นจริงทำได้ยาก ไม่ใช่ว่าสัตว์ป่าทุกชนิดจะลบความเป็นสัตว์ป่าของมันได้
Related
“จะไปแย่งได้ที่ไหน …วิชาที่สูงกว่าเพดานพลัง” หลี่ว์ซู่ถาม เขารู้สึกว่าจางเว่ยอวี่ควรรู้เรื่องแบบนี้
จางเว่ยอวี่เลิกคิ้วเมื่อได้ยินคำว่าแย่งแต่ไม่ได้จะเจาะจงคำพูดนี้
ที่เรียกว่าเพดานสูงหมายถึงระดับสูงสุดที่สามารถพัฒนาถึงได้ หากวิชานั้นสามารถพัฒนาได้ถึงระดับหนึ่ง ระดับหนึ่งก็คือเพดานพลัง
ในปัจจุบันวิชาในครอบครองของเหล่านายทาสสูงสุดคือระดับสี่ ส่วนเหล่าขุนนางส่วนมากจะสูงสุดที่ระดับสอง มีเพียงตระกูลขุนนางใหญ่จริงๆ ที่มีถึงระดับหนึ่ง ดังนั้นวิชาจึงเป็นตัวกำหนดชนชั้น ถ้าอยากทำลายชนชั้นนี้จึงยากยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์
“ก็ใช่ว่าจะไม่มีแต่มันไม่เหมาะ” จางเว่ยอวี่ชำเลืองมองหลี่ว์ซู่ “มีตระกูลขุนนางโดดเดี่ยวถึงพวกเขาครอบครองวิชาอยู่ในมือแต่กลับไม่มีลูกหลานที่สามารถสืบทอดพลังได้ นั่นคือคำโบราณที่ว่ามีคุณสมบัติไม่เพียงพอ ในความเป็นจริงมีตระกูลขุนนางเช่นนี้ไม่น้อย ดังนั้นหลังจากขุนนางชั้นสูงจึงได้เรียนรู้บทเรียนจึงพาทางให้ลูกหลานของตนรุ่งเรืองต่อไปเพื่อประโยชน์ของครอบครัวสืบไป”
“แล้วถ้ามีบุตรยากจะทำอย่างไรแล้วเกิดเรื่องนี้ได้อย่างไร” หลี่ว์ซู่อึ้งปชั่วขณะ
จางเว่ยอวี่เพิ่งเคยได้ยินคำนี้ครั้งแรกแต่ก็เข้าใจได้…และที่หลี่ว์ซู่รู้ ที่จริงแล้วการมีบุตรยากบนโลกนี้ไม่ได้เกิดจากฝ่ายหญิงแต่เกิดจากฝ่ายชายแต่เขาก็คิดไม่ออกว่าผู้บำเพ็ญระดับสูงแบบนี้ยังเจอปัญหาแบบนี้ได้อีก
จางเว่ยอวี่ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งและพูดว่า “หลังจากจักรวาลมีประวัติศาสตร์มานาน การสืบพันธุ์ก็ค่อยๆ แตกต่างไปจากประวัติศาสตร์ ในช่วงเริ่มต้นของการสืบพันธุ์ของมนุษย์ ชีวิตใหม่ที่เกิดจากบุคคลที่มีอำนาจก็เหมือนกับคนทั่วไปแต่แล้วก็ค่อยๆ แตกต่างออกไป ฉันเคยเห็นเด็กเกิดใหม่มีพลังระดับหกมาตั้งแต่เกิด พลังตามธรรมชาติของพวกเขาไร้จำกัด”
“ทำไมเหมือนได้ตั้งท้องสัตว์ประหลาด” หลี่ว์ซู่มีสีหน้าแปลกประหลาดใจ
“เป็นการเปรียบเทียบไม่ถูกต้อง” จางเว่ยอวี่มองบน “แต่ต่อมา ถึงลูกหลานจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ มาโดยกำหนด แต่อัตราการสืบพันธุ์กับน้อยลงอย่างที่อธิบายไม่ได้ ต่อมาหลายคนคิดว่าปัญหาอยู่ที่ฝ่ายหญิง คิดว่าผู้หญิงมีพลังต่ำเกินไปที่จะรองรับชีวิตใหม่ที่แข็งแกร่งนี้ ดังนั้นระหว่างขุนนางของเมืองหลวงและเมืองใหญ่ทั้งสี่ต่างชอบเลี้ยงดูหญิงสาวที่มีพลังหรือแม้แต่ซื้อขายทาสหญิงที่มีพลังแต่เรื่องนี้ยังไม่ได้รับกาพิสูจน์”
หลี่ว์ซู่คิดว่าเรื่องนี้คล้ายกับโลก ตำหนิภรรยาของตนเองว่าไม่สามารถให้กำเนิดบุตรได้…
เกรงว่ามนุษย์จักรวาลหลี่ว์ได้เปิดเส้นทางวิวัฒนาการขึ้นอีกเส้นแล้วซิ? ทารกแรกเกิดเกิดมาก็ได้เปรียบแล้ว…พูดตามตรงทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วินถูกล้มล้างแล้ว ใครก็บอกไม่ได้ว่าเส้นทางวิวัฒนาการของมนุษย์จะเป็นอย่างไร
เดิมทีดาร์วินพูดว่ามนุษย์วิวัฒนาการมาจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและกระบวนการนี้เริ่มขึ้นเมื่อ 3-5 ล้านปีก่อน
อย่างไรก็ตาม ภายหลังทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วินเผชิญกับการทดสอบมากมายตัวอย่างเช่นในปี 1822 นักสำรวจค้นพบรอยเท้ามนุษย์เมื่อกว่า 300 ล้านปีก่อนและในปี 1986 พวกเขาค้นพบร่องรอยของมนุษย์เมื่อ 200 ถึง 600 ล้านปีก่อน
ดังนั้นจึงเกิดข้อโต้แย้งที่หลากหลาย บางคนบอกว่าเกิดวิวัฒนาการ บางคนบอกว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีมาอยู่แล้ว แต่ผลลัพธ์เพียงอย่างเดียวคือมนุษย์ไม่สามารถเข้าใจปัญหานี้ได้ ปัญหาเหล่านี้จะชัดเจนขึ้นถ้าได้รับการสรุปว่าฉันเป็นใคร ฉันอยู่ที่ไหน ฉันมาจากไหนและกำลังทำอะไรอยู่
“มีขุนนางบางตระกูลลูกหลานยังไม่ทันได้เติบโตขึ้นมา พ่อแม่ก็ต้องตายเพราะศึกสงคราม” จางเว่ยอวี่พูดเสริม
“ไปไกลแล้ว” สีหน้าของหลี่ว์ซู่เข็มขึ้น “ฉันกำลังถามเรื่องวิชา”
“ขุนนางบางคนไม่มีทายาท แต่มีขุนนางที่ตกต่ำมากมายในเมืองหลวงขายวิชา แต่นายไปเมืองหลวงตอนนี้ไม่สายไปหรือ” จางเว่ยอวี่ถาม
“สายเกินไปจริงๆ” หลี่ว์ซู่พยักหน้า ห่างออกไปหนึ่งหมื่นสองพันลี้จากเมืองหนานตู ถ้าเป็นเมืองหลวงก็ยิ่งไกลกว่านี้
หลี่ว์ซู่พบว่าจางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ ยังมีบางอย่างที่ยังไม่พูดแต่ตอนนี้ทุกคนต่างระวังกันเองอยู่ ค่อยเป็นค่อยไปละกัน
…
ในตอนกลางคืน ความเงียบบนภูเขาราชาหลี่ว์หวัง หลี่ซู่ขอให้ทหารทุกคนยกเว้นทหารลาดตระเวนกลับไปที่ค่ายเพื่อพักผ่อนก่อนเที่ยงคืน ไม่อนุญาตให้ส่งเสียงดัง ตอนแรกทัพอู่เว่ยรู้สึกไม่ชอบ ก่อนหน้านี้ทุกคนเคยทำงานและพักผ่อนอย่างอิสระแต่ก็ค่อยๆ เริ่มคุ้นชิน
จางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ กำลังกระซิบกระซาบกันในค่ายทหารที่แยกจัดไว้ ไม่เพียงแค่นั้นยังมีคนเฝ้าประตูเพื่อป้องกันไม่ให้ถูกแอบฟัง
“เด็กคนนี้เชื่อถือได้ไหม” มีคนถาม
จางเว่ยอวี่ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง “เรื่องเล็กเชื่อไม่ได้แต่เรื่องใหญ่เชื่อถือได้”
“หมายความว่าอย่างไร”
“เด็กคนนี้” จางเว่ยอวี่ย้อนความทรงจำด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย “ถ้ายังไม่อันตรายถึงชีวิตก็ไม่ต้องพึ่งพาเขา เขาไม่กวนประสาทก็บุญแล้วแต่ถ้าเป็นเรื่องสำคัญใหญ่ๆ เขาสามารถเชื่อถือได้”
มีคนบ่นว่า “ฉันสังเกตการณ์เดินและพลังของเขาอย่างถี่ถ้วน เขาอยู่ระดับสี่อย่างไม่ต้องสงสัยแต่ฉันยังไม่เข้าใจว่าพลังระดับสี่ทำไมถึงจัดการกองทัพอู่เว่ยได้ เด็กสาวข้างตัวเขามีพลังระดับสอง คนที่ผูกผ้าพันคอสีชมพูดูร้ายกาจหน่อย คงอาศัยพวกทาสควบคุมสถานการณ์”
จางเว่ยอวี่ส่ายหน้า “พวกนายมองข้ามอะไรไปนะ ฉันแยกกับเขาไม่ถึงครึ่งเดือนเท่านั้น ตอนนั้นเขาเพิ่งมีพลังระดับหกเท่านั้น!”
“ช้าก่อน” มีคนอุทานเสียงเบา “นายหมายความว่าเขาใช้เวลาครึ่งเดือนในการพัฒนาจากระดับหกไปถึงระดับสี่? พวกนายใช้เวลานานเท่าไหร่ในตอนแรก”
“ฉันเป็นปีครึ่ง”
“ฉันหนึ่งปี!”
“ฉันครึ่งปี!”
หลังจากพูดคุยกันเป็นเวลานาน ไม่มีใครใช้เวลาต่ำกว่าครึ่งปีและพวกเขาต่างเป็นอัจฉริยะในเหล่าอัจฉริยะ!
และพวกเขาไม่รู้ว่าหลี่ว์ซู่เสียเวลาไปเกือบครึ่งหนึ่งในการจัดการกับธุรกิจสบู่ของเขา หากเขาใช้เวลาเต็มที่ เขาอาจจะก้าวกระโดดจากอันดับหกเป็นอันดับสี่ได้อย่างสมบูรณ์ภายในเวลาไม่ถึงเดือน
พลังกระบี่เป็นที่พึ่งที่ใหญ่ที่สุดหลี่ว์ซู่ ความผสานไปกับฟ้าดินเป็นรากฐานของการบำเพ็ญของหลี่ว์ซู่
“พวกนายว่าเป็นไปได้ไหมที่เขาจะไปได้สูงถึงขนาดนั้น” จางเว่ยอวี่กระซิบ
“นายหมายถึง…ปรมาจารย์เหรอ!” มีคนพูดด้วยความประหลาดใจ
“ตอนนี้มีปรมาจารย์ในจักรวาลหลี่ว์ประมาณสิบกว่าคนเท่านั้น นายคิดว่าเขาทำได้ไหม มันต้องอาศัยโชค วาสนา ความเพียรและคุณสมบัติ ขาดไม่ได้สักอย่าง!”
จางเว่ยอวี่มองที่เพื่อนเก่าของเขาและพูดว่า “ฉันเข้าใจดีเรื่องความพากเพียร ตอนนั้นฉันคิดว่าเขาเป็นทาสตัวเล็กๆ ธรรมดา แต่แล้วเขาฝึกจนร่างจะพังก็ยังฝึกต่อไปทั้งที่ยังเป็นคนธรรมดา ฉันในปีนั้นยังไม่มีความพากเพียรนี้เลย วาสนา! คุณสมบัติ! ความเพียร! นายคิดว่าเขาขาดพวกนี้ไหมล่ะ”
“เหมือนว่าจะไม่ขาด…”
“พี่จาง พี่บอกมาเถอะว่าจะพูดอะไร” มีคนพูด
“พวกนายรู้ว่าฉันเป็นลูกขุนนางก่อนเข้าทหารมังกรหลวง” จางเว่ยอวี่ พูด
มีคนหัวเราะ “อย่ามาอวดชาติตระกูลซิ กูฟังจนเบื่อแล้ว!”
“ฉันหมายถึงว่า ถึงวิชาที่ฉันบำเพ็ญหลังเข้าเป็นทหารมังกรหลวงได้พระราชทานจากราชาองค์เก่าแต่วิชาของตระกูลฉันก็ยังไม่หายไปและวิชาพลังระดับหนึ่งด้วย” จางเว่ยอวี่พูด
“พี่จาง พี่คิดดีๆ นะ ของสำคัญแบบนั้นพี่จะมอบให้เขาหรือ” มีคนตกใจ
“ฉันรู้ว่าพวกนายมีบางคนเป็นแบบฉัน ในตอนนั้นใครบ้างที่ไม่มีวิชา แค่พวกเราไปดูถูกมันเพราะได้รับวิชาจากราชาองค์เก่า” จางเว่ยอวี่หัวเราะและพูดว่า “ตอนนี้ของพวกนี้ใช้อะไรได้บ้าง ต่อให้พวกเรายังบำเพ็ญได้แต่เราก็ไม่ได้ใช้ ดังนั้น …มันดีกว่าที่จะมอบเป็นน้ำใจ เปลี่ยนเป็นเดิมพันครั้งใหญ่ เดิมพันว่าเขาจะช่วยพวกเราในอนาคต!”
“ถ้าขายให้เขาละก็ อย่าว่าแต่ตอนนี้เขาจ่ายไม่ได้ ต่อให้จ่ายได้ วันหลังเขาก็จะไม่ซาบซึ้งเพราะมันเป็นการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมกัน”
“ก็มอบให้เขาเถอะดูทัพอู่เว่ยที่เละเทะกลายเป็นยังไงพอเขาเข้ามาดูแล”
Related
จางเว่ยอวี่เคยได้ยินข่าวเรื่องสบู่ในเมืองเถียนเกิ่ง ตอนนี้ทุกคนที่เลื่อมใสในศาสตร์แห่งราชาต่างแย่งกันซื้อ ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้บุกเบิกว่าก่อนเปิดบทกวีอ่านต้องล้างมือให้สะอาดก่อน ไม่เช่นนั้นจะถือว่าเป็นการไม่เคารพราชาองค์เก่า
ตอนนี้สบู่เป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมแบบม้ามืด ทำกำไรได้ดีมาก!
ก่อนนี้จางเว่ยอวี่ยังทอดถอนหายใจตัวเอง หากเขามีฝีมือแบบนี้เขาคงไม่ต้องมาทำงานหนัก
หลี่ว์ซู่พูดอย่างถ่อมตัว “ทำๆ ด้ด้วยความบังเอิญ เพื่อเลี้ยงดูครอบครัว…”
[ได้แต้มจากจางเว่ยอวี่ +481!]
จางเว่ยอวี่คาดไม่ถึงจริงๆ ว่าหลี่ว์ซู่จะทำการค้าที่ทำกำไรได้ขนาดนี้ ปัจจุบันมีผู้คนนับไม่ถ้วนในจักรวาลหลี่ว์ที่ชื่นชอบบทกวีของราชาและบทกวี อาจมีหลายแสนคนในสี่เมืองใหญ่และเมืองหลวง
ยิ่งไปกว่านั้นสบู่เป็นของใช้สิ้นเปลือง ถ้ากระจายการค้าออกไปได้ รายได้ที่ได้จากสบู่จะมากขนาดไหน
ที่จริง ธุรกิจสบู่บนโลกก็ทำกำไรได้เช่นกันแต่มีบริษัทนับร้อยแข่งขันกัน ถ้ามีการผูกขาดอุตสาหกรรมสบู่ ยาสระผมและสบู่หอมทั่วโลกได้ก็คงจะน่ากลัวมาก
ตอนนี้ สตรีชนชั้นสูงของจักรวาลหลี่ว์หลายคนใช้สบู่สระผม
ปกติ สตรีเหล่านั้นจะใส่น้ำมันบนหัวเพื่อให้ผมเงางาม สวยงาม
แต่ความสวยก็ส่วนความสวย แต่มันกลิ่นที่สุดจะรับได้ เพราะน้ำมันล้างออกยาก นานวันเข้าจะเหลือน้ำมันตกค้างที่ศีรษะ กลิ่นจึงแรงมาก สบู่จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการกำจัดน้ำมัน
ทันใดนั้น หลี่ว์ซู่ก็พูดว่า “ทำไมพวกคุณไม่ต้องไปเมืองหนานตูหรอก อยู่กับฉันแหละ”
ทั้งสองฝ่ายต่างเงียบลง หลี่ว์ซู่มีเหตุผลที่อยากให้จางเว่ยอวี่อยู่ที่นี่ เขาสงสัยว่าจางเว่ยอวี่เคยบัญชาการทหารมาก่อนและสิ่งที่ หลี่ว์ซู่ขาดมากที่สุดในตอนนี้ก็คือบุคลากรในการฝึกทหาร!
ในตอนแรก จางเว่ยอวี่สามารถวิเคราะห์เรื่องต่างๆ ได้อย่างแม่นยำจากธนูของทหารลาดตระเวนทัพเฮยอวี่ซึ่งเขาต้องการคนแบบนี้ในตอนนี้
“คงจะไม่ได้” จางเว่ยอวี่ส่ายหัวขณะทานอาหาร “พวกเราคิดว่าเดินทางขึ้นเหนือไปต่อจะปลอดภัยกว่า …”
ยังพูดไม่ทันจบ หลี่เฮยทั่นก็ยกอาหารของเขาไป จางเว่ยอวี่จึงได้แต่ถือตะเกียบกับโต๊ะว่างเปล่าตรงหน้า “??? “
[ได้แต้มจากจางเว่ยอวี่ +666!]
หลี่ว์ซู่มองหลี่เฮยทั่นและรู้สึกตกใจเล็กน้อย “เอาอาหารวางกลับคืนไป ใครบอกให้ยกออก! “
หลี่เฮยทั่นชะงักไปครู่หนึ่ง “เมื่อครู่ท่านไม่ได้บอกว่าถ้าพวกเขาไม่อยู่ก็ให้ยกอาหารออก…”
“ไปให้พ้น” หลี่ว์ซู่พูดอย่างใจเย็น
ในที่สุดหลี่ว์ซู่ก็รู้แล้วว่าทำไมหลี่เฮยทั่นถึงไม่ค่อยเป็นที่รักในหมู่บ้านชิงหลง… ขวานผ่าซากไปหน่อย
“อะแฮ่ม” หลี่ว์ซู่มองจางเว่ยอวี่ด้วยรอยยิ้ม “ไม่คิดอีกครั้งหรือ”
จางเว่ยอวี่ปวดหัว เห็นว่าถ้าไม่ตอบตกลงก็เห็นท่าว่าจะอดทานอาหารมื้อนี้ วัยรุ่นใสซื่อคนหนึ่งทำไมถึงกลายมาเป็นแบบนี้ได้
อันที่จริง จางเว่ยอวี่รู้จักหลี่ว์ซู่ไม่นาน ถ้ารู้จักเขานานกว่านี้ก็จะรู้ว่า ใต้เท้าหลี่ว์ถือว่าเป็นคนที่ใจดีมาก…
หลี่ว์ซู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า “ถ้าอยู่ที่นี่เพื่อช่วยฝึกทหาร แต่ละคนจะได้ 2,000 ธนบัตร ว่าไง”
ในกลียุคธนบัตรไม่ด้อยค่าลงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะไม่ว่าหนานโจวหรือซีโจวจะต่อสู้กันอย่างไร ขอแค่เมืองหลวงยังไม่ล้ม ธนบัตรก็ยังเป็นสกุลเงินของจักรวาลหลี่ว์เสมอ
ก่อนหน้านี้หลี่ว์ซู่ใช้ข้าวครึ่งกิโลเพื่อวัดมูลค่าธนบัตรของจักรวาลหลี่ว์และธนบัตรของโลก อย่างไรก็ตามเขาละเลยเรื่องหนึ่งไป จักรวาลหลี่ว์นั้นกำลังการผลิตด้อยกว่าโลกมากดังนั้นข้าวที่นี่จึงมีราคาแพงมาก
และตอนนี้ หลี่ว์ซู่สัญญาว่าจะให้ 2,000 ธนบัตรแก่คนคนหนึ่ง 56 คนจึงเป็นค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่มาก พวกเขาทำเงินได้มากมายจากการขายสบู่มาก่อน แต่การค้าดีแบบนี้ทำกำไรได้ไม่นานก็มาเกินสงครามซะได้
ดังนั้นนี่จึงเป็นความใจกว้างที่หายากซักครั้งหนึ่งของหลี่ว์ซู่ เพียงเพราะเขาสนใจในความสามารถของอีกฝ่าย หลี่ว์ซู่รู้ดีว่าหากอีกฝ่ายเต็มใจ เขาอาจได้รับประโยชน์ที่สูงกว่าจากขุมกำลังอื่น
จางเว่ยอวี่ครุ่นคิดหนัก เขากำลังชั่งน้ำหนักข้อดีและข้อเสียของเรื่องนี้ อย่างไรก็ตามก่อนที่เขาจะคิดเรื่องนี้จบ หลี่ว์ซู่ก็รู้สึกเสียดายเงิน เขาจึงลองพูดไปว่า “ถ้า 1,000 ล่ะ? “
จางเว่ยอวี่เงยหน้าขึ้นและพูดว่า ” 2000 ไม่ต่อรอง แต่นายต้องสัญญากับเราเงื่อนไขหนึ่ง”
“เงื่อนไขอะไร” หลี่ว์ซู่รู้สึกสงสัย
“หากรับเงื่อนไขได้ ถ้าทัพชื่อเยี่ยนและทัพปู้โต้วกลับมามีชัย นายต้องช่วยพวกฉันชิงเมืองเถียนเก่งกลับมา ถ้าทัพเฮยอวี่ยึดครองดินแดนแถบนั้น นายต้องลอบคุ้มครองพวกฉันกลับไป ส่วนจะปกปิดฐานะยังไง พวกเราจัดการเอง” จางเว่ยอวี่พูด
หลี่ว์ซู่ชะงักไปครู่หนึ่ง “เมืองเถียนเกิ่งสำคัญขนาดนั้นเขียวหรือ พวกคุณทำไมต้องอยู่ที่เมอืงนั้นด้วย”
“เรื่องนั้นนายไม่ต้องสนใจ” จางเว่ยอวี่พูดอย่างใจเย็น
“ตกลง! ” หลี่ว์ซู่เห็นด้วย “แต่มีเงื่อนไขว่าทัพอู่เว่ยจะต้องมีพลังแบบที่คุณพูดก่อน เรื่องขว้างไข่ใส่หินเป็นเรื่องที่ฉันไม่คิดจะทำ”
“ไม่ต้องห่วง พวกเราจะไม่ฝืนใจใคร” จางเว่ยอวี่รู้ว่านี่เป็นข้อตกลงที่ไม่ยุติธรรม เพราะหลี่ว์ซู่เป็นตัวแทนของอำนาจ ถ้าหลี่ว์ซู่ เปลี่ยนใจพวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้แต่ถึงหลี่ว์ซู่เชื่อว่าพวกเขาสามารถฝึกทหารอู่เว่ยได้ จางเว่ยอวี่ก็เชื่อว่าหลี่ว์ซู่ไม่ได้เป็นคนตระบัดสัตย์
ในตอนนี้ คนที่อยู่ข้างหลังจางเว่ยอวี่พูดอย่างเย็นชาว่า “ให้พวกเราฝึกพวกเขาก็อย่าเสียใจและอย่าแทรกแซงด้วย”
หลี่ว์ซู่หัวเราะร่าและพูดว่า “วางใจเถอะ ให้ผู้ชำนาญจัดการไปแต่ฉันบอกอะไรไว้ก่อนว่า ถ้าพวกนายไม่ได้เรื่องก็อย่าหวังว่าจะจ่าย”
เรื่องขัดใจแก้ไขไปได้แล้ว ก็เหมือนกับมีคนยื่นหมอนให้เวลาจะนอน หลี่ว์ซู่คาดหวังมากว่าคนกลุ่มนี้จะสอนทหารอู่เว่ยที่เหลืออยู่สามพันกว่าคนออกมาเป็นอย่างไร เขาจะได้ถือโอกาสดูศักยภาพของพวกจางเว่ยอวี่
หากเขาพบว่าพวกจางเว่ยอวี่ไม่ได้เก่งจริง เขาก็จะไม่จ่ายเงินให้เปล่าประโยชน์
หลี่ว์ซู่รู้ว่าพวกจางเว่ยอวี่ยังระแวงเขาอยู่ แต่เขาไม่ได้สนใจเรื่องนี้ คนเราไม่จำเป็นต้องเพื่อนกับทุกคนและหลี่ว์ซู่ก็ไม่คิดจะเป็นเพื่อนกับคนเหล่านี้
ตอนนี้อยู่ในทัพอู่เว่ย หลิวเชียนจือมีพลังระดับสาม หลี่เฮยทั่นและคนอีกสามร้อยกว่าคนอยู่ระดับสี่ ที่เหลืออยู่ระดับห้า ในนั้นมีคนเกินครึ่งยังไม่มีวิชาระดับสูงดังนั้นจึงพัฒนาพลังไม่ได้
หลี่ว์ซู่คิดอยู่ว่าเป็นไปได้ไหมที่จะมอบวิชาแบบเดียวกันให้กับคนกลุ่มนี้เพื่อพัฒนาพลังของพวกเขา
ตอนนั้นเขารู้สึกอิจฉาเมื่อได้ยินจางเว่ยอวี่พูดว่าทหารมังกรหลวงมีแต่พลังระดับหนึ่งหรือสอง สามารถกำจัดได้ง่ายดาย ด้วยการต่อสู้ของกลุ่มขุมพลังนี้ หากมีแค่ห้าพันคนก็สามารถต่อกรกับทหารนับหมื่นนับพัน
ถ้าทัพเฮยอวี่เป็นชาแนล ทหารมังกรหลวงก็เป็นไมบัค อิเซเรโร่ที่มีเพียงคันเดียวในโลก มันต่างกันคนละโลกเลย…
หลี่ว์ซู่ถามจางเว่ยอวี่ด้วยความสงสัย “ตอนนี้ทหารมังกรหลวงยังร้ายกาจเดิมไหม”
จางเว่ยอวี่ชำเลืองมองเขา “ตอนนี้ไม่มีทหารมังกรหลวงแล้ว”
Related
หลี่ว์ซู่ยืนอยู่บนเนินเขา ทั่วทั้งเนินเขาที่เดิมคือผืนหญ้าเขียวขจีได้กลายมาเป็นนาขั้นบันไดและบ้านจำนวนนับไม่ถ้วน การจัดวางที่ตั้งของบ้านมีสุทรียภาพ สวยงามอย่างน่าดึงดูดใจ
ความงามเช่นนี้เป็นความงามที่มีระเบียบ
ที่จริงหลี่เฮยทั่นและจางเว่ยอวี่ยังไม่เคยเห็นค่ายของเครือข่ายฟ้าดินไม่เช่นนั้นจะต้องตกตะลึงกับการจัดวางที่เป็นระเบียบทั้งภาพรวมและของส่วนบุคคล
ในตอนนี้ หลี่เฮยทั่นและหลิวเชียนจือและคนอื่นๆ ยืนอยู่ด้านหลังหลี่ว์ซู่ ขายกับล้อมปกป้องตรงกลางเอาไว้ จางเว่ยอวี่กลับมีสีหน้างุนงง “ฉันชี้แนะนายเพราะอยากให้นายได้จดหมายแนะนำ”
“ฉันเขียนให้ตัวเองได้นะ” หลี่ว์ซู่พูดนิ่งๆ “ถึงขั้นตอนไม่เหมือนกันแต่ผลลัพธ์อย่างเดียวกัน…”
จางเว่ยอวี่อ้าปากเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง ที่จริงชีวิตเขายังไม่เคยเห็นผู้บัญชาการกองทหารไหนเข้าร่วมการคัดเลือกของสำนักกระท่อมกระบี่…
พอเขาคิดถึงเรื่องนี้ก็ปวดตับ “ฉันให้นายเข้าร่วมทัพอู่เว่ย ไม่ได้ให้นายมาจัดระเบียบพวกมัน… นายร้ายกาจขนาดนี้ทำไมไม่ไปวังหลวง! “
หลี่ว์ซู่อึ้งไปชั่วครู่ “มันเป็นแค่เรื่องเวลา ยังไงสำนักกระท่อมกระบี่ก็อยู่ในวังหลวง”
จางเว่ยอวี่หมดคำจะพูด “เมื่อเป็นผู้บัญชาการแล้วยังคิดจะไปสำนักกระท่อมกระบี่อีกหรือ”
“ไป” หลี่ว์ซู่ตอบอย่างจริงจัง “ฉันจะต้องไปชนะกระท่อมกระบี่! “
ไม่รู้ว่าทำไม จางเว่ยอวี่เริ่มคาดหวังถึงเรื่องที่เกิดขึ้นจากที่หลี่ว์ซู่ไปสำนักกระท่อมกระบี่ เขารู้สึกว่าอาจจะมีเรื่องที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้นได้…
ตอนนี้หลี่ว์ซู่ถามด้วยความสงสัย “พวกเราไม่มีทางเอาเปรียบพวกนายหรอก แม้แต่น้ำลาย? “
พูดถึงเรื่องนี้ จางเว่ยอวี่ก็เลือดขึ้นหน้า “นั่นมันน้ำต้มไอ้…! “
[ได้แต้มจากจางเว่ยอวี่ +199!]
หลี่ว์ซู่ “…”
เขาไม่ได้ดื่มน้ำเลย…
ตอนนี้หลี่เฮยทั่นและหลิวเชียนจือเริ่มรู้ตัวว่าผู้บัญชาการของพวกเขารู้จักกับคนกลุ่มนี้ แล้วยังสนิทกันเสียด้วย แต่หลิวเชียนจือกำลังตกอยู่ในความคิด ก่อนที่ทหารเสื้อคนดำจะมา… ผู้บัญชาการของเขาท่านนี้ไม่ได้มีท่าทีอยากเข้าร่วมทัพอู่เซ่นเลย เขาไม่ได้อยากขายสบู่หรือ…
พอมาคิดดูดีๆ หลิวเชียนจือรู้สึกว่าหัวหน้าของเขาเริ่มวางแผนตั้งแต่ขายสบู่ ไม่เช่นนั้นคนขายสบู่คนไหนจะกล้าให้ทหารมาช่วยทำนา แล้วยังสนับสนุนเงินทุนอีก
พอคิดถึงเรื่องนี้แล้วเขาก็รู้สึกเสียวสันหลัง หรือว่าที่ตัวเขาหนีรอดมาได้ก็อยู่ในการคำนวณของหัวหน้าเขา
และในตอนนี้ ภาพลักษณ์ของหลี่ว์ซู่ในสายตาของหลิวเชียนจือก็ดูลึกลับขึ้นในทันที…
หลี่ว์ซู่มองสำรวจพวกจางเว่ยอวี่ หน้าตาของพวกเขาดูซีดเซียวอ่อนล้าอย่างมาก เสื้อผ้าที่ดูเก่าอยู่แล้วมีรูขาดมากขึ้น ผมเผ้ายุ่งเหยิง ดูท่าพวกเขาคงเจอความลำบากไม่น้อยระหว่างการหลบหนี หลี่ว์ซู่นับทุกคนรวมจางเว่ยอวี่ทั้งหมด 56 คน มีเพียงจางเว่ยอวี่ที่รู้จักกับหลี่ว์ซู่ คนอื่นไม่เคยเห็นหลี่ว์ซู่ดังนั้นจึงมีท่าทีระแวดระวัง
หลี่ว์ซู่สังเกตเห็นว่าถึงคนกลุ่มนี้จะดูธรรมดาแต่ในบางทีก็มีราศีที่ไม่เหมือนคนธรรมดา ถึงจะเป็นคนธรรมดา 56 คนแต่เหมือนเจอกลุ่มยอดฝีมือมากกว่า
เขาให้หลี่ว์ซู่เฮยทั่นจัดแจงอาหารให้คนกลุ่มนี้ จางเว่ยอวี่กระซิบกับคนข้างหลังว่า “เขากืคือวัยรุ่นที่มีวิชากระบี่ขั้นสูงที่ฉันเคยเล่าฟัง” คนข้างๆ จางเว่ยอวี่ตกใจและพูดว่า “เขาไม่ได้เป็นผู้บำเพ็ญระดับต่ำ แล้วยังบอกว่าเขาไม่มีหัวนอนปลายเท้า ทำไมถึงมาเป็นผู้บัญชาการอู่เว่ย…”
จางเว่ยอวี่ฟังแล้วก็ตกใจ “คำตอบข้อนี้ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกัน…”
ที่จริงพวกจางเว่ยอวี่ก็เคยเห็นคนใหญ่คนโตมาแล้ว แต่คนที่ทำอะไรไม่คาดฝันอย่างหลี่ว์ซู่เขาก็เพิ่งเคยเจอคนแรก
ระหว่างกินข้าว หลี่ว์ซู่ยิ้มและเดินมาข้างหน้าจางเว่ยอวี่ “พวกคุณคิดจะไปไหนกัน”
จางเว่ยอวี่เงียบไปชั่วครู่แล้วพูดว่า “พวกเราวางแผนเดินทางขึ้นเหนือไปเพื่อหลบภัยจากเมืองหลวงทางใต้”
หลี่ว์ซู่ยิ้ม เขารู้ว่าจางเว่ยอวี่พูดโกหก ที่นี่ห่างจากเมืองหลวงประมาณ หนึ่งหมื่อนสองพันกว่าลี้ ต่อให้เป็นยอดฝีมือระดับหนึ่งยังต้องใช้เวลาบินสามวัน จางเว่ยอวี่ยังทำเหมือนเขาเป็นคนที่ไม่ประสีประสาอยู่อีก แต่หลี่ว์ซู่ก็ไม่ได้ว่าอะไร “ตอนนี้สถานการณ์รบเป็นอย่างไรบ้าง พวกคุณมาจากข้างนอกรู้อะไรบ้างมั้ย”
“เมืองหนานเกิง เมืองอวิ๋นอาน เมืองก่วงเหลียว ต่างเมืองแตกไปแล้ว ทหารชิงไซ่ระดมกำลังฝ่าวงล้อมออกไปแล้วก็ไม่ได้ข่าวคราว ตอนนี้ทัพเฮยอวี่กำลังประชิดด่านหลี่ว์ซู่หยางและกำลังเตรียมบุกเมือง” จางเว่ยอวี่พูดว่า “ด่านหลี่ว์ซู่หยางเป็นจุดคมนาคมสำคัญที่เชื่อมต่อหนานโจว ในตอนที่เมืองหนานเกิงถูกล้อมเอาไว้ ทัพชื่อเยี่ยนเฝ้ารักษาด่านหลี่ว์ซู่หยางไม่คิดจะเข้ามาช่วย ตอนนี้กำลังทหารเพียบพร้อมคงไม่พ่ายแพ้ให้กับทัพเฮยอวี่ง่ายๆ ส่วนเมืองอวิ๋นอาน เมืองก่วงเหลียวเป็นเส้นทางมุ่งสู่ทางเหนือ หากพวกเขาคิดจะมุ่งขึ้นเหนือจะต้องผ่าน ‘ด่านเว่ยเป่ย’ ”
“ถ้าอย่างนั้นคุณคิดว่าทัพเฮยอวี่จะมุ่งไปยังทางตะวันออก หรือ ทางเหนือ” หลี่ว์ซู่ถาม
“ด่านหลี่ว์ซู่หยาง” และ “ด่านเว่ยเป่ย” สองด่านสำคัญนี้เป็นเหมือนประตูที่สกัดเส้นทางของทัพเฮยอวี่ มันคือด่านสำคัญที่สร้างขึ้นเพื่อสกัดกั้นการบุกรุกของซีโจว จึงมีเสบียงอาหารและทหารเพียบพร้อม
“ฉันรู้สึกว่าทัพเฮยอวี่มีแผนใหญ่” จางเว่ยอวี่ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “สามปีมานี้ ทัพเฮยอวี่ซุ่มตระเตรียมมาอย่างยาวนาน ฉันคิดว่าพวกเขาอาจแบ่งกำลังเป็นสองทาง แล้วโจมตีด่านทั้งสองทาง!”
“กล้าขนาดนั้นเชียว?” หลี่ว์ซู่ครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ถ้าเช่นนั้นที่เราอยู่ตอนนี้ก็จะโดนร่างแหไปด้วยไหม”
“ก่อนที่ฝั่งนั้นจะทะลวงด่านมาได้ คงไม่มาหาเรื่องนาย” จางเว่ยอวี่พูดนิ่งๆ “หรืออาจจะตรงบุกเข้าเมืองไปเลย กำลังอันน้อยนิดของพวกนายตอนนี้และหลบอยู่ในป่าแบบนี้ พวกนั้นคงไม่อยากสนใจ นอกจากพวกนายอยากจะไปตายเองหรือไปหาเรื่องพวกนั้น”
“อ๋อ” หลี่ว์ซู่โล่งอก “ขอแต่ที่นี่สงบสุขก็ดีแล้ว”
จางเว่ยอวี่มองหลี่ว์ซู่และถอนหายใจยาวๆ “ตอนนี้นายก็เป็นผู้บัญชาการแล้ว มีกำลังพลอยู่ในมือแล้วไม่คิดจะทำอะไรหน่อยหรือ”
“มีสิ” หลี่ว์ซู่ตอบ “มีแผนอยู่! “
“หืม? ” จางเว่ยอวี่สนใจ “ลองพูดมาซิ? “
“ฉันคำนวณดูดีๆ แล้ว รอให้ผ่านศึกสงครามนี้ไป ฉันจะให้พวกเขามาผลิตสบู่ให้ฉัน ทีนี้ก็จะมีทหารตั้งกองทัพมาผลิตสบู่ให้ เงินก็จะไหลมาเทมา…” หลี่ว์ซู่เริ่มบรรยายอนาคต
[ได้แต้มจากจางเว่ยอวี่ +666!]
จางเว่ยอวี่รู้สึกเหมือนพวกเขาไม่ได้พูดเรื่องเดียวกัน ท่านเป็นถึงผู้บัญชาการคิดแต่เรื่องขายสบู่หรือ มันควรที่จะระดมสรรพกำลังออกไปช่วยรบมากกว่านะ
ตอนนี้ทัพเฮยอวี่เข้าโจมตี เป็นสัญญาณของการเริ่มต้นกลียุค เมื่อสงครามมาถึงหนานโจวจะเปลี่ยนหน้าตาไปใหม่!
เดี๋ยวนะ! จางเว่ยอวี่อึ้งไปครู่หนึ่ง “นายคิดค้นสบู่หรือ”
Related
นี่เป็นการปะทะกันระหว่างความคิดสมัยใหม่และความคิดแบบเก่า หลี่ว์ซู่รู้ถึงผลของการไม่ใส่ใจในความสะอาด เขาเคยถามหลี่เฮยทั่นและคนอื่นๆ ว่าเคยป่วยกันบ้างไหม หลี่เฮยทั่นก็บอกว่าเคยมีคนตายเพราะเจ็บป่วยมาก่อน เขาไม่รู้ว่ามีสาเหตุมาจากอะไร
หลี่ว์ซู่และคนอื่นๆ ไม่ได้เจอสัตว์ป่าที่อันตรายมาก หลี่ว์ซู่เห็นสัตว์ระดับสองอยู่ด้วย และนี่ก็เป็นสิ่งที่เขากลัว เพราะสถานที่นี้มีความเข้มข้นของพลังจิตวิญญาณมากเหลือเกิน ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่าจะส่งผลต่อมนุษย์อย่างเดียวเท่านั้น
หลี่ว์ซู่ตระหนักได้ว่ามีปลิงอยู่ในหนองน้ำน้ำมืดที่สามารถบาดเข้าผิวของผู้บำเพ็ญระดับสามได้ด้วย แล้วปรสิตต่างๆ ล่ะ พวกมันก็ต้องกลายพันธุ์ด้วยเหมือนกัน
เขาจับปลิงมาทำการทดลอง ปลิงจะตายก็ต่อเมื่อจมอยู่ในน้ำเพียงนาทีเดียว ดังนั้นหลี่ว์ซู่ก็เลยบอกให้ทหารทุกคนต้มน้ำอย่างน้อยสองนาทีก่อนจะดื่ม
โชคดีที่แม่น้ำตรงตีนเขานั้นสะอาดดีและเห็นทะลุลงไปที่ก้นแม่น้ำได้ น้ำที่ใสจนเห็นลงไปลึกขนาดนั้นได้ปกติจะไม่มีปรสิตอาศัยอยู่ และน้ำที่มีปลิงอาศัยอยู่ก็ไม่เหมาะกับการนำมาดื่มถึงแม้ว่าจะต้มแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีสิ่งสกปรกเหลืออยู่อีกมาก
สิ่งที่หลี่ว์ซู่อยากทำที่สุดก็คือปลูกฝังความรู้พื้นฐานของเขาให้กับทหารในกองทัพ เขาไม่สนใจว่าพวกเขาจะชอบกันหรือเปล่า แต่เขาก็ตัดสินใจแล้ว
พวกชายเถื่อนพวกนี้ไม่สนใจเรื่องนี้หรอก ตอนเดินในป่าหลี่ว์ซู่เห็นว่ามีหมัดและเหากระโดดออกมาจากหัวพวกเขาด้วย สกปรกมาก
หลี่ว์ซู่ก็เลยบอกให้หลี่เฮยทั่นเอาสบู่ออกมาแจกให้พวกเขาใช้เพื่อแก้ปัญหาเรื่องความสะอาด
เมื่อพวกเขาเดินกันอยู่ริมแม่น้ำ พวกทหารก็พูดขึ้นมาเบาๆ “ท่านผู้ยิ่งใหญ่เกลียดพวกเราหรือเปล่านะ ทำไมเราต้องเปลือยกายให้พวกเขาตรวจหลังอาบน้ำด้วย น่าอายจริง”
“ท่านผู้ยิ่งใหญ่จ้องพวกเราตลอดเลย เขาสั่งให้เราเปลือยและอาบน้ำด้วย หรือว่า…” มีใครคนหนึ่งเริ่มกลัวขึ้นมา
“ฉันไม่ใช่ทาสที่มีรอยประทับบนก้นนะ…” มีคนพูดด้วยความตกใจ
เมื่อหลิวเชียนจือได้ยินอย่างนั้น เขาก็เหลือบมองพวกเขาไม่วางตา “ทำตามที่ท่านผู้ยิ่งใหญ่พูด อย่าทำตัวไร้สาระ!”
เมื่อหลี่ว์ซู่ได้ยินเรื่องนี้ก็ทำให้มุมปากกระตุกขึ้นมา เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมน้ำเสียงของจางเว่ยอวี่เปลี่ยนไปแปลกๆ ! เพราะว่าเขาไม่รู้เรื่องอะไรเลยนี่เอง!
ตอนแรกพวกทหารที่อาบน้ำทุกวันก็รู้สึกอึดอัด แต่เมื่อผ่านไปเจ็ดวันแล้วพวกเขาก็รู้สึก…สบายกันมากขึ้น!
เมื่อก่อนนั้นถึงแม้พวกเขาจะอาบน้ำแล้ว ทั้งหมัดทั้งเหาก็ยังกระโดดอยู่บนตัวพวกเขาอยู่ดีเมื่อกลับมาที่ค่าย พวกเขาชินกับอาการคันไปแล้วล่ะ
หลังจากที่ค่ายเน้นความสะอาดกันมากขึ้น ทุกคนก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่ากันมาก เหมือนกับได้ยกระดับจิตวิญญาณกันเลย
มีคนถามท่านผู้ยิ่งใหญ่ด้วยว่าเกลียดพวกเขาเหรอ แต่เมื่อผ่านไปเจ็ดวัน พวกเขาก็กลายเป็นไม่ชอบตัวเองเมื่อเจ็ดวันก่อนไปแล้ว
หลี่ว์ซู่ถอนใจออกมา เขาเริ่มการจัดระเบียบทหารทัพอู่เว่ยและทุกอย่างจะต้องเริ่มจากศูนย์ คนพวกนี้ไม่ใส่ใจกันมาก ถ้าจะเป็นทหารที่จะประสิทธิภาพในการรบ ก็ต้องเริ่มจากการเปลี่ยนนิสัยและวินัยใหม่
ขั้นแรกก็คือการรักษาความสะอาดก็เห็นผลแล้ว ตอนนี้บ้านก็เริ่มก่อตัวเป็นรูปร่างมากขึ้น และที่เพาะปลูกก็เริ่มหว่านเมล็ดกันแล้ว
ถึงแม้หลี่ว์ซู่จะรู้สึกเหน็ดเหนื่อย แต่เขาก็รู้สึกทำสำเร็จด้วย
พวกเขาไปเอาไม้กันมาจากต้นไม้แถวๆ ในป่า มีไม้ให้ใช้กันอย่างถมเถ และพวกผู้บำเพ็ญก็เป็นคนขนวัสดุด้วย สะดวกมาก
หลี่ว์ซู่มองหลิวเชียนจือและคนอื่นๆ พวกเขาดูจะคุ้นเคยในการสร้างค่ายทหาร หลี่ว์ซู่ดูสงสัยเล็กน้อย “เก่งมากเลยนะ”
“เมื่อก่อนเราไม่ค่อยเป็นทหารที่เป็นที่ชื่นชอบในทัพอู่เว่ยกันหรอกครับ พวกเราก็เลยไปทำงานยากๆ ใช้กำลังเยอะๆ อย่างสร้างค่ายทหาร” หลิวเชียนจือยิ้ม “ผมเคยเป็นรองผู้บัญชาการมาก่อน เคยนำคนสร้างอะไรพวกนี้แหละครับ”
หลี่ว์ซู่พยักหน้ารับรู้ คนพวกนี้เก่งในเรื่องนี้จริงๆ นะ แต่ปัญหาก็คือพวกเขาจะเก่งการต่อสู้มากแค่ไหนน่ะสิ
ที่จริงแล้วความแข็งแกร่งที่แท้จริงของคนกลุ่มนี้ไม่ได้แตกต่างจากกองทัพชิงไซมาก ทหารก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้น คนที่ให้ความสำคัญกับการต่อสู้และมีใจที่มุ่งมั่นกว่าก็จะแข็งแกร่งกว่า แต่คนพวกนี้ขาดเรื่องพวกนี้น่ะสิ
ถ้าทัพเฮยอวี่มากันจริงๆ แล้วทัพอู่เว่ยป้องกันตัวเองได้ก็คงจะดีน่ะสิ
หลี่ว์ซู่รำคาญเล็กน้อย ถ้าจงอวี้ถังอยู่นี่ด้วยเรื่องทุกอย่างก็ง่ายไปแล้ว ถึงจะจับพวกทหารพวกนี้มาฝึกเหมือนทหารใหม่ ก็คงจะเริ่มเห็นผลได้ในอีกประมาณครึ่งปี หลี่ว์ซู่เสียดายที่ไม่เคยฝึกทหารมาก่อน ถึงเขาจะเคยเป็นอาจารย์แต่ก็สอนในเรื่องการต่อสู้ของแต่ละคนเท่านั้น
เขาน่าจะสอนการใช้กระบี่ให้พวกทาสพวกนี้ด้วย แต่เขาไม่ได้รับอนุญาตจากหอเกียรติกระบี่ หลี่ว์ซู่คงไม่เก็บวิถีต่อสู้ไว้กับตัวเองคนเดียวหรอก เขาอยากส่งต่อความรู้ให้คนอื่นด้วยความสบายใจ
ที่นี่มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการฝึกทหารอู่เว่ยด้วย แต่เขาฝึกให้ไม่ได้…
เขาจะเอาเรื่องนี้ไว้ก่อน เขาค่อยคิดถึงมันทีหลังตอนบ้านและพื้นที่เพาะปลูกถูกสร้างให้เสร็จ ตอนนี้หลี่ว์ซู่จะต้องฝึกฝนตัวเองแล้ว
เขาค้นพบโดยบังเอิญว่าพลังจิตวิญญาณในถ้ำนี้สูงกว่าที่หมู่บ้านมังกรฟ้า เขาอาจจะอยู่ในถ้ำหินปูนนี่และฝึกวิชากระบี่ทุกวันเพื่อเพิ่มพลังตัวเอง
ครึ่งเดือนผ่านไป หลี่ว์ซู่ก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก วิชากระบี่ของเขาอยู่ในระดับสี่แล้ว พลังกระบี่ที่เขามีตอนนี้อาจทำให้เขาเลื่อนเป็นระดับสามเลยก็ได้!
ตอนนั้นหลี่เฮยทั่นตะโกนมาจากนอกถ้ำหินปูน “ท่านผู้ยิ่งใหญ่ครับ! เราจับคนน่าสงสัยได้คนหนึ่ง!”
หลี่ว์ซู่ชะงักไป ที่นี่อยู่นอกเส้นทางนี่ แล้วจะไปจับใครมาได้อย่างไร หรือจะเป็นสายลับจากทัพเฮยอวี่กันนะ
เขาเดินออกไปจากถ้ำหินปูน เมื่อทหารทัพอู่เว่ยเห็นท่านผู้ยิ่งใหญ่เดินออกมาจากถ้ำ พวกเขาก็วันทยหัตถ์ทำความเคารพ นี่ไม่ใช่สิ่งที่หลี่ว์ซู่สั่งหรือบังคับเลย เขาให้ความยุติธรรมกับคนอื่นตลอดและไม่เคยกักตุนการปันส่วนอาหารในทุกวัน ถึงจะไม่อิ่มมากแต่ก็ได้กินดี
ในโลกแห่งความวุ่นวายนี้นั้นไม่มีอะไรจะดีไปกว่าผู้นำที่เข้าใจและเห็นใจลูกน้องอีกแล้ว ดูเหมือนทหารพวกนี้จะรู้สึกขอบคุณมากกว่าคนธรรมดาเสียอีก
แต่ตอนนี้พวกเขาทำได้แค่เคารพและออกแรงทำงานเท่านั้น หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าถ้าเขาอยากจะเอาคนพวกนี้เข้าสนามรบจริงๆ พวกเขาก็ต้องวิ่งให้เร็วกว่ากระต่ายให้ได้ก่อน!
หลี่ว์ซู่เดินตามหลี่เฮยทั่นออกไปตามเนินเขา “เกิดอะไรขึ้นล่ะ”
“ดูเหมือนว่าจะมีคนธรรมดากว่า 50 คนขึ้นมาทางเหนือเพื่อหนีมาครับ” หลี่เฮยทั่นคิดอะไรบางอย่างแล้วพูดต่อ “แต่ท่านผู้ยิ่งใหญ่ครับ ท่านน่าจะไปตรวจสอบเอง พวกเขาดูหิวโหยแต่ก็มีท่าทางแปลกๆ กันด้วย พวกเขาไม่อยากจะดื่มน้ำที่พวกเราเอาให้เลย…”
หลี่ว์ซู่ขมวดคิ้ว ถ้าเป็นคนธรรมดาจริง พวกเขาก็ควรหนีไปให้ไกลจากที่นี่ ถ้ามีคนปล่อยข่าวแล้วทัพเฮยอวี่อาจจะรู้ว่าทัพอู่เว่ยอยู่บนภูเขากันก็ได้
แต่เมื่อหลี่ว์ซู่เห็นคนกลุ่มนี้ เขาก็ตะลึงไปเลย หลี่เฮยทั่นพูดขึ้นมา “ถ้ามีอะไรจะพูดกันก็บอกท่านผู้ยิ่งใหญ่ของเราได้เลย!”
เมื่อเขาเห็นหลี่ว์ซู่ชายคนนั้นก็ตะลึงไปเช่นกัน “เราไม่ได้เจอกันหน่อยเดียวนี่กลายเป็นท่านผู้ยิ่งใหญ่ไปแล้วเหรอ… ตำแหน่งบ้าอะไรกันเนี่ย”
หลี่ว์ซู่ดีใจมาก “จางเว่ยอวี่ นายไม่ได้หลบอยู่ในถ้ำมาตลอดหรอกเหรอ ทำไมมาที่นี่ได้ล่ะ”
เมื่อจางเว่ยอวี่คิดเรื่องที่จะพูดเขาก็รู้สึกรำคาญใจขึ้นมา “พวกทัพเฮยอวี่นี่เหลือเกินจริงๆ ดีนะที่เรารู้สึกตัวก่อน ไม่อย่างนั้นก็คงตายไปแล้ว”
ทันใดนั้นจางเว่ยอวี่ก็มองหลี่ว์ซู่และมองดูคนที่ตามหลี่ว์ซู่มาอย่างเคารพ สองเดือนที่แล้วเขายังเป็นแค่ทาสหลบหนีอยู่เลย ทำไมตอนนี้กลายมาเป็นผู้นำของคนตั้งเยอะได้เนี่ย
หลี่ว์ซู่ดูจะเข้าใจที่เขาคิด “ก่อนฉันจะไป นายเองเป็นคนบอกให้ฉันเข้าร่วมกับทัพอู่เว่ยไม่ใช่เหรอ”
“แล้วไงล่ะ”
“แล้วฉันก็รวบรวมกองทัพอู่เว่ยด้วยความแข็งแกร่งของฉันเองน่ะสิ” หลี่ว์ซู่พูด
[ได้รับแต้มจากจางเว่ยอวี่ +666]
Related
“ไม่มีผู้กอบกู้อันยิ่งใหญ่ ไม่จำเป็นจะต้องมียอดมนุษย์หรือราชา พวกเราจะพึ่งพาตัวเองเพื่อสร้างความสุขในทัพอู่เว่ยนี้”
ทั้งกลุ่มกำลังร้องเพลงขณะเดินกันอยู่ในป่า มันส่งเสียงก้องกังวานไปทั่วป่าและไล่พวกนกให้กลัวไปหมด
หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าการเดินนี้ไม่มีชีวิตชีวากันเลย เขาเลยเอาเนื้อเพลงแองเตอร์นาซิอองนาลหรือเพลงสามัคคีนานาชาติมาแปลง จากนั้นก็สอนทหารทัพอู่เว่ยร้อง ที่จริงแล้วคนพวกนี้เคยเป็นทาสกันมาก่อน พวกเขาเป็นทาสของจริงที่มีตราทาสประทับอยู่บนร่างกาย และพวกเขาก็เข้าถึงเพลงนี้ได้ง่ายๆ
ตอนแรกทุกคนก็ไม่ชอบการแปลงเนื้อเพลงนี้มาก เพลงที่พวกเขาได้ยินนั้นแตกต่างจากแบบนี้ไปมาก แต่พวกเขาก็ทำใจยอมรับเพลงนี้ในที่สุด
ยิ่งพวกเขาร้องออกไปก็ยิ่งรู้สึกว่ามันเพราะดี…
มีบางครั้งที่ผู้คนก็ต้องการอะไรใหม่ๆ เหมือนกัน หลี่ว์ซู่มีสิทธิ์ที่จะบังคับให้พวกเขาชินกับเพลงนี้ไปซะ…
ตอนแรกหลี่ว์ซู่ก็ไม่ยอมรับเรื่องนี้หรอก ทำไมราชาแห่งทวยเทพองค์เก่าถึงได้ชอบบทกวีที่เขาลอกมานักนะ แต่พอเขาแปลงเพลงนิดหน่อยกลับไม่มีใครชอบ นี่กำลังพูดอยู่กับใครกันเนี่ย!
สุดท้ายพอทหารทัพอู่เว่ยร้องเพลงกันมากขึ้นพวกเขาก็ชอบเพลงนี้กันไปเอง พวกเขาอดร้องตามไม่ได้ ยิ่งร้องกันมากก็ยิ่งฟังดูยิ่งใหญ่มาก และการเดินป่าครั้งนี้ก็เริ่มจะผ่อนคลายมากขึ้น…
ขนาดตอนที่หลี่ว์ซู่บอกให้พวกเขาหยุดร้อง ก็มีคนฮัมเพลงออกมาอย่างช่วยไม่ได้อยู่ดี เหมือนกับว่าพวกเขากำลังเริ่มชีวิตใหม่กันแล้ว
ที่ตั้งค่ายที่หลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋กำลังมุ่งหน้าไปนั้นอยู่ห่างจากหมู่บ้านมังกรฟ้าไป 50 กิโลเมตร พวกเขาต้องเดินเท้ากันสองวันเต็มๆ กว่าจะไปถึง หลี่ว์ซู่ไม่ได้เดินอย่างเต็มกำลังในทั้งวันที่ผ่านมานี่เลย
ถ้าพวกเขาเจอสัตว์กันตามทาง พวกเขาก็จะไปล่ามันเอาเนื้อ อาหารกำลังหมดลงเรื่อยๆ และอาหารชิ้นเล็กๆ ก็มีความสำคัญทั้งหมด ถ้าเป็นไปได้หลี่ว์ซู่ก็อยากให้ทุกคนจับสัตว์เป็นๆ มาเลี้ยงในอนาคต
เขาเตรียมตัวที่จะสู้ในสงครามอันยาวนานแล้ว สงครามอาจจะยืดเยื้อกันเป็นปีๆ ก็ได้
เมื่อพวกเขามาถึงค่ายกันแล้ว หลี่ว์ซู่ก็ขึ้นไปยืนบนเนินสูง หลี่ว์เสี่ยวอวี๋บอกไว้ว่าเนินนั้นไม่ค่อยสูงชันเท่าไหร่ และมีแม่น้ำไหลผ่านที่ตีนเขาด้วย ทางเข้าถ้ำหินปูนอยู่ครึ่งทางของภูเขาและถูกปกคลุมไปด้วยพืชพันธุ์ ถ้าหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ไม่ได้ไปหาแร่มา พวกเขาก็คงไม่ได้มาเจอสถานที่นี้แน่
มีร่องรอยการอยู่อาศัยของมนุษย์เพียงเล็กน้อย แต่ไม่มีการตั้งชื่อสถานที่นี้อย่างชัดเจน หลี่ว์ซู่หันไปหาหลี่เฮยทั่นแล้วถาม “เคยมาที่นี่มาก่อนหรือเปล่า”
หลี่เฮยทั่นตอบอย่างตรงไปตรงมา “มีแต่ท่านผู้ยิ่งใหญ่เท่านั้นที่จะมาสถานที่ห่างไกลเช่นนี้ จะไปสนใจทำไมว่าที่นี่เรียกว่าอะไร”
“งั้นตั้งแต่นี้เป็นต้นไปที่นี่จะมีชื่อว่าภูเขาราชาหลี่ว์!” หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ประกาศ เธอดูภูมิใจในตัวเองมาก
“ไม่นะ เดี๋ยวก่อนสิ!” หลี่ว์ซู่ดึงตัวหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ออกมา
แต่ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไร หลี่เฮยทั่นก็ตะโกนบอกผู้คนด้านหลังไปแล้ว “ได้ยินหรือเปล่า ตั้งแต่วันนี้ไปที่นี่จะเรียกว่าภูเขาราชาหลี่ว์นะ!”
หลี่ว์ซู่พูดไม่ออกเลย
[ได้รับแต้มจากหลี่ว์ซู่ +199]
หลี่ว์ซู่บอกให้หลี่เฮยทั่นไปจุดไฟมาสักสองสามคบเพลิง จากนั้นพวกเขาก็เข้าไปในถ้ำนั่น มันทั้งมืด ชื้น และเย็น พวกเขาถึงกับได้ยินเสียงน้ำหยดลงบนหิน หลี่ว์ซู่ชูคบเพลิงขึ้น ทุกคนเห็นนหินย้อยที่มีรูปร่างเหมือนกระบี่อยู่บนเพดานถ้ำด้วย
หลิวเชียนจือถามขึ้นมาอย่างระมัดระวัง “ท่านผู้ยิ่งใหญ่ครับ ที่นี่อาจมีปิศาจอาศัยอยู่ก็ได้ ดูน่ากลัวด้วย เราถอยออกไปไม่ดีกว่าเหรอครับ”
หลี่ว์ซู่ชะงักไป เขาจึงตระหนักได้ว่าหลิวเชียนจือและคนอื่นๆ อาจจะไม่เคยเห็นถ้ำหินปูนกันมาก่อน พอพวกเขาเห็นที่แปลกๆ แล้วจึงคิดว่าเป็นรังปิศาจอย่างนี้…
“ความเชื่อเรื่องโชคลางและระบบศักดินาฆ่าคนตายนะ” หลี่ว์ซู่ถอนใจ “ถ้ำนี่เกิดจากการกัดกร่อนของหินปูนหลังจากสัมผัสกับน้ำใต้ดินเป็นเวลานาน… เอาเถอะ ถึงฉันจะอธิบายไปก็คงไม่เข้าใจกันหรอก ที่นี่เป็นสิ่งที่ก่อตัวขึ้นตามธรรมชาติ ไม่มีปิศาจอาศัยอยู่หรอก”
สีหน้าของหลี่เฮยทั่นและหลิวเชียนจือแสดงออกมาหมดแล้ว “ถึงพวกเราจะไม่เข้าใจแต่ก็ดูน่าทึ่งดีนะครับ…”
แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็ยังไม่เชื่ออยู่ดี ที่นี่จะไม่มีปิศาจอาศัยอยู่จริงๆ งั้นเหรอ แต่ถ้าท่านผู้ยิ่งใหญ่บอกด้วยความมั่นใจขนาดนั้นก็คงจะไม่มีปิศาจอยู่อย่างที่ท่านว่านั่นแหละ
หลี่เฮยทั่นเชื่อทุกสิ่งที่หลี่ว์ซู่บอกเขาอยู่แล้ว หลิวเชียนจือยังต้องใช้เวลาปรับตัวอีกสักหน่อย
หลี่ว์ซู่พูดกับหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ “ถ้ำหินปูนก็เหมือนบ้านที่ธรรมชาติสร้างขึ้นนั่นแหละ แต่คนอยู่กันไม่ได้เพราะชื้นเกินไป แถวนี้ยังมีถ้ำหินปูนอยู่อีกไหม”
มนุษย์ไม่เพียงแต่ไม่สามารถอาศัยอยู่ในถ้ำได้เท่านั้น แต่พวกเขาจะเก็บของไว้ไม่ได้ และอาหารจะเสียไปภายในครึ่งเดือนอีกด้วย
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋จำอะไรได้บางอย่าง “มีถ้ำหินปูนอยู่หลายที่เลย มันยาวออกไปเป็น 10 กิโลเมตร แต่ถ้ำมากกว่า 20 แห่งนี้ไม่ได้เชื่อมต่อกันนะ”
“’ งั้นเราก็ต่อมันเองเลยสิ” หลี่ว์ซู่พูด “แล้วจากนั้นเราก็สร้างทางเดินลับในที่ที่เหมาะสม อาจอยู่ในลำห้วยบนภูเขาป่าหรือถ้ำก็ได้ ยิ่งหายากยิ่งดียกเว้นแต่ว่าจะเจอโดยบังเอิญ หลังจากที่เราเชื่อมทางแล้วเราก็เดินกลับไปตามทางนั้น พวกทัพเฮยอวี่อาจจะไม่เข้ามาในภูเขา แต่ถ้าพวกเขาเข้ามาเราก็ต้องเตรียมตัวไว้ให้ดี ถ้าเราสู้มันตรงๆ ไม่ได้เราก็หนีไปซะ”
“เข้าใจแล้ว” หลี่ว์เสี่ยวอวี๋พยักหน้า “ถ้าทำเสร็จแล้วเดี๋ยวจะเขียนแผนที่ให้ จะพยายามปิดทางเข้าไว้อย่างดีที่สุดแล้วกัน”
เหตุผลที่หลู่ซู่เลือกสถานที่แห่งนี้คือสร้างทางหนีให้กับทัพอู่เว่ยไว้ ถ้าทัพเฮยอวี่เข้ามาอย่างน้อยพวกเขาก็จะได้งงกับถ้ำหินปูนนี้กันหน่อย ถ้ำนี้เป็นสถานที่กำบังโดยธรรมชาติและยังใช้หนีได้อีกด้วย
ถึงทหารทัพเฮยอวี่เป็นแสนนายกระจายตัวอยู่ทั่วภูเขา แต่พวกเขาก็คงหาทัพอู่เว่ยไม่เจอแน่
ถ้าพวกเขามีทั้งอาหาร กำลังคน และเส้นทางหลบหนีแล้ว เท่านี้หลี่ว์ซู่ก็สบายใจได้มากขึ้น
หลู่ว์ซู่เดินออกจากถ้ำหินปูนไปและมองไปที่ใบหน้าของทหารของเขา เขาถอนใจออกมา เขาจะสร้างเครือข่ายฟ้าดินในโลกใหม่นี้ได้ไหมนะ เขาไม่รู้ว่าจะหลอกคนพวกนี้ได้ง่ายๆ หรือเปล่า
เขาบอกหลิวเชียนจือว่า “แบ่งออกกันเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกไปสร้างบ้าน เดี๋ยวจะเอาแบบให้ดู สร้างบ้านไม้ตามแบบกันเลยนะ อีกกลุ่มหนึ่งไปถางหญ้าเปิดทาง เปลี่ยนเนินเขาให้กลายเป็นไร่ขั้นบันได ฉันขอให้ทุกคนรักษาความสะอาดกันอย่างเคร่งครัด อย่าถ่ายหนักถ่ายเบากันตามใจเด็ดขาด ห้ามใครดื่มน้ำที่ยังไม่ได้ต้มด้วย ทุกคนจะต้องอาบน้ำกันทุกวัน ไปอาบน้ำกันที่แม่น้ำซะ อย่าลืมซักผ้ากันด้วย ใครที่เอาเหาหรือหมัดมาปล่อยในค่ายนี้จะต้องถูกลงโทษ!”
หลิวเชียนจือรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย เมื่อก่อนในค่ายทหารไม่เคยมีใครสนใจเรื่องนี้กันเลย…
แต่หลี่เฮยทั่นและคนอื่นๆ ชินกันแล้ว เมื่อก่อนตอนที่หลี่ว์ซู่เพิ่งมาเป็นท่านผู้ยิ่งใหญ่แห่งหมู่บ้านมังกรฟ้านั้น เขาก็บังคับให้พวกเขาอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้ากันด้วย ถ้าไม่อย่างนั้นจะถูกห้ามเข้าใกล้ท่านมากกว่าสิบเมตร…
เมื่อทหารทัพอู่เว่ยไม่มีอะไรทำ พวกเขาก็เลยกระโดดลงน้ำไปอาบน้ำ
น้ำที่ไหลมาจากภูเขานั้นใสสะอาดมาก น้ำสะอาดไหลผ่านอยู่ตลอด และน้ำสกปรกก็ไหลออกไปตามกระแสน้ำ
หลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ออกไปสำรวจถ้ำและสร้างทางในถ้ำ เขาพาหลี่เฮยทั่นตามไปด้วย ทุกคนที่อาบน้ำเสร็จแล้วจะต้องยืนรอให้หลี่เฮยทั่นมาตรวจว่าไม่มีเห็บหมัดอยู่บนร่าง เมื่อตรวจสอบเสร็จแล้วพวกเขาก็ไปใส่ชุดสะอาดต่อได้
Related
ทหารทัพชิงไซกำลังบุกทะลวงอย่างเต็มที่ และทัพเฮยอวี่ก็ไม่คาดคิดว่าจะเห็นทัพชิงไซหลบหนีกลางคันในพื้นที่ราบอันกว้างขวางนี้ขณะที่พวกทัพเฮยอวี่กำลังพุ่งเข้าหาพวกเขาอยู่ ตามแผนเดิมนั้นพวกเขาควรจะซุ่มโจมตีอยู่ระหว่างช่องเขาหลีหยาง แม่ทัพใหญ่ของทัพเฮยอวี่กำลังเตรียมที่จะป้องกันไม่ให้ทัพชิงไซเข้าร่วมกับทัพฉือเหยียนที่ช่องเขาหลีหยางได้
น่าเสียดายที่ทัพชิงไซไม่ไว้ใจทัพฉือเหยียน ดังนั้นพวกเขาเลยไม่ได้มุ่งหน้าไปทางตะวันตกที่มีช่องเขาหลีหยางอยู่
พวกเขาเจอพื้นที่ราบซึ่งหมายความว่าพวกเขาจะต้องต่อสู่กันจนตัวตายเท่านั้น หลิวอี้เจาไม่ใช่คนขี้ขลาดและใจเสาะ เมื่อเขาเห็นว่าทางถูกปิดกั้น เขาก็ไม่ได้กลัวแม้แต่น้อย “ตามฉันมาแล้วพุ่งเข้าใส่พวกมัน ถ้ามีใครตายฉันจะดูแลครอบครัวที่เหลือให้เอง ถ้ามีชีวิตกลับไปเราจะมาดื่มด้วยกัน!”
หลีอี้เจาอยู่ที่เมืองหนานเกิงมามากกว่าสิบปีแล้ว เขาไม่ได้คาดหวังว่าการโจมตีของทัพเฮยอวี่จะทำให้ความพยายามทั้งหมดของเขาสูญเปล่า มีคนกล่าวว่าคนที่เห็นอกเห็นใจคนมากเกินไปนั้นจะนำทัพไม่ได้ หลิวอี้เจารู้เรื่องนี้ดีเหมือนกัน แต่อย่างไรก็ตามการตายของผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของเขาก็ทำให้ใจเขาเจ็บปวดอยู่ดี
พวกเขามาถึงที่นี่แล้วและจะหันหลังกลับไปไม่ได้ หลิวอี้เจายังจะไม่ตายตอนนี้ เขามีภารกิจที่ต้องทำให้สำเร็จ!
หลิวอี้เจาทำได้เพียงขอบคุณที่เขาใช้เวลาและความพยายามในการฝึกฝนทัพชิงไซนี้ คนพวกนี้ไม่ได้เป็นเพียงยอดฝีมือเท่านั้น แต่พวกเขายังภักดีต่อเขาด้วย!
ทัพชิงไซพุ่งเข้าไปข้างหน้าในทันที แม่ทัพระดับหนึ่งจากทัพเฮยอวี่โฉบขึ้นไปบนฟ้า เขาขว้างหอกยาวมาทางหลิวอี้เจา หอกนั้นแผดเสียงแหลมผ่านอากาศเหมือนกับว่ามันตกลงมาจากฟ้า
ตราบใดที่เขาพุ่งเข้าใส่ขบวนรถและฆ่าหลิวอี้เจาได้ พวกเขาก็จะเอาชนะทัพชิงไซโดยไม่ต้องเปลืองแรงสู้ได้แน่นอน!
แต่ทันใดนั้นเขาก็เห็นหลิวอี้เจาบินขึ้นไปในท้องฟ้าเช่นกัน หอกพู่สีแดงในมือของเขาสั่นสะท้าน มีนกกระเรียนสีขาวบินออกมาจากหอกนั้นด้วย!
เมื่อหลิวอี้เจาขึ้นมาดูแลเมืองหนานเกิง ตอนนั้นเขาอยู่แค่ระดับสองเท่านั้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเป็นระดับสองตลอดไปในสิบปีที่ผ่านมา
เขาซ่อนความไม่เพียงพอจากสายตาของคนอื่น แต่เขาก็ไม่ได้คาดว่าเขาจะต้องเข้าไปมีส่วนร่วมในแผนของคนอื่น แม้ว่าเขาจะอยู่ในระดับต่ำก็ตาม ตอนนี้มีชีวิตของเขาเป็นเดิมพัน หลิวอี้เจาพุ่งไปข้างหน้าอย่างเต็มกำลัง!
“ยอดมนุษย์จำแลงอยู่ไหน!” หลิวอี้เจาคำราม
ลูกน้องคนสนิทของเขาคนหนึ่งหยิบเอาลูกกลมที่มีดอกบัวสลักอยู่ออกมา เขาบีบมันให้แตกออกมา ลูกดอกบัวลูกนั้นเริ่มเปล่งแสง และกลีบดอกเรืองแสงและโปร่งใสจำนวนมากก็บินออกไปหาแม่ทัพเฮยอวี่!
แม่ทัพที่อยู่ในชุดเกราะสีดำเห็นท่าไม่ดี เขารีบหนีไปทันทีแต่ก็สายเกินไปเสียแล้ว!
การจะสู้อย่างรวดเร็วนั้นจะต้องตัดสินใจให้รวดเร็วเช่นกัน หลิวอี้เจาไม่เพียงแต่แสดงความแข็งแกร่งที่แท้จริงออกมาเท่านั้น แต่เขาก็เปิดเผยของวิเศษออกมาด้วย ในโลกนี้จะมีแต่ยอดฝีมือระดับหนึ่งที่บินได้เหนือมนุษย์เท่านั้น และมีแต่ยอดมนุษย์เท่านั้นที่บินได้
ยอดมนุษย์จำแลง! ผู้ก่อตั้งกระท่อมกระบี่เคยมอบของวิเศษนี้ให้หลิวอี้เจา มันใช้ได้แค่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้นหลิวอี้เจาจึงเก็บมันไว้อย่างดี แต่มีคนจำนวนไม่มากที่รู้ว่าเขามียอดมนุษย์จำแลงอยู่ เขากลัวว่าเขาคงจะไม่ได้ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองหนานเกิงอีก ผู้ก่อตั้งกระท่อมกระบี่เป็นคนแกะสลักกลีบดอกไม้พวกนี้เอง และอาวุธนี้ก็มีความสามารถในการฆ่าปรมาจารย์ระดับหนึ่ง
กลีบดอกไม้ปลิวออกไปอย่างรวดเร็ว หลิวอี้เจาเกาะติดกับแม่ทัพอย่างเหนียวแน่น เขาไม่ยอมปล่อยให้แม่ทัพหนีไปแน่ๆ ทั้งสองสู้กันเหมือนเป็นนกเหยี่ยวบนท้องฟ้า ผู้คนบนพื้นไม่สามารถเข้าไปแทรกได้เลย
ตอนนี้ทัพชิงไซและทัพเฮยอวี่เข้าปะทะกันอยู่ ระลอกทัพสีแดงและระลอกทัพสีดำก็เข้าโจมตีกัน ดูเหมือนกับว่าเป็นลาวาภูเขาไฟที่เพิ่งปะทุไหลมาสัมผัสกับแม่น้ำ!
มีเสียงคำรามและเสียงโลหะกระทบกัน ฟังเหมือนว่ากับว่ามีบางอย่างกำลังลุกไหม้!
ทันใดนั้นหลิวอี้เจาก็ยกขาขึ้นมาเตะหอกยาวที่แม่ทัพเอาไว้ปกป้องตัวเอง พวกเขาบินอยู่สูงกว่า 100 ฟุตเหนือพื้นดิน! แล้วกลีบดอกไม้ก็ตัดผ่านเข้าไปในเกราะที่แม่ทัพใส่อยู่จนกรีดเข้าไปในร่างของเขา!
หลิวอี้เจาถอนหายใจอยู่ข้างใน เขาใช้อาวุธของเขาไปแล้ว เขามองดูกลีบดอกไม้และลูกกลมลอยหายไปพร้อมกับการล่มสลายของแม่ทัพ
ทัพทั้งสองสู้กันในระยะประชิด ไม่ว่าพวกเขาจะมีแม่ทัพหรือไม่ก็ตาม ทั้งสองก็มีความเชื่อที่แตกต่างกันมาก หลิวอี้เจาพาทัพชิงไซเข้าปะทะไปข้างหน้า ในขณะที่กองทัพเฮยอวี่เริ่มจะถอยไปแล้ว!
พวกทัพเฮยอวี่นั้นประกอบไปด้วยทหารยอดฝีมือทั้งนั้น ถึงแม้ว่าแม่ทัพของพวกเขาจะตายไป แต่พวกเขาก็จะยังสู้กันจนตาย พวกเขาก้าวเข้าขึ้นมาเติมช่องโหว่แทนที่สหายที่ตายไป!
ไม่มีใครในทัพเฮยอวี่หนีไปเลยสักคน มีแต่ศพเท่านั้นที่เหลืออยู่ในสนามรบ!
ทัพชิงไซที่มีทหารแค่ 3000 คนตอนพวกเขาหนีออกมา เหลืออยู่เพียงแค่ 1000 คนแล้ว
หลิวอี้เจาหันมาดูเมืองหนานเกิงที่ไม่มีเหลืออยู่แล้ว “ทัพอู่เว่ยน่าจะไม่เหลือกันแล้ว เราจะเปลี่ยนเส้นทางหนี! ทิ้งม้าไว้ที่นี่แหละ เราจะเดินเท้าเข้าภูเขากัน!”
ทัพเฮยอวี่มาจากทางเมืองอวิ๋นอันเช่นกัน ดังนั้นหลิวอี้เจาจึงคิดว่าทัพอู่เว่ยนั้นแตกไปแล้ว ทัพเฮยอวี่มาจากด้านหลัง พวกเขาจะต้องฆ่าทัพอู่เว่ยกันมาก่อนแล้วเพื่อป้องกันไม่ให้ถูกปิดทางหนี ถ้าไม่อย่างนั้นเมื่อทัพเฮยอวี่อยากจะหนีขึ้นมาพวกเขาก็ต้องไปเจอกับทัพเฮยอวี่สิ แล้วก็คงจะทำให้พวกเขามีปัญหากันมาก
หลิวอี้เจาไม่มีทางบอกได้เลยว่าจะมีทัพเฮยอวี่อยู่ที่เมืองอวิ๋นอันหรือเปล่า เพราะฉะนั้นการทิ้งม้าไว้ที่นี่และไปตามเส้นทางภูเขาก็จะเป็นวิธีที่ดีที่สุด
หลิวอี้เจารู้สึกว่าพวกเขาถูกศัตรูล้อมอยู่ตลอด พวกเขาโดดเดี่ยวและไร้ซึ่งการช่วยเหลือ และพวกเขาก็รู้สึกอ้างว้างขึ้นมา
ลูกน้องของเขาพูดขึ้นมาว่า “ท่านครับตอนนี้เรากลายเป็นวิญญาณที่โดดเดี่ยวกันแล้ว”
หลิวอี้เจาหัวเราะ “แต่เราก็เป็นวิญญาณที่ยังมีเขี้ยวเล็บนะ! ไปต่อกันเถอะ!”
ด้านหลังของพวกเขามีทัพเฮยอวี่กระจายตัวกันออกไปเหมือนกองทัพตั๊กแตนละขยายวงกว้างในทางใต้ ตำแหน่งเจ้าเมืองมีตั้งสิบตำแหน่ง น่าจะมีเหลือไม่พอสำหรับทุกคนหรอก!
…
ผู้นำคนใหม่ของทัพอู่เว่ยพาคนแก่และคนพิการไปที่ส่วนลึกของเทือกเขาทางตอนเหนือ พวกเขาไม่ได้รีบร้อนอะไร พวกเขากลัวแค่ว่าเมล็ดข้าวที่เอามาด้วยจะชื้นไปเสียหมด เพราะฉะนั้นหลี่ว์ซู่จึงอนุญาตให้พวกเขาไปอย่างช้าๆ กันได้
หลิวเชียนจือพูดขึ้นมาอย่างจริงใจ “เราดีใจมากเลยนะครับที่มีผู้นำดีๆ อย่างท่าน”
หลี่ว์ซู่เงียบไปสองวินาที “ฉันก็ดีใจกับนายเหมือนกัน”
หลิวเชียนจือไม่เข้าใจ
[ได้แต้มจากหลิวเชียนจือ +99]
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ที่อยู่ข้างพวกเขาแอบหัวเราะขึ้นมา หลี่ว์ซู่ก็ยังเป็นหลี่ว์ซู่คนเดิม เขาชอบเงียบไปเล็กน้อยแต่ไม่เคยเงียบได้จริงๆ หรอก
“ท่านผู้ยิ่งใหญ่ครับ อย่ากังวลไปเลย ถึงแม้ว่าทหารที่ไม่เป็นระเบียบของเราจะเอาไปใช้งานไม่ได้มาก แต่พวกเขาก็ไม่ใช่คนตีสองหน้านะครับ ไม่อย่างนั้นพวกเราคงจะอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเย่เสี่ยวหมิงไปตั้งนานแล้ว” หลิวเชียนจือกังวลเป็นที่สุดว่าหลี่ว์ซู่จะไม่เชื่อใจพวกเขา และนี่ก็เป็นเรื่องสำคัญมาก
หลังจากผ่านไปสองวัน หลิวเชียนจือก็เข้าใจว่าหลี่ว์ซู่นั้นเป็นคนที่พูดแรงในบางครั้ง แต่เขาก็ไม่ได้เป็นผู้นำที่เกรี้ยวกราด เขาเห็นด้วยว่าหลี่เฮยทั่นยังกล้าพูดเล่นกับหลี่ว์ซู่ด้วย
ว่ากันว่าสิ่งเล็กๆ น้อยๆ สามารถแสดงให้เห็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้ ถ้าหลี่ว์ซู่ไม่ใช่ผู้นำนิสัยดี ก็คงไม่มีใครกล้าทำกับเขาแบบนั้นหรอก
เรื่องอาหารก็เหมือนกัน หลี่ว์ซู่ไม่ได้เก็บกักตุนอะไรไว้เพื่อตัวเองเลย อาหารที่ได้มาก็เอามาเก็บไว้เพื่อเป็นอาหารของทุกคน ถ้าเป็นเย่เสี่ยวหมิงล่ะก็พวกเขาได้ตายไปก่อนที่เขาจะอนุญาตให้ทหารดื่มน้ำสะอาดหรือได้กินข้าวดีๆ แล้ว
หลิวเชียนจือรู้สึกว่าตามผู้นำถูกคนแล้ว เพราะทุกคนต่างอิ่มท้องกันหมด
Related
ทัพชิงไซที่เมืองหนานเกิงกำลังเจอศึกหนัก ทัพเฮยอวี่เข้ากวาดล้างพวกเขาอย่างกับพายุฝูงตั๊กแตน หลิวอี้เจาไม่คาดว่าจะได้มาเจอศัตรูระดับหนึ่งในครั้งแรกแบบนี้ ผู้ชายคนนั้นเกือบฆ่าเขาตายในการโจมตีระลอกแรก
อย่างไรก็ตามทัพชิงไซนั้นเป็นกองทัพผู้บำเพ็ญ พวกเขาพัฒนาอาวุธเวทมนตร์มาอย่างยาวนานเพื่อป้องกันการโมตีจากระดับหนึ่งที่สามารถบินไปในอากาศได้ โดยปกติแล้วอาวุธพวกนี้จะถูกเก็บอย่างดีในคลังแสง แต่ต้องขอบคุณลางสังหรณ์ของหลิวอี้เจาที่ทำให้พวกเขาเอาออกมาใช้ได้ทัน
ทักเฮยอวี่กำลังพุ่งมาอย่างดุเดือด หลิวอี้เจารู้ดีว่าการรุกของทักเฮยอวี่นั้นจะหนักหน่วงกว่าการรุกครั้งที่แล้ว ดังนั้นเขาจึงสั่งการให้คนที่เขาไว้ใจที่สุดไปเอาอาวุธที่เอาไว้ต่อสู้กับพวกระดับหนึ่งออกมา
ตอนนี้เมืองหนานเกิงก็ถูกล้อมไว้แล้วและกำลังเสริมของพวกเขาก็ยังไม่มาถึง หลิวอี้เจาเตรียมพร้อมที่จะยอมแพ้อยู่แล้ว เขาไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนอกจากตายไปพร้อมกับเมืองนี้
ทัพฉือเหยียนซึ่งควรจะเป็นกำลังเสริมของเมืองหนานเกิงกำลังปกป้องช่องเขาหลีหยางซึ่งอยู่ห่างออกไปทางตะวันออกมากกว่า 500 กิโลเมตร พวกเขาคงจะมาถึงกันในสองวันแล้วถ้าพวกเขาอยากจะช่วยจริงๆ แต่หลิวอี้เจาก็รู้ว่าพวกนั้นคงไม่อยากมาเสี่ยง พวกเขาอยากจะเห็นว่าทัพเฮยอวี่ต้องการจะทำอะไรก็เลยเสียสละทัพชิงไซไป
ส่วนทักอู่เว่ยทางตอนเหนือน่ะเหรอ…หลิวอี้เจาไม่อยากจะไปคาดหวังอะไรมากจากพวกเขาเลย…
ลูกน้องคนสนิทของหลิวอี้เจาเขามากระซิบกับเขา “ท่านแม่ทัพครับ ทัพเฮยอวี่กำลังทำการใหญ่อยู่ครับ ข่าวบอกมาว่าตวนมู่หวงฉี่จอมทัพสวรรค์บูรพานั้นได้ทำสัญญากับทัพเฮยอวี่ว่าจะมอบรางวัลให้กับนายทหารและคนของพวกเขา จากนั้นก็จะแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองทั้งหมดสิบเมืองถ้าพวกเขาไปตีเอาเมืองในรัฐทางใต้มาได้สิบเมือง”
หลิวอี้เจามองหน้าเขากลับอย่างใจเย็น “ฉันรู้อยู่แล้วล่ะ พวกทัพฉือเหยียนคิดว่าตัวเองจะปกป้องช่องเขาหลีหยางโดยไม่มีเราได้อย่างนั้นเหรอ น่าขำสิ้นดี พวกมันต้องลืมไปแล้วแน่ว่าเรามีชะตาแบบเดียวกัน”
“งั้นเราจะทำอย่างไรกันดีครับท่านแม่ทัพ” ชายคนนั้นถามเสียงเบา
“ทิ้งเมืองหนานเกิงแล้วยกให้กับทัพเฮยอวี่ไปเสีย จากนั้นค่อยมุ่งไปทางเหนือแล้วรวมเข้ากับทัพอู่เว่ย ฉันอยากจะเห็นว่าทัพฉือเหยียนจะปิดกั้นทัพเฮยอวี่ทั้งหมดออกจากช่องเขาหลีหยางได้เองหรือเปล่า!” หลิวอี้เจากล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา ตอนนั้นเองทัพชิงไซก็มีกองกำลังเพียงพอที่จะออกมาจากการปิดล้อมก่อนที่ทัพเฮยอวี่จะบุกทะลวงเข้ามาอีกครั้ง
แต่พวกเขาก็ต้องเสียกำลังคนไปมากกว่าครึ่ง ทักชิงไซมีกันทั้งหมด 30,000 คน คงจะมีทหารเพียงไม่กี่พันนายเท่านั้นที่จะรอดออกมาได้ แต่หลิวอี้เจาก็ยืนยันที่จะเสี่ยงดวงในครั้งนี้ เพราะเขารู้สึกว่ายอมสูญเสียคนส่วนใหญ่ดีกว่ามาตายกันหมดที่นี่ ถ้าทัพฉือเหยียนปฏิเสธที่จะช่วยเมืองหนานเกิง หวังว่าพวกนั้นจะมีกลเม็ดอื่นๆ ซ่อนอยู่นะ
“โทษของการละทิ้งเมืองก็คือตายสถานเดียวนะครับ” ผู้ชายคนนั้นเตือน
“แต่ตอนนี้มีคนอยากให้พวกเราตายอยู่แล้ว เราไม่มีที่อยู่ในรัฐทางใต้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป แล้วเราก็อาจจะต้องใช้ชีวิตเป็นผู้อพยพไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่” หลิวอี้เจาถอนหายใจ
เขาทอดสายตามองออกไปไกล เขาคิดว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ที่มีคนอยากฆ่าเขาโดยใช้ทัพเฮยอวี่ แต่เขาก็พูดเรื่องนี้ออกมาให้ใครฟังไม่ได้ ถึงแม้ว่าเขาจะรายงานเรื่องที่ทัพฉือเหยียนไม่เข้ามาช่วยกับจอมทัพสวรรค์ได้ หลิวอี้เจาก็รู้ดีว่าเขาก็คงจะเป็นศพก่อนที่จะไปพบจอมทัพสวรรค์แล้ว
ถ้ามีคนชักใยอยู่เบื้องหลังทัพฉือเหยียนจริง เขาคนนั้นก็คงไม่ปล่อยให้หลิวอี้เจาไปหาจอมทัพสวรรค์ได้แน่
หลิวอี้เจาถามขึ้นมา “พวกเขากลับมาจากหมู่บ้านเถียนเกิ่งกันหรือยัง”
“กลับมาแล้วครับ” ผู้ชายคนนั้นตอบ “เราส่งหน่วยลาดตระเวนที่ดีที่สุดไปสถานที่นั้นอย่างที่ท่านกำชับ แต่ข้างในนั้นกลับไม่มีใครเลย ทั้งหน่วยก็รายงานว่าสถานที่นั้นน่าจะถูกทัพเฮยอวี่เปิดโปงแล้ว และคนที่อยู่ข้างในก็คงหนีออกไปก่อนจะโดนทัพเฮยอวี่จับได้”
หลิวอี้เจาถอนหายใจด้วยความโล่งอก “เข้าใจแล้ว ออกไปได้ เตรียมบุกทะลวงออกไปจากการปิดล้อมตอนเที่ยงคืนนี้”
…
ตอนนั้นเองหลี่ว์ซู่ก็มองพวกทหารอู่เว่ยที่อยู่นอกกำแพงด้วยสีหน้าเครียด เขายอมตอบรับข้อเสนอไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบและความอวดดีของตัวเอง แต่ตอนนี้เขากลับไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรต่อ
แต่หลังจากที่เขากลับไปที่โลกที่เขาจากมา เขาก็สามารถเอาเรื่องตำนานนี้ไปเล่าให้พวกเพื่อนๆ ฟังได้ เขาถูกแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพโดนไม่ต้องพยายามอะไรมาก และโจรอย่างเขาก็ได้รับการล้างมลทินได้ในชั่วข้ามคืน…
แต่คำถามก็คือเขาจะเลี้ยงปากท้องคนตั้งมากมายได้อย่างไรกัน!
หลี่ว์ซู่ให้หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ส่งแอนโทนี่ออกไปตามทัพเฮยอวี่จากที่ไกลๆ เพื่อรอดูการเคลื่อนไหวของพวกเขา เขาไม่รู้ว่าทัพเฮยอวี่จะโจมตีเข้ามาอีกเมื่อไหร่
ทันใดนั้นหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็ขมวดคิ้ว เธอกระซิบกับหลี่ว์ซู่ “ทัพชิงไซดูจะตีออกมาจากการปิดล้อมในเมืองหนานเกิงได้แล้วนะ พวกเขาเข้าปะทะกับทัพเฮยอวี่ในทางเหนือ”
หลี่ว์ซู่ตอบกลับอย่างใจเย็น “ฉันรู้สึกว่าขนาดของสงครามในครั้งนี้จะไม่ใช่เล็กๆ แล้วสิ เราไปเก็บของแล้วปิดโรงงานทำสบู่ไปก่อนดีกว่า เราจะกินถั่วลิสงเป็นอาหารหลักของทุกวันกัน”
“เข้าใจแล้ว” หลี่ว์เสี่ยวอวี๋พยักหน้า
“เจอทางหนีบนภูเขาบ้างหรือเปล่า” หลี่ว์ซู่ถาม
“เจอแล้ว มีถ้ำลึกยาวอยู่หลังเทือกเขา ตอนที่ฉันไปหาแร่ด่างมาก็ไปเจอกลับถ้ำหินปูนใต้ดินขนาดใหญ่ น่าจะยาวไปถึง 10 กิโลเมตรได้ เหมาะดับการหลบภัยเพราะมีแหล่งน้ำอยู่ด้วย แถมยังไม่ชันมาก” หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ตอบ “แล้วเรื่องอาหารล่ะ”
“ดีหน่อยที่เราเพิ่งซื้อถั่วลิสงกันมามาก ตอนนี้เราก็มีอาหารพอแล้ว น่าจะอยู่ได้สักพัก แต่เราจะกินแต่ถั่วลิสงไม่ได้หรอก” หลี่ว์ซู่พูดหลังจากคิดอะไรบางอย่าง “อีกอย่างทัพเฮยอวี่ที่บุกเมืองอวิ๋นอันไม่ได้เข้าไปเติมเสบียงเพราะพวกเขาจะต้องไม่ขนของไปหนักมาก ฉันว่าเย่เสี่ยวหมิงจะต้องมีอาหารเก็บอยู่ไว้มากแน่ หลิวเชียนจือบอกมาว่าเย่เสี่ยวหมิงมียุ้งฉางส่วนตัวสองแห่งด้วย ไปดูที่นั่นพร้อมกับหลี่เฮยทั่นกับหลิวเชียนจือนะ เอาอาหารทุกอย่างที่หาได้เก็บไว้ในแหวนมิติ ถ้าเก็บไม่พอให้ไปขอให้คนขนมา ระวังพวกทหารอู่เว่ยด้วยล่ะ ถ้าต้องฆ่ากบฏคนไหนก็ฆ่าไปเลย”
ช่วงเวลาที่พิเศษก็ต้องการการปฏิบัติอย่างพิเศษหน่อย ตอนนี้หลี่ว์ซู่พร้อมที่จะบุกเข้าไปในภูเขากับทัพอู่เว่ยแล้ว ทัพชิงไซตีวงล้อมออกมาได้แล้ว และเมืองอวิ๋นอันก็เสียแนวป้องกันสุดท้ายไปแล้ว เพราะฉะนั้นทัพเฮยอวี่ก็ยึดครองพื้นที่ส่วนใหญ่ไปทั้งหมด
เขาสังเกตสมาชิกใหม่จากทัพอู่เว่ยในสองวันที่ผ่านมา พวกเขาดูตั้งใจทำงานหนักระหว่างการปลูกถั่วลิสงกันดีอย่างกับว่านี่เป็นบททดสอบแรกของพวกเขา
หลี่ว์ซู่ข้าใจแล้วว่าคนเร่ร่อนบางคนไม่ได้เป็นพวกขี้เกียจ พวกเขาต้องมาเจอเรื่องแบบนี้เพราะไม่มีทางเลือกอื่น และพวกที่สันหลังยาวก็ตายไปด้วยเงื้อมมือของทัพเฮยอวี่แล้ว
เมื่อตะวันตกดิน หลี่เฮยทั่นก็กลับมาพร้อมกับสีหน้าดีใจ เขาแบกถุงสองสามถุงอยู่บนบ่า เมื่อเขาเห็นหลี่ว์ซู่เขาก็รีบบอกอย่างร่าเริง “เรารวยกันแล้วครับท่าน เย่เสี่ยวหมิงนั่นมีเงินเยอะจริงๆ!”
หลี่ว์ซู่ถอนใจออกมาด้วยความโล่งอก เขาเห็นว่ามีคนกว่าพันคนที่ออกเดินทางไปแล้วกลับมาพร้อมถุงที่แบกไว้บนบ่า ซึ่งหมายความว่าการไปครั้งนี้สำเร็จแล้ว อย่างน้อยปัญหาขาดแคลนอาหารตอนนี้ก็ถูกแก้ไปแล้ว งั้นเย่เสี่ยวหมิงก็โกหกเรื่องที่ว่าเขาไม่มีเงินจะอุดหนุนทหาร น่าจะเป็นเพราะเขาไปขอเงินพวกขุนนางและนายทาสจากทั้งประเทศมา
ในคืนเดียวกันนั้นเองหลี่ว์ซู่ก็ตรวจสอบเสบียงของเขา น่าดีใจที่ตอนนี้เสบียงของกองทัพมีเพียงพอแล้ว เย่เสี่ยวหมิงทำเหมือนกับว่าทัพอู่เว่ยนั้นเป็นแค่สิ่งของที่เขาเป็นเจ้าของและจะทำอะไรกับพวกเขาก็ได้ เขาวางแผนที่จะหาเงินโดยการกักตุนเสบียงทหารและขายเอากำไรช่วงสงคราม ซึ่งสุดท้ายประโยชน์นั้นก็ตกอยู่ในมือของหลี่ว์ซู่
“อาหารพวกนี้น่าจะทำให้เรารอดไปได้ครึ่งปีเลยถ้าเราลดการสูญเปล่าให้ได้มากที่สุด” หลี่ว์ซู่กล่าว “ฉันสงสัยว่าเราจะสงบศึกในรัฐทางใต้ได้เมื่อไหร่กัน”
ตอนนั้นเองหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็ทำรายการของในคลังด้วยความตั้งใจ หน้าของเธอดูเป็นผู้ใหญ่และจริงจังเกินอายุ ตอนนี้เด็กสาวก็กลายเป็นเลขารอบรู้ส่วนตัวของหลี่ว์ซู่แล้ว ไม่ใช่ว่าเธอขอบทำอะไรแบบนี้หรอกนะ แต่เธออยากช่วยหลี่ว์ซู่ทำงานต่างหาก
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋คิดว่านี่มันก็เหมือนการเล่นเกม เธอจะอยู่ข้างหลี่ว์ซู่ตอนเล่นเกมอยู่แล้ว
หลี่ว์ซู่หันไปมองราตรีอันมืดมิดที่อยู่ข้างหลัง “บุกเข้าไปในภูเขาตอนรุ่งสาง!”
ข้างหลังเขามีกลุ่มโจรและทหารทัพอู่เว่ยไร้บ้านอยู่ พวกเขารับคำในความเงียบงันและรอให้หลี่ว์ซู่นำพวกเขาไปสู่ชีวิตใหม่
ในตอนนี้ยังไม่มีใครคาดคิดว่าทัพอู่เว่ยจะทรงเกียรติและมีชื่อเสียงในอนาคต และคืนนี้ก็เป็นจุดเปลี่ยนอย่างแท้จริง
Related
หลี่ว์ซู่กลับมองตาทหารคนนั้นกลับอย่างใจเย็น แต่อีกฝ่ายไม่ได้หยุดมองอยู่นาน เขาหันกลับและพุ่งออกไปข้างหน้าเหมือนเขาจะตั้งใจไปฆ่าศํตรูอย่างมาก
ตอนแรกทัพอู่เว่ยควรที่จะประจำอยู่บนกำแพงเมืองเพื่อป้องกันเมืองจากทัพเฮยอวี่ แต่การโจมตีนั้นมาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวจนทัพอู่เว่ยถูกบุกเข้าไปที่ค่ายทหารนอกเมือง
ทัพเฮยอวี่ดูน่าเกรงขามอย่างกับมังกรดำ พวกเขาทำขบวนทัพอู่เว่ยแตกโดยการพุ่งเข้าใส่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น นอกจากนั้นแม่ทัพเย่เสี่ยวหมิงก็มาตายก่อนที่จะกลับไปในเมือง ซึ่งทำให้กองทัพตอนนี้ซวนเซไม่เป็นท่า…
หลี่ว์ซู่ถอนหายใจออกมา เย่เสี่ยวหมิงนี่ไร้ประโยชน์จริงๆ เขาน่าจะเขียนหนังสือรับรองให้เขาไว้ก่อนตายสิ!
ตอนนี้แม่ทัพของทัพอู่เว่ยก็ตายไปแล้ว เขาจะไปเอาหนังสือรับรองมาได้จากไหนอีก
การนองเลือดในเมืองไม่ได้หยุดจนกระทั่งถึงตกกลางคืน ประตูทุกบานในเมืองอวิ๋นอันถูกปิดอย่างเงียบเชียบ ชาวบ้านต่างเกรงกลัวว่าทัพเฮยอวี่จะมาฆ่าพวกเขาทิ้งหมด
ทหารของทัพเฮยอวี่ 3,000 นายพุ่งเข้าใส่ทหารของทัพอู่เว่ยอย่างไม่เกรงกลัว ไม่มีใครหยุดพวกเขาได้อีกแล้ว บ่อยครั้งที่การโจมตีขนาดย่อมสามารถทำให้ศัตรูตกใจกลัวได้
เลือดไหลหยดออกมาจากช่องว่างระหว่างชุดเกราะสีดำ และหอกของพวกเขาก็ถูกปกคลุมด้วยเลือดสีแดงสด
มีผู้รอดชีวิตบางคนจากทัพอู่เว่ยหนีขึ้นไปบนภูเขา และหวังว่าพวกทัพเฮยอวี่จะไม่ลงจากม้ามาตามพวกเขาตอนนี้
ในขณะนั้นเองหลี่ว์ซู่และหลี่เฮยทั่นก็กำลังมองเหตุการณ์ในสนามรบอย่างใกล้ชิด เมื่อหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ขอจะเข้าไปดูใกล้ๆ หลี่ว์ซู่ก็ไม่อนุญาต
เขาแน่ใจแล้วว่าทหารจากทัพเฮยอวี่ที่มองตาเขาเมื่อครู่นั้นจะต้องเป็นยอดฝีมือระดับหนึ่งแน่นอน เขาไม่อยากจะเสี่ยงให้หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ถูกลักพาตัวไป
หลังจากที่กำจัดทัพอู่เว่ยได้หมดแล้ว ทัพเฮยอวี่ก็มุ่งหน้าไปทางใต้และดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ต้องการเข้าเมืองในตอนนี้ พวกเขาถือว่าเป็นกองทัพชั้นยอดที่สุดในจักรวาลหลี่ว์จริงๆ หลี่ว์ซู่คิดว่าพวกเขาคงจะสู้กับพวกระลอกทองแดงได้ในระดับเดียกัน
แต่ระลอกทองแดงนั้นได้เปรียบที่พวกเขามีชุดเกราะทองแดง ซึ่งเป็นอาวุธวิเศษ แต่ทัพเฮยอวี่ไม่ได้มีของแบบนั้น
หลี่ว์ซู่มองกองทัพที่กำลังถอยไปและคิดอยู่นาน จากนั้นเขาก็สรุปออกมาว่า “พวกเขากำลังต้องการจะล้อมทัพชิงไซ และพวกเขาไม่ได้วางแผนจะตีเมืองอวิ๋นอันทิ้ง พวกเขาแต่อยากจะทำลายจุดอ่อนของการป้องกัน จากนั้นก็เข้าโจมตีทัพชิงไซแบบไม่บอกกล่าว อย่างนี้ทัพชิงไซคงจะไม่รอดแน่…”
ทหารม้าพวกนี้คงจะเดินทางไปถึงเมืองหนานเกิงที่ห่างไปจากเมืองอวิ๋นอันตั้ง 300 กิโลเมตรเพียงใช้เวลาแค่สามวันแน่ พวกเขามีทั้งความอึดและความเร็ว การสู้บนหลังม้าทในจักรวาลหลี่ว์นั้นเป็นการต่อสู้ที่แข็งแกร่งมาก
ตอนนี้ทัพเฮยอวี่กำลังจะเข้าไปโจมตีพวกทัพชิงไซในเมืองหนานเกิง และพวกเขาจะต้องแพ้แน่
เมืองอวิ๋นอันกลายเป็นเมืองที่ดูไร้ชีวิต ทั้งเมืองถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิดและไม่มีแสงสว่างให้เห็นในตอนกลางคืน ชาวบ้านซ่อนม้าของตัวเองไว้ในบ้าน พวกเขาหวาดกลัวและทำอะไรไม่ถูกเหมือนจักจั่นท่ามกลางลมหนาว
ตอนนั้นเองคนของหมู่บ้านมังกรฟ้าก็มาหาหลี่ว์ซู่และพูดว่า “ท่านครับ ทัพอู่เว่ยมาหาที่พักพิงกับท่านครับ”
หลี่ว์ซู่เกือบจะหัวเราะออกมาเสียงดังเสียแล้ว “ฮ่า กองทัพประจำการมาขอความคุ้มครองจากพวกโจรงั้นเหรอ พวกเขาไม่อายกันบ้างหรือไงเนี่ย พวกเราไม่จำเป็นต้องปกป้องพวกเขาหรอกนะ”
ชาวบ้านวิ่งเหยาะๆ หายไป พวกเขากลับมาอีกครั้งเมื่อตอนที่หลี่ว์ซู่กำลังตรวจสอบสถานการณ์ที่เนินเขา “ท่านครับ พวกเขาบอกว่าพวกเขาจะตั้งใจปลูกถั่วลิสงกันครับ!”
“โอ้โห ปลูกถั่วลิสงกันเป็นด้วย… เยี่ยมไปเลย ไหนไปดูกันหน่อยสิ”
หลี่ว์ซู่เดินขึ้นไปตามกำแพงของหมู่บ้านมังกรฟ้า ข้างนอกนั่นมีทัพอู่เว่ยจำนวนไม่ถ้วนยืนอยา หลี่ว์ซู่กะจากสายตาว่าน่าจะมีกันอย่างน้อยประมาณ 3,000 คน…
พวกทหารพวกนี้มองมาที่หลี่ว์ซู่อย่างมีความหวัง หลี่ว์ซู่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงใจเย็น “พวกคุณเป็นทหารส่วนพวกเราเป็นกองโจร ถ้าพวกเราจะคุ้มครองพวกคุณก็ดูจะไม่สมเหตุสมผลเท่าไหร่มั้ง ถึงผมจะอยากปกป้องพวกคุณแต่เราก็ไม่มีที่ในหมู่บ้านมากพอจะให้มาซุกหัวนอนได้หรอก”
“ไม่เป็นไร พวกเรานอนกันนอกเมืองได้ เราแค่หวังว่าท่านจะไม่ไล่พวกเราออกไป!” ผู้ชายคนหนึ่งตะโกนบอก หน้าของเขาถูกปกคลุมไปด้วยโคลน เขาน่าจะเพิ่งสู้อย่างดุเดือดที่สุดในชีวิตของเขามา…
หลี่ว์ซู่ลังเลที่จะตอบตกลง “ที่สำคัญคือมันฟังดูไม่ค่อยดีนักหรอก เราไม่ได้รู้จักกับทัพอู่เว่ยเป็นการส่วนตัว…”
ตอนนั้นเองก็มีคนขว้างของบางอย่างใส่หลี่ว์ซู่ ตอนแรกเขาคิดว่ามันน่าจะเป็นอาวุธที่ซ่อนไว้ แต่หัวหน้าบาทหลวงก็รับของนั้นไว้และยื่นให้หลี่ว์ซู่ เขาจ้องมันด้วยความสับสน “อะไรกันเนี่ย”
“ตราประทับพยัคฆ์ของเย่เสี่ยวหมิง ตอนนี้เย่เสี่ยวหมิงตายแล้ว และทัพอู่เว่ยก็แยกย้ายกันไปหมด ข้า หลิวเชียนจือ รองผู้บัญชาการทัพอู่เว่ยคนนี้จะขอติดตามท่านในฐานะของท่านแม่ทัพคนใหม่!” ในขณะที่เขาพูดนั้นเขาก็ทรุดลงไปคุกเข่าข้างหนึ่ง และทหารอู่เว่ยทุกคนก็ทำตาม หลิวเชียนจือตะโกนขึ้นมา “พวกเราทุกคนเคยปลูกถั่วลิสงให้ท่าน พวกเราทำอย่างดีกันที่สุดเพื่อเลี้ยงชีพตัวเอง เมื่อก่อนพวกเรามักจะถูกมองข้ามในกองทัพเพราะพวกเราไม่เห็นด้วยกับอุดมการณ์ของเย่เสี่ยงหมิง!”
ผู้ชายคนนั้นเห็นว่าหลี่ว์ซู่กำลังลังเล เขาจึงพูดต่อไป “การแต่งตั้งแม่ทัพอู่เว่ยไม่เคยจะต้องเป็นพิธีรีตองมากอะไรอยู่แล้ว พวกเรารู้จักเจ้านายเหนือหัวของเย่เสี่ยวหมิงและพวกเราก็พร้อมมอบข้อความอวยพรไปในนามของท่าน พวกเราใช้เงินและผลประโยชน์ซื้อตำแหน่งแม่ทัพให้ท่านได้! ตอนนี้พวกเราทัพอู่เว่ยตกอยู่ในความลำบากกันมาก ตอนนี้เป็นเวลาที่เหมาะสมแล้วที่ท่านจะนำทางพวกเราไป! ท่านมีตราพยัคฆ์อยู่ในมือแล้ว พวกเราพร้อมจะตามท่านไปทุกที่!”
นี่ล้อกันเล่นหรือเปล่าเนี่ย หลี่ว์ซู่หายใจเข้าลึก เขาเคยเป็นคนนอกที่อยากจะเข้าร่วมทัพอู่เว่ยมาตลอดแต่ต้องกลับกลายมาเป็นโจร พอเขาจะขอหนังสือแนะนำจากเย่เสี่ยวหมิงเขาก็ตายไปก่อนซะงั้น พอตอนนี้เขากำลังเสียใจกับสภาพที่น่าหดหู่ของทัพอู่เว่ย คนพวกนี้ก็มาขอติดตามเขาในฐานะที่เขาเป็นแม่ทัพคนใหม่…
จักรวาลหลี่ว์นี่ต้องเป็นโลกปลอมๆ แน่เลย!
เกิดเรื่องอะไรตั้งมากมายในวันเดียว หลี่ว์ซู่ไม่มีความสุขเลยเมื่อมองดูกองทัพที่อยู่ตรงหน้าเขา เขาเริ่มจะสงสัยแล้วสิว่าชีวิตของเขานี่เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า…
หลี่เฮยทั่นบอกเขาว่าพวกคนที่อยากจะปลูกถั่วลิสงนั้นเป็นพวกคนดีและพวกเขาก็แค่หาเงินเลี้ยงปากท้องอย่างสุจริตเท่านั้น ส่วนพวกทหารอีกครึ่งหนึ่งเคยชินกับการอยู่อย่างยากลำบาก ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เต็มใจที่จะปลูกถั่วลิสง แม้ว่าหมู่บ้านมังกรฟ้าจะให้เงินอุดหนุนมากมายก็ตาม
ดังนั้นกลุ่มที่มาคุกเข่าต่อหน้าหลี่ว์ซู่ก็เป็นพวกที่เต็มใจอยากจะปลูกถั่วลิสงให้ พวกเขายังไม่ได้เป็นคนไม่มีดีเสียทีเดียว และเขาก็ยังพอช่วยคนพวกนี้ได้อยู่ ที่จริงพวกเขายังโชคดีอยู่บ้าง เพราะพวกเขาอยู่กันที่พื้นที่เพาะปลูกในตอนมีสงคราม ซึ่งบริเวณนั้นห่างไปจากสนามรบอยู่มาก
ทำดีก็ต้องได้รับการตอบแทนหน่อยใช่ไหมล่ะ…
หลี่ว์ซู่กวาดตามองทัพอู่เว่ยที่ยืนอยู่นอกกำแพงหมู่บ้านอย่างไม่มั่นใจ แล้วเขาก็ถามออกไป “เอ่อ… แน่ใจนะว่าฉันจะเป็นแม่ทัพที่ดีของพวกคุณได้”
หลิวเชียนจือเกือบจะกระโดดตัวลอยด้วยความดีใจ เขารู้ว่าหลี่ว์ซู่จะต้องยอมตามข้อเสนอของเขาแน่!
ทันใดนั้นเองหลิวเชียนจือก็ลงไปคุกเข่าข้างหนึ่งแล้วตะโกนขึ้นมา “เราจะตั้งใจปลูกถั่วลิสงให้ท่านชั่วชีวิตจนกว่าจะตายไปเลยครับท่าน!”
ฟังดูแล้วไม่เหมือนกับเป็นคำสาบานเลยนะ!
Related
หลี่ว์ซู่เป็นพ่อค้าที่มีประสบการณ์บนโลกที่เขาจากมา เขาขายของอย่างไข่ต้ม เต้าหู้เหม็น หรือกระทั่งขายศิลาวิญญาณให้กับองค์กรใหญ่ๆ มาแล้ว แต่เขาก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองประสบความสำเร็จเหมือนตอนนี้เลย อย่างกับว่าเขากำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่…
ในตอนนั้นเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมราชาแห่งทวยเทพถึงชอบจักรวาลหลี่ว์นัก เพราะความรู้ในยุคสมัยใหม่ของเขาทำให้เขาดูฉลาดเป็นพิเศษท่ามกลางพวกคนยุคใหม่แบบนี้ อย่างไรก็ตามหลี่ว์ซู่ก็รู้ว่าจักรวาลหลี่ว์นี้ไม่ใช่บ้านของเขา
อยู่ๆ หลี่ว์ซู่ได้รับจดหมายเชิญจากเย่เสี่ยวหมิงซึ่งเป็นผู้นำของทัพอู่เว่ยให้เข้าไปหาที่คฤหาสน์
ถึงแม้หลี่ว์ซู่จะไม่ได้ให้ความสนใจกับเย่เสี่ยวหมิงในช่วงเวลานี้ แต่เขาก็ยังจะให้ส่งผลกำไร 10% ที่ได้รับจากธุรกิจสบู่ไปให้เย่เสี่ยวหมิงบ้างนานๆ ครั้ง หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าเย่เสี่ยวหมิงไม่ใช่คนธรรมดา เพราะเขาเป็นเด็กกำพร้ามาก่อน แต่เขาก็กลายเป็นผู้นำของกองทัพ เพราะฉะนั้นหลี่ว์ซู่จึงไม่อยากจะต้อนเขาให้จนมุม
ก็แค่นั้นแหละ
หลี่ว์ซู่นั่งอยู่บนกำแพงหมู่บ้านและมองลงมาเห็นคนที่เย่เสี่ยงหมิงส่งมา เขาพูดกับคนคนนั้นว่า “ไปบอกเย่เสี่ยวหมิงให้มาหาฉันที่หมู่บ้านมังกรฟ้าเองถ้าเขาอยากจะคุยด้วย”
ผู้ส่งสารไม่ได้คาดหวังว่าหลี่ว์ซู่จะเย่อหยิ่งได้ถึงเพียงนี้ เขากลับไปบอกเย่เสี่ยวหมิงว่าผู้ชายคนนั้นอยากให้เย่เสี่ยวหมิงไปหาเขาด้วยตัวเอง…
แล้วเย่เสี่ยวหมิงก็ทำตามนั้น
หลี่ว์ซู่ยิ้มให้เย่เสี่ยวหมิงที่นั่งอยู่ข้างๆ เขา เขาถามออกไป “ลมอะไรพัดคุณมาที่นี่กันครับ ท่านแม่ทัพเย่”
เย่เสี่ยวหมิงตอบกลับ “ไม่นานมานี้เมืองหนานเกิงได้เปิดศึกกับทัพเฮยอวี่ สถานการณ์น่าเป็นห่วงมาก ตอนนี้ทัพเฮยอวี่ก็ส่งคนระดับหนึ่งสองคนไปโจมตีเมืองหนานเกิงแล้ว เมืองหนานเกิงตกอยู่ในอันตราย และเมืองหยุนอันก็จะกลายเป็นเป้าหมายถัดไปถ้าทัพชิงไซป้องกันเขตแดนไม่ได้ เราเองก็จะต้องเตรียมตัวตั้งแต่เนิ่นๆ เหมือนกัน”
หลี่ว์ซู่สับสน “แล้วท่านต้องการอะไรครับ”
เย่เสี่ยวหมิงลังเลที่จะพูดออกไป “หมู่บ้านมังกรฟ้าของเจ้ากำลังเฟื่องฟู พ่อค้าหน้าใหม่เข้ามาหาอยู่ตลอด เจ้าส่งคันรถออกไปขายสินค้าอยู่ทุกวัน ตอนนี้เจ้าคงจะเป็นเศรษฐีที่รวบที่สุดในเมืองหยุนอันแล้วสินะ”
“พูดมาตรงๆ เลยดีกว่าครับ”
“ข้าอยากได้เงินอุดหนุนทางทหาร…” เย่เสี่ยวหมิงกล่าว
[ได้รับแต้มจากเย่เสี่ยวหมิง +666]
ไม่ว่าชีวิตของเย่เสี่ยวหมิงจะลำบากมาขนาดไหนเมื่อเปรียบเทียบกับผู้นำทัพคนอื่นๆ แต่เขาก็ไม่เคยจะขอเงินจากโจรมาก่อนจนกระทั่งวันนี้แหละ…
ที่จริงนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทัพอู่เว่ยขอเงินจากหมู่บ้านมังกรฟ้า แต่ตอนนี้ทหารของทัพอู่เว่ยเกือบหนึ่งในสี่กำลังปลูกถั่วลิสงกัน และรอให้ผู้นำหมู่บ้านมังกรฟ้าให้เงินสนับสนุนพวกเขาทุกวัน
เมื่อเวลาผ่านไปก็ดูเหมือนว่าหลี่ว์ซู่จะกลายเป็นผู้นำที่แท้จริงของเมืองหยุนอันและของกองทัพอู่เว่ยไปแล้ว…
เย่เสี่ยวหมิงไม่เคยเจอเรื่องแปลกอย่างนี้มาก่อนในชีวิต…
หลู่ว์ซู่มองไปที่เย่เสี่ยวหมิง “นี่มาขอเงินงั้นเหรอครับ”
เย่เสี่ยวหมิงอธิบายอย่างใจเย็น “หมู่บ้านเจ้าอาจจะอยู่ในอันตรายก็ได้ถ้าเมืองหยุนอันถูกยึดไป”
หลี่ว์ซู่เห็นด้วย แต่เขาสงสัยว่าเย่เสี่ยวหมิงจะสามารถปกป้องเมืองได้ด้วยเงินที่มากขึ้นหรือเปล่า จากนั้นเขาก็ยิ้มให้ “อย่าคิดจะโกงเงินผมไปนะ แต่เรามาทำธุรกิจด้วยกันได้”
“ธุรกิจงั้นเหรอ” เย่เสี่ยวหมิงผงะ “เกี่ยวกับอะไร”
“ก่อนอื่นเลยผมก็จะให้ทหารทั้งหมดต้องลงแรงมาปลูกถั่วลิสง” หลี่ว์ซู่พูด “แล้วเดี๋ยวผมจะให้เงินท่านเอง”
หน้าของเย่เสี่ยวหมิงสดใสขึ้น เขารู้ว่าเงินสนับสนุนที่หมู่บ้านมังกรฟ้าได้จากการปลูกถั่วลิสงนั้นไม่ได้น้อยเลย ถ้าเขาได้เงินทั้งหมดนั่นอยู่ในมือเขาแล้วเขาก็จะทำกำไรได้ก่อนที่จะเอาไปแจกจ่ายให้กับคนอื่น
แม้ว่าเขาจะต้องเปลี่ยนตำแหน่งจากท่านเจ้าเมืองไปเป็นเจ้าของไร่ เย่เสี่ยวหมิงก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก เพราะเห็นแก่เงินก้อนใหญ่ที่จะได้ ซึ่งเขาก็ระงับความคิดที่จะกำจัดหมู่บ้านมังกรฟ้าไปก่อน
เย่เสี่ยวหมิงถามต่อ “แล้วมีอะไรอีกไหม”
“รับผมเข้าไปในทัพอู่เว่ย และแนะนำชื่อผมไปที่กระท่อมกระบี่” หลี่ว์ซู่พูดและยิ้มอย่างผู้มีชัยชนะ
หลี่ว์ซู่อยากจะเข้าร่วมกับทัพอู่เว่ยแบบถูกต้อง แต่ใครจะคิดว่าเขากลับมาเป็นโจรในตอนท้าย แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าหลี่ว์ซู่จะยอมล้มเลิกแผนการไปกระท่อมกระบี่และหาทางกลับบ้าน!
หลังจากที่เย่เสี่ยวหมิงกำลังฟังข้อต่อรองของหลี่ว์ซู่ เขาก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที “เจ้าอยากจะไปที่กระท่อมกระบี่งั้นหรือ งั้นก็เยี่ยมไปเลย! ถ้าอย่างนั้นข้าก็ให้เข้าไปได้แบบไม่ต้องเสียเงินเลย! ข้าจะเขียนหนังสือแนะนำพร้อมกับประทับตราพยัคฆ์ของข้าให้ตอนนี้! แล้วเจ้าจะไปเมื่อไหร่กันล่ะ ขอให้ข้าได้อวยพรให้เจ้าประสบความสำเร็จในการเข้าสู่กระท่อมกระบี่ล่วงหน้าด้วยเถอะ!”
หลี่ว์ซู่พูดไม่ออกเลย
เขามองเย่เสี่ยวหมิงและรู้สึกราวกับว่าเขารังแกเย่เสี่ยวหมิงมากนานจนเย่เสี่ยวหมิงปิดความตื่นเต้นไม่มิดเมื่อเขาจะไป…
ที่จริงเย่เสี่ยวหมิงกำลังคิดหัวแทบแตกว่าจะไล่ผู้นำของหมู่บ้านมังกรฟ้าออกไปอย่างไร เขารู้ว่าผู้นำคนนี้แข็งแกร่งและเขาก็คงใช้กำลังข่มขู่ให้เขาออกไปไม่ได้…
เย่เสี่ยวหมิงก็เป็นผู้นำที่มีชื่อเสียงในเมืองทางใต้เช่นกัน เขาไม่เคยต้องรู้สึกอับอายมากขนาดนี้มาก่อน!
แต่ปิศาจอยากจะไปเองนี้ อย่างนี้ก็เยี่ยมสุดๆ ไปเลย!
เมื่อก่อนพวกขุนนางจะจ่ายเงินให้เย่เสี่ยวหมิงส่งลูกชายของตัวเองไปกระท่อมกระบี่ แต่ครั้งนี้เย่เสี่ยวหมิงจะจ่ายเงินให้หลี่ว์ซู่เองเลย… เขาจะทำทุกอย่างเพื่อให้หลี่ว์ซู่ไปพ้นๆ เสียที!
ถ้าเย่เสี่ยวหมิงเป็นจักรพรรดิดินแห่งเมืองหยุนอัน หลี่ว์ซู่ก็คงเป็นผู้นำที่ชักใยอยู่ข้างหลัง…
หลี่ว์ซู่จ้องมองไปที่เย่เสี่ยวหมิงที่กำลังดีใจอย่างออกนอกหน้า หลังจากผ่านไปสักพักเขาก็ส่งเย่เสี่ยวหมิงกลับ “กลับไปก่อนแล้วกัน อย่าลืมส่งหนังสือแนะนำมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ล่ะ”
“แน่นอน” เย่เสี่ยวหมิงตอบ จากนั้นเขาก็เดินออกไปด้วยความปีติ การที่หลี่ว์ซู่จะเดินทางไปกระท่อมกระบี่เป็นข่าวที่สุดในตอนนี้เลย!
แต่หลังจากนั้นสองชั่วโมงหลี่เฮยทั่นก็รีบกลับมาพร้อมกับคนของเขาจากเมืองหยุนอัน เกราะของพวกเขาแตกและมีคราบเลือดบนใบหน้า
หลี่ว์ซู่ตกใจมาก “เกิดอะไรขึ้นกัน”
“กลุ่มกองทัพยอดฝีมือของทัพเฮยอวี่ได้ข้ามเทือกเขาอวิ๋นเทียนอย่างลับๆ ตอนนี้เข้าโจมตีเมืองอวิ๋นอันเข้ามาแล้วครับ!” หลี่เฮยทั่นรายงานขณะหอบหายใจ “ท่านเจ้าเมืองเย่เสี่ยวหมิงถูกทัพเฮยอวี่ฆ่าตายระหว่างทางกลับเมืองครับ!”
หลี่ว์ซู่ตัวแข็งทื่อ ขณะนี้ความคิดเดียวที่เขาคิดออกก็คือ… หนังสือแนะนำของเขาจบเห่กันแล้ว
ทำไมถึงขอหนังสือแนะนำได้ยากเย็นแบบนี้นะ เขาอุตส่าห์ลดตัวมาเป็นโจร แต่เขาก็ยังเอาหนังสือนี้มาไม่ได้! แล้วเขาก็เพิ่งโน้มน้าวใจเย่เสี่ยวหมิงให้เขียนหนังสือนี้ให้เขาได้ แต่ตอนนี้ตายไปเสียแล้ว! บ้ากันไปใหญ่!
หลี่ว์ซู่ยังตกใจอยู่ เวลาที่ทัพเฮยอวี่เข้าโจมตีตอนนี้เป็นเวลาที่ไม่เหมาะที่สุดเลย!
ทันใดนั้นหลี่ว์ซู่และหลี่เฮยทั่นก็รีบวิ่งออกไปที่เมืองอวิ๋นอัน จากภาพข้างบนภูเขาอันนี้ หลี่ว์ซู่รู้ได้เลยว่าเมืองอวิ๋นอันตกอยู่ในมือของศัตรูแล้ว พวกทัพเฮยอวี่ควบม้าเข้าประจันหน้ากันอย่างไม่เกรงกลัว แต่ทัพอู่เว่ยกลับทำได้แค่วิ่งหนีเอาชีวิตรอด
แล้วก็มีทหารม้าสวมชุดเกราะสีดำหยุดมองมาที่ทางภูเขาอัน จู่ๆ หลี่ว์ซู่ก็รู้สึกได้ว่าสายตาคู่นั้นจ้องตรงเข้ามาที่เขา!
Related
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋กลอกตาขณะฟังหลี่ว์ซู่พูด เธอรู้ว่าหลี่ว์ซู่ใช้เวลาอยู่นานในการวางแผนล้างสมองคนพวกนี้ ตอนแรกหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็คิดว่าเขาอยากจะทำการตลาดแบบหลายระดับชั้นหรือการทำธุรแบบเครือข่าย แต่เธอก็พบว่าหลี่ว์ซู่ไม่ได้คิดจะทำแบบนั้น
หลี่ว์ซู่บอกว่าถ้าเครือข่ายของธุรกิจเขาเติบโตมากเกินไปก็จะดึงดูดความสนใจพวกขุนนางทั้งหลายและพวกเขาอาจจะโดนล้อมได้ และพวกเขาอาจจะตกอยู่ในอันตราย ที่สุดแล้วพวกเขาก็ยังไม่แข็งแกร่งมากพอ พวกเขาจึงไม่สามารถเปิดเผยตัวเองมากเกินไป
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋จึงมองดูหลี่ว์ซู่ล้างสมองเหล่านักธุรกิจ พวกนักธุรกิจพวกนี้เป็นชนชั้นสูง ตอนพวกเขาเริ่มพวกเขาก็เริ่มจากการทำธุรกิจเองเช่นกัน ใครจะมาเชื่อลูกไม้แบบนี้ พวกเขาก็มองแค่ผลกำไรที่อยู่ตรงหน้าและอดทนฟังไปเท่านั้น
แต่หลี่ว์ซู่ไม่ได้อยากจะเล่นลูกไม้อะไรกับพวกเขาหรอก เขาแค่อยากให้คนพวกนี้ตื่นตัวในการขายสบู่ให้มากขึ้นต่างหาก
เมื่อพวกนักธุรกิจรู้ว่านี่ไม่ใช่การหลอกลวง พวกเขาก็เริ่มฟังหลี่ว์ซู่พูดกันอย่างตั้งใจ
เดิมทีหลี่ว์ซู่คิดว่าการเรื่องนี้จะเป็นเรื่องง่ายๆ แต่กลับกลายเป็นว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะลงมือทำด้วยตัวเอง
ทำธุรกิจอย่างนี้ไม่มีคำว่าง่ายหรอก สองวันที่ผ่านมาหลี่ว์ซู่พยายามจำท่าทีของนักธุรกิจแต่ละคนให้ได้ และพยายามจำอารมณ์ที่แสดงออกในดวงตาของแต่ละคนเมื่อพวกเขาได้ยินอะไรบางอย่างด้วย…
ตกดึกมาในขณะที่หลี่ว์ซู่กำลังนั่งจดบันทึกอยู่นั่นเอง หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ที่อยู่ข้างๆ เขาก็มองเขาอย่างเงียบๆ บางทีเธอก็รู้สึกว่าอยู่อย่างนี้ก็ดีเหมือนกันนะ
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเมื่อไม่มีหลี่ว์ซู่อยู่ข้างกาย เธอก็จะรู้สึกเหมือนจะระเบิดออกมาด้วยความโกรธและจิตสังหาร แต่ถ้าหลี่ว์ซู่อยู่ข้างๆ เขาก็จะทำให้เธออารมณ์เย็นลงได้
เช่นเดียวกับคลื่นที่เชี่ยวกรากที่เข้ากระทบกับติ้งไห่เสินเจิน[1] ทะเลก็ยังเป็นทะเลเหมือนเดิม แต่อยู่ในอารมณ์ที่แตกต่างกัน
วันต่อมาหลี่ว์ซู่ก็เริ่มจะสอนพวกเขาแล้ว “ปกติพวกคุณทำธุรกิจกันอย่างไร พวกคุณเปิดประตูอ้ารอให้ลูกค้าเข้ามาไหม คุณเชื่อกันไหมว่าสินค้าที่ดีนั้นไม่ต้องโฆษณาก็ได้ แต่ผมขอบอกพวกคุณเลยว่า สินค้าที่ดีนั้นยังต้องการการโฆษณาอยู่แน่นอน!”
ในวันนั้นหลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ได้พากลุ่มนักธุรกิจเดินลงจากภูเขาเข้าไปในเมือง เย่เสี่ยวหมิงประหลาดใจมากที่เห็นว่าพวกเขากล้าเข้ามาในเมืองด้วย แต่เมื่อเขานึกถึงความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายเขาก็ไม่กล้าที่จะทำผลีผลาม
วันนี้ก็ยังเป็นวันที่จัดประชุมนักปราชญ์ในพระราชวังด้วย หลี่ว์ซู่ไม่ได้ทำตัวขี้เกียจแต่อย่างใด ก่อนหน้านี้เขาไปเยี่ยมที่เมืองอวิ๋นอันอยู่บ่อยๆ เพื่อเอาสบู่ไปให้พวกนักปราชญ์ เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงเชิญหมู่บ้านมังกรฟ้าเข้าไปฟังการประชุมในวันนี้ด้วย
ทุกคนรู้ว่าพวกหมู่บ้านมังกรฟ้าคงจะไม่มาหรอก เพราะฉะนั้นพวกเขาก็เลยไม่คาดคิดว่าคนของหมู่บ้านมังกรฟ้าจะเข้าร่วมประชุมด้วย
แต่เมื่อพวกหมู่บ้านมังกรฟ้ามาถึง พวกนักปราชญ์ก็ตะลึงกันไปเลย… นั่นมันไม่ใช่ตัวแทนคนใหม่ของศาสตร์ราชาหรอกเหรอ!
เมื่อนักธุรกิจที่ยืนอยู่หลังหลี่ว์ซู่ได้ยินเสียงชื่นชมไปทั่ว พวกเขาก็รู้สึกงุนงง แล้วท่านผู้นำคนใหม่ของหมู่บ้านมังกรฟ้าจะกลายเป็นตัวแทนคนใหม่ของศาสตร์ราชาได้อย่างไรกันล่ะ!
มีคนถามขึ้นมาเบาๆ “คุณมีทฤษฎีใหม่อะไรมาเสนอไหม”
พวกพ่อค้าก็ชอบทำตัวให้ดูมีอารยธรรมเช่นกัน มีบทกวีสุดจะคลาสสิกมากมายในศาสตร์ราชา และการอ่านบทกวีไปจิบไวน์ไปก็เป็นเทรนด์ในตอนนี้ด้วย!
คนบางคนกระซิบถาม “เขาบอกว่า ‘อีซานจิ่น’ อาจจะเป็นชื่อคนก็ได้…”
พวกพ่อค้าอ้าปากค้างด้วยความตกใจ นี่น่ะเหรอ!
แล้วอยู่ๆ ก็มีนักปราชญ์คนหนึ่งยิ้มให้หลี่ว์ซู่ “วันนี้ท่านเข้าแสดงความคิดเห็นด้วยไหมครับ เรากำลังจะศึกษาบทกวีสามบทของราชาแห่งทวยเทพ”
หลี่ว์ซู่มองหนังสือเย็บกี่มือของเขา เขาส่ายหน้าและยิ้มตอบ “คุณดูหมิ่นราชาแห่งทวยเทพมากเกินไปแล้ว ก่อนจะอ่านบทกวีของเขาพวกคุณจะต้องไปชำระล้างร่างกายก่อน ถ้าไม่ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างน้อยก็ขอให้ล้างมือกันก่อน บทกวีจะแปดเปื้อนเอาได้ถ้าพวกคุณไม่ทำอย่างนั้น ใช่ไหมล่ะครับ”
ในขณะที่เขาพูดอยู่นั้น หัวหน้าบาทหลวงก็เอาน้ำมาถังหนึ่ง หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ส่งสบู่ก้อนใสให้หลี่ว์ซู่อย่างนอบน้อม พวกนักปราชญ์มองหลี่ว์ซู่ล้างมือให้สะอาดก่อนที่เขาจะใช้มือนั้นเปิดหน้าบทกวีขึ้นมา
เมื่อนักปราชญ์เห็นหลี่ว์ซู่ทำท่าจริงจังอย่างนั้น พวกเขาก็ทำอะไรกันไม่ถูก พวกเขาไม่รู้ว่ามีพิธีอะไรแบบนี้ก่อนการอ่านบทกวีจากราชาแห่งทวยเทพด้วย
ทุกคนมองนิ้วมือที่สะอาดของหลี่ว์ซู่ จากนั้นก็มองกลับมาที่สบู่ก้อนนั้น อย่างกับเป็นพิธีการอะไรบางอย่างเลย…
พวกพ่อค้ามองหน้ากันอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร พวกเขาจำได้ว่าท่านหลี่ว์ผู้ยิ่งใหญ่ได้สอนอะไรบางอย่างกับพวกเขาเมื่อวานนี้ เขาพูดว่า ‘การขายไม่ใช่การขายแค่สินค้า อย่าขายแค่ว่าเอาไปใช้งานได้อย่างไร แต่ต้องทำให้พวกเขาเห็นความสำคัญของสินค้าด้วย!’
หลี่ว์ซู่จึงพูดต่อทันที ‘แล้วจะทำให้เกิดคสามสำคัญอย่างไรน่ะเหรอ จะทำให้มันเป็นเหมือนพิธีอย่างไร งั้นผมขอถามพวกคุณว่าความรู้สึกในพิธีกรรมคืออะไร ความรู้สึกนั้นก็คือการทำให้สิ่งที่ไม่สำคัญกลายเป็นสิ่งที่สำคัญจนขาดไม่ได้น่ะสิ…’
ตอนนี้ลูกไม้ตื้นๆ ของหลี่ว์ซู่ก็ได้วางรากฐานพิธีกรรมสำหรับศาสตร์ราชาแล้ว ก่อนที่จะมีใครอ่านบทกวีของราชัน พวกเขาก็จะต้องล้างมือด้วยสบู่จากหมู่บ้านมังกรฟ้าก่อน…
น่าทึ่งเสียจริง! เหล่าพ่อค้าได้เปิดโลกออกแล้ว หลังจากสองวันที่โดนล้างสมองไป พวกเขาก็ยังรู้สึกแปลกๆ กับหมู่บ้านมังกรฟ้าอยู่ แต่การกระทำของหลี่ว์ซู่กลับทำให้พวกเขาชื่นชมหลี่ว์ซู่มาก
ในขณะที่หลี่ว์ซู่กำลังพลิกหน้าบทกวีอยู่นั่นเอง เขาก็พูดขึ้นมาอย่างสบายๆ “การล้างมือด้วยน้ำปกติน่ะชำระล้างความสกปรกออกไม่ได้หรอกนะ จะต้องใช้สบู่ตลอดเวลา ถ้ามีใครเปิดหน้าบทกวีด้วยมือที่สกปรกล่ะก็ พวกคุณกำลังหมิ่นราชาแห่งทวยเทพกันอยู่…”
พวกนักปราชญ์และพ่อค้าทั้งหลายเกือบจะกระอักเลือดกันแล้ว แหม หน้าไม่อายอะไรอย่างนี้!
ถึงแม้ว่าราชาแห่งทวยเทพองค์ใหม่จะขึ้นมาครองบัลลังก์แล้ว แต่เขาก็ไม่เคยฏิเสธอะไรเกี่ยวกับราชาแห่งทวยเทพองค์เก่า ดังนั้นพวกเขาจึงบูชาราชันองค์เก่าต่อไป ในโลกนี้นักปราชญ์บางคนจะลุ่มหลงในศาสตร์ราชามาก
แต่หลังจากที่หลี่ว์ซู่แสดงให้เห็นแล้ว ทุกคนก็เข้าใจว่าการอ่านบทกวีของราชันโดยไม่ล้างมือด้วยสบู่นั้นเป็นการดูหมิ่นเกียรติของราชาแห่งทวยเทพองค์ก่อนมาก…
ถึงแม้ว่าพวกนักปราชญ์จะรู้สึกว่ามันไร้สาระ แต่อยู่ๆ พวกเขาก็เห็นความสำคัญขึ้นมา เป็นสิ่งที่ช่างสง่างามเสียจริง!
ในความเป็นจริงแล้วหลี่ว์ซู่รู้ว่าบางสิ่งดูน่าสนใจเพราะมีพิธีกรรมเกี่ยวด้วย เขาเพียงแค่จะต้องเอาเรื่องมีพิธีกรรมและสบู่มาปะติดปะต่อกันให้ได้เพื่อให้พวกนักปราชญ์เชื่อ…
เหล่าพ่อค้ารู้สึกว่าประสบการณ์การการขายที่พวกเขาเพิ่งเจอนั้นเป็นการขายชั้นเอก พวกเขาไม่เคยเห็นเรื่องอะไรแบบนี้มาก่อนเลย!
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋กลอกตาอีกรอบหนึ่ง เธอพูดขึ้นมาเบาๆ ว่า “หน้าไม่อายจริงๆ เลยนะ”
สี่วันผ่านไป พวกพ่อค้าก็กลับกันไปหมดแล้ว พวกเขามาหาเงินแต่กลับได้ใจที่คลั่งไคล้ในการขายกลับไป ไม่ใช่ว่าพวกเขาโดนล้างสมองหรอก แต่พวกเขารู้ว่าการอ่านบทกวีของราชันตอนนี้เป็นเทรนด์อยู่ และพวกเขาก็จะหาเงินได้จากการนำพิธีกรรมนี้ไปกระจายข่าว!
วิธีนี้คล้ายกับวิธีที่องค์กรเคร่งศานาใช้ พวกเขาต้องการผลิตภัณฑ์อย่างเครื่องหอมออกมา และธุรกิจของพวกเขาก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า!
หลังจากนั้นคำพูดที่ว่า ‘ต้องล้างมือด้วยสบู่ก่อนอ่านบทกวีของราชัน มิเช่นนั้นจะเป็นการดูหมิ่นต่อราชาแห่งทวยเทพองค์ก่อน’ ก็กระจายออกไปเหมือนไวรัส พวกพ่อค้าทำตามที่หลี่ว์ซู่พูดกันอย่างบ้าคลั่ง
นี่เป็นการตลาดที่บ้ามากสำหรับการหาเงิน นอกจากนี้ยังเป็นการล้มล้างพิธีการในศาสตร์ราชาอีกด้วย ถ้านักปราชญ์ไม่ได้เอาสบู่มาด้วย พวกเขาก็ไม่กล้าจะออกไปประชุมกันเลย…
หลี่ว์ซู่ยืนอยู่บนกำแพงในหมู่บ้านมังกรฟ้าและมองไปที่ภูเขาที่อยู่ไกลๆ เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอยู่ตลอดในโลกที่เขาจากมา ระดับเพชรยอดมงกุฎนั้นจะหลอกลวงผู้คนไปเรื่อยๆ ในคราบของความหวังดี
ในเวลานั้นมีคนจำนวนมากถูกลักพาตัวไปโดยกลโกง แต่ไม่มีใครอยากมีสติขึ้นมาหรอก เพราะพวกเขากำลังสนุกไปกับการกระทำแบบนี้
ศาสตร์ราชาในตอนนี้ก็เหมือนกัน หลี่ว์ซู่เพิ่งจะแนะนำแนวทางเพิ่มให้ความสำคัญมากขึ้นให้แก่พวกเขา
——
[1] อาวุธที่ในนวนิยายเรื่องไซอิ๋ว
Related
หลี่ว์ซู่ว่ามีบางอย่างแปลกๆ เกี่ยวกับโลกใบนี้เต็มไปหมด ถ้าหลงเชวี่ยเป็นแบบที่เขาคิดจริงๆ ก็แปลว่ายังมีเรื่องแปลกๆ อีกเยอะในโลกนี้!
เอาเรื่องตัวตนทางเพศของเธอไว้ก่อน หลี่ว์ซู่จับอะไรได้บางอย่างในคำพูดของเธอ ลงใต้ไปเมืองหนานเกิง แล้ววกกลับมาเมื่อไปถึงชายแดนแล้ว
ทุกคนรู้ว่าทัพเฮยอวี่กำลังใกล้เข้ามา แล้วแม่ค้าธรรมดาจะไปแถวชายแดนทำไมกันล่ะ ถึงแม้ถ้าเป็นระดับหนึ่งก็จะสามารถบินได้ก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถจะปกป้องคนทั้งหมดในคาราวานการค้าจากความโกลาหลนี้ได้หรอก ใช่ไหมล่ะ
เว้นเสียแต่ว่าหลงเชวี่ยกำลังปิดบังอะไรอยู่!
ที่เมืองหนานเกิงมีเมืองเล็กๆ อยู่รอบๆ สามเมือง และหนึ่งในเมืองนั้นก็มีพื้นที่เพาะปลูกด้วย!
ถึงแม้ว่าหลี่ว์ซู่จะไม่แน่ใจว่าเธอจะตรงไปที่พื้นที่เพาะปลูกหรือเปล่า แต่เขาก็เชื่อว่าการคาดเดาของเขาถูกต้อง!
จางเว่ยอวี่เป็นคนแปลก เพราะฉะนั้นหลี่ว์ซู่ก็เลยอดคิดว่าเรื่องนี้อาจจะเกี่ยวกับจางเว่ยอวี่ หลงเชวี่ยและจางเว่ยอวี่ไปตกลงอะไรกันไว้หรือเปล่านะ หลี่ว์ซู่ไม่แน่ใจเรื่องนี้เหมือนกัน ถ้าพวกเขามีภารกิจเดียวกัน งั้นหลงเชวี่ยก็มีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าจางเว่ยอวี่มาก
หลี่ว์ซู่เริ่มระมัดระวังขึ้นมาแล้ว สิ่งที่จางเว่ยอวี่เข้าไปเกี่ยวข้องนั้นน่าจะเกี่ยวกับราชาแห่งทวยเทพ หลี่ว์ซู่เดาว่าจางเว่ยอวี่คือคนที่ใกล้ชิดกับราชาแห่งทวยเทพมากที่สุด
เมื่อหลี่ว์ซู่นึกถึงเรื่องนั้นแล้ว เขาก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เขาควรจะเอาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้อง ถึงเขาจะฝึกจนอยู่จุดสูงสุดในโลกนี้แล้ว หรือฝึกจนเป็นเสินฉังจิ้งในโลกที่เขาจากมา ราชาแห่งทวยเทพก็น่าจะเป็นคนที่แข็งแกร่งกว่าเขาอยู่ดี
นี่ไม่ใช่เรื่องที่ผู้บำเพ็ญระดับห้าอย่างเขาจะเข้าไปเกี่ยวข้องได้ เป้าหมายของหลี่ว์ซู่ก็คือบังคับให้ตัวเองเลื่อนระดับขึ้นไปอีกหลังจากที่เขาอยู่ระดับหนึ่งแล้วด้วยการใช้ท่วงท่าวิชากระบี่ จากนั้นเขาก็จะเอาแต้มอารมณ์ไปแลกผลดวงดาวและหาทางกลับบ้าน
หลี่ว์ซู่อยากจะอยู่บนโลกที่เขาจากมามากกว่าโลกนี้
หลี่ว์ซู่ถามออกไปอย่างสบายๆ “ถ้าทัพเฮยอวี่ยกทัพกันมาล่ะ คุณไม่กลัวหรือครับ”
หลงเชวี่ยยิ้มตอบ “คนที่ฝึกไปจนเป็นปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่แล้วจะโจมตีไม่ได้ เราไม่ต้องกลัวอะไรหรอก ตอนนี้ไม่มีใครกล้ามาแตะต้องกฎที่ราชาแห่งทวยเทพสร้างไว้แน่นอน”
หลี่ว์ซู่ตะลึง งั้นคนที่เป็นปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ก็ไม่อนุญาตให้โจมตีงั้นสิ!
หลงเชวี่ยเข้ามาหาเขาแล้วก็ออกไปอย่างรวดเร็ว เขายังสงสัยอยู่เลยว่าหลงเชวี่ยจะขนสบู่ที่มีค่า 40,000 เหรียญไปได้อย่างไร ดูเหมือนว่าเธอจะมีคลังไร้รูปอยู่นะ
เมื่อเป็นแบบนั้นแล้วหลี่ว์ซู่ก็ยิ่งแน่ใจว่าว่าเธอมีตัวตนที่ไม่ธรรมดาแน่นอน เพราะคลังไร้รูปไม่ใช่สิ่งของที่จะหาได้ทั่วไปในโลกนี้
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋และหลี่ว์ซู่นั่งอยู่บนกำแพงหมู่บ้าน แล้วอยู่ๆ หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็ถามขึ้นมา “เธอว่าทัพเฮยอวี่จะมาที่นี่ไหม”
“ตอบไม่ได้หรอกนะ เราจะต้องดูก่อนว่าทัพชิงไซนั้นแข็งแกร่งแค่ไหน” หลี่ว์ซู่คิดแล้วพูดต่อไป “แต่จากที่ฉันดูแล้วทัพชิงไซน่าจะแข็งแกร่งพอๆ กับทัพเฮยอวี่เลยนะ ถ้าให้เปรียบเทียบกับแบรนด์ก็คงเป็นชาเนลกับปราด้า แต่ละคนก็มีข้อได้เปรียบของตัวเอง”
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋อึ้งไป “แล้วถ้าอย่างนั้นทัพอู่เว่ยล่ะ เปรียบเหมือนกับแบรนด์อะไร”
หลี่ว์ซู่เงียบไปสองวินาที “เคยได้ยินโรงงานผลิตหนังเจียงหนานไหม…”
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋คิดตาม ก็สมเหตุสมผลดีนะ…
“เมื่อเร็วๆ นี้ฉันเจอวิธีสกัดน้ำมันแบบใหม่ได้แล้วนะ” หลี่ว์ซู่พูดขึ้นมา “ตอนแรกคิดว่าน้ำมันหมูน่าจะไม่ค่อยแพงและเป็นเพียงของเหลือที่ใช้หลังการทอดอาหารเท่านั้น แต่หลังจากที่เราขยายตลาดธุรกิจไป เราก็จ่ายค่าซื้อหมูเสียเป็นส่วนใหญ่ ฉันลองไปถามหลี่เฮยทั่นแล้วว่าเรามีถั่วเหลืองกับเมล็ดคาโนลาบ้างหรือเปล่า เขาบอกว่ามีคนปลูกถั่วลิสงอยู่แถวเมืองอวิ๋นอัน เราน่าจะผลิตน้ำมันโดยใช้วิธีนี้ได้”
โลกนี้ยังไม่มีการใช้น้ำมันพืชในการทำอาหาร แต่ผู้คนเอาน้ำมันพืชไปทำเสื้อผ้าแทน โดยเฉพาะน้ำมันงา
วิธีการทำน้ำมันถั่วลิสงนั้นง่ายแสนง่าย คนธรรมดาเองก็ยังทำได้เลย ก็แค่เอาถั่วลิสงมาคั่วบนกระทะประมาณ 5 นาทีด้วยความร้อน 200 องศาเซลเซียส จากนั้นบีบคั้นน้ำมันออกมา
เมื่อทำการแยกน้ำมันออกมากากถั่วลิสงแล้วเอาไปทำสบู่ สบู่ที่ทำจากน้ำมันถั่วลิสงจะดูใสกว่าและสวยกว่า ซึ่งนั่นก็ทำให้หลี่ว์ซู่ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ออกมาขายได้
หลี่ว์ซู่ไม่มีความรู้เรื่องการตลาด เขาไม่มีหัวเรื่องการทำธุรกิจเช่นกัน เขารู้แค่ว่าเขาอยากหาเงินและเขาก็ต้องหาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกมาขาย สบู่สวยๆ พวกนี้คงเอาไว้ล่อตาลูกค้ารวยๆ ได้แน่ และสบู่หน้าตาธรรมดาก็ค่อยเอาไว้ขายให้ชาวบ้านแบบถูกๆ ทำแบบนี้แล้วความต้องการของทุกคนก็จะถูกเติมเต็ม
ความจริงแล้วการเป็นโจรก็ไม่ได้ยากเท่าไหร่ เพราะเมื่อเอากระบี่ขึ้นมาขู่บนโต๊ะแล้วคนอื่นก็จะอยากซื้อของกันเอง ถึงของนั้นจะเป็นเพียงแค่ก้อนหินก็ตาม แต่หลี่ว์ซู่เป็นโจรที่มีอุดมการณ์ เขาจะต้องพัฒนาธุรกิจของเขาให้ยั่งยืนให้ได้…
หลี่ว์ซู่บอกให้หลี่เฮยทั่นออกไปกว้านซื้อถั่วลิสงมาให้หมด เขายังส่งเสริมการเพาะปลูกอีกด้วย ถ้ามีคนปลูกถั่วลิสงหนึ่งหมู่[1]พวกเขาก็จะได้รับเงินไป 50 เหรียญ หลังจากที่ปลูกจนโตเต็มที่แล้วหลี่ว์ซู่จะขอซื้อในราคาจริง…
หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าเขากำลังเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจของเมืองอวิ๋นอัน เขาได้ยินมาว่ามีทหารบางคนของทัพอู่เว่ยหันมาปลูกถั่วลิสงกันบ้าง ทหารของทัพอู่เว่ยมีพื้นที่เพาะปลูกของตัวเองอยู่เหมือนกัน แต่เมื่อก่อนการขายผลผลิตไม่ค่อยได้กำไรเท่าไหร่ ทุกคนก็เลยขี้เกียจจะปลูกพืช ก็การปลูกพืชมันรวยไม่เร็วเท่าการปล้นน่ะสิ!
แต่ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไป เพราะมีการอุดหนุนทางการเงินเกิดขึ้น…
อย่างไรก็ตามน้ำมันในทัพอู่เว่ยนั้นล้วนกระจุกตัวอยู่ในมือของชนชั้นกลางขึ้นไป ทหารและคนระดับที่ต่ำลงมาต้องไปผ่านกระบวนการที่ยาวนานกว่าจะได้กินอาหาร แต่ตอนนี้พวกเขามีโอกาสที่จะหาเงินได้เองแล้ว พวกเขาได้รับการอุดหนุนทางการเงินด้วยเหมือนกัน อีกอย่างพวกหมู่บ้านมังกรฟ้าก็ขอซื้อถั่วลิสงในราคาที่สูงพอตัวด้วย…
ผู้คนในเมืองอวิ๋นอันจึงประหลาดใจอย่างบอกไม่ถูก ทหารขี้เกียจๆ ในทัพอู่เว่ยเริ่มจะขยันเพาะปลูกกันแล้ว…
ผู้คนพวกนี้รู้สึกสิ้นหวังกับเมืองอวิ๋นอันแบบเก่า แต่ตอนนี้พวกเขากลับรู้สึกว่าเมืองอวิ๋นอันกำลังเกิดใหม่อย่างเปล่งประกาย
ตอนนี้คนที่เคยมาเอาสบู่ไปฝากพวกญาติๆ ของพวกเขาก็เอารางวัลกลับมาให้หลี่ว์ซู่บ้าง พวกเขาไม่แค่เอาสบู่ไปแจกจ่ายเท่านั้นแต่ยังเอาข่าวไปกระจายด้วย พวกเขาบอกว่าพวกโจรในอวิ๋นอันที่มาจากหมู่บ้านมังกรฟ้าไม่ปล้นคนแล้ว แต่ตอนนี้พวกเขากลับมาทำธุรกิจแทน!
ผ่านไปแค่ครึ่งเดือนเท่านั้น ก็มีพ่อค้าจากเมืองหนานเกิงจากทางใต้และเมืองไคไท่จากทางเหนือมารวมตัวกันที่เมืองอวิ๋นอัน พวกทาสในร้านค้าที่ประตูเมืองต้องตอบคำถามมากมายว่าหมู่บ้านมังกรฟ้าอยู่ไหนตอนที่พวกเขากำลังจะเปิดร้าน…
แค่เพียงครึ่งเดือนเท่านั้น หลายๆ คนก็ได้เห็นโอกาสทางธุรกิจในสบู่แล้ว!
พวกเขาอยากจะทำวิจัยว่าสบู่ทำขึ้นมาได้อย่างไร แต่พวกเขาก็คิดไม่ออก
คนธรรมดาจะคิดทำสบู่ที่กำจัดคราบสกปรกและคราบมันขึ้นมาได้อย่างไร แถมยังทำมาจากไขมันด้วย พวกเขายังไม่มีนักเคมีเลยนะ!
เย่เสี่ยวหมิงที่อยู่ในวังไม่เข้าใจสถานการณ์ที่ลูกน้องของเขารายงานมาเลยแม้แต่น้อย พวกหมู่บ้านมังกรฟ้ากำลังทำอะไรกันอยู่ ธุรกิจหลายแห่งที่เขาเห็นมักจะหลีกเลี่ยงไม่ไปยุ่งกับพวกโจร แต่โลกกลับเปลี่ยนไปแล้ว พ่อค้ากลับเข้าหาโจรเองเสียนี่!
พวกเขาบ้ากันไปแล้วเหรอ
ในตอนนั้นเองที่หมู่บ้านมังกรฟ้า หลี่ว์ซู่ได้เริ่มงานแสดงสินค้าเป็นเวลาเจ็ดวัน เขายืนอยู่บนเวทีหินปูนอย่างกล้าหาญและดูมีชีวิตชีวา เขามองลงไปเห็นหน้าของพวกพ่อค้าที่เดินทางมาพร้อมกับฝุ่นละอองที่ติดทั่วใบหน้า “พวกคุณอยากประสบความสำเร็จกันหรือเปล่า ขอผมบอกอะไรพวกคุณหน่อยนะครับ มีพ่อค้าคนหนึ่งที่ไม่เชื่อในผลิตภัณฑ์ของผม แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าโลกนี้มีคนอยู่สองประเภทแล้ว ประเภทแรกก็คือคนที่เข้ามาร่วมการแลกเปลี่ยนทางการค้าอย่างพวกคุณ และอีกประเภทคือคนที่กำลังพยายามทำความเข้าใจการแลกเปลี่ยนนี้อยู่ เอาล่ะ ความสำเร็จอยู่ใกล้แค่ปลายจมูกของทุกคนแล้วนะครับ…”
——
[1] หน่วยวัดพื้นที่ของจีน มีค่าประมาณ 165 ตารางวา
Related
หลี่ว์ซู่กำลังกังวลว่าเขาจะตีตลาดสบู่ไปนอกเมืองอวิ๋นอันได้อย่างไร เขาก็เลยบอกหลี่เฮยทั่นให้ไปแจกสบู่ฟรีกับคนที่มาเที่ยวในเมือง
ตอนนี้พวกเขาเลยแจกของให้กับคนที่กำลังออกไปนอกเมือง มีผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองอวิ๋นอันถือโอกาสนี่ออกเมืองไปเยี่ยมญาติที่อยู่ไกลๆ ซึ่งถือว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยาก เพราะเมื่อก่อนคนที่มาเที่ยวจะโดนโจรขู่และปล้น
และมีคนที่ออกนอกเมืองไปเพื่อรับสบู่ฟรีด้วย แต่หลี่ว์ซู่ไม่ได้ติดใจมากอะไรเพราะสบู่ไม่ได้เป็นของแพงอยู่แล้ว อีกอย่างเขาก็อยากจะโฆษณาว่าสบู่นั้นใช้ได้สะดวกและง่ายแค่ไหน
หลังจากผ่านไปสักพักผู้คนก็เห็นว่าหมู่บ้านมังกรฟ้าไม่ได้จะเอาโทษคนที่แกล้งออกนอกเมืองไปเพื่อเอาสบู่ฟรี ผู้คนก็เลยแสร้งเดินไปมาหลังจากได้รับสบู่ไปแล้ว
หลี่เฮยทั่นไม่รู้จะทำอย่างไรดีก็เลยปรึกษากับหลี่ว์ซู่ หลี่ว์ซู่ตอบว่า “ปล่อยให้พวกเขาเอาสบู่ไปเถอะ”
“แต่ถ้าพวกเขามาเอาอีกล่ะครับ”
“ลืมไปแล้วหรือไงว่าเราเป็นโจร” หลี่ว์ซู่ตอบพลางนวดขมับตัวเอง
“เข้าใจแล้วครับ!” หลี่เฮยทั่นรับคำ วันต่อมาก็มีคนทำแบบเดิมอีก หลี่เฮยทั่นจึงกันไม่ให้พวกเขาออกนอกเมืองอวิ๋นอันและบอกให้พวกเขาจ่ายเงินค่าสบู่มา
คนพวกนั้นลังเลที่จะจ่ายเงินเพราะพวกเขารู้ว่าสบู่นี้เป็นสบู่แจกฟรี
หลี่เฮยทั่นบอกไปว่า “เราเป็นโจรนะ ถ้าเราบอกให้จ่ายพวกคุณก็ต้องจ่าย!”
ที่จริงหลี่ว์ซู่ก็รู้ดีว่าคนในพื้นที่ทุรกันดารนั้นจะมีแนวโน้มที่จะเป็นคนใจร้าย ฉะนั้นเขาก็ต้องแจ้งออกไปให้ชัดเจนว่าหมู่บ้านมังกรฟ้านั้นเป็นโจรที่ถูกฝึกสอนกันมาอย่างดีและคนอื่นๆ ก็มาทำเล่นๆ กับพวกเขาไม่ได้
หลี่ว์ซู่บอกตรงๆ ว่าเขาสนุกกับการเป็นโจรแบบนี้อยู่เหมือนกัน อย่างน้อยเขาก็มีคนคอยเคารพด้วยความเกรงกลัว
เมื่อตลาดในเมืองอวิ๋นอันเริ่มจะอิ่มตัวแล้ว หมู่บ้านมังกรฟ้าก็ได้เปิดตัวงานส่งเสริมการขายด้วยคำโฆษณาที่ว่า ‘ซื้อสบู่หมู่บ้านมังกรฟ้าให้คนที่คุณรัก’ มีการจัดงานนี้วันเว้นวันในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป
ผู้คนในเมืองอวิ๋นอันคุ้นเคยกับการขายแบบนี้ดี มีผู้หญิงบางคนถึงกับคิดว่างานการที่สบู่ลดราคาลงมาตั้ง 5 เหรียญนั้นถือว่าเป็นโอกาสที่ชีวิตนี้จะพลาดไม่ได้เลย!
เมื่อหลี่ว์เสี่ยวอวี๋เห็นคำโฆษณาของหลี่ว์ซู่ก็พูดไม่ออก…
บอกตรงๆ ว่าถ้าหลี่ว์ซู่เอาวิธีการขายนี้ไปใช้บนโลกก็คงจะขาดทุนแน่นอน แต่ในจักรวาลหลี่ว์ผู้คนยังไม่เคยเจอวิธีนี้มาก่อน
แล้วตอนนั้นเองหลงเชวี่ยก็ปรากฏตัวขึ้นมา และเธอก็ยืนกรานว่าจะซื้อสบู่ที่เหลือในสต็อกทั้งหมดของหมู่บ้านมังกรฟ้า เธอเป็นเดินทางไปเกือบจะทุกที่ในโลก สองวันก่อนเธอก็ได้ไปซื้อสบู่มาลองใช้และพบว่าผลลัพธ์ที่ได้มันน่าอัศจรรย์จริงๆ
ผลลัพธ์การทำความสะอาดคราบมันเยิ้มบนมือหลังการกินอาหารก็ดีมากๆ และยังเอาไปสระผมตอนอาบน้ำได้อีกด้วย!
ในยุคนี้แชมพูและครีมนวดผมยังเป็นของหายาก เพราะฉะนั้นสบู่นี่แหละจึงเป็นผลิตภัณฑ์ล้างร่างกายที่ดีที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยเห็นมา
ไม่ใช่เพียงแค่นั้น หลงเชวี่ยเองก็อยู่ในหมู่บ้านมังกรฟ้าตั้งแต่หลี่ว์ซู่เริ่มเป็นหัวหน้าหมู่บ้านคนใหม่ เธอแอบมองมาโดยตลอดและพบว่าเมืองนี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว ตอนแรกเธอก็ไม่ได้สนใจเพราะกองโจรเป็นเพียงแค่กลุ่มคนที่ไร้ค่าและไร้อารยธรรม
หลังจากนั้นเธอก็หาข้อมูลมาได้มากขึ้น เธอรู้ว่าผู้นำคนใหม่สองคนของหมู่บ้านมังกรฟ้าน่าจะอยู่ในระดับหนึ่ง ซึ่งนั่นก็ทำให้เธอสนใจเป็นอย่างมาก แล้วเธอก็ตระหนักว่าสิ่งต่างๆ ในหมู่บ้านมังกรฟ้าได้เปลี่ยนไปแล้วหลังจากที่มีผู้นำคนใหม่ ดูจากวิธีแปลกใหม่ที่พวกเขาสรรหามาเก็บค่าคุ้มครองนั่นสิ…
วันนี้หลงเชวี่ยตัดสินใจเข้ามาในหมู่บ้านด้วยตัวเองด้วยเหตุผลสองประการ ประการแรกก็คือเธอสนใจสบู่และอยากจะซื้อกลับติดไม้ติดมือไปด้วย ส่วนประการที่สองก็คือเธออยากจะทำความรู้จักกับผู้นำหมู่บ้านคนใหม่
ก่อนที่เธอจะไปถึง เธอก็คิดว่าเธออาจจะรู้จักผู้นำระดับหนึ่งในจักรวาลหลี่ว์ทุกคนอยู่แล้วเพราะทุกคนต่างมีชื่อเสียงกันมาก แต่ถึงอย่างไรเธอก็ต้องประหลาดใจที่เธอไม่รู้จักใครที่นี่เลยแม้แต่คนเดียว แล้วก็มีชายชราคนหนึ่งสวมผ้าคลุมสีชมพูยืนอยู่หลังชายหนุ่มด้วย ดูแปลกอะไรอย่างนี้…
หลงเชวี่ยมองไปรอบๆ ในใจของเธอคิดว่าหมู่บ้านมังกรฟ้าน่าจะเป็นสถานที่ที่สกปรกและยุ่งเหยิง อีกทั้งเต็มไปด้วยชายที่เปลือยครึ่งตัวที่เดินย่ำอยู่บนพื้นโคลน
หมู่บ้านนี้น่าจะมีกลิ่นเหม็นด้วย ถึงอย่างไรแล้วที่นี่ก็ไม่ค่อยน่าอภิรมย์เท่าไหร่
แต่เธอก็ต้องประหลาดใจเมื่อเธอบินข้ามกำแพงหนาของหมู่บ้านเข้ามา มันดูไม่ใช่ป้อมปราการที่พวกโจรธรรมดาจะสร้างได้เลย แล้วเธอก็ประหลาดใจมากขึ้นอีกเมื่อเห็นสิ่งปลูกสร้างภายในหมู่บ้าน
ในหมู่บ้านนี้ไม่ใช่สถานที่สกปรกที่โจรมาซ่องสุมกันอยู่อีกแล้ว ที่พื้นมีแผ่นหินสีน้ำเงินที่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ไปขุดมาจากภูเขาปกคลุมอยู่
หนินพวกนั้นทั้งดูเรียบและหมดจด มันถูกแกะสลักด้วยเส้นกันลื่นที่แสนละเอียดอ่อน ตรงทางเดินสูงชันก็มีบันไดไว้ด้วย มีน้ำตกไหลมาจากภูเขาด้านหลังและตัดผ่านหมู่บ้าน มีการวางรากฐานของศาลาข้างแม่น้ำที่ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว
หลงเชวี่ยเกือบคิดว่าตัวเองหลุดเข้าไปอยู่ในโรงแรมพักร้อนอยู่ครู่หนึ่ง
ต้องขอบคุณความพยายามทั้งหมดของหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ เธอหาแร่ด่างมาพอที่จะใช้ได้ในระยะยาวจากนั้นเธอก็ไม่มีอะไรทำต่อ
เพราะฉะนั้นเธอก็เลยใช้เวลาว่างเพื่อปรับปรุงหมู่บ้านมังกรฟ้าเพื่อให้ทัศนียภาพดูดีมากขึ้น
ตอนที่หลงเชวี่ยโฉบลงมาบนพื้น เธอก็เปลี่ยนความคิดที่ว่าจะมาทำการซื้อขายสบู่เป็นทำความรู้จักผู้นำหมู่บ้านคนใหม่ที่แสนจะน่าสนใจคนนี้ให้ดีขึ้น
แต่เธอก็พบว่าผู้นำหมู่บ้านคนใหม่นั้นไม่ได้อยากจะเจอเธอ แต่เขาก็เปลี่ยนใจทันทีเมื่อพบว่าเธอมาเพื่อขอซื้อสบู่ พูดตามตรงแล้วก็ไม่ค่อยมีคนที่ปากตรงกับใจมากนักเท่าไหร่ในจักรวาลหลี่ว์ ไม่เหมือนกับชายคนนี้ เขาแสดงความโลภอยากได้เงินมาอย่างชัดเจนเลยทีเดียว…
เธอคาดว่าเขาคงจะมีความสุภาพอยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่ได้แสดงท่าทางนั้นออกมาเลย แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้ชายที่หบ่อใช้ได้เลยนะ…
สีหน้าของหลงเชวี่ยชะงักไปเล็กน้อนเมื่อเธอเห็นหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ แต่จากนั้นเธอก็กลับมาทำสีหน้าแบบเดิม
แต่นั่นก็ไม่ได้เล็ดลอดสายตาของหลี่ว์ซู่ไปได้ เขาสงสัยว่าเธอกำลังปิดบังอะไรอยู่นะ
ร่างของหลงเชวี่ยดูสมบูรณ์แบบอยู่ในชุดสูทสีแดงค่อนข้างพอดีตัว เธอดูเหมือนกับเป็นนกฟีนิกซ์ไฟ
หลงเชวี่ยหัวเราะอย่างร่าเริง “เอาสบู่มาทั้งหมดที่มีเลยค่ะ ครั้งนี้ฉันจะเดินทางลงใต้ไปที่เมืองหนานเกิงพอไปถึงที่ชายแดนก็จะวกกลับ หลังจากนั้นก็จะผ่านเมืองหลวงทางใต้และพระราชวัง เสร็จแล้วก็มุ่งขึ้นเหนือ ฉันขอรับรองเลยว่าทั้งจักรวาลหลี่ว์นี้จะรู้จักผลิตภัณฑ์สบู่ของคุณเป็นอย่างดี ถ้าคุณมีสินค้าคงคลังเหลือพอน่ะนะ”
หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าหลงเชวี่ยเป็นคนกล้าและเท่เหมือนผู้ชาย ก่อนหน้านี้เขาได้ยินจากพนักงานเสิร์ฟในร้านว่าเธอมีนิสัยผิดปกติไม่เหมือนใคร…หรือว่าเธอจะเป็นเลสเบียนกันนะ
เดี๋ยวก่อน ตอนที่เธอมองหลี่ว์ซู่นั่นต้องมีความหมายอะไรแน่ๆ เลย! แล้วความรู้สึกเป็นกังวลก็คืบคลานเข้ามาให้ความคิดของหลี่ว์ซู่…
หลี่เฮยทั่นพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “เจ้านายเราให้มาเตือนนายว่าอย่าลืมว่างานของเราคืออะไร เราขายสบู่เป็นงานอดิเรกเท่านั้น เข้าใจไหม ความทะเยอทะยานของเราสูงส่งกว่านั้น”
หลินกุ้ยตะลึงอยู่นาน อะไรกันเนี่ย พวกนี้กลายเป็นโจรที่มีความทะเยอทะยานกันตั้งแต่เมื่อไหร่!
แต่พวกเขาก็เป็นโจรกันอยู่ดี ไม่ว่าจะมีความทะเยอทะยานแค่ไหนก็ตามแต่!
ธรรมชาติของหมู่บ้านมังกรฟ้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง แม้พฤติกรรมของผู้นำคนใหม่จะมีความผิดปกติไปก็ตาม ดังนั้นพวกเขาจึงทำตัวไม่มีเหตุผลและก้าวร้าวอย่างเคย
ผ่านไปแค่วันเดียว หลี่ว์ซู่ก็ได้รับแต้มอารมณ์มาระลอกใหญ่ เขาไม่ต้องเข้าไปตรวจดูเขารู้ว่าแต้มพวกนี้จะต้องได้มาอย่างน้อยหนึ่งล้านแต้มแน่ๆ
ในขณะนั้นเองหลี่ว์ซู่ก็ใช้เวลาที่มีทั้งหมดในการฝึกกระบี่ หมู่บ้านมังกรฟ้าเป็นดินแดนที่มีความเข้มข้นของพลังจิตวิญญาณสูงอย่างที่เขาไม่ได้คาดคิด และปริมาณของคลื่นพลังจิตวิญญาณก็สูงกว่าในบ้านเล็กๆ ของจางเว่ยอวี่มาก ซึ่งนั่นก็ทำให้หลี่ว์ซู่ก้าวหน้าในการฝึกบำเพ็ญอย่างรวดเร็ว
เขาเลื่อนระดับขึ้นมาเป็นระดับห้าแล้ว เขาคาดว่าจะใช้เวลามาถึงจุดนี้ประมาณสามเดือนแต่เขาก็ทำสำเร็จภายในเวลาไม่ถึงเดือน
หลี่ว์ซู่รู้ดีว่าความแข็งแกร่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการอยู่ในโลกนี้
ถึงแม้ว่าเขาจะทะนงตัวเพราะเขาสามารถเชื่อมต่อกับหัวหน้าบาทหลวงได้ แต่จะมันจะทำงานได้ดีกว่านี้ถ้าเขามีความแข็งแกร่งพอ
ตอนนี้ทักษะกระบี่ของเขาก็บรรลุสถานะที่สามารถปลดปล่อยพลังงานกระบี่ออกมาและนำไปใช้ตามความต้องการของเขาได้แล้ว
ถึงเขาจะถือแค่กิ่งไม้ในมือ แต่ก็รู้สึกเหมือนว่าเป็นกระบี่ และกระบี่ก็เป็นเหมือนส่วนหนึ่งของร่างกายเขาไปแล่ว
ตอนแรกหลี่ว์ซู่อยากจะทำสบู่ขายกับหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ แต่หลังจากที่เปลี่ยนแผนแล้ว พวกโจรในหมู่บ้านมังกรฟ้ากลายเป็นคนงานที่ทำงานให้เขาไปแล้ว และผลผลิตของพวกเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก
ตอนนี้หลี่ว์เสี่ยวอวี๋มีหน้าที่เดียวคือนำแร่ด่างกลับคืนมา หลังจากนั้นหลี่ว์ซู่ก็จะสกัดแร่หยาบนั้นเพื่อกลั่นให้ได้โซดาไฟ และจะถูกเพิ่มเข้าไปในขั้นตอนสุดท้าย ส่วนที่เหลือก็จะถูกส่งให้คนงานในโรงงานผลิตต่อไป
หลี่ว์ซู่ถอนหายใจออกมา “วางแผนดีก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว…”
ที่จริงพวกคนงานพวกนี้ไม่ได้ลำบากกันเลย เมื่อก่อนอดีตเจ้านายของพวกเขาจะให้เงินพวกเขาตามใจของเขาเท่านั้น และไม่มีใครทำอะไรได้ แต่ตอนนี้พวกคนงานได้รับค่าจ้างตามผลงาน ยิ่งพวกเขาทำสบู่ออกมาได้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งได้เงินมากเท่านั้น วิธีนี้มั่นคงกว่าการเป็นโจรมาก…
เมื่อก่อนพวกเขากินข้าวจากอาหารที่เจ้านายเหลือไว้ให้เท่านั้น แต่ตอนนี้พวกเขาได้กินเนื้อบ้างตามโอกาสสมควร
เพราะฉะนั้นเมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเขาเห็นป้ายที่เขียนว่า ‘จงทำงานเพื่อหลุดพ้นจากความจน’ พวกเขาก็จะกราบไหว้ทำความเคารพอย่างกับเป็นศาลเจ้า…
คำพูดนี้สลักเข้าไปให้หัวสมองของทุกคนแล้ว พวกที่ไม่รู้หนังสือก็จำได้ขึ้นใจเช่นกัน… พวกเขารู้วิธีการเขียนตัวอักษรจีนหกตัวตามคำพูดนั้น ถึงแม้ว่าพวกเขายังเขียนชื่อตัวเองกันไม่เป็นเลย!
ก่อนหน้านี้พวกโจรรู้สึกชีวิตได้ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่กันแล้ว ทุกคนเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นในการทำให้ธุรกิจของเจ้านายใหม่เติบโตหลังจากได้รับเงินกันแล้ว!
ขณะนี้หลี่ว์ซู่กำลังถือสบู่ไว้ในมือและพูดกับหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ว่า “ทำสบู่ไม่ยากหรอก ถึงตอนนี้เราจะเก็บสูตรไว้เป็นความลับแต่พวกเขาก็น่าจะเอาสูตรพวกเราไปได้สักวันแหละ เราจัดการเองไม่ได้ทั้งหมดหรอก อีกเดี๋ยวก็จะมีของปลอมออกมาให้เกลื่อน”
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋มองหน้าเขาด้วยความกังวล “แล้วเราจะทำยังไงกันดีล่ะ”
เธอดูอยากจะบอกหลี่ว์ซู่ว่าให้ฆ่าคนทำของปลอมทิ้งซะ แต่เอก็ไม่ได้พูดออกมาตรงๆ เพราะตอนนี้หลี่ว์ซู่ดูเหมือนจะเป็นคนรักสันติมากเหลือเกิน
“เรามาออกแบบโลโก้กันดีไหม” หลี่ว์ซู่ถาม “จะได้สร้างแบรนด์ของตัวเองเลยไง”
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋คิดตาม เธอควบคุมแอนโทนี่ให้สร้างแบบพิมพ์ในหัวของหลี่ว์ซู่…
พวกเขาเงียบกันไปอย่างกระอักกระอ่วน จากนั้นหลี่ว์ซู่ก็ออกความเห็น “ฉันว่าฉันเคยเห็นโลโก้คล้ายๆ กันนี่บนขวดน้ำมันพริกตราเหล่ากั้นมาแล้วก็อยู่บนซองผงเครื่องเทศตราหวังโส่วอี้มาก่อนนะ..”
เขาไม่ได้จะบอกว่าของพวกนี้ไม่ดีนะ ที่จริงหลี่ว์ซู่ชอบตราเหล่ากั้นมาด้วย แต่เขารู้สึกว่ามันไม่เข้ากัน…
“ฉันว่ามันออกจะดี” หลี่ว์เสี่ยวอวี๋พูดและขมวดคิ้วพลางทำสีหน้าไม่เห็นด้วย
“ที่จริงมันก็ดูเหมือนฉันจริงๆ นั่นแหละ” หลี่ว์ซู่พูด “เธอวาดรูปเก่งมากเลยเสี่ยวอวี๋”
จากนั้นหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็ทำแบบพิมพ์หน้าโดราเอมอนขึ้นมา แต่หลี่ว์ซู่ส่ายหัว “อย่าสิ เดี๋ยวติดลิขสิทธิ์นะ…”
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋พูดไม่ออกเลย พวกเขากำลังอยู่ในจักรวาลหลี่ว์นะ! ทำไมจะต้องมากังวลเรื่องลิขสิทธิ์อะไรนี่ด้วย!
จากนั้นหน้าโดราเอมอนก็เปลี่ยนเป็นหน้าของเจ้ากระรอกเสี่ยวซยงสวี่
ตาของหลี่ว์ซู่เป็นประกายด้วยความประหลาดใจ “ฉันชอบอันนี้นะ! เอาไปปั๊มบนสบู่ของเราเลย!”
แล้วนั่นก็เป็นที่มาของแบรนด์สบู่ตราเสี่ยวซยงสวี่
อย่างไรก็ตามพวกที่ทำของปลอมก็อาจจะปลอมโลโก้ของพวกเขาไปด้วย สุดท้ายหลี่ว์ซู่ก็ตัดสินใจเปิดตลาดสบู่โดยเร็วที่สุด เก็บเกี่ยวผลกำไรให้เพียงพอก่อนที่จะมีคู่แข่งทางการค้าเกิดขึ้น
ที่สุดแล้วพวกเขาก็ต้องกลับโลกกันสักวัน เพราะฉะนั้นพวกเขาก็ไม่ได้หวังว่าตัวเองจะต้องรวยที่สุดในจักรวาลหลี่ว์นี้ อีกอย่างก็ฟังดูไม่สมเหตุสมผลที่เขาจะเป็นเศรษฐีที่มั่งคั่งที่สุดของที่นี่ด้วยการขายสบู่
“เราจะต้องบอกผู้คนภายนอกให้รู้ว่าที่นี่ไม่มีโจรแล้วและที่นี่ก็เอื้อต่อการค้าขายด้วย ไม่อย่างนั้นก็จะไม่มีใครอยากมา” หลี่ว์ซู่พูดขึ้นมาหลังจากคิดอยู่นาน “ระวังเย่เสี่ยวหมิงด้วยล่ะ เขาอาจจะก่อเรื่องอะไรก็ได้ ไปบอกหลี่เฮยทั่นให้ไปโฆษณาในหมู่บ้านมังกรฟ้าของเรา และบอกว่าเราจะคุ้มกันความปลอดภัยให้กับพ่อค้าแม่ค้าในบริเวณนี้ ถ้าเธอเจอโจรหน้าใหม่อีกก็ให้กำจัดไปเลย”
หลี่ว์ซู่ไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นคนดี และเขาก็ไม่รังเกียจที่จะใช้ความรุนแรงกับพวกคนเลวด้วย
เมื่อเช้าตรู่ของอีกวันมาถึง หลี่เฮยทั่นก็รีบวิ่งกุลีกุจอกลับเข้ามาพร้อมกับถือสบู่ที่ผลิตออกมาใหม่ เขาตะโกนขึ้นมาว่า “ท่านครับ ท่าน! ผู้หญิงคนนั้นกำลังมาแล้วครับ! เจ้านายทาสผู้แข็งแกร่งคนนั้น!”
หลี่ว์ซู่งง “ใครนะ”
“ก็แม่ค้าที่มาเมืองอวิ๋นอันเมื่อเร็วๆ นี้เพื่อรวบรวมสินค้าพิเศษน่ะสิครับ” หลี่เฮยทั่นกล่าว
“แล้วเธอมาที่นี่ทำไม” หลี่ว์ซู่ขมวดคิ้วถาม แต่ก็เป็นข่าวดีเพราะหลี่เฮยทั่นบอกว่าแม่ค้าคนนี้มีเงินมหาศาล ว่ากันว่าเธอทำธุรกิจจนประสบความสำเร็จมากในเมืองหวังเฉิง และเธอก็เดินทางบ่อยเพราะชอบกิจกรรมกลางแจ้ง
เมื่อก่อนนั้นเขาอยากจะหาตัวเธอเพื่อขอให้มาลงทุนแต่ก็หาไม่เจอ ตอนนี้เธอกลับเข้ามาในเมืองเพื่อมาหาเขาเองเลย…
หลี่ว์ซู่อยากจะเล่นตัวและปฏิเสธเธอไป แต่ทันใดนั้นเธอก็บินมาปรากฏตัวแล้ว
หลี่ว์ซู่ประหลาดใจมาก “คุณอยู่ระดับหนึ่งนี่ครับ! ทำไมถึงเลือกทำการค้าขายล่ะ”
เจ้านายคนนี้ดูสวยสง่ามาก เธอยิ่งดูเท่ในชุดสูทสีแดง เธอหันมายิ้มให้หลี่ว์ซู่ “ฉันเป็นแม่ค้าระดับหนึ่ง ส่วนเธอก็เป็นโจรระดับหนึ่ง ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเองนะ ให้ฉันแนะนำตัวหน่อยก็แล้วกัน ฉันชื่อหลงเชวี่ย”
ในตอนนั้นเองหัวหน้าบาทหลวงก็มายืนอยู่หลังหลี่ว์ซู่ แต่หลี่ว์ซู่ทำหยิ่งแล้วก็ถามออกไป “แล้วลมอะไรพัดคุณมาที่หมู่บ้านมังกรฟ้าของเราล่ะครับ”
หลี่ว์ซู่เชื่อว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ได้มีเบื้องหลังที่ธรรมดาแน่ ไม่อย่างนั้นเธอก็คงไม่เป็นแม่ค้าระดับหนึ่งที่แข็งแกร่งขนาดนี้ เพราะฉะนั้นเธอก็อาจจะมีอีกตัวตนซ่อนอยู่ หลี่ว์ซู่ตัดสินใจที่จะหลีกเลี่ยงการปะทะเพื่อป้องกันปัญหาที่จะตามมาในอนาคต
“มีสบู่เหลืออยู่เท่าไหร่ล่ะ” หลงเชวี่ยถามด้วยรอยยิ้มกว้าง “ฉันขอซื้อทั้งหมดเลย!”
หลี่ว์ซู่ยืดหลังขึ้นตรงทันที “งั้นตั้งแต่ตอนนี้เราก็เป็นสหายกันแล้วนะครับ!”
ในคืนเดียว กลุ่มโจรละแวกเมืองอวิ๋นอานต่างล่มสลาย ชาวบ้านไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น แต่มีข่าวแพร่กระจายในบรรดาทาสของขุนนาง หมู่บ้านชิงหลงกวาดล้างโจรก๊กอื่นจนหมดสิ้นในคราวเดียว
มีคนจํานวนน้อยที่รู้ว่าการล่มสลายของก๊กโจร 10 กว่าก๊กในวันนั้น ผู้บัญชาการทัพอู่เว่ย เยี่ยเสี่ยวหมิงกลับมาแล้วมีอาการสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
มีคนคาดเดาว่าเขาอาจจะได้ต่อสู้กับหัวหน้าหมู่บ้านชิงหลงคนใหม่และพ่ายแพ้!
น่าตกใจมากที่ผู้แพ้คือเยี่ยเสี่ยวหมิงที่มีพลังระดับ 2 แล้วหัวหน้าหมู่บ้านคนใหม่นั่นจะมีพลังระดับไหน
หลังจากที่เยี่ยเสี่ยวหมิงกลับมาก็เก็บเนื้อเก็บตัว ขุนนางและนายทาสที่มาเยี่ยมเพื่อสืบข่าวต่างไม่ได้ให้เข้าพบ มีคนสังเกตว่าเยี่ยเสี่ยวหมิงได้ส่งคนออกไปนอกเมือง ทุกคนคิดว่าเขาจะขอกำลังทหารมาช่วยแต่คนที่ออกไปนั้นกลับตายอยู่ที่นอกเมือง
เพียงชั่วพริบตา หมู่บ้านชิงหลงกลายเป็นคำต้องห้ามในบรรดาขุนนาง ทุกคนล้วนไม่อยากวู่วามเคลื่อนไหวได้แต่รอดูสถานการณ์
ไม่ว่าทัพอู่เว่ยหรือหมู่บ้านชิงหลงก็ดี ฝ่ายไหนที่มีความเคลื่อนไหวก็จะมีผลกระทบต่อเมืองอวิ๋นอานอย่างมาก
ในเวลาเดียวกัน ชาวหมู่บ้านชิงหลงกำลังยุ่งตัวเป็นเกลียว หลี่เฮยทั่นพาคนพร้อมกับกล่องสบู่กล่องแล้วกล่องเล่าเข้าๆ ออกๆ เมืองอวิ๋นอานไม่ขาดสาย…
ร้านค้าจำนวนมากก็เริ่มกลัวว่าเพิ่งจะเก็บค่าคุ้มครองไปทำไมมาอีกแล้วแต่ต่อมามีข่าวออกมาว่า หมู่บ้านชิงหลงเปลี่ยนหัวหน้าคนใหม่แล้ว
ทุกคนจึงเข้าใจว่าเมื่อเปลี่ยนหัวหน้าคนใหม่ก็ต้องมาเก็บค่าคุ้มครองครั้งหนึ่งเพื่อเป็นการแสดงบารมี ใครไม่ให้ก็จะถูกเชือดไก่ให้ลิงดู
ด้วยพลังของหัวหน้าหมู่บ้านตอนนี้ยังเป็นปริศนากับคนอื่น ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาคิดจะทำอะไร
ต่อมาพบว่าหมู่บ้านชิงหลงต้องการทำการค้ากับทุกคนจริงๆ …
หลี่เฮยทั่นพาคนขนกล่องสบู่เข้าเมือง จากนั้นก็พูดกับเถ้าแก่ร้านค้าทุกท่านว่า “สบู่ของเราเป็นของดี หัวหน้าเราบอกว่าของสิ่งนี้เป็นของจำเป็นในชีวิตประจำวัน พวกคุณจะไม่เสียใจที่ซื้อมัน”
หลี่ว์ซู่มั่นใจในสินค้าของเขา คนทั่วไปต้องการความสะดวกสบายในชีวิต เมื่อใดใช้สบู่ที่ล้างมือสะอาดแล้วก็จะต้องติดใจ
มันเป็นสินค้าที่เข้ากับยุค ดังนั้นหลี่ว์ซู่จึงคิดว่าเขาแค่เปิดโอกาสแล้วเงินทองก็จะไหลมาเทมาหาเขา
ไม่นานนัก เหล่าขุนนางก็เริ่มเข้าใจว่าหมู่บ้านชิงหลงกำลังทำอะไรอยู่และเอาสบู่มาศึกษา พวกเขาอยากรู้ว่าเจ้าสิ่งนี้มีความมหัศจรรย์อย่างไรหรือว่าเป็นลูกเล่นของหมู่บ้านชิงหลง
จากนั้นทุกคนก็พบว่า…มันก็ใช้งานได้ดีจริงๆ!
แต่ราคาสบู่ของหมู่บ้านชิงหลงค่อนข้างแพง ชาวบ้านธรรมดาซื้อไม่ไหว แต่ภายใน 7 วันสบู่ก็กลายเป็นสินค้าแฟชั่นในหมู่ลูกหลานขุนนางเพราะลูกสาวขุนนางและนายทาสบางคนพบว่าสบู่นี้สามารถสระผมได้สะอาดมาก
ยุคที่ทุกคนใช้ใบไม้สระผมได้ผ่านไปแล้ว เมืองอวิ๋นอานได้เปิดยุคแห่งสบู่อย่างเป็นทางการ
ถ้าเป็นสินค้าธรรมดาไม่มีทางเป็นที่รู้จักได้รวดเร็วขนาดนี้เพราะหมู่บ้านชิงหลงใช้วิธีการเก็บค่าคุ้มครองในการขายสินค้า…
เหล่าขุนนางจึงรู้สึกประหลาดใจเมื่อก่อนโจรก็เคยใช้วิธีขายของเก็บค่าคุ้มครองแต่นั่นเป็นของไร้ประโยชน์พวกหินพวกกิ่งไม้
พวกเขาเพิ่งเคยเห็นโจรขายสินค้าจริงจังและใช้งานได้ดีแบบนี้เป็นครั้งแรก…
พริบตาผ่านไปครึ่งเดือน ทุกคนต่างเคยชินกับภาพการส่งสบู่ของหมู่บ้านชิงหลง พวกเขาพบว่าหมู่บ้านชิงหลงไม่ได้ขายให้ทุกร้าน อย่างน้อยเขาก็ใช้หลักความสมัครใจในการซื้อ
ทันใดนั้น ชาวบ้านก็เริ่มมีทัศนคติที่ดีกับหมู่บ้านชิงหลงถึงขั้นรู้สึกว่าหมู่บ้านชิงหลงเป็นโจรนิสัยดี แต่มีคนมาบอกว่าหมู่บ้านชิงหลงเปลี่ยนธงแล้ว ไม่ใช้ผดุงความยุติธรรมแทนสวรรค์แต่เป็นหลุดพ้นความยากจนมุ่งสู่ความร่ำรวย…
ในช่วงนี้มีคนออกนอกเมืองไปเยี่ยมญาติ เมื่อกลับมาในเมืองแล้วได้พูดกับคนในเมืองว่าเจอคนจากหมู่บ้านชิงหลงขวางทางไว้ ทุกคนเป็นห่วงและถามว่า “พวกเขาทำร้ายนายไหม”
เมื่อก่อนชาวบ้านประสบเหตุการณ์โจรข่มขู่ระหว่างทางจนชินตา ถึงขั้นถูกฆ่ายกครัวก็มีให้เห็นแต่ตอนนี้เหมือนไม่เป็นแบบนั้นแล้ว
คนนั้นบอกว่า “พวกเขาไม่ได้ปล้นแต่ยัดสบู่ในซองกระดาษอย่างดีมาให้ ให้ฉันเอาไปให้ญาติแต่ฉันต้องบอกญาติด้วยว่าเป็นของมาจากหมู่บ้านชิงหลง…”
คนข้างๆ สูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ โจรพวกนี้นับวันไม่เหมือนโจรเข้าไปทุกที!
ที่จริงชาวหมู่บ้านชิงหลงรับรู้เรื่องนี้ได้ดีที่สุด ด้วยเงินที่หามาในครึ่งเดือนนี้มากพอกับรายได้ทั้งปีในอดีต เมื่อก่อนมีก๊กโจร10 กว่าที่ ตอนนี้มีเพียงหมู่บ้านชิงหลงแห่งเดียว นอกจากแบ่งกำไรให้ผู้บัญชาการทัพอู่เว่ย 10% รายได้ที่เหลือทั้งหมดจึงเป็นของหมู่บ้านชิงหลง
แต่หลี่ว์ซู่ไม่พอใจยอดขายแค่นี้ นอกจากหลี่เฮยทั่นที่ไปส่งของที่เมือง คนอื่นๆ ต้องผลิตสบู่
เมืองอวิ๋นอานเล็กเกินไปไม่เหมือนกับเมืองหนึ่งเมืองของโลก
จากการคำนวณของหลี่ว์ซู่ ประชากรเมืองอวิ๋นอานทั้งหมดยังไม่ถึงหนึ่งแสนคนแต่ก็เป็นจำนวนที่ไม่น้อยแล้วเพราะว่าเมืองนี้ถูกทหารอู่เว่ยทรมานมาหลายปี
แต่ในจำนวนแสนคนมีคนที่ซื้อสบู่ได้ไม่มากนัก หลี่ว์ซู่ไม่อยากไปบังคับชาวบ้านแค่ใช้ชีวิตประจำวันก็ยากพอแล้ว
ดังนั้นหลี่ว์ซู่จึงมองไปตลาดด้านนอก
จักรวาลหลี่ว์ตั้งกว้าง ถ้าทั้งจักรวาลใช้สบู่เขา เขาไม่กลายเป็นเศรษฐีหมื่นล้าน? ในยุคนี้ยังไม่มีนักวิทยาศาสตร์ ถ้าคิดจะวิจัยวิธีผลิตสบู่ออกมาคงจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยเป็นปีๆ
ภาพลักษณ์หมู่บ้านชิงหลงค่อยๆ ดีขึ้น แต่หลี่ว์ซู่ไม่เคยต้องการให้เปลี่ยนจนหมด ในกลียุคแบบนี้ ยิ่งดูแข็งแกร่งก็ยิ่งมีคนมารังแกน้อยลง
หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าก่อนหน้านี้เขาค่อนข้างตายตัวมากไป อยากให้ตัวเองค่อยๆ ปรับตัวเข้าจักรวาลให้เหมือนเป็นคนของจักรวาลนี้แต่พอมาเข้าพบว่าจักรวาลนี้วุ่นวายเหลือเกิน แต่ละคนมุ่งเอาชีวิตรอดและความเป็นใหญ่ เขาแค่ให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นมาบ้างแค่นี้ก็พอจะเป็นเหมือนคนจักรวาลนี้แล้ว… คนอื่นไม่คิดซับซ้อนแบบเขา
ล่วงเข้าสู่เดือนใหม่ หลี่ว์ซู่ให้หลี่เฮยทั่นไปเก็บค่าคุ้มครอง หลี่เฮยทั่นพาคนควบม้าไปที่โรงจำนำของหลินกุ้ย เถ้าแก่ออกมาต้อนรับอย่างอบอุ่น “ยินดีต้อนรับทุกท่าน ช่วงนี้พวกเราต่างพูดกันว่าคนหมู่บ้านชิงหลงเป็นคนดีทั้งนั้น ไม่ได้เป็นโจร”
หลี่เฮยทั่นชำเลืองมองเขา “มัวแต่พูดมากอะไรอยู่ ครั้งนี้ฉันเอาสบู่อันใหม่มา จ่ายเงินมาเหมือนเดิมซะ”
หลินกุ้ยยิ้มอย่างจำใจ “เอ่อ คืออย่างนี้ ครั้งก่อนพวกเรายังขายไม่หมดเลย ครั้งนี้ไม่เอาแล้วกันนะ”
หลี่เฮยทั่นมองหลินกุ้ยแล้วก็หยิบดาบใหญ่ที่เหน็บอยู่ข้างเอววางลงบนโต๊ะ “ไม่ซื้อหรือ ใครอนุญาตให้นายพูดว่าไม่ซื้อ”
หลินกุ้ย “…”
[ได้แต้มจากหลินกุ้ย +666!]
หลี่ว์ซู่หัวเราะแล้วถามว่า “ใครคิดน้อยไป”
เยี่ยเสี่ยวหมิง “ขอโทษด้วย ฉันเองที่คิดน้อยไป…”
[ได้แต้มจากเยี่ยเสี่ยวหมิง +999]
ทันใดนั้น หลี่เฮยทั่นที่อยู่ข้างๆ หลี่ว์ซู่พูดขึ้นว่า “นายไม่ได้คิดน้อยไป นายคนถูกกำจัด…”
หลี่เฮยทั่นรู้สึกเหมือนกับตัวเองขึ้นไปอยู่จุดสูงสุดของชีวิตแล้ว ขาของหัวหน้าคนใหม่คนนี้ช่างน่ากอดจริงๆ!
หลี่เฮยทั่นเป็นคนตรงไปตรงมา คนอื่นกลายเป็นคนเร่ร่อนหลังจากนายทาสเสียชีวิตแต่เขาเป็นคนชอบพูดความจริงแล้วยังชอบแย่งพูดด้วย นายทาสใจดีจึงเสนอให้เขาเป็นไท และมอบเสบียงให้เขาบางส่วนก่อนเขาจากมา…
คำที่ว่าอยู่ก็เจ็บแยกกันดีกว่าก็คงจะประมาณนี้…
ต่อมาเขาเดินทางมาถึงหมู่บ้านชิงหลง ตอนแรกหัวหน้าหมู่บ้านเห็นว่าเขาค่อนข้างเป็นคนซื่อจึงคิดจะใช้งานเพราะใครจะไม่ชอบลูกน้องบื้อสักหน่อย เชื่อฟังคำสั่ง
แต่แล้วหลี่เฮยทั่นประชุมกับหัวหน้าหมู่บ้านสองครั้งก็ไปพูดล่วงเกินเยี่ยเสี่ยวหมิงถึงสองครั้งจึงโดนลงโทษทั้งสองครั้ง
ตอนนั้นเยี่ยเสี่ยวหมิงคิดว่าหัวหน้าหมู่บ้านชิงหลงมีใจกบฏจึงจงใจใช้หลี่เฮยทั่นมายั่วยุเขา
แต่ต่อมาเขาพบว่าไม่ใช่ หลี่เฮยทั่นค่อนข้างซื่อบื้อ…
ตอนนี้หลี่เฮยทั่นรู้สึกฮึกเหิม หลังจากอยู่กับหัวหน้าคนนี้ จะด่าเยี่ยเสี่ยวหมิงยไงไงก็ยังปลอดภัยดีอยู่ ก่อนหน้านี้ถูกโบยไปสองครั้งแต่ครั้งนี้กลับได้รับสายตาชื่นชมจากหลี่ว์ซู่ เขาจึงรู้สึกว่าตนเองได้เจอเจ้านายอันประเสริฐแล้ว!
เป็นเพราะเขาไม่รู้จักพูดหรือหัวหน้าหมู่บ้านคนเก่าอ่อนแอเกินไปนะ?
หลี่ว์ซู่นั่งอยู่บนกำแพง หัวเราะแล้วมองเยี่ยเสี่ยวหมิง เยี่ยเสี่ยวหมิงอยากจะพูดบางอย่างแต่หลี่ว์ซู่ส่งสัญญาณมาให้เขาและพูดว่า “รอทุกอย่างยุติแล้วค่อยพูด”
เสียงร้องตะโกนดังขึ้นข้างหลังเยี่ยเสี่ยวหมิง หลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ได้แต้มอารมณ์มาเป็นระยะๆ การฆ่าคนเป็นวิธีที่ได้แต้มที่ดีที่สุดจริงๆ
เยี่ยเสี่ยวหมิงมองคนที่อยู่ข้างหลังใกล้จะตายกันหมด ตัวเขากลับไม่กล้าขยับ เขาสัมผัสถึงความน่ากลัวใต้ดินนั้น อีกฝ่ายไม่เพียงมีบ่าวที่มีพลังระดับ 1 อีกสองคนใต้ดินนั้นก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน!
ตอนนี้เยี่ยเสี่ยวหมิงเป็นผู้มีพลังระดับ 2 ขั้นกลาง ส่วนแอนโทนี่และจอห์นสันเป็นผู้มีพลังระดับ 2 ขั้นสูงสุดตั้งนานแล้ว ไม่เพียงเท่านี้ เยี่ยเสี่ยวหมิงอยู่มานานขนาดนี้จนกลายเป็นผู้บัญชาการทัพอู่เว่ยย่อมมีสายตามองคนออก จากที่เขาสังเกตเด็กหญิงที่อยู่ข้างกายวัยรุ่นคนนี้ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาเลย!
แต่สิ่งที่เยี่ยเสี่ยวหมิงไม่เข้าใจก็คือคนพวกนี้เป็นใครมาจากไหน
หลี่ว์ซู่เห็นหัวหน้าบาทหลวงกำจัดคนไปพอสมควรแล้วจึงยิ้มและพูดว่า “นายเห็นพลังของฉันแล้ว ฉันก็ไม่อยากโหดเหี้ยม ไม่อย่างนั้นนายคงไม่มีโอกาสมายืนฟังฉันพูดตรงนี้หรอก”
“ครับๆๆ ” เยี่ยเสี่ยวหมิงรีบพยักหน้า “ท่านพูดถูก ขอบคุณท่านที่เมตตา”
“นับจากนี้ไป พื้นที่ใกล้เมืองอวิ๋นอานก็ให้หมู่บ้านชิงหลงจัดการ ทำการค้าตามเดิม นายแบ่งเงินตามเดิม” หลี่ว์ซู่หัวเราะแล้วพูด “แต่ฉันเป็นคนกำหนด”
หลี่ว์ซู่ใคร่ครวญมาก่อนแล้วว่าตำแหน่งผู้บัญชาการทัพอู่เว่ยไม่ควรไปยุ่ง ถ้าเขาฆ่าเยี่ยเสี่ยวหมิง จอมทัพสวรรค์จะต้องส่งผู้มีพลังระดับ 1 มาที่นี่ ถึงตอนนั้นสถานการณ์อาจควบคุมได้ยาก
เยี่ยเสี่ยวหมิงตะลึงไปครู่หนึ่ง “ท่านหมายความว่า? “
“นายรู้ว่าฉันจะฆ่านายเมื่อไหร่ก็ได้” หลี่ว์ซู่หัวเราะ “แต่พวกเราเป็นพ่อค้ารักสันติ ปล้นฆ่ากันมันไม่ดี”
เยี่ยเสี่ยวหมิงหันหลังไปมองกองซากศพข้างหลัง นี่หรือที่เรียกว่ารักสันติ
หลี่ว์ซู่เห็นก็เข้าใจว่าเขาคิดอะไร “ตอนนี้ฉันช่วยนายกำจัดโจรป่าจนหมด ไม่เพียงเอาเรื่องนี้ไปรายงานเอาความดีความชอบ นายก็จะยังได้เงินมากเหมือนเดิม”
“ท่านคิดจะทำการค้าอะไร” เยี่ยเสี่ยวหมิงถามด้วยความหวาดกลัว “ท่านน่าจะรู้ว่าพวกเรารีดเลือดกับปูไม่ได้ ไปบีบคั้นชาวบ้านในเมืองมากเกินไปจะเท่ากับฆ่าตัวเอง”
“วางใจเถอะ ฉันมีแผนของฉัน”
เยี่ยเสี่ยวหมิงรู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เขาจะมาดื้อรั้นจึงยอมไปก่อนแล้วค่อยกลับไปคิดวิธีรับมือ
แต่หลี่ว์ซู่ถอนหายใจแล้วพูดว่า “เดิมทีฉันอยากจะเป็นคนดีแต่เพราะเมืองอู่เว่ยไม่เป็นมิตร จำต้องมาเป็นโจร ชีวิตช่างยากลำบากเสียจริง…”
เยี่ยเสี่ยวหมิงกระตุกยิ้มมุมปาก ท่านบอกว่าโลกนี้อยู่ยากหรือ
หลี่ว์ซู่ปล่อยเยี่ยเสี่ยวหมิงกลับไป สิ่งที่ทำเรื่องแรกเมื่อเขากลับไปคือส่งคนไปรายงานที่เมืองหนานตู ขอความช่วยเหลือจากขุนนางนายเหนือหัวเขา ขุนนางท่านนั้นมีพลังระดับ 1 ขั้นกลาง มีทาสระดับพลัง 1 ชั้นล่าง ถือว่าเป็นขุมกำลังสำคัญของจอมทัพสวรรค์ทักษิณเหวินไจ้โฝ่ว
แต่คนที่เขาส่งออกไปก็ถูกดินโคลนทับตายหลังจากพ้นประตูเมืองไป เยี่ยเสี่ยวหมิงไม่เชื่อจึงส่งคนออกไปพร้อมกันถึง 10 กว่าคนแต่สุดท้ายก็ถูกฆ่าตายหมด!
เยี่ยเสี่ยวหมิงหวาดผวาจนนอนไม่หลับในคืนนั้น เขาเพิ่งรู้ว่าอีกฝ่ายไม่กลัวเขาจะสร้างเรื่องวุ่นวายและไม่กลัวขุนนางท่านนั้นด้วย!
ตอนนี้ทำอย่างไรดี! ได้แต่เพียงสงบสยบความเคลื่อนไหว ดูว่าอีกฝ่ายคิดจะทำการค้าอะไรในเมืองอวิ๋นอาน!
เยี่ยเสี่ยวหมิงกระจายลูกน้องคนสนิทไปทั่วเมืองอวิ๋นอาน เขาสั่งให้รายงานเขาทันทีเมื่อมีความเคลื่อนไหวแม้แต่เพียงเล็กน้อย
ในคืนที่เขานอนไม่หลับนั้น เยี่ยเสี่ยวหมิงคิดถึงบ่าวที่มีพลังระดับ 1 ของหลี่ว์ซู่และนักฆ่าที่ซ่อนตัวอยู่ ทำไมถึงมาที่เมืองนี้ได้…
ในขณะที่เขาทอดถอนใจนั้น หลี่ว์ซู่ก็ทอดถอนใจกับหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ “ทำไมแผนของฉันถึงได้ผิดเพี้ยนเช่นนี้ อยากจะเป็นคนดีแท้ๆ แต่ต้องมากลายเป็นหัวหน้ากองโจร โลกนี้ช่างไม่น่าอยู่เอาซะเลย! แต่พวกเราจะเป็นอย่างพวกโจรป่าไม่ได้ พวกเรามีปัญญาอย่าลักขโมยแบบเขา! “
ตอนบ่ายวันรุ่งขึ้น หลี่เฮยทั่นพาคนและม้าจำนวนหนึ่งเข้ามาในเมืองอวิ๋นอาน ตรงไปยังโรงจำนำที่หลี่ว์ซู่เคยไปก่อนหน้านี้
หลี่เฮยทั่นลงจากม้าเดินเข้าประตูไปและยิ้มอย่างซื่อๆ “เถ้าแก่หลิน ฉันมาจากหมู่บ้านชิงหลง ภูเขาอาน หัวหน้าฉันบอกว่าเขาเป็นคนรักษาคำพูด เขาเคยบอกว่าวันหลังเขาจะมาเก็บค่าคุ้มครองก็ต้องเป็นไปตามนั้น ดังนั้นรอบเมืองนี้มีเพียงหมู่บ้านชิงหลงและจะไม่มีหมู่บ้านอื่นๆ มาวุ่นวายอีก! “
หลินกุ้ยถอนหายใจ อะไรที่ต้องมายังไงก็ต้องมา เขาโบกมือเรียกลูกน้องให้ยกถาดคลุมผ้าแดงออกมา “นี่เป็นของขวัญแสดงความยินดีกับหัวหน้าของนาย กรุณารับมันไว้ด้วย! “
“อย่าทำเช่นนี้” หลี่เฮยทั่นพูด “หัวหน้าบอกไว้ว่า ค่าคุ้มครองที่เก็บจากพวกนายจะไม่เสียเปล่า วันหลังหมู่บ้านซิงหลงของเรา… ต้องพูดยังไงนะ จะเปลี่ยนกฎระเบียบใหม่ รู้ว่าทุกคนทำงานมาลำบากจึงไม่คิดจะแย่งชิงแต่จะมาทำการค้าด้วย! “
“การค้าอะไร” หลินกุ้ยตกใจ
หลี่เฮยทั่นให้คนข้างหลังยกกล่องมา 1 ใบ เมื่อเปิดออกข้างในก็วางก้อนสบู่กึ่งโปร่งแสงไว้เป็นระเบียบเรียบร้อย บนก้อนสบู่แกะลายดอกไม้ไว้
หลินกุ้ยไม่เข้าใจว่าสิ่งนี้คืออะไร หลี่เฮยทั่นตะโกนเรียกเสี่ยวเอ้อร์ “ยกอ่างน้ำมา”
เมื่อยกน้ำมาแล้ว หลี่เฮยทั่นเอามือแปะน้ำหมึกจากนั้นก็หยิบสบู่มา 1 ก้อน จุ่มน้ำแล้วก็ถูกับมือ หลังจากที่ถูไปมาไม่นานก็ล้างมือในอ่างน้ำนั่น หมึกที่เปื้อนมือก็หายไป!
หลี่เฮยทั่นชำเลืองมองหลินกุ้ย “…”
หลินกุ้ยจ้องมองหลี่เฮยทั่น หลี่เฮยทั่นก็ไม่พูดอะไร
คนข้างๆ หลี่เฮยทั่นจึงพูดเตือนขึ้นว่า “หัวหน้าบอกว่านี่คือเวลาที่ได้เป็นสักขีพยานกับความมหัศจรรย์”
“ใช่ๆๆ ได้เป็นสักขีพยานกับความมหัศจรรย์! ” หลี่เฮยทั่นหัวเราะเสียงดัง “วิเศษไหม”
หลินกุ้ยพินิจสบู่ก้อนนี้ดูแล้ว ดูเหมือนเขาไม่ค่อยเชื่อจึงหยิบมาลองใช้ดูแล้วพบว่าพลังการทำความสะอาดดีมากอย่างที่คิด!
หลี่เฮยทั่นนั่งลงบนโต๊ะ “หัวหน้าพวกเรายังบอกอีกว่าเจ้าสิ่งนี้ใช้ซักเสื้อผ้าได้สะอาดมากด้วย! 1 ก้อนขายให้นาย 30 ธนบัตร ไม่แพงใช่ไหม”
ตอนนี้หลินกุ้ยเริ่มสนใจหัวหน้าคนใหม่ของหมู่บ้านชิงหลงซะแล้ว ถึงก้อนละ 30 บาทจะแพงไปหน่อยแต่เขารู้สึกสบายใจกว่าโดนขู่รีดเอาเงินไปดื้อๆ
แล้วเขาซื้อมา 30 ธนบัตรแต่ถ้าส่งไปขายที่เมืองหนานตูหรือเมืองหลวง พวกสตรีชั้นสูงพวกนั้นยอมจ่ายเงินให้มากกว่าหลายเท่าเลย!
มันไม่ได้มีค่ามากขนาดนั้นหรอกแต่มันแค่เป็นสิ่งใหม่และหายาก!
หลินกุ้ยยิ้มแฉ่งทันที “ตอนแรกที่ฉันเห็นหัวหน้าของนายก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนธรรมดา คิดไม่ถึงว่าจะเป็นคนมหัศจรรย์เช่นนี้ ฝากกลับไปบอกท่านว่าโรงจํานําหลินยินดีทำการค้ากับท่าน”
หลี่ว์ซู่อยู่ๆ ก็กลายมาเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน แต่สุดท้ายถึงจะเริ่มด้วยการค้าด้วยการบังคับซื้อแต่เขาก็ได้สร้างเริ่มธุรกิจค้าสบู่ของเขาแล้ว…
ถึงขั้นตอนจะคดเคี้ยวไปหน่อยแต่ก็ได้ผลลัพธ์เหมือนกัน หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าทุกเส้นทางบนโลกสุดท้ายก็นำไปสู่ปลายทางเดียวกัน ผลลัพธ์ออกมาดีก็พอแล้ว…
เป็นโอกาสที่หาได้ยากที่หัวหน้าโจรป่าทั้ง 10 กว่าก๊กจะมารวมตัวประชุมกัน สถานที่ประชุมห่างจากเมืองอวิ๋นอานไป15 กิโลเมตร ที่นั่นธรรมชาติอุดมสมบูรณ์สวยงามและมีศาลาหลังเล็กอยู่หลังหนึ่ง
บรรดาหัวหน้านั่งอยู่ในศาลาและมีเหล่าลูกสมุนรออยู่ข้างนอก โจรแต่ละก๊กไม่ได้ปรองดองกันและในตอนนี้ทุกคนต่างเป็นพ่อค้ากันหมด คนค้าขายให้ความสำคัญกับน้ำใจและการหาเงิน…
ดังนั้นหลายปีมานี้ พวกเขาจึงต่างฝ่ายต่างไม่ก้าวก่ายกันเอง เรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับผู้บัญชาการทัพอู่เว่ย เยี่ยเสี่ยวหมิง ถ้าไม่ได้เขาควบคุมสถานการณ์มันอาจจะวุ่นวายกว่านี้
มีคนถามขึ้นว่า “พวกนายมีใครรู้ไหมว่า…ธงหลุดพ้นความยากจนมุ่งสู่ความรวยมาจากไหน”
“พรุ่งนี้ถูกเปลี่ยนเพื่อบอกอะไรพวกเราใช่ไหม” มีคนถามอย่างสงสัย “จากตัวอักษร…มันบอกว่าอีกฝ่ายมาเพื่อหาเงิน”
“ใครมันจะไปรู้” ชายคนหนึ่งพูดด้วยสีหน้าหม่นหมอง “หลุดพ้นความยากจนมุ่งสู่ความรวยเป็นธงจากก๊กไหน ไม่รู้ว่าศัตรูคนไหนมาขุดทองที่นี่ แต่กำลังจะต้องส่งมา ถ้าไม่ใช่ระดับ 3 ก็ต้องระดับ 2 ไม่เช่นนั้นไม่มีทางยึดหมู่บ้านชิงหลงได้ง่ายๆ “
ที่จริงทุกคนไม่มีใครคิดว่าศัตรูจะเป็นระดับ 1 ระดับ 1 คืออะไร นั่นคือบุคคลที่ไปไหนก็สามารถปั่นป่วนฟ้าฝน ลอยบนฟ้า เขาจะมาสนใจพื้นที่เล็กๆ แบบนี้ทำไม”
“ก่อนหน้านี้ฉันได้ยินว่ารองหัวหน้าหมู่บ้านเลื่อนพลังเป็นระดับ 3 หรือว่าเขาเป็นไส้ศึกให้กับคนนอก” มีคนพยายามวิเคราะห์ “เรื่องนี้ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ไม่มีใครอยากเป็นเบี้ยล่าง ใช่ไหม”
“ฮ่าๆ ถ้าเป็นเช่นนั้น ฉันก็คงพูดได้ว่าคนที่ตายในหมู่บ้านชิงหลงคงโง่เหลือเกิน ฉันไม่มีทางยอมให้ลูกสมุนทำเรื่องเช่นนี้เด็ดขาด ถ้ามีโอกาสแม้แต่น้อยก็ต้องกำจัดมันทิ้งเสีย”
“ท่านเย่พูดอะไรหน่อยเถอะ” มีคนพูดขึ้น “ตอนนี้ทุกคนต่างสุขสบายต้องขอบคุณท่าน แต่พวกเราก็ได้ส่วนแบ่งเพียงน้อยนิดจากการค้าแต่ละครั้ง ไม่มีเหตุผลที่ท่านจะไม่ออกมาทำอะไรเลยในตอนนี้”
ผู้บัญชาการทัพอู่เว่ยเยี่ยเสี่ยวหมิงนั่งเป็นประธาน รูปร่างใหญ่โตหน้าตาดุดัน
หลายปีก่อนเขาเป็นผู้ติดตามขุนนางท่านหนึ่งแต่แล้วขุนนางอันนั้นก็ได้ตายในสงครามกับทหารเสื้อขนดำส่วนเขากลับรอดชีวิตมาได้ ต่อมาได้มาเข้าร่วมทัพอู่เว่ย เขาใช้พลังและความสามารถที่เหนือกว่าและขับไล่ผู้บัญชาการทัพคนเก่าออกไปดื้อๆ
แน่นอนว่าเหนือกว่าเยี่ยเสี่ยวหมิงมีนายเหนือหัวซึ่งมีความสัมพันธ์กับขุนนางที่เขาถวายชีวิตให้ในอดีต เมื่อเขาไปเยี่ยมคารวะ เขาสัญญาว่าจะแบ่งผลประโยชน์ครึ่งหนึ่งให้กับอีกฝ่ายเพื่อให้เขาได้มานั่งในตำแหน่งผู้บัญชาการทัพอู่เว่ย
ตอนนี้เยี่ยเสี่ยวหมิงเป็นผู้ปกครองเบ็ดเสร็จของเมืองอวิ๋นอาน จัดการถูกเรื่องในเมืองอย่างละเอียด แต่แล้วยังไม่ทันได้กอบโกยเงินก็ดันเกิดเรื่องนี้ขึ้นมาเสียก่อน
เยี่ยเสี่ยวหมิงมองไปรอบๆ และพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ทุกท่านสามารถหาเงินได้อย่างปลอดภัยบนดินแดนนี้ก็เพราะอะไร ในกระเพาะพวกเรารู้จักธรรมเนียม ไม่ก่อเรื่องวุ่นวาย! แปลตอนนี้มีคนนอกมาสร้างเรื่องวุ่นวาย ฉันไม่มีทางปล่อยเขาไว้แน่นอน เอาอย่างนี้ พวกนายไประดมกำลังพลมา ทับอู่เว่ยจะส่งม้าฉันยอด 2 ตัว เราจะร่วมมือกันกวาดล้างหมู่บ้านชิงหลง”
“ไม่ว่าอีกฝ่ายจะมาก่อกวนหรือจะมาหาเงิน หากไม่ได้รับความยินยอมจากพวกเราก็ต้องรับผลที่ตามมา” เยี่ยเสี่ยวหมิงพูดจบก็จ้องทุกคน “ที่นี่เป็นถิ่นของพวกเรา”
ที่จริงทุกคนต่างเข้าใจความหมายนี้ เมืองนี้เยี่ยเสี่ยวหมิงเป็นผู้ตัดสินทุกสิ่ง
และทุกคนต่างเข้าใจว่าพวกเขาต้องการเยี่ยเสี่ยวหมิงจัดการคนต่างถิ่นคนนั้น ตระกูลอื่นระดมพลนิดๆ หน่อยๆ ก็สามารถปราบหมู่บ้านชิงหลงให้ราบเป็นหน้ากลองได้
ก่อนนี้หมู่บ้านชิงหลงเป็นแหล่งทำเงิน ต่างรู้ว่าหมู่บ้านนี้มีเงินมากแค่ไหน หากยึดได้ก็จะได้เป็น เจ้านาย เงินนั้น
เมื่อก่อนมีหลายสิบตระกูลแบ่งเค้กก้อนนี้ ถ้ามีตัวแบ่งน้อยลงใครๆ ก็ยินดี
“งั้นคราวนี้ก็ลบชื่อหมู่บ้านนี้ออกไปเลยไหม” มีคนพูดขึ้นมา
“ฉันเห็นด้วย! “
“ฉันก็เห็นด้วย! “
“เมื่อโอกาสมาแล้วก็คว้ามัน” เยี่ยเสี่ยวหมิงพูด “หมู่บ้านชิงหลงอยู่บนภูเขาอานห่างออกไป 11 ลี้ พวกเราเคลื่อนพลตอนนี้เลยดีไหม ให้มันรู้ว่าอย่ามาหือกับพวกเรา”
หากตัดความเป็นไปได้ที่ผู้มีพลังระดับ 1 มาก่อกวน เยี่ยเสี่ยวหมิงก็ไม่กลัวใคร
ส่วนผู้มีพลังระดับ 1… คงจะจนน่าดูถึงมาขุดทองที่นี่!
หลี่ว์ซู่นั่งแกว่งเท้าอยู่บนป้อมปราการอันใหม่ของหมู่บ้านชิงหลง ถูกต้อง เขาจนไส้แห้ง… ตอนนี้กำลังรอทัพใหญ่มาบุกโจมตี
เยี่ยเสี่ยวหมิงคงไม่รู้ว่าที่เขาทำทั้งหมดเป็นการเปิดประตูบานใหม่ให้กับหลี่ว์ซู่…
ตอนแรกหลี่ว์ซู่คิดจะตั้งตนเป็น เจ้าของที่ นี่แล้วค่อยเข้าร่วมทัพอู่เว่ย จากนั้นเขาก็จะทำสบู่ขายไปเรื่อยๆ
แต่แล้วโลกแห่งความจริงช่างลำบากเหลือเกิน เขาไม่มีทางเลือกจึงต้องมาเป็นโจรป่า
หลี่ว์ซู่ไม่มีทางยอมรับว่าเขาอยากสัมผัสความรู้สึกของการเป็นหัวหน้ากองโจร เขาแค่ถูกชีวิตบีบคั้น
ถ้าในอนาคต เพื่อนจากเครือข่ายฟ้าดินถามเรื่องนี้ ราชันฟ้าที่ 9 เป็นโจร มันคงไม่เข้ากับค่านิยมองค์กร หลี่ว์ซู่ก็จะพูดว่าเขาถูกบีบบังคับ!
ในตอนนี้เอง หลี่ว์ซู่มองเห็นป่าข้างล่างบนถนนได้ภูเขาห่างไปไกลๆ เกิดการสั่นไหวและเหมือนมีเงาขนาดใหญ่เคลื่อนไหวอยู่ใต้ต้นไม้นั้น
หลี่เฮยทั่นและคนอื่นๆ ที่อยู่ข้างๆ ต่างหวาดกลัว “หัวหน้าเกรงว่าคนที่จะมาโจมตีเราจะมาถึงแล้ว! “
หลี่ว์ซู่หัวเราะชอบใจ “มาก็ดีแล้ว! “
กองทัพยาวต่อเนื่องเกือบ 2 กิโลเมตร น่าจะมีกำลังพลถึงหลายพันคน หลี่ว์ซู่ถาม “รวมก๊กอื่นแล้วมีทั้งหมดกี่คน”
หลี่เฮยทั่นนับนิ้วอยู่นาน “4 พันกว่าคนน่าจะได้”
“กำจัดพวกนั้นให้หมด” หลี่ว์ซู่มองเสี่ยวอวี๋ “เก็บคนที่ใส่ชุดเกราะทัพอู่เว่ยไว้”
ตอนนี้แอนโทนี่ได้พาจอห์นสันดักซุ่มอยู่ใต้ดิน ส่วนหัวหน้าบาทหลวงใส่ผ้าพันคอยืนอยู่ข้างหลังหลี่ว์ซู่ เหมือนกับนายบ่าว
หลี่ว์ซู่แค่ต้องการจงใจสร้างบรรยากาศที่ลึกลับ ไม่เช่นนั้นแผนการภายหลังจะไปต่อไม่สะดวก
ทันใดนั้นเองก็มีหอกยาวเล่มหนึ่งพุ่งเข้ามาใส่หลี่ว์ซู่ แต่ยังไม่ถึงตัวเขา หัวหน้าบาทหลวงก็ใช้แสงสีเงินทำลายหอกนั้นจนกระจุย
เยี่ยเสี่ยวหมิงนำโจรป่า 10 กว่าก๊กบุกขึ้นมา เขาลังเลอยู่บ้านเมื่อเห็นกำแพงอันใหม่ หมู่บ้านเชียงหลงสร้างกำแพงเมืองตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!
ไม่ใช่เวลามาห่วง เยี่ยเสี่ยวหมิงบุกเข้าใส่หลี่ว์ซู่และหัวเราะ “นายคือหัวหน้าหมู่บ้านคนใหม่ละสิ ใช้สมองน้อยไปหน่อยนะ…”
พูดยังไม่ทันจบ เยี่ยเสี่ยวหมิงเห็นหัวหน้าบาทหลวงที่ยืนนิ่งๆ อยู่ข้างหลังหลี่ว์ซู่พุ่งขึ้นบนท้องฟ้า จากนั้นปล่อยแสงสีเงินและเปลี่ยนเป็นตาข่ายคลุมทุกคนเอาไว้ พื้นดินเริ่มสั่นสะเทือนและตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวนของกองทัพด้านล่าง
เยี่ยเสี่ยวหมิงตะลึงงันไปเลย!
ผู้มีพลังระดับ 1! ของแท้!
บ่าวที่อยู่ข้างหลังวัยรุ่นคนนี้คือผู้มีพลังระดับ 1 แล้ววัยรุ่นคนนี้จะมีพลังระดับไหนกัน คงมีเบื้องหลังไม่ธรรมดา
ในจักรวาลจักรวาลหลี่ว์จะมีสักกี่คนที่มีบ่าวเป็นผู้มีพลังระดับ 1
หลี่ว์ซู่พาหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ไปลาดตระเวนรอบๆ ดินแดนใหม่ของเขา
ที่จริงนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หลี่ว์ซู่มี “อาณาเขต” เป็นของตนเอง
หมู่บ้านชิงหลงเลือกทำเลที่ตั้งได้ดีมาก ด้านหลังติดหน้าผา ด้านหน้าเป็นถนนเล็กๆ ขรุขระที่ปกป้องได้ง่ายแล้วยากต่อการโจมตี คนทั่วไปถ้าคิดจะบุกเข้ามาก็เป็นเรื่องยาก ที่แห่งนี้นี่เองที่ผู้มีพลังระดับ 3 และกลุ่มคนเร่ร่อนสามารถต้านการโจมตีจากด้านหน้าของทหารอู่เว่ยได้ ไม่เพียงเท่านี้ยังมีเส้นทางลับมากมายในภูเขานี้และมีกลุ่มโจรดักซุ่มจำนวนมาก
เท่าที่หลี่ว์ซู่เห็น โจรป่าบางคนมีประสบการณ์การต่อสู้มากกว่าทหารอู่เว่ยซะอีก
แต่ไม่ว่าจะมีแผนการดีเพียงไร หัวหน้าหมู่บ้านนี้ไม่มีทางคาดคิดว่าศัตรูในครั้งนี้จะบินมา…
เมื่อหัวหน้าบาทหลวงบินมาพร้อมกับผ้าพันคอสีชมพู ทั้งหมู่บ้านต่างตกตะลึงกัน…จากนั้นก็กลายเป็นการสังหารหมู่แบบถล่มยับ
หัวหน้าบาทหลวงมี 2 ท่าไม้ตาย ท่าแรกคือการควบคุม อีกท่าหนึ่งคืออาวุธของเขา หลี่ว์ซู่เองเคยประสบกับ 2 ท่านี้มาก่อน แต่ในตอนนั้นฟรานซิสโกมีพลังแค่ระดับ 2 พลังของเขาจึงไม่น่ากลัว
ตอนนี้หัวหน้าบาทหลวงใช้แสงสีเงินในการควบคุมทุกคนให้อยู่กับที่และฟันกระบี่เพียง 5 ครั้งก็สังหารคนไปกว่า 400 กว่าคน เป็นภาพที่น่ากลัวมาก
ดังนั้นหลี่เฮยทั่นจึงรู้สึกตั้งแต่ต้นว่าสมองหัวหน้าคนใหม่ของเขาคงมีปัญหา ที่รอให้คนอื่นมาล้อมแต่พอคิดดูแล้วไม่ใช่ว่าสมองหลี่ว์ซู่มีปัญหาแต่ตัวเขาเองต่างหากที่มีปัญหา…
พลังระดับหนึ่ง…มีเพียงไม่กี่สิบคนภายใต้ดินแดนของจอมทัพสวรรค์ทักษิณ แล้วพวกเขาเหล่านั้นต่างเป็นเจ้าพระยาหรือขุนนางชั้นสูง
ใครจะไปคิดว่าผู้มีพลังระดับหนึ่งจะมาที่หมู่บ้านชิงหลง แล้วลูกน้องของหัวหน้าคนใหม่ท่านนี้มีพลังระดับ 1 แล้วตัวหัวหน้าล่ะจะมีพลังขนาดไหน ไม่อยากจะคิดเลย…
คำถามคือเก่งขนาดนี้จะมาที่นี่ทำไม คิดๆ ดูแล้ว สมองของเขาน่าจะมีปัญหาอยู่บ้าง…
ตอนนี้หัวหน้าบาทหลวงยืนอยู่บนลานกว้างของหมู่บ้าน ตรงกลางของลานมีธงปักอยู่ บนธงเขียนว่าผดุงยุติธรรมแทนสวรรค์ หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าสี่คำนี้มันดูจอมปลอมเกินไป ทำเพื่อหาเงินทั้งนั้นเขียนอะไรไร้สาระ หลี่ว์ซู่จึงพูดกับหลี่เฮยทั่นว่า “เปลี่ยนตรงนั้นซะ”
หลี่เฮยทั่นตกใจ “เปลี่ยนเป็นอะไรครับ”
“หลุดพ้นความจนมุ่งสู่ความร่ำรวย!” หลี่ว์ซู่พูดด้วยความมั่นใจ
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ “…”
ที่จริงเธอไม่ประหลาดใจเลย นี่สิถึงจะเป็นนิสัยของหลี่ว์ซู่ มาวิเคราะห์ดูแล้วมันดูเหมือนเรากลัวการรวมตัวของชาวเมืองและชนบท
แต่โจรในหมู่บ้านชิงหลงคนอื่นๆต่างหงุดหงิดใจ นี่ไม่ใช่สิ่งที่โจรป่าทำกัน พูดน่าเกลียดหน่อยก็คือ พวกเขายังไม่รังเกียจตัวเองแต่หัวหน้าคนใหม่กลับคิดจะหลอกตัวเอง หลี่ว์ซู่ตวาด “มีชาวบ้านคนไหนไม่รู้ว่าพวกนายทำอะไรไหม”
หลี่เฮียทั่นพูดเตือนเขาเสียงค่อย “ไม่ใช่พวกเรา แต่เป็นเราทุกคน…”
“ใช่ๆๆๆ เราทุกคน” หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าเขาเป็นหัวหน้าที่ดียอมรับคำเสนอแนะจากผู้อื่น
ครั้งที่แล้วหมู่บ้านชิงหลงจึงเปลี่ยนสโลแกนจากผดุงความยุติธรรมแทนสวรรค์เป็นหลุดพ้นความยากจนมุ่งสู่ความร่ำรวย…
หลี่ว์ซู่ให้หลี่เฮยทั่นพาเขาและหลี่ว์เสี่ยวอวี๋พาเดินหมู่บ้าน ที่เขาเหลือไว้คนเอาไว้ 1 ใน 10 ก็เพราะหลี่ว์ซู่ไม่ชอบมากคนมากความ คนอื่นต่างวิ่งหนีเมื่อเห็นหัวหน้าบาทหลวงมีแค่ 1 ใน 10 นี่ที่กล้าเข้ามาสู้
โดยเฉพาะหลี่เฮยทั่นที่ต้องการต่อสู้ชี้เป็นชี้ตายกับหัวหน้าบาทหลวงให้ได้…
หลี่ว์ซู่ไม่กังวลว่าโจรที่เหลือไว้นี้จะต่อต้านเขา ที่จริงพลังของโจรพรุ่งนี้ต่อให้มาเป็นพันคนหัวหน้าบาทหลวงพ่อฆ่าตายหมด นี่ยังไม่ได้ให้แอนโทนี่และจอห์นสันออกโรงนะ
หากนับจำนวนโจรป่าในจักรวาลหลี่ว์ ไม่มีสักแห่งที่มีผู้มีพลังระดับ 1 หนึ่งคนและระดับ 2 สามคน พลังการต่อสู้เช่นนี้โดยทั่วไปแล้วไม่มาเป็นโจรป่า แค่ไปหาจอมทัพสวรรค์ก็ได้ตำแหน่งที่ปรึกษามาง่ายๆ แล้ว ในบรรดาเมืองนับร้อยภายใต้การควบคุมของกองทัพสวรรค์ เป็นเจ้าเมืองไม่ใช่เรื่องง่าย…
แต่ทุกตำแหน่งคือตำแหน่งที่ตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ…
ไอ้ตอนนี้เอง หลี่ว์ซู่ยกมือขึ้น เส้นทางลับบนยอดเขาก็ถูกปิดตายลง หินขนาดยักษ์ถูกยกขึ้นมาและเรียงซ้อนกันจนกลายเป็นกำแพงเมืองที่แน่นหนา
เดิมทีที่ตั้งหมู่บ้านชิงหลงก็อันตรายพอสมควรแต่ตอนนี้เหมือนกลายเป็นเสมือนป้อมปราการเส้นทางที่เหมาะกับการปีนในอดีตต่างถูกปิดตายจนหมด เดิมทีด้านหน้ามีความลาดตระเวน 2 แห่ง ตอนนี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของกำแพงหินไปแล้ว และมีการออกแบบบันไดไว้บนกำแพงหินด้วย
ที่จริงทุกคนในหลี่ว์นเวิร์สต่างเป็นผู้บำเพ็ญ หลี่เฮียทั่นยังไม่เคยเห็นการใช้งานองค์ประกอบเดียวได้เต็มศักยภาพเช่นนี้ เขาจึงตะลึงในความสามารถของหลี่ว์ซู่ แม้แต่โจรป่าคนอื่นก็ต่างตกใจด้วยความกลัว
วัยรุ่นคนนี้ช่างน่าลึกลับอย่างที่คิดไว้จริงๆ!
ที่จริงหลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ปรึกษากันแล้วว่าจะจงใจสร้างภาพลักษณ์ปลอมให้กับเขาเพื่อให้ทุกคนเชื่อมั่น
โจรป่าพรุ่งนี้ปกติแล้วจะโยกย้ายถิ่นบ่อย หมู่บ้านนี้เบื่อแล้วก็ย้ายไปอีกหมู่บ้านหนึ่ง ใครเป็นหัวหน้าจึงไม่สำคัญ สำคัญที่มีของกินมีเหล้าและปลอดภัยไหม
แต่ตอนนี้ปลอดภัยมาก ใครกล้าทำอะไรกับโจรป่าที่มีพลังระดับ 1…
หลี่เฮยทั่นไม่รู้ว่าทำไมถึงแม้ว่าเพิ่งจะผ่านเหตุการณ์สังหารหมู่ไปแต่เห็นหัวหน้าคนใหม่ทำงานเช่นนี้ก็รู้สึกปลอดภัยขึ้นมาไม่มากก็น้อย
การดื่มน้ำเป็นปัญหาดั้งเดิมของหมู่บ้านนี้เพราะที่ตั้งอยู่บนสถานที่อันตราย ปัญหาเรื่องแหล่งน้ำจึงไม่ได้รับการแก้ไข จะดื่มน้ำต้องไปหาบน้ำ ทางออกไปหนึ่งลี้ แต่หัวหน้าคนใหม่จัดการขูดคูน้ำให้น้ำไหนเข้ามาในหมู่บ้านเลย
แต่พอมีคูน้ำสายนี้แล้วหมู่บ้านชิงหลงดูดีขึ้นมาก…
มีสิ่งเดียวที่กังวลคือพวกเขาจะทำอย่างไรถ้าหัวหน้าคนนี้อารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย กลัวจะอยู่กันไม่เป็นสุข…
แต่หลังจากเห็นหลี่ว์ซู่สร้างป้อมปราการของหมู่บ้านใหม่ เขาพูดกับเหล่าฝูงชนใต้ธง “หลุดพ้นความยากจนมุ่งสู่ความร่ำรวย” ว่า “นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปพวกเราจะไม่ปล้นสะดม ฉันจะแบ่งงานให้พวกนายทำ รอจนทัพอู่เว่ยขนโจรจากหมู่บ้านอื่นส่งหัวคนมา พวกเราค่อยมาคุยกันว่าจะหาเงินอย่างไร”
หลี่เฮยทั่นคิดว่าหัวหน้าคนใหม่นี้พูดจาแปลกไป ส่งหัวคน? แต่มันเป็นรูปธรรม ผู้บัญชาการพลังระดับ 2 ของทัพอู่เว่ยพากลุ่มโจรป่าพลังระดับ 3 กลุ่มหนึ่งมาโจมตี แต่ก็ไม่ได้มาส่งหัวคน…
แต่ศึกใหญ่รออยู่ข้างหน้า ทำไมหัวหน้าให้พวกเขาเตรียมหม้อใบใหญ่ เอาหม้อใบใหญ่มาทำอะไร แล้วยังให้ต้มน้ำมันหมู ส่วนเนื้อกลับวางเอาไว้ไม่กิน จะเอาน้ำมันไปทำอะไร…
ก๊กโจรก๊กอื่นๆ ต่างตกใจ เมืองอวิ๋นอานสงบสุขมาเกือบ 7 ปี ขนาดทหารเสื้อขนดำยังไม่สนใจเข้ามาโจมตีเมืองนี้ แต่ด้วยเวลาเพียง 1 วันหมู่บ้านชิงหลงก็เปลี่ยนธงหัวหน้าเสียแล้ว มันเกิดอะไรขึ้น!
ทุกคนต่างเคยชินกับการหาเงินเงียบๆ กดขี่ชาวเมืองอวิ๋นอาน เบ่งบารมีได้กินดีอยู่ดี สภาพแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว แต่อยู่ๆ ก็มีคนต่างถิ่นเข้ามาแล้วสังหารหัวหน้า
ตอนนั้นไม่มีใครหนีรอดออกมาจากหมู่บ้านชิงหลง บางคนก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนระหว่างกลับหมู่บ้าน แต่ไม่นานนักก็ได้เห็นธงถูกเปลี่ยนออกแล้วแทนที่ด้วยธงใหม่ที่เขียนว่าหลุดพ้นความยากจนมุ่งสู่ความร่ำรวย…
ดังนั้นทุกคนจึงไม่เข้าใจว่าข้างบนเกิดอะไรขึ้น…
หลี่ว์ซู่ยืนเงียบอยู่ด้านนอกโรงแรมที่ขบวนพ่อค้าเข้าพัก ยืนคิดอยู่นานว่าจะโน้มน้าวให้อีกฝ่ายลงทุนในธุรกิจสบู่อันยิ่งใหญ่ของเขาได้อย่างไร แต่เขายังไม่ได้เจออีกฝ่ายเลย…
ตอนนี้หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ยิ้มแล้วจึงหยิบสร้อยคอมรกตออกมาจากแหวนมิติแล้วพูดว่า “ทำไมนายไม่เอาอันนี้จำนำดู ดูว่าได้ราคาเท่าไหร่”
หลี่ว์ซู่ตะลึงไปชั่วขณะ “ไม่เคยเห็นเธอใส่สร้อยนี้เลย”
“พี่สาวน่าหลานให้สร้อยคอนี้เพื่อให้ฉันไปบ้านของพวกเขาบ่อยๆ ฉันคิดมาตลอดว่ามันน่าจะราคาแพง” หลี่ว์เสี่ยวอวี๋พูด
“ใช่ น่าหลานเชวี่ยเป็นสมาชิกในครอบครัวสายตรง ไม่มีทางมีของราคาถูกแน่นอน” หลี่ว์ซู่พูด “ถ้าฉันเอาของเธอไปจำนำ ฉันจะเป็นอะไร”
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋คว้าหลี่ว์ซู่ลากตัวไป “เห็นนายจะปฏิเสธแบบนี้ ฉันเอาสร้อยไปจำนำดีกว่า”
ถึงจะสนุกที่เห็นหลี่ว์ซู่โดนไล่แต่ปัญหาอยู่ที่เธอรู้สึกเจ็บใจที่ต้องเห็นหลี่ว์ซู่เข้าโรงแรมไปแล้วต้องอ้อนวอนคนอื่นมาลงทุน ต้องทำตัวอ้อนน่อมถ่อมตน
บำเพ็ญมาจนได้พลังขนาดนี้แล้ว เธอไม่อยากเห็นหลี่ว์ซู่ต้องก้มหัวอีก ในใจของเธอหลี่ว์ซู่ควรจะสูงส่งและร้ายกาจที่สุด
เมื่อมาถึงโรงรับจำนำ การตกแต่งภายในดูหรูหราและโอ่อ่ามาก แต่คนในร้านไม่ได้ทักทายเมื่อเห็นหลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋เข้ามา แต่มองไปที่หัวหน้าบาทหลวงที่อยู่ข้างหลังพวกเขาอยู่หลายครั้ง
ไม่ใช่เพราะเขารับรู้ถึงความแข็งแกร่งของหัวหน้าบาทหลวงแต่เป็นเพราะผ้าพันคอสีชมพูบนใบหน้าของหัวหน้าบาทหลวงมันแสบตาไป…
เจ้าของโรงรับจำนำเหลือบมองทั้งคู่จากด้านหลังเคาน์เตอร์สูง “ธนบัตร 2,000 ใบ”
ในโลกของจักรวาลหลี่ว์ ข้าวครึ่งโลเท่ากับธนบัตรหนึ่งใบ ดังนั้นธนบัตร 2,000 ใบจึงมีมูลค่าประมาณ 2,000 หยวน
หลี่ว์ซู่ไม่พอใจ ถ้าน่าหลานเชวี่ยมอบของที่มีมูลค่า 2,000 หยวน นั้นคงไม่ใช่น่าหลานเชวี่ยแล้ว เธอแค่ประหยัดกับหลี่อีเสี้ยวเท่านั้น…
“ดูอีกทีซิ” หลี่ว์ซู่พูด
เจ้าของร้านยิ้ม “ไม่ว่าฉันจะดูยังไง มันก็มีค่าแค่ 2,000 ธนบัตรเท่านั้น ครึ่งหนึ่งค่างานฝีมือ”
ทันใดนั้นมีเสียงควบม้าดังขึ้นด้านนอกประตูและเสียงนั้นมีจำนวนเยอะมาก หลี่ว์ซู่ผงะไปชั่วขณะใครกันขี่ม้าในเมืองอวิ๋นอาน
เมื่อเสียงควบม้าดังเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ หลี่ว์ชูได้ยินเสียงร้องของผู้คนมากมายราวกับว่ามีบางคนกำลังวิ่งหนีเอาชีวิตรอด!
วินาทีต่อมาเสียงม้ามาหยุดอยู่ที่ประตูโรงรับจำนำและมีชายดุร้ายคนหนึ่งพุ่งเข้ามา “สวัสดี เถ้าแก่หลิน พวกเรามาจากหมู่บ้านชิงหลง ภูเขาอาน อย่าชักช้า มีของมีค่าอะไรเอาออกมาให้หมด!”
เจ้าของร้านเหมือนจะไม่แปลกใจอะไร เห็นเขาถอนหายใจและโบกมือให้กับชายคนหนึ่ง คนที่อยู่ข้างหลังเขาหันหน้าไปถือถาดแล้วยื่นส่งให้ เถ้าแก่หลินพูดอย่างสุภาพว่า “พ่อหนุ่ม ช่วงนี้ค้าขายไม่ค่อยดี เงินเตรียมไว้ให้แล้ว ท่านเชิญเอาไปได้เลย”
ชายผู้นำมองหน้ากันกับพี่น้องทางซ้ายขวาและยิ้ม “เถ้าแก่หลินช่างใจกว้างจริงๆ พี่น้องรับเงินแล้วกลับ”
ทันใดนั้นเองเขาก็เห็นสร้อยคอมรกตที่เถ้าแก่หลินถืออยู่ เขาหันหน้ากลับมาและพูดว่า “เถ้าแก่หลินไม่จริงใจเลย ของดีๆ แบบนี้ทำไมเก็บไว้คนเดียวล่ะ”
เถ้าแก่หลินรีบผลักสร้อยคอออก “เชิญเอาไปเลย…”
พูดยังไม่ทันจบ เถ้าแก่ก็เห็นโจรป่าพวกนั้นนอนจมกองเลือดอยู่ที่พื้น…ในกลุ่มโจรป่าพวกนี้มีคนเร่ร่อนที่มีพลังระดับ 4 อยู่ด้วย แต่ทำไมชายชราที่มีผ้าพันคอสีชมพูขยับตัวทีเดียว ทุกคนก็ล้มไปกองที่พื้นกันหมด!
ทันใดนั้นเขาเห็นชายหนุ่มตรงหน้าเดินเข้าไปหยิบเงินทั้งหมดในมือของโจรเก็บเข้ากระเป๋าอย่างใจเย็น จากนั้นก็ถอนหายใจด้วยสีหน้านิ่งเฉย “ขโมยเงินมันเร็วกว่าจริงๆ “
มือเถ้าแก่เริ่มสั่นเทิ้ม เขาคิดว่านี่อาจเป็นนายทาสตัวเล็กและคงครอบครัวตกต่ำจนต้องมาจำนำของ ปกติใครเขาจะจำนำของล่ะ ก็พวกหมดหนทางแล้ว ผู้มีพลังคนไหนจะมาแลกเงินกัน
หลี่ว์ซู่มองเถ้าแก่ “โจรพวกนี้เข้ามาในเมืองได้อย่างไร”
“พวกเขาสมรู้ร่วมคิดกับทหารอู่เว่ย จะเข้ามาเก็บค่าคุ้มครองทุกเดือน จากนั้นก็แบ่งให้กับทหารอู่เว่ย จากนั้นกองทัพก็จะมาขูดรีดภาษีพวกเราอีก นี่เป็นวิธีที่พวกเขาหาเงิน…” เถ้าแก่บ่นเป็นเรื่องเป็นราว
หลี่ว์ซู่พยักหน้า “อย่างนี้นี่เอง”
เถ้าแก่ครุ่นคิดสักพักและพูดว่า “ขอบคุณทั้งสามคนที่ช่วย…”
“ไม่ต้องขอบคุณหรอก” หลี่ว์ซู่พูดอย่างใจเย็น
“ไม่ๆๆ ต้องขอบคุณ…” เถ้าแก่ร้านพูดอย่างสุภาพ
“ฉันบอกว่าไม่ต้องขอบคุณหมายถึงตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ค่าคุ้มครองของเมืองอวิ๋นอานฉันจะเป็นคนเก็บเอง” หลี่ว์ซู่พูดอย่างใจเย็น
[ได้แต้มจากหลินกุ้ย +666!]
หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าทุกเรื่องไม่ราบรื่น เขาอยากจะเข้าร่วมกองทัพอู่เว่ยแท้ๆ แต่เมื่อเรื่องราวมาถึงก็ถูกบีบบังคับให้กลายเป็นโจร ทั้งหมดเพราะถูกชีวิตบีบคั้น…
“ขอถามหน่อยว่า หมู่บ้านชิงหลง ภูเขาอานอยู่ที่ไหน” หลี่ว์ซู่ถาม
“อยู่ทางเหนือ……”
“ขอบคุณ ฉันหวังว่าคุณจะรู้ว่าอะไรควรพูดอะไรไม่ควรพูด” หลี่ว์ซู่หันหลังเดินออกไป หลี่ว์เสี่ยวอวี๋กระหยิ่มยิ้มย่องเดินตามหลี่ว์ซู่ไป
ตอนนี้เถ้าแก่เห็นหลี่ว์ซู่ทำตัวสุภาพและจากไปแล้ว เขาคิดว่าหลี่ว์ซู่คงล้อเล่นที่บอกว่าเขาจะเก็บค่าคุ้มครอง จนกระทั่งเย็นวันนั้นเขาได้ยินเรื่องการบุกทำลายหมู่บ้านชิงหลง…
เถ้าแก่หลินเริ่มสงสัยในชีวิต หมู่บ้านชิงหลงที่ปักหลักข้างเมืองอวิ๋นอานมาแปดปี ทำไมถูกทำลายง่ายๆ แบบนี้!
ชาวบ้านและร้านค้าจำนวนมากในเมืองต่างยินดีปรีดาแต่พวกเขาไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำ
แน่นอนว่าหลินกุ้ยรู้ว่าใครเป็นคนทำ แต่เขาคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะมีพลังมากขนาดนี้ ผู้นำหมู่บ้านชิงหลงมีพลังระดับสามไม่ใช่เหรอ โจรพวกนั้นมีพลังพอๆ กับผู้บัญชาการอู่เว่ยไม่ใช่เหรอ
ในเวลานี้ หลี่ว์ซู่นั่งอยู่บนเก้าอี้ในหมู่บ้านชิงหลงและมองกลุ่มโจรที่เหลือรอดไม่กี่คนที่อยู่รอบๆ และพูดว่า “จงมีระเบียบวินัย ตั้งธรรมเนียมใหม่ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปพวกนายจะเป็นโจรที่มีระเบียบวินัย รู้ไหม ถ้ามีระเบียบวินัย ฉันจะพาพวกนายร่ำรวยและอยู่ดีกินดี”
โจรที่ดูแข็งแรงคนหนึ่งถามเสียงค่อยว่า “ทำอย่างไรถึงจะร่ำรวยและอยู่ดีกินดี…”
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอยู่ดีกินดีหมายความว่าอะไร
คำถามนี้ทำหลี่ว์ซู่เงียบไปครู่หนึ่ง “มีลูกให้น้อยลง ทำงานให้มากขึ้น!”
[ได้แต้มจากหลี่เฮยทั่น +666…]
[ได้แต้ม…]
หลี่เหยทั่นลังเลอยู่นานและพูดว่า “ท่านทำเช่นนี้เกรงว่าจะกลายเป็นอริของผู้นำอีกสิบกว่าเขา ทัพอู่เว่ยก็จะล้อมปราบท่าน …”
แววตาของหลี่ว์ซู่เป็นประกาย “จริงเหรอ งั้นก็ฉันก็จะได้ไม่ต้องไปหาพวกเขา”
หลี่เฮยทั่นสงสัยว่าสมองเจ้าของคนใหม่ของเขามีปัญหาหรือเปล่า..
แต่หลี่ว์ซู่กลับรู้สึกว่าถอนถอนใจ ฉันหันดวงใจไปหาดวงจันทร์ที่สว่างไสว แต่จะพูดคุยกับจันทร์สว่างได้เช่นไร ตอนแรกเป็นทหารอู่เว่ยก็ดีอยู่แล้ว เพราะยังไงก็เป็นตำแหน่งที่เป็นทางการ ทำไมไม่ระวังตัวกลายมาเป็นผู้นำโจรภูเขาซะได้!
กลุ่มคนอภิปรายกันอย่างกระตือรือร้นและยังเชิญหลี่ว์ซู่ให้เข้าร่วมประชุมงานอภิปรายของพวกเขาในบ่ายวันมะรืนนี้ พวกเขาถามหลี่ว์ซู่ว่าเขาอาศัยอยู่ที่ไหน หลี่ว์ซู่บอกว่าเพิ่งมาที่นี่ครั้งแรกถึงยังไม่มีที่พัก
ผลก็คือรีบมีคนบอกทันทีว่าพวกเขามีที่พัก หวังว่าจะสนทนากับหลี่ว์ซู่ในคืนนี้…
หลี่ว์ซู่เงียบไปสักพักแต่ก็เลือกปฏิเสธเขาไป เขาต้องทำสบู่จึงต้องมีที่พักของตนเอง แล้วเขาไม่ต้องการให้คนอื่นรู้สูตรลับนี้ด้วย
ผู้คนในโลกจักรวาลหลี่ว์ไม่ได้ให้ความสนใจกับความลับทางการค้ามากนัก แต่หลี่ว์ซู่ยังคงเอาจริงเอาจัง ปีนี้หลี่ว์ซู่เข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ได้มากขึ้นจริงๆ ตอนแรกเขาขายไข่ต้ม มีคนอยากรู้สูตรน้ำจิ้มของเขาแล้วก็ไปลองทำมาแล้วตั้งขายข้างๆ เขาแต่ก็ถูกน้าหลี่ไล่ไป…
คนบางคนน่ารังเกียจจริงๆ พอเขาเห็นว่าคุณทำเงินได้ พวกเขาก็อยากหาเงินด้วยวิธีเดียวกันหรือถึงขั้นตัดช่องทางหากินของคุณด้วย ไม่คิดที่จะสร้างสรรค์ผลงานชิ้นใหม่ๆ ของตัวเองออกมา
หลี่ว์ซู่จึงกังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้ามีคนรู้สูตรการผลิต หลี่ว์ซู่ไม่อยากต้องทำร้ายใครตั้งแต่มาถึง…
ผู้บำเพ็ญจะดีกว่าเล็กน้อย จะแย่งอาชีพก็ต้องวัดกันที่พลัง ใครคิดจะแย่งอาชีพก็ส่งแอนโทนี่และหัวหน้าบาทหลวงไปคุยกับคนคนนั้น คุยเรื่องการพัฒนาตลาดอย่างมีระเบียบและมั่นคง
หลี่ว์ซู่ตกลงร่วมงานเลี้ยงน้ำชาในวันมะรืนนี้ว่าเขาจะมาตรงเวลา
พอเขากลับไปที่โต๊ะ หลี่ว์เสี่ยวอวี๋เหลือบมองเขา “นายมีอะไรไปคุยกับพวกเขา”
หลี่ว์ซู่หัวเราะอย่างมีความสุขและพูดว่า “เธอต้องตีสนิทกับคนอื่นก่อนถึงจะขายสบู่ได้ พวกเราไม่คุ้นที่คุ้นทางที่นี่ เธอต้องหาจุดสำคัญ แล้วคนพวกนี้เวลาคุยกันคนอื่นๆ รอบข้างก็ชอบฟัง คนพวกนี้จะเป็นโฆษณาเดินได้ให้กับเราในภายหลัง เย็นนี้ต้องเริ่มทำสบู่คืนนี้ดีๆ แล้ว!”
ขณะนั้น หลี่ว์ซู่มองเห็นชามบะหมี่สีขาวตรงหน้าเขา “เนื้อวัวล่ะ บะหมี่เนื้อวัวไม่มีเนื้อวัวเหรอ เสี่ยวเอ้อร์! มานี่หน่อย! “
เสี่ยวเอ้อร์เดินเข้ามา “ลูกค้ามีอะไรครับ”
“พ่อครัวพวกนายชื่อว่าเนื้อวัวเหรอ” หลี่ว์ซู่ถามอย่างไม่รีบร้อน
“ไม่ใช่นะ” เสี่ยวเอ้อร์ผงะไปครู่หนึ่ง “พ่อครัวของเราไม่ได้ชื่อเนื้อวัว ทำไมเหรอคุณลูกค้า”
“แล้วเนื้อวัวในบะหมี่ล่ะ” หลี่ว์ซู่ไม่พอใจ
เสี่ยวเอ้อร์อึ้งไปพักหนึ่ง “เนื้อวัวถูกน้องสาวคนข้างๆ กินไปวัวแล้ว…”
หลี่ว์ซู่ “…”
[ได้แต้มจากหลี่ว์ซู่+199! “]
หลี่ว์ซู่มองหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ เขาเดาจุดเริ่มต้นได้แต่เดาตอนจบไม่ได้…
ในตอนนี้มีทหารสองสามคนสวมชุดทหารอู่เว่ยเดินเข้ามา พวกเขาสวมชุดเกราะเบี้ยวๆ และถือหมวกอย่างไร้ระเบียบเหมือนทหารเก่าขาดระเบียบวินัย
หลี่ว์ซู่เฝ้าดูพวกเขาอย่างเงียบๆ เพื่อดูว่าเวลาปกติทหารอู่เว่ยเป็นอย่างไร
พอทั้งสี่คนนี่เข้ามาในร้านก็ตะโกนเอะอะโวยวาย “เอาเนื้อวัวกิโลครึ่ง เหล้าสองขวด กับแกล้มสี่อย่าง เร็วๆ ด้วย!”
หลี่ว์ซู่กับหลี่ว์เสี่ยวอวี๋นั่งอยู่ที่มุมร้านเงียบๆ จนกระทั่งพวกทหารนั้นเรียกคิดเงิน ทหารนายหนึ่งวางหมวกไว้บนโต๊ะ “เอาไป จ่ายด้วยหมวกใบนี้ ไปพวกเรา”
เสี่ยวเอ้อร์เห็นหมวกบนโต๊ะก็ทำหน้าเศร้า หลี่ว์ซู่ตะลึงจนอ้าปากค้าง นี่คือกองทัพเหรอ ไม่เอาหมวกเหรอ
หลี่ว์ซู่แอบสะกิดเสี่ยวเอ้อร์ “หมวกนี้ได้ราคาดีไหม เอามาจ่ายค่าอาหารได้”
“จ่ายอะไรได้ล่ะ” เสี่ยวเอ้อร์เซ็ง “บ่ายนี้ฉันต้องส่งหมวกกลับไปให้ทัพอู่เว่ยอีก เก็บของพวกนี้เอาไว้เท่ากับมีโทษลอบเก็บอาวุธทหาร ตายสถานเดียว”
เป็นแผนทั้งนั้น หลี่ว์ซู่สะเทือนใจ
แต่กองทัพแบบนี้ดูเหมือนจะเหมาะกับเขามาก เขาไม่อยากต่อสู้สร้างความดี สิ่งที่ต้องการมีเพียงสิ่งเดียวคือสิทธิ์การส่งเข้าคัดเลือกของสำนักกระท่อมกระบี่
แล้วกองทัพแบบนี้ เขาไม่จำเป็นต้องกลัวเลย…
“ไปกันเถอะ” หลี่ว์ซู่ลุกขึ้นยืน “พวกเรามีเรื่องที่ต้องทำ”
ทัพอู่เว่ยนี้ดูเหมือนจะไม่ร่ำรวยนัก จางเว่ยอวี้เคยบอกไว้ว่าจริงๆ แล้วเงินเดือนที่จัดสรรให้ทุกๆ เดือนนั้นไม่มากนัก เหตุผลที่ทัพชิงไซ่ร่ำรวยก็คือเมืองหนานเกิงค่อนข้างเจริญรุ่งเรืองและดินแดนอุดมสมบูรณ์ เมืองอวิ๋นอานไม่ได้เป็นศูนย์กลางคมนาคมอะไร ไม่มีสินค้าดัง พวกพ่อค้าไม่ชอบมาที่เมืองนี้
อย่างไรก็ตามยิ่งสถานที่แห่งนี้ยากจนเท่าไหร่ ยิ่งเกิดความขัดแย้งกันมาก
ว่ากันว่าศิษย์ของสำนักกระท่อมกระบี่เคยมารับตำแหน่งที่ทัพอู่เว่ย ต่อมาไม่ถึงสองเดือนก็ยื่นขอย้าย แสดงให้เห็นว่าภายในทัพอู่เว่ยมีความขัดแย้งมากขนาดไหน
ต้องบอกว่า หลี่ว์ซู่แค่ฟังเขาอื่นพูดคุยกันก็พอรู้ว่าสำนักกระท่อมกระบี่มีฐานะสูงส่งเพียงใด ยิ่งเป็นเช่นนี้หลี่ว์ซู่ก็ยิ่งอยากไปสำนักกระท่อมกระบี่มากขึ้น
เขาถามเสี่ยวเอ้อร์ว่าทัพอู่เว่ยเกณฑ์ทหารทุกสามเดือน ยังมีเวลาอีกกว่าหนึ่งเดือนก่อนถึงการเกณฑ์ทหารครั้งต่อไป แต่ไม่ว่าจะมีเกณฑ์กี่ครั้ง กองทัพก็ไม่เคยได้เต็มจำนวนเสียที
เมื่อหลี่ว์ซู่ออกจากร้านบะหมี่ยังถามเสี่ยวเอ้อร์อีกว่า “ทหารอู่เว่ยพวกนี้ออกรบไหม”
“ไปซิ ทำไมจะไม่รบ” เสี่ยวเอ้อร์พูดแกมดูถูก “มีโจรป่ามากมาย ต่อสู้ทุกวัน”
ในเวลานี้เจ้าของร้านเห็นเสี่ยวเอ้อร์จึงเขม่นใส่เขา หลี่ว์ซู่ยิ้ม มีอะไรแอบแฝงอยู่จริงๆ ด้วย
ในช่วงกลียุคย่อมมีหมู่โจร แต่โจรมาจากไหน ที่จริงส่วนใหญ่พวกเขาเป็นคนเร่ร่อนที่สูญเสียนายทาสไป ทัพอู่เว่ยเองก็ก่อตั้งจากคนเร่ร่อน จึงไม่สมเหตุสมผลเลยที่จะสมรู้ร่วมคิดกัน
นี่เป็นปัญหาโลกแตก เมืองนี้เดิมทีก็ไม่ใช่ศูนย์กลางคมนาคม แล้วยังมีโจรป่าอีก ถ้าพ่อค้ายอมมาก็แปลกแล้ว แต่กลายเป็นยิ่งจนก็ยิ่งเลวร้ายลง
หลี่ว์ซู่ลากเสี่ยวเอ้อร์มาถาม “ขอถามอีกคำถาม ปกติแล้วมีพ่อค้ามาบ้างไหม”
เสี่ยวเอ้อร์ผงะไปชั่วขณะ “มีซิแต่ไม่มาก ตอนนี้เหลือเพียงขบวนพ่อค้าสองกองที่มาที่นี่ พวกเขามีทาสที่มีพลังระดับสองดังนั้นพวกโจรจึงไม่กล้าปล้น”
หลี่ว์ซู่โล่งอก มีพ่อค้าก็หมายความว่าสบู่ของเขาจะเอาไปขายที่อื่นได้
ตราบใดที่อากาศยังชื้นก็จะสะดวกในการขนส่งสบู่ เขาถามอย่างสงสัยว่า “ขบวนพ่อค้าจะมาเมื่อไหร่”
“ตอนนี้อยู่ทางตะวันออกของเมือง” เสี่ยวเอ้อร์พูด “แต่พวกนายต้องระวัง นายทาสหญิงคนนั้นนิสัยแปลกประหลาด”
หลี่ว์ซู่ขอบคุณเสี่ยวเอ้อร์และพาหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ไปทางทิศตะวันออกของเมือง หลี่ว์เสี่ยวอวี๋เหลือบมองเขาอย่างสงสัย “นายคิดจะทำอะไรดีแล้วใช่ไหม”
“เราจะหลอกพวกเขา!” หลี่ว์ซู่พูดอย่างมั่นใจพร้อมกับรอยยิ้มลึกลับที่มุมปาก นี่เป็นครั้งแรกที่เขาดำเนินแผนอย่างจริงจัง
…
“ออกไปๆ ฉันอนุญาตพวกนายเข้ามาแล้วเหรอ” ทาสแข็งแรงคนหนึ่งผลักหลี่ว์ซู่ออกไปด้านนอก
หลี่ว์ซู่ไม่พอใจ “ฉันจะคุยการค้ากับพวกนาย รับรองว่าพวกนายฟังแล้วจะต้องทึ่ง… เดี๋ยวก่อนซิ อย่าเพิ่งผลัก บอกให้ หยุด!”
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋หัวเราะจนตาจะกลายเป็นพระจันทร์เสี้ยว หลี่ว์ซู่ตอนอยู่บนโลกค่อยๆ กลายเป็นคำพ้องความหมายกับคำว่าไม่มีอะไรทำไม่ได้ ทุกคนเหมือนจะคิดว่าไม่มีอะไรที่หลี่ว์ซู่ทำไม่สำเร็จ
พอมาโลกของจักรวาลหลี่ว์นี้ได้เห็นหลี่ว์ซู่ยอมคนบ้างก็สนุกดี
เมืองอวิ๋นอานห้อมล้อมไปด้วยภูเขา มีคนกล่าวไว้ว่าเมืองอวิ๋นอานมีอากาศอบอุ่นในฤดูหนาวและมีอากาศเย็นสบายในฤดูร้อนฤดูกาลทั้ง 4 ฤดูก็เหมือนกับฤดูใบไม้ผลิ แต่หลี่ว์ซู่รู้สึกว่ามันคือเรื่องหลอกลวง
เรื่องแรกที่หลี่ว์ซู่ทำหลังจากเข้าสู่เมืองอวิ๋นอานไม่ใช่สังเกตว่าการค้าที่นี่รุ่งเรืองกว่าเมืองเถียนเกิ่งมากแค่ไหนแต่สนใจที่การป้องกันเมืองของที่นี่
เขาลองสังเกตดูคร่าวๆ แล้วก็เห็นว่าทหารเว่ยอู่ประจำเมืองเอาแต่ยืนพิงกำแพงพูดคุยกันอย่างเกียจคร้านและมีเจ้าหน้าที่อยู่ที่ประตูเมือง ตอนแรกหลี่ว์ซู่กังวลว่าตอนเข้าเมืองต้องใช้เอกสารเข้าเมืองหรือเปล่า แต่ว่าเจ้าหน้าที่ก็เอาแต่คุยกัน ไม่แม้แต่จะมองหลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋เลย
ยิ่งไปกว่านั้น หลี่ว์ซู่มักรู้สึกว่าทหารเว่ยอู่ยากจนมาก ตอนแรกที่เจอทหารชิงไซ่ที่เมืองเถียนเกิ่ง แต่ละคนดูมีบารมี มีม้าที่สมบูรณ์ เสื้อเกราะสีแดงที่ดูออกว่าได้รับการดูแลเป็นประจำ
ทัพอู่เว่ยนั้นต่างกันเลย หลี่ว์ซู่เห็นอาวุธที่เขาใช้มีแต่สนิม อย่างกับไม่ใช่อาวุธวิเศษแม้แต่อาวุธธรรมดาก็ยังเทียบไม่ได้เลย…
ผู้บัญชาการทัพอู่เว่ยยังดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองอวิ๋นอานตามธรรมเนียมปฏิบัติ หลี่ว์ซู่คิดกับตัวเองคนเร่ร่อนคนหนึ่งขึ้นมาเป็นเจ้าเมืองได้ก็ต้องมีสิ่งที่เหนือกว่าคนอื่นแน่นอน
แต่ทหารระเบียบแบบนี้ … จะชนะสงครามได้จริงหรือ ไม่รู้ว่าทหารอู่เว่ยชนะสงครามมาหลายครั้งได้อย่างไร
ทันใดนั้น หลี่ว์ซู่ก็รู้สึกเหมือนว่าราชาแห่งทวยเทพและจอมทัพสวรรค์เลี้ยงดูคนเหล่านี้ไว้เพื่อแกะรับใช้ แต่จะเรียกพวกเขาว่าคนเลี้ยงแกะไม่ได้เลย เพราะพวกเขาไม่สนใจว่าแกะในอาณาเขตของตัวเองจะเป็นอย่างไร
บางครั้งเขาก็สงสัยว่าถ้าบุคคลนั้นมีพลังสูงส่งก็จะมองคนที่ต่ำกว่าเป็นมดปลวกโดยไม่รู้ตัวหรือเปล่า
มีคนเคยกล่าวไว้ว่า “การปล่อยชีวิต” นั้นเป็นพฤติกรรมที่สูญเปล่า เพราะไม่รู้ว่าปลาที่ได้รับการปล่อยไปจะเป็นร้ายหรือดียังไง ถ้าเป็นปลาร้าย ไม่กลายเป็นการลบหลู่เทพเจ้าเหรอ
มีคนโต้ว่า ยังต้องแบ่งว่าเป็นปลาร้ายปลาดีด้วยเหรอ ปล่อยชีวิตก็พอแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นปลาหรือปลาไหล พวกมันเหมือนกันในสายตาของมนุษย์ ของใช้ อาหารและอื่นๆ ของพวกมันก็ไม่แตกต่างกัน
มนุษย์ธรรมดาก็เหมือนกันในสายตาของเทพเจ้าและพวกเขาไม่สมควรได้รับความสนใจ
และในโลกจักรวาลหลี่ว์ เหนือกว่าระดับหนึ่งยังมีพลังระดับปรมาจารย์และปรมาจารย์ท่านนี้ก้มมองโลกเหมือนก้มมองมดปลวก ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นอย่างไร หากต้องการรักษาการปกครองของตนให้ดีก็แค่ตนเองแข็งแกร่งเพียงพอก็พอ
สิ่งนี้แตกต่างจากคนปกครองคน คือคนปกครองคนต้องคำนึงถึงการดำรงชีวิตของผู้คน สภาพแวดล้อม ขนบธรรมเนียม ฯลฯ และที่นี่เปรียบเสมือนเทพเจ้าปกครองคน ไม่ว่าคนธรรมดาจะตะโกนบอกเท่าไรก็ไม่มีประโยชน์
หากเป็นเช่นนี้ก็พอเข้าใจสภาพกองทัพอู่เว่ยแล้ว…จอมทัพสวรรค์ทักษิณเหวินไจ้โฝ่วคงขี้เกียจสนใจพวกเขา พวกมดปลวกแมวงวันใช้ชีวิตไปเถอะ เทพเจ้าจะสนใจทำไม มันดูถูกเทพเจ้าเกินไปแล้ว…
ถึงยังไม่เคยเห็นเนี่ยถิงใช้พลังเสินฉังจิ้งแต่หลี่ว์ซู่ยังพอจินตนาการถึงอานุภาพที่รุนแรงของมันได้ ระดับหนึ่งน่าจะพอมีพลังทำลายประตูนรกภูเขาคุนหลุน ระดับปรมาจารย์ก็น่าจะพอกับเทพเจ้า อย่างน้อยในสายตาของคนทั่วไปก็คงคิดเช่นนี้
ที่นี่ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าเสินฉังจิ้งมีแค่ปรมาจารย์เท่านั้น
ที่จริงหลี่ว์ซู่ชอบวิถีของเนี่ยถิง อีกฝ่ายสามารถรบเคียงบ่าเคียงไหล่เครือข่ายฟ้าดินและก็นั่งดูเอกสารใต้ต้นวอลนัทได้ หรือแม้แต่ถือชามโจ๊กข้าวฟ่างไปด้วยและคุยกับสือเสวจิ้นว่าหอมใหญ่ไม่อร่อย
หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าเนี่ยถิงเป็นคนที่มีเลือดเนื้อ ไม่ได้เป็นเทพเจ้า แข็งแกร่งกว่าจอมทัพสวรรค์เสียอีก
แน่นอนว่าเขาไม่เคยเจอจอมทัพสวรรค์ตัวเป็นๆ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถสรุปส่งเดชได้
ตอนนี้ หลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋เดินผ่านร้านบะหมี่นายเจี่ยง เขาเห็นในร้านคึกคัก มีคนเต็มไปหมดเหมือนกำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่ ทันใดนั้น เขาก็ได้ยินใครบางคนพูดถึงราชาแห่งทวยเทพ
หลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋มองหน้ากันแล้วเดินเข้าไปในร้าน เสี่ยวเอ้อร์เดินเข้ามาต้อนรับพวกเขา “ทั้งสองท่านจะนั่งชั้นสองหรือชั้นล่างดีครับ”
“ชั้นล่าง” หลี่ว์ซู่กวาดสายตามองรายการอาหารที่แขวนอยู่ “บะหมี่เนื้อสองชาม”
“ได้เลย” เสี่ยวเอ้อร์เดินนำหลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ไปที่มุมหนึ่ง หลี่ว์ซู่เหลือบมองที่กลุ่มคนและได้ยินใครบางคนพูดคุยเรื่องของราชาแห่งทวยเทพ
เขาพูดกับหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ “เธอนั่งตรงนี่นะ ฉันจะไปสืบดูว่าพวกเขาคุยอะไรกัน”
มีลูกค้าหลายโต๊ะที่เหมือนมาด้วยกัน มีชายชราท่ามกลางพวกเขาพูดขึ้นว่า “การอภิปรายในช่วงบ่ายของวันนี้เกี่ยวกับศาสตร์ราชาช่างมีอรรถรสจริงๆ ฉันได้เปิดหูเปิดตามากเลย!”
หลี่ว์ซู่ได้ยินก็รู้สึกเอียนศาสตร์ราชา…ราชาองค์เก่าสร้างอาชีพใหม่เหรอ
ทันใดนั้นก็มีคนพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นว่า “ฉันตั้งปณิธานว่าจะอ่านบทกวีขององค์ราชาต่อไป และวาดโลกที่ซ่อนอยู่ในบทกวีขององค์ราชาออกมาให้ได้!”
กลุ่มคนข้างๆ เขาเริ่มปรบมือ หลี่ว์ซู่ยืนอึ้งไปพักหนึ่ง นี่คือนักวิชาการศาสตร์ราชาเหรอ คลั่งไคล้ขนาดนั้นเลยเหรอ
จะว่าไปก็พอเข้าใจได้ สำหรับจักรวาลจักรวาลหลี่ว์ที่วัฒนธรรมหยาบกร้านเช่นนี้ ราชาองค์เก่าเป็นศูนย์รวมของผลผลิตทางวัฒนธรรมถึง 99% จะมีผู้เลื่อมใสศรัทธาก็ไม่แปลก…
ทันใดนั้นก็มีคนคนหนึ่งหัวเราะเยาะ “พี่อวี๋ บทที่ว่า ‘พระอาทิตย์คล้อยต่ำลงแนบภูเขา แม่น้ำเหลืองไหลถาโถมไปทางทะเลตะวันออก ถ้าหากต้องการชมภาพทิวทัศน์นับหมื่นลี้ให้หมด คงต้องขึ้นสูงไปอีกชั้นหนึ่ง’ บทกวีขึ้นหอคอยกระเรียนเหลือง ราชาองค์เก่าปรากฏตัวในบทนี้หลายครั้ง ฉันอยากรู้เสียจริงว่าหอหวงเชว้นี้เป็นเช่นไร แล้วอยู่ที่ไหน คุณต้องวิจัยออกมาให้ดีล่ะ”
ชายสกุลอวี๋ท่านั้นถอนหายใจ “หอคอยกระเรียนเหลืองคือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ในใจของฉัน ดูประโยคที่ว่าพระอาทิตย์คล้อยต่ำลงแนบภูเขาก็จะรู้ได้ว่าหอคอยนี้ตั้งอยู่ไกลและน่าจะอยู่ทางตะวันตกของภูเขาลูกนั้น…”
หลี่ว์ซู่ที่อยู่ข้างๆ เงียบไปสองวินาทีและพูดว่า “พวกคุณเคยคิดไหมว่า อีซานจิ้น[1]อาจจะเป็นชื่อคนก็ได้”
การอภิปรายที่เผ็ดมันในร้านอาหารนั้นเงียบลงในทันที ทุกคนเงยหน้ามองหลี่ว์ซู่ที่ยืนอยู่ข้างๆ จากนั้นก็นึกถึงบทกวี …
[ได้แต้มจากฉีจื่ออี๋ +666!]
[ได้แต้มจากอานห้าว +666!]
[ได้แต้มจากเฉินเว่ยหัว …]
“เรื่องนี้…” ใครบางคนลังเลอยู่พักหนึ่ง “ราชาองค์เก่าได้ยินแล้วอยากคงอยากฟาดนาย …”
คนกลุ่มนี้พอได้ยินก็คิดว่าคนคนนี้พูดไร้สาระอะไรและกำลังจะเริ่มด่าแต่เงยหน้ามาเห็นหลี่ว์ซู่ก็เป็นใบ้กันไปหมด น้ำเสียงก็ดูเบาลง…
ทันใดนั้นก็มีคนพูดว่า “แต่นี่ก็เป็นมุมมองใหม่…”
หลี่ว์ซู่ตกตะลึงกับประโยคนี้ด้วย มีคนเชื่อจริงๆ ด้วยเหรอ
อีกคนมองหลี่ว์ซู่ “น้องชายท่านนี้ มีความเห็นอื่นอีกไหม”
หลี่ว์ซู่ครุ่นคิดอยู่สองวินาที “โฉมงาม[2] ไม่ทราบว่าไปที่ใด พวกคุณรู้สึกไหมว่าประโยคนี้กำลังด่าว่าหน้าไม่อาย”
นักวิชาการกลุ่มนั้นครุ่นคิดอีกรอบ…
[ได้แต้มจากฉีจื่ออี๋ +666!]
[ได้แต้มจาก…]
หลี่ว์ซู่ไม่รู้ตัวว่าเขาไปสร้างอีกแขนงหนึ่งสำหรับศาสตร์ราชาโดยไม่เจตนา…
คนของแขนงนี้มีน้อยมาก แต่ก็ยังมีอยู่บ้าง…
——
[1] อีซานจิ้น แปลว่าคล้อยลงแนบภูเขา
[2] โฉมงาม มาจากบทกวีซึ่งในภาษาจีนแปลตรงตัวว่า “ใบหน้า” แต่บริบทของกวีพูดถึงไม่เห็นใบหน้าผู้หญิง ไม่รู้ว่าไปที่ไหน
หลี่ว์เสี่ยวซู่ รู้สึกว่าเมืองอวิ๋นอาน ไม่ปลอดภัยเอาเสียเลย เดินไปไม่ถึงสองลี้ก็มีสาวมากกว่าสิบคนแอบมองหลี่ว์ซู่ซะแล้ว
ตอนนี้หลี่ว์ซู่พูดขึ้นว่า “ฉันจะอยู่กับเธอไปก่อน พอพวกเรามีตั้งร้านอะไรขึ้นมาได้สักพักแล้ว ฉันจะไปรายงานตัวกับทัพอู่เว่ย แบบนี้จะได้สำรวจดูเมืองไปด้วย พยายามทำความคุ้นเคยกับโลกจักรวาลหลี่ว์ เพื่อ…”
“นายไปทัพอู่เว่ยตอนนี้เลยเถอะ” หลี่ว์เสี่ยวอวี๋พูดอย่างใจเย็น
หลี่ว์ซู่ “???”
[ได้แต้มจากหลี่ว์ซู่ +666!]
หลี่ว์ซู่คงจะไปที่ทัพอู่เว่ยตอนนี้เลยไม่ได้หรอกเขาต้องจัดกาเรื่องต่างๆในเมืองก่อน
หลี่ว์ซู่ถามขึ้นทันทีว่า “ฉันสังเกตดีๆ แล้ว จางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ ใช้ใบพืชอย่างหนึ่งมาใช้ซักผ้า ฉันถามเขาว่าเขามีวิธีซักแบบอื่นอีกไหม เขาบอกว่าทุกคนใช้ใบไม้พวกนี้ แล้วก็ใช้ดีด้วยดังนั้นเหมือนว่าที่นี่จะไม่มีสบู่ แล้ววิธีทำสบู่ก็ง่ายมากเสียด้วย…”
หลี่ว์ซู่เคยเห็นว่าต้นกำเนิดของการประดิษฐ์สบู่เป็นเรื่องบังเอิญ ว่ากันว่ามีคนบังเอิญใส่น้ำมันลงในขี้เถ้าที่ดับแล้ว เขากังวลว่าจะทำให้เกิดไฟไหม้จึงรีบหยิบขี้เถ้าและน้ำมันออกมาแล้วพบว่าล้างมือสะอาดมากขึ้นตอนล้างมือ
ความบังเอิญนี้บางครั้งก็กลายเป็นความจำเป็น เพราะถึงแม้ว่าจะไม่มีความบังเอิญนี้ แต่นักวิทยาศาสตร์ก็สามารถวิจัยออกมาได้จากการศึกษาองค์ประกอบทางเคมี
แต่โลกจักรวาลหลี่ว์นั้นแตกต่างออกไป อย่างแรกยังไม่มีคนที่ศึกษาด้านเคมี อย่างที่สองยังไม่มีความบังเอิญเช่นนั้นเกิดขึ้น
หลี่ว์ซู่ชอบอกชอบใจกับความคิดของเขาแต่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋กลับตกใจ “ไม่มีสบู่นายก็ทำสบู่ออกมาใช่ไหม”
หลี่ว์ซู่ “…หมายความว่าอะไร!”
เดิมทีหลี่ว์เสี่ยวอวี๋คิดว่าหลี่ว์ซู่ไปทัพอู่เว่ยอาจจะปลอดภัยกว่า แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าอยู่ทัพอู่เว่ยก็คงไม่ปลอดภัย!
ไม่ว่าหลี่ว์ซู่ฟังยังไงก็รู้สึกว่าคำพูดของหลี่ว์เสี่ยวอวี๋นั้นผิดปกติ ไม่มีสบู่ก็ผลิตสบู่ออกมาขายหาเงินไม่ดีเหรอ
ในยุคนี้ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาสร้างของที่เกินจินตนาการยังไม่ค่อยได้ คนโลกนี้อาจจะยังรับไม่ค่อยได้ ดังนั้นของใช้ในชีวิตประจำวันจึงขายได้ง่ายที่สุดและต้นทุนการทำสบู่ก็ไม่แพง
หลี่ว์ซู่วิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนและพูดว่า “ดูสิ ขั้นตอนการทำสบู่ของคนโบราณนั้นง่ายมาก แค่ต้มด่างกับน้ำมันหมู ฉันเห็นว่าที่นี่ไม่มีด่าง พวกเรามีสองวิธี เราเผาพืชทำขี้เถ้าหรือไม่ก็ไม่เอาที่เหมืองอัลลาไล! วิธีแรกเป็นวิธีดั้งเดิม ด้วยวิธีโบราณใช้ขี้เถ้าพืชทำด่างจะช้าหน่อย ทางที่ดีควรหาเหมืองอัลคาไล ด้วยพลังของแอนโทนี่จะตามหาเหมืองอัลคาไลคงไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าได้ด่างแล้วก็เอามาผสมกับปูนขาวเพื่อให้ได้โซดาไฟ ฉันสังเกตว่าเมืองนี้ใช้ปูนขาวสร้างบ้าน!”
ด่างเริ่มพัฒนาเพื่อใช้งานบนโลกค่อนข้างช้า ที่นี่ไม่มีก็ไม่แปลกแต่ก็ไม่ได้แสดงว่าจะทำให้หลี่ว์ซู่จนปัญญา อย่างมากก็เผาพืชเอาขี้เถ้ามาค่อยๆทำ
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋จ้องหลี่ว์ซู่ด้วยความงุนงง เธอเห็นว่าหลี่ว์ซู่เอาจริงเอาจัง เจ้านี้จะผลิตสบู่ขึ้นจริงๆ!
หลี่ว์ซู่ยังพูดต่ออย่างชอบใจว่า “ถ้าโลกจักรวาลหลี่ว์ก้าวเข้าสู่เทคโนโลยี ในอนาคตฉันอาจจะยังมีชื่ออยู่ในประวัติศาสตร์ของพวกเขา ผู้คิดค้นสบู่ หลี่ว์ซู่!”
“มันไม่น่าใช่เรื่องน่าภาคภูมิใจนะ” หลี่ว์เสี่ยวอวี๋พูดแขวะ
“เธอไม่เข้าใจ วิทยาศาสตร์คืองานศิลปะ ยิ่งศึกษามากเท่าไหร่ก็ยิ่งค้นพบความยิ่งใหญ่ของโลกได้ง่ายขึ้นเท่านั้น” หลี่ว์ซู่ถอดถอนใจ “แต่โลกนี้เดินมาอีกทางหนึ่ง พวกเขาผสานตัวเข้ากับกฎธรรมชาติดังนั้นคงไม่คิดแยแสวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน”
ไม่มีใครถูกใครผิด มันเป็นทางสองสาย มนุษย์คิดค้นเทคโนโลยีเพื่อใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี แต่โลกจักรวาลหลี่ว์ใช้อีกเส้นทางหนึ่งเพราะพวกเขามีพลังในตัวเองและใช้ “คาถา” แทนเทคโนโลยี ดังนั้นความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอาจจะช้ามาก
นี่เป็นผลจากความแข็งแกร่งของส่วนบุคคล หลี่ว์ซู่คิดดูแล้ว บางทีในโลกอื่นอาจมีสิ่งมีชีวิตที่ค้นคว้าเทคโนโลยีจนถึงจุดที่สามารถคานอำนาจกับราชาแห่งทวยเทพได้ แต่ที่ไม่มีใครสนใจเรื่องนี้
“แล้วนายคิดว่าผู้บำเพ็ญของที่นี่จะมีคาถาทำความสะอาดเสื้อผ้าอะไรพวกนั้นหรือเปล่า” หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็เริ่มจริงจังและเธอก็สงสัย “ถ้ามีแล้วเราก็ทำเพื่ออะไร”
หลี่ว์ซู่ยิ้ม “พวกเราแค่ขายสบู่ให้คนธรรมดา เธอเห็นไหมว่าคนธรรมดาที่นี่ยังมีสัดส่วนถึง 80% มันคือตลาดและไม่จำเป็นต้องขายให้กับผู้บำเพ็ญพวกนั้น”
“ก็จริง” จู่ๆหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็รู้สึกเศร้าใจ หลี่ว์ซู่จะทำสบู่…
ทำไมถึงบอกว่าเป็นคนคิดค้นสบู่ ช่างหน้าด้านจริงๆ …
หลี่ว์ซู่เริ่มรู้สึกตื่นเต้นเมื่อนึกถึงเส้นทางรวย “ฉันกลัวว่าเงินที่พวกเราคงไม่พอค้างโรงแรมสองวัน เธอมีของอะไรขายได้ไหม”
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋มองหลี่ว์ซู่ด้วยความระแวง “นายอยากขายอะไร ฉันมีทองคำแท่งแต่ที่นี่ไม่ใช้”
นี่เป็นเรื่องน่าปวดหัวจริงๆ ทองไม่มีประโยชน์เมื่อมาถึงที่นี่…
หลี่ว์ซู่คิดสักพัก “มีอะไรอีกไหม”
“มีเข็มขัดที่ฉันซื้อให้นาย แต่คนที่นี่สวมกางเกงไม่เหมือนพวกเรา พวกเขาไม่ต้องการเข็มขัดและไม่รู้จักแบรนด์ดังๆ … “หลี่ว์เสี่ยวอวี๋พูดหลังจากคิดอยู่นาน
ขณะนี้มีพ่อค้าเร่ขายขนมหวานเดินผ่านมา พุทราเชื่อมลูกแดงๆ เสียบไม้ปักอยู่บนหาบเร่แล้วมีเด็กกลุ่มหนึ่งวิ่งไล่ตามพ่อค้ามา หลี่ว์ซู่จึงถามหลี่ว์เสี่ยวอวี๋อย่างมีความสุข “กินไหม”
“ไม่กิน”หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ส่ายหน้า “พวกเราต้องเก็บเงินไว้”
หลี่ว์ซู่มองหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ ในคืนก่อนที่พลังจิตวิญญาณฟื้นคืน หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็โวยวายอยากกินพุทราเชื่อมในงานวัดอยู่เลย ตอนนี้ผ่านมาสองปีแล้ว หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็เติบโตขึ้นและรู้เรื่องมากขึ้นแล้ว
เวลาจะเปลี่ยนคนเราไปอย่างไม่ได้ตั้งใจและหลี่ว์ซู่คิดว่าทั้งเขาและหลี่ว์เสี่ยวอวี๋กำลังเปลี่ยนไปในทางที่พวกเขาเคยหวังไว้
หลี่ว์ซู่ตะโกนบอกพ่อค้า “พุทราเชื่อมไม้หนึ่ง“
เขาซื้อมาและยัดใส่มือหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ “เก็บไว้ให้ฉันลูกเดียวพอ”
“อืม” หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ตอบพลางก้มหน้าลงราวกับกำลังคิดอะไรอยู่
ทั้งหมดนี้ราวกับว่าโลกไม่เคยเปลี่ยนไปหรือโลกมันเปลี่ยนไปมีเพียงเธอและหลี่ว์ซู่เท่านั้นที่ไม่เปลี่ยนแปลง
ในตอนนั้นพวกเขายากจนมากและเธอรู้ว่าหลี่ว์ซู่จะหาทางได้แน่นอน
เดิมทีหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ไม่ค่อยชอบโลกนี้นัก รู้สึกยอมรับที่นี่ไม่ค่อยได้ แต่ตอนนี้ความรู้สึกนี้มันหายไปจนหมด
เพราะหลี่ว์ซู่อยู่ที่นี่ ที่ไหนก็เหมือนกันถ้ามีหลี่ว์ซู่อยู่
ดินแดนภายใต้การควบคุมของจอมทัพสวรรค์ทักษิณมีกว้างมาก หลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ไม่ได้ไปที่เมืองหนานเกิงก่อน แต่ตรงไปที่เมืองอวิ๋นอานเลย
เดิมทีหลี่ว์เสี่ยวอวี๋อยากไปที่เมืองหนานเกิง แต่แล้วหลี่ว์ซู่ ปฏิเสธเสียงหนักแน่น เขากังวลว่าจะพบหลิวอี้เจาที่เมืองหนานเกิง…
ถึงแม้หลี่ว์ซู่จะหน้าตาดีแต่ไม่ถือว่าหล่อตามคติของโลกมนุษย์ ทำไมพอมาที่โลกนี้แล้วก็รู้สึกเหมือนกับโชคดีเรื่องความรัก ไม่ ไม่ใช่โชคดีเรื่องความรักแต่เป็นหายนะทางความรัก…
เมื่อทั้งสองมาถึงเมืองอวิ๋นอานก็คือสามวันให้หลัง ตามหลักหลี่ว์เสี่ยวอวี๋พาหลี่ว์ซู่ดำดินมาควรจะเร็วกว่านนี้แต่หลี่ว์ซู่ประเมินค่าความสามารถในการระบุทิศทางของหลี่ว์เสี่ยวอวี๋สูงเกินไป
หลังจากลงไปใต้ดินไปแล้ว หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็บอกไว้ก่อนว่าเธอไม่สันทัดเรื่องทิศทาง ตอนนั้นหลี่ว์ซู่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร อย่างน้อยเขาก็ได้เห็นว่าหลี่ว์เสี่ยวอวี๋เป็นฝ่ายมาบอกว่าเธอไม่ถนัดด้านไหน
หลังจากที่พวกเขาไปเดินผิดทางไปแปดครั้ง หลี่ว์ซู่ก็ได้มายืนอยู่นอกกำแพงเมืองและถอนถอดใจกับประตูเมืองว่า “ไหนเธอบอกว่าไม่สันทัดเรื่องทิศทาง เธอไม่มีทิศเลย …”
[ได้แต้มจากหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ +199!]
ในตอนนี้หหลี่ว์ซู่นึกถึงตอนเป็นเด็ก ครั้งแรกที่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋แอบหนีออกจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แล้วหาบ้านหลังเล็กที่ถนนสิงสู่ไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะไปยังไง เธอจึงโทรหาหลี่ว์ซู่อย่างน่าสงสาร หลี่ว์ซู่ถามว่าเธออยู่ที่ไหน เธอบอกว่าอยู่ใต้ก้อนเมฆก้อนหนึ่ง…
แต่หลังจากคราวนั้นหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็จำได้ว่าต้องไปยังไง ดูเหมือนว่าเพราะหลี่ว์ซู่อยู่ที่นั่นเธอถึงจำทางได้
เมืองอวิ๋นอานคึกคักมาก หลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็รู้สึกเหมือนเข้าไปในเมืองในภาพยนตร์ มีสถานีจอดม้าอยู่ข้างประตูเมือง มีกองม้าพักผ่อนอยู่ ดูท่าแล้วเหมือนกับเป็นขบวนพ่อค้า
หลี่ว์ซู่นับธนบัตรในกระเป๋าของเขา ก่อนหน้านี้เขาขายของขวัญจากตระกูลอวี่เพื่อแลกกับธนบัตรเหล่านี้แต่ก็มีไม่มากนัก เพียงพอที่จะใช้ไปได้ไม่กี่วันเท่านั้น
“เราต้องหาวิธีหาเงิน” หลี่ว์ซู่ถอดถอนใจ “ถ้าฉันเข้าร่วมกองทัพอู่เว่ย เธอต้องมีทุนที่จะอยู่ในเมืองอวิ๋นอานนี้ พวกเราต้องหาทางทำธุรกิจเล็กๆ กัน”
ถ้าเขาสามารถนำตราแผ่นดินออกมาได้ก็ดี แค่ของในตราแผ่นดินหยิบออกมาค้าขาย ตอนนี้เขาใช้ตราแผ่นดินไม่ได้ แม้แต่หยิบยังไม่กล้าหยิบออกมาด้วยซ้ำ
หลี่ว์ซู่มองหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ “ถ้าวิญญาณที่เธอจับมาเหมือนคนจริงก็ดี จะได้ให้วิญญาณออกหน้าเธอจะได้ไม่ต้องออกโรง ฉันถามจางเว่ยอวี่แล้ว คนในโลกจักรวาลหลี่ว์ยังคงถือเรื่องจับวิญญาณ เพราะพวกเขาเชื่อว่าวิญญาณของมนุษย์จะไม่สูญสลายและสามารถกลับมาเกิดใหม่ได้”
ถึงตอนนี้หลี่ว์เสี่ยวอวี๋จะสูงขึ้น แต่เธอก็ยังเด็กอยู่และดูใสซื่อ เธอไม่จำเป็นต้องได้รับการปกป้องด้วยซ้ำเพราะเมืองอวิ๋นอาน เจ้าเมืองนั้นมีพลังแค่ระดับสอง ต่อให้เจ้าเมืองระดับหนึ่งของเมืองใหญ่เธอก็ไม่หวาดกลัว เธอยังปกป้องตัวเองได้เช่นเดิม
แต่ปัญหาคือบางคนเห็นว่าเธอยังเด็กก็เลยจะมารังแก ถ้าหากมียอดฝีมือคอยติดตามก็จะได้เบาใจลง
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋เหลือบมองเขาแล้วเดินเข้าไปที่อับสายตาคนแล้วเรียกวิญญาณหัวหน้าบาทหลวงและจอห์นสัน จากนั้นหลี่ว์ซู่ได้เห็นกับตาว่าไข่มุกเจ็ดสีลอยออกมาจากตัวจอห์นสันแล้วเข้าไปในตัวของหัวหน้าบาทหลวง จากนั้นหัวหน้าบาทหลวงร่างดำก็ค่อยๆ จางลงและมีสีสันตามรูปลักษณ์ที่แท้จริง
หลี่ว์ซู่ได้ไข่มุกเจ็ดสีมาจากการฆ่าสายลับระดับ C ของญี่ปุ่นในโบราณสถานเป่ยหมัง หลังจากให้จอห์นสันกินลงไปแล้วเขาพบว่าไม่มีพลังเพิ่มขึ้นจึงไม่ได้สนใจมัน
หลี่ว์ซู่อึ้งไปนาน “ไข่มุกเจ็ดสีนั้นเปลี่ยนคนให้ดูเป็นจริงขึ้นแทนที่สีดำนั้นเหรอ เธอให้เขาหยุดยิ้มทื่อๆ ได้ไหม…”
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋กลอกตามองบน “ประโยคนี้ควรเป็นฉันถามนายซิ เธอให้เขาหยุดยิ้มทื่อๆ ได้ไหม”
[ได้แต้มจากหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ +399!]
ตอนนี้ใบหน้าของหัวหน้าบาทหลวงไม่ขุ่นมัวอีกต่อไปแล้ว ราวกับว่าเขาเป็นโรคพาร์คินสัน … หรือที่เรียกกันว่าอัลไซเมอร์…
ถึงหลี่ว์เสี่ยวอวี๋จะรู้ว่าไข่มุกวิญญาณเจ็ดสีสามารถเปลี่ยนวิญญาณให้กลายเป็นร่างจริงได้แต่เธอก็ไม่เคยได้ใช้มันก็เพราะการยิ้มทื่อๆ นี้
ต่อให้กลายเป็นคนจริงมาคอยติดตามแต่ยิ้มแบบนี้คงช่วยให้ดูน่าเกรงขามขึ้นหรอก!
ถึงเสื้อผ้าสามารถจำลองได้แต่รอยยิ้มยังไงก็ปรับไม่ได้ มันคงมีความสำคัญสูงมาก…
หลี่ว์ซู่ครุ่นคิดอยู่นาน “ยังไงก็ดีกว่าไม่มี ใช้ผ้าพันคอหรืออะไรก็ได้ปิดหน้าครึ่งล่างของเขาละกัน แล้วยังช่วยลดความรู้สึกของชาวต่างชาติลงได้ … ไม่ให้บังตาเขา ปิดปากซิ…”
ครั้นแล้ว หลี่ว์เสี่ยวอวี๋และหลี่ว์ซู่จึงมีชายชราที่มีผ้าพันคอลายกระต่ายสีชมพูปิดใบหน้าติดตามอยู่ข้างหลัง… บอกยากมากว่าเขาดูน่าเกรงขามมากแค่ไหน …
หลี่ว์ซู่กำลังคิดเรื่องหนึ่งอยู่ เขาได้ไข่มุกวิญญาณจากการสังหารวิญญาณ ต่อมาเขาก็ได้ฆ่าคนไปมากมายแต่เขาก็ไม่เคยได้รับมันอีกเลย
เขาไม่รู้ว่าไข่มุกวิญญาณสามารถดึงวิญญาณของผู้ถูกหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ฆ่ามาเสริมความแข็งแกร่งให้กับตัวเอง แม้ว่าประสิทธิภาพจะต่ำมาก แต่ตอนนี้จอห์นสันก็มีพลังจุดสูงสุดของระดับสอง แต่เหมือนว่าจะมีเรื่องนี้จะมีอุปสรรค ไม่สามารถพัฒนาให้สูงกว่าระดับสองได้แล้ว
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็คิดเช่นกัน ระดับแรกคือกระบวนการผสานเข้ากับกฎแห่งธรรมชาติและกฎของโลก กฎของทุกคนแตกต่างกันไปและดวงวิญญาณบริสุทธิ์ไม่สามารถมอบกฎธรรมชาติให้ได้
แต่ถ้าฆ่าระดับหนึ่งล่ะ พลังดวงวิญญาณจอห์นสัน แอนโทนี่ที่พวกเขาดูดมาจะมีผลจากการหลอมรวมของดวงวิญญาณและกฎนั้น ทำให้พลังสูงขึ้นอันดับหนึ่งหรือไม่
จัดการฆ่าศัตรูพลังระดับหนึ่งและจับวิญญาณมาก็ได้แต่ทว่าตอนนี้หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ใช้พลังธาตุดินและพลังการเสกสรรจนคล่องแล้ว เธอหวังว่าจอห์นสันและแอนโทนี่จะสามารถพัฒนาพลังต่อไปได้ผ่านการดูดซับพลังของดวงวิญญาณ
แต่ในตอนนี้ หลี่ว์เสี่ยวอวี๋พบว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งแอบมองหลี่ว์ซู่จากข้างทาง หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งว่าโลกนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่
จากนั้นวินาทีถัดมา มีผู้หญิงคนหนึ่งเผลอทำไม้ยันหน้าต่างตกลงมาจากหน้าต่างบานหนึ่งของอาคารสองชั้นข้างทางและตกลงตรงหน้าหลี่ว์ซู่พอดีเลย
แต่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋คว้าไม้ไว้ได้ก่อนที่จะตกลงพื้นแล้วขว้างกลับไป…
[ได้แต้มจากหลิวเจินฮวา +199!]
เดิมทีหลี่ว์เสี่ยวอวี๋กำลังคิดหาวิธีไม่ให้หลี่ว์ซู่ไปที่ค่ายทหารอยู่ เพราะไปที่ก็อีกนานกว่าจะได้เจอกันที ทหารคนไหนกันจะกลับบ้านได้ทุกวัน ใช่ไหม
ตอนนี้ทั้งสองคนโดดเดี่ยวและไร้ญาติขาดมิตรอยู่ในโลกจักรวาลหลี่ว์ หลี่ว์เสี่ยวอวี๋หวังว่าจะได้เห็นหลี่ว์ซู่ทุกวัน
แต่ในตอนนี้จู่ๆ หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็รู้สึกว่าให้หลี่ว์ซู่ไปค่ายทหารที่มีแต่ผู้ชายยังจะดีกว่า…
หลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋อาศัยอยู่ในบ้านของท่านหลี่ ขุนนางระดับสูงเป็นเวลาสามวันและเมื่อถึงวันที่สามที่ ท่านหลี่ถึงจะมาเยี่ยมเยียนทักทาย ส่วนหลี่ว์ซู่มีความคิดใหม่และตัดสินใจเข้าร่วมกองทัพชิงไซ่
จากที่จางเว่ยอวี่บอก ผู้บำเพ็ญระดบหกสามารถเข้าร่วมกองทัพได้อย่างสบาย ถ้าไม่ถึงโอกาสอย่าบอกว่าตัวเองเป็นชาวบ้านธรรมดา เพราะถ้าวันใดบอกว่าตนเองเป็นชาวบ้านก็จะถูกตรวจสอบทะเบียนบ้าน ยิ่งไปกว่านั้นทางที่ดีอย่าไปเข้าร่วมกองทัพชิงไซ่เพราะกองทัพทั้งสิบเอ็ดกองของจอมทัพสวรรค์ทักษิณ กองทัพชิงไซ่มีการคัดเลือกเข้าสำนักกระท่อมกระบี่เคร่งเครียดมากที่สุด เพราะที่นั่นมีแต่ยอดฝีมือทั้งนั้น
หลี่ว์ซู่ถามว่า “แล้วจะแก้ปัญหาทะเบียนบ้านได้อย่างไร แล้วควรเลือกกองทัพไหนดี”
จางเว่ยอวี่ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งและพูดว่า “ทาสมีสองวิธีที่จะหลุดพ้นจากการเป็นทาส วิธีหนึ่งคือฉีกสัญญา ทนรับความเจ็บปวดที่หนักหน่วงเพื่อลบตราประทับ อีกวิธีหนึ่งคือการตายของนายทาส วิชาของทาสจะลดระดับลงแต่ข้อดีคือไม่ต้องรับความเจ็บปวดจากการลบตราประทับ ปกติแล้วญาติของนายทาสจะสืบทอดสัญญาต่อโดยอัตโนมัติ แต่ถ้าเขาไม่มีลูกหลาน ตราประทับก็จะไม่รับการสืบทอด”
“ทาสบางคนได้รับอิสรภาพหลังจากนายทาสตายลง ในตอนนี้พวกเขามีพลังระดับหนึ่งแล้วจึงไม่อยากเป็นทาสอีก เรามักเรียกพวกเขาว่าคนเร่ร่อน เมื่อนายเข้าร่วมกองทัพ จะบอกว่าตัวเองเป็นทาสของตระกูลหลิว นายทาสเมืองเถียนเกิ่ง เดิมทีเมืองเถียนเกิ่งมีนายทาสอยู่สี่ตระกูล ตระกูลหลิวต่อสู้ตายยกครัวตอนที่ทัพเฮยอวี่บุกจู่โจมเมื่อสิบปีก่อน ดังนั้นทาสมากมายจึงได้อิสระและแยกออกไป” จางเว่ยอวี่ชี้ทางสว่างให้หลี่ว์ซู่ ถือว่าเป็นการตอบแทนน้ำใจของหลี่ว์ซู่
“แล้วผมควรเลือกกองทัพไหน” หลี่ว์ซู่ถาม
“เลือกทัพอู่เว่ย ตอนนี้พวกเขาประจำการอยู่นอกเมืองอวิ๋นอาน ทางตอนเหนือของเมืองหนานเกิง กองทัพนี้ไม่ใช่กำลังหลักของแนวชายแดน ดังนั้นจึงปลอดภัยมากกว่าทัพไส้ชิง” จางเว่ยอวี่พูด “ถ้าทัพเฮยอวี่มา พวกเขาจะยกทัพหลังจากทัพชิงไซ่”
“อ๋อ” หลี่ว์ซู่เข้าใจ นั่นก็คือกองทัพเสริมนั่นเอง ไม่ต้องออกรบก็ดีอยู่แล้ว
“ทัพอู่เว่ยชอบรับสมัครคนเร่ร่อน ตอนแรกพวกเขาคิดว่าทาสที่มีพลังเหล่านี้จะกลายเป็นกำลังสำคัญของกองทัพ แต่พวกเขาไม่รู้ว่าคนเร่ร่อนเหล่านี้มีนิสัยเสียไม่มากก็น้อย จนทำให้กองทัพวุ่นวายอยู่บ้าง การพนันในค่ายไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้” จางเว่ยอวี่พูดด้วยรอยยิ้ม “ต่อมาหลังจากที่กองทัพพบปัญหานี้แต่คนเร่ร่อนก็รับตำแหน่งสำคัญในกองทัพไปหลายตำแหน่งแล้ว พวกเขายังรังเกียจชาวบ้านธรรมดาอีกด้วย ต่อมาพวกคนเร่ร่อนเริ่มฉลาดขึ้น ติดสินบนคาดสินบน กินเสบียงหลวง เรื่องแย่ๆพวกนั้นทำหมด ผู้บัญชาการทัพอู่เว่ยที่ผู้รับผลประโยชน์ที่ใหญ่ที่สุดจึงเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ตอนนี้แม้แต่ตำแหน่งผู้บัญชาการก็เป็นคนเร่ร่อน กองทัพทั้งกองใกล้จะพังหมดแล้ว”
หลี่ว์ซู่ตะลึงไปชั่วขณะ “จอมทัพสวรรค์เหวินไจ้โฝ่วไม่สนเลยเหรอ”
“จอมทัพสวรรค์นะเหรอจะมีเวลาไปสนเรื่องพวกนี้ เขามีกองทัพทั้งสิบเอ็ดกองจะมาสนใจเรื่องอะไรพวกนี้ การบำเพ็ญเข้าใจกฎแห่งฟ้าดินคือสิ่งที่พวกเขาเต็มใจทำมากที่สุด ดังนั้นเขาต้องการแค่ทัพอู่เว่ยรบชนะก็พอ ว่าไป ทัพเว่ยอูก็รบชนะหลายศึกแม้จะมีปัญหาเยอะขนาดไหน ไปถึงแล้วนายก็จะรู้เอง”
“เอาล่ะ งั้นผมก็จะเลือกทัพอู่เว่ย” หลี่ว์ซู่พยักหน้า “แต่ละกองทัพเสนอชื่อได้กี่คน”
“แต่ละกองทัพมีสิทธิ์ส่งได้หนึ่งรายชื่อ ประเด็นสำคัญที่ฉันต้องการพูดคือไม่มีใครในกองทัพอู่เว่ยต้องการเข้าร่วมการคัดเลือกของสำนักกระท่อมกระบี่” จางเว่ยอวี่พูดพร้อมยิ้มเยาะ
“เอ๊ะ ทำไมเป็นนี้ ตามที่คุณพูด ก็แค่กลุ่มคนโลภไม่ใช่เหรอ ถ้าได้รับเลือกให้เป็นสำนักกระท่อมกระบี่ไม่เท่ากับเสือติดปีกเหรอ คงไม่คิดสั้นแค่นี้หรอกนะ” หลี่ว์ซู่ถามด้วยความสงสัย
“นายยังไม่รู้อะไร เจ้าพวกนี้ก็ไม่ใช่ย่อย กลับรู้จักประมาณตน” จางเว่ยอวี่ ยิ้ม “พวกเขารู้ว่าพวกเขาไม่มีทางถูกสำนักกระท่อมกระบี่เลือก เพราะยังมียอดฝีมือจากอีกสิบกอง คนเร่ร่อนอย่างพวกเขาจะไปเทียบอะไรได้ ถ้าจะต้องไปสู้แล้วโดดนอัด แถมยังอายอีก ไม่สู้ไม่ไปซะก็สิ้นเรื่อง! ยอดฝีมือหลายสิบคนมาจากจอมทัพสวรรค์ทั้งสี่ อยู่กันคนละค่าย สู้กันย่อมเอาจริงเอาจัง พอได้เข้าสำนักแล้วค่อยเป็นพี่น้องกัน อยู่กันอย่างปรองดอง ก่อนที่จะเข้าจะเรียกว่าศัตรูคู่แค้นก็ไม่ผิด”
หลี่ว์ซู่ไม่เคยรู้ว่าทัพอู่เว่ยเป็นพวกผิดมนุษย์มนาทั้งนั้น “หมายความว่าทัพอู่เว่ยไม่ได้ส่งมาหลายปีแล้วเหรอ”
“ไม่ๆๆ พวกเขาไม่ไปเอง แต่พวกเขาสามารถขายสิทธิ์นี้ให้พวกลูกหลานขุนนาง! เงินทั้งนั้น!” จางเว่ยอวี่ ยิ้ม “ดังนั้นสิ่งที่นายต้องพิจารณามากที่สุดคือ จะหาเงินยังไง จากที่ฉันรู้สิทธิ์นี้ดูเหมือนจะไม่แพง เพราะยังไงสิทธิ์พวกนี้มีแต่อันตราย พวกลูกหลานขุนนางไม่กล้าไปแข่งขันส่งเดช เพราะถ้าไม่ถูกเลือกก็จะน่าขายหน้าคนอื่นเขา ยอดฝีมือพวกนั้นจะยอมเสียหน้าได้ยังไงกัน ดังนั้นต่อให้ไม่ถูกเลือกก็ขอให้ได้กำจัดคู่แข่งคนอื่นๆ ให้มีชื่อเสียงมากขึ้น ตอนนั้นมียอดฝีมือของจอมทัพสวรรค์อุดรไม่ถูกเลือก เขาจึงสังหารคู่แข่งระหว่างการแข่งขันไปเก้าคน กลับไปก็ได้ตกรางวัลอย่างหนัก”
หลี่ว์ซู่เข้าใจแล้ว ความหมายก็คือ ถึงไม่ถูกเลือกแต่ถ้าได้สังหารคนจากฝ่ายอื่นจำนวนมากก็จะไม่สร้างความอับอายต่อตระกูลตนเอง!
ส่วนเรื่องการหาเงิน … ที่นี่ใช้เงินธนบัตร เขาต้องคิดวิธีหาเงินมาซื้อสิทธิ์? ไม่ใช่ปัญหาใหญ่หรอก เขาต้องใช้สมองสักหน่อย..
“แต่ฆ่าคนไปเก้าคนยังไม่ถูกเลือก มันเพราะอะไร” หลี่ว์ซู่สงสัย
“เจ้าสำนักกระท่อมกระบี่คนนี้น่าสนใจ การแข่งขันเป็นเพียงด่านแรก ยังมีการคัดเลือกอีกมากมาย แค่มีพลังอย่างเดียวไม่พอ แต่จะทดสอบอะไรยังไงนั้น ฉันไม่รู้” จางเว่ยอวี่ ส่ายหน้าและพูดว่า “ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ลูกศิษย์ของสำนักกระท่อมกระบี่ ไม่เคยพูดถึงเรื่องนั้นเลยและผู้แพ้ก็ถูกขอให้ห้ามบอกเรื่องนี้ ไม่มีใครกล้าขัดประสงค์ของสำนักกระท่อมกระบี่ด้วย”
“เอาล่ะ” หลี่ว์ซู่พยักหน้า “คุณไปกับพวกเราไหม ไปกับพวกเรารับรองว่าสุขสบายกว่าตอนนี้แล้วก็ไม่ต้องขายตัวเป็นทาสด้วย”
หลี่ว์ซู่เชิญชวนอย่างจริงจัง มีบุคคลที่รู้หลายสิ่งหลายอย่างอยู่เคียงข้าง เขาและหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็ประหยัดเวลาเดินทางไปยังเป้าหมายได้ แล้วมีแหวนมิติของหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ ต่อให้ไม่มีเงินก็ไม่อดตาย
“ไม่” จางเว่ยอวี่ยิ้ม “ฉันอยู่ที่นี่ก็มีความสุขดี”
“มันคุ้มหรือ” หลี่ว์ซู่ถามทันที จางเว่ยอวี่ไม่เคยบอกว่าเขาอยู่ที่นี่ทำอะไร หลี่ว์ซู่ก็ไม่เคยถาม ในตอนนี้จู่ๆเขาถามเช่นนี้ก็หมายความว่าเขาต้องการบอกจางเว่ยอวี่ว่าที่จริงเขารู้ว่าจางเว่ยอวี่มีภารกิจใหญ่บางอย่างอยู่
จางเว่ยอวี่ยิ้มและพูดว่า “ฉันไม่รู้ว่าเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ ความเชื่อที่ยืนหยัดให้ฉันมีชีวิตจนถึงตอนนี้มีเพียงอันเดียว ฉันแค่อยากรอจนถึงสักวันหนึ่งที่ได้มอบชีวิตนี้ออกไป ฉันก็พอใจแล้ว”
หลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋แยกตัวจากจางเว่ยอวี่ ปล่อยให้เขาเดินทางขึ้นเหนือ เขาหันหน้ากลับไปมองภาพที่หลี่ว์ซู่จูงมือหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ เขาคิดว่าเป็นภาพที่สวยงามมากอย่างไม่มีสาเหตุ
สำนักกระท่อมกระบี่อยู่ที่ไหน
จางเว่ยอวี่มองหลี่ว์ซู่ “พวกเธอคงไม่ไปจริงๆ ใช่ไหม มีเรื่องอะไรต้องไปดูตำราพวกนั้น พวกเธอถามฉัน ฉันอาจจะรู้ก็ได้”
หลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋มองหน้ากัน พวกเขาจะถามได้อย่างไร บอกว่าพวกเรามาจากโลกอื่นและต้องการหาทางกลับไป
คำพวกนี้ดูคุ้นๆ ประโยคแบบนี้ยังมีวิธีใช้อย่างอื่นอีกไหม “สวัสดี ผมชื่ออัลตร้าแมน แจ็ค ผมอยากกลับดาวเนบิวลา M78 แต่ผมไม่มีค่าเดินทาง… “
ใครมันจะไปเชื่อ!
ไม่เพียงแค่คนอื่นจะไม่เชื่อยังเกี่ยวพันกับความลับของพวกเขาทั้งสองคนอีก!
ที่จริงพลังของคนในโลกนี้แข็งแกร่งมากจริงๆ หลี่ว์ซู่แทบนึกไม่ออกว่าถ้าคนในจักรวาลนี้รู้ว่ามีโลกอยู่ จะถูกบุกรุกหรือเปล่า ถ้ารู้ว่าความปรารถนาของมนุษย์นั้นไม่มีที่สิ้นสุดและพลังบนโลกนั้นช่างเปราะบางเมื่อเทียบกับจักรวาลหลี่ว์
เมื่อเห็นทั้งสองคนลังเล จางเว่ยอวี่จึงพูดว่า “ไม่ต้องห่วง ฉันจะบอกอะไรให้ ในรัศมีพันลี้นี้คนที่รู้มากกว่าฉันคงมีไม่มากหรอก บางทีฉันอาจบอกเรื่องที่พวกเธออยากรู้ก็ได้”
หลี่ว์ซู่ครุ่นคิดอยู่ไม่นาน “ถ้าอย่างนั้นคุณบอกฉันหน่อยว่าความเร็วลมแบบป้อนสองทางของความถี่คงที่ ความเร็วเปลี่ยนแปลงแบบไม่เป็นเชิงเส้น…… “
“สำนักกระท่อมกระบี่อยู่ในเมืองหลวง” จางเว่ยอวี่พูดอย่างใจเย็นตัดบทหลี่ว์ซู่
[ได้แต้มจากจางเว่ยอวี่ +666]
ฟังไม่รู้เรื่อง! ฟังไม่รู้เรื่องเลย! จางเว่ยอวี่เกิดสงสัยในความรู้ของตนเอง เขาเคยคิดว่าหลี่ว์ซู่พูดไร้สาระหรือเปล่าแต่เขาไม่เคยเห็นฝีมือกระบี่ของหลี่ว์ซู่เขาจึงรับประกันได้อย่างไรว่าการคาดเดาของเขาถูกต้อง
จู่ๆ จางเว่ยอวี๋ก็รู้สึกไร้เรี่ยวแรง … แต่ตอนนี้เขาค่อนข้างแน่ใจว่าหลี่ว์ซู่ไม่ใช่ศิษย์ของกระท่อมกระบี่ เพราะการแสดงออกของหลี่ว์ซู่ไม่ใช่การเสแสร้ง ยิ่งกว่านั้นต่อให้ลูกศิษย์สำนักกระท่อมกระบี่ต้องการเคลียร์ความสัมพันธ์กับสำนักกระท่อมกระบี่ก็ไม่จำเป็นต้องแสร้งไม่รู้ที่ตั้งของสำนักกระท่อมกระบี่
และสถานที่อย่างสำนักกระท่อมกระบี่ … มีเพียงไม่กี่คนในจักรวาลหลี่ว์ที่อยากไปยุ่ง
หลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋มองหน้ากันและวิ่งไปพร้อมบ่นไป ขณะที่จางเว่ยอวี่ค่อยๆ เก็บอาหารบนโต๊ะ อะไรที่เอาไปได้ก็ใช้ผ้าคลุมเตียงห่อ พอตกเย็นค่อยแอบส่งออกไป
หลี่ว์ซู่ถามหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ด้วยเสียงเบาๆ “เราไปเมืองหลวงกันไหม”
“ไม่” หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ปฏิเสธ
“เธอลังเลอะไร” เขาถามด้วยความอยากรู้
“ไม่มี” หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ปฏิเสธ
จางเว่ยอวี่ที่อยู่ข้างๆ พูดกับทั้งสองคนว่า “พวกเธอคิดว่าสำนักกระท่อมกระบี่จะเข้าก็เข้าได้หรือ ต่อให้พวกเธอไปเมืองหลวงแล้วยังไงต่อ ถึงจะเป็นจอมทัพสวรรค์ก็ทำตนเสมอไม่ได้”
หลี่ว์ซู่ชะงักไปครู่หนึ่ง “เข้าไปยากเหรอ พวกเราแอบเข้าไปได้ไหม”
จากมุมมองของหลี่ว์ซู่ แค่เขาและหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ไม่หาเรื่อง ด้วยพลังสายธาตุดินของหลี่ว์เสี่ยวอวี๋มีไม่กี่ที่ที่ไปไม่ได้
“นายมองสำนักกระท่อมกระบี่ธรรมดาเกินไปแล้ว” จางเว่ยอวี่ยิ้มและส่ายหัว “บางคนในสำนักกระท่อมกระบี่ แม้แต่ราชาแห่งทวยเทพองค์ก่อนยังไม่ไว้หน้า อยากจะแอบเข้าไป? คงไม่ง่ายขนาดนั้น”
“ไม่น่าใช่เหรอมั้ง ท่านนั้นในสำนักกระท่อมกระบี่ที่คุณบอกแข็งแกร่งกว่าราชาแห่งทวยเทพองค์เก่าอีกเหรอ” หลี่ว์ซู่ถามด้วยความประหลาดใจ
“ไม่ใช่หรอก พลังของราชาแห่งทวยเทพองค์ก่อนมากล้นเหลือประมาณ” จางเว่ยอวี่ส่ายหัว “เพียงแต่ท่านนั้นเคยเป็นเด็กรับใช้ของราชาแห่งทวยเทพองค์ก่อน ต่อมาได้ออกรบพร้อมกับองค์ราชาและสำเร็จวิชากระบี่ ได้ยินมาว่าตอนนั้นราชาแห่งทวยเทพองค์ก่อนให้อีกฝ่ายเป็นเด็กรับใช้ด้วยวิธีที่ไม่ค่อยงดงามนัก เหมือนกับลักพาตัวกลับมาตอนที่อีกฝ่ายออกธุดงค์ ดังนั้นท่านั้นจึงไม่พอใจอยู่ลึกๆ … “
หลี่ว์ซู่นึกสงสัย “ผมถามอะไรหน่อย คุณอยากตอบก็ตอบ ไม่อยากตอบก็ไม่ต้องตอบ 18 ปีก่อนเขาอยู่ในเมืองหลวงหรือเปล่า”
จางเว่ยอวี่มองหลี่ว์ซู่ด้วยความประหลาดใจ “นายรู้ไหมว่านายถามคำถามนี้หมายความว่าอะไร”
จางเว่ยอวี่ไม่เพียงตกใจ เขาคิดว่าหลี่ว์ซู่อาจจะเพิ่งออกมาจากป่าในภูเขาลึกสักแห่ง แต่เขาคาดไม่ถึงว่าคำถามของอีกฝ่ายจะลึกขนาดนี้
หลี่ว์ซู่พูดตลกกลบเกลื่อน “แค่ถามเฉยๆ แค่ถามเฉยๆ “
อย่างไรก็ตามหลี่ว์ซู่กำลังคิดว่าถ้าสำนักกระท่อมกระบี่เป็นแบบนั้นจริงๆ ก็คงเข้าไปไม่ได้แล้วจะไม่มีที่อื่นสามารถค้นหาเรื่องวิธีข้ามกำแพงกาลเวลาได้แล้วหรือ
เบาะแสที่ใหญ่ที่สุดในตอนนี้คือราชาแห่งทวยเทพองค์ก่อนของจักรวาลนี้ที่เปิดทางมาผ่านกำแพงของโลก ดังนั้นสถานที่ที่อาจจะมีการจดบันทึกก็คือวังหลวงของราชาแห่งทวยเทพ หลี่ว์ซู่ก็ไม่คาดหวังกับที่แห่งนั้น ตัวเลือกที่ดีที่สุดคือสำนักกระท่อมกระบี่ เพราะจางเว่ยอวี่บอกว่าบันทึกในวังหลวงราชาแห่งทวยเทพ ส่วนใหญ่มอบให้สำนักกระท่อมกระบี่พิมพ์
“ว่าแต่…” หลี่ว์ซู่ลองถามดู “วังราชาแห่งทวยเทพมีตำราโบราณเล่มไหนที่ไม่ได้มอบให้สำนักกระท่อมกระบี่”
“พวกบทกลอนขององค์ราชา … ” จางเว่ยอวี่ถอนหายใจ “ท่านนั้นในสำนักกระท่อมกระบี่มุ่งแต่พัฒนาพลังกระบี่ของตนเอง ไม่ได้สนใจเรื่องบทกวีพวกนั้น ว่ากันว่าคนหนุ่มในเมืองหลวงชื่นชอบศิลปะเหมือนค่านิยมเบื้องบนสั่งการ เบื้องล่างปฏิบัติตาม ส่วนลูกศิษย์ของสำนักกระท่อมกระบี่ก็ไม่สนใจทุกอย่างตั้งแต่แรก มุ่งเพียงบำเพ็ญพลังของตน”
หลี่ว์ซู่ตกใจก็แสดงว่ามีหนังสือของชนิดอื่น ไม่มีเพียงบทกวีขององค์ราชา? เขานึกอยากรู้ “ทำไมท่านนั้นของสำนักกระท่อมกระบี่ถึงไม่สนใจสิ่งเหล่านี้”
“ฉันไม่รู้ ว่ากันว่าตอนที่ราชาแห่งทวยเทพองค์ก่อนเกิดอารมณ์กวีได้เขียนบทกวี 800 เรื่องในชั่วข้ามคืน ต่อมาท่านนั้นของสำนักกระท่อมกระบี่ทะเลาะกับองค์ราชาที่วังหลวง ถึงสู้ไม่ชนะแต่วังหลวงก็เสียหายไปครึ่งหนึ่ง เรื่องนี้พูดไปมันก็น่าอายเพราะเรื่องนี้ น้ำเสียงของจางเว่ยอวี่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่ก็แฝงความหลงใหล เขาพูดต่อ “นและก็เพราะราชาองค์เก่าได้ตามเอาเรื่องหลังเหตุการณ์นั้น ทำให้สำนักกระท่อมกระบี่ยิ่งมีชื่อเสียงโด่งดัง ใครจะรู้ว่าราชาองค์เก่าทำใจสังหารเขาไม่ได้จึงไม่มีใครกล้าฆ่าเธอ แน่นอนว่ามีไม่กี่คนในโลกนี้ที่สามารถฆ่าเธอได้ ผู้หญิงในโลกนี้ต้องยกอันดับหนึ่งให้กับท่านนั้นของสำนักกระท่อมกระบี่”
“ผู้หญิง!” หลี่ว์ซู่ผงะ เขาคิดเสมอว่าท่านนั้นคือผู้ชายมาตลอด
จางเว่ยอวี่จนปัญญา ตอนนี้เขาสงสัยว่าหลี่ว์ซู่เป็นคนในโลกนี้หรือเปล่า เขาไม่รู้เรื่องใหญ่ขนาดนี้เลยหรือ
หลี่ว์ซู่รู้ว่าเขาถามคำถามผิดจนเปิดเผยเบาะแสในตัวเขาจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง “สำนักกระท่อมกระบี่มีลูกศษย์มากไหม”
“นายรู้ไหมว่าทุกๆ ปีมีเพียงสี่คนที่สามารถเข้าสำนักกระท่อมกระบี่ได้ พวกเขาถูกคัดเลือกจากกรมทหาร จากนั้นสำนักกระท่อมกระบี่คัดเลือกคนที่ชอบอีกที” จางเว่ยอวี่อธิบายต่อ “ตอนนี้ลูกศิษย์เหล่านี้กระจัดกระจายไปตามกองทัพต่างๆ และพวกเขาได้รับการนับถืออย่างกับเป็นเจ้าพระยา สำนักกระท่อมกระบี่จะจัดงานใหญ่ทุกๆ สี่ปี ลูกศิษย์สำนักกระท่อมกระบี่จากทุกสารทิศต่างมารวมงานร่วมแสดงความยินดีและมอบของขวัญให้สำนักกระท่อมกระบี่จนสูงเท่าภูเขาเลากา! ตอนนั้นเป็นเทศกาลที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง ทุกคนจะพากันออกมาเดินชมงาน ชื่นชมผู้ชายหน้าตาหล่อเหลาจากสำนักกระท่อมกระบี่ ในเมืองหลวงถ้ามีสาวคนไหนได้ของขวัญจากลูกศิษย์สำนักกระท่อมกระบี่ นั่นคือเรื่องที่เธอสามารถโอ้อวดไปได้นานเลย! “
มีสองเรื่องที่หลี่ว์ซู่คาดไม่ถึง เรื่องแรกคือเจ้าสำนักกระท่อมกระบี่เป็นผู้หญิงและอีกเรื่องคืออิทธิพลของสำนักกระท่อมกระบี่ที่มีมาก
หลี่ว์ซู่คิดแล้วคิดอีกอยู่ครึ่งค่อนวัน ถ้าสำนักกระท่อมกระบี่เลือกลูกศิษย์สี่คนจากกองทัพทุกปี เป็นไปได้ไหมที่เขาจะใช้หนทางนี้
“ทำไมต้องคัดเลือกจากกองทัพด้วย” หลี่ว์ซู่ถามด้วยความอยากรู้
จางเว่ยอวี่ถอนหายใจและพูดว่า “ที่จริง นายเป็นคนที่สนับสนุนราชาองค์เก่ามากที่สุด ติดตามราชาองค์เก่าราชาทำสงครามมาหลายปี ในตอนนั้นทุกที่ยังไม่สงบสุข ขุมอำนาจต่างๆ ต่างเขม่นใส่กันตลอด สำนักกระท่อมกระบี่จึงคัดเลือกหัวกะทิจากกองทัพแล้วก็ส่งหัวกะทิกลับเข้ากองทัพ ซึ่งนี่คือวิธีการบ่มเพาะบุคลากรให้กองทัพ ต่อมาบ้านเมืองสงบสุขแต่ระเบียบนี้ไม่ได้ถูกแก้ไข สำนักกระท่อมกระบี่ในเวลานั้นไม่ใช่สำนักกระท่อมกระบี่อย่างทุกวันนี้และเมืองหลวงก็ไม่ได้มั่นคงอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน”
หลี่ว์ซู่เข้าใจแล้ว ที่แท้คือรักมากแค้นมากนี่เอง?
ในตอนนี้จางเว่ยอวี่พูดว่า “ที่จริงคำถามของนายไม่ใช่ว่าจะตอบไม่ได้และไม่ใช่ความลับ ท่านนั้นจากสำนักกระท่อมกระบี่ไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงเมื่อ 18 ปีก่อนและไม่รู้ว่าเดอนทางไปที่ไหน ต่อมานายกลับมาสำนักกระท่อมกระบี่เมื่อ 12 ปีก่อน เพียงแค่วันเดียวก็หายตัวไปอีกครั้ง”
“ถ้าเช่นนั้นสำนักกระท่อมกระบี่ตอนนี้ไม่มีเจ้าสำนักเหรอ” หลี่ว์ซู่ถามด้วยความประหลาดใจ แบบนี้เขาถือโอกาสลอบเข้าไปได้ซิ แล้วยอดฝีมือท่านนั้นไปที่ไหน หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าเรื่องนี้มีบางอย่างผิดปกติดูเหมือนว่าเจ้าสำนักกระท่อมกระบี่ดูสงบเสงี่ยมมากเกินไป
จากการคาดเดาของหลี่ว์ซู่ ไม่ควรจะสู้กับราชาแห่งทวยเทพองค์ใหม่ในปัจจุบันสักหน่อยไหม
ตอนนี้ยังมองเรื่องราวไม่กระจ่างแต่รู้สึกว่ามีบางอย่างซ่อนอยู่
“อืม เจ้าสำนักกระท่อมกระบี่ได้หายตัวไป เหลือศิษย์ระดับปรมาจารย์เพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยังคงอยู่ที่นั่น แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครกล้าสั่นคลอนสถานะของสำนักกระท่อมกระบี่” จางเว่ยอว่พูด” ตอนนี้สำนักกระท่อมกระบี่แตกกิ่งก้านสาขามากมาย หยั่งรากฝังลึก ต่อให้เจ้าสำนักกระท่อมกระบี่ไม่อยู่แล้วใครจะทำอะไรได้”
“แล้ววิธีที่ดีที่สุดในการเข้าร่วมกองทัพตอนนี้คืออะไร” หลี่ว์ซู่สงสัย “ขั้นตอนการคัดเลือกเป็นอย่างไร จะถูกคัดเลือกเข้าสู่สำนักกระท่อมกระบี่ได้อย่างไร”
“อยากเข้าร่วมกองทัพนั้นง่ายมาก” จางเว่ยอวี่เหลือบมองหลี่ว์ซู่ “ฉันเคยพูดไว้ก่อนว่าทางออกเดียวสำหรับชาวบ้านคือการเป็นทาส ฉันยอมรับว่าฉันพูดผิดเพราะฉันไม่เคยคิดว่านายอยากเข้าร่วมกองทัพ ความเจริงทางเลือกของชาวบ้านจำนวนมากที่เลี้ยงตัวเองไม่ได้แล้วคือการเข้าร่วมกองทัพเพราะกองทัพไม่เพียงมีอาหารให้กินยังได้ยศตำแหน่งด้วย นี่เป็นอีกหนึ่งวิธีสำคัญที่จะเป็นขุนนางใหม่ด้วยแต่มันยากมาก ชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่ได้คิดเยอะ พวกเขาเข้าร่วมกองทัพเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว แง่หนึ่งกองทัพสามารถจ่ายเงินเพื่อเลี้ยงดูครอบครัวได้ อีกแง่หนึ่งคือการเป็นทหารสามารถลดภาษีได้ 20%”
หลี่ว์ซู่ถึงกับบางอ้อ ตอนแรกเขาคิดว่าผู้บัญชาการทหารชิงไซ่อย่างหลิวอี้เจาควรจะเป็นนายทาสใหญ่อะไรพวกนั้น ทั้งกองทัพเป็นทาสของเขา… ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้น กองทัพมีทหารที่มาจากชาวบ้านธรรมดามากมาย
“แล้วพวกเขาฝึกยังไง” หลี่ว์ซู่ถามอย่างสงสัย
“กองทัพมีวิชาพิเศษของกองทัพเอง ระดับไม่สูงแต่เหมาะสำหรับการฝึกทั่วๆ ไป ว่ากันว่าเป็นวิชาที่เจ้าสำนักกระท่อมกระบี่คิดค้นขึ้น” จางเว่ยอวี่พูด “ดังนั้นบางคนจึงเข้าร่วมเพราะวิชา แต่พวกเขาก็ต้องผิดหวัง วิชาพวกนั้นไม่มีทางบำเพ็ญได้ถึงสูงกว่าระดับสี่ หนทางนั้นถูกเจ้าสำนักปิดเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ถ้าอยากได้วิชาที่สูงกว่านั้นก็ต้องสร้างคุณงามความดี… หรือเข้าสำนักกระท่อมกระบี่”
ดังนั้นการเข้าสำนักกระท่อมกระบี่จึงเป็นความฝันของทุกคนในกองทัพ ถ้าเข้าสำนักกระท่อมกระบี่ได้ก็เสมือนได้ขึ้นสวรรค์ ลาภยสสรรเสริญต่างใกล้แค่เอื้อม
“ถ้านายอยากเข้าร่วมกองทัพ ฉันช่วยนายไม่ได้ การช่วยนายเท่ากับทำร้ายนาย” จางเว่ยอวี่พูด “แต่นายไปสมัครเองได้แต่ขอให้คิดให้ดีๆ ก่อนตัดสินใจนะ นายมีวิชากระบี่อยู่บ้าง ในสงครามวิชาแค่นั้นใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ ตอนนั้นนายล้อมรอบไปด้วยศัตร์ นายยังไม่เคยออกรบไม่มีทางเข้าใจความน่ากลัวของสงครามหรอก ฉันเตือนนายก่อนที่จะมีพลังงอย่าเพิ่งคิดมากขนาดนั้น”
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋มองจางเว่ยอวี่ ไม่มีอะไรถูกต้องในคำพูดเหล่านี้เลย หลี่ว์ซู่ไม่เพียงมีประสบการณ์ในสงคราม แต่พูดได้ว่ามีประสบการณ์โชกโชน
พลังปัจจุบันของหลี่ว์ซู่พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วจนนึกตามไม่ทัน เมื่อคืนหลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ยังคุยกันเรื่องนี้ หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าอย่างมากอาจต้องใช้เวลาครึ่งปีให้กลับไปสู่จุดสูงสุดของระดับสอง
ตอนนี้มีหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ปกป้อง เขาไม่ต้องรีบทำโซ่พวกนั้นแล้ว แต่ต้องพัฒนาการฝึกฝนของตนเองให้ดียิ่งขึ้น วิชากระบี่ก็จะยิ่งสูงขึ้นไปอีก
ดังนั้นจางเว่ยอวี่จึงคิดว่าหลี่ว์ซู่มีแค่วิชากระบี่เล็กๆ น้อยๆ ไม่มีพลัง ไม่มีวิสัยทัศน์ ซึ่งผิดทั้งนั้น
แต่หลี่ว์ซู่ไม่สนใจความเข้าใจผิดของคนอื่นที่มีต่อเขาเช่นนี้ ในตอนนี้การสำรวมเป็นวิธีรักษาชีวิตเขาที่ดีที่สุด
หลี่ว์ซู่ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ที่จริงจางเว่ยอวี่เปิดเผยข้อมูลให้เขามากมายเลย เขาเชื่อว่าอีกฝ่ายจะต้องเคยเป็นคนใหญ่คนโตมาก่อน แต่เขาไม่รู้ว่าใหญ่โตแค่ไหนแล้วทำไมเขาถึงตกต่ำเช่นนี่
คืนนั้นจางเว่ยอวี่วิ่งออกไปข้างนอกพร้อมกับกองอาหารอย่างลับๆ อีกครั้ง วันนี้เขายัดใส่อกไปจนเต็ม หลี่ว์ซู่เห็นว่าจางเว่ยอวี่วันหนึ่งกินแค่ขนมนึ่งที่ตัวเองพกมาสองชิ้นแล้วก็ซุปผักเท่านั้น ส่วนที่เหลือเขาห่อเก็บไปหมด
เห็นได้ว่าเพื่อนเก่าของเขามีความสำคัญในใจเขามากขนาดไหน ไม่เช่นนั้นคนธรรมดาทำแบบนี้ไม่ได้หรอก
หวังว่าความยากลำบากที่พวกเขาได้รับจะตอบแทนเขากลับมาสักวันหนึ่ง
หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าคนกลุ่มนี้มีความคล้ายคลึงกับสมาชิกของเครือข่ายฟ้าดินแต่ก็มีอีกหลายแห่งที่ไม่เหมือน
“เธอคิดอย่างไรกับเจ้าสำนักกระท่อมกระบี่คนนั้น” หลี่ว์ซู่หันไปถามเสี่ยวอวี๋
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋เหลือบมองหลี่ว์ซู่ “เธอหายตัวไปไม่ใช่เหรอ ฉันมองยังไงก็ไม่เห็น”
[ได้แต้มจากหลี่ว์ซู่ +99!]
“อย่าพูดไร้สาระ เธอรู้ว่าฉันหมายถึงอะไร” หลี่ว์ซู่พูด
“นายบอกเรื่องที่เธอเดาก็สิ้นเรื่อง ต้องถามฉันทำไม” หลี่วเสี่ยวอวี๋ไม่พอใจ
“ฉันเดาว่าเธออาจจะมาจากโลกก็ได้!” หลี่ว์ซู่พูด “ดูจากเรื่องที่เธอต่อสู้กับราชาแห่งทวยเทพ ฉันรู้สึกเหมือนเธอกำลังห้ามใครบางคนที่กำลังเลียนแบบเธอ ฉันสงสัยมากว่าเธอถูกราชาองค์เก่าลักพาตัวมาที่จักรวาลหลี่ว์…”
คำโบราณที่พูดว่า คนบ้านเดียวกันมาเจอหน้า น้ำตานองอาบสองแก้ม ถ้าหากเจ้าสำนักกระท่อมกระบี่เป็นมนุษย์โลกละก็ หลี่ว์ซู่ก็รู้สึกว่าเขามีที่พึ่งบนจักรวาลนี้แล้ว
“มีความเป็นไปได้ไหม” หลี่ว์ซู่มองหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ด้วยแววตาลุกโชน” ที่เธอเป็นคนจากหอกระบี่?”
หอกระบี่ กระท่อมกระบี่ ต่างกันแค่คำเดียว แล้วมีความเป็นไปได้ที่มาจากโลกด้วย ความเป็นไปได้ที่เจ้าสำนักกระท่อมกระบี่มาจากหอกระบี่จึงไม่ใช่ว่าจะไม่มี
“ถึงใช่แล้วอย่างไง” หลี่ว์เสี่ยวอวี๋พูดประโยคเดียวเข้าประเด็นสำคัญ “เธอหายตัวไปแล้ว ต่อให้พวกเราชาวโลกก็หาเธอไม่เจอ”
“ฉันตัดสินใจแล้ว ฉันยังคิดหาวิธีไปสำนักกระท่อมกระบี่ดูสักหน่อย” หลี่ว์ซู่พูดน้ำเสียงหนักแน่น “ฉันสงสัยทั้งเรื่องตำราที่หอสมุดหรือเจ้าสำนักกระท่อมกระบี่ คำตอบอยู่ที่สำนักกระท่อมกระบี่นั่นแหละ”
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋เอามือเท้าคางและพูดอย่างเมินเฉย “อยากไปก็ไปซิ”
พอเธอนึกถึงที่นั่นมีคนบ้าหนุ่มหล่อก็รู้สึกปวดหัว ไม่รู้ว่าจักรวาลหลี่ว์นี่มันเป็นอย่างไรกันถึงมองคนอย่างหลี่ว์เสี่ยวซู่เป็นมาตรฐานของหนุ่มรูปงาม ตาบอดหรือเปล่า!
ถึงเธอไม่อยากไปแต่ถ้าหลี่ว์เสี่ยวซู่อยากไป เธอก็จะไปด้วย
เพราะหลี่ว์ซู่ก็ทำเช่นนี้
แม้ว่าจางเว่ยอวี่จะไร้ประโยชน์แต่ยังมีวิสัยทัศน์อยู่ เขามองออกว่าหลี่ว์ซู่ไม่ได้ซ่อนพลังเอาไว้และเป็นผู้บำเพ็ญระดับหกตัวจริงๆ
ยิ่งไปกว่านั้นในฐานะ “ทหารวังใน” อ่านคนมานับไม่ถ้วน จางเว่ยอวี่ซักถามคนมากกว่าบางคนที่เคยเจอในชีวิตเขาเสียอีก
เขามองที่มาของหลี่ว์ซู่ไม่ออกแต่สามารถมองออกว่าหลี่ว์ซู่นิสัยไม่เลว
แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่ต้องการปฏิสัมพันธ์กับหลี่ว์ซู่มากนัก จางเว่ยอวี่รู้ว่าจิตใจของหลี่ว์ซู่ไม่ได้อยู่ที่นี่ ถึงพวกเขาต่างมีความลับของตัวเองแต่ทุกคนก็ได้มารู้จักกันแล้ว แต่หวังว่าเมื่อถึงเวลาแยกกันก็ไม่ต้องอาลัยอาวรณ์ต่อกัน
ในตอนเช้า หลี่ว์ซู่กำลังฝึกกระบี่ จางเว่ยอวี่กลับเข้าบ้านมา ในเวลานี้หลี่ว์ซู่ฝึกกระบี่โดยไม่ต้องหลบจางเว่ยอวี่อีกต่อไป
อย่างไรก็ตามอีกฝ่ายไม่เคยถามว่าวิชากระบี่ไปเรียนมาจากไหนและหลี่ว์ซู่ก็เชื่อว่าวิชากระบี่นี้ไม่เคยมีในโลกของจักรวาลหลี่ว์ด้วย ดังนั้นเขาจึงไม่แน่ใจว่าจางเว่ยอวี่จะเดาเขาไปทางไหน
ส่วนความลับของจางเว่ยอวี่ หลี่ว์ซู่รู้สึกว่ามันอาจเกี่ยวข้องกับธาตุแท้จริงของโลกจักรวาลหลี่ว์ สิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่เขามีส่วนร่วมได้และเขาไม่พร้อมที่จะเข้าร่วม
เขารู้ตัวว่าสติปัญญาของตนไม่ได้โดดเด่นอะไรมากนัก ตอนที่ดูภาพยนตร์การต่อสู้ทางการเมืองบางเรื่อง เขาก็รู้สึกว่าความคิดของนักการเมืองช่างซับซ้อนจริงๆ เดินก้าวหนึ่งวางแผนไปอีกสิบก้าวยังสงบมากกว่า
อย่างเรื่องการต่อสู้กันไปมาของกลุ่มโจรในนิยายเหลียงซานป๋อ คนอย่างซ่งเจียงทิ่ยิ้มแย้มร่างเริงเมื่อเห็นศัตรูของเขา จากนั้นก็ไปฆ่ายกครัวครอบครัวหลี่ขุย
แต่เขาไม่ใช่ ถ้าเขาฆ่าได้ เขาก็กำจัดตรงนั้นเลย…
เขารู้ว่าตนเองไม่ทางเป็นนักวางแผนกลยุทธ์ที่ดีได้ ศัตรูของเขาแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ประเภทหนึ่งคือเขาสามารถเอาชนะได้และฆ่าตอนนั้นได้เลยและอีกประเภทหนึ่งคือเขาไม่สามารถเอาชนะในตอนนั้นได้ วันหลังค่อยกำจัด
บางครั้งเขาก็รู้สึกว่าตนเองเป็นคนซื่อๆ และมีความคิดที่ไม่ซับซ้อน
ดังนั้นในเมื่อไม่ถนัดเรื่องพรรค์นั้นก็อย่าไปยุ่งเสียดีกว่า
เมื่อจางเว่ยอวี่กลับมา หลี่ว์ซู่ไม่ได้แม้แต่ถามว่าไปไหนมา จางเว่ยอวี่ก็ไม่ได้คิดจะบอกเรื่องที่เขาได้พบกับหลิวอี้เจาเมื่อวานนี้
ในเวลานี้ หลี่ว์ซู่และคนอื่นๆ ทานอาหารเช้าแล้ว จางเว่ยอวี่เหลือบมองที่โต๊ะและพบว่าอาหารส่วนใหญ่ไม่ได้ลดไปมากนัก โดยเฉพาะขนมที่พกติดตัวสะดวกแต่ซุปโดนกินจนเกลี้ยง
จางเว่ยอวี่เป็นคนมีเล่ห์เหลี่ยม เขารู้ว่าหลี่ว์ซู่อาจเดาออกว่าเมื่อวานคืนเขาไปที่ไหนมา จึงจงใจเรื่องเหลือไว้เขา
มีเพื่อนเก่าไปที่ถ้ำนั้น แล้วเพื่อนเก่าเหล่านั้นเห็นอาหารที่จางเว่ยอวี่เอาไปก็รู้สึกซาบซึ่งใจ แค่จางเว่ยอวี่รู้สึกเจ็บใจตอนนั้นที่นาจาบุกวังหลวงชั้นใน ตอนนี้กลายเป็นสภาพเช่นไรล่ะ
ที่จริงทุกคนปกปิดชื่อแซ่ไปเป็นผู้ช่วยในคฤหาสน์ของขุนนางก็ได้ แม้แต่ซ่อนตัวที่วังของจอมทัพสวรรค์ทั้งสี่ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ เพราะชื่อเสียงของทหารวังในเป็นที่ต้องการของใครๆ
ถึงคนจะสูญพลังแต่ยังมีวิสัยทัศน์ ยิ่งไปกว่านั้นกลุ่มทหารวังในเป็นกองกำลังหลักในการช่วยเหลือองค์ราชาจัดการธุระส่วนตัว แค่ความลับจากการสอบสวนเพียงอย่างเดียวนั้นก็มีนับไม่ถ้วนแล้ว ความลับเหล่านั้นมีค่าเท่าไหร่กัน ไม่มีใครสามารถบอกได้
แต่ทุกคนไม่ได้ทำเช่นนั้นแต่ยอมทนความยากจนเฝ้าอยู่ในละแวกเมืองเถียนเกิ่งไม่จากไปไหน
แต่ก็มีผู้ที่ทนไม่ได้แต่น้อยมาก
ผู้ที่จากไปตอนนี้อาจซ่อนตัวอยู่สุขสบายในวังของจอมทัพสวรรค์หรือเหล่าขุนนางก็ได้ ส่วนคนที่ยังอยู่กลับมีความมุ่งมั่นมากขึ้น
จางเว่ยอวี่เชื่อว่านี่เป็นกระบวนการฝึกฝน คนที่อยู่รอดท้ายสุดถึงจะเป็นคนที่ภักดีอย่างแท้จริง ยิ่งไปกว่านั้นจางเว่ยอวี่ไม่เชื่อว่ากลุ่มเขาอยู่อย่างโดดเดี่ยว หลังจากได้พบกับหลิวอี้เจา เขาก็คิดถึงคำถามนี้ มีคนมากมายในโลกจักรวาลหลี่ว์ต้องรออยู่อย่างพวกเขาเองหรือไม่
รอการกลับมาขององค์ราชา รอยุคที่ทุกคนอยู่ใต้บัลลังก์ขององค์ราชา!
จางเว่ยอวี่หันกลับมาและขอบคุณหลี่ว์ซู่ เขายิ้มพร้อมกับฝึกกระบี่ไป “ขอบคุณอะไรหรือ”
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋มาแล้วหมายความว่าทุกอย่างในอุปกรณ์เก็บของของหลี่ว์เสี่ยวอวี๋สามารถหยิบออกไปกินได้ อาหารไม่ใช่สิ่งที่หลี่ว์ซู่ต้องกังวลอีกต่อไปและเขารู้สึกไม่ค่อยถูกใจกับอาหารในโลกจักรวาลนี้
ที่จริงแล้วอาหารเลิศรสคือการแสวงหาทางจิตวิญญาณเพื่อตอบสนองความปรารถนาทางวัตถุ ที่แห่งนี้ไม่รู้ว่ามีศึกสงครามมากี่ปีแล้ว จะมีใครมาประดิดประดอยเรื่องอาหาร ถึงจะมีอาหารรสเลิศแต่ก็เทียบไม่ได้กับของโลก
เพราะตอนนี้ตราแผ่นดินของเขายังใช้ไม่ได้ จะหยิบอะไรออกมาก็ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นของในมือของหลี่ว์ซู่ก็เพียงพอที่จะเลี้ยงกองทัพได้กองหนึ่ง …
เดี๋ยวนะ อยู่ๆ เขาก็นึกขึ้นได้ว่าตอนนี้โลกที่วุ่นวายเช่นนี้ อยากจะรบก็รบกัน ส่วนเขายังมีตรีศูลที่ฮุ่นตุ้นกินเหลือไว้สองหมื่นกว่าด้ามแล้วก็เกราะดำอีกหกสิบสี่ชุด…
ชุดเกราะสีดำนั่นเป็นของชั้นดี ชุดเกราะดำที่เผ่าชาวบาดาลระดับต่ำสวมใส่สามารถต้านการโจมตีของปรมาจารย์หุ่นเชิดได้ ถ้าคนระดับปรมาจารย์หุ่นเชิดสวมใส่จะเป็นอย่างไร
เมื่อหลี่ว์ซู่คิดเรื่องนี้ก็รู้สึกว่าความคิดของเขาตลกเหลือเกิน เขาจะไปหาระดับ 1 หกสิบสี่คนจากไหน
อย่างไรเสีย หลี่ว์ซู่กำลังคิดเกี่ยวกับพลังของปรมาจารย์หุ่นเชิดคงไม่ได้ธรรมดาๆ แบบระดับ 1 ตอนนี้อวิ๋นอี่และพยัคฆ์จื๋อดูเหมือนจะจงใจกดพลังของตนลงไปที่ระดับ 1
เมื่อคิดเช่นนี้ หลี่ว์ซู่ยิ่งรู้สึกว่าองค์ราชาปรมาจารย์หุ่นเชิดรอคอยนั้นอาจจะเกี่ยวข้องกับราชาแห่งทวยเทพของโลกของจักรวาลนี้เพราะคนอื่นไม่มีคุณสมบัติพอที่จะขับไล่พวกเขาได้ …
หลี่ว์ซู่จึงถามจางเว่ยอวี่ “อืม…คุณรู้ไหมว่าที่ไหนเก็บหนังสือไว้มากที่สุด หนังสือจำพวกประวัติศาสตร์พวกนั้น? “
เขาได้แต่ถามเช่นนี้ หลี่ว์ซู่ต้องการหาข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับเส้นทางกลับโลกจากบันทึกในจักรวาลนี้แต่เขาก็อธิบายละเอียดไม่ได้
จางเว่ยอวี่ครุ่นคิดสักพักและพูดว่า “ก็ต้องเป็นห้องหนังสือในวังราชาแห่งทวยเทพ”
“พูดอะไรที่เป็นไปได้หน่อย” หลี่ว์ซู่พูดด้วยใบหน้านิ่งเฉย
“สำนักกระท่อมกระบี่ก็มีเยอะนะ เหมือนกับว่าหนังสือจำนวนมากจากวังหลวงมอบให้สำนักกระท่อมกระบี่พิมพ์” จางเว่ยอวี่พูด
“ขอละเอียดกว่านี้หน่อย ผมให้โอกาสคุณครั้งสุดท้าย ถ้าไม่พูด ผมจะไม่เกรงใจนะ” หลี่ว์ซู่พูดอย่างใจเย็น
[ได้แต้มจากจางเว่ยอวี่, +666!]
นี่เป็นครั้งแรกที่จางเว่ยอวี่เจอคนที่พูดเรื่องต่อยตีเหมือนกับการดื่มน้ำชา…
“ในคฤหาสน์ของท่านหลี่น่าจะมีหนังสืออยู่บ้าง” จางเว่ยอวี่พูด “นายลองไปดูที่นั่นก็ได้”
หลี่ว์ซู่หันกลับมาพาหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ไปคฤหาสน์เจ้าเมืองหลี่ อีกฝ่ายก็ไม่ได้ขี้เหนียวและเชิญชวนหลี่ว์ซู่ไปดูห้องหนังสือของเขาอย่างกระตือรือร้น
และแล้วเมื่อหลี่ว์ซู่เดินเข้ามาในห้องหนังสือของเจ้าเมืองหลี่ก็มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้น
หนังสือเต็มฝาหนัง…เป็นบทกวีขององค์ราชา…ที่นี่รวบรวมไว้ครบถ้วนมากกว่าตระกูลอวี่เสียอีก หลี่ว์ซู่ยังเห็น “บทรวบรวมขององค์ราชา” …
หลี่ว์ซู่เอ่ยปากชมเชยแม้ในใจเขาจะบ่น “พระอัฉริยะภาพของราชาแห่งทวยเทพนั้นไม่มีใครเทียบได้ในตอนนี้ … “
เดิมทีหลี่ว์เสี่ยวอวี๋สนใจไปหยิบหนังสือกลอนขององค์ราชาแต่พอเปิดอ่านไม่ทันไรก็ต้องตกใจแต่ก็ไม่พูดอะไร
หลี่ว์ซู่พาหลี่ว์เสี่ยวอวี๋กลับที่พัก ประโยคแรกที่เขาเอ่ยปากถามจางเว่ยอวี่เมื่อหลี่ว์ซู่เจอเขาก็คือ “สำนักกระท่อมกระบี่อยู่ที่ไหน”
หลิวอี้เจาเงียบไม่พูดเมื่อได้ยินคำกล่าวหาเสียดสีของจางเว่ยอวี่
“แต่ฉันดีใจนายเรียกตัวเองด้วยชื่อตำแหน่งหน่วยมังกรหลวง” จางเว่ยอวี่มองหลิวอี้เจาอย่างสงบและพูดว่า “ฉันออกจากหน่วยมังกรหลวงมา 23 ปีแล้ว ร่างกายซูบผอมจนเพื่อนเก่าของฉันยังจำฉันไม่ได้ แต่นายกลับจำฉันได้”
หลิวอี้เจาหัวเราะ “ตอนนั้นท่านและอาจารย์หลี่กู้หยวนเป็นผู้สอนเคล็ดลับการบำเพ็ญให้กับผม ในหน่วยมังกรหลวงผมชื่นชมพวกท่านมากที่สุดแล้วจะลืมหน้าตาของท่านได้อย่างไร สมัยนั้นใต้เท้าแต่ละท่านเดินทางไปทั่วประเทศเพื่อราชาองค์เก่า ช่างเป็นภาพที่สง่างามมาก คือสิ่งที่โหยหาในใจอย่างมาก แต่ตอนนั้นยังมีความลับอีกเรื่องหนึ่งและหวังว่าใต้เท้าจางจะเลิกเข้าใจผิดว่าผมเป็นคนทรยศของหน่วยมังกรหลวง”
เวลานี้จางเว่ยอวี่ยืนอยู่ในความมืด ดูไม่เหมือนชาวนาธรรมดาเลย ราวกับว่าเขายังเป็นทหารวังในที่ยืนถือดาบกล้าต่อกรกับทุกคนในใต้หล้า
ตำแหน่งทหารวังในเป็นผู้บัญชาการของหน่วยมังกรหลวง ซึ่งโดยปกติแล้วไม่เพียงแต่มีหน้าที่ปกป้องราชาองค์เก่าเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทเป็นหูเป็นตาให้ด้วยจึงเป็นบุคคลที่ราชาองค์เก่าไว้วางใจมากที่สุด
ที่จริงหน่วยทหารวังใน ตอนก่อตั้งขึ้น ทุกคนไม่คิดว่าตัวเองเป็นองครักษ์ ไม่ใช่ว่าละเลยหน้าที่แต่ราชาองค์เก่าไม่จำเป็นต้องมีองครักษ์ด้วยซ้ำ
ผู้ครองบัลลังก์นั้นแข็งแกร่งที่สุดในโลกอยู่แล้ว พวกเขาจำเป็นต้องรับการปกป้องด้วยหรือ?
แต่เพราะผู้แข็งแกร่งผู้นี้อยู่ๆ ก็จากไป จางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ ถูกเนรเทศเป็นเวลานานก่อนที่จะเกิดเหตุขึ้นเมื่อ 18 ปีก่อน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เข้าใจในสถานการณ์ ในเวลานั้นพวกเขาแต่ละคนถูกลงโทษอย่างรุนแรงและได้รับบาดเจ็บสาหัส รากฐานพลังถูกทำลายจนไม่สามารถบำเพ็ญได้อีก ในเวลานั้นยุคของราชาองค์เก่ามีความสงบสุขมานานมาก ในสายตาของผู้คน ภาพลักษณ์ของราชาองค์เก่าจึงค่อยๆเริ่มมีความเป็นมิตรมากขึ้น จนลืมไปว่าประวัติศาสตร์การรบสามพันปีของราชาองค์เก่านั้นโหดร้ายเพียงใด
แต่จางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ ก็ไม่ได้ตำหนิใครเพราะมันเป็นความผิดพลาดของพวกเขาเอง
ระหว่างทางที่ถูกเนรเทศ มีคนช่วยพวกเขาหลบหนีและในที่สุดก็จัดการให้พวกเขาใช้ชีวิตแบบปกปิดชื่อแซ่ที่นี่
เดิมทีคิดว่าจะอยู่อย่างสบายใจแต่หลังจากที่รากฐานพลังของพวกเขาถูกทำลาย พวกเขากลับแย่ยิ่งกว่าคนทั่วไป พวกเขาทำการเพาะปลูกก็ยิ่งถูกเอารัดเอาเปรียบและถูกรังแกจากทุกด้าน
แต่สิ่งนี้ไม่สำคัญเพราะพวกเขามีสิ่งที่สำคัญกว่ารออยู่
เมื่อพวกเขามาที่นี่เพื่อใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในการทำไร่ การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดของจักรวาลหลี่ว์ก็เกิดขึ้น ราชาองค์เก่าเสด็จสวรรคตและราชาแห่งทวยเทพองค์ใหม่ขึ้นครองบัลลังก์
ในเวลานั้นกลุ่มของพวกเขาร้องไห้อย่างขมขื่นเมื่อรู้ว่าไม่มีความหวังที่จะแก้แค้น
จากนั้นผู้คนที่ช่วยเหลือพวกเขาระหว่างการเนรเทศก็พบพวกเขาและบอกพวกเขาว่าให้รอต่อไป
นั่นเป็นประโยคลวงและก็เป็นความหวังเช่นกัน จางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนที่ส่งข่าวมีอยู่จริงหรือไม่กันแน่
นี่คือลมหายใจที่พวกเขายืนหยัดไว้ ถ้าหากลมหายใจนี้ดับลง พวกเขาก็ไม่สามารถอยู่ต่อได้
ยิ่งไปกว่านั้น จางเว่ยอวี่ยังคิดไม่ออกว่าคนอย่างตนถูกตัดทำลายฐานรากพลังแล้ว ถึงแม้ว่าพวกเขาจะยังมีชีวิตอยู่แต่จะใช้ประโยชน์อะไรได้
จางเว่ยอวี่ยังคงจำน้ำเสียงเย็นชาของอีกฝ่ายในตอนนั้นได้ “จงอย่าตาย องค์ราชามีบางอย่างที่ให้พวกท่านทำ ถือว่าเป็นการทำความดีไถ่โทษ”
จางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ รู้สึกว่าชีวิตกลับมีความหวังใหม่อีกครั้งหลังจากได้ยินน้ำเสียงที่ดูเหมือนกับให้บุญคุณ
แต่การรอคอยนี้ยาวนานถึง 18 ปีและในที่สุดก็มีคนที่ทนต่อไปไม่ไหว
ตอนนี้จางเว่ยอวี่ที่ไม่มีรากฐานพลังจึงคงใบหน้าเดิมไว้ไม่ได้ หน้าตาจึงแก่ชราลง ผิดกับในอดีตที่เขาสง่างาม ห้าวหาญเหมือนกับหลิวอี้เจา!
จางเว่ยอวี่มองหลิวอี้เจา “พวกฉันเป็นคนไร้ประโยชน์ จะฆ่าจะแกงก็ตามแต่ท่านเจ้าเมืองหลิว แต่ถ้าท่านต้องการถามอะไรจากฉัน ฉันเป็นชาวนาธรรมดาจึงไม่มีอะไรจะบอก เรื่องในปีนั้นก็ไม่ใช่ความลับเชื่อว่าท่านรู้ทุกสิ่งที่คุณควรรู้แล้ว”
ในตอนนี้ หลิวอี้เจาเป็นยอดฝีมือระดับสอง ส่วนจางเว่ยอวี่เป็นคนไร้ประโยชน์ พูดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ จะหนีก็ไม่มีทางหนีพ้น ไม่สู้เหลือศักดิ์ศรีให้ตัวเองบ้างจะดีกว่า
จะร้องขอเมตตาก็คงเป็นไปไม่ได้ 23 ปีที่แล้ว จางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ ก็ไม่ได้กล่าวขอความเมตตาต่อราชาองค์เก่าแม้แต่น้อย ผิดแล้วก็รับผิด
สิ่งที่จางเว่ยอวี่พูดว่าไม่มีอะไรจะบอกคือไม่รู้ว่าเขาจะมาทำอะไรที่นี่ เขาแค่เชื่อฟังรอคำสั่งอยู่ที่นี่ด้วยความสบายใจ จะรอนั้น รอทำไม อีกฝ่ายก็ไม่เคยบอกเขา
แต่จางเว่ยอวี่ก็ไม่สนใจ เขาเป็นนักโทษหากมีโอกาสไถ่โทษก็พอใจแล้ว ถึงทหารวังในจะแข็งแกร่งแต่พวกเขาทำผิดและกลายเป็นคนธรรมดา อีกฝ่ายไม่เต็มใจที่จะบอกความจริงกับพวกเขามันเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ถ้ามันมีความสำคัญกับบัลลังก์จริงๆ แน่นอนว่ายิ่งระมัดระวังมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี
ดังนั้น จางเว่ยอวี่ไม่เพียงแต่ไม่โกรธ ต่ยังรู้สึกว่าบุคคลที่ราชาองค์เก่าไหว้วานนั้นเชื่อถือได้
หลิวอี้เจายิ้มและพูดว่า “เด็กสาวคู่นั้นเป็น… ?”
“คนแปลกหน้า คนในเมืองเป็นพยานได้ อย่าไปยุ่งกับผู้บริสุทธิ์” จางเว่ยอวี่พูดด้วยสีหน้านิ่งเฉย “ถ้าเจ้าเมืองหลิวต้องการตัวเขาไปรับความชอบก็จับตัวไปเถอะ ตอนที่ราชาองค์เก่าอยู่มักเตือนพวกฉันเสมอว่าให้ฆ่าคนที่จะควรฆ่าเท่านั้น”
หลิวอี้เจามองจางเว่ยอวี่และพูดว่า “ผมคิดว่าเป็นหลานของท่านจริงๆจึงอยากจะดูแลสักหน่อย ตอนนี้พวกเขาอยู่ในวัยที่เหมาะกับการบำเพ็ญอย่างมาก ในเมื่อไม่ใช่ก็ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้ ผมมาขัดจังหวะในวันนี้หวังว่าใต้เท้าจางจะไม่ถือสา แต่ท่านมีสิ่งที่ท่านพูดไม่ได้ ผมก็มีของผม เรื่องจะพูดมีเพียงเท่านี้ก็ขอให้เวลาเป็นผู้ตัดสิน ขอลาล่ะ “
พูดจบ หลิวอี้เจาก็หันหลังและจากไปอย่างไม่ลังเล
จางเว่ยอวี่กลับเป็นฝ่ายที่สงสัย หลิวอี้เจาต้องก่อกบฏเมื่อ 18 ปีก่อน มิฉะนั้นด้วยฝีมือของเขาคนนั้นจะยอมปล่อยให้เขากลายเป็นเจ้าแห่งเมืองหนานเกิงได้หรือ
ตอนนี้ก็มีเรื่องที่ไม่เข้าใจแล้ว … จางเว่ยอวี่ครุ่นคิดว่าไม่มีใครสามารถเชื่อได้ในตอนนี้ ภารกิจที่พวกเขาแบกรับยิ่งใหญ่มากจนเขาไม่สามารถรู้ได้ ดังนั้นอย่าไว้ใจคนอื่นง่ายๆดีกว่า
เขายังลังเลเกี่ยวกับเรื่องของหลี่ว์ซู่ เขารู้สึกว่าหลี่ว์ซู่ถูกส่งมาเพื่อทดสอบเขา แต่แล้วก็พบว่าไม่ใช่
จางเว่ยอวี่รู้สึกสงสัยที่มาที่ไปของหลี่ว์ซู่ หลังจากได้เห็นพลังกระบี่ของหลี่ว์ซู่แล้วก็สงสัยว่าหลี่ว์ซู่เป็นลูกศิษย์ของหนีจาก กระท่อมกระบี่ แต่พอมาคิดๆดูแล้ว สถานที่อย่างกระท่อมกระบี่ไม่มีอัจฉริยะที่มีพลังระดับหกและใช้พลังกระบี่ได้ ตอนที่หลิวอี้เจาบอกว่าต้องการดูแล จางเว่ยอวี่อยากจะหัวเราะ แม้ว่าหน่วยมังกรหลวงจะร้ายกาจแต่ความร้ายกาจของมันอยู่ที่การต่อสู้เป็นกลุ่ม ไม่มีกองทัพใดในโลกที่มีความแข็งแกร่งโดยภาพรวมเช่นนี้แล้ว แต่เมื่อพูดถึงวิชา เขาจะเห็นได้ว่าพลังกระบี่ของหลี่ว์ซู่ในตอนนี้ไม่มีใครในหน่วยมังกรหลวงสามารถต่อกรได้ ถ้าเป็นทหารวังในก็ยังพอได้
ไม่ใช่ว่าจางเว่ยอวี่คิดว่าหลี่ว์ซู่ สามารถต่อสู้กับหน่วยมังกรหลวง แต่เด็กหนุ่มคนนี้มีอนาคต ตอนนี้มังกรซ่อนเร้น ไม่แน่อาจทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าสักวันหนึ่ง
“เสี่ยวอวี๋ เธอเปลี่ยนไปนะ” หลี่ว์ซู่พูดด้วยสีหน้านิ่งเฉย
[ได้แต้มจากหลี่ว์ซู่ +666!]
เขาคิดว่าหลี่ว์เสี่ยวอี๋จะสนับสนุนเขาตลอดและมาปกป้องเขา แต่ตอนนี้เธอกลับไม่ยอมต่อสู้กับผู้บัญชาการของทหารชิงไซ่…
เปลี่ยนไปแล้ว คนเรามันเปลี่ยนกันได้!
ส่วนทางหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ยังยิ้มร่า ที่จริงเรื่องนี้มันใหม่สำหรับเธอ หลี่ว์ซู่มาที่โลกจักรวาลหลี่ว์ไม่ทันไรก็กลายเป็นที่นิยมของคนที่นี่ แม้แต่ผู้ชายก็ยังมองเขา ไม่มีอะไรน่าสนใจให้หัวเรื่องนี้แล้ว
ตอนนี้ หลิวอี้เจายังรอคำตอบของหลี่ว์ซู่อยู่ หลี่ว์ซู่คิดแล้วมองทางจางเว่ยอวี่ “เรื่องนี้น้าฉัน…”
เขาอยากจะบอกว่าเรื่องนี้ให้น้าเป็นคนตัดสินใจ ตอนนี้จางเว่ยอวี่เริ่มกลัวความสามารถโยนบาปของหลี่ว์ซู่แล้ว ดังนั้นพอหลี่ว์ซู่พูดคำว่า “น้า” เขาก็เริ่มถอยหลังออกไปแกล้งทำเป็นไม่รู้จักหลี่ว์ซู่
แต่หลี่ว์ซู่จะลากเขาเข้ามาให้ได้ สิ่งที่จังทำจริงเปล่าประโยชน์แต่ละหลี่ว์ซู่กังวลเรื่องอื่น เรื่องนี้ต่อให้จางเว่ยอวี่ตอบตกลงแทนเขาก็ไม่มีประโยชน์ จ้างไม่เสียอะไรดีไม่ดีอาจมีโอกาสแกล้งเขาอีกด้วย…
ดังนั้นหลี่ว์ซู่จึงเปลี่ยนเรื่อง “น้าฉันเป็นชาวเมืองเถียนเกิ่ง ตอนนี้ทัพเฮยอวี่กำลังจะโจมตี ฉันและน้าเกิดเป็นคนเถียนเกิ่ง ตายก็จะเป็นผีที่นี่ ตอนนี้จะให้ไปเที่ยวที่เมืองหนานเกิงได้อย่างไร ฉันและน้าจะร่วมกันต่อสู้ต้านข้าศึกเพื่อที่นี่!
[ได้แต้มจากจางเว่ยอวี่ +666!]
จางเว่ยอวี่ตกใจ “ฉันเป็นคนธรรมดา จะไปต่อสู้อะไรได้! “
หลี่ว์ซู่พูดว่า “น้าลืมแล้วหรือ น้าเคยบอกว่าต่อให้ต้องใช้ฟันสู้กับทัพเฮยอวี่ก็จะสู้จนตัวตาย”
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋พยักหน้า “ฉันก็ได้ยิน”
[ได้แต้มจากจางเว่ยอวี่ +666!]
จางเว่ยอวี่มองทางหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ด้วยใบหน้าตกใจ เด็กสาวหน้าตาน่ารักอย่างนี้ทำไมถึงโกหกไม่กะพริบตาเหมือนหลี่ว์ซู่เลย
“งั้นก็ดีเลย ขอเชิญทุกท่านอยู่เพื่อร่วมต้านศัตรู เมืองเถียนเกิ่งไม่ได้เป็นจุดยุทธศาสตร์ ฉันจึงไม่ได้อยู่ที่นี่พร้อมกับทุกท่าน ยังมีกิจทหารติดพันจึงขอลาก่อน” หลิวอี้เจายิ้ม
หลี่ว์ซู่ถอนหายใจในที่สุดเจ้านี่ก็ไปจนได้ ตอนนี้เขานับวันยิ่งไม่เข้าใจโลกจักรวาลหลี่ว์นี้แล้ว
ในตอนนี้ขุนนางของเมืองเถียนเกิ่งเริ่มสังเกตเห็นกว่าหลิวอี้เจาคุยกับหลี่ว์ซู่แล้ว เขาดูสดใสขึ้นมากเลย ไม่มีความกดดันแบบเมื่อก่อน เชอะ ทุกวันนี้ตัวเขาซื้อใจวัยรุ่นคนนี้ ไม่แน่วันข้างหน้าท่านเจ้าเมืองมีเรื่องเรียกใช้ พวกนั้นอาจช่วยพูดให้เขาดูดีขึ้นได้…
อย่างในครั้งนี้ ถ้าท่านหลี่ให้หลี่ว์ซู่ช่วยพูดให้เขา แค่ต้องบอกว่าทัพเฮยอวี่มาจริงๆ เรื่องข่าวกรองทหารปลอมนั้นก็จะผ่านไป
คนที่จะมีขีวิตรอดอยู่ในกลียุคเช่นนี้ได้ต่างไม่ใช่คนโง่ รอจนหลิวอี้เจานำทัพชิงไซ่ออกไปแล้ว เขาก็จะมาพูดกับหลี่ว์ซู่ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “ผู้กล้าท่านนี้ไม่ทราบว่ายอมไปพักผ่อนที่เรือนของฉันไหม ฉันจะตระเตรียมอาหารที่พักไว้รับรองพวกท่าน ที่พักของพวกท่านอันตรายเกินไป ถ้าหากทัพเฮยอวี่มาอีก ท่านจะถูกโจมตี วางใจเถอะ ที่พักของฉันนั้นสะอาดไม่ใหญ่มากและก็มีความเป็นส่วนตัว”
หลี่ว์ซู่ชำเลืองมองเขาแล้วก็ตอบตกลง ประโยคนี้ทำให้หลี่ว์ซู่รู้ว่าท่านหลี่คนนี้มีแผนอะไรอยู่แต่เขาก็ไม่ได้กังวลอะไรในตอนนี้
เย็นวันนี้เพิ่งมาได้เจอกับหลี่ว์เสี่ยวอวี๋อีกครั้ง ต้องคุยกันเรื่องแผนการในอนาคตซะก่อน ดังนั้นมีที่พักก็ถือว่าไม่เลว
ยังไงเสียด้วยพลังของเสี่ยวอวี๋ อยากจะที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้
…
ยามดึก หลี่ว์ซู่ได้ยินเสียงเปิดประตูของห้องข้างๆ เขาแอบมองลอดช่องหน้าต่างเห็นจางเว่ยอวี่กำลังย่องเดินออกไป แล้วยัดอะไรบางอย่างไว้ในอก
“ตาเฒ่านี่ตอนเย็นไม่กินอะไร ที่แท้เก็บเอาไว้จะออกไปข้างนอกนี่เอง” หลี่ว์ซู่ถอนหายใจแล้วพูดกับหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ว่า “คนพวกนี้มีชีวิตลำบากนะ ไม่รู้ว่ามาอยู่ละแวกเมืองเถียนเกิ่งเพื่อจุดประสงค์อะไร ต้องอดทนขนาดกินรากต้นไม้อีกด้วย ก่อนนี้มีคนยอมตายแต่ไม่ยอมขายตัวเป็นทาส”
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋มองหลี่ว์ซู่ “ต้องช่วยเขาไหม ฉันเห็นเขาดูอ่อนแอมาก”
“ไม่ต้องหรอก” หลี่ว์ซู่ส่ายหน้า “มีโอกาสก็แอบช่วยเขาเสียหน่อย แต่ถ้าไม่มีก็ไม่ต้อง ยังไงพวกเราช่วยเขาไปตลอดไม่ได้หรอก”
“อืม” หลี่ว์เสี่ยวอวี๋พยักหน้า “ต่อไปพวกเราจะไปไหนกัน”
“หาวิธีกลับบ้านไง” หลี่ว์ซู่คิดอยู่สักพักแล้วก็พูด พอคุยถึงเรื่องนี้เขาก็รู้สึกปวดหัว เพราะเขาไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องวิธีที่จะกลับไปยังโลกเลยแม้แต่น้อย
ตอนนี้หลี่ว์ซู่มั่นใจว่าราชาองค์เก่าท่านนั้นมีพลังทะลุผ่านกำแพงโลกได้ ไม่อย่างนั้นพวกหวังซือจะมาจากไหนกัน
ถ้าราชาองค์เก่ารู้วิธี แล้วราชาแห่งทวยเทพองค์ใหม่ล่ะจะรู้ไหม
อาจจะรู้ก็ได้ แต่คำถามคือเขาจะตรงไปหาราชาของโลกนี้แล้วบอกว่าส่งฉันกลับไปทีเถอะ พวกเขาจะยอมหรือ
หลี่ว์ซู่คิดแล้วก็พูดว่า “ฉันว่าพวกเราน่าจะไปเมืองหลวงสักรอบหนึ่ง”
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋นึกถึงคำพูดที่ผู้บัญชาการค่ายทัพหน้าของทัพเฮยอวี่คนนั้นพูดไว้ จึงพูดปฏิเสธขึ้นว่า “ไม่ได้ ยังไปเมืองหลวงไม่ได้”
ผู้บัญชาการคนนั้นเห็นรูปของหลี่ว์ซู่แล้วพูดว่า “เด็กหนุ่มคนนี้ถ้าไปเมืองหลวงจะต้องไปรับความนิยมเป็นแน่” ตอนนั้นหลี่ว์เสี่ยวอวี๋รู้สึกว่าที่นั่นจะต้องมีพวกชอบคนที่หน้าตา…
หลี่ว์ซู่ประหลาดใจ “ทำไมไปที่นั่นไม่ได้ละ”
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ส่ายหน้า “บอกนายไม่ได้ ยังไงก็ห้ามไป”
หลี่ว์ซู่ “…ถ้าอย่างนั้นมาคิดวิธีอื่นกัน พรุ่งนี้ต้องลองถามจางเว่ยอวี่ดูว่ามีแผนที่ของที่นี่ไหม ตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าที่นี่คือที่ไหน”
ตอนนี้จางเว่ยอวี่เร่งรีบเดินขึ้นเหนือไป เขาอยากจะนำอาหารไปวางไว้ที่ปากถ้ำนั้น รอให้คนอื่นไปถึงถ้ำนั้นก็จะมีอาหารกิน
พอเขาวางเสร็จแล้วก็จะรีบกลับมา ก่อนหน้าเขาไม่ได้ซื้อเสบียงไว้เลย ตอนนี้ได้รับการรับรองต้อนรับ จางเว่ยอวี่จึงคิดว่าถ้าเขาเก็บอาหารเอาไว้มากประมาณนี้ทุกวัน พวกพี่น้องก็จะได้สุขสบายขึ้นหน่อย
ทุกครั้งที่เขานึกถึงเพื่อนเก่าที่ฆ่าตัวตายคนนั้นก็จะรู้สึกทุกข์ใจจนพูดไม่ออก
ทันใดนั้น จางเว่ยอวี่หยุดเดินลง และมองไปที่เด็กหนุ่มตรงหน้า มีคนค่อยๆ ลุกขึ้นมา
หลิวอี้เจาที่อยู่ตรงหน้าได้เปลี่ยนมาใส่ชุดลำลองสีดำ ในความเงียบนี้ หลิวอี้เจาคุกเข่าลงคารวะ “หลิวอี้เจาทหารมังกรหลวงขอคารวะใต้เท้าจางทหารวังใน”
จางเว่ยอวี่ยิ้มอย่างเสแสร้ง “ไม่คิดว่าจะมีคนจำฉันได้ แต่ตอนนี้ฉันเป็นนักโทษปกปิดชื่อแซ่มาที่นี่ หวังว่าท่านจะมีเมตตา”
หลิวอี้เจายืนขึ้น “ใต้เท้าคนอื่นก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ”
“ทำไมรึ” จางเว่ยอวี่ยิ้ม “คิดจะเอาพวกฉันไปแลกกับตำแหน่งหรือ”
“เหตุใดใต้เท้าจางจึงพูดเช่นนี้” หลิวอี้เจาตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ฉันไม่รู้เรื่องในอดีตเมื่อ 18 ปีก่อน ที่ฉันรู้ทหารมังกรหลวงส่วนใหญ่ล้วนตายหมดแล้ว มีเพียงไม่กี่คนอย่างนายที่มีชีวิตรอดอย่างมีความสุข” จางเว่ยอวี่พูด
ในขณะที่ชาวบ้านกำลังยุ่งอยู่กับการวิพากษ์วิจารณ์ว่าทหารเสื้อขนดำหายไปไหน หลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็กำลังชมดูความวุ่นวายนั้น หากจะพูดตามตรงแล้ว พวกเขาทั้งสองเคยเห็นเหตุการณ์ใหญ่ๆ แบบนี้มาก่อน และตอนนี้พวกเขาก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเองเป็นคนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไรในเมืองนี้
แน่นอนว่าถ้าไม่ใช่เพราะเสี่ยวอวี๋ หลี่ว์ซู่ก็คงไม่สามารถรู้สึกไร้กังวลได้ขนาดนี้…
ที่จางเว่ยอวี่บอกว่าผู้นำของเมืองหนานเกิงอยู่แค่ระดับสองนั้น ก็เท่ากับว่าหลี่ว์เสี่ยวอวี๋จะทำอะไรก็ได้ตามแต่ที่เธอต้องการในเมืองหนานเกิง
สำหรับหลี่ว์ซู่แล้ว โลกนี้เหมือนกับโลกมนุษย์ในแง่ของขนาด แต่ในโลกมนุษย์มีประเทศมากมาย ในขณะที่ๆ นี่มีเพียงประเทศเดียวเท่านั้น…
เมืองหนานเกิงที่มีผู้นำอยู่ระดับสองก็คงจะเป็นเมืองเล็กๆ ใช่หรือไม่ ในกรณีนั้น หลี่ว์ซู่สงสัยว่าเมืองที่เป็นศูนย์กลางของโลกจะมีขนาดใหญ่แค่ไหน
หลี่ว์ซู่พูดเสียงเบา “ถ้ามีโอกาส พวกเราก็สามารถไปเที่ยวชมรอบๆ เมืองได้เหมือนว่าตอนนี้พวกเรากำลังมาท่องเที่ยว”
หลี่ว์ซู่หมายความว่า พวกเขาสามารถเดินเที่ยวเล่นไปรอบๆ ได้หลังจากพวกเขาพบทางกลับบ้าน หรือหลังจากหลี่ว์ซู่ฟื้นคืนสู่สภาวะที่เหมาะสมแล้ว
อย่างไรพวกเขาก็เคยฆ่าคนนับหมื่นในการสู้รบก่อนหน้านี้มาแล้ว คนที่ตายและที่ต้องทุกข์ทรมานเพราะความกลัวทุกคนต่างก็ให้แต้มอารมณ์กับหลี่ว์ซู่ทั้งนั้น
ดังนั้นหลี่ว์ซู่จึงรู้สึกว่าแต่อารมณ์ของเขาน่าจะเพียงพอสำหรับจุดประกายแผนภูมิดาราทั้งหมดแล้ว!
ระดับ A และระดับหนึ่ง หลี่ว์ซู่ฝันถึงขอบเขตนี้มานานจนคงมีแค่พระเจ้าที่รู้ว่านานแค่ไหนก่อนที่เขาจะหยุดชะงักเพราะเจ๋อเมิ่ง
อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องดีที่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋มาคอยปกป้องเขา เพราะเขาจะได้สามารถฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่โดยไร้กังวล!
ในตอนนี้หลี่ว์ซู่ได้แต้มอารมณ์มามากมาย เขาได้ยินชื่อคนมากมายจากจางเว่ยอวี่มาก่อนหน้านี้ เพราะพวกเขาล้วนเป็นชาวเมืองของเมืองนี้
แต้มอารมณ์จากความสับสนงงงวยที่ว่าทหารเสื้อขนดำหายไปไหนถูกส่งต่อไปให้หลี่ว์เสี่ยวอวี๋และหลี่ว์ซู่ ในตอนนี้หลี่ว์ซู่ยังได้เข้าใจอีกว่าแต้มอารมณ์ของหลี่ว์เสี่ยวอวี๋กำลังสะสมอยู่ แต่ตอนนี้เขาไม่สามารถกินผลหรือมอบผลต่างๆ ให้หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ได้
หัวข้อสนทนาเกี่ยวกับทหารเสื้อขนดำค่อยๆ กลายเป็นความสงสัยว่า หรือจริงๆ แล้วทหารเหล่านี้อาจจะไม่ได้มาที่นี่ตั้งแต่แรก…
ชายหนุ่มจ้องทหารรักษาเมืองด้วยสายตาอันเย็นเยียบ “ฉันจะรายงานสถานการณ์นี้ให้จอมทัพสวรรค์ทราบ และฉันก็แน่ใจว่าเขาจะตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด”
เหล่าขุนนางและนายทาสนั้นแตกต่างออกไป ผู้คนจากเมืองหนานเกิงไม่สามารถตัดสินชะตากรรมของเหล่าขุนนางได้ แต่นายทาสสามารถสังหารพวกเขาได้หสกต้องการ
ดังนั้น นายทาสจำนวนมากจึงอยากได้สถานะขุนนาง เพราะนั่นเท่ากับมีเกราะป้องกันอยู่สักสองสามชั้น
ในตอนนี้ จางเว่ยอวี่พูดขึ้นว่า “คนๆ นี้คงจะเป็นผู้นำของเมืองหนานเกิง หลิวอี้เจา ถึงฉันจะไม่เคยเห็นเขามาก่อน แต่ก็มีเพียงเขาเท่านั้นที่จะทำให้กองทัพชิงไซเชื่อฟังได้ขนาดนี้”
หลี่ว์ซู่และหลี่วเสี่ยวอวี๋มองไปที่ทหารม้าในชุดเกราะสีแดง พวกเขาแต่ละคนต่างนิ่งเฉยอยู่บนหลังม้า เหมือนอย่างที่หลี่ว์ซู่คาดการณ์ไว้ พลังของกองกัพและชาวเมืองนั้นแตกต่างกันมาก
“เขาคือทหารมังกรจักรพรรดิของราชาแห่งทวยเทพ ก่อนที่พวกเขาทุกคนจะสูญเสียตำแหน่งหลังจากที่ราชาองค์ใหม่ขึ้นครองบัลลังก์ เขาเป็นหนึ่งในคนที่โชคดีที่สุดจากทหารมังกรจักรพรรดิสามหมื่นคน” จางเว่ยอวี่พูดอย่างสงบ
หลี่ว์ซู่หันไปมองจางเว่ยอวี่ด้วยความตกใจ เขารู้สึกว่าจางเว่ยอวี่พูดถึงเรื่องนั้นได้สงบเกินไปและนั่นจึงทำให้เรื่องนี้ดูแปลกๆ
แต่เขารู้สึกกังวลเกี่ยวกับเรื่องอื่นมากกว่า “มีระดับสองถึงสามหมื่นคนท่ามกลางทหารมังกรจักรพรรดิอย่างนั้นเหรอ”
จางเว่ยอวี่ชำเลืองมองหลี่ว์ซู่ “ระดับสองเหรอ ทหารมังกรจักรพรรดิสามร้อยคนอยู่ระดับหนึ่งด้วยซ้ำ! และนี่ก็ไม่ใช่ความลับ ทุกคนที่นี่ก็รู้กันหมดเพราะพวกนักเล่านิทานชอบเล่าเรื่องพวกนี้”
หลี่ว์ซู่ได้แต่อุทานว่า ‘โอ้’ จางเว่ยอวี่อาจจะหมายความว่าเขาเคยได้ยินเรื่องพวกนี้จากนักเล่านิทานแต่หลี่ว์ซู่กลับไม่เชื่อ
หลังจากได้ฟังสิ่งที่จางเว่ยอวี่พูด เขาก็จมอยู่ในความคิดของตนเอง หากยอดฝีมือระดับสองสามหมื่นคนกับยอดฝีมือระดับ B ร่วมมือกันต่อสู้ นั่นจะเป็นกองกำลังที่ทรงพลังขนาดไหนนะ และยังมียอดฝีมือระดับหนึ่งอีกสามร้อยคนงั้นเหรอ นั่นออกจะน่ากลัวเกินไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม จากจำนวนเหล่านี้ หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าคงจะมีคนที่อยู่ระดับหนึ่งมากกว่าหนึ่งพันคนในโลกใบนี้อย่างแน่นอน แล้วทำไมถึงมีเสินฉังจิ้งแค่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น และในโลกใบนี้เสินฉังจิ้งถูกเรียกว่า ‘ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่’
จางที่จางเว่ยอวี่เคยบอก นอกจากราชาแห่งทวยเทพแล้วยังมีเสินฉังจิ้งคนอื่นอีก จอมทัพสวรรค์บางคนก็ยังมีทาสที่อยู่ระดับเสินฉังจิ้งเช่นกัน แต่เสินฉังจิ้งก็มีระดับที่แตกต่างกันไป
จึงทำให้มีไม่ถึงสิบคนที่จะถูกเรียกว่าเสินฉังจิ้ง
ไม่น่าแปลกใจเลยว่าเฉินไป่หลี่และคนอื่นๆ ที่เหลือที่อยู่เหนือระดับ A ต่างก็เป็นกังวลกับความสามารถของพวกเขา มันเป็นเรื่องที่ยากมากที่จะก้าวไปถึงขั้นเสินฉังจิ้ง ในตอนนี้หลี่ว์ซู่รู้สึกภูมิใจที่เนี่ยถิงที่เขาใช้ความพยายามอย่างมากในการจับนั้นเป็นผู้ที่ยอดเยี่ยมที่สุด แต่เขาก็ยังสงสัยว่าอะไรจะเกิดขึ้นถ้าเขาก้าวไปถึงขั้นเสินฉังจิ้งได้ เขารู้สึกว่ามันเพียงพอแล้วตราบเท่าที่เขายังคงเก็บรวบรวมแต้มอารมณ์และไม่ควรมีอุปสรรคใหญ่ๆ อะไรเกิดขึ้น…
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ดีที่สุดก็คือหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ไม่จำเป็นต้องคอยสนใจอารมณ์ของเธอ
ยิ่งโลกกว้างใหญ่มากเท่าไร หลี่ว์ซู่ก็ยิ่งกลัวมากเท่านั้น พลังที่แท้จริงของแผนภูมิดาราคืออะไร ขุนนางและนายทาสจำนวนมากต้องการพลังในระดับที่สูงขึ้นแต่กลับไม่รู้ว่าแผนภูมิดาราเชื่อมต่อกับที่กั้นทั้งหมดบนโลกตั้งแต่ตอนเริ่ม
ทันใดนั้นใครบางคนก็พูดขึ้นว่า “ชาวบ้านสองคนบอกฉันว่าทหารเสื้อขนดำกำลังมาที่นี่ และพวกเขาทั้งสองคนฆ่าทหารม้าไปสามนาย!”
“โอ้” หลิวอี้เจาผู้บัญชาการกองทัพชิงไซหันไปมองคนที่กำลังพูด “แล้วชาวบ้านสองคนนั้นอยู่ที่ไหน”
ทหารรักษาเมืองถอนหายใจด้วยความโล่งอกเพราะความเครียดได้ถูกยกออกไปจากตัวเขาแล้ว แต่ทาสที่เพิ่งจะพูดก็ต้องล้มลงไปบนพื้นหลังส่งเสียงกรีดร้อง อวี่เตี๋ยลงโทษเขาผ่านทางตราประทับ
หลิวอี้เจาชำเลืองมองอวี่เตี๋ยแต่ไม่ได้สอบสวนอะไรเพิ่มเติม เป็นเรื่องของนายทาสที่จะจัดการกับทาสของพวกเขาเพราะทาสถือเป็นทรัพย์สินของนายทาส
ราชาแห่งทวยเทพองค์เก่าเคยกล่าวว่าไม่มีใครรุกล้ำทรัพย์สินส่วนตัวของผู้อื่นได้…
ในตอนนี้ ทุกคนต่างหันไปมองที่หลี่ว์ซู่และจางเว่ยอวี่ ทาสที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาหลีกทางให้หลิวอี้เจา
หลี่ว์ซู่ขมวดคิ้ว เขารู้สึกว่าหลิวอี้เจากำลังมองไปที่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋
เสียงม้าดังมาให้ได้ยินอีกครั้งในขณะที่หลิวอี้เจาเดินตรงไปที่หลี่ว์ซู่พร้อมกับม้าของเขา หลี่ว์ซู่ขยับไปยืนตรงหน้าหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ตามสัญชาตญาตเหมือนที่เขามักจะทำเสมอ
แต่ครั้งนี้เขาทำไม่สำเร็จเพราะหลี่ว์เสี่ยวอวี๋เป็นฝ่ายมายืนอยู่ตรงหน้าเขาแทน
หลี่ว์ซู่แตะบ่าหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ หลี่ว์เสี่ยวอวี๋เข้าใจสิ่งที่เขาพยายามจะสื่อ เธอสามารถโจมตีเมื่อไรก็ได้ที่เธอต้องการ
เงาขนาดใหญ่ของหลิวอี้เจาพาดผ่านเหมือนกับเมฆที่ดำมืด หลี่ว์ซู่และหลิวอี้เจาแลกเปลี่ยนสายตากันอย่างเย็นชา ถ้าหลิวอี้เจาทำอะไรตลกๆ กับหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ล่ะก็ เขาจะสังหารกองทัพชิงไซให้หมด
การซ่อนตัวหรือการถ่อมตัวนั้นหมายถึงอะไร บางสิ่งบางอย่างก็ไม่อาจอดทนได้…
ก่อนที่หลี่ว์ซู่จะได้ตัดสินใจ ทันใดนั้นหลิวอี้เจาก็พูดขึ้นมาว่า “พี่ชาย ทำไมคุณถึงหล่อขนาดนี้ คุณอยากไปเดินเที่ยวชมเมืองหนานเกิงกับผมไหม”
หลี่ว์ซู่รู้สึกมึนงง
นี่มันเรื่องบัดซบบ้าอะไรกัน!
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋เดินไปที่ประตูไม้ของร้านขายข้าวในทันทีและปล่อยเสียงหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง หลี่ว์ซู่กำลังจ้องมาที่เธอและบอกให้เธอฆ่าหลิวอี้เจาซะ
แต่เธอก็เมินเขาอย่างสิ้นเชิง…
หลี่ว์ซู่ครุ่นคิดสักพัก กับเสี่ยวอวี๋ ถึงแม้พวกเขาอาจจะยังไม่สามารถเอาชนะผู้บำเพ็ญนับแสนคนได้ แต่หากพวกเขาสามารถจัดการกับสถานการณ์ปกติได้ เมืองนี้ก็เป็นแค่เรื่องง่ายๆ สำหรับพวกเขา
เขาพูดว่า “มุ่งหน้าไปที่เมืองเพื่อตรวจสอบสถานการณ์”
ในระหว่างทางกลับไปที่เมือง จางเว่ยอวี่เห็นหลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋พูดคุยกันเล็กๆ น้อยๆ นั่นทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาต้องไม่ใช่แค่ทาสกับนายทาสแน่ๆ
อย่างไรก็ตาม จางเว่ยอวี่คิดว่านั่นก็ไม่ใช่เรื่องของเขา หลี่ว์ซู่อาจจะมีความลับแต่ตัวเขาเองก็มีความลับมากมายเช่นกัน ในเมื่อพวกเขาทั้งสองคนผ่านอะไรมาด้วยกันตั้งมากมาย เขาจึงไม่อยากจะสอบถามมากจนเกินไป
หลี่ว์ซู่เริ่มออกคำสั่งหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ในระหว่างเดินทาง “พวกเรามาช่วยกันหาทางกลับบ้านอย่างเงียบๆ กันเถอะ ถึงแม้เธอจะสามารถควบคุมวิญญาณของผู้มีพลังระดับ A ได้ แต่ที่นี่ยังมีเสินฉังจิ้งและระดับบางระดับที่อาจจะถึงขั้นสูงกว่านั้นอีก เนี่ยถิงสามารถแยกทัณฑ์สวรรค์ได้ตอนที่เขาอยู่ระดับ A จนกระทั่งตอนนี้ ฉันยังไม่เคยเห็นเขาโจมตีด้วยเสินฉังจิ้งเลย คงมีแค่เทพเจ้าที่รู้ว่าสิ่งนี้ทรงพลังแค่ไหน ดังนั้น เราต้องระมัดระวังและคอยหาทางกลับบ้านอย่างลับๆ หลังจากนั้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับโลกใบนี้ก็ล้วนแล้วแต่ไม่เกี่ยวกับพวกเราอีกต่อไป”
จริงๆ แล้ว หลี่ว์ซู่ระมัดระวังผู้มีพลังในโลกนี้เป็นอย่างมาก เนี่ยถิงระดับ A หลี่เสียนอี และเฉินไป่หลี่ ก็น่ากลัวพอแล้ว ครั้งหนึ่งเขาเคยใช้ตราแผ่นดินเพื่อควบคุมพลังจิตวิญญาณในตรอกหลิวไห่ ในท้ายที่สุด เนี่ยถิงก็สามารถคิดออกได้เพียงส่วนเล็กๆ ของตรรกะ เขาเพียงแค่ก้าวเข้าไปในประตูของเสินฉังจิ้งและไปถึงระดับที่สูงขนาดนั้นก่อนที่เขาจะถึงขั้นมีชีวิตอยู่ด้วยทัณฑ์สวรรค์ สิ่งที่ขวางกันระหว่างตราแผ่นดินและลานแตกออกเมื่อเขาเคาะโต๊ะเพียงแผ่วเบา…
ถ้าอย่างนั้นแล้วเสินฉังจิ้งเป็นอย่างไร หลี่ว์ซู่ไม่สามารถจินตนาการได้เลย
เขาอาจจะเตรียมใจได้หากเขาเคยเห็นการโจมตีที่ทำโดยใครสักคนที่อยู่ในระดับเสินฉังจิ้ง แต่เขาก็ยังไม่เคยเห็น และสิ่งที่ไม่รู้นั่นก็คือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด
ถ้าเสินฉังจิ้งเป็นขอบเขตที่ผู้มีพลังสามารถใช้กฎของตนเองได้ แล้วกฎเหล่านั้นจะมีข้อจำกัดหรือไม่ หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าเขาไม่ควรกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้เพราะมันออกจะซับซ้อนเกินไป
ในตอนนี้เอง จางเว่ยอวี่กำลังชำเลืองมองไปทางหลี่ว์เสี่ยวอวี๋และหลี่ว์ซู่ “พวกนายสองคนอยากจะไปซ่อนตัวในถ้ำกับฉันไหม”
หลี่ว์ซู่รู้ว่าจางเว่ยอวี่กำลังคิดอะไรอยู่ จางเว่ยอวี่และคนอื่นๆ เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาที่ได้รับความทุกข์ยากเพราะพวกเขาไม่ได้ฝึกบำเพ็ญ ถ้าหลี่ว์ซู่ตามเขาไปที่ถ้ำ เขาจะต้องซื้ออาหารมากกว่านี้แน่…
จางเว่ยอวี่ที่ไม่ได้กินอาหารฟรีของคนอื่นรู้สึกว่าความคิดนั้นก็ไม่เลวเลยที่จะทำเช่นนั้น…
นอกจากนี้ ถ้าหลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ไปกับเขา จางเว่ยอวี่และคนที่เหลือก็จะมีคนคอยปกป้อง ไม่ว่าหลี่ว์ซู่และหลี่เสี่ยวอวี๋จะอ่อนแอขนาดไหน แต่ก็ดีกว่าการไม่มีคนคอยปกป้องเลย
จางเว่ยอวี่อาจจะไม่ได้รู้จักหลี่ว์ซู่ดีนัก แต่เขารู้ว่าหลี่ว์ซู่จะไม่ทิ้งสหายไว้เบื้องหลังนยามยากอย่างแน่นอน พวกเขาสามารถบอกว่าเป็นเพื่อนกันได้ใช่หรือไม่
เมื่อพวกเขาไปถึงเมือง หลี่ว์ซู่และจางเว่ยอวี่ถึงได้รู้ว่าเมืองไม่ได้วุ่นวายอย่างที่พวกเขาคิดว่าจะเป็น ถึงแม้ว่าร้านรวงทุกร้านจะปิดประตูแน่นสนิท พวกเขาก็ยังสามารถเห็นคนจ้องมองลอดออกมาทางช่องว่างระหว่างประตูด้วยความกังวล
ทาสที่มีตราประทับอยู่บนร่างกายไม่มีใครกล้าหลบหนี ถ้าทหารเสื้อขนดำมาถึง พวกเขาก็ทำได้เพียงรอความตายเท่านั้น
นายทาสเองก็รู้ว่าควรให้ความสำคัญกับสิ่งใด การสู้ถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ พวกเขาจึงไม่สามารถปล่อยให้เหล่าทาสหนีไปจนทำแผนของพวกเขาพังไม่เป็นท่า
เสียงฝีเท้าของหลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ดังก้องในเมืองที่เงียบสงัด จางเว่ยอวี่เคาะประตูที่ทำจากไม้ของร้านขายข้าว เมื่อประตูเปิดออก หลี่ว์ซู่ก็เห็นคนขายตัวสั่นเทาอยู่ที่มุมหนึ่ง ทาสระดับห้าสองคนเปิดประตูด้วยมีดในมือของพวกเขา
หลี่ว์เสี่ยอวี๋ชำเลืองมองหลี่ว์ซู่ “ต้องฆ่าพวกเขาไหม”
หลี่ว์ซู่ส่ายหัวและได้ยินเสียงทาสอุทานด้วยความประหลาดใจ “ทำไมพวกนายสองคนถึงมาอยู่ที่นี่ แล้วทหารเสื้อขนดำล่ะ”
จางเว่ยอวี่ตอบว่า “ทหารเสื้อขนดำ…หายไปแล้ว…”
“ถ้างั้นพวกนายกำลังทำอะไร” ทาสถามอย่างสับสน
“พวกเรามาที่นี่เพื่อซื้ออาหาร…” จางเว่ยอวี่ตอบ
ทาสทั้งสองคนเดินออกมาจากร้านและไม่เห็นทหารเสื้อขนดำแม่แต่คนเดียว ในตอนแรก พวกเขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติในตอนที่พวกเขาได้ยินเสียงดังตูม แต่หลังจากเสียงนั้น เสียงควบม้าก็หายไป
ทุกอย่างดูแปลกมาก…
นี่ไม่น่าจะใช่แผนการของทหารเสื้อขนดำ เพราะสุดท้ายแล้ว หากจะให้ได้ผลดีที่สุดก็คือต้องให้กองหน้าเข้าโจมตีเมืองกำลังวุ่นวาย จะมีใครรอให้ฝ่ายตรงข้ามพร้อมก่อนจึงจะโจมตี
ทาสคนหนึ่งวิ่งเข้าไปในเมืองและคนอีกหลายคนก็ออกมาดูอย่างประหม่า แต่หากพวกเขาลังเลเพียงเล็กน้อย ตราประทับที่อยู่บนคอของพวกเขาก็จะเจ็บเพราะนายทาสกำลังเร่งให้พวกเขาออกมาดูสถานการณ์
หลังผ่านไปสักพัก ทาสสองสามคนก็กลับมาพร้อมกับตะโกนว่า “พวกเราไม่เห็นทหารเสื้อขนดำแล้วจริงๆ!”
หลังจากนั้น หลี่ว์ซู่ก็เห็นทาสจำนวนมากออกมาจากตรอกซอกซอยและร้านค้าต่างๆ คงมีแค่พระเจ้เท่านั้นที่จะรู้ว่าก่อนหน้านี้คนเหล่านี้ซ่อนตัวอยู่ที่ไหนบ้าง
พนักงานขายของแต่ละร้านเดินออกมาข้างนอก และหญิงโสเภณีก็กระซิบกระซาบกันอยู่ที่ประตูซ่อง
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ชำเลืองมองจางเว่นอวี่ และชี้ไปที่สถานที่ๆ มีหญิงโสเภณีเดินออกมาและถามว่า “นั่นคือสถานที่อะไรเหรอ”
“นั่นคือซ่อง” จางเว่ยอวี่ตกตะลึงก่อนจะพูดต่อ “เธอกำลังจะบอกว่าไม่มีซ่องในที่ๆ เธออยู่งั้นเหรอ”
“พวกเราไม่ได้เถื่อนขนากนั้น…” หลี่ว์ซู่สามารถอธิบายได้เพียงเท่านั้น
แต่ก่อนที่เขาจะได้พูดจนจบประโยค เขาก็เห็นหลี่ว์เสี่ยวอวี๋เดินตรงไปที่หญิงสาวเหล่านั้นและชี้มที่หลี่ว์ซู่พร้อมกับถามว่า “เขาเคยมาที่นี่มาก่อนไหม”
[ได้แต้มจากหลี่ว์ซู่ +666!]
‘นี่มันใช่เวลามาถามคำถามแบบนี้เหรอ เห็นฉันเป็นคนแบบนั้นหรือยังไง’
เหล่าหญิงสาวชำเลืองมองมาที่หลี่ว์ซู่และพูดว่า “พวกเราไม่เคยเห็นหนุ่มหล่อคนนี้มาก่อน แต่ถ้าเขามา พวกเราจะดูแลเขาอย่างดีเลยล่ะ”
ในตอนนี้เอง มีเสียงควบม้าดังมาจากทางทิศตะวันออกของเมือง แต่หลี่ว์ซู่รู้ว่าตอนนี้คงไม่มีใครเป็นกังวลแล้ว กลับกันพวกเขากับดูมีความสุขมากกว่า
จางเว่ยอวี่พูดเบาๆ ว่า “กำลังเสริมจากเมืองหนานเกิงคงมาถึงแล้ว ฉันไม่แน่ใจว่าใครเป็นผู้นำทัพ แต่คนที่เป็นผู้นำของเมืองหนานเกิงก็คือชนชั้นสูงระดับสอง”
หลังจากเขาพูดจบ ทหารม้าที่สวมชุดเกราะสีแดงก็พุ่งเข้ามาในเมืองและเข้ายึดทางแยกทั้งหมดในเมืองทันที
พู่สีแดงที่อยู่บนหมวกของคนที่ขี่ม้าเป็นเหมือนธงสีแดง และแม้แต่ม้าก็สวมหน้ากากสีแดงเช่นกัน
พร้อมกับเสียงของม้า ชายหนุ่มอายุน้อยที่กล้าหาญและหล่อเหลาก็ขี่ม้าไปที่ป้อมป้องกันเมือง ทหารรักษาเมืองโค้งคำนับต่อหน้าเขาด้วยท่าทางประหม่า
ชายอายุน้อยคนนั้นมองลงไปที่ทหารรักษาเมืองและถามว่า “ทหารเสื้อขนดำอยู่ที่ไหน”
“ผมไม่ร…”
“นายรู้ถึงผลของการแจ้งข่าวทางทหารที่เป็นเท็จหรือเปล่า”
ทหารรักษาเมืองตัวสั่น “พวกเราได้ยินเสียงควบม้ามาจากทางด้านนอกเมือง แต่พวกเราไม่รู้ว่าทหารเสื้อขนดำหายไปไหน…”
เขารู้สึกผิดปกติอย่างมาก พวกเขาได้ยินเสียงม้าไม่ผิดแน่ แต่ทหารเสื้อขนดำหายไปไหน
หลังจากได้ยินหลี่ว์ซู่เรียกชื่อหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ จางเว่ยอวี่รู้สึกสับสนและมองไปที่หลี่ว์ซู่ “ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่พวกนายสองคนก้าวหน้าจนนายเรียกแค่ชื่อเธอว่า ‘เสี่ยวอวี่’ เฉยๆ ก็ได้”
ในตอนนั้นเองมีเสียงเย็นเยียบดังมาให้ได้ยิน “ใครคือเสี่ยวอวี่ หลี่ว์ซู่ เธออยู่ที่นี่มานานแค่ไหนแล้ว…”
[ได้แต้มจากหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ +666!]
หลี่ว์ซู่หัวเราะเมื่อเขาเห็นหลี่วเสี่ยวอวี๋ “ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ”
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ยิ้มกว้าง “ฉันมาที่นี่เพื่อปกป้องเธอ…ว่าแต่เกิดอะไรขึ้นกับเธอ”
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ตระหนักได้ว่าสภาพของหลี่ว์ซู่ดูแปลกๆ ทั้งเธอและปรมาจารย์หุ่นเชิดไม่มีใครรู้ว่าหลี่ว์ซู่เลือกที่จะถูกผูกมัดด้วยความฝันของเขา เธอบอกว่าเธอจะปกป้องหลี่ว์ซู่เพราะเธอถูกพิจารณาให้เป็นบุคคลที่มีพลังระดับ A
สำหรับหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ผู้มีพลังระดับ B เขาจำเป็นต้องได้รับการปกป้องอย่างแน่นอน
แต่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ไม่คิดว่าหลี่ว์ซู่จะสูญเสียพลังระดับ B ของเขาไป
หลี่ว์ซู่ชำเลืองมองหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ ถึงแม้เขาจะผ่านความยากลำบากมากมายมากับจางเว่ยอวี่ และจางเว่ยอวี่ก็เป็นคนที่มีนิสัยดี แต่เขาก็ชอบทำตัวลับๆ ล่อๆ และเกือบจะใช้ประโยชน์จากหลี่ว์ซู่ตอนก่อนหน้านี้
ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจว่าจะไม่ให้จางเว่ยอวี่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเขาและหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ มันไม่ใช่เรื่องผิดอะไรที่จะระมัดระวังสักเล็กน้อยจากคนภายนอก
ในขณะที่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋และหลี่ว์ซู่ส่งกระแสจิตให้กัน หลังจากที่หลี่ว์ซู่ชำเลืองมองมา หลี่ว์เสี่ยวอวี๋จึงหยุดพูด
จางเว่ยอวี่รู้สึกสับสน เขาสงสัยว่าเด็กผู้หญิงคนนี้เป็นใครและเธอมาจากไหน
เดี๋ยวก่อนนะ จู่ๆ จางเว่ยอวี่ก็ถามขึ้นมาว่า “เอ่อ…เด็กน้อย เธอบังเอิญเจอเข้ากับกองทัพบ้างไหม”
“ไม่นะ” หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ส่ายหัว
จางเว่ยอวี่ตกตะลึง แล้วทัพเฮยอวี่หายไปไหน เสียงที่พวกเขาได้ยินไม่ใช่เสียงควบม้าของพวกทัพเฮยอวี่เหรอ นั่นไม่สมเหตุสมผลเลย…
เขามองไปที่หลี่ว์ซู่ “เด็กผู้หญิงคนนี้เป็นใคร…ฉันคิดว่านายเป็นลูกคนเดียวซะอีก”
หลี่ว์ซู่พุดไม่ออก
เขาพูดแบบนั้นเร็วเกินไปเพราะเขาไม่คิดว่าหลี่ว์เสี่ยวอวี๋จะมาที่นี่
จางเว่ยอวี๋เองก็กำลังคาดเดาตัวตนของหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ เธอดูเด็กมากและน่ารักมาก ส่วนพลังของเธอนั้น…เขาบอกไม่ได้
หลี่ว์ซู่ตอบว่า “คุณก็รู้ว่าผมหนีมาจากนายทาส ในตอนนั้น…”
“ฉันเป็นนายทาสของเขา” หลี่ว์เสี่ยวอวี๋พูดด้วยความสงบ
หลี่ว์ซู่รู้สึกมึนงง
ในตอนนี้เอง หลี่ว์เสี่ยวอวี๋มองไปที่หลี่ซ์ซู่และยิ้มอย่างมีลับลมคมใน ‘ดูสิ ฉันตอบสนองเร็วดีใช่ไหมล่ะ’
[ได้แต้มจากหลี่ว์ซู่ +666!]
เขาอยากจะสร้างเรื่องว่าหลี่ว์เสี่ยวอวี๋เป็นชาวบ้านธรรมดาที่บังเอิญช่วยเขาไว้ตอนที่เขากำลังหลบหนี แต่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋กับพังเรื่องลงแบบนั้น…
จางเว่ยอวี่รู้สึกประหลาดใจ “จริงเหรอ แล้วถ้างั้นทำไมตราของหมอนี่ถึงอยู่บน…”
จางเว่ยอวี่รู้สึกสงสัยมาก เพราะทาสที่มีตราประทับอยู่ที่บั้นท้ายจะมีนายทาสเป็นผู้ชาย! แต่นั้นเป็นไปไม่ได้ และทั้งตระกูลที่สูงส่งและนายทาสต่างก็มีบุคลิกที่ไม่ปกติในความคิดของจางเว่ยอวี่…
อย่างไรก็ตาม จางเว่ยอวี่ถอนหายใจ เขาจะเสียใจมากถ้าสิ่งที่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋พูดเป็นความจริง
คนผู้หนึ่งมีนายทาสสุดน่ารักมาเป็นทาสและยังมีนายทาสผู้หญิงมาคอยช่วยเหลือหลังจากหนีออกมา หรือโลกนี้ทุกสิ่งล้วนขึ้นอยู่กับหน้าตา ไม่ว่าใครก็ตามที่หน้าตาดีก็เท่ากับว่าจะมีชีวิตที่ดีอย่างนั้นเหรอ
ในตอนแรกจางเว่ยอวี่รู้สึกเห็นอกเห็นใจหลี่ว์ซู่ แต่ดูเหมือนว่าเจ้านี่จะไม่ได้ต้องการความเห็นอกเห็นใจของเขาเลย!
“กลับไปที่เมืองก่อนเถอะ” จางเว่ยอวี่พูด “ผู้คุ้มกันเมืองจะต้องส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือไปแล้วแน่ๆ ตอนนี้ทัพเฮยอวี่หายไปแล้ว เมืองน่าจะพร้อมตอนที่พวกเขากลับมาเพราะฉะนั้นตอนนี้เมืองก็น่าจะปลอดภัย แล้วฉันค่อยจากไปตอนหลังจากซื้อของสักหน่อย พวกนายสองคนจะไปกับฉันไหม”
ของที่อวี่เตี๋ยให้มายังมีผ้าคุณภาพดีอยู่ด้วย หลี่ว์ซู่ให้จางเว่ยอวี่ขายผ้าเหล่านั้นแล้วพวกเขาก็แบ่งเงินกันแบบเก้าสิบต่อสิบส่วน และถึงแม้จางเว่ยอวี่จะได้เงินส่วนแบ่งแค่สิบส่วน แต่เขาก็สามารถใช้เงินจำนวนนี้ซื้ออาหารได้เป็นจำนวนหนึ่ง
ตอนที่หลี่ว์ซู่อยู่ที่โลกมนุษย์ เขาเคยคิดว่าศิลาวิญญาณจะกลายเป็นสกุลเงินใหม่ในยุคแห่งการบำเพ็ญได้หรือไม่ แต่ศิลาวิญญาณแต่ละเม็ดมีพลังที่แตกต่างกันถึงแม้จะมีขนาดเท่ากันก็ตาม และมันคงเป็นเรื่องยากสำหรับคนธรรมดาที่จะแยกความแตกต่างของศิลาวิญญาณ ดังนั้นมันจึงขาดคุณสมบัติพื้นฐานในการจะใช้เป็นหน่วยเงิน
นอกจากนี้ศิลาวิญญาณแต่ละเม็ดยังมีค่าหลายแสน เพราะฉะนั้นมันคงมีค่ามากเกินไป
ในตอนแรก ศิลาวิญญาณถูกใช้เป็นหน่วยเงิน และนั่นก็ก่อให้เกิดความวุ่นวายอย่างใหญ่หลวง หลังจากนั้น ราชาแห่งทวยเทพจึงได้พิจารณากำหนดค่าเงินให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน โดยธนบัตรจะถูกแจกจ่ายโดยพระราชวังภายใต้การควบคุมของธนาคารแห่งพระราชวัง และธนบัตรทุกใบจะได้รับการพิมพ์แบบพิเศษจากธนาคาร
วิธีนี่ช่วยป้องกันความผิดพลาดได้ง่ายกว่าวิธีที่ใช้ในโลกมนุษย์ และยังเป็นผลให้ไม่มีใครสามารถสร้างธนบัตรปลอมขึ้นมาได้ มีบางคนที่พยายามจะพิมพ์ธนบัตรปลอม แต่หลังจากรู้ว่ามีผู้เชี่ยวชาญที่สามารถตามรอยธนบัตรปลอมเหล่านี้ได้ ก็ไม่มีใครกล้าเสี่ยงอีกต่อไป ธนบัตรปลอมยังมีอยู่บ้าง แต่ก็แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะนำมาใช้ เนื่องจากผู้คนต่างก็มีทักษะพื้นฐานในการระบุตัวตน
ในตอนแรก ผู้คนไม่ยอมรับการใช้ธนบัตรเพราะทุกคนคิดว่าราชาแห่งทวยเทพนั้นใจง่ายเกินไป ในอดีต ผู้คนถือศิลาวิญญาณที่หนักอึ้งไว้ในมือ แต่ตอนนี้เขากลับอยากจะเปลี่ยนมาใช้กระดาษและทำให้ธนบัตรเหล่านี้เป็นสินทรัพย์ของเขาเอง นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร
ผู้บำเพ็ญทั่วๆ ไปไม่เชื่อมั่นในพระราชวังที่ก่อตั้งขึ้นใหม่เช่นกัน และก็ไม่มีใครรู้ว่าราชาแห่งทวยเทพจะอยู่ได้นานแค่ไหน หลังพระราชวังสร้างเสร็จ โลกก็ตกอยู่ในความวุ่นวายและทุกคนก็ชินเสียแล้วกับการเปลี่ยนแปลงอำนาจอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม พระราชวังไม่ได้ถูกทำลายมากว่าสามพันปีแล้ว และก็ไม่มีใครโค่นล้มบัลลังก์ของราชาแห่งทวยเทพ ราชวงศ์หลี่ว์จึงอยู่ในอำนาจมาตราบนานเท่านานกับที่พระราชวังถูกสร้างขึ้น
ในอดีตราชาแห่งทวยเทพไม่ได้บังคับให้ทุกคนใช้ธนบัตร จอมทัพสวรรค์ทั้งสี่คนและเหล่าขุนนางอีกไม่กี่คนเริ่มขยายเขตแดนและกำหนดให้ธนบัตรเป็นเพียงหน่วยเงินเดียวที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ทำธุรกิจกับจอมทัพสวรรค์และเหล่าขุนนาง และเพราะว่าเหล่าขุนนางมีธุรกิจขนาดใหญ่ หลังจากที่พวกเขาใช้ธนบัตร ทุกคนที่ติดต่อค้าขายกับพวกเขาจึงถูกบังคับให้ใช้ธนบัตรเช่นกัน
จากนั้นทุกคนจึงค้นพบว่าธนบัตรนั้นใช้ง่ายมาก
ในตอนนั้น หลี่ว์ซู่ถามจางเว่ยอวี่ว่าทำไมจอมทัพสวรรค์ทั้งสี่ถึงได้เชื่อฟังนัก และจางเว่ยอวี่ตอบว่า ‘พวกเขาจะต้องตายหากไม่เชื่อฟัง แล้วแบบนี้ใครจะกล้าไม่เชื่อฟังล่ะ…’
ตอนนี้จากเว่ยอวี่ต้องการหนีไปหลังจากซื้ออาหารแล้ว หลี่ว์ซู่เดาว่าเพื่อนของเขาน่าจะไปซ่อนตัวที่ถ้ำเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นอาหารที่จงเว่ยอวี่กำลังจะซื้อจึงมีความสำคัญมาก
ถ้าหลี่ว์ซู่ไม่ได้ให้เงินจางเว่ยอวี่จำนวนหนึ่ง กลุ่มคนเหล่านั้นก็อาจจะต้องทนอดอยากจนกว่าสงครามจะจบลง..
ไม่มีใครในโลกมนุษย์รวมทั้งคลาวน์อีและพยัคฆ์จื๋อที่รู้ว่าพลังของหลี่ว์ซู่ถูกผนึกไว้ เหตุผลที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะคนเหล่านั้นมาถึงหลี่ว์ซู่ช้าเกินไป และหลี่ว์ซู่ก็เข้าไปในประตูดาราแล้วในตอนที่พวกเขามาถึง
ฮุ่นตุ้นรู้เรื่องนี้ แต่มันแค่ไม่อยากบอกให้คนอื่นรู้
สิ่งแรกที่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ทำหลังจากที่เธอเดินทางผ่านประตูดาราเข้ามาก็คือเปิดใช้งานร่างโคลนของหลี่ว์ซู่ที่สร้างโดยจอห์นสัน อย่างไรก็ตาม มันแปลกมาก เพราะแม้เธอจะเดินทางผ่านกาแลกซี่มาที่โลกนี้ แต่แผนภูมิดาราของหลี่ว์ซู่ก็ยังไม่ตอบสนอง
ทัพเฮยอวี่มุ่งหน้าเข้าสู่ตัวเมืองด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมแต่ตอนนี้พวกเขากลับถูกฝังอยู่ใต้ดิน และถึงแม้วิญญาณของทัพเฮยอวี่อาจจะไม่ได้ทรงพลังในแง่ของการโจมตี แต่ก็ดีในเรื่องการควบคุมมาก
กลยุทธ์นี้ ครั้งหนึ่งฟรานเชสโกเคยใช้กับหลี่ว์ซู่ตอนที่เขากำลังจัดการกับกลุ่มแก่นความเชื่อ และนั่นเกือบจะทำให้หลี่ว์ซู่เคลื่อนไหวไม่ได้ ในเมืองนั้นในซาร์ดิเนียกลุ่มแก่นความเชื่อต้องการคนหลายร้อยคนเพื่อมาแสดงกลอุบายแบบเก่าๆ แต่อาการบาดเจ็บที่ร้ายแรงของคอรัลทำให้เกิดฟ้าผ่าขึ้นก่อน
ตอนนี้หัวหน้าบาทหลวงกลายเป็นวิญญาณหุ่นเชิดของหลี่ว์เสี่ยวอวี๋แล้ว กลยุทธ์เดียวกันที่ถูกใช้โดยหัวหน้าบาทหลวงซึ่งเป็นผู้มีพลังระดับ A เพื่อใช้ต่อกรกับกองทัพที่มีระดับต่ำกว่าหรือเท่ากับระดับสามนั้นแน่นอนว่าทรงพลังกว่ามาก เขาไม่จำเป็นแม้แต่จะต้องยึดเหนี่ยวพวกนั้นไว้อย่างสมบูรณ์ เพียงแค่ทำให้พวกนั้นไม่สามารถหนีออกมาจากทรายดูดได้ก็พอ
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋มองไปรอบๆ และก็ต้องรู้สึกสับสนกับทิศทาง สิ่งที่เธอต้องทำก็คือคาดการณ์เส้นทางที่หลี่ว์ซู่น่าจะไปหลังจากเขามาถึงที่นี่
หลังจากนั้นไม่กี่นาที เธอก็รู้สึกว่าการคาดเดาโดยไม่คิดให้ดีนั้นดูจะไม่ถูกต้องเกินไป เพราะถึงแม้เธอจะรู้จักหลี่ว์ซู่ แต่เธอก็ไม่รู้จักโลกที่เธออยู่นี้
หลังจากการคิดพิจารณาสักพัก หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็ตัดสินใจที่จะลงไปใต้ดินกับแอนโทนี และนำตัวคนที่พูดจากับเธอไม่ดีเมื่อสักครู่นี้ขึ้นมาด้านบน
เมื่อโผล่พ้นผิวดิน ผู้บัญชาการทัพเฮยอวี่ก็คายดินออกมาสองคำใหญ่ๆ และหายใจอย่างแรงเพื่อกอบโกยอากาศเข้าปอด
พระไตรปิฎกน้ำตกทรายของหลี่ว์เสี่ยวอวี๋จะใช้เพื่อฝังคนทั้งเป็นก่อนที่จะใช้พลังของผู้มีพลังธาตุดินเพื่อปิดผนึกชั้นดินด้านบนให้แน่นหนา ดังนั้นคนที่อยู่ด้านล่างจึงจะยังไม่ตายในช่วงเวลาสั้นๆ
ผู้บัญชาการทัพเฮยอวี่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่เขาเพิ่งสูดหายใจได้ไม่เท่าไร ก็ได้ยินเด็กสาวถามเสียงเย็นว่า “รู้ไหมว่าหลี่ว์ซู่อยู่ไหน”
ผู้บัญชาการทัพเฮยอวี่ไม่มีเวลาให้สนใจเศษดินเศษทรายที่ติดอยู่บนตัว เขารีบตอบไปทันทีว่า “ทัพเฮยอวี่เพิ่งจะมาถึงเมืองนี้และยังไม่ได้ฆ่าใครเลยสักคน ฉันไม่เคยได้ยินหรือได้เห็นคนที่เธอเพิ่งจะพูดถึงเลยจริงๆ นะ”
ทัพเฮยอวี่เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นกองทัพที่ทรงพลังและมีระเบียบวินัยที่สุดของตวนมู่หวงฉี่ พวกเขาไม่เคยกลัวความตายในสนามรบ
แต่คนที่เคยตายมาแล้วครั้งหนึ่ง อย่างไรก็ไม่สามารถรักษาท่าทีของตนเองไว้ได้เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนผู้หนึ่งที่ทรงพลังมากจนอาจจะเป็นผู้ฝึกฝนระดับหนึ่ง นอกจากนี้มันคงไม่เป็นไรถ้าจะทรยศจอมทัพสวรรค์ในตอนนี้ เพราะเด็กสาวก็แค่ถามคำถาม…
ในตอนนี้เองที่ผู้บัญชาการทัพเฮยอวี่อยากจะตบหน้าตัวเองสักฉาด เธอแค่ถามทางเพียงเท่านั้น ทำไมเขาต้องทำตัวลับๆ ล่อๆ ด้วย
นี่คือโลกที่ตั้งอยู่บนการมีพลัง ถ้าหลี่ว์เสี่ยวอวี๋เป็นเพียงเด็กสาวธรรมดา กองหน้าของทัพเฮยอวี่อาจจะสังหารเธอทิ้งในกรณีที่เธอแพร่งพรายความลับของพวกเขา
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ปิดปากเขาและดึงเอารูปของหลี่ว์ซู่ออกมาจากแหวนมิติของเธอ “เคยเห็นเขามาก่อนไหม”
ผู้บัญชาการทัพเฮยอวี่อ้าปากค้าง “เธอวาดรูปนี้เองเหรอ ฝีมือการวาดรูปของเธอสุดยอดมาก คนที่อยู่ในรูปก็หล่อมาก ผู้หญิงมากมายในพระราชวังจะต้องตกหลุมรักเขาแน่ๆ ใช่ไหมล่ะ”
“พระราชวังคืออะไร” หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ทำหน้าบึ้ง “แล้วก็ ช่วยแนะนำเมืองนี้หน่อยได้ไหม”
“พระราชวังคือเมืองหลวงของราชาแห่งทวยเทพ ส่วนเมืองหลวงอื่นๆ ของจอมทัพสวรรค์คนอื่นๆ จะเรียกว่าพระราชวังไม่ได้ เเต่จะมีชื่อเรียกเช่น เมืองหลวงตะวันออก เมืองหลวงตะวันตก เป็นต้น” ผู้บัญชาการทัพเฮยอวี่มองไปที่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋อย่างระมัดระวัง เขาต้องการดูว่าหลี่ว์เสี่ยวอวี๋มาจากเขตพระราชวังและนำทหารมาคุ้มกันตนเองหรือไม่
เขาคิดว่าหลี่ว์เสี่ยวอวี๋น่าจะมาจากพระราชวังเพราะที่นั่นเป็นสถานที่เดียวที่จะมีผู้มีพลังระดับหนึ่งที่อายุน้อยขนาดนี้!
มีเเต่ตระกูลใหญ่ๆ เท่านั้นที่จะสามารถอบรมเลี้ยงดูศิษย์ที่น่ากลัวเช่นนี้ได้
ถ้าหลี่ว์เสี่ยวอวี๋มากจากพระราชวังจริง เขาอาจจะพยายามสร้างความเชื่อมโยงกับเธอเช่น ‘ฉันรู้จักผู้ชายคนนี้ และในเมื่อเธอก็รู้จักเขา เพราะฉะนั้นได้โปรดไว้ชีวิตฉันด้วย’
แต่ตอนนี้ เด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าเขากลับดูไม่รู้แม้กระทั่งว่าพระราชวังคืออะไร!
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ถาม “เมืองหลวงที่อยู่ใกล้ที่สุดอยู่ที่ไหน”
“เมืองหลวงที่อยู่ใกล้ที่สุดคือเมืองหลวงตะวันตกซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของจอมทัพสวรรค์บูรพา ตวนมู่หวงฉี่ ต้องใช้เวลาประมาณสองเดือนเพื่อไปถึงที่นั่น แต่เส้นทางที่นั่นค่อนข้างซับซ้อน ให้ฉันนำทางดีไหมในฐานะที่ฉันคุ้นเคยกับที่นั่น!” ผู้บัญชาการกองทัพพูดอย่างกระตือรือร้น
แต่หลังจากเขาพูดจบ ผู้บัญชาการกองทัพก็ถูกแอนโทนีดึงลงไปใต้ดินอีกครั้ง ซึ่งหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็ไม่แม้แต่จะให้โอกาสเขาในการต่อต้าน
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ทำหน้าบึ้งในขณะที่มองไปทางทิศตะวันตก เธอคิดว่าหลี่ว์ซู่จะต้องเดินทางไปยังที่ๆ เจริญรุ่งเรืองที่สุดอย่างแน่นอน มันคงเป็นเรื่องง่ายที่จะหาทางกลับบ้านในที่ๆ มีคนพลุกพล่านที่สุด
ทัพเฮยอวี่มาจากทางตะวันตก เธออาจจะได้เผชิญหน้ากับทัพเฮยอวี่อีกในระหว่างมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก แต่เธอก็ไม่สนใจ
ในตอนนี้หลี่ว์ซู่กำลังหลบหนีไปทางเหนือกับจางเว่ยอวี่ ซึ่งจางเว่ยอวี่บอกว่าเขาเจอสถานที่ดีๆ สำหรับใช้ซ่อนตัวอยู่ในป่าทางทิศเหนือ มีถ้ำที่มีน้ำตกบังอยู่ด้านหน้าและต่อให้เป็นทัพเฮยอวี่ก็ไม่มีทางคิดว่าจะมีถ้ำอยู่หลังน้ำตก
ในสิบกว่าปีมานี้ เมืองประสบกับสงครามขนาดย่อม ในทุกๆ สามปี ถึงแม้ว่าที่นั่นอาจจะไม่ใช่สนามรบหลัก แต่ก็นับเป็นสถานที่อันตรายสำหรับคนธรรมดาทั่วๆ ไป
จางเว่ยอวี่จะซ่อนตัวอยู่ในถ้ำนี้เมื่อมีสงครามเกิดขึ้น เขามองไปที่หลี่ว์ซู่และพูดว่า “ฉันพานายมาที่นี่เพราะเชื่อใจนาย เมื่อสงครามเริ่มขึ้นก็จะมีคนอื่นๆ มาซ่อนตัวที่นี่อีก เพราะฉะนั้นได้โปรดอย่าเปิดเผยที่ตั้งของที่นี่ และทำเหมือนว่านายไม่เคยพบพวกเขามาก่อน”
แต่แทนที่หลี่ว์ซู่จะตอบ เขากลับดูสับสน!
เขาวิ่งตรงกลับไปที่เมือง!
จางเว่ยอวี่ตกใจ “เดี๋ยวก่อน อย่าบอกนะว่านายกำลังจะวิ่งกลับไปที่สนามรบ เดี๋ยวสิ!”
จางเว่ยอวี่รู้สึกพูดไม่ออกขณะมองหลี่ว์ซู่วิ่งตรงกลับไปที่เมือง เขาหยุดหลายครั้งในขณะที่มุ่งหน้ามาทางเหนือ
ในที่สุดจางเว่ยอวี่ก็กัดฟันและพูดว่า “ได้ ฉันต้องตอบแทนบุญคุณ!”
หลังจากนั้นจางเว่ยอวี่ก็วิ่งตรงกลับไปทางเมืองเช่นกัน
หลี่ว์ซู่สังเกตเห็นแต้มอารมณ์ในหน้าของหลี่ว์เสี่ยวอวี๋พุ่งขึ้นสูงถึงหนึ่งพันแต้ม นั่นอนุมานได้ว่า ประการแรกเธอน่าจะมาถึงที่โลกนี้แล้ว ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่ได้รับแต้มอารมณ์ของเธอ
ประการที่สอง หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ต้องทำการสังหารครั้งมหญ่ ไม่เช่นนั้นแต้มอารมณ์คงไม่พุ่งไปถึงหนึ่งพัน
ถ้าประตูดารามีตำแหน่งที่แน่นอน ถ้าอย่างนั้นตอนนี้หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็ควรอยู่ที่บ้านของจางเว่ยอวี่ นอกจากนี้ หลี่ว์เสี่ยวอวี๋จะไม่สังหารชาวบ้านธรรมดาแน่ นั่นหมายความว่าเธออาจจะได้เผชิญหน้ากับทัพเฮยอวี่!
ขณะที่หลี่ว์ซู่วิ่งไปทางทิศตะวันตกอย่างบ้าคลั่ง เขาก็เห็นพื้นดินที่สูงมาก สูงจนดูแปลกตา
หลี่ว์ซู่รู้ว่าหลี่ว์เสี่ยวอวี๋เป็นคนทำ แต่ตอนนี้เธอไปไหนแล้ว
ในตอนนี้จางเว่ยอวี่มาถึงและตำหนิหลี่ว์ซู่ “นายเป็นบ้าเหรอ!”
แต่แทนที่จะตอบ หลี่ว์ซู่กลับมองไปรอบๆ จางเว่ยอวี่ดึงตัวหลี่ว์ซู่และอยากจะรีบๆ หนีไปจากที่นี่ “สงครามครั้งใหญ่กำลังจะเริ่ม นายอย่าเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยง”
จางเว่ยอวี่รู้สึกสับสน ทัพเฮยอวี่หายไปไหนหมด
หรือพวกนั้นจะเข้าไปในเมืองแล้ว
แต่เขาไม่มีเวลาให้คิดมากนัก เขาแค่ต้องการพาหลี่ว์ซู่หนีไป แต่หลี่ว์ซู่กลับปฏิเสธและวิ่งตรงไปทางทิศตะวันตกกับจางเว่ยอวี่แทน จางเว่ยอวี่แทบจะทนไม่ไหวแล้ว “ที่นั่นเป็นที่ตั้งค่ายของทัพเฮยอวี่!”
แต่หลี่ว์ซู่ไม่สนใจ เขาตะโกนเสียงดัง “เสี่ยวอวี๋! เสี่ยวอวี๋! เธออยู่ไหน”
หลังจากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงที่ชัดเจน “ฉันอยู่นี่ ฉันอยู่ตรงนี้ ฉันมาเพื่อปกป้องเธอ”
เสียงนั้นฟังดูมีความสุขมาก
หลี่ว์ซู่เห็นด้วยกับจางเว่ยอวี่ “หลังจากที่พวกเราฆ่าหน่วยสอดแนม พวกนั้นอาจจะเร่งการจู่โจม ถึงแม้พวกนั้นอาจจะไม่ได้ตั้งใจที่จะโจมตีในทันที แต่ก็คงอยู่เฉยไม่ได้อีกต่อไป”
อวี่เตี๋ยมองไปที่หลี่ว์ซู่และจางเว่ยอวี่อย่างตกใจ แม้แต่เหล่าทาสที่อยู่ด้านหลังเธอก็ตกใจเช่นกัน สองคนนี้กำลังโม้หรือเปล่า หน่วยสอดแนมของทัพเฮยอวี่ถือเป็นหน่วยทหารที่เก่งกาจที่สุด มียอดฝีมือระดับสี่เป็นหัวหน้า ในขณะที่คนอื่นๆ ที่เหลือก็ล้วนแต่อยู่ระดับห้า แต่สองคนนี้กลับบอกว่าสามารถสังหารกลุ่มคนเช่นนี้ได้อย่างนั้นหรือ
หนึ่งในสองคนนี้เป็นแค่เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา ส่วนอีกคนก็เป็นแค่ชาวนาธรรมดา แล้วพวกเขาจะสามารถสังหารหน่วยสอดแนมของทัพเฮยอวี่ได้อย่างไร
จางเว่ยอวี่กระแอมไอ “คือมันเป็นอย่างนี้…ตั้งแต่เริ่มจนจบ ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย ถ้าทัพเฮยอวี่ถามอะไรฉัน ฉันก็จะบอกว่าตัวเองเป็นผู้บริสุทธิ์ ฉันเป็นแค่ชาวนาธรรมดาๆ เท่านั้น…”
หลี่ว์ซู่สีหน้ามืดครึ้ม นี่เขากำลังโยนความผิดใช่หรือไม่ เขาหัวเราะเสียงเย็น “คุณคิดว่าพวกนั้นจะเชื่อคำอธิบายนี้จริงๆ เหรอ ทหารสองคนที่หนีไปได้จะต้องจำรูปร่างหน้าตาของคุณได้แน่ คุณลืมสิ่งที่พูดกับพวกนั้นไปแล้วเหรอ ‘ตอนนี้ถึงตาฉันแล้ว’ อย่าแม้แต่จะคิดถึงที่ดินของคุณ ถ้าทัพเฮยอวี่ได้ครอบครองพื้นที่แห่งนี้ พวกเขาก็จะออกค้นหาคุณไปทั่วทุกพื้นที่”
[ได้แต้มจากจางเว่ยอวี่ +666!]
อวี่เตี๋ยมองหลี่ว์ซู่อย่างเงียบๆ เธอเชื่อว่าไม่ว่าพวกเขาจะพูดอะไร สิ่งเหล่านั้นก็ล้วนเป็นเรื่องจริง ดังนั้น…ก็เท่ากับว่าหลี่ว์ซู่สังหารหน่วยสอดแนมที่เก่งกาจสามคนของทัพเฮยอวี่ด้วยตัวเองอย่างนั้นหรือ
นี่แปลกมาก เธอคิดมาตลอดว่าหลี่ว์ซู่เป็นเพียงคนธรรมดา เขาดูทั้งผอมและอ่อนแอ
หลี่ว์ซู่ยังรู้อีกว่าผู้คนในโลกนี้ดูเหมือนจะชอบผู้ชายหุ่นกำยำที่ดูแข็งแรง
แต่เขาแตกต่าง เขาใช้แสงดวงของเขามาตั้งแต่ต้น พลังของเขาไม่ได้ขึ้นอยู่กับความผอมหรือความกำยำล่ำสัน
นอกจากนี้ การฝึกท่วงท่าวิชากระบี่จะทำให้กล้ามเนื้อของผู้ฝึกเจริญเติบโตขึ้นในอัตราส่วนที่เหมาะสม หอเกียรติกระบี่มุ่งเน้นไปที่เรื่องความสง่างามและความเป็นอิสระ ผู้ที่ฝึกฝนท่วงท่าวิชากระบี่ก็เหมือนกับศิลปิน พวกเขามุ่งเน้นไปที่ความสวยงาม…
“พวกนายสองคน ตามตระกูลอวี่ไปสู้กับศัตรูเถอะ เราจะไม่ถูกทัพเฮยอวี่รังแกหรือทำให้ขายหน้าได้ง่ายๆ หรอก…พวกนายทั้งสองคน!” ก่อนที่อวี่เตี๋ยจะพูดจบ เธอก็เห็นหลี่ว์ซู่และจางเว่ยอวี่วิ่งตรงไปทางเหนือ ในเวลาอันรวดเร็ว พวกเขาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย…
[ได้แต้มจากอวี่เตี๋ย +199!]
หากจะพูดตามตรง หลี่วซู่ไม่ได้อยากจะเข้าร่วมสงครามรั้งนี้ จากที่จางเว่ยอวี่บอก น่าจะมีคนประมาณหนึ่งพันสองร้อยคนในทหารกองหน้า ซึ่งพวกเขาคงถูกจัดระเบียบมาอย่างดีและประกอบด้วยทหารที่มีความคล่องตัวสูง พวกเขามีความสามารถทั้งในการต่อสู้และการวิ่ง
ในทางกลับกัน ในทุ่งและในเมืองรวมทั้งเหล่าทาสของพวกชนชั้นสูงเก่าแก่มีคนรวมกันน้อยกว่าสองพันคน
ดูเหมือนว่าทุ่งและเมืองมีกำลังคนมากกว่า นอกจากนี้เหล่าชนชั้นสูงก็เป็นถึงยอดฝีมือระดับสาม แต่ปัญหาก็คือกำลังคนในทุ่งเปรียบเสมือนกองกำลังอาสาสมัครเมื่อเปรียบเทียบกับกองทัพ พวกเขาไม่เคยได้รับการฝึกใดๆ และไม่รู้ว่าจะต่อสู้ร่วมกันได้อย่างไร
หลี่ว์ซู่เคยเห็นพวกทาสในเมือง โดยเฉพาะพวกที่อยู่ในปกครองของตระกูลอวี่ พวกเขาดูโหดเ**้ยม แต่สำหรับยอดฝีมือแล้ว พวกเขาก็แค่ดูโหดเ**้ยม
อีกทั้งเขายังเคยสู้กับทัพเฮยอวี่ ความร่วมมือกันของพวกนั้นยังทำให้เขารู้สึกกดดันถึงแม้ว่าเขาจะมีพลังกระบี่อยู่ในมือก็ตาม
สำหรับหลี่ว์ซู่ ช่องว่างนี้เป็นเหมือนความแตกต่างระหว่างระลอกทองแดงและเหล่าผู้บำเพ็ญลับ ดังนั้นหลี่ว์ซู่จึงไม่คิดว่าชาวทุ่งและชาวเมืองจะเป็นฝ่ายชนะ
ทัพเฮยอวี่เตรียมตัวมาเพื่อสงคราม พวกเขายังคงไม่เคลื่อนไหว แต่พวกเขามาเพื่อรวบรวมข่าวสาร หลี่ว์ซู่ไม่เชื่อว่าพวกทหารระดับสูงของทัพเฮยอวี่จะไม่เข้าใจว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นในทุ่ง พวกเขามาที่นี่และไม่ได้คิดว่าตนจะต้องพ่ายแพ้!
อวี่เตี๋ยมองขณะที่หลี่ว์ซู่และจางเว่ยอวี่เดินไกลออกไปเรื่อยๆ ในทางกลับกัน เสียงของทัพเฮยอวี่ก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
แสงไฟในเมืองถูกจุดขึ้นอีกครั้ง ทาสหลายคนรวมทั้งทาสที่ได้รับหน้าที่เฝ้าร้านให้ตระกูลอวี่ต่างพากันหลบหนีอย่างวุ่นวาย
เมืองทั้งเมืองวุ่นวายเสียงดัง ทุกคนรู้ว่ากองทัพของตวนมู่หวงฉี่กำลังใกล้เข้ามาและพวกเขาต้องรีบหนี
ในตอนนั้นเอง อวี่เตี๋ยแค่นเสียงอย่างเย็นชา เหล่าทาสที่มีตราประทับรูปกระบี่อยู่ที่หลังมือตะโกนอย่างเจ็บปวด ราวกับว่าตราประทับเหล่านั้นกำลังลุกไหม้
อวี่เตี๋ยพูดอย่างเย็นชา “คนที่คิดหนี ก็คิดถึงผลที่จะตามมาด้วย”
นายทาสไม่สามารถสังหารทาสในปกครองได้ แต่พวกเขาสามารถทำให้ทาสเหล่านั้นเจ็บปวดได้ นี่เป็นสิ่งที่ควบคุมด้วยวิธีการของพวกเขา หากทาสทรยศเจ้านาย พวกเขาจะได้ลิ้มรสความเจ็บปวดถึงขีดสุด
มีทาสจำนวนเล็กน้อยเท่านั้นที่ทนความเจ็บปวดนี้ได้ แต่หากพวกเขาทนได้ ตราประทับนั้นก็จะหายไป
ความเจ็บปวดจะเพิ่มขึ้นในระดับที่แตกต่างกัน ตั้งแต่ที่มีภาษาเขียนเกิดขึ้น ก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ทนความเจ็บปวดได้
อวี่เตี๋ยถอยกลับ สิ่งนี้ได้รับการตัดสินใจโดยผู้พิทักษ์ของเมืองและเหล่านายทาส ถ้าทัพเฮยอวี่แทรกซึมเข้าไปในเมือง พวกเขาจะใช้การต่อสู้บนถนนเพื่อทำให้การเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้ามช้าลง จากนั้นพวกเขาก็จะเข้าล้อมศัตรูและสังหารฝ่ายนั้นในเมือง
มีทาสประมาณสองพันคนที่สามารถต่อสู้ได้ พลังโดยเฉลี่ยของพวกเขาอยู่ที่ประมาณระดับห้าถึงหก มีเพียงนายทาสและผู้ช่วยที่ไว้ใจได้เท่านั้นที่เป็นผู้ฝึกฝนระดับสี่ ตัวอวี่เตี๋ยเองก็อยู่ระดับสี่
ทาสที่เป็นผู้คุ้มกันเมืองค่อนข้างจะแข็งแกร่งกว่า พวกเขามีคนที่อยู่ระดับสี่มากกว่าสิบคน
หลี่ว์ซู่ได้ตระหนักว่าข้อได้เปรียบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกใบนี้ก็คือ ถึงแม้ว่าประชากรจะแข็งแกร่งขึ้น แต่พลังโดยรวมของพวกเขาก็สูงขึ้นเช่นกัน
จอมทัพสวรรค์สี่คนเป็นยอดฝีมือเสินฉังจิ้ง กล่าวกันว่าทาสบางคนในปกครองของพวกเขาและราชาแห่งทวยเทพองค์เก่าก็สามารถไปถึงขั้นเสินฉังจิ้งได้เช่นกัน ในทางตรงกันข้าม กลับมีผู้มีพลังระดับ A เพียงไม่กี่คนเท่านั้นในโลกมนุษย์ และผู้ที่สามารถไปถึงขั้นเสินฉังจิ้งก็มีเพียงเนี่ยถิงคนเดียวเท่านั้น แต่ในเมืองเล็กๆ แห่งนี้กลับมีทาสมากกว่าสองพันคนที่ได้รับการฝึกฝน ดังนั้นไม่ต้องคิดเลยว่าในเมืองใหญ่ๆ จะมีคนที่ได้รับการฝึกฝนมากขนาดไหน
แต่อวี่เตี๋ยกลับชัดเจนว่าผู้คุ้มกันเมืองไม่ได้รวบรวมกำลังคนเพื่อมาต่อต้านทัพเฮยอวี่ พวกเขาได้ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือไปแล้ว พวกเขาแค่ต้องป้องกันตนเองจากกองหน้าของทัพเฮยอวี่ พวกเขาไม่จำเป็นต้องสู้จนตัวตาย
ตวนมู่หวงฉี่มีกองทัพก็จริง แต่เหวินไจ้โฝ่วเองก็มีเช่นกัน
ในตอนนั้นราวกับว่าเสียงควบม้าได้หยุดลงห่างจากตัวเมืองเพียงไม่กี่กิโลเมตร อวี่เตี๋ยรู้สึกงงงวย หรือทัพเฮยอวี่จะเปลี่ยนแผน หรือพวกเขาล้มเลิกแผนที่จะบุกเมืองแล้ว
ในวินาทีต่อมา เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นราวกับว่าโลกกำลังพังทลาย พื้นดินสั่นสะเทือนและทุกคนในเมืองต่างก็อยู่ในอาการตกใจ ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
พูดตามตรง กองทัพเสื้อขนดำก็ไม่รู้เช่นกันว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อสองนาทีก่อนหน้านี้ พวกเขากำลังมุ่งหน้าตรงไปยังตัวเมืองด้วยความเร็วเต็มที่ แต่ทันใดนั้นเด็กสาวคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นขวางทางพวกเขาพร้อมกับถามว่าพวกเขารู้ไหมว่าหลี่ว์ซู่อยู่ที่ไหน
ผู้บัญชาการกองทัพตะโกนใส่เธอ “สาวน้อย ฉันไม่รู้หรอกนะว่าหลี่ว์ซู่คือใคร บางทีเขาอาจจะตายไปแล้วก็ได้ พวกเราไม่ถามชื่อตอนจะฆ่าคนหรอกนะ”
จากนั้น…พื้นที่กองหน้าของทัพเฮยอวี่ยืนอยู่ก็เริ่มยุบลงไป และทันใดนั้นลำแสงสีเงินก็โอบล้อมรอบตัวพวกเขาทุกคน ราวกับว่าพวกเขากำลังถูกมัด…
นี่เป็นครั้งแรกที่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ต่อสู้ในโลกใบใหม่นี้ เธอรู้สึกว่าเธอจำเป็นต้องแสดงพลังให้คนอื่นได้ประจักษ์ตั้งแต่ในครั้งแรกของการต่อสู้ เธออนุญาตให้หัวหน้าบาทหลวงเข้าควบคุมทุ่ง ส่วนตัวเธอก็ใช้พระไตรปิฎกน้ำตกทรายได้อย่างสมบูรณ์แบบ เท่านี้ก็ไม่มีใครหนีรอดไปได้…
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋งงงวยเล็กน้อย คนในโลกนี้ไม่รู้ขีดจำกัดในการพูดของตนเองเหรอ…ช่างน่ารังเกียจเสียจริง!
จางเว่ยอวี่นั่งยองๆ บนพื้น เขาใช้พลังไปกับการวิ่งมากเกินไป โชคดีที่ช่วงหลายวันมานี้เขาได้กินแต่อาหารดีๆ เพราะถ้าไม่อย่างนั้นเขาอาจจะไม่มีแม้แต่แรงให้วิ่ง
หลี่ว์ซู่มองจางเว่ยอวี่ “คุณไม่ใช่ชาวนาธรรมดาใช่ไหม”
จางเว่ยอวี่หัวเราะ “นายเองก็ไม่ใช่ทาสธรรมดาเหมือนกัน”
สีหน้าของหลี่ว์ซู่มืดครึ้มลง ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าจางเว่ยอวี่มักจะพูดจาดุๆ กับคนอื่นเสมอ…
“พวกเราจะทำยังไงต่อ” หลี่ว์ซู่มองจางเว่ยอวี่ “ทัพเฮยอวี่จะอยู่ที่นี่ อีกนานแค่ไหนกว่ากองกำลังที่เหลือจะมาถึง”
“ในสถานการณ์ปกติ พวกเขาจะทิ้งระยะห่างระหว่างหน่วยสอดแนมและกองหน้าของกองกำลังหลักประมาณสิบห้ากิโลเมตร แต่โดยปกติแล้วทัพเฮยอวี่จะไม่ฆ่าคนถ้าไม่มีกองทัพอยู่ข้างหลังและต้องการจับคนเพื่อไปสอบถามสถานการณ์ในพื้นที่!” จางเว่ยอวี่วิเคราะห์ “พวกเราต้องรีบวิ่งแล้วตอนนี้ แต่กองหน้าจะมีคนไม่มากสักเท่าไร และตามยุทธวิธีของพวกเขาแล้ว ทุ่งเองก็ไม่ได้มีความสำคัญสักเท่าไหร่เช่นกัน มาเร็ว เห็นแก่ที่นายช่วยชีวิตฉัน ตามฉันมาแล้วนายจะหนีพ้นสงครามนี้!”
หลี่ว์ซู่รู้สึกมึนงง หลังจางเว่ยอวี่พูดจบเขาก็เดินตรงไปทางป่าทางทิศใต้ เขาถามอย่างอยากรู้อยากเห็นว่า “เดี๋ยวก่อน ไม่ใช่ว่าเราควรบอกคนอื่นๆ ในเมืองว่ามีกองทัพอยู่ที่นี่ก่อนเหรอ”
จางเว่ยอวี่ส่ายหัว “มีสงครามไหนบ้างที่ไม่มีความสูญเสีย นอกจากนี้ถ้าจะมีคนในเมืองต้องตาย ก็ปล่อยให้พวกเขาตายไป นี่ก็เป็นแค่เกมการไล่ล่าระหว่างพวกจอมทัพสวรรค์ ใครจะมาสนใจพวกคนที่อยู่ข้างล่างล่ะ สำหรับพวกนั้นแล้ว เราก็เป็นได้แค่มดตัวเล็กๆ”
“คุณไม่รู้สึกอะไรกับที่นี่เลยเหรอ” “จะเกิดอะไรขึ้นกับพืชผลของคุณถ้าพวกนั้นมาที่นี่” หลี่ว์ซู่ไม่เข้าใจเขาเลย
“พืชผลของฉันยังโตไม่เต็มที่เลย พวกนั้นจะปล่อยพวกมันไว้อย่างที่มันเป็นอยู่ พวกนั้นอยากจะยึดครองพื้นที่ตรงนี้มานานแล้ว และเมื่อพวกเขาทำได้ พวกเขาก็จะต้องการชาวนาและทาสทั้งหลายเพื่อมาปลูกพืชผล ใช่ไหมล่ะ สงครามไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเรา ตราบเท่าที่เราหนีทันและค่อยกลับมาอีกครั้งตอนที่พวกเขายึดครองพื้นที่ได้สำเร็จ เราก็จะสามารถปลูกพืชผลได้เหมือนที่ผ่านมา” จางเว่ยอวี่พูดอย่างไม่ใส่ใจ
หลี่ว์ซู่เข้าใจ เป้าหมายของสงครามครั้งนี้ก็เพื่อสังหารเหล่านายทาสและชนชั้นสูง และเพื่อขยายเขตแดน ในทางกลับกัน ชาวนาและทาสคนธรรมดาไม่มีอันตรายอะไร พื้นที่ยังคงมีความสำคัญมากกว่าอยู่ดี
นี่เป็นเหมือนการเปลี่ยนผู้นำในสถานที่ทำงาน เพราะไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ยังต้องการคนมาทำงานอยู่ดี ดังนั้นพวกเขาจึงจะไม่สังหารทุกคน
นี่ไม่ใช่ความเกลียดชังระหว่างสองชาติพันธุ์ที่พวกเขาจะไม่ยอมหยุดจนกว่าจะสังหารหมดทุกคน แม้แต่ชาวนาและทาสคนธรรมดาก็เคยชินกับเรื่องเหล่านี้เสียแล้ว
จากที่จางเว่ยอวี่เคยเล่า สงครามครั้งก่อนกินเวลายาวนานกว่าสิบปี และคนที่ไร้ความสำคัญทั้งหมดที่รอดชีวิตมาไม่มากก็น้อยมีความรู้ในการเอาชีวิตรอด
“ไม่” หลี่ว์ซู่ส่ายหัว “การไปบอกทุกคนไม่ใช่เรื่องยากอะไร ผมรู้สึกว่าอย่างน้อยเราก็ควรบอกตระกูลอวี่”
เขาพยายามเลี่ยงการพูดถึงอวี่เตี๋ยอย่างรอบคอบ เขาถึงขั้นทำเป็นไม่เข้าใจสิ่งที่จางเว่ยอวี่พยายามจะสื่อ แต่ตั้งแต่ที่เขามาที่นี่ เขาก็พึ่งพาอาหารที่เธอคอยส่งมาให้จนเขาสามารถฝึกฝนได้โดยไร้กังวล
เขาควรไปบอกเธอว่ามีอันตราย นั่นไม่ได้ทำให้เขาเสียหายอะไรอยู่แล้ว
เมื่อจางเว่ยอวี่เห็นว่าหลี่ว์ซู่เต็มไปด้วยความยุติธรรม เขาจึงพูดว่า “งั้นก็ไปสิ แต่ฉันไปก่อนนะ”
จางเว่ยอวี่หันหน้าเตรียมจากไป แต่…เขาก็ไม่ได้ขยับ…
“ไปให้พ้น…” จางเว่ยอวี่พูดไม่ออก
“คุณกำลังจะไปไหน” หลี่ว์ซู่หัวเราะอย่างโหวงๆ “มากับผมเถอะ ผมรู้ว่าคุณมีที่ซ่อนตัวจากสงครามแน่ๆ ล่ะ หลังจากพวกเราบอกพวกเขาแล้ว ค่อยพาผมไปที่นั่นสิ”
หลี่ว์ซู่จะไม่ยอมปล่อยเขาไป จางเว่ยอวี่เป็นคนปากร้าย แต่เขาไม่ใช่คนเลวร้าย หลี่ว์ซู่ต้องการเขา ถ้าเขามีที่ให้ซ่อนตัวจริงๆ หลี่ว์ซู่ก็จะสามารถไปซ่อนตัวที่นั่นและฝึกท่วงท่าวิชากระบี่ได้
และเมื่อถึงตอนที่สงครามสิ้นสุด ความสามารถของเขาอาจก้าวหน้าไปไกลแล้ว
หลี่ว์ซู่ไม่เต็มใจเข้าร่วมในการต่อสู้ครั้งนี้ เขาเป็นแค่แขกผู้มาเยือน ดังนั้นไม่ว่าจะมีคนตายมากเท่าไรก็ไม่เกี่ยวกับเขา จึงเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วที่เขาจะไปซ่อนตัวอยู่กับจางเว่ยอวี่หลังจากแจ้งข่าวอวี่เตี๋ย เขาปล่อยจางเว่ยอวี่ไปไม่ได้จริงๆ
ตอนนี้จางเว่ยอวี่ไม่มีแม้แต่แรงอย่างคนธรรมดา เขาอยู่ห่างไปทางด้านหลังหลี่ว์ซู่แค่ไม่กี่ร้อยเมตร และดูราวกับว่าไม่มีอะไรเหลือให้เขาต้องมีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งนั้นอีกแล้ว ถ้าทัพเฮยอวี่อยู่ทางด้านหลัง ทางเส้นนี้ก็เป็นเหมือนลูกศรชี้ทาง…
ต่อมาเมื่อจางเว่ยอวี่รู้ว่าเขาไม่สามารถวิ่งหนีได้อีกต่อไปแล้ว เขาจึงยอมแพ้ เขาเดินตามหลังหลี่ว์ซู่เข้าไปในเมืองและหอบไปด้วย “มันก็แค่อาหารนิดหน่อย อย่าบอกนะว่านายตกหลุมรักเธอน่ะ อย่าเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้นในนิยายเลย มันก็แค่เรื่องหลอกเด็ก ถึงแม้ท่วงท่าวิชากระบี่ของนายอาจจะไม่ได้แย่ แต่นายเคยคิดถึงอนาคตของตัวเองบ้างไหม ชาวนาเป็นได้แค่ทาสของพวกชนชั้นสูง ถึงนายจะเก่งกาจ แต่ก็ยังคงเป็นได้แค่ทาสของจอมทัพสวรรค์ทักษิณ เหวินไจ้โฝ่ว ชนชั้นทางสังคมของนายกับเธอแตกต่างกัน เธอคงไม่ยอมแต่งงานกับทาสแน่ๆ”
หลี่ว์ซู่ถามอย่างอยากรู้อยากเห็น “ผมไม่ได้รู้สึกอะไรกับเธอเลย แต่คุณบอกเองไม่ใช่เหรอว่าถ้าเราพัฒนาวิธีการของตนเอง เราก็จะโดดเด่น”
“นั่นคือตอนที่ราชาแห่งทวยเทพองค์เก่ายังมีชีวิตอยู่ แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรแบบนั้นอีกแล้ว เหล่านายทาสและชนชั้นสูงยังคงต่อสู้เพื่อแย่งชิงดินแดนกันอยู่ แล้วพวกเขาจะมีเวลามาสนใจนายเหรอ นอกจากนี้นายจะต้องฝึกอีกนานเเค่ไหน สิบปี หรือยี่สิบปี หรือนานกว่านั้น ที่นี่มีตัวแปรมากเกินไป” จางเว่ยอวี่เยาะเย้ยเขา “ถ้าทัพเฮยอวี่มาที่นี่ เมืองทั้งเมืองก็จบเห่ นายจะไม่มีแม้แต่เวลาให้คิดหนีด้วยซ้ำ”
หลี่ว์ซู่ชี้มีดผู่เตาไปที่จางเว่ยอวี่อย่างไร้อารมณ์ “ไร้สาระ! คุณพูดอะไร รีบไปและพูดว่า bah”
“… bah”
[ได้แต้มจากจางเว่ยอวี่ +666!]
หมอนี่มันอะไรกัน!
จางเว่ยอวี่พูดด้วยเสียงอันเบา “ถึงแม้ท่วงท่าวิชากระบี่ของนายจะดี แต่นายสามารถฆ่าคนนับพันด้วยกระบี่เดียวได้ไหมล่ะ”
หลี่ว์ซู่ชำเลืองมองเขา จางเว่ยอวี่อาจจะไม่เชื่อ แต่หลี่ว์ซู่เคยทำแบบนั้นมาก่อน…
ทันใดนั้นหลี่ว์ซู่ก็ได้ยินเสียงควบม้า ตระกูลอวี่กำลังจะจากไปโดยมีอวี่เตี๋ยเป็นผู้นำ
เมื่ออวี่เตี๋ยเห็นหลี่ซู่ เธอก็ตกตะลึง เธอดูเหมือนจะประหลาดใจแต่ก็ยินดี “ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่ หรือนายมาหาฉันเหรอ”
หลี่ว์ซู่เองก็รู้สึกมึนงงเช่นกัน “คุณกำลังจะไปไหน”
“ฉันได้รับคำสั่งจากพวกผู้คุมให้ออกลาดตระเวนชายแดน” อวี่เตี๋ยพูด
ผู้คุมคือชนชั้นสูงในทุ่งที่เป็นผู้บำเพ็ญระดับสาม
“อย่าไป” หลี่ว์ซู่พูด แต่เขาไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร เขามองจางเว่ยอวี่ “ลุงช่วยอธิบายหน่อยสิ”
จางเว่ยอวี่ยิ้ม เขารู้ว่าชายหนุ่มคนนี้มีความสามารถในการพูดนอกบท เขาเทียบไม่ติดเลย เมื่อผ่านความยากลำบากไปได้แล้ว เราจะได้รับประสบการณ์และสติปัญญา…
[ได้แต้มจากจางเว่ยอวี่ +481!]
ในตอนนั้นเอง จางเว่ยอวี่ได้ยินเสียงควบม้าดังมาจากที่ไกลๆ และยังมีเสียงรัวกลองรบ เขาถึงขั้นเห็นภาพธงสีดำของทัพเฮยอวี่โบกสะบัดอยู่ในสายลม
“ไม่นะ พวกทหารเปิดเผยที่อยู่ของพวกเรา ทัพเฮยอวี่คงพยายามเลี่ยงการถ่วงเวลาและตัดสินใจโจมตี พวกเขาอยากจะคว้าโอกาสในขณะที่ทั้งเมืองไม่ได้เตรียมพร้อมเพื่อคว้าชัยชนะให้ได้อย่างรวดเร็วและเด็ดขาด” จางเว่ยอวี่พูดอย่างตกใจ
จางเว่ยอวี่ไม่คิดว่าหลี่ว์ซู่จะซ่อนตัวและฆ่าคน ทุ่งนี้กว้างมาก ถ้าหลี่ว์ซู่ใช้โอกาสในขณะที่จางเว่ยอวี่กำลังถูกฆ่าเพื่อหลบหนี เขาก็อาจจะมีชีวิตรอด
นอกจากนี้ เขายังไม่คิดว่าหลี่ว์ซู่จะสามารถฆ่าคนได้!
สิ่งที่หลี่ว์ซู่ถืออยู่คืออะไรน่ะเหรอ เขากำลังถือกิ่งไม่อยู่!
หากยอดฝีมือฆ่าใครสักคนด้วยกิ่งไม้ นั่นก็ยังเป็นไปได้ มีคำกล่าวว่าจอมทัพสวรรค์อุดรไม่ได้ใช้อาวุธเพื่อสังหารทาส เขาจะใช้อะไรก็ตามที่มีอยู่ที่นั่น แต่เขาคือยอดฝีมือระดับหนึ่ง!
เมื่อข่าวนี้แพร่กระจายออกไป ทุกคนก็รู้สึกทึ่งมาก!
แต่หลี่ว์ซู่ล่ะ เขาเป็นแค่ผู้บำเพ็ญตัวเล็กๆ ที่ไม่แม้แต่จะไปถึงระดับห้า แต่เขากลับสามารถใช้กิ่งไม้ฆ่าคนได้! นี่มันน่าน่างงงวยเกินไป เกินไปจนจางเว่ยอวี่แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง!
กิ่งไม้ฟันผ่านช่องว่างในเสื้อเกราะหนัง จากนั้นเขาก็แทงเข้าที่คางของทหารและตรงขึ้นไปเพื่อสังหาร
กิ่งไม้เป็นเหมือนกระบี่ ถึงแม้ว่าชายหนุ่มจะไม่ได้มีพลังมาก แต่ก็ดูเหมือนว่าท่วงท่าวิชากระบี่ของเขากลับยอดเยี่ยมที่สุด
นี่เป็นเรื่องที่แปลกมาก เหมือนเด็กอายุสามขวบที่มีความรู้เทียบเท่านักวิชาการ
ไม่ใช่เเค่จางเว่ยอวี่ที่ประหลาดใจ หน่วยสอดแนมที่เหลือก็มองดูอย่างเงียบๆ เช่นกัน จากนั้นพวกเขาก็ล้อมทั้งสองคนอย่างรวดเร็วเพื่อเริ่มลงมือสังหาร!
พวกเขาถือมีดผู่เตาไว้ด้วยมุมที่ดีที่สุดสำหรับการโจมตี มันช่างสมบูรณ์แบบ
มีดผู่เตาฟันผ่านพืชผลท่ามกลางแสงจันทร์ ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้ใช้พลังมากมาย แต่พืชเหล่านั้นก็ถูกฟันขาดเป็นแนวทแยงได้อย่างง่ายดาย
พวกเขาเป็นกลุ่มทหารที่มีฝีมือดีที่สุด ระยะห่างระหว่างพวกเขาทั้งสี่คนช่างพอดิบพอดี เมื่อพวกเขาพุ่งเข้าใส่หลี่ว์ซู่ ก็เป็นเหมือนตาข่ายที่ขยับเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ
แต่ชายหนุ่มยังคงสงบนิ่ง เขาหยิบมีดผู่เตามาจากตัวศพและโยนไปทางจางเว่ยอวี่ต่อหน้าทุกคน เขาพูดว่า “ผมเอาชนะพวกเขาไม่ได้ คุณทำสิ”
ทหารทั้งสี่นายหันไปมองจางเว่ยอวี่อย่างพร้อมเพรียงกัน และชี้มีดไปทางเขา!
จางเว่ยอวี่ตกใจ “…อะไรกันวะเนี่ย!”
[ได้แต้มจากจางเว่ยอวี่ +999!]
แต่ในขณะนั้นเอง หลี่ว์ซู่ใช้โอกาสที่ทหารทั้งสี่นายกำลังมองจางเว่ยอวี่เพื่อดึงเอากิ่งไม้อีกอันออกมาจากเอวของเขา เขาพุ่งเข้าใส่ทหารที่อยู่ใกล้ที่สุดราวกับนักล่า “โจมตี!”
พลังของทหารทั้งสี่ถูกทำให้กระจัดกระจาย พวกเขาไม่รู้แน่ชัดว่าจางเว่ยอวี่แข็งแกร่งเพียงใด และต้องสู้เพื่อประเมินพลังการต่อสู้ของเขา
ทหารสองนายเผชิญหน้ากับจางเว่ยอวี่ ในขณะที่อีกสองนายที่เหลือเผชิญหน้ากับหลี่ว์ซู่ ตอนนี้หลี่ว์ซู่อยู่ตรงหน้าทหารทั้งสองนายแล้ว เขาเห็นแม้กระทั่งรอยเย็บบนเสื้อเกราะหนัง
ทหารทั้งสองนายก้าวไปข้างหน้าเล็กน้อย พื้นดินยุบลงไปในขณะที่พวกเขาก้าว จากนั้นมีดผู่เตาอันหนึ่งเล็งไปที่หัวของหลี่ว์ซู่ ในขณะที่อีกอัน เล็งไปที่หลี่ว์ซู่จากอีกมุมหนึ่ง พวกเขาวางกับดักหลี่ว์ซู่และป้องกันไม่ให้เขาเคลื่อนที่ไปรอบๆ
กล้ามเนื้อทุกมัดในร่างกายหลี่ว์ซู่เกร็งขึ้นอย่างกะทันหัน ราวกับว่ากำลังสร้างรูปสลักไม่ใช่ร่างกายมนุษย์
เมื่อมีดทั้งสองพุ่งเข้าโจมตี หลี่ว์ซู่ยังคนยืนนิ่ง แต่ทันใดนั้นเขาก็หมอบลง จากนั้นในขณะที่ใบมีดทั้สองพุ่งผ่านไป ก็ราวกับว่าความจริงได้ถูกท้าทายอีกครั้ง
เขาโจมตีกลับด้วยกิ่งไม้ ไม่รู้ทำไม แต่จางเว่ยอวี่รู้สึกว่ากิ่งไม้นั่นเป็นเหมือนกระบี่ การเคลื่อนไหวของมันสอดคล้องกับวิถีแห่งเต๋า
นี่คือท่วงท่าวิชากระบี่! จางเว่ยอวี่ตกตะลึง หลี่ว์ซู่ได้แสดงวิถีแห่งเต๋า!
ตราบเท่าที่ผู้บำเพ็ญทั่วๆ ไปมีวิธีการ ความถนัด และทรัพยากร การฝึกบำเพ็ญก็จะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และยิ่งพวกเขามีความถนัดมากเท่าใด อัตราของการฝึกบำเพ็ญก็ยิ่งสูงขึ้นมากเท่านั้น
แต่วิถีแห่งเต๋าอยู่ในอีกระดับหนึ่ง นี่เป็นสัญญาณว่าคนคนหนึ่งได้เรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ และคนคนนั้นจะมีความหวังว่าจะไปถึงระดับหนึ่งได้ถ้าพวกเขาได้เข้าสู่วิถีแห่งเต๋า!
นี่ก็เป็นเช่นเดียวกับบนโลกมนุษย์ ย้อนกลับไปในอดีต เฉินไป่หลี่ต้องการรับหลี่ว์เสี่ยวอวี๋เป็นศิษย์อย่างมาก เพราะเขาได้เห็นความสำคัญของความถนัดของหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ ยิ่งคนมีความถนัดมากเท่าใด ก็ยิ่งเป็นเรื่องง่ายสำหรับพวกเขาในการผสานร่างกับกระบี่ คนบางคนหยุดอยู่แค่ระดับ B หรือระดับสองก็ด้วยเหตุผลนี้
ภายใต้แสงจันทร์ กิ่งไม้ในมือของชายหนุ่มเป็นเหมือนดักแด้ที่ค่อยๆ แตกออก ราวกับว่ามันไม่สามารถทนรับพลังที่รุนแรงได้อีกต่อไป จากนั้นกิ่งไม้ก็หักเป็นเสี่ยงๆ
กิ่งไม้สลายกลายเป็นฝุ่น แต่พลังของกระบี่ยังคงพร่างพราวใต้แสงจันทร์ ราวกับผีเสื้อที่เพิ่งออกมาจากดักแด้!
จางเว่ยอวี่ตกตะลึง “นี่เป็นครั้งแรกของฉันที่ได้เห็นพลังของกระบี่ระเบิดออกมาจากกิ่งไม้ด้วยฝีมือของผู้บำเพ็ญระดับหก!”
น่ากลัวอะไรขนาดนี้! ผู้บำเพ็ญระดับหกสร้างพลังกระบี่จากกิ่งไม้!
พลังกระบี่ฟันเข้าที่คอของทหารทั้งสองได้อย่างง่ายดาย เลือดเริ่มไหลทะลักออกมาจากเส้นเลือดแดงใหญ่ของพวกเขา จากนั้นทหารทั้สองนายก็ค่อยๆ เอนหลังล้มลงบนพื้น
จางเว่ยอวี่รู้สึกว่าคืนนี้ ความรู้ความเข้าใจมากมายของเขาถูกล้มล้าง เขาคงไม่กล้าดูถูกผู้บำเพ็ญระดับหกอีกต่อไป แต่หลังจากครุ่นคิดสักพัก เขาก็คิดได้ว่ามีผู้บำเพ็ญระดับหกที่แข็งแกร่งอยู่บ้างในโลกนี้ และหลี่ว์ซู่ก็เป็นหนึ่งในนั้น!
เจ้าบ้านี่มาจากที่ไหนกันแน่!
แต่เขาไม่รู้ว่าสำหรับหลี่ว์ซู่ที่สามารถฆ่าผู้มีพลังระดับ B เจ็ดคนได้ในแปดชั่วโมงนั้น พลังเป็นสิ่งสำคัญก็จริง แต่นั่นก็ไม่ใช่ทุกอย่าง
ถ้าระดับสามมาปรากฏตัวในคืนนี้ หลี่ว์ซู่อาจจะกลัว เพราะสุดท้ายแล้วชีวิตเขาก็สำคัญกว่า
ถ้าเขาไม่มีพลังงานกระบี่ หลี่ว์ซู่คงไม่กล้าสังหารกองกำลังสอดแนมของทัพเฮยอวี่อย่างแน่นอน พลังงานกระบี่สังหารคนได้ และก็ทำให้คนกลัวได้เช่นกัน
แต่ไม่มีคำว่าถ้า
ในตอนนี้ทหารที่เหลืออีกสองนายจากทัพเฮยอวี่ไม่สามารถสังหารได้ด้วยความมุ่งมั่นเหมือนก่อนหน้านี้ มีความลังเลปรากฏขึ้นในดวงตาของพวกเขา หลี่ว์ซู่ผู้ซึ่งดูเหมือนยอดฝีมือ ยืนอยู่ในทุ่งพร้อมกับมือที่อยู่ข้างลำตัว เขาจ้องไปที่ทหารที่เหลือ
ในตอนนั้น จางเว่ยอวี่หยิบมีดผู่เตาขึ้นมาและยิ้ม เขาเดินเข้าหาทหารทั้งสองนายอย่างช้าๆ “ตอนนี้ถึงตาของฉันแล้ว”
ทหารทั้งสองนายหันหน้าและออกวิ่ง หลี่ว์ซู่วิ่งตามพวกเขาไป จางเว่ยอวี่ตะโกนว่า “อย่าปล่อยให้พวกนั้นหนีไปได้นะ!”
ทหารทั้งสองนายรีบวิ่งหนีอย่างรวดเร็ว พืชผลที่อยู่ในทุ่งไม่ได้ทำให้พวกเขาช้าลงเลย ด้วยร่างกายของหลี่ว์ซู่ในฐานะผู้บำเพ็ญระดับหก เขาทำได้แค่ฝันหากจะตามสองคนนั้นให้ทัน
หลังจากเงาดำสองสายหายไป จางเว่ยอวี่ขาอ่อนยวบและเขาแทบจะล้มลงบนพื้นในทันที “ฉันกลัวมาก!”
หลี่ว์ซู่หัวเราะอย่างร่าเริง “ไม่รู้เลยว่าในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน คุณเองก็ดูจะพึ่งพาได้เหมือนกันนะเนี่ย”
จางเว่ยอวี่ครุ่นคิดและพูดว่า “ขอบใจ”
“ไม่เป็นไร การแสดงของคุณค่อนข้างจะมีประโยชน์ คุณทำให้พวกนั้นกลัวจนหัวหด สวรรค์จะช่วยคนที่ช่วยเหลือตัวเอง” หลี่ว์ซู่พูดพร้อมรอยยิ้ม
หากจะพูดตามตรง เป็นความโชคดีที่ทหารที่เหลือทั้งสองนายนั้นวิ่งหนีไป เพราะถ้าไม่อย่างนั้น พวกเขาคงไม่ง่ายที่จะจัดการ พวกนั้นมีระดับสี่หนึ่งคนและระดับห้าหนึ่งคน ถึงแม้หลี่ว์ซู่จะสามารถใช้พลังงานกระบี่และสามารถสังหารพวกระดับห้าได้ แต่ผู้บำเพ็ญระดับสี่นั้นเป็นคนละเรื่องกัน…
พลังงานกระบี่สามารถสังหารผู้บำเพ็ญระดับสี่ได้ แต่พวกเขารวดเร็วมาก ก่อนที่หลี่ว์ซู่จะได้โจมตี พวกนั้นก็อาจจะโจมตีมาก่อนแล้วหลายกระบวนท่า…
แต่…ถ้าเขาซุ่มโจมตีผู้บำเพ็ญระดับสี่ เขาก็อาจจะสามารถสังหารพวกนั้นได้ใช่หรือไม่
หลี่ว์ซู่รู้ว่าอาจจะมีสงครามเกิดขึ้นที่นี่ แต่เขาก็ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้!
เขามองไปที่ลูกธนูที่ยังสั่นไหวและพยายามประเมินพลังของมัน ถึงแม้กำแพงอิฐจะอ่อนแอ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถยิงธนูทะลุผ่านมาได้ และหลังจากธนูสีดำทะลุผ่านกำแพงเข้ามา มันยังพุ่งเข้าใส่เตียงคั่งและยังมีพลังเหลืออยู่
ก่อนที่หลี่ว์ซู่จะวิเคราะห์สถานการณ์เสร็จ จู่ๆ จางเว่ยอวี่ก็พูดขึ้นว่า “เป็นยอดฝีมือระดับสี่จากทัพเฮยอวี่ ลูกธนูพุ่งมาจากทางตะวันตกเฉียงเหนือ พวกนี้น่าจะเป็นหน่วยสอดแนมชุดแรกซึ่งมาจากเทือกเขา ในสถานการณ์ปกติ หน่วยสอดแนมจากทัพเฮยอวี่ จะประกอบด้วยทหารระดับสี่หนึ่งคนและระดับห้าสี่คน พวกเขาล้วนเป็นทหารที่เก่งกาจที่สุดของกองทัพ!”
หลี่ว์ซู่ตกใจจนพูดไม่ออก เขามองไปที่จางเว่ยอวี่ ในตอนแรก เขารู้ว่าจางเว่ยอวี่ไม่ใช่คนธรรมดา ถึงแม้เขาจะล้มเลิกกลางคัน แต่เขากลับสามารถอธิบายหลายสิ่งหลายอย่างได้จากลูกธนูเพียงดอกเดียว เขารู้มาตั้งแต่ต้นแล้ว!
ก่อนที่หลี่ว์ซู่จะได้พูดอะไร จางเว่ยอวี่คลานไปตามพื้นตรงไปที่ประตู “รีบหนีเร็ว พวกเขายังอยู่ไกลออกไปอีกเก้าสิบเก้ากิโลเมตร พวกนั้นจะไม่ผลีผลามเข้ามา ตอนที่พวกเราออกไป พวกเราต้องรีบให้มากขึ้น อาจจะมีคนคอยเฝ้าตอนที่เราออกไป ธนูดอกนี้อาจจะไม่ได้ถูกยิงมาเพื่อฆ่าใคร พวกเขาแค่ต้องการบังคับให้เราหนีไปอย่างตื่นตระหนก!”
“ถ้ามีคนคอยเฝ้าอยู่ข้างนอก แล้วทำไมเราถึงยังจะออกไป” หลี่ว์ซู่ถาม
“ถ้าเราไม่ไปตอนนี้ เราจะไม่มีโอกาสอีกเลยถ้าพวกทัพเฮยอวี่มาถึง ตอนนี้ยังมีโอกาสเล็กน้อยที่เราจะรอดชีวิต แต่ยังไงก็ถือว่ายังมีโอกาส” จางเว่ยอวี่พูดอย่างรีบร้อน
ทันใดนั้นหลี่ว์ซู่ก็ได้รู้ว่าจางเว่ยอวี่ยังคงใจเย็นแม้ในสถานการณ์วุ่นวาย นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะทำได้เลย
อึดใจต่อมา จางเว่ยอวี่หันมาและบอกหลี่ว์ซู่ว่า “นายออกไปก่อน แล้วฉันจะตามไป!”
หลี่ว์ซู่สีหน้ามืดครึ้มลง “นี่คุณกำลังพยายามแกล้งหลอกผมอยู่หรือเปล่า ไม่ว่าใครออกไปคนแรก คนนั้นก็จะถูกยิงก่อน ข้างนอกนั่นไม่น่าจะมีคนเฝ้าอยู่เยอะสักเท่าไหร่ บางทีถ้าผมถูกธนูดอกแรกยิง คุณก็อาจจะคว้าโอกาสตอนที่พวกเขาเตรียมลูกธนูดอกใหม่แล้วหนีไป ผมพูดถูกไหม ในเมื่อพวกเราติดอยู่ที่นี่ด้วยกันทั้งคู่ แล้วจะมีประโยชน์อะไรที่คุณจะตามหลังผมออกไป”
จางเว่ยอวี่รู้สึกประหลาดใจ “จริงๆ แล้วนายก็ค่อนข้างฉลาดนะเนี่ย”
แต่ในขณะที่หลี่ว์ซู่กำลังจะพูด จางเว่ยอวี่ก็ผลักเขาไปที่ประตู และพยายามดันเขาออกไปรับหน้า แต่… กลับไม่มีอะไรเลย…
“ฮ่าๆ ” หลี่ว์ซู่หัวเราะเสียงเย็น
ทันใดนั้นหลี่ว์ซู่ก็ได้ยินเสียงบางอย่างแหวกผ่านอากาศมา ปัง! เกิดรูใหญ่อีกรูบนกำแพงอิฐด้านหลังพวกเขา
ธนูสีดำสี่ดอกพุ่งทะลุกำแพงในเวลาไล่เลี่ยกัน โชคดีที่หลี่ว์ซู่ตอบสนองรวดเร็วจึงหลบได้ทัน
“มีคนในกองกำลังสอดแนมของทัพเฮยอวี่ที่สามารถระบุตำแหน่งของนายได้ผ่านการได้ยิน เพราะฉะนั้นห้ามยืนอยู่กับที่!” จางเว่ยอวี่เตือน
แต่ในชั่วขณะต่อมา จางเว่ยอวี่ก็ต้องอ้าปากค้างด้วยความตกใจ จู่ๆ หลี่ว์ซู่ก็งอตัวลง เหมือนคันธนูที่ถูกง้างจนตึง จากนั้นเขาก็ก้าวไปข้างหน้าและกระโดดออกไป!
ในชั่วพริบตา ลูกธนูสีดำปักลงบนพื้นด้านหลังหลี่ว์ซู่ ทัพเฮยอวี่ที่เฝ้าอยู่ด้านนอกพลาดท่าเสียแล้ว!
จางเว่ยอวี่สาบานเลยว่าตลอดชีวิตของเขาเคยเห็นเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถใช้พลังที่มีทั้งหมดได้เหมือนหลี่ว์ซู่ และหน่วยสอดแนมที่เฝ้าอยู่นอกบ้านคือผู้มีพลังระดับห้า
จางเว่ยอวี่ไม่เคยเห็นหลี่ว์ซู่ฝึกจริงๆ จังๆ เลยสักครั้ง แต่จากพลังที่ระเบิดออกมานั้น เห็นได้ชัดว่าหลี่ว์ซู่ไม่ได้อยู่แค่ระดับห้าด้วยซ้ำ!
ในเกมหมากรุกที่มีความแตกต่างอย่างมากในเรื่องพลัง หลี่ว์ซู่ได้ทำให้ทหารที่ได้รับการชื่นชมมาอย่างยาวนานยิงพลาดเป้า!
เขารู้สึกงงงวย คนคนหนึ่งจะสามารถใช้พลังนี้ได้หลังจากที่พวกเขาก้าวหน้าไปถึงระดับหนึ่งและได้รับการสำรวจอันละเอียดอ่อน
คนธรรมดาจะสามารถใช้พลังอย่างสมบูรณ์ได้จริงหรือ เป็นไปไม่ได้ นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผู้บำเพ็ญระดับล่างจะสามารถทำได้
แต่หลี่ว์ซู่เป็นแค่ผู้บำเพ็ญระดับล่างเท่านั้น!
แต่จางเว่ยอวี่ไม่มีเวลาให้ครุ่นคิด ชั่วขณะที่ลูกธนูพลาดเป้า เขาก็กระโจนออกไปเช่นกัน ทหารที่เฝ้าอยู่กำลังเตรียมลูกธนูดอกใหม่ ดังนั้นถ้าเขาไม่รีบไปตอนนี้ เขาก็จะไม่มีโอกาสให้หนีอีก!
หลี่ว์ซู่ไม่ได้วิ่งไปตามถนนลูกรัง แต่เขาเลือกที่จะหลบอยู่ในทุ่งข้างทาง พืชผลซึ่งสูงเป็นครึ่งหนึ่งของเขาเป็นเกราะกำบังที่ดีเยี่ยมเพื่อให้เขาซ่อนตัวในยามค่ำคืน จางเว่ยอวี่เองก็ทำแบบเดียวกัน
กองทหารสอดแนมจากทัพเฮยอวี่ที่แต่งกายด้วยเสื้อเกราะหนัง เข้าล้อมรอบทุ่งอย่างเงียบๆ พวกเขาทุกคนมีสีหน้าที่เคร่งเครียด
พวกเขาไม่คิดว่าจะทำงานพลาด สองคนนั่นเพิ่งจะอยู่ตรงหน้าพวกเขาและไม่มีค่าแม้แต่จะให้พูดถึง แต่พวกเขาก็พลาด!
ทหารทั้งห้าคนแบกคันธนูไว้บนหลัง พวกเขาดึงมีดผู่เตาออกมาจากเอวในเวลาเดียวกัน และพุ่งตรงเข้าไปในทุ่ง สายลมที่เต็มไปด้วยเจตนาฆ่าฟันพัดผ่านไป
ทาสทั้งสองคนนี้จะต้องตายอยู่ที่นี่ ถ้าพวกนั้นไม่ตาย แผนของทัพเฮยอวี่ก็เป็นอันล้มเหลว!
พวกเขาคิดว่าหลี่ว์ซู่และจางเว่ยอวี่เป็นทาส แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้เพราะทุกวันนี้มีชาวนาเหลืออยู่ไม่มากแล้ว
จางเว่ยอวี่ค้อมตัวลงและวิ่งอย่างรวดเร็วไปตามแนวพืชผล เขาแทบจะร้องไห้อยู่แล้ว ทุกคนล้วนเข้าใจสิ่งสิ่งหนึ่ง เมื่อมีสัตว์ร้ายกำลังไล่ล่า เราไม่จำเป็นต้องวิ่งให้เร็วกว่าสัตว์ตัวนั้น สิ่งที่ต้องทำก็แค่วิ่งให้เร็วกว่าคนที่หนีมาด้วยกัน…แต่หลี่ว์ซู่วิ่งเร็วเกินไป…
แต่ถ้าจะให้พูดตามตรง จางเว่ยอวี่ก็ไม่โทษหลี่ว์ซู่ เมื่อมีอันตรายมาถึงตัว คงไม่มีใครยอมสละชีวิตเพื่อคนที่เพิ่งเจอกันได้ไม่ถึงเดือน เพราะถ้าหลี่ว์ซู่ทำจริงๆ จางเว่ยอวี่ก็จะด่าเขาที่ทำตัวโง่ๆ เช่นนี้
จางเว่ยอวี่รู้ว่าเขาคงไม่สามารถวิ่งหนีได้ เขาเป็นแค่คนธรรมดาแต่ผู้บำเพ็ญระดับสี่และห้ากำลังไล่ล่าเขาอยู่ ทันใดนั้นจางเว่ยอวี่ก็รู้สึกโล่งอกราวกับว่าเขาจะได้รับการปลดปล่อย
หน่วยสอดแนมของทัพเฮยอวี่ทั้งห้าคนเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ พวกนั้นอยู่ห่างกันยี่สิบเมตรและเริ่มค้นหาในทุ่งอย่างรวดเร็ว
ต่างจากจางเว่ยอวี่และหลี่ว์ซู่ที่กำลังค้อมตัวต่ำและวิ่งหนีอย่างรวดเร็ว
ในตอนนั้นเอง จู่ๆ จางเว่ยอวี่ก็ต้องตกใจจนอ้าปากค้าง เขารู้สึกว่าเขาเพิ่งจะวิ่งผ่านเงาดำที่นอนอยู่บนพื้นไป
เดี๋ยวก่อน จางเว่ยอวี่รู้สึกสับสน ที่นอนอยู่คือหลี่ว์ซู่ไม่ใช่หรือ แล้วทำไมเขาถึงไปอยู่ที่นั่น
ทัพเฮยอวี่พุ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูง จางเว่ยอวี่อ้าปากค้างอย่างช้าๆ ในตอนที่ทัพเฮยอวี่ไปถึงตัวหลี่ว์ซู่ เขาก็ใช้กิ่งไม้แทนกระบี่และใช้รูปแบบการโจมตีที่แปลกประหลาด ราวกับว่าเขากำลังจะแทงทะลุสวรรค์!
ชายหนุ่มเต็มไปด้วยพลังที่ระเบิดออกมา เขาดูงดงามภายใต้แสงจันทร์ ราวกับว่าเขาได้ใช้พลังทุกหยาดหยดจนถึงขีดสุดราวกับสายฟ้าฟาด!
กิ่งไม้ที่ดูเหมือนอ่อนแอและเปราะบาง เฉือนผ่านช่องว่างของชุดเกราะหนังของเหล่าทัพเฮยอวี่ จางเว่ยอวี่รู้สึกว่ามือของหลี่ว์ซู่สั่นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และพลังเหล่านี้ก็ถูกส่งผ่านไปที่ปลายสุดของกิ่งไม้
ภายใต้แสงจันทร์และเลือดที่เจิ่งนอง ชายหนุ่มคนหนึ่งใช้กิ่งไม้แทนอาวุธ!
ช่างดูงดงามราวกับภาพวาด!
สมองของหลี่ว์ซู่เต้นตุบๆ เมื่อเขาเห็นบทกลอนที่รวบรวมไว้ทั้งหมด เขาควรทำอย่างไรเพื่อไม่ให้เปิดเผยตัวเอง ในความเป็นจริงแล้วเขาไม่สามารถแม้แต่จะท่องกลอนทั้งหมดในหนังสือหนึ่งเล่มได้ด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับมันมีมากขนาดนี้!
นี่เป็นการโกงอย่างโจ่งแจ้ง!
แต่อวี่เตี๋ยไม่ได้รับรู้ถึงความคิดของหลี่ว์ซู่เลย เธอหันไปหาเขาและถามว่า “นายชอบบทกลอนไหนของราชาองค์เก่าเหรอ”
“อืม” หลี่ว์ซู่พึมพำในขณะที่เขาทำหน้าอึดอัด เขาคิดกับตัวเองว่าคนพวกนี้คงรวบรวมบทกลอนของตัวเขาเองถ้าเขามาที่โลกนี้เร็วกว่านี้…
ในขณะเดียวกันหลี่ว์ซู่กำลังครุ่นคิดว่าราชาที่ปรมาจารย์หุ่นเชิดพูดถึงนั้น ใช่คนเดียวกับราชาแห่งทวยเทพองค์เก่าหรือไม่ เพราะถ้าดูตามลำดับเวลาแล้วก็ดูจะเป็นไปได้!
ราชาองค์ใหม่ขึ้นสู่อำนาจเมื่อสิบแปดปีก่อน ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่ปรมาจารย์หุ่นเชิดไปถึงโลกมนุษย์ หลี่ว์ซู่คงไม่ว่าอะไรถ้านี่เป็นเรื่องบังเอิญล้วนๆ
ดังนั้นดูเหมือนนี่จะเป็นทางเลือกที่ชาญฉลาดที่จะไม่ยอมรับว่าเขารู้จักกับปรมาจารย์หุ่นเชิด เพราะพวกเขาคงไม่หนีไปยังโลกมนุษย์ถ้าพวกเขามีความสัมพันธ์อันดีกับราชาองค์ใหม่
ในตอนนี้ราชาองค์ใหม่ขึ้นสู่อำนาจแล้ว ดังนั้นที่เหล่าปรมาจารย์หุ่นเชิดพูดว่าพวกเขากำลังรอ ‘การกลับมาขององค์ราชา’ นั้น หมายความว่าอย่างไร หรือองค์ราชาจะกลับจากโลกมนุษย์
ความคิดนี้ส่งผลให้หลี่ว์ซู่หนาวไปทั้งไขสันหลัง เขาอยากจะกลับไปในตอนนี้และเตือนเนี่ยถิงว่าราชาองค์ใหม่อาจจะอยู่ที่โลกมนุษย์!
“ทำไมไม่” อวี่เตี๋ยลดเสียงลง “ค้างที่นี่คืนนี้ล่ะ แล้วพวกเราจะได้วิเคราะห์บทกลอนต่างๆ ด้วยกัน”
หลี่ว์ซู่หัวเราะอย่างเย็นชา หรือเธอจะคาดหวังให้เขาช่วยให้เธอตอบคำถามวัดความเข้าใจหลังจากที่เขาใช้เวลาหลายปีเรียนวรรณคดีจีนที่โลกมนุษย์อย่างนั้นหรือ เพ้อฝันเสียจริง
“ไว้เจอกันครั้งหน้านะ” หลี่ว์ซู่ตอบขณะเดินออกจากห้อง
[ได้แต้มจากอวี่เตี๋ย +299!]
อวี่เตี๋ยไม่ได้บังคับเขาให้อยู่ต่อ แต่เธอเตือนเขาก่อนที่เขาจะก้าวออกไปว่า “เมื่อไม่นานมานี้ พื้นที่ในแนวชายแดนไม่ค่อยจะปลอดภัย นายกับจางเว่ยอวี่สามารถมาขอที่หลบภัยจากฉันได้หากว่ามีสงครามเกิดขึ้นจริงๆ”
หลี่ว์ซู่ไม่ได้หันกลับไปในขณะที่เขาครุ่นคิดถึงคำพูดของเธอ จางเว่ยอวี่เคยพูดครั้งหนึ่งว่าความขัดแย้งระหว่างเหวินไจ้โฝ่วและจอมทัพสวรรค์บูรพา ตวนมู่หวงฉี่นั้น อาจจะลุกลามไปจนถึงขั้นเกิดเป็นสงคราม
ประเมินจากท่าทีของอวี่เตี๋ยในวันนี้ ดูเหมือนว่าเหล่านายทาสคงเพิ่งจะได้รับข้อความจากเบื้องบนว่าสงครามกำลังจะเกิด!
จริงๆ แล้วหลี่ว์ซู่สังเกตเห็นว่าทาสบางคนชี้นิ้วมาที่เขาจากแผงขายของข้างทาง ราวกับว่าทั่วทั้งเมืองเถียนเกิ่งรู้ว่าเขาเป็นผู้ชายขายตัวให้กับผู้เป็นนายของตระกูลอวี่
แต่หลี่ว์ซู่ก็ไม่ได้ใส่ใจ เขาจ้องคนพวกนั้นกลับไปอย่างดูถูก และมั่นใจว่าพวกเขาจะได้เรียนรู้ไม่ช้าก็เร็วว่าใบหน้าหล่อๆ นั้นมีค่าแค่ไหน…
พูดตามตรง หลี่ว์ซู่ก็ไม่เคยคิดว่ารูปลักษณ์ของเขาจะมีประโยชน์…
หลี่ว์ซู่เดินมุ่งหน้ากลับบ้านไปตามถนนนอกเมือง ตอนนี้เขาเริ่มอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับโลกใบนี้มากขึ้น
เขาอยากรู้ว่าราชาผู้เป็นตำนานเช่นนี้ จู่ๆ ก็มีจุดจบได้อย่างไร แต่ความจริงที่ว่าปรมาจารย์หุ่นเชิดสามารถหลบหนีไปได้ ก็แปลว่าน่าจะมีไพ่ใบอื่นๆ อยู่ในจักรวาลหลี่ว์อีก
หลี่ว์ซู่สงสัยว่าหากเขาสามารถกลับไปที่โลกมนุษย์ เขาจะได้เห็นการแก้แค้นของเหล่าปรมาจารย์หุ่นเชิดพร้อมกับการกลับไปของราชาแห่งทวยเทพหรือไม่
จริงๆ แล้วเขาเริ่มพัฒนาความรู้สึกที่มีต่อเหล่าปรมาจารย์หุ่นเชิด และความคิดที่จะผูกมิตรกับคนเหล่านั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่รับไม่ได้อีกต่อไป เขายังรู้สึกชื่นชมราชาองค์เก่าที่มีคนที่ซื่อสัตย์เช่นนี้คอยอยู่เคียงข้างอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ยิ่งหลี่ว์ซู่ครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาก็ยิ่งเชื่อมั่นว่าราชาองค์เก่ายังอยู่บนโลกมนู่ษย์ เพราะถ้าเขาอยู่ที่จักรวาลหลี่ว์ เหล่าปรมาจารย์ก็ควรจะต้องอยู่ปกป้องเขา
หลี่ว์ซู่ตัดสินใจโยนความคิดที่ไม่เกี่ยวกับตัวเขาออกไป และมุ่งไปที่การฝึกทักษะกระบี่ เพราะสุดท้ายแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือพลังของตัวเขาเอง
ด้วยการฝึกฝนที่เพียงพอ ความก้าวหน้าของหลี่ว์ซู่ในการควบคุมพลังงานกระบี่ก็เป็นที่ประจักษ์ เขาไม่ทำลายท่อนฟืนโดยไม่ได้ตั้งใจอีกต่อไป
แต่ยังมีปัญหาอีกหนึ่งอย่างที่เขาเป็นกังวล เขาไม่มีอาวุธในมือเพราะตราแผ่นดินของเขายังคงถูกปิดตายอย่างแน่นหนา
ค่ำคืนมาถึง แต่จางเว่ยอวี่ยังไม่ถึงบ้าน ถึงแม้เขาจะบอกว่าจะมาถึงก่อนพระอาทิตย์ตกดินก็ตาม
แต่หลี่ว์ซู่ก็ไม่ได้เป็นกังวล ในระหว่างที่เขากำลังฝึกฝน เขาก็เห็นจางเว่ยอวี่เดินกะเผลกมาตามถนน ตอนแรกเขาคิดว่าจางเว่ยอวี่ถูกกลั่นแกล้ง แต่เมื่อเขาเข้ามาใกล้ หลี่ว์ซู่ถึงได้รู้ว่าจริงๆ แล้วเขาแค่เมา
จางเว่ยอวี่ปัดมือหลี่ว์ซู่ที่ยื่นเข้าไปจะช่วยพยุงออก จางเว่ยอวี่ที่เมามากพึมพำว่า “ฉัน จางเว่ยอวี่ ไม่ต้องการความช่วยเหลือจากคนอื่…”
ก่อนที่เขาจะพูดจบประโยค เขาสะดุดและล้มลงไปบนพื้น หลี่ว์ซู่จ้องมองเขาอย่างเงียบๆ ขณะที่จางเว่ยอวี่ล้มลุกคลุกคลานอยู่บนพื้นสักพักแต่ก็ยังพาให้ตัวเองยืนขึ้นไม่ได้ จากนั้นเขาจึงมองไปที่หลี่ว์ซู่และวิงวอนว่า “…ได้โปรดช่วยฉันด้วย”
หลี่ว์ซู่หัวเราะและแบกเขาไปนอนที่ดินคั่ง จากนั้นเขานั่งลงบนโต๊ะและพูดโดยแทบจะไม่กลั้นเสียงหัวเราะว่า “อย่าดื่มเยอะสิ ถ้าคุณรู้ว่าตัวเองจะเมาง่ายขนาดนี้”
“นายจะไปรู้อะไร ครั้งสุดท้ายฉันไม่ได้เมาซะหน่อย!” จางเว่ยอวี่ตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด จากนั้นเขาก็นอนแบะอยู่บนคั่งและจมดิ่งสู่โลกอันเมามายของตนเอง
หลี่ว์ซู่ไม่ตอบ เขามองไปที่จางเว่ยอวี่อย่างเงียบๆ พลางสงสัยว่าชายคนนี้ต้องผ่านความยากลำบากเพียงลำพังมามากมายขนาดไหน
เขาต้องกินรากไม้ในช่วงที่ยากลำบากที่สุดของชีวิต เขาต้องอดทนต่อการดูหมิ่นเหยีดหยามจากพวกทาสในเมือง และถูกกลั่นแกล้งโดยการที่พวกทาสมาทำลายพืชผลของเขา แต่เขาก็ยังอดทนต่อไปเพื่อศักดิ์ศรีอันไร้ค่าของตนเอง
หลี่ว์ซู่ถอนหายใจ ตัวเขาเองเป็นใครถึงมีสิทธิ์ไปบอกว่าศักดิ์ศรีของจางเว่ยอวี่นั้นไร้ค่า เพราะตัวเขาเองก็ดื้อดึงพอๆ กับจางเว่ยอวี่ไม่ใช่หรือ
“ทำไมคุณถึงทำแบบนั้น” หลี่ว์ซู่ถาม เป็นคำถามที่ถามทั้งจางเวยอวี่และตัวเขาเอง
“ฉันกำลังรออยู่” จางเว่ยอวี่ที่นอนหลับตาอยู่บนเตียงตอบ จากนั้นเขาก็หัวเราะพร้อมกับยกแขนยกขาปัดป่ายไปทั่ว “แต่ความอดทนของฉันกำลังจะหมดลงแล้ว”
หลี่ว์ซู่รู้สึกตกใจ เขาเงียบและรอให้จางเว่ยอวี่พูดต่อ
จางเว่ยอวี่พูดต่อ “วันเก่าๆ ที่เคยรุ่งเรืองหายไปแล้ว วันนี้ฉันไปเยี่ยมเพื่อนเก่า เพียงเพื่อพบว่าเขาจบชีวิตตัวเองลงด้วยเชือกในบ้านของตัวเอง ฉันพังประตูเข้าไปและเห็นรากไม้ที่กินไปแล้วครึ่งหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ ฉันไม่โทษเขา และไม่โทษใครทั้งนั้น”
หลี่ว์ซู่รู้สึกมึนงง ก่อนที่จางเว่ยอวี่จะออกจากบ้านในวันนั้น หลี่ว์ซู่ให้ขนมหวานหลายกล่องเพื่อนำไปเป็นของขวัญในการไปเยี่ยมบ้าน
จางเว่ยอวี่ขอบคุณเขาอย่างหมดหัวใจ ราวกับว่าหลี่ว์ซู่ได้ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ให้เขา จางเว่ยอวี่ยังบอกอีกว่าเขาติดหนี้หลี่ว์ซู่สำหรับเรื่องนั้น
ในตอนนั้นหลี่ว์ซู่รู้สึกค่อนข้างสับสนและคิดว่าจางเว่ยอวี่ออกจะอ่อนไหวเกินไป
แต่หลี่ว์ซู่ก็ไม่คิดว่านี่จะเป็นการไปเยี่ยมเพื่อนเก่าครั้งสุดท้ายของเขา อย่างไรก็ตาม เพื่อนของเขาจากโลกนี้ไปก่อนที่จะได้ลิ้มรสขนมหวาน หลี่ว์ซู่คิดว่าเพื่อนของจางเว่ยอวี่ก็คงเป็นชายที่รักในศักดิ์ศรี เป็นคนที่ยอมตายดีกว่ายอมตกไปเป็นทาสของคนอื่น
หลังจากเงียบไปนาน หลี่ว์ซู่จึงถามขึ้นว่า “คุณกำลังรออะไรอยู่เหรอ”
จางเว่ยอวี่กำลังเมามาก แต่ทันใดนั้นเขาก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่งหลังได้ยินคำถามของหลี่ว์ซู่ จากนั้นเขาจึงพูดว่า “ทุกคนที่อยู่ภายใต้บัลลังก์…”
ในชั่วพริบตาต่อมา จางเว่ยอวี่ก็ตัวตั้งตรง และหรี่ตาจ้องหลี่ว์ซู่อย่างอันตราย เขาเริ่มสร่างเมาขึ้นมาทันที “นายถามทำไม”
ทันใดนั้น หลี่ว์ซู่กระโจนเข้าใส่จางเว่ยอวี่และกดเขาลงบนพื้น
เกือบจะในเวลาเดียวกัน มีลูกธนูพุ่งผ่านกำแพงดินและทะลุผ่านเตียงที่จางเว่ยอวี่กำลังนอนอยู่ ขนนกสีดำที่อยู่ตรงปลายยังคงสั่นเนื่องจากแรงกระแทก
จางเว่ยอวี่หน้าซีด “ทัพเฮยอวี่ของตวนมู่หวงฉี่!”
ในที่สุดหลี่ว์ซู่ก็มีโอกาสไปเยือนพื้นที่กลางเมือง ถึงแม้พื้นจะเต็มไปด้วยโคลนและกระเบื้องที่ถูกปูตามยถากรรม แต่อย่างน้อยสภาพแวดล้อมรอบๆ ก็ดูมีอารยธรรมมากขึ้น
ในแถบชนบทที่จางเว่ยอวี่อาศัยอยู่ หลี่ว์ซู่แทบจะไม่เห็นคนอื่นอีกเลย คนส่วนใหญ่ที่เคยอยู่ที่นั่นต่างยอมจำนนต่อความกดดันของชีวิตทำให้ต้องยอมขายฟาร์ม ผืนดิน หรือแม้กระทั่งตัวของพวกเขาเองเพื่อแลกกับการมีชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งจางเว่ยอวี่ถือเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่เป็นข้อยกเว้น เมื่อเวลาผ่านไป เมืองเถียนเกิ่งก็กลายเป็นพื้นที่เพาะปลูกของเหล่านายทาส
ที่นี่ไม่ได้มีแผงขายอาหารตามข้างทางมากนัก ส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นธุรกิจมากกว่า ด้านใน คนงานมีรอยตราประทับบนร่างกาย มีดสำหรับตระกูลอวี่ ทองแท่งสำหรับตระกูลหลิน และปลาสำหรับตระกูลจาง เหล่าชนชั้นสูงมีสัญลักษณ์ที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นซึ่งประกอบด้วยกระบี่ไขว้สองอัน
นายทาสหลักๆ ได้รับอนุญาตให้มีสัญลักษณ์เพียงแบบเดียว แต่ชนชั้นสูงสามารถมีได้สองแบบ ลำดับชนชั้นปรากฏอย่างชัดเจนในทุกรายละเอียดของชีวิตประจำวันของพวกเขา
อย่างไรก็ตาม มีการกล่าวกันว่าสัญลักษณ์ดั้งเดิมของตระกูลหลินไม่ใช่ทองแท่ง พวกเขาเปลี่ยนสัญลักษณ์เพราะจอมทัพสวรรค์ทักษิณ เหวินไจ้โฝ่ว ได้ให้ของขวัญเป็นทองแท่งแก่ตระกูลหลินหลังจากที่เขาอาศัยอยู่ที่สวนหลังบ้านของตระกูลหลินในระหว่างการตรวจตราที่ดินของเขา
จากเรื่องนี้ หลี่ว์ซู่จึงได้เรียนรู้ว่าสัญลักษณ์ของตระกูลไม่ใช่สิ่งถาวร ดังนั้นจึงต้องใช้ทักษะทางศิลปะพอสมควรในการออกแบบตราประจำตระกูลที่ดี…
ยิ่งไปกว่านั้นคือตระกูลหลินค่อนข้างเก่งกาจในการประจบประแจงผู้มีอำนาจ
อวี่เตี๋ยชวนหลี่ว์ซู่ไปขี่ม้าด้วยกัน แต่เขาปฏิเสธ เป็นผลให้เธอต้องเดินจูงม้าไปกับเขา ในตอนนั้นเองที่หลี่ว์ซู่ได้รู้ว่าเธอเตี้ยกว่าเขาเพียงสามถึงสี่เซนติเมตรเท่านั้น และส่วนเว้าส่วนโค้งของเธอก็น่าดึงดูดเช่นกัน
ในโลกใบนี้ ความสามารถเป็นเพียงสิ่งเดียวที่สำคัญ ถึงแม้เหล่านายทาสจะมีสถานะทางสังคมสูงส่ง แต่ชุดอันหรูหราของพวกเขาก็รัดรูปและถูกออกแบบพิเศษมาเพื่อประสิทธิภาพในการรบ
ในขณะที่กำลังเดิน อวี่เตี๋ยมักจะโน้มตัวเข้าหาหลี่ว์ซู่อย่างไม่รู้ตัวอยู่เสมอ จนเขาเกือบจะถูกเบียดให้ออกจากถนน…
คนงานทุกคนที่อยู่ในแผงขายของตามข้างทางต่างพากันแอบมองขณะที่พวกเขาเดินทางผ่านเมือง
หลังจากนั้นไม่กี่วัน ทั่วทั้งเมืองเถียนเกิ่งก็ได้รู้ว่านายทาสตระกูลอวี่กำลังสนใจคนธรรมดาคนหนึ่ง และใครก็ห้ามยุ่งกับเขา
นอกจากนี้ นายททาสตระกูลอวี่ยังส่งของขวัญไปให้เขาทุกวัน และผู้คนยังเล่าลือกันอีกว่าชายคนนั้นค่อนข้างหล่อเหลา
ในความเป็นจริงแล้ว เรื่องเหล่านี้เคยเกิดขึ้นในหมู่นายทาสมาก่อน พวกเขามักจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งหญิงหรือชายสามัญชนที่พวกเขาต้องการ และอาจจะถึงขั้นแลกเปลี่ยนทาสระหว่างนายทาสด้วยกัน
อย่างไรก็ตาม ในกรณีเหล่านั้น นายทาสจะบังคับให้เหล่าสามัญชนเชื่อฟังพวกเขา โดยเหลือทางให้ต่อรองเพียงเล็กน้อยหรือแทบจะไม่เหลือทางให้เลย แต่เรื่องของอวี่เตี๋ยนี้ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องรักๆ ใคร่ๆ มากกว่า
แต่หลี่ว์ซู่รู้สึกว่านี่เป็นเหมือนเรื่องราวความรักทั่วๆ ไปที่ผู้มีอำนาจมาตกหลุมรักกับคนธรรมดา
แต่ในหมู่ทาสเองก็มีการเลือกปฏิบัติเช่นกัน ผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่ามักจะดูถูกผู้ที่อ่อนแอกว่า และผู้ที่ได้รับวิธีการฝึกบำเพ็ญจากเจ้านายของพวกเขาก็มักจะดูหมิ่นคนที่ทำได้แต่งานบ้านเท่านั้นในธุรกิจของครอบครัว พวกที่มีธุรกิจกิจก็มักจะดูหมิ่นชาวนา และชาวนาเองก็ดูหมิ่นพวกคนธรรมดาเช่นกัน
ตามหลักเหตุผลแล้ว ทาสมีสถานะทางสังคมต่ำกว่าเหล่าสามัญชน แต่พวกเขาไม่เห็นด้วย พวกเขาไม่ชอบศักดิ์ศรีและความภาคภูมิใจของเหล่าสามัญชน เนื่องจากพวกเขาเชื่อว่าคนเหล่านั้นไม่ได้มีความสามารถในการหาเลี้ยงชีพได้เท่าพวกเขา
คนเช่นจางเว่ยอวี่ที่ยอมทนมีชีวิตที่ยากลำบากดีกว่ายอมสูญเสียอิสรภาพให้กับผู้อื่นนั้นช่างแตกต่างจากการลักษณะของคนที่เป็นทาส
ในความเป็นจริงแล้ว ทาสทุกคนในเมืองเถียนเกิ่งมองจางเว่ยอวี่เป็นเหมือนสิ่งที่ก่อความรำคาญให้พวกเขามากกว่า สังคมในเมืองนี้ก็เป็นเช่นนี้เอง
ตามความเป็นจริงแล้ว ไม่ใช่แค่การเก็บภาษีที่มากเกินไปที่ทำให้จางเว่ยอวี่ต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก เขาควรจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้ถ้านั่นเป็นเหตุผลเพียงข้อเดียว เพราะเขาเองไม่ได้มีภาระครอบครัวอะไร
อย่างไรก็ตาม ทาสหลายคนชอบมาทำลายพื้นที่เพาะปลูกของเขาเมื่อคนพวกนั้นบังเอิญเดินผ่าน
หลี่ว์ซู่ได้รู้เรื่องเหล่านี้จากอวี่เตี๋ยผู้ซึ่งชื่นชมจางเว่ยอวี่สำหรับความพากเพียรและการมองชีวิตในแง่บวกถึงแม้ว่าพืชผลจะถูกทำลายจนหมดก็ตาม ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด เขาก็ไม่รังเกียจที่จะต้องกินรากไม้เพื่อให้ตัวเองมีชีวิตรอดต่อไป
เมื่ออวี่เตี๋ยเล่าเรื่องนี้ให้หลี่ว์ซู่ฟัง ความรู้สึกที่เขามีต่อจางเว่ยอวี่ก็เปลี่ยนไป เรื่องราวของเขาทำให้นึกถึงช่วงเวลาวัยเด็กของหลี่ว์ซู่ ตอนที่เขาเลือกที่จะไม่ขโมยของเหมือนเด็กคนอื่นๆ จากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แม้ว่าจะเป็นตอนที่เขาแทบจะอดตายในโลกภายนอกก็ตาม
ตระกูลอวี่มีสวนหลังบ้านที่กว้างขวาง เมื่อหลี่ว์ซู่เดินตามอวี่เตี๋ยเข้าไปด้านใน ทาสที่เฝ้าคฤหาสน์ก็มองสำรวจเขาอย่างอยากรู้อยากเห็น บนใบหน้าคนพวกนั้นยังปรากฏสีหน้าไม่ยอมรับจางๆ อีกด้วย
ในความคิดของพวกเขา หลี่ว์ซู่เป็นเพียงเด็กผู้ชายอ่อนแอที่ไร้ความสามารถแต่บังเอิญมีใบหน้าหล่อๆ ไว้ใช้ดึงดูดเจ้านายของพวกเขา…ตอนนี้ที่พวกเขาได้เห็นหลี่ว์ซู่ตัวเป็นๆ แล้ว พวกเขาถึงได้รู้ว่าผิวของหลี่ว์ซู่ขาวมากจริงๆ
ในขณะที่หลี่ว์ซู่เดินเข้าไปข้างใน เขาก็ถามว่า “คุณช่วยเล่าเรื่องราชาแห่งทวยเทพองค์เก่าให้ผมฟังเพิ่มได้ไหม”
อวี่เตี๋ยส่ายหัวและพูดว่า “ราชาองค์เก่าเป็นชายผู้ลึกลับ ทั้งหมดที่พวกเรารู้ก็มาจากเอกสารทางประวัติศาสตร์ที่ไม่เป็นทางการ มีการกล่าวกันว่าเคยมีใครสักคนที่แนะนำให้ราชาองค์เก่าก่อตั้งแผนกเพื่อจัดทำเอกสารเกี่ยวกับชีวิตประจำวันและประวัติของเขา แต่เขากลับปฏิเสธ เขาบอกว่าชีวิตของเขาไม่ต้องการความคิดเห็นหรือการบันทึก และเขาไม่ต้องการให้มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรหรืออะไรก็ตาม เพราะคำพูดและหนังสือนั้นไม่เพียงพอที่จะเป็นเครื่องมือในการแสดงออก ด้วยเหตุนี้ เหล่าผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายจึงมีขึ้นเพื่อศึกษาบทกลอนที่เขาทิ้งเอาไว้เพื่อพยายามมองเข้าไปในวิถีชีวิตและปรัชญาของเขา และคนเหล่านั้นถูกเรียกว่า ผู้เชี่ยวชาญด้านคำสอนของราชา”
“ดีเลย” หลี่ว์ซู่รู้สึกขบขัน “ผู้เชี่ยวชาญด้านคำสอนของราชางั้นเหรอ” มันคงเป็นเรื่องไร้สาระอย่างแท้จริงถ้าพวกเขาสามารถหาเบาะแสอะไรจากบทกลอนเหล่านั้นได้! ในตอนที่พวกเขาได้ข้อสรุป พวกเขาก็จะได้รู้ว่าไม่ว่าจะราชาองค์เก่าหรือตัวเหล่าผู้เชี่ยวชาญเองก็เป็นบ้ากันไปหมดแล้ว!
ในตอนนั้นหลี่ว์ซู่รู้สึกว่าราชาองค์เก่าเป็นคนพาลที่แกล้งชาวจักรวาลหลี่ว์เพราะความไม่รู้ของพวกเขา ราชาองค์เก่าอาจจะถูกประณามและถูกตำหนิถ้าเขาอยู่ในโลกมนุษย์
อวี่เตี๋ยเบี่ยงประเด็น “นายคิดว่าสนามนี่เป็นยังไง จอมทัพสวรรค์ไม่ต้องการให้สนามในคฤหาสน์ของเหล่านายทาสมีขนาดใหญ่กว่าเจ็ดเอเคอร์ ฉันต้องใช้ความพยายามและความคิดอย่างมากในการทำให้สนามนี่ไม่ใหญ่เกินกว่านั้น ลองดูตรงนี้สิ หินแบนๆ บนพื้นพวกนี้มีที่มา นี่แสดงให้เห็นว่าฉันลงทุนกับสวนนี้ไปมากแค่ไหน แต่พวกตระกูลหลินและตระกูลจางกลับไม่ยอมทำตามกฎที่จอมทัพสวรรค์ตั้งไว้ แถมยังขยับขยายสนามอย่างไม่คิดหน้าคิดหลังอีก ใครจะรู้ว่าเมื่อไหร่ที่จอมทัพสวรรค์จะมาฆ่ายกครัวพวกเขา!”
“จริงจังขนาดนั้นเลยเหรอ” หลี่ว์ซู่อ้าปากค้างด้วยความตกใจ เขาไม่คิดว่าลำดับชนชั้นในจักรวาลหลี่ว์จะเข้มงวดขนาดนี้ พวกเขามีกฎควบคุมขนาดของสวน ส่วนชีวิตของพวกนายทาสก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของผู้อื่นเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม เขารู้สึกสงสัยในความฉลาดของคนที่นี่เมื่อเขาได้เห็นการรวบรวมบทกลอนเพื่อการศึกษา
มีหนังสือ ‘สามร้อยบทกลอนจากองค์ราชา’ มากกว่าสามสิบเล่ม และ ‘รวมบทกลอนขององค์ราชา ฉบับสมบูรณ์’ อีกสี่สิบเล่ม และยังมี ‘รวมบทความเกี่ยวกับองค์ราชา ฉบับสมบูรณ์’ อีกกว่ายี่สิบเล่ม อยู่รวมกับหนังสือและแฟ้มเอกสารอื่นๆ อีกมากมาย…
อวี่เตี๋ยถอนหายใจด้วยความรู้สึกลึกๆ “องค์ราชาเป็นคนช่างจินตนาการ สถานที่บางแห่งที่เขาเอ่ยถึงในงานของเขาก็ไม่ได้อยู่ที่จักรวาลหลี่ว์ ดังนั้นเราจึงคาดเดาได้ว่าจะต้องมีดินแดนแห่งพระเจ้าที่สวยงามอยู่ในจิตใจของราชาองค์เก่าอย่างแน่นอน!”
“ใช่ แน่นอน แน่นอนเลย” หลี่ว์ซู่ตอบ เขาเริ่มมีความคิดจริงจังเกี่ยวกับสติของคนในโลกใบนี้
“แต่มีข้อโต้แย้งอย่างหนึ่งว่าจริงๆ แล้วราชาแห่งทวยเทพองค์เก่าอาจจะมาจากโลกอื่น และเขาคงกำลังคิดถึงบ้านเกิดในขณะที่เขียนบทกลอนเหล่านั้น” อวี่เตี๋ยพูด “บางคนก็เชื่อว่าราชาองค์เก่าคงจะโดดเดี่ยวมาก”
หลี่ว์ซู่รู้สึกแปลกใจ จริงๆ แล้วทฤษฎีนี้ก็มีความเป็นไปได้ว่าราชาองค์เก่าอาจจะเป็นมนุษย์โลก หรือจะมีอะไรอีกที่จะสามารถอธิบายได้ว่าทำไมปรมาจารย์หุ่นเชิดถึงไปอยู่ที่โลกมนุษย์
โลกนี้เต็มไปด้วยคลื่นพลังจิตวิญญาณ แต่มันก็ถูกเรียกว่าดินแดนเนรเทศ พูดตามตรง หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าชื่อนี้เหมาะกับโลกมนุษย์มากกว่า!
จางเว่ยอวี่มุ่งหน้าไปทางตะวันตก แต่หลี่ว์ซู่ไม่รู้ว่าเขาจงใจมุ่งหน้าไปทางเหนือก่อนจะไปทางอื่นหรือไม่ พื้นที่ทางตะวันตกเป็นเขตแดนของจอมทัพสวรรค์บูรพา ตวนมู่หวงฉี่ จางเว่ยอวี่จะไปถึงที่นั่นหลังจากข้ามเนินเขาและเเม่น้ำ
จางเว่ยอวี่เคยบอกหลี่ว์ซู่ว่า ในอดีต ทาสหญิงที่อาศัยอยู่ในบ้านชาวนาใกล้เคียง จะไปอาบน้ำในแม่น้ำ ซึ่งพวกเธอเหล่านี้มีหน้าตางดงามกว่าพวกชนชั้นสูงมากมายนัก
หลี่ว์ซู่เข้าใจได้ ด้วยเหตุผลบางอย่าง จางเว่ยอวี่ดูจะไม่ค่อยชอบพวกชนชั้นสูง ก็เหมือนในเรื่องไซอิ๋วที่ตัวละครเดินทางไปแดนตะวันตก และเมื่อพวกเขาไปถึง พวกเขาก็ได้รับการทักทายว่า ‘ยินดีต้อนรับสู่เถี่ยหลิ่ง’ …พวกเขาเดินไปผิดทาง! พวกเขาเข้าใจผิดอย่างสิ้นเชิง!
ที่นี่ไม่มีเส้นแบ่งเขตที่ชัดเจน เมืองต่างๆ ถูกนำมาใช้แทน หลังสงคราม หากเมืองใดถูกยึด นั่นหมายความว่าพวกเขาจะสูญเสียพื้นที่ๆ ยึดครองโดยเมืองนี้
หลี่ว์ซู่รู้สึกว่า ไม่ว่าจางเว่ยอวี่จะทำอะไร นั่นก็ไม่สำคัญ คนคนนี้แปลกมาก หลี่ว์ซู่ค้นพบว่าแม้แต่ทาสที่ไม่ได้รับการฝึกฝน อย่างน้อยก็ต้องมีพละกำลังที่มากกว่าคนธรรมดาในโลกมนุษย์สามถึงสี่เท่า แต่จางเว่ยอวี่ไม่ใช่แบบนั้น หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าเขาอ่อนเเอกว่ามนุษย์ธรรมดาเสียอีก
นี่เป็นสถานะที่ผิดปกติ ราวกับว่าเรื่องนี้มีเบื้องลึกเบื้องหลัง แต่อย่างไรเรื่องเหล่านี้ก็ไม่เกี่ยวกับเขา สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือเขาต้องก้าวขึ้นสู่ระดับห้าอย่างมั่นคงและรวดเร็ว
เมื่อเขาฝึกในตอนเช้า จู่ๆ เขาก็เกิดความคิดว่าต่อให้เขาได้กินแค่ขนมปัง แต่ในที่สุดแล้วเขาก็จะหาทางฝึกฝนได้เมื่อเวลามาถึง เขาใช้กิ่งไม้เขียนลงบนพื้นดินว่า วันหนึ่ง ฉันจะทำความฝันให้เป็นจริงให้ได้!
ตัวอักษรเหล่านั้นทั้งหนาและแข็งแรงเนื่องจากแฝงไว้ด้วยพลังแห่งกระบี่
หากคนที่ฝึกฝนท่วงท่าวิชากระบี่ได้เห็นตัวอักษรเหล่านี้บนพื้น พวกเขาก็อาจจะเข้าใจอะไรบางอย่าง ในครั้งนี้กิ่งไม้ไม่ได้หักคามือหลี่ว์ซู่ ราวกับว่าพลังทางกายของเขาสามารถทำให้ทุกอย่างที่เขาต้องการเป็นไปได้ ท่วงท่าวิชากระบี่ของเขากำลังค่อยๆ พัฒนา
หลี่ว์ซู่รู้สึกค่อนข้างมีความสุข เพราะยิ่งท่วงท่าวิชากระบี่ของเขาดีขึ้นมากเท่าไหร่ อัตราที่โลกให้คลื่นพลังจิตวิญญาณกับเขาก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น เขาต้องการเพียงแค่ยี่สิบวันแทนที่จะเป็นหนึ่งเดือนเพื่อไปให้ถึงระดับสี่
ในขณะที่เขากำลังฝึก เสียงควบม้าดังมาให้ได้ยินจากปลายถนน พวกเขามาถึงตามที่คิดไว้
ครั้งนี้เขาจะได้อะไรเป็นของขวัญ…
เขามองออกไปและเห็นหญิงสาวที่ชื่ออวี่เตี๋ยมาด้วยตนเอง
อวี่เตี๋ยหยุดม้าของเธอที่ข้างๆ หลี่ว์ซู่ เธอมองลงมาที่เขา “ชาวนาคนนี้ ฉันจำเป็นต้องมาที่นี่ด้วยตัวเองก่อน นายถึงจะเต็มใจยอมรับคำเชิญของฉันงั้นเหรอ”
ด้วยท่วงท่าวิชากระบี่ในมือ หลี่ว์ซู่ยิ่งดื้อดึง “ถึงแม้คุณจะมาด้วยตัวเอง ผมก็อาจจะไม่ยอมรับคำเชิญอยู่ดี”
ในตอนนั้นเองอวี่เตี๋ยสังเกตเห็นคำที่หลี่ว์ซู่เขียนบนพื้น นั่นทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจมาก
หลี่ว์ซู่มองกลับไปที่คำที่เขาเขียน อวี่เตี๋ยเข้าใจคำเหล่านี้จริงๆ เหรอ หรือเขาจะกลายเป็นกวีอมตะในโลกใบนี้ หลังจากนั้นเขาจะสามารถดึงดูดให้ชนขั้นสูงมาเป็นผู้ติดตาม และไปถึงจุดสูงสุดของชีวิตได้หรือไม่ จากนั้นผู้คนก็จะหาอาหารมาให้เขาทุกวัน แล้วเขาก็จะสามารถฝึกได้อย่างปลอดภัยและไปถึงระดับหนึ่งได้ก่อนที่จะเป็นอิสระ!
ในโลกใบนี้ ปัญญาชนได้รับการยกย่องโดยชนชั้นสูงว่าเป็นผู้ที่มีความสำคัญ จากที่จางเว่ยอวี่เคยเล่า ทาสที่สามารถสอนหนังสือได้มีค่าเท่ากับฟาร์มปศุสัตว์ซึ่งเป็นสิ่งที่มีค่ามาก
นอกจากนี้ ทาสที่สามารถสอนหนังสือได้ก็จะได้รับการยกย่องว่าสำคัญจากหัวหน้าตระกูลเช่นกัน พวกเขาจะได้รับการปฏิบัติที่ดีกว่าทาสคนอื่นๆ เป็นอย่างมาก และชาวนาบางคนอาจจะได้รับยกย่องให้เป็นแขกคนสำคัญเพราะความรู้ของพวกเขา นี่เป็นแนวทางการปฏิบัติที่ตั้งขึ้นโดยราชาแห่งทวยเทพองค์เก่า
ผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติตามแบบอย่างของผู้บังคับบัญชา หากราชาแห่งทวยเทพองค์เก่าให้ความสำคัญกับผู้มีปัญญา คนอื่นๆ ก็จะทำแบบนั้นเช่นกัน ในอดีต ครอบครัวของนายทาสกลายเป็นชนชั้นสูงเพราะลูกชายของพวกเขาเฉลียวฉลาด ความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในชนชั้นทางสังคมนี้เป็นที่ดึงดูดใจมาก
นอกจากนี้จางเว่ยอวี่ยังเคยบอกอีกว่า ผู้มีปัญญาจะได้รับการต้อนรับอย่างดีในซ่อง บทกลอนที่ดี ถึงแม้จะไม่สมบูรณ์ ก็สามารถช่วยให้กวีได้ดื่มกินอาหารดีๆ ในซ่องได้เป็นเดือน
เมื่อหลี่ว์ซู่ได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาก็รู้สึกว่าโลกใบนี้ก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น…
หลี่ว์ซู่ยืนอย่างภาคภูมิใจ เขาต้องการทำให้ตนเองดูเหมือนนักกวีทั่วๆ ไป ทันใดนั้น อวี่เตี๋ยก็พูดขึ้นว่า “ฉันไม่คิดว่านายก็ชอบบทกลอนของราชาแห่งทวยเทพองค์เก่าเหมือนกัน”
หลี่ว์ซู่รู้สึกประหลาดใจ
เดี๋ยวก่อนนะ ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ เขาอยากจะทำตัวให้เหมือนนักกวีอมตะ แต่ยังมีคนที่ไร้ยางอายมากกว่าเขาอยู่อีกหรือ!
หลี่ว์ซู่รู้สึกงงงวยเล็กน้อย “คุณชอบบทกลอนบทไหนของเขามากที่สุด”
อวี่เตี๋ยตอบอย่างตื่นเต้นว่า “ฉันไม่คิดเลยว่าจะได้เจอคนที่รู้เรื่องบทกลอนในเมืองนี้! ฉันชอบ ‘หรูเมิ่งลิ่ง’ พวกเราพายเรือ! พวกเราพายเรือ! ทำให้นกนางนวลและนกกระสาที่อยู่บนชายหาดตกใจ!”
“ฮ่าๆ” สีหน้าของหลี่ว์ซู่มืดครึ้มลง ตัวเขาคัดลอกบทกลอนมาจากทั้งนักกวีชายและหญิง แต่ราชาแห่งทวยเทพองค์เก่ามีขอบเขตที่กว้างกว่านั้น เขาไม่ให้โอกาสคนอื่นเลย…
ช่างไร้ยางอายเสียจริง!
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เขาทำให้ภาษาเป็นปกติและการเขียนเป็นมาตรฐาน เพื่อให้ทุกคนสามารถอ่านกลอนของเขาได้! ประวัติศาสตร์นี้ไม่สมเหตุสมผลด้วยซ้ำ ทำไมถึงยังยืนกรานที่จะลอกเลียนแบบอยู่อีก
อวี่เตี๋ยดูตื่นเต้นมากราวกับว่าเธอได้พบกับใครสักคนที่เข้าใจเธอ “ทาสที่หยาบคายเหล่านี้ไม่มีใครสักคนที่เข้าใจพรสวรรค์ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังบทกลอนเหล่านี้ นายฉลาดจริงๆ!”
หลี่ว์ซู่ครุ่นคิดและพูดว่า “ผมรู้แค่เล็กน้อยเท่านั้น คุณมีบันทึกรวมบทกลอนของราชาแห่งทวยเทพองค์เก่าหรือเปล่า ผมอยากจะดูสักหน่อย”
เขาพูดเช่นนั้นเพราะอยากรู้ว่าราชาแห่งทวยเทพองค์เก่าได้พลาดสิ่งใดที่เขาจะสามารถทำขึ้นมาทดแทนได้ไปหรือไม่ หากเขาได้รู้ว่าราชาองค์เก่าคัดลอกบทกลอนใดมาบ้างแล้ว บทกลอนของพวกเขาจะได้ไม่ซ้ำซ้อนกัน
“ถ้าอย่างนั้นก็ตามฉันไปที่พระราชวังสิ” อวี่เตี๋ยพูดอย่างตื่นเต้น “มันคงไม่สะดวกที่จะต้องขนกำแพงทั้งกำแพงที่เต็มไปด้วยบทกลอนกลับไปกลับมา”
เมื่อหลี่ว์ซู่ได้ยินคำว่า ‘กำแพงที่เต็มไปด้วยบทกลอน’ เขาก็เริ่มรู้สึกสิ้นหวัง…
ราชาแห่งทวยเทพองค์เก่ามีชีวิตอยู่มานานแค่ไหนกัน หรือเขาจะเบื่อเพราะอยู่มานานเกินไปใช่ไหม
ทันใดนั้นหลี่ว์ซู่ก็รู้สึกว่า เมื่อความยืนยาวของชีวิตไม่ได้มีความสำคัญต่อราชาแห่งทวยเทพองค์เก่า ชีวิตของเขาก็คงเป็นเหมือนเกมๆ หนึ่ง เพราะเขาคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดแถมยังมีชีวิตที่ยืนยาว เช่นนั้นเขาก็คงเล่นสนุกได้ตามแต่ใจปรารถนา
“ตกลง ผมจะเดินทางไปที่พระราชวังกับคุณ แต่ผมขอพูดก่อนว่า ผมจะไม่ขายตัวเองเป็นทาส” หลี่ว์ซู่พูดอย่างใจเย็น จู่ๆ เขาก็ต้องการทำความเข้าใจราชาแห่งทวยเทพองค์เก่า
ในทางกลับกัน ดูเหมือนว่าอวี่เตี๋ยได้เปลี่ยนทัศนคติของเธอไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว “จากนี้ไป นายคือเพื่อนของฉัน อย่าพูดถึงเรื่องทาสอะไรนั่นอีกเลย!”
หลี่ว์ซู่ครุ่นคิด หากเขาได้รับประโยชน์จากราชา…ไม่จำเป็นต้องพูดเลย จู่ๆ หลี่ว์ซู่ก็รู้สึกอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับราชาแห่งทวยเทพองค์เก่า เขาเคยเป็นผู้นำของโลกนี้ แต่เขาช่างธรรมดาเหลือเกิน เขาเคยโกรธเคืองโสเภณีที่อยู่ที่ซ่อง และถึงขนาดเคยลอกบทกลอน…
น่าสนใจ นี่คือคำวิจารณ์ของหลี่ว์ซู่
แต่หลี่ว์ซู่ยังคงสงสัยอีกเล็กน้อย ทำไมราชาแห่งทวยเทพองค์เก่าถึงได้มีจุดจบ ชีวิตของเขาสิ้นสุดลงตามธรรมชาติ หรือเกิดอุบัติอะไรขึ้นกันแน่
หลี่ว์ซู่มองเหล่าทาสที่ใช้แส้กระตุ้นม้าออกไป เขาถอนหายใจและพูดว่า “ผมคิดว่าเราน่าจะกินได้อีกสักสองสามวัน”
จางเว่ยอวี่รู้สึกว่าตั้งแต่เด็กหนุ่มคนนี้ปรากฏตัว ชีวิตของเขาก็เหมือนเข้าไปอยู่ในโลกนิยาย ทุกสิ่งล้วนแปลกประหลาด ไม่ใช่เพียงแค่มีติ่มซำมาส่ง แต่ยังมีแม้กระทั่งขาหมูอีกด้วย
นอกจากนี้ เด็กหนุ่มคนนี้ยังได้รับเชิญให้ไปเยือนบ้านของคนพวกนั้น! เรื่องแบบนี้หาได้ง่ายๆ ที่ไหน!
ลืมไปได้เลย แต่หลังจากหลี่ว์ซู่ปฏิเสธข้อเสนอ พวกทาสยังบอกอีกว่าอวี่เตี๋ยบอกพวกเขาแล้ว เพราะหลี่ว์ซู่หน้าตาดี ดังนั้นเธอจะปล่อยเขาไปก่อน!
จางเว่ยอวี่มองหลี่ว์ซู่อย่างตกใจ “ฉันคิดมาตลอดว่าคนที่มีพลัง มักจะเอาชีวิตรอดด้วยทักษะของพวกเขา แต่นายกับเอาชีวิตรอดด้วยหน้าตา!”
หลี่ว์ซู่หัวเราะอย่างถ่อมตัว “ผมไม่มีทางเลือก สวรรค์ก็แค่ประทานอาหารให้ผมกิน”
[ได้แต้มจากจางเว่ยอวี่ +481!]
ด้วยวิธีนี้ หลี่ว์ซู่ค่อยๆ ผสานร่างเข้ากับกระบี่ตามข้อแนะนำอย่างอดทน โชคดีที่เขาไม่ต้องปลูกพืชผักอีกต่อไป เพราะในทุกๆ วัน จะมีคนนำอาหารมาให้เขา จางเว่ยอวี่รู้สึกมึนงง หรือนี่จะเป็นเรื่องราวที่ลูกสาวจากตระกูลที่ร่ำรวยมาตกหลุมรักเด็กหนุ่มยาจก
เรื่องราวดังกล่าวเล่าถึงความรักที่ต้องก้าวข้ามชนชั้นในแบบที่ค่อนข้างสุรุ่ยสุร่าย ราวกับว่านี่เป็นเพียงรูปแบบเดียวของความรัก
นอกจากนี้ยังดูเหมือนว่าผู้นำตระกูลอวี่อาจจะอ่านหนังสือมากเกินไป เธอถึงได้เชื่อเรื่องแนวๆ นี้
ในวันที่หนึ่ง หลี่ว์ซู่ให้ติ่มซำกับจางเว่ยอวี่ แต่เขาไม่ได้กินมัน
ในวันที่สอง หลี่ว์ซู่ให้ติ่มซำกับจางเว่ยอวี่อีก แต่เขาก็ไม่ได้กินมัน
ในวันที่สาม หลี่ว์ซู่ทำอาหารที่มีเนื้อหมูให้จางเว่ยอวี่ และเขาก็กินอย่างมีความสุข
มันเป็นเรื่องยากสำหรับหลี่ว์ซู่ในการทำอาหารจานนี้ เพราะนอกจากเกลือแล้ว ก็ไม่มีเครื่องปรุงอื่นใดในพื้นที่ทุรกันดารนี้
โดยปกติแล้ว ผู้คนจะฆ่าหมูเฉพาะในวันปีใหม่ หรือไม่ก็ในเทศกาลอื่นๆ และขายเนื้อหมูให้พวกนายทาสและเหล่าชนชั้นสูง จากนั้นพวกเขาจะใช้ไขมันจำนวนเล็กน้อยเพื่อสกัดเอาน้ำมันหมูออกมา ซึ่งพวกเขาแทบจะรอไม่ไหวที่จะได้ใช้น้ำมันนี้ในการทำอาหาร และถ้าพวกเขาตะกละมาก ก็จะผสมน้ำมันจำนวนเล็กน้อยลงไปในอาหารของพวกเขาด้วย
ในขณะที่จางเว่ยอวี่กินเนื้อหมู เขาพูดอย่างตื่นเต้นว่า “ฉันจะบอกอะไรให้นะ เนื้อหมูนี้ไม่ใช่อาหารที่ดีที่สุด ครั้งหนึ่งฉันเคยกินไก่ย่างชุ่มน้ำมันที่พระราชวัง นั่นถึงจะเป็นอาหารที่เยี่ยมยอด!”
หลี่ว์ซู่ชำเลืองมองจางเว่ยอวี่ “คุณเคยไปที่พระราชวังด้วยเหรอ”
จางเว่ยอวี่ไม่พูดและกินต่อไป
พระราชวังตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างคฤหาสน์ของจอมทัพสวรรค์ทั้งสี่ เขตแดนของพวกเขาถูกจัดแบ่งอย่างเรียบร้อยเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส
แต่นั่นเป็นเรื่องในอดีต หลายปีหลังสงคราม เขตแดนต่างๆ ก็ไม่ชัดเจนอีกต่อไป
ทุ่งที่หลี่ว์ซู่และจางเว่ยอวี่อาศัยอยู่ๆ ภายใต้การควบคุมของจอมทัพสวรรค์ทักษิณ เหวินไจ้โฝ่ว แต่ห่างออกไปสามสิบกิโลเมตรทางตะวันตกเป็นเขตแดนของจอมทัพสวรรค์บูรพา ตวนมู่หวงฉี่
ไม่แปลกใจเลยที่จางเว่ยอวี่เคยบอกว่า ถ้าหากมีสงครามเกิดขึ้นหลี่ว์ซู่จะต้องหนีไปกับเขา เพราะพื้นที่นี้อยู่ในแนวชายเเดน ถ้ามีสงครามเกิดขึ้นจริง สถานที่แรกที่จะได้รับผลกระทบก็คือพื้นที่ทุ่งของพวกเขา
“พระราชวังเป็นยังไงเหรอ” หลี่ว์ซู่ถาม
จางเว่ยอวี่เช็ดปาก “ทุ่งของพวกเราแย่มากเมื่อเทียบกับพระราชวัง ที่นั่นบ้านเรือนถูกจัดระเบียบเป็นแถวแน่นขนัด นายทาสที่อยู่ที่นั่นก็ไม่กล้าพูดจาเสียงดัง ถ้านายฉีดน้ำที่นั่น นายอาจจะทำให้บางพื้นที่เปียกได้โดยบังเอิญ พื้นที่นั่นปูไว้ด้วยอิฐหินปูน ลูกๆ ของนายทาสสามารถวิ่งเล่นไปตามท้องถนนได้ และถึงขั้นมีคนคอยสอนร้องเพลง ครอบครัวที่ร่ำรวยจะมีประตูที่กว้างและโอ่อ่า และถึงขั้นมีโคมแดงอยู่ที่ประตูแต่ละด้าน รวมทั้งมีทาสคอยเฝ้าบ้านด้วย”
“ในตอนนั้น ตามท้องถนนเต็มไปด้วยผู้คนในช่วงเทศกาล นายทาสทั้งหลายก็จะออกไปที่ถนน ทำไมน่ะเหรอ ก็เพราะมีแค่ช่วงเวลานั้นที่พวกเขาจะได้เห็นหญิงชนชั้นสูงว่าพวกหล่อนหน้าตาเป็นยังไง ฮี่ๆ” จางเว่ยอวี่หัวเราะอย่างกักขฬะ “ในอดีต ฉันคิดว่าหญิงชนชั้นสูงทุกคนคงดูเหมือนกับเทพธิดา แต่หลังจากที่ฉันได้เห็นพวกเธอ ฉันก็เริ่มตั้งคำถามถึงการมีอยู่ของตัวเอง ทำไมพวกเธอถึงน่าเกลียดจัง”
หลี่ว์ซู่ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้และพูดว่า “หรือคุณกลัวว่าจะไม่ถูกเลือกเพราะครอบครัวเชื่อมโยงกันโดยการแต่งงาน”
จางเว่ยอวี่ยกนิ้วให้หลี่ว์ซู่ “ฉันไม่ได้คาดหวังว่าทาสอย่างนายจะมีความรู้ที่จะมีความคิดแบบนั้น!”
“ไปให้พ้น” หลี่ว์ซู่พูด
ตอนนี้จางเว่ยอวี่ต้องพึ่งพาอาหารจากหลี่ว์ซู่ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ทำตัวก้าวร้าวเหมือนที่ผ่านมา หลี่ว์ซู่จึงพูดคุยกับเขาได้เหมือนเพื่อน
จู่ๆ จางเว่ยอวี่ก็พูดขึ้นมาว่า “พรุ่งนี้ฉันต้องไปเยี่ยมญาติ ช่วยฉันดูแลพืชผลด้วย”
“ไม่” หลี่ว์ซู่ไม่แม้แต่จะคิดก่อนตอบ “พืชเหล่านั้นจะเป็นเหมือนเดิมถึงแม้จะไม่มีใครดูแล มันก็แค่วันเดียวเอง พืชเหล่านั้นจะโตได้สักแค่ไหนกันเชียว”
จางเว่ยอวี่ตะโกน “อย่าหลงคิดว่าตระกูลอวี่ส่งอาหารดีๆ มาให้แล้วนายจะไม่ต้องทำอะไรนะ รอจนกว่าพวกเขาเบื่อนาย พอถึงตอนนั้นนายก็จะต้องหันมาพึ่งพืชผลของฉันเพื่อมีชีวิตรอด”
“ถึงคุณจะพูดแบบนั้นผมก็จะไม่ทำอยู่ดี” หลี่ว์ซู่ปฏิเสธอย่างไร้อารมณ์
เขาอยู่ที่นี่มาเกือบครึ่งเดือนแล้ว และตอนนี้เขาก็เกือบจะไปถึงระดับห้าแล้ว และในตอนที่เขาไปถึงระดับสี่ เขาก็จะสามารถเดินไปตามข้างทุ่งได้
ในท้องทุ่งแห่งนี้ คนที่แข็งแกร่งที่สุดคือชนชั้นสูงที่อยู่ระดับสาม แต่หลี่ว์ซู่รู้ดีว่าถึงแม้พวกชนชั้นสูงจะอยู่ในระดับสูง แต่พวกเขาขาดทัศนคติและวิธีการ ถึงแม้ตัวเขาจะอยู่เพียงระดับสี่ เขาก็มั่นใจว่าจะสามารถฆ่าคนที่อยู่ระดับสามได้
แต่จู่ๆ หลี่ว์ซู่ก็รู้สึกว่าการเดินทางของจางเว่ยอวี่ในครั้งนี้ คงไม่ได้ง่ายเหมือนการไปเยี่ยมญาติเฉยๆ แน่ ตัวเขามีเรื่องราวลึกลับมากเกินไป มันดูราวกับว่าประชาชนคนธรรมดา จู่ๆ ก็จะไปที่พระราชวังซึ่งอยู่ห่างไปหลายพันกิโลเมตร พวกเขาจะไปที่นั่นได้อย่างไร และจะกลับมาอย่างไร ในเมื่อที่นี่ไม่มีเครื่องบินหรือรถไฟ!
จางเว่ยอวี่ไม่ได้เลี่ยง แต่ก็เลือกที่จะไม่พูดถึงรายละเอียด
แต่สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขา เขาก็แค่แขกผู้มาเยือนของโลกใบนี้ สุดท้ายแล้วเขาก็จะจากไปหลังจากหาทางได้
ในช่วงเวลาเดียวกันที่ร้านหม้อไฟในฉวนโจว พยัคฆ์จื๋อเช็ดปากที่มันเยิ้มของเขาและพูดว่า “ผ้าขี้ริ้วนี่ยอดเยี่ยมจริงๆ แค่ปรุงในน้ำร้อนและเติมน้ำมัน น้ำส้มสายชู และกระเทียมบด แต่กลับอร่อยมาก แม้แต่ไก่ย่างไฟในพระราชวังยังเทียบไม่ได้เลย”
“หลังจากมาที่นี่ ฉันก็เข้าใจแล้วว่าทำไมราชาแห่งทวยเทพองค์เก่าถึงได้ชอบมาที่นี่นัก” คลาวน์อีถอนหายใจ “มันเป็นโลกที่แตกต่างในแง่ของอาหารการกิน”
“ฉันรู้สึกว่าเป็นเพราะเครื่องปรุง วิธีการใช้เครื่องปรุงที่นั่นแย่มาก…” พยัคฆ์จื๋อถอนหายใจ “แต่เธอไม่กังวลเหรอว่าอาจจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเขาตอนอยู่ที่นั่น เขาจะไม่โกรธเหรอถ้ารู้ว่าพวกเราอยู่ที่นี่แล้วได้ทั้งดื่มและกินแต่ของดีๆ”
คลาวน์อีครุ่นคิดอยู่นาน “ราชาแห่งทวยเทพองค์เก่ายังมีอาวุธลับอีกมากมายอยู่ที่นั่น หากพวกมันถูกนำมาใช้ ก็มั่นใจในความปลอดภัยของเขาได้เลย ตอนนี้พวกเรากลับมาที่ระดับหนึ่งแล้ว หากเราอยากจะเดินทางผ่านประตูดารา พวกเราจำเป็นต้องลดระดับลง ซึ่งประตูดาราถูกทิ้งไว้เบื้องหลังโดยราชาแห่งทวยเทพองค์ก่อน เพื่อให้พวกเราสามารถมากินอาหารที่นี่ได้ เขาสามารถมาและไปได้ตามแต่ใจปรารถนา แต่พวกเราทำแบบนั้นไม่ได้ ถ้าพี่ใหญ่ไม่บอกเรา พวกเราอาจจะไม่รู้แม้กระทั่งว่าประตูอยู่ที่ไหน…ตอนนี้ พวกเราใช้ผลไม้ที่ราชาแห่งทวยเทพทิ้งไว้ให้หมดแล้ว หากเราฝืนลดระดับของพวกเราอีก เราอาจจะไม่สามารถกลับไปได้อีกเลย!”
พยัคฆ์จื๋อเกาหัว “ถ้างั้นพวกเราควรทำยังไง ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของฉันไม่ทำงานแล้ว”
คลาวน์อีครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ “หรือเราควรบอกเสี่ยวอวี๋ว่าประตูอยู่ที่ไหน เลือดของเธอสามารถใช้เปิดประตูได้…”
“เป็นความคิดที่ดี” พยัคฆ์จื๋อตาเป็นประกาย “เธอยังไปไม่ถึงระดับหนึ่ง แต่เธอมีพลังต่อสู้ของระดับหนึ่ง นั่นก็ดีเหมือนกัน!”
“ไตแกะสุกแล้ว ระวังพริกไทยที่อยู่ข้างในด้วยล่ะ”
“น้อง เอาผ้าขี้ริ้วมาอีกจาน!”
จางเว่ยอวี่เดินเข้าไปในบ้านซึ่งแยกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งเป็นพื้นที่สำหรับนอน และอีกส่วนสำหรับทำอาหาร
ในห้องเล็กๆ หลี่ว์ซู่กำลังต้มน้ำอยู่บนเตาในห้องครัว จางเว่ยอวี่พิงจอบไว้ข้างกำแพงและถามด้วยความสงสัย “นายกำลังทำอะไร”
“ต้มน้ำไว้ดื่ม และผมยังใช้ที่เหลือไว้อาบน้ำได้ด้วย” หลี่ว์ซู่ตอบพร้อมรอยยิ้ม
จางเว่ยอวี่อ้าปากค้างด้วยความตกใจ “ต้มน้ำไว้ดื่ม? นายแค่ดื่มๆ มันเข้าไปเลยไม่ได้เหรอ แล้วนายก็ไปอาบน้ำในแม่น้ำก็ได้ ฉันต้องใช้ความพยายามตั้งเท่าไหร่เพื่อขนน้ำมาที่นี่ แล้วนายยังจะมาทำให้เสียของอีก”
มีถังน้ำขนาดใหญ่ตั้งอยู่ในห้อง โดยปกติแล้วถังนี้จะมีน้ำไม่เต็มเพราะจางเว่ยอวี่ไม่ได้แข็งแรงถึงขนาดที่จะขนน้ำเป็นจำนวนมากได้ทุกวัน แค่น้ำสำหรับใช้ในชีวิตประจำวันก็สร้างความลำบากให้เขาแล้ว ดังนั้นน้ำจึงเป็นทรัพยากรอันล้ำค่าในครัวเรือนของเขา
ถ้าน้ำถูกใช้จนหมด เขาก็จะต้องเดินไปที่แม่น้ำซึ่งอยู่ไกลไปกว่าสามกิโลเมตรเพื่อไปขนน้ำมาเพิ่ม
หลี่ว์ซู่ตอบพร้อมยิ้มกว้าง “น้ำที่ไม่ยังไม่ต้มใช้ดื่มไม่ได้ มันสกปรกเกินไป แต่ไม่ต้องกลัวว่าผมจะใช้น้ำของคุณจนหมด ตอนนี้น้ำเกือบเต็มถังแล้วดูสิ”
นั่นออกจะน่าเหลือเชื่อ จางเว่ยอวี่ชำเลืองมองไปยังถังน้ำและเห็นว่าน้ำเต็มถังจนปริ่มมาถึงขอบจริงๆ
เขาจ้องหลี่ว์ซู่อย่างไม่อยากจะเชื่อ “นายขนน้ำพวกนี้มาที่บ้านเหรอ”
จางเว่ยอวี่คิดว่านี่ออกจะน่าเหลือเชื่อที่คนขี้เกียจอย่างหลี่ว์ซู่จะเต็มใจเดินไปตั้งไกลและขนน้ำกลับมาเติมจนเต็มถัง และนี่ก็ไม่ใช่งานที่ง่ายเลย!
หลี่ว์ซู่หัวเราะ เขาหยิบชามมาเทน้ำต้มให้ตัวเอง หากจะพูดตามตรง น้ำที่ยังไม่ต้มมีกลิ่นสุดจะทนซึ่งทำให้นั่นเป็นเรื่องยากสำหรับหลี่ว์ซู่ที่จะดื่มมันลงไป
อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านในจักรวาลหลี่ว์ดูเหมือนจะเคยชินกับการใช้ชีวิตอยู่ด้วยอาหารและน้ำดื่มคุณภาพต่ำ สองสามทศวรรษที่ผ่านมา ผู้คนนับไม่ถ้วนเสียชีวิตจากแบคทีเรียในอาหาร และมีแค่คนที่มีแอนติบอดีโดยเฉพาะเท่านั้นที่รอดจากภัยพิบัตินี้ ดังนั้นหากปราศจากพลังดั้งเดิม จึงเป็นการดีกว่าถ้าเขาจะระมัดระวังเป็นพิเศษในโลกใบนี้
จางเว่ยอวี่พึมพำ “ทาสอย่างนายนี่ช่างเลือกจริงๆ”
สีหน้าของหลี่ว์ซู่มืดครึ้มลงทันที “ทาสอะไร!”
จางเว่ยอวี่ไม่ตอบ เเต่เขาพึมพำในขณะที่คิดถึงอดีต “น้ำต้มของนายทำให้ฉันนึกถึงวันเก่าๆ ในตอนนั้น ชีวิตของพวกเราไม่ได้ยากลำบากขนาดนี้ ตอนที่ราชาแห่งทวยเทพองค์เก่ายังมีชีวิตอยู่ เขาทำให้ภาษาพูดภาษาเขียน สกุลเงิน และหน่วยวัดของพวกเราเป็นมาตรฐานเดียวกัน นอกจากนี้ ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง เขาจึงสร้างกฎขึ้นมาว่าทุกคนที่อาศัยอยู่ในจักรวาลหลี่ว์ห้ามดื่มน้ำที่ยังไม่ได้ต้ม หรือขับถ่ายในที่สาธารณะ เขายังเผยแพร่หนังสือ แหล่งข้อมูล และส่งเสริมการศึกษาให้เด็กทุกคน หลังจากนั้นเขาก็ริเริ่มระบบการสอบเพื่อให้คนที่มาจากครอบครัวยากจนสามารถไต่เต้าขึ้นบันไดทางสังคมได้…ฉันหวังว่าราชาองค์เก่าจะยังมีชีวิตอยู่ เพราะถ้าเขายังอยู่ โลกก็คงไม่ยุ่งเหยิงเละเทะขนาดนี้”
หลี่ว์ซู่ตกตะลึง เขาสงสัยจริงๆ ว่าราชาองค์เก่าเคยไปเยือนโลกมนุษย์มาก่อนหรือเปล่า!
แต่เดี๋ยวก่อน สิ่งที่เขาสงสัยก็พอจะเป็นไปได้อยู่ เพราะโลกทั้งสองนั้นเชื่อมต่อกัน! ในฐานะชายที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวาลหลี่ว์ เขาคงจะสามารถไปเยือนโลกมนุษย์ได้ง่ายๆ เหมือนที่มนุษย์ไปเที่ยวต่างประเทศ!
ใครจะไปรู้!
ด้วยเหตุผลบางอย่าง จู่ๆ หลี่ว์ซู่ก็รู้สึกว่า ‘ราชา’ ดูมีความเป็นมนุษย์มากขึ้น ราวกับว่าเขาไม่ใช่เทพเจ้าที่ทำตัวอยู่เหนือความวุ่นวายและภาคภูมิใจกับการสักการบูชา แต่เขาเป็นเหมือนมนุษย์มากกว่า
หลี่ว์ซู่ถามไปเรื่อยๆ “ราชาองค์เก่ายังทำอะไรอีกบ้างเหรอ”
สิ่งนี้ดึงดูดความสนใจของจางเว่ยอวี่ เขาพูดต่ออย่างกระตือรือร้น “ราชาองค์เก่าใช้ชีวิตอย่างเป็นตำนาน และเขามีเรื่องให้เล่ามากมาย เขานำทหารออกรบอย่างกล้าหาญและต่อสู้อยู่ในสนามรบกว่าสามพันปี เข่นฆ่าศัตรูนับไม่ถ้วน และหลังจากนั้น เขายุติสงครามลงได้อย่างรวดเร็ว เรื่องเกี่ยวกับเขาที่ฉันชอบมากที่สุดก็เป็นเรื่องที่ทุกคนที่นี่ชื่นชอบเช่นกัน และฉันก็เบื่อแล้วที่จะต้องฟังเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เรื่องมีอยู่ว่า วันหนึ่งในระหว่างทางไปเยี่ยมจอมทัพสวรรค์ประจิม อวี้ฝูเหยา ราชาองค์เก่าบังเอิญเดินผ่านซ่อง…”
ใบหน้าของหลี่ว์ซู่เจิดจ้าขึ้นมาทันที “ผมไม่เห็นรู้เลยว่าที่นี่มีซ่องด้วย!”
“ห้ามไปที่นั่นเด็ดขาด ถ้านายอยากจะฝึกบำเพ็ญ” จางเว่ยอวี่พูดขณะที่เขามองหลี่ว์ซู่อย่างดูถูก จากนั้นเขาก็พูดต่อ “ในตอนที่ราชาองค์เก่าเดินผ่านที่นั่น เด็กสาวคนหนึ่งที่มักจะเปิดหน้าต่างไว้เสมอ ตั้งใจโยนไม้ท่อนหนึ่งมาที่เขาเพื่อดึงดูดความสนใจ ราชาองค์เก่ามองขึ้นไป และเด็กสาวก็พูดว่า ‘นายท่าน ได้โปรดช่วยโยนท่อนไม้กลับขึ้นมาได้หรือไม่ และเพื่อตอบแทนความกรุณาของท่าน ท่านจะทำอะไรข้าก็ได้’ ในตอนสุดท้าย ราชาองค์เก่าขึ้นไปข้างบนพร้อมท่อนไม้ และสั่งให้เด็กสาวคัดประโยค ‘ข้าจะไม่โยนท่อนไม้ลงไปข้างล่างอีกต่อไป’ สามสิบจบ! ฮ่าๆๆ …”
หลี่ว์ซู่ถอนหายใจด้วยความตกใจ ทำไมราชาองค์เก่าถึงมีนิสัยคล้ายกับเขาขนาดนี้! แต่หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าถ้าเขาเป็นราชาองค์เก่า เขาน่าจะทำให้เด็กสาวร้องไห้ไปแล้ว…ไม่สิ เขาไม่ควรจะใจร้ายกับคนที่ทำงานในซ่องขนาดนั้น…
แต่จากเรื่องที่จางเว่ยอวี่เล่า ทำให้หลี่ว์ซู่รู้สึกชอบราชาแห่งทวยเทพองค์เก่ามากขึ้น ไม่ว่าอย่างไร เขาก็รักษาท่าทางก่อนความสวยงาม
จะว่าไป หรือว่าเขาคือราชาของปรมาจารย์หุ่นเชิด หรือว่ายังมีคนอื่นอีก หลี่ว์ซู่ค่อนข้างจะเชื่ออย่างหลังมากกว่า เพราะเนี่ยถิง สือเสวจิ้น และหลี่เสียนอี ทุกคนปฏิเสธที่จะพูดถึงราชาองค์เก่า ราวกับว่าเขาเป็นสิ่งต้องห้าม แต่จากที่จางเว่ยอวี่เล่า เขาไม่ได้ดูน่ากลัวเลย หรืออาจจะเป็นเพราะหลี่ว์ซู่ไม่เคยอยู่ในสงครามในช่วงสมัยของเขา
ในตอนกลางคืน หลี่ว์ซู่กลับมาฝึกกระบี่ต่อหลังจากจางเว่ยอวี่เข้านอน ก่อนหน้านี้ จางเว่ยอวี่แนะนำเขาอย่างจริงจังว่าเขาต้องอยู่กับความเป็นจริง และควรเก็บขนมหวานบางส่วนไว้สำหรับอนาคต และควรจะออกไปเริ่มทำไร่ไถนากับเขาหากอยากจะร่ำรวย…
หลี่ว์ซู่หัวเราะ เขายืนยันจะทำตามแผนของตัวเองต่อไป
เขาเลือกหยิบอาวุธขึ้นมาจากกองฟืน เขาหักกิ่งไม้ไปส่วนหนึ่งในตอนที่เขาปลดปล่อยพลังออกมาในตอนกลางวัน และในตอนนั้นเองที่หลี่ว์ซู่ได้รู้ว่าการควบคุมพลังของเขายังไม่ถึงขั้นสมบูรณ์แบบ
ขั้นตอนแรกในการควบคุมพลังงานกระบี่ขั้นสูงสุด ก็คือการควบคุมพลังของตนเองให้ได้ก่อน
วันต่อมา จางเว่ยอวี่ถามหลี่ว์ซู่ด้วยความประหลาดใจในขณะที่เขาเดินออกมาจากห้อง “นี่นายนอนข้างนอกอีกแล้วเหรอ”
แต่จางเวยอวี่ยังสังเกตเห็นอีกว่าหลี่ว์ซู่ดูสดชื่นขึ้นในหลายวันมานี้ หลี่ว์ซู่หมดสติในตอนที่พวกเขาเพิ่งพบกัน และดูไร้เรี่ยวแรงในตอนที่ตื่นขึ้นมา แต่ตอนนี้เขากลับดูมีพลังเต็มที่
หลี่ว์ซู่ยิ้ม “ผมจะไม่ไปที่ทุ่งกับคุณในวันนี้ ผมต้องกินขนมหวานให้หมด”
จางเว่ยอวี่เอ่ยเตือนอีกครั้ง “นายจะกินจนหมดในวันนี้! นายต้องเผื่อวันข้างหน้าด้วยสิ!”
ในตอนนี้เอง พวกเขาได้ยินเสียงกีบเท้าม้าดังมาจากที่ไกลๆ จางเว่ยอวี่อ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ หรือว่านั่นคือ…
เหล่าทาสที่มาเมื่อวันก่อนปรากฏขึ้นในครรลองสายตาของพวกเขา ผู้ที่เป็นหัวหน้าพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอู้อี้ “เจ้านายสั่งให้พวกเรานำของขวัญมาให้เพิ่มอีก และยังเชิญนายไปที่คฤหาสน์ด้วย นายจะไปไหม”
หลี่ว์ซู่หัวเราะ “เอาของขวัญวางไว้ แต่ผมไม่ไป”
ผู้เป็นหัวหน้าเตรียมควบม้ากลับ แต่ก่อนที่เขาจะจากไป เขาพูดว่า “เจ้านายฝากบอกว่า เธอไม่ว่าอะไรถ้าวันนี้นายจะไม่ไปเพราะเห็นแก่ใบหน้าหล่อๆ ของนาย แต่เธอเชื่อว่าสักวันนายจะต้องยอมไปอย่างแน่นอน”
เบื้องหน้าหลี่ว์ซู่คือเส้นทางแคบๆ ตัดผ่านทิวทัศน์ชนบท กำแพงดินเหนียวและรั้วไม้เรียบง่ายเรียงรายอยู่ตามสองข้างทาง ที่ด้านนอกมีม้าตัวสูงหลายตัวและเหล่าทาสในชุดเกราะที่ในมือถือดาบไว้คนละเล่ม พวกเขาผมยุ่งเหยิง สวมเสื้อคลุม และใส่รองเท้าบูตด
หลี่ว์ซู่รู้สึกเหมือนได้เดินทางย้อนเวลากลับไปในยุคโบราณ พูดตามตรงคือเขารู้สึกเหมือนได้เดินทางข้ามเวลามากกว่าอวกาศ
จริงๆ แล้วหลี่ว์ซู่คงจะปฏิเสธของขวัญจากตระกูลอวี่ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนคืนนั้น เพราะหากจะพูดตามความเป็นจริง เขาต้องการความคุ้มครองจากคนพวกนี้
แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก และเขาก็ไม่เต็มใจไปเป็นทาสเช่นกัน เพราะขนาดในตอนแรกที่เนี่ยถิงเสนอตำแหน่งราชันฟ้าคนที่เก้าให้ เขายังปฏิเสธไป แล้วนับประสาอะไรกับการไปเป็นทาส
แต่ตอนนี้เรื่องต่างออกไปแล้ว หลี่ว์ซู่มีความมั่นใจว่าเขาจะสามารถไปถึงระดับที่สี่ที่เทียบเท่ากับผู้มีพลังระดับ D ที่โลกมนุษย์ได้ในหนึ่งเดือน ยิ่งเขาใช้เวลาที่นั่นมากเท่าไร เขาก็ยิ่งจะแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น
จากคำบอกเล่าของจางเว่ยอวี่ เจ้านายที่มีอำนาจมากที่สุดในเมืองยังไปถึงได้แค่ระดับที่สี่เท่านั้น เพราะระดับที่สามและสูงกว่านั้น ผู้ที่จะสามารถบรรลุได้มีเพียงขุนนางชั้นสูง เพราะวิธีการที่จำเป็นสำหรับการฝึกบำเพ็ญในขั้นสูง ถูกสงวนไว้สำหรับชนชั้นสูงเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม หลี่ว์ซู่มีทักษะการฝึกบำเพ็ญครบชุด ในขณะที่พวกชนชั้นสูงอย่างมากก็สามารถบรรลุได้เพียงระดับที่สอง แต่หลี่ว์ซู่สามารถบรรลุได้สูงกว่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้นคือเขาไม่ใช่มือใหม่อีกต่อไป ด้วยประสบการณ์ชีวิตอันโชกโชนของเขา เขาสามารถตัดสินใจได้ดีกว่าพวกเจ้านายและขุนนางชั้นสูงในเมืองนี้เสียอีก ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจละทิ้งความคุ้มครองเพื่ออาหาร…
เหล่าทาสที่มาที่นี่เพื่อมอบของขวัญมองหน้ากันด้วยความไม่เข้าใจ พวกเขาไม่คาดหวังว่าหลี่ว์ซู่จะยอมรับข้อเสนอเพราะเจ้านายพวกเขาเคยอธิบายถึงลักษณะของคนคนนี้ไว้ว่าเป็นชายผู้ซื่อตรง…
แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้โต้ตอบ หลี่ว์ซู่ก็เริ่มออกคำสั่ง “มาเลย เอาของทุกอย่างไปวางในห้อง แล้วอย่าทำอาหารสกปรกล่ะ”
เหล่าทาสทำตามที่เขาสั่ง จางเว่ยอวี่เตือนเขาเบาๆ ว่า “นายจะสูญเสียความคุ้มครองจากตระกูลอวี่นะถ้านายยังทำแบบนี้ ในความเป็นจริงคือใบหน้าอันหล่อเหลาไม่ได้รับประกันความปลอดภัยของนายในโลกใบนี้ ฉันจะบอกอะไรให้ มีเจ้านายหลักๆ อยู่สามคนในเมืองนี้ และตระกูลอวี่ไม่ใช่ตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุด หากไม่มีความคุ้มครองจากตระกูลอวี่แล้ว อีกสองตระกูลก็จะสามารถจับตัวนายไปได้ตามที่พวกเขาต้องการ พวกเขาค่อนข้างน่ารังเกียจ ยิ่งไปกว่านั้นคือพวกขุนนางชั้นสูงที่เป็นเจ้านายตัวจริงของที่นี่ พวกเขาไม่สนใจจะเจรจากับนายหรอกนะ และทุกคนต้องเชื่อฟังเขา!
หลี่ว์ซู่พยักหน้ารับรู้อย่างเงียบๆ ตอนนี้เขารู้แล้วว่ากองกำลังหลักในเมืองเถียนเกิ่งก็คือพวกชนชั้นสูง และเจ้านายที่มีอิทธิพลอีกสามคน นอกจากนี้เมืองทั้งเมืองยังเป็นศักดินาของพวกชนชั้นสูง ทำให้เขาเป็นผู้ดูแลที่แท้จริงของที่นี่
นอกจากนี้คือหลี่ว์ซู่ไม่เห็นด้วยกับคำพูดที่ว่า ‘ใบหน้าอันหล่อเหลา’ ถึงแม้ว่าครั้งหนึ่งคอรัลจะเคยบอกว่าเขาดูดี แต่เธอก็ยังเสริมว่าเขาไม่ใช่ ‘คนที่ดูดีที่สุด’ ที่เธอเคยเจอ…
อย่างไรก็ตาม จู่ๆ หลี่ว์ซู่ก็เข้าใจได้ว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น คนจักรวาลหลี่ว์มีสีผิวที่ค่อนข้างเข้ม ในขณะที่เขา…เป็นหนึ่งไม่กี่คนที่มีผิวขาว
หรือนี่จะเป็นเหตุผลที่ทำให้คนคิดว่าคนผิวขาวดูดี หลี่ว์ซู่ครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้…จู่ๆ เขาก็รู้สึกดีต่อโลกใบนี้ขึ้นมาบ้างแล้ว…
แต่จางเว่ยอวี่อวี่สังเกตได้ว่าหลี่ว์ซู่ไม่ได้จริงจังกับคำพูดเขานัก
หลังจากเหล่าทาสขนของทั้งหมดเข้าไปในห้อง พวกเขาก็ดูไม่ค่อยพอใจกับสภาพซอมซ่อของบ้านของจางเว่ยอวี่ ผู้นำกลุ่มเดินออกมาและพูดว่า “พวกเราคนของเสร็จแล้ว ตอนนี้จะกลับไปรายงานผล”
ในตอนที่เขาเพิ่งจะพูดจบ เขาก็เห็นหลี่ว์ซู่แกะกล่องของขวัญในห้องเรียบร้อยแล้ว กล่องถูกห่อด้วยกระดาษสีแดงที่ให้ความรู้สึกรื่นเริง…
เหล่าทาสพูดไม่ออก จากนั้นพวกเขาจึงตะโกนเสียงดังขึ้นอีกครั้ง “พวกเรากำลังจะกลับแล้ว!”
“ได้เลย ไสหัวไปเล้ย!” หลี่ว์ซู่โบกมือไล่พวกเขา เขาแกะกระดาษห่อออกและพบกับขนมหวานเต็มกล่อง ช่างเป็นการเซอร์ไพรส์ที่น่าประทับใจมาก!
เมื่อพวกทาสจากไป จางเว่ยอวี่ยืนกลืนน้ำลายในขณะที่มองหลี่ว์ซู่เคี้ยวขนม
หลี่ว์ซู่ดันกล่องขนมที่ยังไม่แกะไปทางจางเว่ยอวี่ “เอาไปสิ นี่ของคุณ”
จางเว่ยอวี่ปฏิเสธด้วยการส่ายหัว “เก็บไว้กินเองเถอะ นายต้องการอาหารดีๆ เพื่อการฝึกฝน นอกจากนี้คือการกินของเหล่านี้ก็ไม่ได้มีประโยชน์กับฉัน” ในขณะที่เขาพูดประโยคเหล่านี้ จู่ๆ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป “แต่ฉันแนะนำว่านายอย่าเพิ่งกินทั้งหมดนี่ด้วยความรีบร้อน เด็กสาวตระกูลอวี่คนนี้ไม่ใช่จะเป็นคนแบบที่นายคิด ฉันสงสัยว่าเธอคงจะไม่ใจดีแบบนี้กับนายอีก”
หลี่ว์ซู่ยิ้มแต่ก็ยังไม่ยอมหยุดกิน เขารู้ว่าจางเว่ยอวี่เป็นคนฉลาด และมีจิตใจที่อบอุ่น แต่เมื่อเขาพูด เขามักจะพูดตรงๆ เสมอ
แต่หลี่ว์ซู่ไม่ได้ใส่ใจเขา ความคิดเดียวของเขาตอนนี้ก็คือการฝึกวิชากระบี่ต่อไป
นอกจากนี่เขายังหวังว่าโซ่ตรวนที่เชื่อมระหว่างแผนภูมิดาราและจุดชี่ไห่จะปลดปล่อยออกมาช้ากว่านี้หน่อยเพื่อให้เขามีเวลาในการฝึกฝนความแข็งแรงของร่างกายกับคลื่นพลังจิตวิญญาณที่หายากนี้
หากแผนภูมิดาราเป็นอิสระเร็วเกินไป คลื่นพลังจิตวิญญาณในร่างกายของเขาอาจจะถูกควบคุมโดยแผนภูมิดารา และยุติการฝึกฝนร่างกายของเขาก่อนเวลาอันควร
ในความเป็นจริงแล้วหลี่ว์ซู่รู้สึกอ้างว้างอยู่หน่อยๆ แต่เขาต้องปลอบใจตัวเองแบบนี้ เพราะโซ่ตรวนคงเอาออกไม่ได้ในเร็วๆ นี้หรอก…
หลังจากนั้นสักพัก จางเว่ยอวี่ก็ทนมองหลี่ว์ซู่เคี้ยวอาหารดีๆ ไม่ได้อีกต่อไป เขาเหวี่ยงจอบขึ้นพาดบ่าแล้วตะโกนว่า “เอาล่ะ นายกินพอแล้ว ไปทำไร่กันเถอะ!”
“ไม่เอาน่า” หลี่ว์ซู่ปฏิเสธเขา “รอจนกว่าผมจะกินขนมเสร็จก่อนสิ”
หลังจากเงียบไปชั่วครู่ จางเว่ยอวี่ก็หัวเราะเย็นชาอย่างดูถูก “นายคิดว่านายจะมีชีวิตดีๆ อยู่แบบนี้ได้ต่อไปเหรอ พวกเขาจะไม่ส่งอะไรมาให้นายอีกหลังจากที่วันนี้ พวกเขาได้รู้แล้วว่านายเป็นคนยังไง แล้วถ้าเป็นแบบนั้น นายจะเอาอะไรกินล่ะถ้าไม่ออกไปทำไร่”
หลี่ว์ซู่ส่ายหัวและยืนยันคำเดิม “ผมจะไปหลังจากกินเสร็จ”
เขาไม่ได้ขี้เกียจ แต่เขากำลังยุ่งอยู่กับการเติมพลังและเขาไม่อยากเสียเวลาในการกินของที่ล้ำค่าที่สุดในโลกที่แสนอันตรายนี้ไปกับสิ่งอื่นที่ไม่จำเป็น
ก่อนหน้านี้ในตอนเช้า หลี่ว์ซู่ลองคำนวณเวลาและได้ข้อสรุปว่าเขาน่าจะไปถึงระดับที่หกได้ภายในสองวัน เนื่องจากเขาสามารถฝึกฝนได้แค่ตอนกลางคืน แต่ถ้าเขาสามารถใช้เวลาในตอนกลางวันได้ เขาก็จะสามารถไปถึงระดับที่หกได้ภายในเช้าวันถัดไป!
ในเมืองเถียนเกิ่ง ทาสส่วนมากอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าระดับที่หก
จางเว่ยอวี่มองไปที่หลี่ว์ซู่อย่างดูถูก ตอนนี้ความประทับใจของเขาที่มีต่อหลี่ว์ซู่เปลี่ยนไปแล้ว หลี่ว์ซู่ก็เป็นแค่คนขี้เกียจที่ไม่มีอะไรดี เขาพูดว่า “เลิกเพ้อฝันได้แล้ว พวกเรามีแค่ชีวิตเดียว นายจะฝึกฝนการบำเพ็ญด้วยทัศนคติแบบนี้ได้ยังไง เหลวไหลจริงๆ”
หลังจากที่เขาเดินจากไป หลี่ว์ซู่ก็เริ่มฝึกฝนวิชากระบี่ในลานบ้านด้วยความตั้งใจ
ในขณะที่คลื่นพลังจิตวิญญาณที่อยู่รอบๆ ไหลเวียนไปพร้อมกับการเคลื่อนไหวของเขา หลี่ว์ซู่ก็รู้สึกได้ถึงพลังที่เพิ่มขึ้นในกล้ามเนื้อและกระดูกของเขา การทำงานของอวัยวะในร่างกายก็แข็งแรงขึ้นเช่นกัน
ถึงแม้จะมองไม่เห็นและไม่ได้ยิน แต่เลือดในร่างกายของเขากำลังสูบฉีดไปตามเส้นเลือดอย่างแรงเหมือนกับกลองที่กลิ้งไปมา
ในตอนที่จางเว่ยอวี่กลับมาจากการทำไร่ไถนา เขาเห็นรอยเท้าหลายรอยอยู่บนพื้นดินแห้งๆ ในสวนหลังบ้าน โดยรอยเท้าบางรอยมีความลึกมากกว่าครึ่งนิ้ว
จางเว่ยอวี่นอนบนคั่ง ในขณะที่หลี่ว์ซู่รวบเอาหญ้าแห้งส่วนหนึ่งมาปูนอนบนพื้น ไม่นานหลังจากนั้นจางเว่ยอวี่ก็หลับไป
หลี่ว์ซู่นอนหนุนแขน แต่เขานอนไม่หลับ เขามาที่โลกนี้อย่างลึกลับ และเขาก็ได้เผชิญหลายสิ่งหลายอย่างภายในวันเดียว เขาบังคับตัวเองให้จัดลำดับความคิดอย่างรวดเร็ว และหวังว่าจะเข้าใจว่าโลกใบนี้คืออะไรกันแน่
วันนี้เขากินขนมปังไปเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น กินไปครึ่งหนึ่งตอนกลางวัน และอีกครึ่งหนึ่งในตอนกลางคืน เนื้อตัวของเขาเริ่มปวดเมื่อยเหมือนกับตอนที่เขาทำงานหลังออกจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า
แต่ในตอนนั้น เขายังมีหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ เธอมักจะช่วยเขาซักเสื้อผ้าเสมอ และเมื่อเขามองออกไปเห็นผ้าที่ตากอยู่นอกหน้าต่าง เขาก็จะรู้สึกสงบขึ้น
แต่ในตอนนี้ เขาอยู่ตัวคนเดียวในสถานที่อันตราย เขาพยายามหาทางพาตัวเองกลับบ้าน เขาไม่รู้ว่าตอนนี้หลี่ว์เสี่ยวอวี๋จะกำลังทำอะไรอยู่ เธอจะเสียใจมากหรือเปล่า…
หลี่ว์ซู่อยากจะอ่านบันทึกแต้มอารมณ์ของเขาอย่างผ่านๆ และลองดูว่าจะมีอะไรที่เกี่ยวกับหลี่ว์เสี่ยวอวี๋บ้างหรือไม่ ถ้าสุดท้ายแล้วมีประโยคที่เกี่ยวกับเธอสักประโยค เขาคงรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก ถึงแม้ประโยคนั้นอาจจะเป็นคำก่นด่าของหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็ไม่เป็นไร
แต่เขาก็ค้นพบว่า ดูเหมือนแต้มอารมณ์จะไม่สามารถข้ามผ่านสิ่งที่ขวางกั้นระหว่างทั้งสองโลกได้
หลี่ว์ซู่ลุกขึ้นและเดินออกไปที่ลานด้านนอก เขาคลานไปบนพื้นอย่างช้าๆ และเริ่มวิดพื้น ถึงแม้ว่าแขนเขาจะสั่นเทา แต่เขาก็พยายามอดทน
เหงื่อไหลจากคางของเขาลงสู่พื้น จนกระทั่งเขาไม่มีแรงเหลือเพื่อยันตัวเองไว้อีกต่อไป
เมื่อเขาหมดแรงวิดพื้น เขาจึงนั่งเอาขาไขว้กันบนพื้นอย่างง่ายๆ และพักผ่อน จางเว่ยอวี่นั่งกอดอกพิงกำแพง เขาถามว่า “นายอยากจะแข็งแกร่งขนาดนั้นเลยเหรอ พูดจริงๆ เลยนะ มันไม่เห็นจะเป็นไรเลยถึงแม้ว่านายจะไม่แข็งแกร่ง ไม่ใช่ว่าราชาแห่งทวยเทพองค์เก่าก็ตายไปทั้งๆ ที่เขาแข็งแกร่งมากเหรอ แค่เป็นคนธรรมดา ถ้านายทนความหิวไม่ได้ ก็กลายเป็นทาส เลือกทางใดทางหนึ่งแล้วนายก็จะมีชีวิตรอด”
หลี่ว์ซู่มองจางเว่ยอวี่ “นั่นไม่ใช่การใช้ชีวิต แต่เป็นการมีชีวิตอยู่เพียงชั่วครู่ ถ้าหากว่าผมต้องมีชีวิตอยู่แค่เพื่อกิน เเบบนั้นชีวิตจะไปมีความหมายอะไรล่ะ”
ยังคงมีเหตุผลอีกหลายอย่างที่หลี่ว์ซู่ไม่ได้พูดออกมา เขาอยากกลับบ้านไปหาหลี่ว์เสี่ยวอวี๋
ไม่มีวิธีการใดที่เหมาะกับหลี่ว์ซู่ เขาทำได้แค่ฝึก ในเมื่อสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นสามารถทำให้ร่างกายแข็งแกร่งขึ้นได้ด้วยการดูดซับคลื่นพลังจิตวิญญาณ ดังนั้นมนุษย์ก็ควรทำได้เช่นกันไม่ใช่เหรอ
หลี่ว์ซู่ยังคิดถึงปัญหาในอดีตด้วย คนธรรมดาที่อยู่บนโลกมนุษย์ได้ตระหนักว่าหลังจากรุ่งอรุณของยุคแห่งพลังจิตวิญญาณมาถึง ศักยภาพของพวกเขาเพิ่มขึ้นอย่างมากจากการฝึกฝน ซึ่งมากกว่าในอดีตมาก ดังนั้นในช่วงสองปีตั้งแต่รุ่งอรุณของยุคแห่งพลังจิตวิญญาณ นักกีฬาบางคนจึงได้รับความเร็วและความแข็งแรงของผู้มีพลังระดับ F
ที่นี่มีพลังจิตวิญญาณค่อนข้างสูง ดังนั้นถ้าหากว่าเขาตั้งใจฝึกฝน เขาจะสามารถได้รับผลลัพธ์เช่นนั้นได้ไหม หลี่ว์ซู่ไม่ได้อยากแข็งแกร่งมากขนาดนั้น ขอแค่ให้เขาสามารถพาตัวเองออกจากพันธนาการเหล่านี้ได้ก็พอแล้ว ถึงแม้เขาจะไม่สามารถไปถึงระดับที่หนึ่ง เขาก็สามารถหาทางกลับบ้านได้อย่างปลอดภัย
จางเว่ยอวี่มองหลี่ว์ซู่ เขาไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไรและเดินกลับเข้าไปในบ้าน “ถ้านายอยากฝึก ก็ฝึกไปเถอะ ขอแค่อย่าละเลยงานของตัวเอง ฉันไม่คิดว่านายจะดูโหดเ**้ยมด้วยรูปลักษณ์ที่ซีดและสะอาดสะอ้านหรอกนะ ฝึกต่อไปเถอะ ในโลกนี้ คนที่ประสบความสำเร็จจะถูกเรียกว่าราชา ส่วนคนที่ล้มเหลวจะถูกเรียกว่าผู้ร้าย คนที่ประสบความสำเร็จมักจะดูโหดเ**้ยมเสมอ”
หลี่ว์ซู่มองจางเว่ยอวี่และพูดว่า “พี่ชาย คุณน่ะมันก็แค่คนธรรมดาที่มีชีวิตแย่กว่าพวกทาสเสียอีก เพราะฉะนั้นหยุดวิจารณ์ชีวิตผมได้แล้ว”
[ได้แต้มจากจางเว่ยอวี่ +399!]
จางเว่ยอวี่กลับไปนอนด้วยความโกรธ เขาอยากจะชื่นชมความตั้งใจของเด็กหนุ่มคนนี้ แต่ดูเหมือนคำชมของเขาคงจะส่งไปไม่ถึง!
หลังจากหลี่ว์ซู่พักเสร็จแล้ว เขาก็ยืนขึ้นอีกครั้ง เขาเจอฟืนท่อนหนึ่ง นั่นทำให้เขานึกไปถึงช่วงที่เขาฝึกอยู่กับหลี่เสียนอี และในขณะที่เขาจะเริ่มฝึก จู่ๆ เขาก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา
เขาเคลื่อนที่ให้ช้าลง ในขณะที่ฟืนท่อนนั้นค่อยๆ ตกลง หลี่ว์ซู่ลดระดับเอวลงและยกแขนขึ้น เขาเปลี่ยนจากการฟันเป็นการจับ
ถึงแม้พลังของหลี่วซู่จะหายไป แต่ท่วงท่าวิชากระบี่ของเขาก็ยังคงน่าเกรงขามเหมือนเดิม ในโลกมนุษย์ไม่มีใครมีทักษะวิชากระบี่ดีเท่าหลี่ว์ซู่ ยกเว้นแค่หลี่เสียนอี
เขาจดจำรูปแบบต่างๆ ของบทกลอนสิบสามตัวอักษรได้ขึ้นใจ ในตอนนั้นเขาฝึกเหมือนกับหลี่เสียนอี เขาจะเคลื่อนที่ให้ช้าลง นี่คือกระบวนการผสานร่างกับกระบี่
หลี่ว์ซู่เคลื่อนที่ให้เร็วขึ้นและช้าลงสลับกันเป็นครั้งคราว มีบ้างบางครั้งที่ร่างกายของเขาตามไม่ทัน
แต่ทุกครั้งที่เขาตามไม่ทัน มันก็เหมือนกับว่าเขาได้ปรับตัวให้เข้ากับโลก คลื่นพลังจิตวิญญาณค่อยๆ ซึมเข้าไปในกล้ามเนื้อและกระดูกอย่างอ่อนโยน ช่วยบำรุงร่างกายของเขา
ในอดีต คลื่นพลังจิตวิญญาณไม่สามารถซึมเข้าไปในร่างกายของเขาได้เลย เพราะแผนภูมิดาราแข็งแกร่งเกินไป
ในตอนนี้ท่วงท่าวิชากระบี่ของหลี่ว์ซู่มีพลังมากกว่ากำลังจริงๆ ของเขา นี่คือผลจากการตื่นตีสามทุกวันเพื่อฝึกฝน เป็นรางวัลที่โลกมอบให้เป็นสิ่งตอบแทนแก่ความพยายามของเขา
เขาจะสามารถสื่อสารกับสวรรค์และโลกได้เมื่อเขาไปถึงระดับที่หนึ่ง หลี่ว์ซู่ครุ่นคิดว่าเขามีขอบเขตแต่ไม่มีความแข็งแรง แล้วทำไมคลื่นพลังจิตวิญญาณถึงได้เข้าสู่ร่างกายในตอนที่เขาฝึก หรือโลกจะกำลังค่อยๆ ช่วยสร้างในสิ่งที่เขาขาด
คลื่นพลังจิตวิญญาณช่วยให้เขาเสริมสร้างร่างกาย หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าในระหว่างกระบวนการฝึกนี้ ร่างกายของเขาแข็งแรงขึ้นมาก
หลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้ หลี่ว์ซู่ถึงได้เข้าใจว่ามีช่องว่างบางอย่างในการฝึกฝนร่างกายของเขา และเขาต้องการที่จะเติมเต็มสิ่งเหล่านั้น
แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ต้องการวิธีนี้เพื่อปกป้องตนเอง
เมื่อรุ่งอรุณมาเยือน จางเว่ยอวี่เดินออกมาพร้อมกับบิดขี้เกียจ เมื่อเขาเห็นหลี่ว์ซู่ เขาก็ผงะถอยหลังไป “นี่นายฝึกทั้งคืนเลยเหรอ”
หลี่ว์ซู่คิดถึงเรื่องนี้และพูดว่า “ผมเหนื่อยมาก ก็เลยนอนที่ลานนี่”
“ฉันบอกแล้วไม่ใช่เหรอ” จางเว่ยอวี่หัวเราะ “คนธรรมดาอย่างนายที่หมกมุ่นกับการฝึกจนเกินไป ควรจะพักผ่อนอย่างเหมาะสม”
ในความเป็นจริง หลี่ว์ซู่ฝึกฝนทั้งคืน และสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ เขาเข้าใจแล้วว่า หากเขายิ่งฝึกมาก เขาก็จะยิ่งมีพลังมากขึ้น และความเหนื่อยล้าที่เกิดขึ้นหลังจากการทำงานในหนึ่งวันก็หายไป
เขารู้สึกโชคดีที่ตอนนั้นเขาไม่กลัวความยากลำบากในการฝึกท่วงท่าวิชากระบี่ เพราะวันนั้น วันนี้เขาจึงทำได้ดีขึ้น ถึงแม้เขาจะห่างไกลจากการไปถึงแม้กระทั่งระดับที่หก แต่เขารู้ว่านั่นเป็นแค่เรื่องของเวลา อย่างน้อยเขาก็มีทางลัดในโลกนี้ที่วิธีการต่างๆ ถูกควบคุมด้วยระดับ!
ในตอนนั้นเอง มีกลุ่มชายบนหลังม้าพุ่งตรงเข้ามา เมื่อมาถึงหน้าประตูของจางเว่ยอวี่ หัวหน้ากลุ่มก็พูดขึ้นอย่างทนไม่ไหวว่า “นายท่านส่งฉันมาที่นี่เพื่อส่งของขวัญ หนุ่มน้อยสุดหล่อจะยอมรับมันไว้หรือไม่”
ก่อนที่พวกเขาจะเดินทางมาที่นี่ นายท่านบอกว่าคนที่มีบุคลิกแข็งแกร่งคงจะไม่ยอมรับของขวัญประเภทนี้ ถ้าหลี่ว์ซู่ไม่รับ พวกเขาก็จะนำมันกลับไป พวกเขามาที่นี่ตามมารยาทเท่านั้น พวกเขาไม่ได้อยากจะเสียเวลามากเกินไปนัก
หลี่ว์ซู่มองไปที่ตราของพวกเขา คนพวกนี้มาจากตระกูลอวี่ หลี่ว์ซู่ย่นคิ้ว เมื่อวานนี้เขาเพิ่งแสดงตัวว่าเป็นผู้มีพลัง เขาจะทำลายภาพลักษณ์แบบนั้นของตัวเองไม่ได้ “ในนั้นมีอะไรที่กินได้ไหม”
[ได้แต้มจากจางเว่ยอวี่ +666!]
[ได้แต้มจาก… ]
ระดับ 1 ไม่ใช่จุดสูงสุด เหนือขึ้นไปก็คือบรรดาจอมทัพสวรรค์ สูงขึ้นไปอีกก็คือพลังของราชาแห่งทวยเทพ
“ถ้านายอยากบำเพ็ญ” จางเว่ยอวี่ชำเลืองมองหลี่ว์ซู่ “นายต้องเข้าไปในวังของจอมทัพสวรรค์ให้ได้ ไม่อย่างนั้นพวกขุนนางให้พลังเหล่าทาสมากสุดก็แค่ระดับ 2 แล้วจะมีความหมายอะไร”
หลี่ว์ซู่มองจางเว่ยอวี่ ใช้ได้นิ เขาก็มองการณ์ไกลเหมือนกัน
“แต่เข้าวังนายต้องถูกจับตอน ฮิๆ ” จางเว่ยอวี่หัวเราะเจ้าเล่ห์
หลี่ว์ซู่ตกใจ “ตาย[1]?”
จางเว่ยอวี่มองบน “ไร้การศึกษา ตอน คำว่า ‘ซื่อ’ ใน ‘ซื่อลี่'[2] แปลว่าจับตอน”
หลี่ว์ซู่เงียบไปครู่หนึ่ง เหมือนเขาจะจำได้ว่าสมัยก่อนมีคำศัพท์พวกนี้ ชำระกาย เป็นขันที ทำหมัน…
แต่แค่นี้จะบอกว่าเขาให้การศึกษาเลยหรอ เด็กเวรยังหลี่ว์ซู่รับคำดูแคลนอย่างนี้ไม่ไหว หลี่ว์ซู่เงียบไป 2 วินาที “ฉันเข้าใจคำว่าจับตอนแล้วนายเคยได้ยินคำว่า ‘ซื่อหรูพั่วจู๋'[3] ‘เหรินตัวซื่อจ้ง'[4] ‘ชวีเหยียนฟู่จ้ง'[5] ‘ซื่อปู้เหลี่ยงลี่'[6] พวกนี้ไหม…”
[ได้แต้มจากจางเว่ยอวี่ +666!]
จางเว่ยอวี่สูดหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง เขาเห็นสำนวนพวกนี้ไม่ได้!
หลี่ว์ซู่เงียบลงเพราะใช้ความคิด โลกนี้มีบางอย่างที่เกิดขึ้นพร้อมกันกับโลก รวมถึงสถานที่หมิงเยว่เยี่ยถูกกักขังแต่ยังหาทางเข้ามาที่โลกได้ เรื่องราวต่างๆ ขมวดปมอยู่ในใจของหลี่ว์ซู่
ให้ตอนนี้เองอยู่ๆ ก็มีเสียงควบม้าดังมาแต่ไกล จางเว่ยอวี่รีบลากหลี่ว์ซู่เข้ามาในนาแล้วกระซิบว่า “อย่าไปหาเรื่องนายทาสพวกนั้น!”
หลี่ว์ซู่มองดูอย่างเงียบๆ เสียงควบม้าดังมาจากทางเมือง ได้ยินมาว่าพวกนายทาสใหญ่อาศัยอยู่ในเมือง มีแค่ชาวนาที่อยู่ตามชนบท พื้นที่ในเมืองมีราคาสูงดั่งทองคำ การค้าต่างๆ ก็อยู่ในการควบคุมของพวกนายทาสและขุนนาง
หลี่ว์ซู่มองจางเว่ยอวี่และคิดในใจว่าในโลกนี้มีแต่เจ้าพระยาและนายพลเท่านั้นที่จะเป็นอภิสิทธิ์ชนหรือเปล่า
จางเว่ยอวี่หัวเราะฮิๆ “ชนชั้นของสังคมนี้สูงสุดคือราชาแห่งทวยเทพ ต่อไปคือจอมทัพสวรรค์ ขุนนาง นายทาสน้อยใหญ่และชาวบ้าน ที่จริงราชาแห่งทวยเทพก็เหมือนกับนายทาสที่ใหญ่ที่สุด”
จากคำพูดของจางเว่ยอวี่ก็แสดงว่าจอมทัพสวรรค์แต่ละคนจะมีทาสที่แข็งแกร่งที่สุดและมีวิชาที่แข็งแกร่งที่สุด ชนชั้นทางสังคมนี้ก่อเกิดตามธรรมชาติจากพลัง ผู้ที่มีพลังระดับ 2 คือขุนนาง ผู้ที่มีพลังระดับ 1 จะมีเพียงเหล่าจอมทัพสวรรค์และราชาแห่งทวยเทพ
ระบบนี้ถ้าคิดจะปฏิวัติก็คงยาก เพราะพลังต่างไม่เท่ากันชัดเจน
แต่ก็มีผู้ที่มีพรสวรรค์ นายทาสน้อยบางคนพัฒนาพลังสู่ระดับ 2 แต่หลังจากถูกเหล่าจอมทัพสวรรค์เกลี้ยกล่อมเป็นพวกกว่าจะได้รับฐานะใหม่ หลี่ว์ซู่ไตร่ตรองดูแล้วเห็นว่าพลังของเขาไม่ว่าจะเป็นแผนที่ดาราหรือหอกระบี่ต่างแข็งแกร่งมาก อย่างน้อยระดับ a สามารถเอาชนะพลังเสินฉังจิ้งได้อย่างไม่มีปัญหา…
ตอนนี้เขาจุดประกายไปถึงม่านเมฆาระดับ 4 จากทั้งหมด 7 ระดับก็มีพลังเป็นน้องแค่ระดับหนึ่ง ถ้าฝึกต่อไปอีกจะเป็นอย่างไรบ้างไม่รู้
หลี่ว์ซู่เริ่มความรู้สึกหลงเชื่อมั่นในตัวเองว่าจอมทัพสวรรค์ก็แค่นี้เอง
ตามที่จางเว่ยอวี่บอก ขุนนางในจักรวาลหลี่ว์ให้ความสำคัญผู้มีความรู้ คล้ายกับสังคมระบบทาสสมัยโบราณที่บางคนสามารถเป็นอาจารย์ประจำครอบครัว ทาสที่มีการศึกษาบางคนมีค่าพอกับฟาร์มๆหนุึ่ง
ระหว่างนี้มีทหารม้ากองหนึ่งวิ่งผ่านไป ม้าเหล่านั้นตัวสูงใหญ่ มีกล้ามเนื้อแข็งแรงเหมือนกับสัตว์กลายพันธุ์ที่เกิดขึ้นที่โลก
บนหลังมือของทหารม้าแต่ละคนล้วนมีตราประทับรูปดาบ มีท่าทางดุดันแต่สิ่งที่ทำให้หลี่ว์ซู่คาดไม่ถึงคือ
ผู้นำกองทหารม้านั้นเป็นผู้หญิง
จางเว่ยอวี่ดึงหลี่ว์ซู่มาแล้วพูดว่า “เลิกมองได้แล้ว!”
ระหว่างที่ผู้หญิงคนนั้นที่ม้าผ่านได้หันมาชำเลืองมองหลี่ว์ซู่และขี่ม้าต่อไป หลี่ว์ซู่กรมลงขุดดินต่อแต่แล้วผู้หญิงคนนั้นก็ดึงบังเ**ยนม้าวกกลับมา
จางเว่ยอวี่ก้มตัวลงต่ำชนแทบจะมุดลงไปในดินแล้วเพราะไม่อยากให้คนอื่นสนใจ
ผู้หญิงคนนั้นยิ้มและพูดว่า “จางเว่ยอวี่ ยังไม่คิดจะขายที่ของนายหรือ ฉันจะดูว่านายจะทนไปได้สักกี่น้ำ”
จางเว่ยอวี่ก้มหน้านายยิ้มประจบ “ทนได้อีก 2-3 ปี”
“ถ้านายยอมเป็นทาสฉัน ป่านนี้สบายไปแล้ว” หญิงคนนั้นพูดพร้อมรอยยิ้ม
“ฉันว่าไม่เป็นทาสก็สบายดีอยู่แล้ว” จางเว่ยอวี่ถึงจะมีรอยยิ้มประจบแต่ในน้ำเสียงกลับไม่ยอมคน
พี่คิดมาตลอดว่าจางเว่ยอวี่คนนี้ต้องมีอะไรสักอย่าง ไม่เพียงแต่รู้หนังสือ ร่างกายอ่อนแอขนาดนี้แต่ก็ยังมีความกล้า ในยุคที่ชีวิตคนเหมือนผักปลากับไม่กลัวตาย
“ดีมาก” ผู้หญิงคนนั้นบอกสายบังเ**ยนที่อยู่ในมือและยิ้ม “มีความกล้า ดีกว่าถ้าพวกนี้ซะอีก!”
หลี่ว์ซู่อึ้งไปครู่หนึ่ง แบบนี้เหมือนตบหน้าทาสพวกนั้นที่อยู่ข้างๆ เลย พวกเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนล่ะ
ผู้หญิงคนนั้นหันมามองหลี่ว์ซู่ “นายมาจากไหนล่ะ”
จางเว่ยอวี่รีบพูดขึ้นว่า “เป็นญาติห่างๆ ของฉัน ฉันเรียกเขามาช่วยงาน”
“อ่อ” ผู้หญิงคนนั้นพยักหน้า “หน้าตาไม่เลวนะยอมเป็นทาสใช่ไหม ฉันรับรองว่านายจะอยู่สุขสบายถ้ามาเป็นพวกฉัน”
หลี่ว์ซู่เงียบไปครู่หนึ่ง ถ้าคำพูดนี้เป็นผู้หญิงบนโลกพูดก็เป็นข้อเสนอที่ไม่เลว…
แต่ถ้าอยู่ในจักรวาลหลี่ว์ ก็คือยอมขายตัวเป็นทาสรับใช้ของแท้เลย…
หลี่ว์ซู่ตอบกลับอย่างจริงจัง “ฉันต้องถามน้าฉันก่อน เรื่องใหญ่อย่างนี้ต้องให้น้าเป็นคนตัดสินใจ ก็ไม่รู้ว่าจะเลือกยังไงดี”
[ได้แต้มจากจางเว่ยอวี่ +299!]
เดิมทีจางเว่ยอวี่ว่าจะเป็นแค่ไทยมุงตอนนี้การมาพุ่งเป้าที่เขาแทน เห็นผู้หญิงตรงหน้ามีสีหน้าเคร่งขรึมลง จางเว่ยอวี่ก็เริ่มคุณคิดว่าจะโยนบาปยังไงดี “ไอ้เด็กโง่ ทางของตัวเองก็เลือกเองสิ ทางไหนเหมาะกับนายใครจะไปรู้ล่ะ”
หลี่ว์ซู่หันมามองผู้หญิงคนนั้น “น้าฉันไม่อนุญาต”
[ได้แต้มจากอวี่เตี๋ย +666!]
ผู้หญิงคนนั้นชื่ออวี่เตี๋ยยิ้มแล้วพูดว่า ” ดีมาก มีความกล้า”
เธอหันมาพูดกับทาสข้างๆ ว่า “ถ่ายทอดคำพูดฉันให้นายถ้าคนอื่นว่า ฉันจองเขาไว้แล้วใครก็อย่ามาคิดแย่ง! กำไรของตระกูลอวี่ปีนี้จะมอบให้พวกเขา!”
หลี่ว์ซู่ “…”
ช่างเป็นผู้หญิงที่ไม่เหมือนใครจริงๆ…
รอจนทหารม้ากองนี้จะไปไกลแล้ว หลี่ว์ซู่ก็หันมามองจางเว่ยอวี่ด้วยความสงสัย จางเว่ยอวี่ยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วพูดว่า “ผู้หญิงคนนี้เคยไปเรียนหนังสือที่วังของจอมทัพสวรรค์ ฉันไม่รู้ว่าเธอไปเรียนหลักคุณธรรมอะไรมา ยิ่งนายกล้าหาญมากแค่ไหนนายก็ยิ่งปลอดภัย พ่อของเธอตายในสนามรบตอนนี้เธอจึงเป็นเจ้าบ้านตระกูลอวี่”
ดึกคืนนั้น หลี่ว์ซู่มือสั่นเทิ้มขณะที่ตักน้ำในโอ่งมาดื่ม
นี่เป็นผลจากการใช้แรงกล้ามเนื้อมากจนเกินไป เขาไม่ได้รู้สึกอย่างนี้มานานมากแล้ว ถึงขนาดไม่มีแรงหยิบของเบาๆ
จางเว่ยอวี่เห็นหลี่ว์ซู่ก็หัวเราะเยาะ “ไม่เคยทำงานน่ะสิ วันนี้พักเถอะ อีกสัก 2-3 วันค่อยมาทำงานให้ฉัน ฉันไม่เลี้ยงคนไม่ทำงานนะ”
หลี่ว์ซู่มองจางเว่ยอวี่แล้วก็ไม่พูดอะไร
——
[1] ตาย ในภาษาจีน คำว่า ตาย ออกเสียงพ้องกับคำว่า ตอน
[2] ‘ซื่อลี่’ หมายถึง พลัง ในภาษาจีน
[3] ’ซื่อหรูพั่วจู๋’ แปลว่า ชนะต่อเนื่อง ไร้อุปสรรค
[4] ‘เหรินตัวซื่อจ้ง’ แปลว่า เหนือกว่าด้วยจำนวนและกำลัง
[5] ‘ชวีเหยียนฟู่จ้ง’ แปลว่า คนที่ประจบประแจงผู้มีอำนาจ
[6] ‘ซื่อปู้เหลี่ยงลี่’ แปลว่า ไม่ถูกกัน
เมื่อหลี่ว์ซู่มาถึงโลกนี่ในวินาทีแรกก็ได้เห็นอาหารที่ดูไม่น่ากินเอาซะเลยที่อยู่บนโต๊ะ ก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมอวิ๋นอี่ชอบเดินทางไปกินของอร่อย สถานที่ใดที่หนึ่งเมื่อสงบสุขก็จะค่อยๆ พัฒนาไปตามวัฒนธรรมอย่างประณีต นี่คือบทสรุปของสิ่งที่มีมา
แน่นอนหลี่ว์ซู่เชื่อว่าฐานะของปรมาจารย์หุ่นเชิดบนโลกนี้จะต้องได้กินของอร่อย ของดีๆ แน่นอน แต่ไม่รู้ว่าจะอร่อยเหมือนของโลกหรือเปล่า
เห็นดูจากอวิ๋นอี่วันๆ เสาะหาแต่ของอร่อย…ดูท่าจะไม่มี
หลี่ว์ซู่ก็ไม่สนว่าพืชพันธุ์ที่เห็นนั่นคืออะไร คนไม่เคยทำนาเพาะปลูกก็ยากที่จะรู้ว่างานนั้นเหนื่อยขนาดไหน มันเหนื่อยคนละเรื่องกับการเข้าห้องฟิตเนสสองชั่วโมงมาก เพราะการเข้าห้องฟิตเนสเป็นการบริหารกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ และยังมีเวลาพักผ่อน
ในการเพาะปลูกทำน้ำไม่เหมือนกันใช้กล้ามเนื้อเพียงไม่กี่จุดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
จางเว่ยอวี่มองหลี่ว์ซู่ด้วยสายตาดูแคลน “ทาสที่มีตราประทับที่ก้นอย่างพวกนายทำงานไม่ไหวล่ะสิ วันๆ ทำแต่งานสบายๆ ไม่ได้ทำงานหนัก”
หลี่ว์ซู่เงียบไปครู่หนึ่งและรู้สึกว่าเหมือนโดนด่า เขาเป็นทาสแบบนั้นหรือ ไหนลองบอกมาสิว่าฉันเป็นทานแบบไหน
มาถึงก็โดนด่าเลย…
จางเว่ยอวี่ที่ทำงานมาครึ่งชีวิตล้วงขนมข้าวโพดนึ่งสีดำออกมาจากเสื้ออย่างช้าๆแต่พอเห็นความเร็วของการทำงานของหลี่ว์ซู่ก็ประหลาดใจและแบ่งขนมออกเป็นครึ่ง
หลี่ว์ซู่เงียบอยู่สักพักนี่คงเป็นผลจากที่เขาขี้เหนียวในอดีตละสิ?
ช่างเป็นกงเกวียนกำเกวียนจริงๆ สวรรค์ช่างยุติธรรมเสมอ…
แต่หลี่ว์ซู่ก็ไม่ได้ไม่พอใจ ทำงานเท่าไหร่กินมากเท่านั้น เขารับมาแล้วกัดไปคำนึงแล้วก็เกือบสำลัก จางเว่ยอวี่มองหลี่ว์ซู่ยังเข้าใจและพูดว่า “เป็นไง พวกนายไม่เคยกินของแบบนี้ล่ะสิ กินไม่ได้ก็คืนมา จะได้ไม่เปลือง”
แต่เขายังพูดไม่จบ หลี่ว์ซู่ก็ยัดขนมอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือเข้าปาก เคี้ยวๆ แล้วกลืนลงคอ จางเว่ยอวี่คงไม่รู้ว่าหลี่ว์ซู่เคยผ่านอะไรมาบ้าง
หลี่ว์ซู่กินเสร็จก็เลียริมฝีปากแล้วพูดว่า “พอได้”
จางเว่ยอวี่มองหลี่ว์ซู่แล้วไม่พูดต่อและทำงานต่อไป ระหว่างที่ขุดดินไปก็พูดไปว่า “ไม่ใช่ฉันจงใจให้นายกินขนมนี่นะ โลกนี้บางครั้งชีวิตคนยังสู้ขนมนี้ไม่ได้เลย ภาษีหนักขนาดนี้อยู่รอดมาได้ก็บุญแล้ว”
หลี่ว์ซู่ถามด้วยความสงสัย “ภาษีหนักขนาดนี้บีบคนจนเกือบจนตรอก ไม่มีใครสนเลยหรือ”
จางเว่ยอวี่ตอบอย่างเหยียด “เห็นนายอายุยังน้อยอาจจะยังไม่รู้ เมื่อสิบกว่าปีก่อนไม่ได้เป็นแบบนี้ ตอนนั้นราชาองค์เก่ายังอยู่พวกเขากล้าทำแบบนี้หรือ ทุกวันนี้มีสงครามไม่หยุดหย่อนยังมีคนทำนาก็ดีแล้ว จอมทัพสวรรค์พวกนั้นเอาแต่รบพุ่งกันไม่ได้สนใจคนข้างล่างจะเป็นจะตายยังไงเลย”
“เดี๋ยวนะ?” หลี่ว์ซู่ตกใจ เขาปรับน้ำเสียงตัวเองให้ปกติที่สุด “ฉันไม่เคยเจอราชาองค์เก่าจริงๆ ท่านไม่อยู่แล้วหรือ แล้วจอมทัพสวรรค์พวกนั้นคืออะไร พวกเราไม่เคยคุยเรื่องพวกนี้…”
จางเว่ยอวี่หัวเราะเยาะ “นายทาสพวกนั้นวันๆอยู่กับความฟุ้งเฟ้อจะมาสนใจเรื่องพวกนี้ได้อย่างไร มันเป็นเรื่องที่ขุนนางพวกนั้นสนใจ พวกนั้นอาศัยอยู่ใต้ร่มของขุนนางก็พอแล้ว ตอนนี้จอมทัพสวรรค์เหวินไจ้โฝ่วทะเลาะกับจอมทัพสวรรค์ประจิม ตวนมู่หวงฉี่ ไม่รู้จะทำสงครามกันเมื่อไหร่ ถึงตอนนั้นถ้านายไม่อยากออกรบก็อยู่กับฉัน…นายเป็นไรหรือ”
หลี่ว์ซู่ตกใจ เพราะเขาได้ยินกับว่าจอมทัพสวรรค์ก็รู้สึกผิดปกติ จากนั้นพอเขาได้ยินชื่อเหวินไจ้โฝ่วและตวนมู่หวงฉี่ก็ตกใจเพราะเขาเคยได้ยินชื่อพวกนี้จริงๆ
ย้อนกลับไปตอนที่เขาแกล้งกันไปมากับหมิงเยว่เยี่ยในไข่ทุกดำ หมิงเยว่เยี่ยเป็นตายยังไงก็ไม่บอกชื่อและฐานะของตัวเองแต่ คนคนนี้กลับบอกข้อมูลหมดเลย
จอมทัพสวรรค์อุดร ชิงคง!
จอมทัพสวรรค์ทักษิณ เหวินไจ้โฝ่ว!
จอมทัพสวรรค์ประจิม ตวนมู่หวงฉี่!
จอมทัพสวรรค์บูรพา อวี้ฝูเหยา!
ตอนนั้น ดีได้ยินคำว่า “จอมทัพสวรรค์” ก็ไม่ได้ใส่ใจแต่เขาก็จำชื่อที่มีเอกลักษณ์นี้ได้
ก่อนที่จางเว่ยอวี่จะพูด หลี่ว์ซู่รู้สึกแค่ว่าหมิงเยว่เยี่ยพูดโอ้อวด เขาเชื่อแค่ส่วนเดียวภาพลักษณ์ที่ไม่จริงจังของหมิงเยว่เยี่ย ดูก็ไม่ได้เป็นคนซื่อ
แต่ตอนนี้ หลี่ว์ซู่พบว่าหมิงเยว่เยี่ยถึงจะไม่ได้บอกฐานะตัวเองแต่ก็บอกข้อมูลบางอย่าง
ตอนนี้หลี่ว์ซู่ร้อนใจมากเมื่อเขารู้ว่าหมิงเยว่เยี่ยเป็นคนของโลกนี้ เขาอยากจะถามหมิงเยว่เยี่ยว่ามีวิธีออกไปจากที่นี่ไหม โลกนี้เป็นอย่างไร ยังไงเสียพวกเขาก็เป็นเพื่อนเก่ากัน
ตอนนั้นหลี่ว์ซู่รู้สึกเหงาจึงไปหาหมิงเยว่เยี่ยเพื่อดื่มเหล้า เพราะเขามีเรื่องมากมายที่บอกคนอื่นไม่ได้อัดอั้นอยู่ในใจ
ถึงเขาจะอดทนไว้ได้แต่พวกเขาก็พูดคุยกันได้สนุกสนานทีเดียว
หลี่ว์ซู่เชื่อว่าตอนนี้ถ้าเขาถามข้อมูลไม่สำคัญกับอีกฝ่าย อีกฝ่ายคงไม่ปิดบังอะไร
แต่ตอนนี้หลี่ว์ซู่รู้สึกหงุดหงิดมาก เขาใช้ตราแผ่นดินไม่ได้ดังนั้นจึงหยิบไข่มุกดำที่อยู่ในตราแผ่นดินออกมาไม่ได้! จริงๆ เลย!
เขาพอจะเข้าใจสถานการณ์ของโลกนี้บ้างจากคำพูดของจางเว่ยอวี่ ราชาองค์เก่าแบ่งประทานดินแดน โดยให้จอมทัพสวรรค์ทั้งสี่ช่วยเขาขยายดินแดนจึงค่อยๆ กลายเป็นสังคมทาสในทุกวันนี้
สังคมทาสนี้เกิดจากการกดขี่ ในตอนแรกระบบนี้ยังใช้ได้อยู่ทุกคน ทุกคนมีชีวิตอยู่ได้แต่ราชาองค์เก่าหายตัวไปอย่างไร้สาเหตุ ราชาแห่งทวยเทพองค์ใหม่ก็ไม่ค่อยใส่ใจเรื่องราวของชนชั้นล่าง ทำให้ภาษีหนักขึ้นเท่าทวี สงครามระหว่างจอมทัพสวรรค์ก็ทำให้ประชาชนตกทุกข์ได้ยาก จนทุกคนแทบจะมีชีวิตรอดต่อไปไม่ไหวแล้ว
แต่หลี่ว์ซู่ไม่ได้สนใจว่าคนที่นี่จะอยู่รอดได้ไหม เขาสนใจแค่ว่าตัวเองจะกลับไปอย่างไร!
หลี่ว์ซู่มองจางเว่ยอวี่แล้วถามว่า “บำเพ็ญ…”
เมื่อพูดคำว่าบำเพ็ญขึ้นมา จางเว่ยอวี่หัวเราะ “ทำไมนายอยากบำเพ็ญ แล้วนายหนีออกมาทำไม วิชาการบำเพ็ญล้วนอยู่ในการควบคุมของขุนนางพวกนั้น นายอยากได้วิชาต้องปีนขึ้นไปอยู่ข้างกายพวกเขา ไม่มีตราประทับใครจะสอนวิชานาย แล้วต่อให้เป็นทาสพวกนั้นแล้ว ก็อาจจะบำเพ็ญวิชาได้แค่ระดับห้า”
หลี่ว์ซู่เข้าใจ นี่เป็นวิธีที่ชนชั้นทางสังคมควบคุมการเลื่อนฐานะ ก็หมายความว่าเป็นโลกที่บูชาพลัง ชนชั้นทางสังคมจะมั่นคงได้เมื่อสามารถควบคุมการเลื่อนระดับพลัง
ส่วนระดับ 1 2 3 4 5 6 ก็แบ่งคล้ายกับระดับ A B C D F ก็หมายความว่าวิชาในมือของนายทาสบางคนอย่างมากก็บำเพ็ญได้ระดับ E
จางเว่ยอวี่ไม่รู้ว่าหลี่ว์ซู่ที่เขากำลังหัวเราะเยาะนั้นก่อนที่จะมาโลกนี้ก็มีพลังระดับไร้เทียมทานแล้ว
อยู่ที่นี่?
หลี่ว์ซู่มองจางเว่ยอวี่และครุ่นคิดอยู่นาน ชายวัยกลางคนที่จะทำอะไรกับเขา ที่จริงตอนนี้หลี่ว์ซู่รู้แล้วว่าโลกจักรวาลหลี่ว์ไม่ได้มีแต่ผู้แข็งแกร่งอย่างปรมาจารย์หุ่นเชิดเพียงอย่างเดียว พูดน่าเกลียดหน่อย ประเทศจีนเมื่อก่อนก็มีคนที่จนอย่างจางเว่ยอวี่น้อยมาก
เพียงแค่หลี่ว์ซู่ไม่อยากคุยกับจางเว่ยอวี่ต่อ เพราะเขาไม่คุ้นเคยกับที่แห่งนี้ เขาอาจไม่รู้ว่าถูกขายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ได้
“นายจะให้ฉันทำอะไร” หลี่ว์ซู่ถาม
“ทำนาซิ!” จางเว่ยอวี่พูดเสียงหนักแน่น
หลี่ว์ซู่ “…”
เขาผ่านประตูดวงดาวบานใหญ่นั้นมา ตามหลักน่าจะได้ต่อสู้ทุกสารทิศเจอผู้แข็งแกร่ง อาจหาญจากทั่วทุกที่ ทำไมถ่ายมาทำนาซะได้ มันใช่หรือ!
ถ้ากลับไปพูดให้หลี่ว์เสี่ยวอวี่ฟัง เธอคงขำตายเลย
ถึงคราวนั้น เมื่อเขากลับไปก็เหมือนกับคนที่ไปผจญภัยมา ทุกคนจะต้องเข้ามาถามเขาว่าโลกแห่งจักรวาลหลี่ว์ จากนั้นเขาก็บอกว่าเขามาทำนาทำสวน ผลผลิตออกมาได้ไม่เร็วเลย แค่เตียงนอนแข็งไปหน่อย…
นี่คือสิ่งที่ราชันฟ้าที่เก้าควรทำหรือ
หลี่ว์ซู่มองจางเว่ยอวี่ตอบกลับว่า “ตกลง”
หลี่ว์ซู่เป็นคนมองโลกตามความจริง แปลว่าตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไรต้องลงหลักปักฐานให้ได้ก่อน รอให้เข้าใจเรื่องราวต่างๆของโลกนี้ก่อนแล้วค่อยตัดสินใจที่จะเดินทางต่อ
ทำนาก็ทำนา!
เดินออกจากบ้านดินมีก็จะพบแปลงนา สีเขียวชอุ่ม อาทิตย์บนท้องฟ้าส่องแสงจ้า หลี่ว์ซู่ยกมือขึ้นบังแสง
หลี่ว์ซู่มั่นใจว่าพระอาทิตย์ดวงนี้ไม่ต่างจากของโลกแต่ไม่รู้ว่าเป็นดวงเดียวกับของโลกด้วยหรือเปล่า
จางเว่ยอวี่หยิบจอบแล้วเดินไปข้างหน้าอย่างร่าเริง “ฉันจะบอกให้ถึงฉันไม่ใช่เป็นนายทาสและไม่ใช่ขุนนาง แต่ชาวนาในเมืองเถียนเกิ่งนี้ไม่มีใครมีที่เยอะเท่าฉัน ไม่กว่าภาษีจะมาขนาดไหน ไม่ว่าจะเจอภัยพิบัติ จางเว่ยอวี่คนนี้ต่อให้กินรากไม้ก็จะไม่ขายที่ซักผืน!”
จางเว่ยอวี่เดินนำทางอยู่ข้างหน้า หลี่ว์ซู่เดินตามข้างหลัง เขาสังเกตจางเว่ยอวี่อย่างละเอียด อีกฝ่ายโม้เก่งใช่ย่อย ผอมจนจะปลิวลมอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นอาหารสีดำที่อยู่บนโต๊ะอีก…
จางเว่ยอวี่หันหน้ามามองหลี่ว์ซู่ “ทำไม ไม่เชื่อหรือ”
“เชื่อสิ ทำไมไม่เชื่อ!”
“ถือว่านายอยู่เป็น!”
หลี่ว์ซู่พูดอย่างจริงจังว่า “ฉันเชื่อว่านายกินรากไม้”
[ได้แต้มจากจางเว่ยอวี่ +399!]
ตี๋เห็นแต้มก็พูดไม่ออก แผนที่ดวงดาวและจุดขี่ไก่ถูกผนึกไปแล้ว แต่เเต้มยังได้เหมือนเดิม แต่คำถามคือเขาจะเอาแต้มไปทำอะไร ใช้อะไรไม่ได้เลย
ว่าแต่ก่อนหน้านี้เขามั่นใจว่าฮุ่นตุ้นดิ้นหลุดจากโซ่นั้น ก็แสดงว่าด้วยพลังระดับ a สามารถดิ้นหลุดได้ภายในสิบกว่านาที
จึงทำให้หลี่ว์ซู่มีความหวังว่าอย่างน้อยก็รู้ว่าโซ่สามารถปลดออกได้
ในตอนนี้เอง กลุ่มชาวนาสิบกว่าคนเดินผ่านมา หลี่ว์ซู่สังเกตว่าที่คอด้านขวาของแต่ละคนจะมีตราประทับแบบเดียวกันแต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร รูปร่างคล้ายกับเงินไซซี
ไม่นานนักก็มีกลุ่มเดินผ่านมา คราวนี้บนหลังมือมีรูปภาพ แต่ภาพครั้งนี้เปลี่ยนเป็นภาพที่ดูคล้ายกับดาบน่าเกลียดๆ เล่มหนึ่ง
หลี่ว์ซู่มองที่คอของจางเว่ยอวี่ก็ไม่พบอะไร
หลี่ว์ซู่จึงถามไปว่า “แม่บอกว่านายมีที่มากที่สุด แต่ฉันเห็นคนอื่นก็ดูมีกินแต่ทำไมนายผอมอย่างนี้”
[ได้แต้มจากจางเว่ยอวี่ +199!]
จางเว่ยอวี่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “เอาฉันไปเทียบกับพวกทาสได้ยังไง พูดอย่างนี้หมายความว่าอย่างไร ปีหนึ่งฉันทำเงินได้แปดสิบเปอร์เซ็นต์ของการเก็บภาษี ต้องไปเทียบกับเจ้าของที่ดินและขุนนางนั้น แต่ฉันต่อให้ชาตินี้ต้องหิวตายก็จะไม่ไปเป็นทาสคนพวกนั้น!”
หลี่ว์ซู่ถึงกับบางอ้อ ที่แท้ภาพนั้นเป็นตราประทับของพวกทาส
เอ๊ะ หลี่ว์ซู่รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติในคำพูดของจางเว่ยอวี่ ไม่เป็นทาสของคนพวกนั้นก็แสดงว่าเป็นทาสคนอื่นได้? ฟังดูแล้วดูเข้มแข็งใช่ย่อย…
แต่ที่ทาสอยู่ดีกินดีกว่าชาวนาก็พอเข้าใจได้ จากประวัติศาสตร์ยุคสังคมทาสมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นจริงๆ เพราะทาสเป็นเสมือนทรัพย์สินของนายทาส นั้นจึงอยู่ดีกินดีกว่าชาวนาไม่มากนัก คนที่ฉลาดโดยไม่อยากให้ทาสใช้เงินตัวเองซื้อดูไม่สมบูรณ์
แล้วพวกชาวนาจะถูกขุนนางขูดรีด ค่อยๆ จมลงไปเรื่อยๆ ขุนนางก็แค่หวังว่าสามารถบีบพวกเขาจนตรอก จากนั้นก็รับที่ดินของเขามาเป็นเจ้าของที่แทน ชาวนาก็ถูกบีบจนต้องมาเป็นทาส คราวนี้ทุกอย่างก็เป็นของตนเองหมด
นี่เป็นกระบวนการจำเป็นที่จะกลายเป็นคนรวย กระบวนการที่ความโลภแผ่ขยาย
แน่นอนว่า พวกทาสอยู่สบายก็แค่สบายกว่าชาวนาเท่านั้น ได้กินอิ่ม มีเสื้อใส่
ตอนนี้จางเว่ยอวี่ไม่ให้หลี่ว์ซู่เขเาใจทุกอย่าง เขาชำเลืองมองแล้วพูดว่า “นายดูกล้ามากที่กล้าหนีออกมา ดีมาก! ว่าแต่ตราประทับของนายอยู่ตรงไหน”
หลี่ว์ซู่อึ้งไปสักพักแล้วตีเนียนเปลือกตำแหน่งที่ถูกพบยากที่สุด “ที่ก้น”
จางเว่ยอวี่มีสีหน้าเคร่งขรึม “มิน่านายถึงหนีออกมา!”
หลี่ว์ซู่ “???”
หลี่ว์ซู่คิดว่าเขาพูดอะไรผิดหรือเปล่า…
นี่มันสังคมศักดินาที่วุ่นวายอะไรกัน โลกของเขาบอกลาสังคมทาสมาสองพันกว่าปีแล้ว
หลี่ว์ซู่ครุ่นคิดว่าทำไมคนคนนี้ดูมีอะไรผิดปกติบางอย่างแล้วก็มีลางสังหรณ์บางอย่างกับตราประทับนั้น
มาพูดเรื่องของจางเว่ยอวี่ ชาวนาธรรมดาในสังคมทาสได้เรียนหนังสือด้วยหรือ หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าไม่น่าใช่ ที่นี่จะคล้ายกับโลกอย่างไรก็ไม่เชื่อว่าจะมีเรื่องการศึกษาขั้นพื้นฐานเก้าปีหรอกนะ
จางเว่ยอวี่คนนี้มีปัญหา
จางเว่ยอวี่ผอเป็นไม้เสียบผี หลี่ว์ซู่เป็นคนฝึกกระบี่ คนคนหนึ่งถ้ามีพลังหรือไม่อย่างน้อยก็แยกแยะได้จากการเดินแต่เขาคนนี้เดินเหินไร้น้ำหนัก ไม่เหมือนคนที่บำเพ็ญมา
เดี๋ยวนะ หลี่ว์ซู่อึ้งไปครู่หนึ่ง ตอนที่เขาอยู่ที่โลกเคยเห็นตราประทับคล้ายๆ กันนี้มาก่อน…เช่น…ตราเปลวไฟสีขาวที่คอด้านขวาของอวิ๋นอี่และพยัคฆ์จื๋อ!
ปรมาจารย์หุ่นเชิดก็คือทาสของราชาคนนั้นที่พวกเขาพูดเสมอหรือ น่าจะเป็นไปได้!
ไม่รู้ว่าราชาคนนั้นมีฐานะอย่างไรในโลกนี้ เขาจ้องไปหาราชาคนนั้นไหม ยังไงเสียปรมาจารย์หุ่นเชิดก็ไม่กลับมา เขาเองก็จะพูดกับราชาว่า ผมเป็นสหายของปรมาจารย์หุ่นเชิด พวกเขาบอกว่าให้มาหาท่าน ท่านจะดูแล
หลังจากที่หลี่ว์ซู่ไตร่ตรองอย่างหนักจึงตัดสินใจดูสถานการณ์ไปก่อน เพราะยังไงเขาก็ไม่ได้เข้าใจปรมาจารย์หุ่นเชิดมากนัก…มันก็น่าสนุกที่ได้ตีเนียนไปเรื่อยๆ…
เดินไปไม่นานนักก็ถึงที่นาของจางเว่ยอวี่ หลี่ว์ซู่มองออกไปไกลๆ ก็ไม่มีพืชที่เขารู้จักเลยซักต้น
ในชั่วพริบตาแรกที่หลี่ว์ซู่ตื่นขึ้นมา เขาก็เข้าใจว่าทำไมปรมาจารย์หุ่นเชิดผ่านประตูนี้ไปแล้วถึงได้อ่อนแอลง ตามหลักการที่พวกเขาเคยเดาก็คือปรมาจารย์หุ่นเชิดรถพลังลง จากนั้นช่วงเวลาที่ผ่านประตูมาต้องถูกเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาในสภาพที่ตัวเองอ่อนแอ อย่างหลี่ว์ซู่เองก็สลบไปเลย… พูดตามตรงรีเองก็ถือปรมาจารย์หุ่นเชิดมากๆ ที่แม้จะผ่านประตูนี้มาแล้วยังสามารถต่อสู้ได้
ตอนนั้นปรมาจารย์หุ่นเชิดมีพลังระดับ B แต่ตอนนี้หลี่ว์ซู่มีพลังเสมือนคนธรรมดา
เขาลืมตาขึ้นและมองไปรอบๆฝันว่าตนเองนอนอยู่บนเตียงที่แข็งและเย็นกลางห้องเล็กๆ ห้องหนึ่ง เขาหันหน้าไปมองที่มุมกำแพงดินมีอุปกรณ์ทำหน้าที่คล้ายกับจอบที่เปื้อนดินวางอิงกำแพงไว้
ตัวเตียงทำจากอิฐก่อขึ้นมาดูแล้วไม่ได้เป็นอิฐงานประณีตอะไร สร้างขึ้นมาเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าอย่างง่ายๆ และนำไปเผา
ภายในห้องไม่มีเฟอร์นิเจอร์อย่างอื่นนอกจากเตียงก็มีโต๊ะไม้เบี้ยวๆ หนึ่งตัว บนโต๊ะวางชามที่มีขนมข้าวโพดนึ่งสีม่วงที่ถูกกัดไปครึ่งหนึ่งเอาไว้ หลี่ว์ซู่เองก็ไม่แน่ใจว่าขนมอันนั้นคือขนมข้าวโพดนึ่งหรือเปล่า
เขารู้สึกงง ตัวเขาเข้ามาในดินแดนของปรมาจารย์หุ่นเชิดไม่ใช่หรือ ในจินตนาการของเขาที่นี่ควรจะมีแต่ผู้แข็งแกร่งและกินอาหารที่ดูดีหรูหราพี่เขาไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน
แต่ไอ้ที่อยู่ในชาม เขาไม่เคยเห็นมาก่อนและดูไม่หรูหราด้วย
ดูยังไงก็เหมือนเขาถูกส่งมาเป็นครูสอนอยู่ที่ชนบท ถ้าเขามาเป็นครูสอนที่ชนบทแล้วปรมาจารย์หุ่นเชิดจะมีฐานะอะไร ภาพที่เขาลืมตาขึ้นมาเห็นช่างไม่คาดคิดมาก่อนเลยทำเอาหลี่ว์ซู่ลังเลว่าตัวเองเข้าประตูดวงดาวมาจริงหรือเปล่า
หลี่ว์ซู่ยันร่างกายที่เหมือนกระดูกจะหลุดออกจากกันให้ลุกขึ้น รองเท้าของเขาวางอยู่ที่ขอบเตียง เจ้าของห้องนี้น่าจะวางไว้ก่อนที่เขาจะออกไปแล้วดูไม่กลัวว่าหลี่ว์ซู่จะขโมยของ
ที่จริงมองไปทั่วห้องก็ไม่มีของอะไรที่ทำให้หลี่ว์ซู่สนใจ
ยังไงเขาก็ต้องกลับบ้าน สำหรับปีแล้วไม่ว่าโลกภายนอกจะเลิศเลอขนาดไหน เขาก็ยังรักโลกและรักเมืองลั่วเฉิง
เมื่อก่อนเขาเคยได้ยินว่าผู้แข็งแกร่งจะต้องทำลายความว่างเปล่าแล้วเดินทางไปอีกโลกหนึ่ง เขาไม่เห็นด้วย เป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนของตนก็ดีอยู่แล้วจะออกไปให้หาคนที่แข็งแกร่งกว่าให้เขาทุบตีทำไม…
เขาก็ไม่ได้เป็นคนที่ใฝ่หาความเป็นที่หนี่งของวิทยายุทธ์อยู่แล้ว หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าแค่ตัวเองมีพลังปกป้องเสี่ยวอวี๋และอาศัยอยู่ในเมืองลั่วเฉิงก็ดีอยู่แล้ว
งั้นตอนนี้เพื่อนที่เขาอยากทำที่สุดก็คือหาทางกลับบ้านแต่เขาก็รู้ว่าเรื่องนี้ต้องไม่รีบร้อน
ในตอนนี้ชายวัยกลางคนหนึ่งผลักประตูเข้ามา หาบตะกร้าเข้ามา ตะกร้ามีน้ำ 2 ถัง หลี่ว์ซู่สงสัยว่าชายวัยกลางคนผมดำผิวออกเหลืองดูยังไงก็เหมือนมนุษย์โลก เขาคงไม่ใช่อยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งในภูเขาจั่งไป๋บอกเขาไม่ได้ผ่านประตูดวงดาวบ้านนั้นมาหรอกนะ
หลี่ว์ซู่เงียบไม่พูดอะไรเพราะเขาไม่มั่นใจว่าที่นี่ใช้ภาษาอะไรกัน ถ้าพูดผิดภาษาไปอาจจะเปิดเผยตัวตนของเขา
อย่างนั้นทางที่ดีที่สุดก็คือเงียบไปก่อน แล้วค่อยๆ ศึกษาภาษาของที่นี่ รู้ให้เข้ากับโลกนี้และหาทางกลับบ้าน!
หลี่ว์ซู่ปิดปากรออีกฝ่ายพูด เอามาใช้วัยกลางคนเห็นหลี่ว์ซู่ตื่นขึ้นมาแล้วก็ยิ้มแล้วคิดว่า “อ้าว ตื่นแล้วหรือ คุณอย่าเพิ่งผึงรังเกี๋ยดบ้านผมเลยนะ ตอนที่เจอคุณดูหนากลัวมาก แล้วคุณก็ตกลงมาคางหลังผมตอนที่ผมกำลังทำงาน…คุณอย่าเอาเรื่องผมนะ ผมไม่ได้ทำอะไรเลย!”
หลี่ว์ซู่ “…”
สำเนียงอะไรกันเนี่ย นี่มันโลกหลังประตูดวงดาวจริงหรือ! เขามาอยู่ในหมู่บ้านหนึ่งในภูเขาจั่งไป๋จริงๆใช่ไหม!
หลี่ว์ซู่ปรับอารมณ์สักครู่หนึ่งแล้วถามว่า “ที่นี่ที่ไหน”
ดีที่ใช้ภาษาเดียวกันอย่างน้อยตัวตนเขาคงไม่ถูกเปิดเผย
ถึงหลี่ว์ซู่จะเข้าใจว่าตัวเขามีพรสวรรค์ด้านภาษามากแต่ถ้าไม่ต้องเรียนเพิ่มอีกภาษาก็จะดีกว่า
ดูจากสภาพตอนนี้ เขาพูดภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น ภาษาอังกฤษและภาษาหงิงได้…
แต่หลี่ว์ซู่รู้สึกไม่เข้าใจทำไมชายวัยกลางคนวันนี้ถึงเรียกเขาว่าคุณตลอด ฟังดูแล้วไม่คุ้นหู เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร พูดมากก็ผิดมากแล้วเขาก็รู้สึกว่าสำเนียงของอีกฝ่ายดูผสมปนเปไปหมด
ชายวัยกลางคนได้ยินที่หลี่ว์ซู่พูดก็สีหน้าดีใจอย่างมาก “ที่นี่คือหมู่บ้านเถียนเกิ่ง ผมเป็นชาวนาของหมู่บ้านนี้ ชื่อว่าจางเว่ยอวี่ คุณมาจากที่ไหน หิวหรือยัง เดี๋ยวผมไปฆ่าไก่มาให้ คุณว่าเป็นไง”
หลี่ว์ซู่โบกมือปฏิเสธ “อย่าเพิ่งพูดเรื่องกินเลย ความทรงจำของผมตอนนี้ยุ่งเหยิงมาก มีเรื่องอยากถามคุณหน่อย ดินแดนพวกเรานี้…ผมหมายถึงโลกนี้มีชื่อเรียกไหม”
จางเว่ยอวี่ตกใจกับคำถาม “มีสิ!”
“เรียกว่าอะไร” หลี่ว์ซู่ดวงตาลุกวาว
“จักรวาลหลี่ว์!”
หลี่ว์ซู่ “???’
คราวนี้เป็นตาหลี่ว์ซู่ตกใจกับคำพูด “ไม่ใช่ เดี๋ยวก่อนนะ สำเนียงคุณเพี้ยนหรือเปล่า…”
ยูนิเวิร์ส? จักรวาลหลี่ว์?
จางเว่ยอวี่มองหลี่ว์ซู่ด้วยความสงสัยและเขียนคำว่า “จักรวาลหลี่ว์” ลงบนโต๊ะด้วยน้ำลายจากนั้นพูดว่า “ถูกแล้ว จักรวาลหลี่ว์ สำเนียงผมไม่เพี้ยน”
บ้าไปแล้ว!!
หลี่ว์ซู่สูดหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง เขาผ่านประตูดวงดาวมาจริงๆ ด้วย แต่ชื่อของโลกนี้…มันทำให้เขารับไม่ได้
ทำไมหรือ ที่นี่คือโลกของบรรพบุรุษตระกูลหลี่ว์หรือ ถึงได้เรียกจักรวาลหลี่ว์!
ยิ่งไปกว่านั้นแปลภาษาจีนคำว่ายูนิเวิร์สคือคำว่า “อวี่โจ้ว” เมื่อแยกสองคำนี้ออกจากกัน คำแรกแปลว่าที่ว่าง คำที่สองแปลว่าเวลาดังนั้นเมื่อรวมกันแล้วจึงหมายถึงทั้งโลก
แล้วคำว่าจักรวาลหลี่ว์จะแปลอย่างไร
ตอนนี้หลี่ว์ซู่เพิ่งสังเกตเห็นการแต่งตัวของอีกฝ่ายที่ตอนแรกไม่ทันได้สังเกต กางเกงขาสั้น เสื้อทีเชิ้ต ก็ไม่เท่าไหร่ที่สำคัญคือรองเท้าหญ้าที่เขาใส่และเข็มขัดที่ทำจากหญ้าฟั่นเป็นเชือก
หลี่ว์ซู่มองจางเว่ยอวี่ตรงหน้า ตอนนี้เขาเป็นคนธรรมดาจึงสัมผัสไม่ได้เลยว่าอีกฝ่ายมีพลังอะไร เพียงแค่หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าน้ำเสียงที่อีกฝ่ายพูดแฝงความฉลาดไว้ ตอนนี้ฝ่ายเกรงใจขนาดนี้เหมือนกับเข้าใจผิดว่าหลี่ว์ซู่มีฐานะที่สูงส่ง
จางเว่ยอวี่มองหลี่ว์ซู่ด้วยความสงสัยเหมือนว่าสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง “ลงจากเตียงเลยไอ้เด็กเมื่อวานซืน มาทำเป็นพูดน้ำเสียงชนชั้นสูง! แกล้งทำเป็นความจำเสื่อม! เรื่องนี้หนังสือพูดเอาไว้เยอะ!”
หลี่ว์ซู่คิดในใจว่ามันเรื่องอะไรกันเนี่ย เขาไม่ได้เสแสร้งอะไรเลยแต่เรื่องที่ดีที่สุดในตอนนี้ก็คือตีเนียนไปก่อน ไม่ว่าจะขุนนางก็ดี ชาวนาก็ดี เป็นคนของโลกนี้ก่อนค่อยว่ากัน
คราวนี้หลี่ว์ซู่เริ่มระมัดระวังจริงจัง เพราะเขารู้ว่าโลกนี้ไม่ได้สงบสุขแบบโลกมนุษย์ จากน้ำมือปรมาจารย์หุ่นเชิด
หลี่ว์ซู่ลงจากเตียงอย่างว่านอนสอนง่าย “ขอโทษด้วย ความจำของผมมันยุ่งเหยิงจริงๆขอเวลาคิดทบทวนหน่อย”
จางเว่ยอวี่กลอกตาไปมา “นายบอกความจริงมาเลย นายเป็นทาสที่ไปมีเรื่องกับเจ้านายแล้วออกมาใช่ไหม… ไม่เป็นไรๆ นายเป็นใครไม่สำคัญ แล้วอยากจะอยู่ที่นี่ไหม”
ถึงแม้การสงครามจบแล้วแต่ทุกคนก็ยังไม่ได้พัก นักรบเกราะทองแดงต่างเหนื่อยล้ามาก แต่ต้องแยกกำลังกันค้นหาทั่วภูเขาจั่งไป๋
พวกเขาเชื่อมั่นว่าราชันฟ้าที่เก้ายังมีชีวิตอยู่ ไม่แน่อาจจะได้รับบาดเจ็บและนอนพักอยู่ที่มุมใดมุมหนึ่งของภูเขาเพื่อรอการช่วยเหลือ
ถึงทุกคนรู้ว่าโอกาสที่เขาจะรอดนั้นมีน้อยมากแต่หลังจากที่พวกเขาค้นหาทั่วหุบเขาค่ายกลดาบและไม่พบหลี่ว์ซู่ หลายคนจึงตระหนักว่าหลี่ว์ซู่อาจเจอเรื่องร้ายมากกว่าดี
การสำรวจแบบปูพรมดำเนินไปสามวันแต่ก็ไม่มีใครพบร่องรอยของหลี่ว์ซู่เลย
ถ้าพูดให้ถูกเพราะทุกคนเห็นข้อความสลักไว้บนต้นไม้ริมแม่น้ำทีจื่อว่า “ผู้ใดรุกล้ำเขตแดน ตายสถานเดียว” หลี่ว์เสี่ยวอวี๋มั่นใจว่านั่นเป็นลายมือของหลี่ว์ซู่
มันต้องเป็นสิ่งที่หลี่ว์ซู่ทิ้งเอาไว้ให้กับหน่วยซุ่มจู่โจม ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องที่หุบเขานี้
ทุกคนเห็นหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ค่อยๆ เงียบลงและพูดน้อยลงเรื่อยๆ
เฉินจู่อานปลอบใจเสี่ยวอวี๋ด้วยความตื่นเต้น “เสี่ยวอวี๋อย่าเพิ่งคิดอะไรโง่ๆ นะ”
แต่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋กลับชำเลืองตามองเฉินจู่อานอย่างเย็นชา “หลี่ว์ซู่ไม่ได้ตายซะหน่อย เขาแค่ไปอีกโลกหนึ่ง”
“ใช่ๆๆ ” เฉินจู่อานพยักหน้าอย่างมั่นใจ “เขาจะอยู่ในใจพวกเราตลอดไป”
เจ้าอ้วน เสียชีวิต รวมอายุ 18 ปี
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ไม่ถึงกับฆ่าเขาจริงๆ หรอกแค่ตบสั่งสอน หลี่ว์เสี่ยวอวี๋พูดว่าอีกโลกหนึ่งนั้นเป็นเพราะเธอรู้ว่าหุบเขาค่ายกลดาบมีทางเข้าไปยังอีกโลกหนึ่ง ถ้าค้นหาศพของหลี่ว์ซู่ยังไม่เจอก็แสดงว่าเขาไปโลกของปรมาจารย์หุ่นเชิดแล้วยังไม่ตาย
สิ่งที่เธอหวังตอนนี้คือการตามหาปรมาจารย์หุ่นเชิดและสอบถามเรื่องให้กระจ่าง เธอเชื่อมั่นว่าคนอย่างหลี่ว์ซู่จะอยู่รอดได้ไม่ว่าสภาพแวดล้อมจะเป็นอย่างไร
เธออยู่กับเขามาแปดปี เธอเห็นมากับตาว่าเขาอยู่รอดในโลกที่ยากลำบากได้อย่างไร ดังนั้นหลี่ว์เสี่ยวอวี๋จึงคิดว่าถ้าเขาอยากมีชีวิตต่อไปสิ่งที่ฆ่าเขาได้ก็มีเพียงตัวเขาเอง
เธอลองเรียกวิญญาณของหลี่ว์ซู่แต่ครั้งนี้ไม่มีเสียงตอบรับของแผนที่ดาราเลย
ในตอนนี้เอง เนี่ยถิงที่ดูเคร่งขรึมมาตลอดกลับเริ่มพาเหล่าสมาชิกเครือข่ายฟ้าดินนั่งอยู่บนหุบเขาระดมสมองว่าจะเปิดประตูไปยังอีกโลกหนึ่งได้อย่างไร
เมื่อก่อนเนี่ยถึงปิดผนึกที่นี่ไว้แล้วมาหน้าต่อเวรทุกเดือนก็เพราะกังวลว่าประตูบานนี้เปิดออกขึ้นเอง เพราะเขากังวลว่าสิ่งมีชีวิตและกลุ่มพลังที่อยู่หลังบานประตูนั้นจะรับมือยาก
ถ้าประตูบานนี้ไปอยู่ที่ประเทศอื่นเขาก็ไม่ตกใจหรอกแต่ทางผ่านประตูดันมาอยู่ที่ภูเขานี้
ดังนั้นเมื่อก่อนเป็นห่วงว่ามันจะเปิดเองแต่ตอนนี้กลับเป็นฝ่ายที่อยากจะเปิดประตู สมาชิกเครือข่ายฟ้าดินมากมายต่างหวังเดินทางไปอีกโลกหนึ่งเพื่อช่วยราชันฟ้าที่เก้า
ดังนั้นทุกคนจึงเห็นเนี่ยถิงยืนอยู่บนหน้าผาและตะโกน “โอเพ่น เซซามี” ใส่ท้องฟ้า เป็นภาพที่ไม่มีวันลืม…
นักรบเกราะทองแดงทุกคนรู้สึกว่าถ้าไม่ได้เห็นกับตาพวกเขาไม่มีทางเชื่อว่าเนี่ยถิงจะมีมุมไร้เดียงสาเช่นนี้ก็เพราะเหตุนี้ทุกคนจึงรู้ว่าเนี่ยถิงร้อนใจมากเพียงใด
หลี่ว์ซู่เป็นหนึ่งในผู้ที่สร้างความดีความชอบในสงครามครั้งนี้มากที่สุดแต่ตอนนี้ทุกคนกลับหาเขาไม่เจอ
หลังจากวุ่นวายกันสักพักทุกคนก็เริ่มยอมรับว่าหลี่ว์ซู่ได้เดินทางไปยังอีกโลกหนึ่ง ทุกคนไม่รู้ว่าโลกนั้นเรียกว่าอะไร ไม่รู้ว่าหลี่ว์ซู่จะเป็นอย่างไรบ้าง ไม่รู้ว่าที่นั่นมีหน้าร้อนหรือหน้าหนาวหรือไม่
ทุกคนต่างลำบากใจ เฉินจู่อานกลับถึงเมืองลั่วเฉิงแล้วก็มักจะนั่งเหม่อบ่อยๆ เฉิงชิวเฉี่ยวก็กลายเป็นเด็กโดดเรียนมานั่งเหม่อกลับเฉินจู่อานบ่อยๆ
ถ้ามีคนเผลอหลุดปากว่าราชันฟ้าที่เก้าเป็นอย่างไรบ้างก็จะเกิดความเงียบขึ้นในทันที
ภาพวาดในระเบียงทางเดินของแต่ละวิทยาลัยต่างมีภาพของหลี่ว์ซู่เข้าไปใส่ ในประวัติของราชันฟ้าที่เก้า มีข้อความเพิ่มเติมไปว่า ในสงครามป้อมปราการหลังพยัคฆ์ ราชันฟ้าที่เก้าขี่มังกรเข้าร่วมรบ หนึ่งกระบี่สังหารศัตรูนับพัน
ฮุ่นตุ้นไม่ได้ตามหลี่ว์เสี่ยวอวี๋กลับเมืองลั่วเฉิว มันอาศัยอยู่บนต้นไม้โลกแล้วไม่เชื่อฟังใครทั้งสิ้น
ฮุ้นตุ๋นเป็น “มังกรในเหตุการณ์” ที่เห็นทุกสิ่งในตอนนั้น มีคนพยายามลองสื่อสารกับมัน ในตอนแรกทุกคนกังวลว่าจะฟังภาษามันไม่เข้าใจ แต่สุดท้ายมันก็ไม่เอ่ยปากพูดอะไรเลย
เรากลับเรื่องของหลี่ว์ซู่ที่เกิดขึ้นบนหุบเขาค่ายกลดาบมีความลับอะไรซ่อนอยู่ ดังนั้นมันจึงไม่ยอมพูดอะไรเพื่อปกป้องเจ้านายแม้แต่เสียงร้องหงิงๆๆ ก็ไม่พูดออกมาเหมือนกับกำลังฝึกสมาธิปิดปาก
ส่วนคอรัล… ได้ซื้อภูเขาลูกหนึ่งในภูเขาจั่งไป๋และพาคนจากเผ่าเทพยุโรปเหนือมาสร้างบ้านอาศัยอยู่ที่นั่น
เครือข่ายฟ้าดินและเผ่าเทพยุโรปเหนือประกาศความร่วมมือเป็นพันธมิตร จะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
ทุกคนต่างรู้สึกว่าหลี่ว์ซู่ยังไม่ตาย พวกเขายอมเชื่อว่าหลี่ว์ซู่ยังไม่ตายและทุกคนต่างรอวันที่ราชันฟ้าที่เก้ากลับมา
อาณาจักรมืดล่มสลายลง หลังจากสงครามนี้หลี่เสียนอีเข้าจัดการอาณาจักรมืดของมูลนิธิ แต่ที่จริงเขารู้ดีว่าไม่มีอุดมคติอะไรที่สามารถอยู่ได้ยืนยง
วันใหม่มาเยือน การเรียนการสอนของวิทยาลัยลั่วเสินกลับมาดำเนินตามปกติแต่เหมือนมีบางอย่างแตกต่างไป
นักศึกษาทุกคนต่างถามว่าวิชาของใต้เท้าหลี่ว์จะทำอย่างไร และแล้วคำตอบของจงอวี้ถังคือจะดำเนินต่อและจะหาอาจารย์คนใหม่มาแทน
ทุกคนต่างไม่พอใจ ภูเขาหญ้าบอกว่าพ่อเขาอยากให้ไปเท้าหลี่ว์มาสอนมากกว่า เครือข่ายฟ้าดินจะต้องพาตัวเขากลับมา
ให้ตอนนี้เอง นักศึกษาหลายคนแอบลงมติเป็นเอกฉันท์ไม่ว่าใครมาสอนก็จะไม่เห็นด้วย วิชานี้ต้องให้ใต้เท้าหลี่ว์สอนเท่านั้น คนใครมาสอนได้ไม่ดีเท่า
ถึงตอนนั้นถ้ามีคนอื่นมาสอน พวกเขาก็จะโห่ร้องขับไล่!
แต่ไม่รู้ว่าใครจะมารับช่วงสอนวิชานี้ วิชาของใต้เท้าหลี่ว์จะรับสอนง่ายๆ ได้หรือ
ห้าโมงเย็น ที่ลานฝึกซ้อมมีคนมากมายล้นหลาม ทุกคนต่างรอการมาถึงของอาจารย์คนใหม่ อยากจะใช้วิธีพิเศษเพื่อรำลึกถึงราชันฟ้าที่เก้า
ที่จริงพวกนักศึกษารู้ว่าทำเช่นนี้ไม่ถูกแต่ในใจพวกเขามีอัดอั้นใจที่อยากระบาย แล้วผู้ที่เป็นแกนนำก็คือ…หลิวหลี่
เมื่อถึงเวลาห้าโมงเย็น ทุกคนต่างตกใจที่เห็นหญิงสาวที่ซูบผอมลงคนหนึ่งเดินออกมาจากฝูงชนไปทางข้างหน้า
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋เดินมาข้างหน้าฝูงชนและหันหลังมามองทุกคนอย่างสงบ “นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปฉันจะมาสอนแทน แล้วจะสอนแทนไปจนกว่าหลี่ว์ซู่จะกลับมา”
นักศึกษาต่างโหวกเหวกเสียงดังขึ้นในทันที ถ้าคนอื่นมาพวกเขาก็จะประท้วงจริงๆ แต่เมื่อเป็นหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ทุกคนก็ไม่ประท้วง
ยังไม่พูดถึงคนที่เสียใจที่สุดหลังจากหลี่ว์ซู่หายตัวไป พูดถึงพลังการต่อสู้ ตอนนี้หลี่ว์เสี่ยวอวี๋มีวิญญาณของหัวหน้าบาทหลวงที่มีพลังระดับ a ทุกคนจึงยอมรับและเห็นด้วยเป็นเอกฉันท์
นักศึกษาแถวหน้าอดไม่ได้จึงถามว่า “ใต้เท้าหลี่ว์ซู่จะกลับมาได้ไหม”
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ยืนอยู่ด้านหน้าฝูงชนมากมายและพูดอย่างมั่นใจว่า “จะต้องกลับมาแน่นอน”
“ฉันประมาทนายเกินไป” เจ๋อเมิ่งมองกระบี่เฉิงอิ่งที่แทงทะลุท้อง “ใช้พลังของคนธรรมดาทำร้ายฉันได้ สมแล้วที่เป็นสายเลือดพิเศษ”
ระหว่างที่พูดนั้น เจ๋อเมิ่งก็ดึงกระบี่ออกจากร่างช้าๆ ด้วยความเจ็บปวดและโยนมันลงที่พื้น “กระบี่เมื่อครู่นั้นน่าสนใจไม่น้อย ถ้านายมีเวลาเตรียมมากกว่านี้ฉันคงตายไปแล้ว”
หลี่ว์ซู่ยืนอยู่กับที่นิ่งๆ ถึงจะถูกควบคุมเอาไว้แต่ก็ไม่มีท่าทีตื่นตระหนก สายเลือดคำนี้เหมือนเขาเคยได้ยินใครสักคนพูดกับเขาแต่เขาจำไม่ได้
เจ๋อเมิ่งเฮ้ยถึงสายเลือดเรากลับว่ารู้ตัวตนและที่มาที่ไปของเขา ที่ฝ่ายรอคอยเขางั้นคงเป็นเพราะเลือดของเขาเท่านั้นที่สามารถเปิดประตูบานนี้ได้!
ประตูนี้คือเส้นทางที่ปรมาจารย์หุ่นเชิดเดินทางมาที่โลกไม่ใช่เหรอแล้วมันเกี่ยวกับเขาได้อย่างไร!
เจ๋อเมิ่งมองหลี่ว์ซู่ “อยากรู้ไหม อยากรู้ก็ถามมา ฉันจะบอกนายเอง”
“เจ็บแผลไหม” หลี่ว์ซู่หัวเราะคิกคัก
ชายชุดดำข้างๆ เขาเหวี่ยงหมัดต่อยท้องเขาทันที หลี่ว์ซู่ร้องเจ็บปวด กล้ามเนื้อทั่วร่างเขาเริ่มสั่นเพราะความเจ็บปวดรุนแรง เขาก้มหน้ากัดฟันเงียบไม่พูดอะไรเพื่อจะหาไพ่ไม้ตายที่ยังใช้ได้
ตาข่ายแดงนั้นคือโซ่พันธนาการไม่ใช่ว่าพลังของเขาหายไปจนหมดแต่เหมือนกับถูกกักขังเอาไว้
ตอนนี้หลี่ว์ซู่เพิ่งจะตระหนักว่าที่แท้พลังของผู้บำเพ็ญอยู่ที่พลังจิตวิญญาณส่วนพลังของเขามาจากพลังแห่งดวงดาว ถ้าแผนที่ดวงดาวของเขาถูกกักเอาไว้ เขาก็เป็นแค่คนธรรมดาเท่านั้น
แต่…เมื่อไหร่ที่เขาจะแข็งแกร่งอย่างแท้จริง เขารู้สึกไม่ปลอดภัยเรากลับตนเองไม่มีอาวุธต่อสู้ในเวลาที่ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอด ร่างกายที่เขาภูมิใจมาตลอดตอนนี้ไม่สามารถพึ่งพาได้แล้ว
ถ้าเขามีชีวิตรอดไปได้เขาจะต้องสร้างร่างกายให้แข็งแรงอย่างแน่นอน
หลี่ว์ซู่สัมผัสถึงความโกรธของแผนที่ดวงดาวที่พยายามทำลายพันธนาการของด้ายแดง แต่พลังของเขาตอนนี้ดูอ่อนแอลงไปเยอะ
พลังที่เขามีเช่นตราแผ่นดินและกระบี่บินต่างต้องอาศัยพลังของดวงดาวตอนนี้กลับไม่สามารถใช้ได้แล้ว
ทันใดนั้นฮุ่นตุ้นก็หลุดออกจากพันธนาการของตาข่ายแดงได้งั้นทำให้หลี่ว์ซู่เข้าใจว่าตาข่ายแดงไม่ได้เหนียวมากนัก เขาก็สามารถดิ้นหลุดได้!
ถึงพลังของเขาจะตอนนี้จะไม่มากเท่าฮุ่นตุ้นแต่เขาน่าจะสามารถดิ้นหลุดได้!
แต่เมื่อเจ๋อเมิ่งเห็นฮุ่นตุ้นหลุดออกมาได้และพรุ่งนี้เข้ามาอย่างไม่ลังเล เขาถึงจัดการฆ่าคนชุดดำอีกสองคนที่เหลือและกระโดดเข้าไปที่ประตูดวงดาวบนหุบเขา เหมือนกับไม่กลัวเหวลึกข้างล่างเลยแม้แต่น้อย!
ฮุ่นตุ้นพุ่งไปทางประตูดวงดาวด้วยแต่ก็ยังช้ากว่าเจ๋อเมิ่งเพราะมันอยู่ห่างออกไปเยอะ!
ฮุ่นตุ้นร้อนใจที่เห็นคนคนนี้พาหลี่ว์ซู่ไปด้วย…ตูม! แสงสว่างบนประตูดวงดาวอยู่ๆ ก็ระเบิดออก เจ๋อเมิ่งถูกประตูผลักกระเด็นออกไปอยู่บนหุบเขา!
เจ๋อเมิ่งมองประตูด้วยความตกใจ “เป็นไปได้อย่างไร! ทำไมเข้าไปไม่ได้! ทำไม! “
ส่วนฮุ่นตุ้นมองเจ๋อเมิ่งและคำรามด้วยความโกรธ “หงิงๆๆ “
นายกลับมาแล้วแต่หลี่ว์ซู่ล่ะ! คนทั้งคนหายเข้าไปในนั้น!
ในตอนนี้ เจ๋อเมิ่งถูกประตูดวงดาวสะท้อนออกมาแต่หลี่ว์ซู่กลับผ่านเข้าไปได้!
คนที่อยากเข้ากลับเข้าไปไม่ได้ คนที่ไม่อยากเข้ากลับเข้าไปได้!
อวิ๋นอี่และพยัคฆ์จื๋อบินลงมาจากฟ้า อวิ๋นอี่เห็นประตูดวงดาวกำลังปิดลงและหายไป “มาช้าไปแล้ว ทุกอย่างเกิดขึ้นไปแล้ว พวกเราทำงานพลาดซะแล้ว”
พยัคฆ์จื๋อกลับดูสบายใจ “ก็ดีแล้วนี่ เธอบอกว่าทางของราชาแห่งทวยเทพ เขาต้องเป็นคนเดินเองไม่ใช่เหรอ…”
อวิ๋นอี่มองบน ไม่รู้ว่าทำไมเธอดูมีเสน่ห์เวลาเธอกลอกตา…
อวิ๋นอี่มองเจ๋อเมิ่งและพูดว่า “นายคงคิดไม่ถึงว่าตัวเองผ่านประตูนั้นไม่ได้ล่ะสิ”
เจ๋อเมิ่งมองอวิ๋นอี่แล้วถามด้วยความโกรธ “เธอรู้หรือ”
“ตอนแรกนายก็รู้ว่าพวกเราต้องลดระดับพลังลงเพื่อผ่านประตูนี้ มันเป็นอาคมที่ราชาองค์เก่าทำเอาไว้ เขากังวลว่าหลังจากเขาถอนต้นไม้โลกไปแล้วคนทางนั้นจะมาทำลายโลกนี้ ดังนั้นพลังระดับ a ขึ้นไปจึงไม่สามารถผ่านไปได้! และนายก็รู้ว่าในตอนแรกพวกเราใช้เลือดของราชาแห่งทวยเทพองค์ใหม่ในการเปิดประตู ดังนั้นนายหาทางฆ่าเขาไม่ได้จึงวางแผนหลอกให้เขามาที่นี่” อวิ๋นอี่พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับเธอยอมรับในคำพูดของพยัคฆ์จื๋อ เส้นทางของราชาแห่งทวยเทพเขาต้องเดินไปเอง เธอเชื่อว่าหลี่ว์ซู่ไม่มีทางตายอยู่ที่นั่นง่ายๆ
เจ๋อเมิ่งหัวเราะคลุ้มคลั่ง “พลังของฉันตอนนี้ลดมาอยู่ที่ระดับ b แล้วฉันก็เปิดประตูนั้นได้ทำไมถึงเข้าไปไม่ได้! “
“เพราะนายไม่รู้ว่าประตูบานนั้นมีแต่ราชาแห่งทวยเทพและปรมาจารย์หุ่นเชิดเท่านั้นที่ผ่านไปได้” อวิ๋นอี่ตอบกลับเสียงราบเรียบ “แล้วตอนนี้นายไม่ใช่ปรมาจารย์หุ่นเชิดแล้ว”
เจ๋อเมิ่งเงียบไปสักพัก “ราชาองค์เก่าเชื่อใจพวกนายจริงๆ “
“ทำไมต้องทรยศราชาแห่งทวยเทพ” อวิ๋นอี่ถาม
“ราชาแห่งทวยเทพ? บัลลังก์มีคนแล้วหรือ” เจ๋อเมิ่งสีหน้าดุดัน “พวกเธอตามหาคนไหนกัน”
อวิ๋นอี่จ้องมองเจ๋อเมิ่ง จ้องมองอีกฝ่ายด้วยแววตาดุดันอย่างไม่เกรงกลัว “พวกเราตามหาคนไม่ใช่บัลลังก์นั่น นายอาจจะไม่เข้าใจว่าคนบางคนเกิดมาถูกกำหนดให้เป็นราชาแห่งทวยเทพ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้”
ฮุ่นตุ้นฟังบทสนทนาของพวกเขาด้วยความงงงวย มันสังเกตเห็นว่าอวิ๋นอี่และพยัคฆ์จื๋อเหมือนเป็นพวกกันและก็รู้ว่าหลี่ว์ซู่ไปไหนตั้งแต่แรก
เจ๋อเมิ่งหัวเราะเยาะ “พลังของพวกเธอฟื้นคืนมาหมดแล้วกลับไม่รู้ว่าชั้นทรมานแค่ไหน! “
“นายหลงอยู่กับพลังแห่งความฝันมากเกินไป จนตอนนี้คงไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครกันแน่” อวิ๋นอี่ตอบอย่างไม่แยแส “ผู้ที่ทรยศราชาแห่งทวยเทพต้องได้รับผลกรรม มันมักจะมีคนที่ลืมประวัติศาสตร์”
“อาร์เคนก็ทรยศราชาแห่งทวยเทพไม่ใช่หรือ ทำไมพลังของเขาไม่ถูกยึดคืนไป” เจ๋อเมิ่งถาม
“เพราะราชาแห่งทวยเทพเป็นสิ่งที่เขาศรัทธามากที่สุด เขาวางแผนเพื่อจะกำจัดคนคนนั้นที่อยู่ข้างกายราชาแห่งทวยเทพ เขาหวังดีต่อราชาแห่งทวยเทพเพียงแค่ทำเกินพอดี” อวิ๋นอี่ส่ายหน้าและพูดว่า “แต่นายไม่เหมือนกัน นายทรยศอย่างแท้จริง”
พยัคฆ์จื๋อพูดขึ้นมาว่า “ฉันจำได้ว่าตอนที่ราชาองค์เก่าพานายกลับมาและนายร้องอยากกินไก่หลิวเหยียน ก็พี่ใหญ่นั่นแหละที่บินไปสามร้อยกว่าลี้เพื่อไปซื้อมาให้ นายหน้าน่าจะจำเรื่องนี้ได้แต่กลับปล่อยให้อารมณ์ครอบงำ”
เจ๋อเมิ่งมีสีหน้านิ่งไปพักหนึ่งจากนั้นก็พูดขึ้นว่า “การตายของพี่ใหญ่ไม่เกี่ยวกับฉัน ฉันไม่ได้อยากฆ่าคนอื่น! “
ทันใดนั้นก็มีเสียงตัดอากาศดังขึ้นมา อวิ๋นอี่และหู่จื๋เห็นเนี่ยถิงและเฉินไป๋หลี่บินมาทางนี้ อวิ๋นอี่หันไปมองเจ๋อเมิ่ง “วันนี้ฉันจะชำระล้างสำนักแทนราชาแห่งทวยเทพ นายไม่ต้องสั่งเสียเพราะราชาแห่งทวยเทพไม่อยากฟังแน่นอน”
เมื่อพูดเสร็จ หุ่นเชิดเหล็กข้างอวิ๋นอี่ก็ซัดหมัดเข้าใส่เจ๋อเมิ่ง เจ๋อเมิ่งที่พลังลดเหลือระดับ b จึงไร้กำลังต่อกร
ปรมาจารย์หุ่นเชิดคนนี้จึงจบชีวิตลงเช่นนี้
ไม่รู้ว่าเหตุใด อวิ๋นอี่ถึงรู้สึกเศร้าใจ
เธอต้องไปทางตำแหน่งที่ประตูดวงดาวหายไปอยู่สองวินาทีและบินลงไปทางตะวันตกเฉียงใต้พร้อมกับพยัคฆ์จื๋อ
“พวกเราจะไปไหน” พยัคฆ์จื๋อถาม
“ชวนโจวมีหม้อไฟอร่อยอยู่ร้านหนึ่ง ฉันจะพานายไปชิม”
“จากนั้นล่ะ”
“ได้ยินว่ามีหนังเรื่องใหม่จะเข้าโรงแล้ว”
“แล้วจากนั้นล่ะ”
“รอราชาแห่งทวยเทพกลับมา”
แต่ปัญหาคือ … ต่อให้บุคลิกจะมีมากขนาดไหนก็มีได้แค่ในร่างเดียวแต่นี่มันแยกเป็นห้าร่างนะ!
เดี๋ยวนะ … หลี่ว์ซู่ขมวดคิ้ว ตอนที่เขาฆ่าคนเมื่อกี้ไปเขาได้รับแต้มอารมณ์จากคนคนเดียวจริงๆ! และชื่อนี้ปรากฏขึ้นห้าครั้งในคราวเดียว!
เป็นการยืนยันได้ว่าคนที่ก่อนจะตายจะให้แต้มอารมณ์หนึ่งพันแต้ม บางทีนี่อาจเป็นสัญลักษณ์ว่านอกจากชีวิตและความตายไม่มีอะไรสำคัญและความตายคือความกลัวที่ใหญ่ที่สุด
แต่ในขณะนั้น ผู้ตายที่ชื่อว่าเจ๋อเมิ่ง เพื่อนของเขาไม่ให้แต้มอารมณ์เลยเหรอ มันไม่สมเหตุสมผล! ต่อให้จะโหดร้าย ไร้ความปรานีแค่ไหนคงไม่ขนาดที่เห็นเพื่อนตายต่อหน้าแล้วไม่ให้แต้มอารมณ์หรอกนะ!
จากนั้น หลี่ว์ซู่สังเกตดูดีๆ แล้วว่าเวลาที่อีกฝ่ายให้แต้มอารมณ์ เขาให้พันแต้มก่อน จากนั้นอีกสี่แต้มค่อยตามมา!
คนก็ตายไปแล้ว ทำไมยังให้แต้มอารมณ์ตั้งสี่ครั้งตามหลังมาได้
ในพริบตานั้นความเป็นไปได้นับไม่ถ้วนผุดขึ้นในความคิดของหลี่ว์ซู่ แต่ความเป็นไปได้ที่เขายอมเชื่อที่สุดนั้นกลับสมเหตุสมผลน้อยที่สุดนั่นคือทั้งห้าคนนี้เป็นคนคนเดียวกันจริงๆ!
ถึงอีกฝ่ายมีห้าร่างเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อแต่ไม่รู้ว่าทำไมหลี่ว์ซู่ถึงรู้สึกว่านี่เป็นการอนุมานที่ถูกต้องที่สุด เพราะในยุคพลังจิตวิญญาณฟื้นคืนอะรก็เป็นไปได้
หลังจากตัดการอนุมานที่ผิดออกไปทั้งหมดแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่แม้ว่าจะเป็นไปไม่ได้แค่ไหนแต่มันก็เป็นความจริง
แล้วหลี่ว์ซู่เริ่มถอดถอนหายใจ นี่คงเป็นผู้ป่วยโรคหลายบุคลิกที่รุนแรงที่สุดที่เขาเคยเจอมาแล้วใช่ไหม
ถ้ามีคนถามว่ามีคนตายในหุบเขาค่ายกลดาบกี่คน เขาจะตอบว่าห้าคนหรือว่าคนเดียวดี…
แน่นอนว่าหลี่ว์ซู่รู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาคบคิดปัญหานี้ …
อีกฝ่ายรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่า หลี่ว์ซู่จะต้องมาและมาพร้อมกับความสงสัยในใจ นั่นคือความลับและความสงสัยที่ค่อยๆ ปรากฏขึ้นผ่านเรื่องราวทั้งหมด หลี่ว์ซู่จะต้องมีแต่ความสงสัยและเขารู้ว่าเจ๋อเมิ่งเป็นผู้รู้คำตอบ ราวกับแค่รอให้หลี่ว์ซู่ถามเขา เขาก็จะเปิดเผยความลับที่น่าตกใจออกมา
ในตอนนี้เอง บางคนในทั้งสี่คนที่เหลือหัวเราะและพูดว่า “นายไม่อยากถามอะไรฉันหน่อยเหรอ เช่นทำไมฉันถึงรู้เรื่องของหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ ทำไมฉันต้องล่อนายมาที่นี่”
หลี่ว์ซู่ “ไม่อยากถาม”
[ได้แต้มจากเจ๋อเมิ่ง +666!]
[ได้แต้มจาก…]
[ได้แต้มจาก…]
[ได้แต้มจาก…]
หลี่ว์ซู่ตาลุกวาว เขาพบว่าคนคนนี้คือเครื่องให้แต้มสุดวิเศษเลย ให้ทีเดียวให้สี่ครั้ง ใครจะให้ได้มากขนาดนี้ หลี่ว์ซู่ พูดอย่างคาดหวังว่า “นายมีคำถามอยากจะถามฉันไหม”
เจ๋อเมิ่ง “??? “
ตอนนี้ ต้องเป็นเขาแสดงบทบาทผู้คลายความสงสัยซิ รอให้อีกฝ่ายถามจากนั้นก็เปิดเผยความลับ แต่ตอนนี้ทำไมเหมือนสลับบทบาทกันเสียอย่างนั้น เหมือนว่าหลี่ว์ซู่จะเซอร์ไพรส์อะไรเขา!
ประสาท!
เจ๋อเมิ่งรอวันนี้มานานแค่ไหน เขาเริ่มจินตนาการภาพในวันนี้ไว้ตั้งแต่ปีก่อน เหมือนกับเวลาที่เขาสร้างความฝัน คิดเอาไว้แม้กระทั่งรายละเอียดของฉากในวันนี้
และเขาก็ออกแบบทิศทางเรื่องเอาไว้สามร้อยเก้าสิบเอ็ดแนวกลับไม่มีซักแนวที่เหมาะกับเหตุการณ์ในตอนนี้
ทำเอาเจ๋อเมิ่งหงุดหงิดมาก เขาชินกับการควบคุมทุกสิ่งในความฝัน ตอนนี้เขาไม่เพียงสูญเสียพลังการสร้างความฝันเท่านั้นแต่เขายังไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้อีกด้วย!
และในจังหวะนี้ หลี่ว์ซู่สังเกตเห็นความหงุดหงิดและความสับสนวุ่นวายภายในใจของเจ๋อเมิ่ง เขาจึงซัดกระบี่เฉวียอิน ซือโก่วและฝูฉื่อออกไปพร้อมกัน หลี่ว์ซู่ต้องลงมือรวดเร็วปานสายฟ้าและสังหารคนในพริบตา!
ทันใดนั้นคลื่นลมขนาดใหญ่ม้วนขึ้นบนหน้าผา กระเฉวียอินพุ่งเข้าทั้งสี่คน ส่วนกระบี่อีกสองเล่มก็ซ่อนอยู่หลังกระบี่เฉวียอิน!
แต่ในตอนนี้หลี่ว์ซู่ก็รู้สึกไม่สบายใจ เขารู้สึกชัดเจนว่าเจ๋อเมิ่งทั้งสี่คนกำลังยิ้ม!
พื้นที่หลี่ว์ซู่ยืนอยู่เปล่งแสงสีแดงขนาดใหญ่ขึ้น เหมือนว่าจะมีตาข่ายทอสีแดงซ่อนอยู่ตรงนั้นไว้นานแล้ว หลี่ว์ซู่ กระโดดขึ้นเพื่อหลบตาข่ายแดงนั้นแต่ตาข่ายนั้นกลับไล่ตามราวกับเงาตามตัว!
ฮุ่นตุ้นที่อยู่บนฟ้าโน้มตัวลงมา หลี่ว์ซู่ถอนกระบี่เฉวียอินและซือโก่วกลับมาชั่วคราวเพื่อมาฝืนทำลายตาข่าย
แต่ฮุ่นตุ้นยังไม่ทันลงมา ตาข่ายนั้นกลับแยกออกมาคลุมร่างหลี่ว์ซู่ไว้อันหนึ่งและอีกอันคลุมฮุ่นตุ้นเอาไว้!
สิ่งที่ทำให้หลี่ว์ซู่ประหลาดใจคือชั่วพริบตาที่กระบี่เฉวียอินและกระบี่อันอื่นกลับมาสู่แผนที่ดวงดาวในตัวเขา เหมือนว่าพวกมันไม่ได้ถูกหลี่ว์ซู่ควบคุม
แต่ตาข่ายแดงหายไปอย่างไร้ร่องรอยหลังจากรัดร่างเขาไว้แน่นราวกับว่ามันหลอมละลายเข้าไปร่างของเขา
หลี่ว์ซู่ล้มลงบนพื้น เขารู้สึกว่าไม่สามารถยืนได้มั่นคงและเขาเจ็บกระดูกไปทั่วร่าง!
เมื่อก่อน ความสูงแค่นี้มีไม่มีค่าอะไรกับเขา ทำไมเขาตกลงมาแล้วรู้สึกเจ็บได้
จู่ๆ เจ๋อเมิ่งก็ยิ้มและพูดว่า “ฉันเสียของฉันไปและนายก็เสียของนายไป ยุติธรรมดีไหม ช่วงนี้พลังของฉันลดลงเรื่อยๆ ไม่มีทางที่จะฟื้นตัวได้อีก นายควรได้ลิ้มรสความเจ็บปวดนี้ดูบ้าง!”
หลี่ว์ซู่พยายามกำหมัดแน่นกลับพบว่ามือเหล่านี้ไม่มีพลังอีกต่อไป เขามองที่เจ๋อเมิ่ง “นายเสียอะไรไปแล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉัน! “
“ฮิๆๆ ไม่ต้องลองหรอก” เจ๋อเมิ่งหัวเราะ “อุตส่าห์ซ่อนตัวอยู่ในมูลนิธิมานานและปกครองอาณาจักรมืดมาสองปี สิ่งเดียวที่ฉันตามหาในสถานที่แห้งแล้งแบบนั้นก็คือเจ้าของสิ่งนี้ ได้ดั่งใจฉันจริงๆ “
หลี่ว์ซู่ขมวดคิ้ว เขาเพิ่งรู้ว่าอีกฝ่ายมีตัวตนอยู่ในมูลนิธิและอาณาจักรมืด มูลนิธิเริ่มรวบรวมของวิเศษตั้งแต่ก่อนยุคพลังจิตวิญญาณฟื้นคืนและอีกฝ่ายก็เป็นผู้ปกครองของอาณาจักรมืดอีก
ในช่วงสองปีที่ผ่านมา อาณาจักรมืดมีธุรกิจมากมาย พูดอย่างไม่เกินจริงก็คืออาณาจักรมืดอาจจะเป็นองค์กรที่มีอาวุธและของวิเศษมากที่สุด!
ฮุ่นตุ้นก็ถูกตาข่ายแดงมัดไว้ จนแทบจะบินไม่ได้ แต่ฮุ่นตุ้นยังมีเรี่ยวแรงขัดขืนแต่ตัวเขากลับไม่มีเรี่ยวแรงขัดขืนเลยราวกับว่าเขาไม่เคยบำเพ็ญมาก่อน
ทันใดนั้นเจ๋อเมิ่งทั้งสี่ก็กระโดดเข้ามาข้างๆ เขาพร้อมกันและพยายามควบคุมหลี่ว์ซู่ไว้ตรงกลางแต่จู่ๆ หลี่ว์ซู่โจมตีขณะที่พวกเขาลดการป้องกันลง
เฉิงอิ่งโปร่งใสในมือนั้นแทงทะลุผ่านท้องของชายชุดดำอีกครั้ง เจ๋อเมิ่งคาดไม่ถึงว่าหลี่ว์ซู่ที่กลายเป็นคนธรรมดาจะมีพลังทำร้ายเขาได้!
กระบี่เล่มนี้ดูเหมือนจะแฝงจิตวิญญาณกระบี่และความคมของกระบี่เฉิงอิ่งนั้นไม่มีใครเทียบได้!
เจ๋อเม่งที่ถูกกระบี่แทงนั้นค่อยๆ นั่งลงที่พื้นและหายใจหอบ “ดำเนินการตามแผน! “
ดูเหมือนว่ากระบี่ของหลี่ว์ซู่จะทำร้ายร่างหลักของเจ๋อเมิ่ง!
อีกสองคนที่เหลือคว้านิ้วของหลี่ว์ซู่ขึ้นมาและกรีดเป็นแผล
เจ๋อเมิ่งดูดเอาเลือดของหลี่ว์ซู่มาหยดหนึ่งแล้วยิงเข้าไปในหุบเขาค่ายกลดาบ ทันใดนั้นเลือดก็หายไปในอากาศราวกับเข้าไปในประตูที่มองไม่เห็น!
เสียงระเบิดดังลั่นขึ้น ม่านแสงรัศมีดาวกว้างสามเมตรปรากฏขึ้นกลางอากาศเหนือหุบเขาค่ายกลดาบ เจ๋อเมิ่งยิ้มด้วยความโล่งใจ “ในที่สุดก็จบสิ้นซะที เมื่อฉันกลับไปที่นั่นทุกอย่างจะกลับคืนมาได้”
หลี่ว์ซู่ไม่ได้เรียกคนอื่นช่วยแต่ตัวเขาและฮุ่นตุ้นเป็นทัพหน้าไปจัดการคนคนนั้น ที่จริงเรื่องนี้หลี่ว์ซู่ค่อนข้างเห็นแก่ตัว เพราะเขาอยากแอบไปกำจัดอีกฝ่ายและไม่ต้องการให้ทุกคนซักถาม
เรื่องวิชาของหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ถูกเปิดเผยเป็นเรื่องที่เขาไม่คาดคิด ทำให้เขาต้องระแวดระวัง บางอย่างไม่ได้เป็นความลับเฉพาะแค่เธอยังมีความลับของเขาที่ไม่อยากให้คนอื่นรับรู้อีกด้วย
ตอนนี้เครือข่ายฟ้าดินเป็นใหญ่ฝ่ายเดียว ดังนั้นหลี่ว์ซู่จึงมอบผลชำระกระดูกให้กับเนี่ยถิงด้วยความใจกว้าง
ก่อนหน้านั้นหลี่ว์ซู่เก็บงำเอาไว้ก็เพราะตัวเขายังไม่มีพลังพอปกป้องตัวเองแต่ตอนนี้มันต่างกัน เขาเป็นราชันฟ้าที่เก้าไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องความปลอดภัยเลยเว้นแต่ปรมาจารย์หุ่นเชิดจะลงมือเอง!
แน่นอนว่าถึงอย่างนั้นหลี่ว์ซู่ก็ไม่ต้องการให้คนอื่นรู้ว่าสามารถให้ผลไม้ล้างไขกระดูกได้ไม่จำกัด
นอกจากนี้ หลี่ว์ซู่คิดเสมอว่าเขาไม่สามารถบอกให้คนอื่นรู้เรื่องแต้มอารมณ์และความลับอีกหลายๆ เรื่อง
หลี่ว์ซู่กังวลว่าคนคนนั้นอาจรู้อะไรบางอย่าง ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจลุยเดี่ยว ถ้ามีใครสร้างปัญหาให้เขา เขาก็จะฆ่ากำจัดคนที่สร้างปัญหาให้เขา
ถ้าคนคนนั้นรู้ความลับมากมายจริงๆ ก็ให้ความลับลงหลุมศพไปพร้อมกับอีกฝ่ายนั้นเสีย
ในเวลาเดียวกัน หู่จื่อที่อยู่เหนือสระสวรรค์เงยหน้ามองที่ต้นไม้โลกตรงหน้าและถอดถอนใจว่า “ฉันเคยคิดว่าผู้อยู่เบื้องหลังแผนการครั้งนี้คืออาร์เคน คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเจ๋อเมิ่ง ตอนนี้เขาได้แต่ซ่อนตัววางแผนอยู่เบื้องหลัง แสดงว่าเขาถูกยึดพลังไปแล้วจริง ๆ และเสี่ยวซยงสวี่ก็ได้รับพลังการสร้างฝัน”
อวิ๋นอี่เงียบไปครู่หนึ่ง “น่าเสียดายที่พลังของเจ๋อเมิ่งถูกเสี่ยวซยงสวี่เอามาขายคอยล์ซะ “
“ฮ่าๆ ฉันกลับคิดว่าไม่เห็นจะน่าเสียดายเลย เจ๋อเมิ่งก็ใช้เวลานานกว่าจะเรียนรู้วิธีสร้างความฝัน เสี่ยวซยงสวี่ก็ทำตามได้” พยัคฆ์จื๋อหัวเราะซื่อๆ “ถ้าเป็นแบบนี้ ก็ถือว่าปรมาจารย์หุ่นเชิดพวกคนใหม่แล้วนะ ถึงจะเป็นแค่ซยงสวี่… แต่ฉันคาดไม่ถึงว่าเจ๋อเมิ่งที่ดูข้างนอกสุกใสไม่คิดว่าข้างในจะชั่วร้าย”
อวิ๋นอี่ส่ายหน้า “อันที่จริง พวกนายไม่รู้หรอกว่าเจ๋อเมิ่งมีปัญหาทางจิตตั้งนานแล้วแต่เรื่องนี้เอาไว้ก่อน แค่พลังของเขา ผู้ชำนาญสร้างความฝัน ผู้ที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกความเป็นจริงได้สมจริง ผู้ที่เข้าใจจิตใจคนและทำให้คนตกอยู่ในความฝันจะเป็นคนธรรมดาๆ ได้อย่างไร “
“ปัญหาทางจิต” พยัคฆ์จื๋อพูดด้วยความสงสัย
“ฉันก็ไม่ค่อยแน่ใจนักแต่เขาสวมบทบาทชีวิตหลายรูปแบบมากและสวมบทบาทแม้กระทั่งจิตใจ ฉันเคยเห็นว่าเขาแยกแยะตัวเองไม่ออกมาตั้งนานแล้ว”
ที่จริงเจ๋อเมิ่งเป็นคนที่ชอบวางแผนและเล่นกับจิตใจคนที่สุดในบรรดาปรมาจารย์หุ่นเชิด อาจเป็นเพราะเหตุนี้ถึงกลายเป็นคนที่หักหลังได้ง่ายที่สุด
“ในตอนนี้เครือข่ายฟ้าดินเป็นใหญ่ฝ่ายเดียว โลกก็ค่อยฟื้นตัว รอจนวันที่เนี่ยถิงสามารถใช้พลังได้ เครือข่ายฟ้าดินก็จะกลายเป็นองค์กรผู้ไร้เทียมทานแม้แต่พวกเราก็จะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาอีกต่อไปฎ อวิ๋นอี่พูดเสียงเบาๆ “ต้องใช้เวลาซ่อนตัวอีกสักพักเพื่อรอราชากลับมา”
ทันใดนั้น ทั้งสองคนสัมผัสถึงคลื่นพลังจากหุบเขาค่ายกลดาบ!
พวกเขาสองคนไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติหุบเขาค่ายกลดาบเพราะเร่งรีบเดินทางมาข้างๆ ต้นไม้โลก ตอนนี้เห็นว่าอาร์เคนไม่อยู่แล้วจริงๆ ถึงมีเวลาสนใจสิ่งอื่น
“มีใครบางคนสัมผัสค่ายกลดาบ! “
ใบหน้าของอวิ๋นอี่หมองลง “น่าจะเป็นเจ๋อเมิ่ง หรือว่าเขาเลือก … แค่อยากกลับไปที่นั่น”
ทันใดนั้นทั้งสองคนก็คลุมร่างด้วยเสื้อคลุมสีดำอันใหญ่ หุ่นเหล็กก็บินออกมาเพื่อติดตามพวกเขาอยู่ข้างๆ “วันนี้เราจะชำระล้างสำนัก”
…
หลี่ว์ซู่ยืนอยู่บนหัวของฮุ่นตุ้น จับเขาของฮุ่นตุ้นเอาไว้แน่น … ต้องจับให้แน่นที่สุด ไม่อย่างนั้นคงปลิวไปกับสายลมเอาง่ายๆ
เขาเห็นหุบเขาค่ายกลดาบอยู่ไกลๆ พลังที่แตกออกของค่ายกลดาบหลุดออกมาเป็นแผ่นๆ เห็นชัดว่าที่ขอบหน้าผาของหุบเขาค่ายกล แต่ละคนใส่ชุดสีดำและมีรอยปักสีทองของอาณาจักรมืด
หลี่ว์ซู่ขมวดคิ้วทำไมคนจากอาณาจักรมืด
มิน่าไม่เห็นคนจากอาณาจักรมืดในสงครามเมื่อครู่ ที่แท้อีกฝ่ายลอบอ้อมป้อมปราการมาที่หุบเขาค่ายกลดาบ!
ฝ่ายนั้นไม่คิดจะเข้าร่วมสงครามตั้งแต่แรก แต่หวังว่าองค์กรใหญ่ต่างๆ จะช่วยดึงดูดความสนใจของเครือข่ายฟ้าดินและลดทอนพลังของเนี่ยถิงและเฉินไป๋หลี่ลง
และพวกเขามีจุดมุ่งหมายคือความลับของหุบเขาค่ายกลดาบมาตั้งแต่แรกแล้ว!
ทันใดนั้นหลี่ว์ซู่ก็ค้นพบว่าพลังของคู่ต่อสู้นั้นแข็งแกร่งกว่าที่เขาคิด ภายใต้ความร่วมมือของทั้งห้าคน เศษชิ้นส่วนที่แตกออกของค่ายกลดาบไม่สามารถทำร้ายพวกเขาได้
อย่างไรเสีย พวกเขาแต่ละคนไม่ได้มีพลังแข็งแกร่งมากนัก พวกเขาต้องอาศัยพลังของทั้งห้าคนรวมกัน หลี่ว์ซู่ค่อยโล่งอกถ้าคู่ต่อสู้ไม่ใช่ระดับ Aก็จัดการพวกนั้นได้สบาย!
ในตอนนี้เอง คนหนึ่งในบรรดาพวกนั้นก็ใช้นิ้วคีบเอาเศษชิ้นส่วนชิ้นสุดท้ายของค่ายกลดาบแล้วหมุนตัวและสะบัดนิ้วออก เศษชิ้นส่วนที่แหลมคมก็พุ่งเข้าใส่หลี่ว์ซู่
หลี่ว์ซู่กระโดดลงมาจากฮุ่นตุ้นมายังด้านหน้าของคนทั้งห้า
พวกเขาสวมหมวกฮู้ดปิดใบหน้า คนที่เป็นหัวหน้าค่อยเดินออกมาและยิ้มให้หลี่ว์ซู่ “ในที่สุดนายก็มาจริงๆ “
หลี่ว์ซู่เห็นบุคคลนั้นเดินเข้ามาหาเขาอย่างโอหัง เขาก็เงียบอยู่สองวินาทีแล้วยื่นมือออกมา
เสียงดังซวบ กระบี่เฉิงอิ่งโปร่งใสพุ่งเข้าเสียบหัวใจของคนตรงหน้า…
[ได้แต้มจากเจ๋อเมิ่ง +1000!]
[ได้แต้มจากเจ๋อเมิ่ง +629!]
[ได้แต้มจากเจ๋อเมิ่ง +531!]
[ได้แต้มจากเจ๋อเมิ่ง …]
[ได้แต้มจากเจ๋อเมิ่ง …]
หลี่ว์ซู่หายใจเข้าลึกๆ นี่อาจเป็นคู่ต่อสู้ที่…ใจกว้างที่สุดเท่าที่เขาเจอมา เขาเพิ่งเคยเจอคนที่ให้แต้มอารมณ์เขามากก่อนตายขนาดนี้เป็นครั้งแรก!
อีกสี่คนที่เหลือเหมือนจะมองหลี่ว์ซู่ด้วยความตกใจ พวกเขาแทบคาดไม่ถึงว่าหลี่ว์ซู่จะลงมือรวดเร็วอย่างนี้ กำลังคุยกันอยู่ดีๆ ก็แทงกันดื้อๆ เลย
และสิ่งที่หลี่ว์ซู่คิดก็คือเพิ่งเห็นทั้งห้าคนร่วมมือกันแล้วมีพลังแข็งแกร่งมาก เขาจึงฆ่าคนหนึ่งเสียก่อน พลังของคู่ต่อสู้ก็จะอ่อนแอลงไม่ใช่หรือ
และอีกฝ่ายก็เดินมาหาเขาอย่างโอหัง ก็แสดงว่าเดินมาหาที่ตาย ไม่ฆ่าก็เสียโอกาสซิ!
หลี่ว์ซู่มองไปยังสี่คนที่เหลือ “บอกมาว่าพวกนายใครเป็นหัวหน้า ที่เหลือจะได้ตายสบายๆ หน่อย”
และในตอนนี้ ทั้งสี่คนต่างมองหน้ากันและหัวเราะ คนหนึ่งในนั้นหัวเราะและพูดว่า “ฉันเป็นหัวหน้า”
“ฉันด้วย ฉันออกความคิดตั้งเยอะ”
“คนที่ตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดคือฉัน!”
หลี่ว์ซู่เห็นคนพวกนี้ก็อึ้งไป ทำไมเหมือนพวกคนมีหลายบุคลิก เขาเคยเห็นหนังสั้นที่แนะนำผู้ป่วยโรคบุคลิกหลายบุคลิกแล้วบุคคลหลายบุคลิกในหนังสั้นก็เหมือนกับคนที่อยู่ตรงหน้า
พลังงานของสายฟ้ากระจายออกไปกว้างมาก หลี่ว์ซู่มั่นใจว่าหากไม่ใช่องค์กรใหญ่ต่างๆ ช่วยสลายพลังของเนี่ยถิงออกไป ด้วยสภาพของเนี่ยถิงตอนนี้อาจต้านไม่อยู่เพราะเพิ่งทำลายรากฐานพลังตนเองไป
และตอนนี้หลี่ว์ซู่กังวลใจมาก มีคนช่วยกระจายพลังสายฟ้ามากไป ความเร็วในการชาร์จพลังสายฟ้าของครรภ์กระบี่สายฟ้าช้าลงมาก!
ดังนั้นในตอนที่คนอื่นๆ กำลังวิ่งหนีออกไป หลี่ว์ซู่ยังพุ่งเข้าใส่พลังสายฟ้าที่กระจายออกและยังเข้าใกล้เนี่ยถิงเรื่อยๆ พลังสายฟ้ายังแผ่กระจายออกไปอย่างไม่หยุด ทำให้สมาชิกมากกว่าหนึ่งในสามขององค์กรใหญ่ต่างๆ บาดเจ็บล้มตาย
อาจนับจากวันนี้ โลกนี้ไม่มีขุมพลังใดสามารถงัดข้อกับเครือข่ายฟ้าดินได้อีกต่อไปแล้ว เหมือนทุกคนรวมตัวกันเพื่อถูกเนี่ยถิงกวาดล้างในทีเดียว ช่างน่าอนาถ
ทันใดนั้นทหารเกราะทองแดงต่างตกใจ “ราชันฟ้าที่เก้ายังอยู่ข้างราชันฟ้าเนี่ยอยู่อีก! “
“พระเจ้า เข้าใกล้ไปอีก! “
เฉินจู่อานพูดเงียบๆ “ฉันรู้อยู่แล้วว่าเขาไม่ได้ไปช่วยผอ.เนี่ย ตอนนี้ข้างกายผอ.ยังมีใครข่มเขาได้อีก”
สายฟ้าฟาดลงสู่พื้นต่อเนื่อง หลี่ว์ซู่ใช้เรี่ยวแรงไปเยอะมากกว่าจะชักมาจนอยู่ในระยะสองร้อยเมตรข้างๆ เนี่ยถิงและกำลังคิดอยู่เขาจะอยู่ตรงนี้คอยดูดซับพลังสายฟ้าไปเรื่อยๆ
แต่เขายังไม่ทันได้ทำอะไร เนี่ยถิงก็ลุกขึ้นบินสู่ท้องฟ้า เขาเปลี่ยนไปที่ที่องค์กรใหญ่รวมตัวกันแน่นหนาเพื่อกระจายพลังสายฟ้า เพราะรอบตัวเขาล้มตายบาดเจ็บกันไปหมดแล้วแต่ยังองค์กรอื่นอีกมาก
พริบตานั้น เนี่ยถิงก็ลอยลงมาอยู่ในฝูงชนของเดอะดังค์แอนด์เดอะเพลดจ์ พวกนั้นก็เตรียมตัวไม่ทัน ทำไมการลงทัณฑ์จากสวรรค์นี้เคลื่อนที่ได้ด้วย!
เนี่ยถิงจัดการคนไปหนึ่งในสามแล้วจะละเว้นพวกเราไปไม่ได้เหรอ มันควรจะอยู่กับที่เวลาผ่านการลงทัณฑ์จากสวรรค์ไม่ใช่เหรอ ถ้าคุณบินมาทางนี้ พวกเราจะต้านไม่ไหวนะ!
หลี่ว์ซู่ยืนงุนงงอยู่กับที่จนเกือบหลุดปากด่าออกไป อุตส่าห์ทนไฟฟ้าช็อตจนมาถึงตรงนี้ ท่านกลับบินหนีไปอีก!
ในครรภ์กระบี่ของเขายังมีกระบี่อีกสองร้อยกว่าด้ามที่ยังรอเติมพลังสายฟ้า ท่านก็มาบินหนีไปอีก ตัวเองบาดเจ็บหนักแค่ไหนไม่รู้เหรอแค่ยืนอยู่ตรงนั้นดีๆ ไม่ได้เหรอ!
ทหารเกราะทองแดงเฝ้ามองจากด้านบนป้อมปราการ ราชันฟ้าที่เก้าวิ่งไปหาเนี่ยถิงอีกครั้ง…แต่พอเขาเข้าไปใกล้เนี่ยถิง เนี่ยถิงก็เปลี่ยนที่อีกครั้ง…
การลงทัณฑ์จากสวรรค์ครั้งนี้กินเวลานานกว่าสิบนาที ส่วนหลี่ว์ซู่ทันรับพลังได้แค่ระลอกแรก ที่เหลือก็คือวิ่งไล่ตามเนี่ยถิง
หลี่ว์ซู่สงสัยมากๆ ว่าเนี่ยถิงจงใจ!
เนี่ยถิงบินไปข้างๆ หลี่ว์ซู่หลังจากการลงทัณฑ์จากสวรรค์จบลงและมองหลี่ว์ซู่ด้วยความประหลาดใจ “ทำไมนายลงมาด้วย”
หลี่ว์ซู่ “…บางทีผมอยู่บนนั้นมันน่าเบื่อเกินไป เลยลงมาเดินเล่น”
หลี่ว์ซู่เห็นสีหน้าเนี่ยถิงซีดเซียวลงไปมาก นี่คงเป็นพลังเฮือกสุดท้ายของเขาแล้ว
แต่ความพยายามของเนี่ยถิงในการต่อสู้ครั้งนี้ก็ได้ผลตอบแทน องค์กรใหญ่ต่างๆ ตอนนี้กระจัดกระจายกันไปหมดและไม่สามารถจัดกระบวนทัพที่มีประสิทธิภาพได้อีก แน่นอนถึงต่อให้จัดกระบวนทัพได้ จำนวนคนของพวกเขาตอนนี้ก็มีน้อยกว่าเครือข่ายฟ้าดินแล้ว…
หลี่ว์ซู่เห็นว่าได้รับแต้มอารมณ์มากกว่าที่คิดเอาไว้อย่างนึกไม่ถึง อย่าว่าจุดประกายดาวดวงที่สี่เลยต่อให้จุดประกายดวงที่หกก็ยังเหลืออีกเยอะ!
หลี่ว์ซู่นึกสงสัย ที่แท้…แต้มอารมณ์หาได้ง่ายถ้าเขาฆ่าคนได้มากพออย่างนี้เลยหรือ
เป็นเรื่องยากมากที่จะฆ่าผู้บำเพ็ญนับหมื่นคนและแต้มอารมณ์จากการฆ่าประชาชนเหมือนกับฆ่าผู้มีพลัง ความตายเท่ากับหนึ่งพันแต้ม!
เขารู้สึกตื่นตัวขึ้นทันที ทำไมเขาคิดเรื่องการฆ่าประชาชนไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร หลี่ว์ซู่เห็นความแข็งแกร่งและพลังนั้นสำคัญแต่ก็ไม่ได้สำคัญถึงขนาดให้เขาหยิบดาบขึ้นมาฆ่าฟันชาวบ้านตาดำๆ ได้!
นี่เป็นคำถามปรนัย ตัวเลือกแรกคือสามารถแข็งแกร่งขึ้นได้ทันที ตัวเลือกที่สองคือใช้ความพยายามระยะยาวแต่หลี่ว์ซู่เลือกอย่างหลังเพราะเขามีความพากเพียรของตัวเอง
ตัวเลือกแรกมันน่าดึงดูดและเห็นผลทันตาแต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่หลี่ว์ซู่ต้องการ
จู่ๆ หลี่ว์ซู่ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เหมือนว่าโลกให้ความเป็นไปได้สองทางแก่เขามาตั้งแต่แรก ให้เขาเลือกได้ตามใจชอบและความเป็นไปได้ทั้งสองนี้เป็นเส้นทางที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
แต่หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าการพัฒนาของตนไม่ได้ช้าไป ตอนนี้ก็จุดประกายดาวดวงที่หกได้แล้ว
แล้วหลี่ว์ซู่ก็หันไปเห็นจุดชี่ไห่ของตนและเห็นปราณกระบี่อีกสองร้อยกว่าเล่มที่ยังไม่ได้ชาร์จไฟฟ้า…
ที่จริงหลี่ว์ซู่สามารถไปหาคอรัลได้อีกครั้ง สายฟ้าจากหอกกุงเนียร์ก็ไม่ใช่ของเด็กเล่นแต่ปัญหาคือตอนนี้คอรัลสูยเสียความทรงจำไปแล้วเขาจะวิ่งไปพูดกับเธอว่า “อย่าพูด ช็อตไฟฟ้าใส่ฉันเร็ว”
มันก็จะแปลกๆ นะ…
ดังนั้น เมื่อการลงทัณฑ์จากสวรรค์สลายตัวไปแล้ว เขาจะชาร์จไฟฟ้าใส่กระบี่พวกนั้นอย่างไรดีล่ะ
ในตอนนี้ เนี่ยถิงมองหลี่ว์ซู่ด้วยสีหน้าปกติ เขาลังเลและพูดว่า “ขอบคุณที่ยอมมอบผลดวงดาวอันล้ำค่านั้นให้”
หลี่ว์ซู่เงยหน้าขึ้นมองเนี่ยถิงอยู่สองวินาทีจากนั้นก็หยิบผลไม้สองผลออกมา “คืออย่างนี้ ถ้าท่านอยากขอบคุณ ช่วยรับการลงทัณฑ์จากสวรรค์อีกครั้ง… “
เนี่ยถิง “???”
[ได้แต้มจากเนี่ยถิง +999!]
หลี่ว์ซู่เห็นสีหน้าของเนี่ยถิงไม่ค่อยดีนัก เขาจึงรีบหัวเราะกลบเกลื่อนเรื่องที่เขาอยากได้สายฟ้ามาชาร์จใส่กระบี่ของตน “ฮ่าๆ ล้อเล่นนะ อย่าเอาจริงเอาจังนะ! “
เนี่ยถิงเข้าใจและผลดวงดาวในมือของหลี่ว์ซู่…ยังมีอีก! แต่เนี่ยถิงไม่เข้าใจว่าของวิเศษแบบนี้ มาตกอยู่ในมือของหลี่ว์ซู่มากขนาดนี้ได้อย่างไร!
สิ่งที่สามารถพัฒนาพลังเช่นนี้ ถ้ามีจำนวนมากพอก็สามารถสร้างกองทัพอัจฉริยะที่ยอดเยี่ยมที่สุดได้เลย
แล้วเนี่ยถิงก็ขมวดคิ้วและมองไปยังท้องฟ้าทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ หลี่ว์ซู่ถึงกับผงะไปชั่วขณะ “มีอะไรหรือ”
“มีใครบางคนกำลังทำลายค่าบกลดาบ” เนี่ยถิงขมวดคิ้ว “ค่ายกลดาบยังหยุดเขาไม่ได้เหรอ! “
หลี่ว์ซู่คิดอยู่ครู่หนึ่งและถามว่า “มีอะไรอยู่ภายใต้ค่ายกลดาบนั้น”
“ใต้ค่ายกลดาบนั้น …” เนี่ยถิงพูด “เป็นสถานที่ที่พวกปรมาจารย์หุ่นเชิดปรากฏตัวในอดีต! “
หลี่ว์ซู่เหลือบมองสีหน้าของเนี่ยถิง ในตอนนี้เนี่ยถิงดูอิดโรยมาก ส่วนเฉินไป๋หลี่บาดเจ็บสาหัสจากการต่อสู้กับนักบุญ เขารู้ว่าเนี่ยถิงเป็นกังวลเรื่องอะไร ผู้ที่สามารถทำลายค่ายกลดาบนั้นจะมีพลังเหนือระดับ A ถ้าไม่ใช่ฟรานซิสโก ไม่ใช่นักบุญไม่ใช่หัวหน้าบาทหลวงแล้วจะเป็นใครกัน
หลี่ว์ซู่สังหรณ์ว่าอาจไม่ใช่อวิ๋นอี่และพยัคฆ์จื๋อแต่เป็นผู้เดินหมากที่อยู่เบื้องหลังการเปิดเผยหลี่ว์เสี่ยวอวี๋!
“พวกท่านไม่ต้องไป ท่านปู่เฉินและท่านล้วนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาในตอนนี้ อย่ามาตายหลังจากเพิ่งได้รับพลังเสินฉังจิ้ง เครือข่ายฟ้าดินยังต้องการท่านอยู่” หลี่ว์ซู่พูดอย่างใจเย็น “ผมจะไปเอง”
ทันใดนั้นเนี่ยถิงก็นึกถึงคำพูดของหัวหน้ากองย่อยหม่าโหย่วจินพูดถึงหลี่ว์ซู่ เขาจึงประทับใจ
เด็กหนุ่มคนนี้ในที่สุดก็กลายเป็นราชันฟ้าแล้ว
หลี่ว์ซู่มองขึ้นไปกลางอากาศและตะโกนบอกฮุ่นตุ้นที่กำลังหลบการลงทัณฑ์จากสวรรค์ว่า “ไปเถอะ ไปกำจัดพวกนั้นกัน! “
ฮุ่นตุ้นบินลงมาและไม่ได้หยุดที่ข้างตัวหลี่ว์ซู่ ส่วนหลี่ว์ซู่ก็กระโดดขึ้นไปคว้าเขาของฮุ่นตุ้น ทั้งคู่มุ่งหน้าสู่ค่ายกลดาบ!
เงาของอาร์เคนในความมืดค่อยๆ หายไป อวิ๋นอี่ยื่นมือออกไปคว้าเขาไว้แต่ก็คว้าได้แต่อากาศ
อาร์เคนหัวเราะ “รอจนราชาของเราปะทุพลังแล้ว บอกชื่อของฉันให้เขาด้วย”
หลังพูดเสร็จ ความเงียบก็กลับคืนสู่พื้นที่มืดนี้
อาร์เคนเดินไปตามรากของต้นไม้โลกเข้าสู่แกนต้นไม้โลก รากที่เปื้อนดินนั้นกว้างพอให้รถสามคันขับไปตามางพร้อมกัน ในณะนี้ข้างหลังเขามีคนตะโกนขึ้นมาว่า “ตลอดมานี้คือคุณที่คุยกับฉันเหรอ”
อาร์เคนหันหน้ามองไปข้างหลังเขา “แม่สาวน้อย เธอทำลายกำแพงอาคมที่ฉันทำไว้แล้วเหรอ”
คอรัลเม้มริมฝีปากและไม่พูดอะไร มองไปที่ชายหนุ่มชุดคลุมสีดำบนรากของต้นไม้โลก เธอถามเบาๆ ว่า “หลี่ว์ซู่คือใครกันแน่”
อาร์เคน ยิ้ม “ฉันบอกเธอไม่ได้แต่เหมือนว่าเธอมีคำตอบอยู่แล้ว”
“คุณจะไปไหน” คอรัลถาม
“ไปทำในสิ่งที่ควรทำ” อาร์เคนยิ้ม “ทุกคนมีภารกิจของตัวเอง”
“แต่ภารกิจนี้คุณอื่นมอบให้คุณใช่ไหม คุณไม่จำเป็นต้องสละชีวิตเพื่อภารกิจที่คนอื่นฝืนมอบให้คุณ” คอรัลดูเหมือนจะรู้ว่าอาร์เคนจะทำอะไร
อาร์เคนส่ายหน้า “ชีวิตของฉันเขาเป็นผู้ให้ เขามอบภารกิจให้ฉันคือโชคชะตาของฉัน เอาล่ะ รักษาตัวด้วย”
ขณะที่เขาพูด อาร์เคนก็วางฝ่ามือกดลงที่ลำต้นของต้นไม้ ทันใดนั้นใบไม้และกิ่งก้านทั้งต้นก็เริ่มสั่นไหวราวกับว่าท้องฟ้ากำลังสั่นไหว จากนั้นอาร์เคนก็ลอยกลายเป็นควันเข้าไปในลำต้น
ทันใดนั้นกิ่งไม้นับร้อยก็ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าต่อหน้าคอรัล “พวกเจ้ากลุ่มเทวาช่างใจแคบเสียจริง แค่กิ่งไม้หักก็ทำเหมือนเป็นสมบัติล้ำค่า สิ่งนี่คือสิ่งที่ฉันมอบให้เธอแทนราชาของฉัน … ฮ่าๆๆๆ ไม่พูดแล้ว แค่อยากถามว่าฉันใจกว้างไหม”
เวลาต่อมาคอรัลออกจากโลกของต้นไม้โลก ตราประทับสีขาวบนมือของเธอก็ลอยขึ้นสู่สระสวรรค์ เหลือเพียงกิ่งก้านของต้นไม้โลกที่ส่องแสงเจิดจ้าซึ่งแต่ละอันมีปริมาตรใหญ่กว่าหอกกุงเนียร์
จากนั้น ตราประทับสีขาวก็ส่องสว่างบนสระสวรรค์และกลายเป็นต้นไม้สูงใหญ่ปกคลุมท้องฟ้าและดวงอาทิตย์ขึ้นกลางอากาศและตกลงสู่สระสวรรค์และใช้น้ำจากสระสวรรค์เป็นน้ำหล่อเลี้ยง
จากนั้นก็มีเสียงดังสนั่นหวั่นไหวราวกับว่ารากของต้นไม้โลกกำลังเจาะโลกทั้งใบผ่านภูเขา!
สระสวรรค์บนภูเขา “หัวโล้น” เดิมมีน้ำอยู่เต็มพื้นที่แต่ตอนนี้มีต้นไม้ยักษ์ขึ้นปกคลุม
ใบไม้และกิ่งก้านต่างสั่นไหว ทุกคนที่อยู่ใต้ป้อมปราการพบว่ารอยร้าวบนท้องฟ้าได้รับการเยียวยาทีละน้อยและในที่สุดโลกที่ใกล้พังทลายก็หยุดลง!
อวิ๋นอี่และหูจื่อลอยลงมาจากท้องฟ้าข้างต้นไม้โลก อวิ๋นอี่เงยหน้ามองใบไม้เขียวชอุ่มที่ปกคลุมท้องฟ้า เธอลองตะโกนออกไปว่า “พี่รอง”
แต่มีเพียงเสียงเศษใบไม้ที่เสียดสีกับสายลมแต่ไม่มีใครตอบ
อวิ๋นอี่รู้สึกผิดหวังและเสียใจด้วยซ้ำ
การตายของปรมาจารย์หุ่นเชิดตอนนี้ ถึงจะทรยศก็เป็นเรื่องการทรยศแต่ในตอนนี้เหลือเพียงแค่เธอกับพยัคฆ์จื๋อสองคน …
แต่ทันใดนั้น อวิ๋นอี่ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ กิ่งก้านของต้นไม้โลกที่อยู่เหนือศีรษะของเธอโน้มลงมาและลูบหัวของ อวิ๋นอี่เบาๆ ด้วยใบไม้บนกิ่งไม้เช่นเดียวกับตอนที่อวิ๋นอี่ยังเด็ก อาร์เคนก็เคยลูบหัวของเธออ่อนโยนเช่นนี้
อวิ๋นอี่ยิ้ม เธอรู้ว่าอาร์เคนยังไม่ตายแต่เพียงแค่เปลี่ยนรูปแบบเพื่อปกป้องยอดเขา
…
ในตอนนี้ ทุกคนในสนามรบที่ป้อมปราการหลังพยัคฆ์รู้สึกโล่งใจที่เห็นรอยร้าวบนท้องฟ้าหายเป็นปกติ แม้ว่าพวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับต้นไม้ที่เติบโตบนยอดเขาที่ไกลออกไปมันมาจากไหน แต่พวกเขาก็มั่นใจมันเกี่ยวข้องกับการที่โลกสงบลง
ถึงไม่รู้ว่าใครเป็นคนปลูกต้นไม้นั้นแต่ตราบเท่าที่มันทำให้โลกไม่พังทลายต่อก็ถือว่าเป็นเรื่องดี
ไม่เช่นนั้น การลงทัณฑ์จากสวรรค์เพียงอันเดียวคงทำให้เกิดรอยร้าวกว้างขึ้นไปอีก ตอนนั้นทุกคนอาจต้องตายไปพร้อมกับโลกนี้!
เดี๋ยวก่อน …ดูเหมือนว่ามีบางอย่างผิดปกติ…การลงทัณฑ์จากสวรรค์!
สมาชิกขององค์กรใหญ่ต่างๆ เพิ่งนึกออกว่า ในตอนนี้แม้ว่าโลกจะมีเสถียรภาพแต่ก็ยังมีการลงทัณฑ์จากสวรรค์อยู่!
แต่มารู้ตัวตอนนี้ก็สายไปแล้ว เนี่ยถิงลอยลงมาจากท้องฟ้าสู่ใจกลางฝูงชนองค์กรใหญ่ ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เขาแต่ทุกคนต่างวิ่งหนีกันอย่างบ้าคลั่ง!
พวกเขาจะต้านทานการลงทัณฑ์จากสวรรค์ของยอดฝีมืออันดับหนึ่งได้อย่างไร!
สมาชิกขององค์กรใหญ่ไม่สนใจเรื่องกระบวนทัพแล้ว องค์กรต่างๆ ผสมผสานกันไปมั่วไปหมด ทุกคนมีความคิดเดียวในใจคือหนี!
แต่พวกเขาจำนวนมากและแออัดจนเกินไป สภาพที่เหมือนกับผึ้งแตกรังนี้ คนที่อยู่ระดับล่างหน่อยบางคนก็ถูกเหยียบตายระหว่างหลบหนี
ยิ่งวุ่นวายมากเท่าไหร่ พวกเขาก็จะหนีได้ช้าลงเท่านั้น
บางคนอยากจะเหยียบขึ้นไปบนหัวของคนอื่นเลยด้วยซ้ำ แต่เห็นว่าง่ายในภาพยนตร์ แต่มันทำยากในชีวิตจริง ตอนที่คนนั้นเพิ่งกระโดดขึ้นไปเหยียบหัวคนอื่นก็ถูกคนข้างล่างด่าและลากลงมา
ทั้งสนามรบกลายเป็นละครแฟนตาซีที่เริ่มจากหายนะ น่ารังเกียจสุดๆ!
กองทัพที่ยิ่งใหญ่อลังการกลับเริ่มพังทลายลงเพราะเนี่ยถิงลอยลงมาสู่ฝูงชน เนี่ยถิงพ้นภัยนี้จะได้เลื่อนสู่ระดับเสินฉังจิ้ง แต่พวกเขาเจอภัยนี้เท่ากับเจอความตาย!
เนี่ยถิงหัวเราะเยาะ “สายไปแล้วที่จะหนี! “
ทันใดนั้น สายฟ้าสีม่วงก็ม้วนตัวฟาดลงจากท้องฟ้า สายฟ้ามีรูปลักษณ์คดเคี้ยวคล้ายคมดาบที่น่ากลัวจับใจ
สายฟ้าสีม่วงระเบิดออกมาจากส่วนลึกของท้องฟ้า ในขณะนี้ทุกคนกำลังวิ่งหนีออกข้างนอกมีเพียงหลี่ว์ซู่เท่านั้นที่วิ่งเข้าหาเนี่ยถิงและฝูงชน …
คนจากองค์กรใหญ่ต่างๆ ที่วิ่งผ่านเขาคิดว่าเขาต้องเป็นบ้าแน่ๆ แต่หลี่ว์ซู่ไม่ได้เมตตา เมื่อเขาวิ่งผ่านฝูงชนไป เขาใช้กระบี่เฉวียอินปลิดชีวิตคนที่เขาสัมผัสได้
พฤติกรรมที่หลี่ว์ซู่ทำระหว่างวิ่งทวนฝูงชนยิ่งทำให้การหลบหนีของคนจากองค์กรใหญ่ที่มาทางนี้ช้าลง!
สายฟ้าสีม่วงฟาดดิ่งตรงไปยังเนี่ยถิง เนี่ยถิงฟาดดาบต้านกลับไป สายฟ้าแตกกระจาย ระเบิดออกไปรอบๆ
ทุกคนรัศมีภายในสามกิโลเมตรที่มีเนี่ยถิงเป็นศูนย์กลางต่างสัมผัสได้ว่าสายฟ้ากำลังเผาไหม้เลือดของพวกเขา พลังของสายฟ้านั้นยังกลิ้งอยู่บนพื้นอย่างไม่หยุด!
ในชั่วพริบตา ผู้มีพลังขององค์กรใหญ่ต่างๆ จำนวนนับไม่ถ้วนต่างเลือดออกทวารทั้งเจ็ดตาย
นักรบเกราะทองแดงเห็นภาพนี้ “วิธีที่ราชาฟันที่เก้าเสนอ ได้ผลดีจริงๆ “
“พวกนายเห็นราชาฟ้าที่เก้าไหม เขาถูกสายฟ้าที่กระจายออกโจมตีใส่ จะเป็นอะไรหรือเปล่า”
ร่างของหลี่ว์ซู่ในสายตาทุกคนต่างกำลังชักอย่างบ้าคลั่ง ซึ่งต่างจากสมาชิกขององค์กรใหญ่เหล่านั้น เขาสามารถต้านทานพลังของสายฟ้าที่กระจายออกมาได้!
“พวกนายรู้สึกไหมว่า ถึงราชาฟ้าจะถูกฟ้าผ่าแต่ดูเหมือนเขาจะมีความสุขดีนะ!”
หลังจากโยวหมิงอวี่ได้ยินที่พูดก็มองหลี่ว์ซู่ดูดีๆ จากนั้นตาก็เบิกกว้างขึ้น!
ทุกคนค่อยโล่งใจเมื่อตอนที่เนี่ยถิงลดระดับพลังลง พวกเขาไม่ต้องกังวลอีกต่อไปแล้ว
แต่ตอนนี้ เนี่ยถิงก็ลดระดับพลังลงไปแล้วแต่ทำไมโลกยังจะแตกได้อยู่อีก
หลี่ว์ซู่เห็นรอยร้าวบนท้องฟ้าก็รู้สึกตกใจ ไม่แปลกใจที่ตอนที่เนี่ยถิงต่อสู้กับมังกรเฒ่าตัวนั้นที่ใต้ภูเขาคุนหลุน ปรมาจารย์หุ่นเชิดถึงได้มาปกป้องโลกเอาไว้ ที่แท้โลกอ่อนแอถึงเพียงนี้เชียว
ทำอย่างไรดีล่ะเดิมทีหลี่ว์ซู่เป็นห่วงเนี่ยถิงที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการที่ทำลายรากฐานพลังตนเองที่ทำให้พลังของเขาลดลงอย่างรวดเร็ว แต่ก็ดีขึ้นที่แผลนั้นได้สมานกันแล้ว แต่อย่างไรเสียก็ยังต้องพักฟื้นหลังจากบาดเจ็บครั้งใหญ่นี้
ดังนั้นหลี่ว์ซู่ถึงให้เนี่ยถิงบินไปทางฝูงชนนั่น ให้พวกองค์กรใหญ่ต่างๆ แบ่งเบาพลังจากการลงทัณฑ์จากสวรรค์แทนเนี่ยถิงไป เขาไตร่ตรองเรื่องนี้แทนเนี่ยถิงที่อ่อนแอไม่ได้หวังแต้มอารมณ์อะไรเลย
ตอนนี้เฉินไป๋หลี่และนักบุญต่างสู้กันบาดเจ็บทั้งสองฝ่ายและทำให้โลกเกิดรอยร้าวขึ้น พวกเขาเห็นการลงทัณฑ์จากสวรรค์จะเกิดขึ้นอีกครั้งราวกับเป็นวันสิ้นโลกใกล้จะมาเยือน
ตอนนี้อวิ๋นอี่และพยัคฆ์จื๋อมองมาทางป้อมปราการอย่างเงียบๆ หลี่เสี่ยนอีขมวดคิ้วและพูดว่า “เกิดเรื่องขึ้นแล้วจริงๆ พวกนายมีวิธีช่วยไหม”
อวิ๋นอี่และหู่จื้อมองหน้าซึ่งกัน “วิธีมันก็มีอยู่หรอกแต่มันเสียสละมากไป”
คอรัลที่อยู่ข้างๆ เงียบไปครู่หนึ่ง “ให้ฉันช่วยอะไรไหม”
หลี่เสี่ยนอีมองคอรัลด้วยความประหลาดใจ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมคอรัลจึงพูดเช่นนี้”
และในตอนนี้เอง หลี่เสี่ยนอีเห็นความลังเลบนใบหน้าของอวิ๋นอี่และหู่จื้อเป็นครั้งแรก
ยามปกติ ปรมาจารย์หุ่นเชิดสองท่านนี้จะปรากฏตัวพร้อมกับแสงออร่าอันงดงาม แต่ไม่คิดว่าพวกเขาก็มีความรู้สึกลังเลเช่นนี้ด้วย
อวิ๋นอี่และพยัคฆ์จื๋อทั้งสองไม่ได้ตอบอะไร แต่ทั้งคู่ต่างล้วงเอาหุ่นเชิดสีแดงออกมาจากแขนเสื้อและกำจนแตกละเอียด
ทันใดนั้นตรงหน้าของปรมาจารย์ทั้งสองก็ปรากฏประตูสีดำขึ้นสองบาน ทั้งสองคนเดินเข้าไปอย่างเงียบๆ จากนั้นประตูสีดำนั้นก็ปิดลงในทันที
หลี่เสี่ยนอีเห็นเบื้องหน้าว่างเปล่าก็ขมวดคิ้วแล้วถาม “คอรัล ทำไมเธอ…”
“ขอโทษค่ะ” คอรัลส่ายหน้า “ฉันพูดไม่ได้”
คอรัลตระหนักขึ้นได้ว่าตัวตนของหลี่ว์ซู่อาจจะไม่ได้เรียบง่าย อาจต้องใช้ความคิดใคร่ครวญให้มากกว่านี้
ใช่ วัยรุ่นที่ไม่มีใครเหมือนเช่นนี้ เป็นสิ่งที่เธอสัมผัสได้
แต่เธอไม่สามารถบอกผู้อื่นได้
…
ในความมืดมิด อวิ๋นอี่และพยัคฆ์จื๋อยังคงเงียบอยู่ แล้วก็มีเสียงหัวเราะของอาร์เคนดังขึ้น “ฉันรู้ว่าพวกนายจะต้องมา ถึงได้มารอที่นี่อยู่เสียตั้งนาน”
“มีวิธีแก้ไขปัญหาไหม” อวิ๋นอี่ถาม
“ที่จริงฉันรู้ว่านายรู้วิธีแก้ไข นั่นคือการสร้างโลกขึ้นมาใหม่” อาร์เคนหัวเราะ “แต่พวกนายต้องรู้ก่อนว่าดวงวิญญาณในต้นไม้โลกถูกราชาองค์เก่าทำลายไปแล้ว ถ้าหากตอนนี้จะให้มันมีชีวิตขึ้นมาใหม่อีก ต้องคนผสานร่างกับต้นไม้”
“ต้นไม้โลกก็เป็นพืชเหมือนกัน ทำไมแค่ปลูกลงใหม่ง่ายๆ ไม่ได้หรือ” อวิ๋นอี่เงียบไปสักพักแล้วจึงถามขึ้น ถึงเธอจะถามเช่นนี้แต่ก็รู้คำตอบอยู่แก่ใจอยู่แล้ว
ตอนที่ราชาองค์เก่าถอนรากถอนโคนต้นไม้โลกนั้นก็เจอการต่อต้านของต้นไม้โลก ราชาองค์เก่าจึงใช้กระบี่ฟันใส่ดวงวิญญาณของต้นโลก ต่อมาอยากนำมันไปปลูกอีกโลกหนึ่งก็พบว่าต้นไม้โลกที่ไม่มีดวงวิญญาณจะไม่สามารถหยั่งรากลงไปยังที่อื่นได้
ในศาสนาและตำนานหลายเรื่องล้วนเอ่ยถึงต้นไม้โลก เทพโอดินของทางยุโรปเหนือก็เคยได้กิ่งต้นไม้โลกมาอันหนึ่ง มันเป็นพืชที่ใกล้เคียงกับของดั้งเดิมมากที่สุดบนโลกนี้ หรือจะบอกว่ามันคือของดั้งเดิมก็ว่าได้
“พยัคฆ์จื๋อ” อาร์เคนวันนี้แทบไม่มีไอชั่วร้ายเหมือนอย่างก่อน เขาหัวเราะใส่พยัคฆ์จื๋อ “ฉันยังจำได้ว่า ครั้งแรกที่ราชาองค์เก่าพาอวิ๋นอี่กลับมา อวิ๋นอี่ในวัยเด็กมัดผมสองข้างแอบอยู่ข้างหลังราชาองค์เก่า สูงยังไม่ถึงครึ่งของท่านด้วย พริบตาเดียวก็ผ่านมานานขนาดนี้…”
“นายมาทีหลังเธอ จึงไม่รู้ว่าครั้งแรกที่เธอฆ่าคน เธอร้องไห้ถึงสามวันสามคืน ต้องให้พี่ใหญ่ไปปลอบจึงจะหยุดร้องไห้ลง”
พี่ใหญ่ที่อาร์เคนพูดถึงคือหัวหน้าปรมาจารย์หุ่นเชิด ตอนนี้คงจะตายไปแล้ว
“สิบแปดปีมานี้ ฉันได้แต่ทบทวนตัวเองอยู่ข้างๆ ต้นไม้โลก แต่ละครั้งที่คิดถึงการตายของพี่ใหญ่ก็ไม่เคยปลงตกเสียที ฉันอยากที่จะล้างแค้นแทนเขาเหลือเกิน ที่จริงเธอไม่รู้ว่าตอนที่ฉันฆ่าคนครั้งแรก ฉันก็ร้องไห้เหมือนกัน และคนที่ปลอบฉันก็คือพี่ใหญ่ เรื่องนี้ฉันไม่เคยบอกเธอ เพราะถ้าบอกเธอไปฉันก็ไม่ได้ล้อเธอน่ะสิ” อาร์เคนหัวเราะ
“พี่รอง” อวิ๋นอี่ลืมไปแล้วว่าตัวเองไม่ได้เรียกอาร์เคนด้วยคำสรรพนามนี้มานานเท่าไหร่ “ที่จริงตอนที่พี่ใหญ่มาปลอบฉันก็บอกว่า” ร้องไห้เป็นเรื่องปกติ พี่รองของเธอตอนที่ฆ่าคนก็ร้องไห้เหมือนกัน” ”
อาร์เคน “???”
อวิ๋นอี่หันไปมองทางพยัคฆ์จื๋อแล้วถาม “ตอนที่นายฆ่าคนครั้งแรก นายไม่ได้ร้องไห้หรือ”
“ไม่ได้ร้อง” พยัคฆ์จื๋อหัวเราะซื่อๆ “แต่ตอนที่พี่ใหญ่ชมว่าฉันใช้ได้ ก็พูดว่า ตอนนั้นอวิ๋นอี่และอาร์เคนยังร้องไห้เลย แต่เธอกลับไม่ร้อง”
อวิ๋นอี่ “……”
อาร์เคน “……”
“พี่ใหญ่ช่างปากสว่างเสียจริง…” อาร์เคนถอดถอนใจ “แต่ฉันก็ยังอยากล้างแค้นให้เขา วันหลังต้องวานพวกนายสองคนแล้ว ถ้าเห็นเจ๋อเมิ่งช่วยฆ่าเขาแทนฉันด้วย จงอย่าเมตตา แต่ตอนนี้พลังของเขาถูกยึดคืนไปแล้ว พวกนายฆ่าเขาก็คงง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ ส่วนความแค้นที่ใหญ่กว่านั้น …… นั่นไม่ใช่ศึกที่พวกนายจะไปสอดรอให้ราชาของเราไปจัดการเองเถิด”
อวิ๋นอี่เงียบไปนาน “พี่รอง เรื่องยังไม่เลวร้ายถึงขนาดนั้น”
“หลายปีมานี้ ปรมาจารย์หุ่นเชิดต่างมีภาระของตนที่ต้องรับผิดชอบ มิตรภาพในวัยเยาว์ต่างเลือนหายไปจนหมด ราชาองค์เก่าองค์เก่าก็ไม่สนเรื่องความขัดแย้งระหว่างพวกเขา พี่ใหญ่ของปรมาจารย์หุ่นเชิดก็ไม่ได้ห้ามให้พวกเขาไม่ทะเลาะกันเอง
เมื่อเวลานี้มาถึง ราวกับทุกสิ่งได้ย้อนกลับไปในวัยเยาว์
ตอนนั้นอวิ๋นอี่ตามพี่ใหญ่พี่รองร้องขอของกินและยังให้พวกเขาช่วยจับผีเสื้อให้ด้วย
“อวิ๋นอี่เอ๋ย” อาร์เคนหัวเราะ “ตอนนั้นหลังจากที่ฉันทำผิดไปและถูกขังให้สำนึกตนอยู่ข้างต้นไม้โลก ตอนนั้นฉันคิดว่าฉันทำความผิดใหญ่ขนาดนั้น แต่ทำไมราชาองค์เก่าองค์เก่าถึงไม่ฆ่าฉัน ไม่แม้แต่จะยึดคืนพลังของฉันด้วย ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วที่แท้เขาให้โอกาสฉันได้ไถ่โทษ ไม่เช่นนั้น…ทำไมเขาต้องกักขังฉันอยู่ในโลกใบนั้นอยู่ในต้นไม้โลกและประทับตราไว้ที่กลางฝ่ามือของราชาองค์ใหม่อีก นั่นเพราะเขารู้ว่าเมื่อราชาองค์ใหม่เติบโตขึ้นโลกนั้นจะไม่สามารถต้านทานพลังของราชาองค์ใหม่ แต่ฉันก็รู้สึกสงสัยใคร่รู้ ราชาองค์เก่าองค์เก่าไม่เคยทำเรื่องที่ไม่จำเป็น แต่ราชาองค์ใหม่กลับต่างออกไป แล้วยังทำเรื่องที่จริงๆ จังๆ น้อยมาก…..ฉันอยากรู้เสียจริงว่าราชาองค์ใหม่จะเป็นอย่างไร น่าเสียดายที่ฉันไม่โอกาสได้เห็นแล้ว”
ในจังหวะที่หัวหน้าบาทหลวงตายนั้น หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ได้ตัดดวงวิญญาณที่สามออกและจับวิญญาณของหัวหน้าบาทหลวงไว้
ในระหว่างที่จับวิญญาณอยู่หลี่วืเสี่ยอวี๋สัมผัสได้ถึงการดิ้นรนอย่างบ้าคลั่งของดวงวิญญาณระดับ A แต่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็เป็นเสมือนศัตรูทางธรรมชาติของอีกฝ่ายที่ทำให้การขัดขืนของหัวหน้าบาทหลวงไม่มีผลอะไรเลย
ดวงวิญญาณนั้นคำรามอย่างเกรี้ยวกราดในความเงียบ แต่ในที่สุดก็ถูกจับเข้าสู่หลุมดำอันที่สาม
ที่จริงจอห์นสันที่อ่อนแอที่สุดในบรรดาวิญญาณทั้งสาม เขาอยู่เพียงแค่ระดับ B ตอนต้น แม้กระทั่งวิญญาณผู้มีพลังธาตุดินที่จับมาใหม่ก็ยังอยู่ที่ระดับ B ขั้นกลาง ตามหลักแล้วธาตุดินมีประโยชน์มากกว่าผู้มีพลังการเสกสรร หลี่ว์เสี่ยวอวี๋มีพลังระดับ A จึงสามารถควบคุมดวงวิญญาณผู้มีพลังระดับ B สองดวงได้สบาย หากอยู่ในช่วงที่พลังเธอสูงสุดก็แทบไม่ต้องกลัวการต่อสู้กับระดับ A เลย
แต่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋รู้สึกว่าตนเองจะปล่อยดวงวิญญาณของผู้มีพลังการเสกสรรไปไม่ได้ เพราะหลี่ว์ซู่ดูเท่มากในตอนที่เขาให้กระบี่สายฝนตกลงมาจากฟ้า
ในความคิดของหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ ไม่มีใครเทียบเทียมหลี่ว์ซู่ได้ และเธอควรจะเป็นคนที่เทียบเทียมเขาได้มากที่สุด
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ไม่ได้สนใจว่าตนเองจะแข็งแกร่งมากน้อยขนาดไหน แต่เธอพบว่าตนเองมีความสุขที่ได้ช่วยหลี่ว์ซู่สร้างกระบี่สายฝนได้
เธอแอบมีความปรารถนาเล็กๆ ในใจ ถึงเธอจะรู้ว่าหลี่ว์ซู่จะขโมยกระบี่เวทมนตร์ห้าหมื่นเล่มมาได้แต่ด้วยนิสัยขี้เหนียวของเขา เขาจึงไม่มีทางยอมใช้มัน
ดังนั้นเธอควรเข้ามาช่วย ตอนที่เขาร้องตะโกนว่า “หากฟ้ามิให้ข้าหลี่ว์ซู่เกิดมา วิถีกระบี่คงมืดมิดค่ำคืนที่ยาวนาน” ใช่ไหม คำตอบก็คือใช่!
ในขณะเดียวกันฟรางซิสโกไม่อยากจะต่อกรกับฮุ่นตุ้นแล้ว เขารู้ว่าเมื่อหัวหน้าบาทหลวงตายไป ความได้เปรียบก็หมดไปด้วย แต่ทุกคนกลับคาดไม่ถึงว่าเขาจะไม่หลบหนีไปในทันทีแต่กลับเพิ่มความเร็วสลัดหุ้นตุ้นทิ้งไปและบินไปยังศพของหัวหน้าบาทหลวงที่อยู่ที่พื้นและนำกลับไปด้วย!
นักบุญถอนหายใจแล้วเตรียมที่จะพาคนของกลุ่มฟินิกซ์หนีไปแต่เนี่ยถิงและคนของเครือข่ายฟ้าดินจะปล่อยพวกเขาไปได้อย่างง่ายดายงั้นหรือ
ในเวลานี้นักบุญและฟรางซิสโกไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเครือข่ายฟ้าดินอีกแล้วสิ่งที่ต้องระวังตอนนี้คือองค์กรใหญ่ต่างๆ ที่ยังมีจำนวนมากกว่าเครือข่ายฟ้าดินถึงสองเท่า
หลี่ว์ซู่ก็ไม่ไล่ตามไป เขามีสำคัญกว่านั้นที่ต้องทำ!
เนี่ยถิงเดิมคิดจะไล่ฆ่านักบุญแต่ยังไม่ทันได้ขยับตัวก็ถูกหลี่ว์ซู่ลากกลับมา
หลี่ว์ซู่ส่งฝนดวงดาวสีแดงให้เนี่ยถิงสองเม็ด “ท่านลองกินดู”
หลี่ว์ซู่สัมผัสได้ว่าปราณพลังของเนี่ยถิงค่อยๆ ลดลง เขาไม่รู้ว่าถ้าให้เนี่ยถิงกินช้ากว่านี้เขาจะตายหรือไม่
การไล่ล่านักบุญนั้นเป็นเรื่องสำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือชีวิตของเนี่ยถิง!
เนี่ยถิงขมวดคิ้วแล้วมองหลี่ว์ซู่แต่ไม่ได้เอ่ยถามอะไรและหยิบสองเม็ดนั้นขึ้นมากินเหมือนกับไม่เกรงกลัวว่าจะเป็นยาพิษหรือไม่
แต่แล้วในพริบตาที่เนี่ยถิงกลืนลงไปก็สัมผัสอะไรได้บางอย่าง นั่นคือรากฐานพลังที่ถูกตัดขาดไปของตนเองกำลังเริ่มสมานตัว!
นักรบเกราะทองแดงทุกคนต่างตกใจที่เห็นเส้นเลือดสีดำบนใบหน้าของเนี่ยถิงค่อยๆ หายไป และกลับสู่สภาพปกติของเขา!
ก่อนหน้านี้นักรบเกราะทองแดงยังเป็นห่วงเนี่ยถิง แต่ตอนนี้ราชันฟ้าที่เก้ากลับยื่นมือเข้าช่วยรักษาพลังของเนี่ยถิงเอาไว้!
เนี่ยถิงมองหลี่ว์ซู่ด้วยความประหลาดใจ เขาคาดไม่ถึงเลยว่าหลี่ว์ซู่จะมอบผลดวงดาวที่สำคัญขนาดนี้ให้แก่ตน มันช่างเป็นของวิเศษที่ใช่เพิ่มพูนพลังและเริ่มชำระล้างกระดูก
ของขวัญอันชิ้นใหญ่ขนาดนี้ทำเอาเนี่ยถิงพูดไม่ออก แต่เขาเองก็รู้ว่าเขาเองต้องตอบแทนน้ำใจครั้งสำคัญครั้งนี้!
แต่เขายังไม่ทันได้พูดอะไรกับหลี่ว์ซู่ หลี่ว์ซูก็สังเกตเห็นพลังของเนี่ยถิงที่กำลังเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันบนท้องฟ้าก็ปรากฏพายุเมฆฝนขนาดใหญ่บดบังท้องฟ้าจนมืดมิดไปทั่ว…
หลี่ว์ซู่มองเนี่ยถิงแล้วนิ่งไปครู่หนึ่ง “ท่าน…จะถูกฟ้าผ่าอีกแล้วหรือ”
[ได้แต้มจากเนี่ยถิง +666!]
เดิมทีบรรยากาศที่น่าประทับใจ เนี่ยถิงขอบคุณ หลี่ว์ซู่พูดถ่อมตน นี่เป็นภาพที่นักรบทองแดงอยากจะเห็น
แต่แล้วราชันฟ้าที่เก้าสมกับที่ไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ แค่ประโยคเดียวก็เปลี่ยนบรรยากาศจนหมดสิ้นได้…
เนี่ยถิงหันหน้าแล้วบินขึ้นเหนือไปโดยไม่พูดอะไรเลย เขาต้องเจอการลงทัณฑ์จากสวรรค์อีกครั้งแล้ว!
แต่เขายังไม่ทันได้ลอยขึ้นก็ถูกหลี่ว์ซู่ดึงกลับมาอีก “ท่านจะไปไหน”
เนี่ยถิงตอบด้วยใบหน้าเรียบเฉย “ไปถูกฟ้าผ่า”
ครั้งนี้เห็นแก่ของวิเศานั่นฉันจะยอมทน!
[ได้แต้มจากเนี่ยถิง +666!]
“แล้วทำไมท่านถึงบินไปทางเหนือ” หลี่ว์ซู่ถามด้วยความสงสัย
“แล้วจะให้ไปทางไหนละ” เนี่ยถิงถามกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
หลี่ว์ซู่หันไปทางที่องค์กรใหญ่ต่างๆ ที่อยู่นอกป้อมปราการที่มีคนเรือนแสน…เขาหันกลับมาพูดกับเนี่ยถิงว่า “ไปทางกลุ่มคนนั่นสิ…”
หลี่ว์ซู่คิดขึ้นได้ว่าอันนี้เป็นความคิดของเขา แต้มอารมณ์ที่ได้ก็น่าจะเป็นของเขาน่ะสิ…
นักรบเกราะทองแดงคนอื่นๆ ต่างทยอยหายใจเข้ากันเฮือกใหญ่ ราชันฟ้าที่เก้าความคิดกว้างไกลจริงๆ ด้านล่างตรงนั้นมีแต่ผู้มีพลังระดับ C ลงไป ยังต้านเศษคลื่นพลังของการลงทัณฑ์จากสวรรค์ไม่ได้ ถ้าเนี่ยถิงบินไปทางนั้นรับรองต้องมีคนตายหลานหมื่นคน และยังสามารถปลดปล่อยแรงกดดันของการลงทัณฑ์จากสวรรค์ที่มีต่อเนี่ยถิงได้อีก
น่าประทับใจจริงๆ คงไม่มีใครเตือนละซิว่าในสงครามนี้จะเจอกับการลงทัณฑ์จากสวรรค์! ตอนนี้หนียังทันไหม ถ้าทันพวกเราหนีกันเถอะ!
องค์กรใหญ่ต่างๆ มีคนจำนวนมากก็จริงแต่ก็ไม่มีใครต้านการลงทัณฑ์จากสวรรค์ได้!
เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหันต่อให้หลี่ว์ซู่และเนี่ยถิงก็ไม่มีใครคาดว่าผลชำระกระดูกสองเม็ดนี้จะทำให้เกิดการลงทัณฑ์จากสวรรค์ขึ้นได้!
เนี่ยถิงเองก็ไม่ได้เป็นคนใจอ่อน มีเมตตา เมื่อหลี่ว์ซู่เสนอไอเดียที่ทำได้นี้ เขาก็บินไปทางกลุ่มองค์กรใหญ่โดยทันทีและเห็นว่าเมฆสายฟ้าเริ่มหยามืดมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนขององค์กรใหญ่ต่างๆ ก็เริ่มตระหนักแล้วว่าสถานการณ์เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง!
เฉินจู่อานตกใจ “เดี๋ยวนะ ทำไมพี่ซู่กระโดดลงไปด้วยล่ะ! ”
“ราชันฟ้าที่เก้าช่างกล้าหาญจริงๆ เพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของราชันฟ้าเนี่ย ถึงลงไปรับสายฟ้าด้วยตัวเอง! ” มีคนประทับใจ
“ใช่ ราชันฟ้าที่เก้าเป็นแบบอย่างในชีวิตฉันเลย ฉันจะเอาอย่างท่าน! ”
เฉินจู่อานได้ยินทุกคนกล่าวด้วยความประทับใจ เขาก็ถอดถอนใจว่า “ทำไมรู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ พี่ซู่ไม่ได้เป็นคนแบบนั้น”
มีเพียงหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ที่รู้ ก่อนหน้านี้หลี่ว์ซู่เคยไปจับเต้าเสียบเพื่อเพิ่มกระแสไฟฟ้าให้กับครรภ์กระบี่มาแล้ว ตอนนี้ดูท่าได้เจอโอกาสเติมกระแสไฟฟ้าจริงๆ เสียที!”
ทัณฑสวรรค์ครั้งนี้ ภูเขาหิมะในจุดชี่ไห่ในตัวหลี่ว์ซู่ก็จะมีพลังกระบี่รัศมีสายฟ้าม่วงกว่าสองพันสายแล้ว!
ในช่วงเวลาที่เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้เอง สนามศึกที่เฉินไป๋หลี่และนักบุญกำลังต่อสู้กันก็เกิดเสียงดังแคร็กขึ้น พวกหลี่ว์ซู่สังเกตเห็นว่าบนท้องฟ้าปรากฏรอยร้าวขึ้นเหมือนกับกระจกเกิดรอยร้าวขึ้น!
ทุกคนต่างตกใจ โลกนี้…เริ่มแตกสลายแล้วเหรอ!
ดีที่รอยร้าวนั้นปรากฏขึ้นแล้วไม่ได้ขยายวงต่อ ทุกคนจึงโล่งใจ แต่ยังไม่ทันได้หายใจคล่องคอทุกคนก็ตระหนักได้ว่า ตอนนี้เรื่องยังไม่หมด ทัณฑ์…การลงทัณฑ์จากสวรรค์กำลังจะเกิดขึ้นแล้ว
หลี่เสียนอีย้อนความจำถึงเหตุการณ์ในปีนั้น “แปดชั่วโมงก่อนที่พวกนายจะมามีคนมาที่มูลนิธิและบอกว่าคนจากดินแดนในประเทศจะบุกโลก ในตอนนั้นพวกเรายังไม่ค่อยเชื่อ แต่ต่อมาได้รู้ว่าเพราะอะไรอยู่ๆ ต่างก็เชื่อกัน จนตอนนี้ฉันก็ยังไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายใช้วิธีพูดอะไรถึงกล่อมให้พวกเราเชื่อได้ ฉันเคยคิดว่ามันเป็นการสะกดจิตอย่างหนึ่ง อีกฝ่ายมีพลังที่ทำให้พวกเราหลงกลโดยไม่รู้ตัว”
“พลังการสร้างฝันของเจ๋อเมิ่งสูงจนเชี่ยวชาญมาก ผู้ที่ตกอยู่ในความฝันไม่มีทางรู้ว่าตอนเองอยู่ในโลกแห่งความจริงหรือโลกแห่งความฝัน อาจไม่รู้แม้กระทั่งว่าเข้าไปและออกจากความฝันตั้งแต่เมื่อไหร่” อวิ๋นอี่พูดอธิบาย “แล้วนายเคยคิดไหมว่าบางทีเพื่อนอีกเจ็ดคนของนายที่จริงไม่ได้เกิดอุบัติเหตุหรือยังไม่ได้ป่วยตาย ถ้าตอนนั้นเจ๋อเมิ่งยังไม่ตาย ฉันกล้ายืนยันว่าทุกสิ่งเกิดจากพลังของเขา เขาไม่ได้ฆ่านายเป็นเพราะยังฆ่านายไม่ได้เท่านั้น”
หลี่เสียนอีนิ่งไปครู่หนึ่ง สหายที่ตายไปในปีนั้นล้วนมีพลังระดับ D บางคนระดับ E ยกเว้นเขาคนเดียวที่อยู่ระดับ B ที่จริงผู้บำเพ็ญจะตายง่ายๆ ขนาดนั้นได้อย่างไรแต่เพราะคิดว่าทุกคนสูญเสียรากฐานพลังเหมือนกับเขาตอนนั้นจึงไม่ได้คิดอะไรมาก
มีบางครั้งก็คิดสงสัยว่าเป็นฝีมือปรมาจารย์หุ่นเชิดหรือเปล่า แต่ก็ไม่เคยคิดว่าในบรรดาปรมาจารย์หุ่นเชิดเองมีปัญหาอะไร
พยัคฆ์จื๋อพูดกับอวิ๋นอี่ “ตอนนี้พอจะยืนยันได้ก็คือเจ๋อเมิ่งยังไม่ตาย ดูท่าปีที่แล้วพวกเราจะเข้าใจไปผิดทาง เธอยังจำได้ไหมที่ราชาองค์เก่าเคยยึดพลังปรมาจารย์หุ่นเชิดที่เคยหักหลังเขากลับคืนมา”
หลี่ว์ซู่เสียนอีไม่เข้าใจคำพูดพวกนี้แม้แต่น้อยแต่อวิ๋นอี่กลับเข้าใจ!
เมื่อปีที่แล้วพวกเขาก็เคยสงสัยว่าเจ๋อเมิ่งยังไม่ตายแต่ทันใดนั้นก็พบว่าเสี่ยวซยงสวี่กลับมีพลังของเจ๋อเมิ่ง เดิมทีพวกเขาไม่ได้ตามหาหลี่ว์ซู่แต่เมื่อเมืองลั่วเฉิงเกิดเหตุการณ์การสร้างความฝันขนานใหญ่พวกเขาจึงเริ่มสนใจและเมืองนี้ก็เป็นเมืองที่ราชาองค์ใหม่หายตัวเมื่อสิบแปดปีก่อน และก็เป็นวิธีที่สร้างความฝันที่เป็นเอกลักษณ์ พวกเขาทั้งสองจะไม่สนใจหลี่ว์ซู่ก็ไม่ได้
และก็เป็นตอนนั้นที่อวิ๋นอี่และพยัคฆ์จื๋อมั่นใจในตัวตนของหลี่ว์ซู่ คนอื่นอาจจะไม่ได้สังเกตเรื่องนี้แต่พวกเขาตามหาราชาองค์ใหม่มาสิบเจ็ดปีแล้วจะพลาดเรื่องสำคัญเช่นนี้ได้อย่างไร
การสืบทอดปรมาจารย์หุ่นเชิดทำโดยราชา เมื่อปรมาจารย์หุ่นเชิดตายลงก็จะมีปรมาจารย์หุ่นเชิดคนใหม่มาแทนที่
สองพันปีก่อนเคยมีปรมาจารย์หุ่นเชิดทรยศราชา ผลคือถูกยึดคืนพลังทุกอย่างที่ราชาแห่งทวยเทพประทานให้และประทานให้ปรมาจารย์หุ่นเชิดคนใหม่ ส่วนปรมาจารย์หุ่นเชิดคนเก่าเหลือเพียงความแข็งแกร่งดั้งเดิมแต่ต้องสูญเสียพรสวรรค์ของตัวเอง!
ตอนที่พวกเขาเห็นเสี่ยวซยงสวี่ก็คิดว่าเจ๋อเมิ่งตายแล้วจึงให้เสี่ยวซยงสวี่ที่ใกล้ชิดกับหลี่ว์ซู่มารับตำแหน่งและไม่ได้คิดถึงว่าเขาถูกเสี่ยวซยงสวี่ยึดพลังมา เพราะพวกเขาไม่ได้เข้าใจพลังของราชาแห่งทวยเทพ ดังนั้นในตอนแรกจึงสมมุติฐานว่าการยึดคืนพลังเกิดจากจิตสำนึกและในตอนนั้นหลี่ว์ซู่ไม่ได้มีสัญลักษณ์ของราชาผู้มีพลังและจนทุกวันนี้ก็ยังไม่ปรากฏ
อวิ๋นอี่และพยัคฆ์จื๋อไม่ได้บอกความจริงให้แก่หลี่เสียนอี่และคอรัลแต่พวกเขาก็รู้ดีว่าบางทีเจ๋อเมิ่งอาจจะสูญเสียพลังสร้างความฝันไปแล้ว
เคราะห์กรรมครั้งใหญ่ของโลกผู้บำเพ็ญครั้งนี้จึงเป็นที่เข้าใจกันแล้วดีไม่ดีอาจเป็นเพราะผู้เลือกฝันกำลังหาทางออกให้กับตนเอง
ผู้สร้างความฝันที่มีพลังที่สามารถทำอะไรก็ได้คนหนึ่งอยู่ๆ กลับสูญเสียพลังอันยิ่งใหญ่นั้นไป ถึงจะยังเหลือพลังเก่าอยู่แต่มันก็เหมือนกับตระกูลขุนนางเศรษฐีที่เหลือเพียงแค่เงินแต่ต้องสูญเสียอำนาจและฐานะทางสังคมไป
คนธรรมดายังคิดว่ามีเงินก็ดีแล้วแต่ครอบครัวเศรษฐีไม่ได้คิดอย่างนั้น!
ความลับนี้เมื่อปรมาจารย์หุ่นเชิดแลกเปลี่ยนกับหลี่เสียนอี่ด้วยท่าที่นิ่งเฉยเหมือนกับความจริงนี้ยังไงเสียก็ต้องถูกเปิดเผยออกมา
อวิ๋นอี่ขมวดคิ้วถ้าเป็นเจ๋อเมิ่งจริงแล้วอีกฝ่ายทำเช่นนี้ไปเพื่ออะไร
แต่ก็ในตอนนี้เองทุกคนก็ได้ยินเสียงดังแคร๊ก! ขึ้นมาเหมือนกับกระจกอันมหึมากำลังเริ่มแตกร้าว
หลี่เสียนอี่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เสียงนั้นเหมือนดังก้องอยู่ในใจและไม่ได้เป็นเสียงที่มาจากโลกภายนอก
ส่วนอวิ๋นอี่และพยัคฆ์จื๋อหันกลับไปทางป้อมปราการหลังพยัคฆ์ “แย่แล้ว!”
……
แสงสีดำปรากฏขึ้นท่ามกลางท้องฟ้า
เนี่ยถิงกำลังทำสมาธิอยู่ ด้านหนึ่งเพื่อคิดหาทางออก แต่อีกด้านเพื่อสะสมพลังดาบ
เดิมทีเนี่ยถิงเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของโลกบูรพา บูรพาคำนี้ควรค่าแก่การถกเถียง ไม่ใข่เพราะโลกบูรพายังมีคนที่แข็งแกร่งกว่าเนี่ยถิงแต่เป็นเพราะเขายังไม่เคยประมือกับพวกนักบุญและหัวหน้าคนอื่นๆ ดังนั้นจึงไม่แน่ใจว่าเขาคือยอดฝีมืออันดับหนึ่งของโลกหรือไม่!
พลังดาบที่สั่งสมมาถูกปล่อยออกไป หัวหน้าบาทหลวงไม่กล้าเข้าปะทะและยังพบว่าตนเองขยับแทบไม่ได้ ปราณพลังอันแข็งแกร่งขังพวกเขาอยู่ข้างใน เนี่ยถิงแม้ว่าจะลดพลังจากระดับเสินฉังจิ้นแล้ว แต่อิทธิพลของพลังนั้นยังอยู่!
หัวหน้าบาทหลวงผู้แข็งแกร่งไร้ผู้เทียมทานกลับเห็นว่าตนเองจะต้องตายภายในคมดาบนี้เสียแล้ว
ทุกคนต่างตกใจว่าการต่อสู้ระหว่างระดับ A ด้วยกันมันแตกต่างกันได้ขนาดนี้เชียวหรือ
หลายคนรอดูศึกแห่งศตวรรษครั้งนี้แต่ว่าทำไมพอลงมือโจมตีกลับทำอะไรไม่ได้เลย…ดูเหมือนกับเป็นละครเด็กเล่น
แต่ก็เพราะความรู้สึกนี้ที่ทำให้องค์กรใหญ่ต่างๆ เข้าใจในเรื่องหนึ่งว่าการถูกคนยุยงมาหาเรื่องเครือข่ายฟ้าดินเป็นเรื่องที่โง่เขลาเสียนี่กระไร!
ที่จริงมีคนจำนวนน้อยที่รู้ว่าเมื่อเนี่ยถิงถูกบีบบังคับให้ต้องลดพลังลงนั้น ความยุติธรรมของศึกครั้งนี้ก็เริ่มจะเอนเอียงลงแล้ว
นักบุญและฟรางซิสโกอยากเข้าไปช่วยหัวหน้าบาทหลวงต้านพลังดาบนี้เพราะพวกเขารู้ดีว่าถ้าให้เนี่ยถิงกำจัดระดับ A ง่ายๆ แบบนี้ไปคนหนึ่งศึกภายหลังก็ไม่ต้องสู้แล้ว!
พวกเขาไม่กำลังจะช่วยหัวหน้าบาทหลวงแต่กำลังช่วยตนเองอยู่!
ในตอนนี้เองเฉินไป๋หลี่และหุ้นตุ้นต่างบินเข้าไปหานักบุญและฟรางซิสโก เฉินไป๋หลี่ตวัดแส้นักพรตใส่นักบุญแล้วหัวเราะว่า “ศัตรูของเจ้าอยู่ทางนี้!”
ในตอนนี้ผู้อาวุโสเฉินดูฮึกเหิมอย่างมาก ถึงแม้เขาจะไม่พอใจกับการลดพลังของเนี่ยถิงแต่ตอนนี้เป็นเวลาที่เครือข่ายฟ้าดินน่าจับตาเป็นที่สุด!
ผู้อาวุโสเฉินมองหุ้นตุ้นขณะที่พวกเขายังบินไปไม่ถึงนักบุญก็ได้ยินหุ้นตุ้นตะโกนด้วยเสียงอันดังว่า “หงิงๆๆ!”
ทุกคนมองมาทางหลี่ว์ซู่ เขาได้แต่ทำหน้าประหลาดใจ “พวกนายมองฉันทำไม ฉันไม่ได้สอนมันแบบนี้!”
และในตอนนี้เองก็ได้ยินเสียงร้องน่าอเนจอนาถดังขึ้นบนท้องฟ้า หัวหน้าบาทหลวงที่อยู่จุดสูงสุดของโลกผู้บำเพ็ญถูกเนี่ยถิงฟันตายลง หัวหน้าบาทหลวงเลือดอาบทั่วร่างและร่วงลงสู่พื้นราวกับว่าวที่ถูกตัดสาย
หลี่ว์ซู่อึ้งไปสักพัก “ง่ายๆ อย่างนี้เลยหรือ ตายแล้วหรือ!”
ทุกคนล้วนคิดว่าหัวหน้าบาทหลวงน่าจะต้านพลังได้สักสองสามครั้ง อย่างน้อยก็ถ่วงเวลาได้สักชั่วโมงก็ยังดี แต่กลับต้านพลังดาบแม้แต่เพียงครั้งเดียวยังไม่ได้เลย
ภาพนี้ทำให้หลี่ว์ซู่รู้สึกเหมือนกับตอนที่เขาฆ่าระดับ B คนหนึ่งได้ง่ายราวกับพลิกฝ่ามือ!
เนี่ยถิงลอยอยู่ด้านบนป้อมปราการและหันหน้ามายิ้มให้เสี่ยวอวี๋ “จับวิญญาณได้ไหม”
เสี่ยวอวี๋พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “จับได้แล้ว!”
คำถามแรกของอวิ๋นอี่ก็พาหลี่เสียนอีย้อนกลับไปเมื่อ 18 ปีก่อน เธอต้องการรู้ว่าใครเปิดเผยข้อมูลของปรมาจารย์หุ่นเชิดให้กับมูลนิธิ
มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อนานมากแล้ว ย้อนไปตอนนั้นเรื่องของปรมาจารย์หุ่นเชิดเป็นความลับ ถึงไม่เก็บเป็นความลับพวกเขาก็หนีออกมาไม่ได้แต่ปัญหาคือมูลนิธิสามารถไปเฝ้าทางหนีของพวกเขาได้อย่างแม่นยำได้อย่างไร
คนของอีกโลก มูลนิธิรู้ข้อมูลของพวกเขาได้อย่างไร
หลี่เสียนอีมองอวิ๋นอี่ด้วยสีหน้านิ่งเฉย “เรื่องนี้ฉันคงบอกเธอไม่ได้ ก่อนที่ฉันยังไม่รู้จุดประสงค์ของนายไม่มีทางที่จะเปิดเผยเรื่องเก่าๆ อย่างจริงใจ เรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นก็เป็นฝีมือของพวกนาย แล้วตอนนี้พวกนายมาพูดเรื่องพวกนี้ฉันจะเชื่อได้อย่างไร”
ทั้งสองฝ่ายไม่ได้มีความเชื่อใจต่อกัน พวกเขาเป็นศัตรูกันมานานแล้วจู่ๆ จะให้คลายความแค้นภายในวันเดียวมันก็เป็นไปไม่ได้
อวิ๋นอี่ส่ายหน้า “ดูถ้านายยังไม่รู้ ข้อมูลที่อีกฝ่ายบอกพวกนายเป็นข้อมูลที่ผิด พวกเราไม่ได้มาเพื่อบุกรุกโลก บอกว่ากลับสู่โลกจะถูกต้องมากกว่า พวกเราไม่ได้คิดร้ายกับมนุษย์เลย
“ผิดเหรอ” หลี่้สียนอีตอบกลับนิ่งๆ “แล้วอะไรคือถูกจะเอาอะไรมายืนยัน”
“ฉันจะบอกเรื่องแรกก็คือ พวกเราไม่ได้มาจากดินแดนเนรเทศ” อวิ๋นอี่หัวเราะ “สถานที่หนึ่งมีพลังจิตวิญญาณมากมายจนเหลือเฟือ มีพื้นที่กว้างขวางแม้แต่พวกระดับล่างสุดก็ยังมีพลังที่แข็งแกร่ง แต่อีกที่หนึ่งกลับไม่มีพลังจิตวิญญาณแม้แต่น้อย สิ่งมีชีวิตแข็งแกร่งจำนวนมากค่อยๆ สูญหายไปเพราะพลังจิตที่ถดถอยลง นายคิดว่าที่ไหนคือดินแดนในประเทศ มันคือโลกต่างหาก”
หลี่เสียนอีและคอรัลต่างตกใจ สิ่งที่พวกเขารู้คือปรมาจารย์หุ่นเชิดมาจากดินแดนเนรเทศและพวกเขาต้องการสร้างเส้นทางเดินทางมายังโลกให้แก่ราชาของพวกเขา มันคือบทเอเลี่ยนบุกโลกชัดๆ
ทำไมเรื่องเล่าถึงหักมุมแบบนี้ พวกเขาได้ยินจากปากของปรมาจารย์หุ่นเชิดว่าโลกคือดินแดนเนรเทศ!
“ในเมื่อโลกเป็นดินแดนเนรเทศแล้วพวกนายมาทำไม” หลี่เสียนอีขมวดคิ้ว
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกนาย พวกเราบอกไม่ได้เช่นกัน” พยัคฆ์จื๋อหัวเราะซื่อๆ “รู้มากไปไม่ดี”
ถึงใบหน้าจะเปื้อนรอยยิ้มแต่คำพูดกลับโอหังเช่นเดิม
อวิ๋นอี่หัวเราะ “ก่อนอื่นเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับโลก ดังนั้นนายไม่ต้องเป็นห่วงแต่ฉันสามารถบอกเรื่องอื่นให้พวกนายได้บ้างแต่ต้องเก็บเป็นความลับ”
เมื่อเธอพูดประโยคนี้จบเธอมองมาที่คอรัล คอรัลครุ่นคิด เธอรู้สึกว่าสายตาของอวิ๋นอี่แขวงบางอย่างเอาไว้
ตอนนี้เองอวิ๋นอี่ก็พูดขึ้นทันทีว่า “มันมีสาเหตุที่โลกบอบบางเช่นนี้ เมื่อก่อนพลังของธรรมชาติของมันไม่ได้อ่อนแอเฉกเช่นทุกวันนี้ ตอนนั้นพลังที่พลิกภูเขาถมทะเลยังไม่มีผลอะไรเลย”
หลี่เสียนอีพึ่งไปครูหนึ่ง มียุคนั้นด้วยหรือ แล้วทำไมเมื่อเนี่ยถิงเลื่อนสู่พลังเสินฉังจิ้งถึงไม่สามารถใช้พลังได้ ปรมาจารย์หุ่นเชิดพรุ่งนี้รู้ความลับโบราณมากมายแต่ความรู้ที่สืบทอดมาสู่มนุษย์เหมือนจะขาดช่วงไป
“มนุษย์มีรากฐาน โลกก็มีเช่นกัน โรคอ่อนแอเป็นเพราะมนุษย์ใช้กำลังถอนต้นไม้โลก รากของต้นไม้โลกนั้นลึกลงไปยังนรกชั้นเก้าสูงขึ้นไปสู่สวรรค์ชั้นฟ้าแต่เมื่อมีมนุษย์ถอนรากของต้นไม้และนำไปยังอีกโลกหนึ่ง โลกจึงเริ่มบอบบาง” อวิ๋นอี่เล่า
คอรัลอึ้งตกใจ เรื่องนี้…นั้นเกี่ยวข้องกับเธอ ถ้าเดาไม่ผิดแล้วก็ ต้นไม้โลกในมือเธอนั้น…ก็เป็นส่วนหนึ่งของต้นไม้โลกที่ถูกนำออกไป
ที่แท้ที่อวิ๋นอี่มองมาที่เธอก็เพื่อบอกให้เธอเก็บอาการเอาไว้
ก่อนหน้านั้นตอนที่คอรัลใกล้จะตาย มีคนไม่มากนักที่รู้ว่าเป็นเพราะหอกกุงเนียร์แตกหัก หลังจากที่เธอได้รับต้นไม้โลกเธอก็ไม่ได้บอกแก่โลกภายนอกว่าเธอฟื้นคืนมาได้อย่างไร ดังนั้นโลกภายนอกจึงไม่รู้ว่าต้นไม้โลกอยู่ในมือของเธอ
แต่…ก่อนที่ต้นไม้โลกจะถูกมอบให้เธอทำไมถึงไปอยู่ในมือของหลี่ว์ซู่ได้
เมื่อเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหลี่ว์ซู่ คอรัลจึงตัดสินใจเงียบต่อไป แต่คอรัลรู้ดีว่าต้นไม้โลกอยู่ในมือเธอ เธอเคยเข้าไปยังโลกที่เอาไว้ปกป้องต้นไม้โลกและสัมผัสถึงพลังของต้นไม้โลก
แต่ละครั้งที่เธอเห็นต้นไม้สูงใหญ่และอ่อนโยนต้นนั้น เธอมักสงสัยต่อเทพนิยายโบราณว่าในอดีตมีเผ่าพันธุ์นับหมื่นอาศัยอยู่บนต้นไม้นี้ร่วมกันอย่างสงบสุข
ใบไม้ใบเดียวของต้นไม้โลกยังมีขนาดใหญ่กว่าตัวคอรัล งั้นเป็นของวิเศษที่แท้จริง
ยิ่งกว่านั้น คอรัลก็เชื่อว่าต้นไม้โลกเคยถูกถอนออกไปเพราะเธอเคยเห็นรากที่แตกหักใต้ต้นไม้โลก และข้างบนยังมีร่องรอยดินเก่าเหลืออยู่
ในตอนนี้หลี่้สียนอีประหลาดใจมาก ที่แท้ความจริงของโลกเป็นเช่นนี้ แต่ยอดฝีมือแบบไหนถึงสามารถถอนรากต้นไม้โลกได้? ถ้าเรื่องนี้เป็นความจริงมันจะเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก!
หลี่เสียนอีคิดอะไรขึ้นได้บางอย่าง มันเป็นฝีมือของราชาทของพวกเขาใช่ไหม ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็ไม่มีใครสามารถขวางเขาได้ถ้าหากเขาจะมาที่โลก!
“ฉันจะเชื่อที่พวกเจ้าพูดว่าเป็นความจริงได้อย่างไร? เรื่องมันเกิดมานานแล้ว! ” หลี่เสียนอีพูด
จากนั้นอวิ๋นอี่ยิ้และหันมองคอรัล คอรัลนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง “มันเป็นความจริงแต่ฉันไม่สามารถพูดว่าฉันรู้ได้อย่างไร”
เพราะมันเกี่ยวกับหลี่ว์ซู่…หลี่เสียนอีเชื่อใจคอรัล ดังนั้นเมื่อเธอเอ่ยปากกินยันเขาจึงเกือบเชื่อทั้งหมด
อวิ๋นอี่ถามด้วยใบหน้านิ่งเฉย “ในตอนนั้นพวกของเราคนหนึ่งอยู่รั้งท้ายเพื่อขวางทาง พวกนายมันใส่ไหมว่าเขาตายแล้ว”
หลี่เสียนอีขมวดคิ้ว “แน่นอน พวกเรา 6 คนร่วมมือกันกำจัดเขา”
“แล้วศพของเขาอยู่ที่ไหน” อวิ๋นอี่ซัก
“มันหายไป” หลี่เสียนอีส่ายหน้า “ไม่ใช่คนของพวกนี้เอาศพไปเหรอ ในตอนที่พวกเรากลับไปหาศพมันก็หายไปแล้วแต่มีเรื่องประหลาดอยู่อย่างหนึ่ง รอยเลือดบนพื้นก็หายไปด้วยมีเรื่องแปลกมากมาย”
“มีคนรู้เรื่องนี้กี่คน” อวิ๋นอี่ถาม
“รวมฉันด้วยทั้งหมดแปดคน” หลี่เสียนอีเชื่อเรื่องที่อวิ๋นอี่พูดหลายอย่างจึงตัดสินใจบอกความลับบางอย่างไป
“คนอื่นตอนนี้อยู่ที่ไหน”
หลี่เสียนอีย้อนความจำสักพัก “เวลามันนานมากแล้ว พวกเขาบางก็ป่วยตาย บ้างก็เกิดอุบัติเหตุ ตอนนี้เหลือแค่ฉันคนเดียว”
“พวกนาย…มั่นใจว่าเขาตายแล้วหรือ” อวิ๋นอี่ขมวดคิ้ว “หรือพวกนายมั่นใจว่าฆ่าเขาในชีวิตจริงตายไปแล้วไม่ใช่ในความฝันของพวกนาย”
ความฝัน! หลี่เสียนอีคิดหนัก
บางครั้งตอนที่ผู้คนหัวเราะคนอื่นและถามว่า นายอยู่ในความฝันหรือ
แต่หลี่เสียนอีรู้ว่าอวิ๋นอี่ไม่ได้หัวเราะเยาะเขา แต่…เธอกำลังยืนยันความจริงกับเขาอย่างจริงจัง!
“เขามีชื่อว่าเจ๋อเมิ่ง” พยัคฆ์จื๋อพูด “เขาถนัดในการสร้างความฝัน สามารถดึงคนที่ยังสติเข้าสู่ความฝันได้ง่ายๆ “
ดีและเลวนั้นสำคัญหรือไม่ คำตอบคือสำคัญ
แต่โลกนี้ใช้ความดีและความเลวมาผูกมัดผู้คน สิ่งที่เรียกว่ามาตรฐานก็คือเครื่องมือที่รับใช้พวกเขาเท่านั้น
เนี่ยถิงและคนอื่นเห็นว่าความสามารถจับวิญญาณของหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ไม่ได้มีอุปสรรคอะไร เธอจับวิญญาณใครล่ะ แอนโทนี่? จอห์นสัน?
พวก…พวกนั้นควรถูกจับไม่ใช่เหรอ จับได้แล้วก็ดี
ยิ่งไปกว่านั้น ยุคพลังจิตมาถึงนานขนาดนี้แล้ว ผู้นำของเครือข่ายฟ้าดินมีการติดต่อกับหลี่ว์ซู่มากบ้างน้อยบ้าง ตอนที่หลี่ว์ซู่ปฏิบัติการอยู่ต่างประเทศ บอกว่าโยวหมิงอวี่เป็นคู่ของเขาก็ได้ ส่วนห่าวจื้อเชาก็เป็นมิตรภาพอันลึกซึ้งที่ได้จากการต่อสู้กับหลี่ว์ซู่
ไปเทียบอะไรกับการจับกุมวิญญาณ มิตรภาพสำคัญกว่าชัดๆ
หลี่ซู่สัมผัสถึงมืออันเล็กๆ อันเย็นเฉียบของหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ที่กลับมาอบอุ่นอีกครั้ง ใช่โลกนี้ยังคงอบอุ่นอยู่จริงๆ
หลี่ว์ซู่เงียบไปสองวินาที เขาต้องการจะบอกบางอย่างกับหัวหน้าบาทหลวงแต่ก็ถูกหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ดึงไว้ เธอมองเขาด้วยใบหน้านิ่งเฉย “นายอย่าเพิ่งพูดอะไร”
[ได้แต้มจากหลี่ว์ซู่ +666!]
แม้ว่าหลี่ว์เสี่ยวอวี๋จะเข้าร่วมเครือข่ายฟ้าดินและได้ต่อสู้ให้กับองค์กรนี่ด้วยแต่ทั้งหมดก็เพื่อหลี่ว์ซู่ ในตอนนี้หลี่ว์เสี่ยวอวี๋รู้สึกว่าเรื่องราวซับซ้อนมากขึ้น
แต่เธอไม่ต้องการที่จะคิดมากเกินไปแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว
เธอมีความปรารถนาอย่างหนึ่งก็คืออยากเป็นราชันฟ้า ตอนนี้ก็สมปรารถนาแล้ว แม่ไม่ได้เป็นเหมือนอย่างที่เธอคาดคิดเอาไว้แต่ก็ทำให้เธอมีความสุขมากเป็นพิเศษ
ในยามคับขันนี้ ทหารขององค์กรอื่นๆ มาประชิดเมือง เราผู้เป็นอิสระต่างหลบหนีกันจ้าละหวั่น เหล่าองค์กรใหญ่ต่างล้มเลิกขัดขวางการกระทำการกระทำของเราผู้บำเพ็ญอิสระเพราะไม่มีประโยชน์อะไรที่ต้องไปสูญเสียพลังโดยไม่จำเป็น
หัวหน้าบาทหลวงไม่พูดอะไรแล้ว เขาอยู่ๆ ก็สัมผัสถึงอันตรายคล้ายกับเนี่ยถิงกำลังจับตาเขาอยู่
ทุกคนต่างรู้ว่าไงเนี่ยถิงไม่ได้ใช้ดาบมานานแล้ว เขาเอาแต่เก็บตัวทำสมาธิ ไม่มีใครรู้ว่าหลังจากเก็บตัวนี้ พลังของจอมดาบอันดับหนึ่งจะน่ากลัวขนาดไหน
แต่หัวหน้าบาทหลวงและนักบุญก็ยังสงสัย พวกเขายังตกใจไม่หายที่เห็นกล่องดำในมือของเนี่ยถิง หรือว่าเนี่ยถิงหาวิธีใช้พลังได้แล้ว
“มีหลายคนขอให้ฉันอย่ามาที่แนวหน้า ในเมื่อใช้พลังไม่ได้ก็นั่งประจำการอยู่กองหลังดีกว่า” เนี่ยถิงพูด “แต่ฉันคิดว่ามันไร้เหตุผลที่ฉันจะมาซ่อนตัวอยู่ขณะที่ทุกคนมีโอกาสเป็นตายอยู่ในแนวหน้า บางทีหลังจากวันนี้ไปตาข่ายฟ้าดินอาจจะไม่มีพลังเสินฉังจิ้งแต่ละข่ายฟ้าดินมีบุคลากรมากมายขาดฉันไปคนหนึ่งไม่เสียหาย”
ได้ยินเท่านี้ทุกคนก็รู้ว่าเนี่ยถิงตัดสินใจแน่วแน่แล้ว สือเสวจิ้นนั่งอ่านกองหนังสืออยู่ในบ้านที่ตรอกหลิวไห่ เมืองหลวงก็หยุดอ่านเพราะรู้สึกสัมผัสอะไรได้บางอย่าง
หลี่ว์ซู่มองเนี่ยถิงอย่าเงียบๆ เขาอยากจะบอกว่าท่านอย่าทำเรื่องที่ทำลายอนาคตของตนเองเลย ทุกคนช่วยกันคิดหาวิธีได้แต่คำถามคืออีกฝ่ายมียอดฝีมือมากขนาดนั้น หลี่ว์ซู่พูดอะไรก็แก้ปัญหาตอนนี้ไม่ได้
แล้วทุกคนก็รู้ว่าถ้าเนี่ยถิงตัดสินใจแล้ว ก็ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนได้
พูดเสร็จเนี่ยถิงก็บีบกล่องดำในมือจนแหลกละเอียด ดาบยาวสีดำที่อยู่ข้างในก็ลอยออกมาและด้ามดาบก็ค่อยๆ ตกลงสู่ฝ่ามือของเนี่ยถิง
มือขวาของเขาถือดาบขึ้นมาแล้วกรีดลงที่กลางฝ่ามือซ้าย มีดนั้นกรีดลงเป็นแผลลึกแต่ไม่มีเลือดไหลออกมาแต่เป็นเส้นเลือดสีดำที่ไหลไปทั่วร่างของเนี่ยถิง ในพริบตานั้นใบหน้าอันหล่อเหลาของเนี่ยถิงก็ถูกปกคลุมไปด้วยเส้นสีดำอันลึกลับ
ในตอนนั้นหลี่ว์ซู่สัมผัสถึงปราณของเนี่ยถิงที่เบาลงอย่างรวดเร็ว ลดจากเสินฉังจิ้งสู่ระดับ A! เหมือนกับดวงดาวที่ตกลงสู่ท้องฟ้า!
มีดนี้แทงลึกเข้าไปสู่จิตวิญญาณแต่เนี่ยถิงกลับมีสีหน้านิ่งเฉย!
หลี่ว์ซู่คิดว่าดาบนี้น่าอัศจรรย์จริงๆ มันไม่ได้เอาไว้ใช้ฟันตัวเอง ถ้าดาบนี้ฟันใส่ร่างศัตรูจะถูกทำลายรากฐานพลังลงอย่างแน่นอนมันคืออาวุธสังหารชั้นยอดของโลกทีเดียว!
แต่เนี่ยถิงพลิกแพลงวิธีนี้มาใช้ลดพลังของตัวเอง!
เหล่าทหารในเกราะทองแดงทุกคนต่างโกรธแค้น ถ้าไม่ใช่องค์กรใหญ่พวกนี้บุกรุกเข้ามา เนี่ยถิงคงไม่เลือกใช้วิธีเช่นนี้!
แล้วเนี่ยถิงพูดต่อว่า “วันนี้ข้าเนี่ยถิงทำลายรากฐานพลังตนเอง จับดวงวิญญาณระดับ A มาเล่นเพื่อราชันฟ้าที่สิบเอ็ดของฉัน เพื่อให้คนทั่วโลกรู้ซึ้งถึงกฎข้อหนึ่ง บุกรุกดินแดนของข้า ตายสถานเดียว”
เมื่อพูดจบ เขาจึงฟันดาบสีดำลง พลังดาบแหวกอากาศเข้าใส่หัวหน้าบาทหลวงทันที ความมืดมิดที่ทำให้ฟ้าดินยังดำมืดลง
หัวหน้าบาทหลวงห่างจากเนี่ยถิงอยู่หลายร้อยเมตรแต่กลับรู้สึกว่าหลบด่านนี้ไม่พ้นแน่นอน
พลังดาบนี้เป็นเสมือนกุญแจที่เปิดศึกสงครามครั้งนี้ นักบุญลงมือโจมตีในทันทีและยอดฝีมือจากองค์กรใหญ่ต่างๆ ก็เริ่มบุกโจมตีเมืองพร้อมกันทุกทาง
ยอดฝีมือผู้มีพลังแต่ละคนต่างบุกโจมตีใส่กำแพงเมืองราวกับเป็นตั๊กแตน วันนี้จะต้องถูกบันทึกลงในประวัติศาสตร์โลกการบำเพ็ญแน่นอน
…
ห่างออกไปห้ากิโลเมตร มีเงาร่างของคนคนหนึ่งลอยผ่านไปบนท้องฟ้าแต่ทันใดนั้นก็ถูกคนสองคนขวางทางเอาไว้
หลี่เสียนอีหยุดและมองดูอวิ๋นอี่และพยัคฆ์จื๋อตรงหน้าอย่างนิ่งเฉย “รอฉันมานานแล้วสิ”
ทันใดนั้นก็มีสายฟ้าลงมาจากฟ้าที่อยู่สูงขึ้นไปราวกับเป็นหอกยาวสายฟ้า หลี่เสียนอียิ้ม “ฉันก็รอพวกนายมานานแล้ว”
อวิ๋นอี่และพยัคฆ์จื๋อต่างถอยหลังออกไปเพื่อหลบหอกกุงเนียร์ที่มุ่งโจมตีเข้ามาและเห็นคอรัลลอยลงมาอยู่ข้างๆ หลี่เสียนอีด้วยใบหน้าเย็นชา
“ทำไมเธอมาที่นี่ได้” พยัคฆ์จื๋อขมวดคิ้ว พวกเขาไม่อยากต่อสู้กับคอรัล
คอรัลมาที่ภูเขาจั่งไป๋ตั้งนานแล้วแต่ไม่ได้ลงมือเพราะเมื่อเดือนก่อนที่หลี่ว์ซู่ออกจากเมืองลั่วเฉิง เขามาหาเธอ
ตอนนั้นคอรัลเตรียมตัวกลับบ้านแต่ระหว่างทางเธอเห็นหลี่ว์ซู่ที่รอเธออยู่ หลี่ว์ซู่พูดเพียงประโยคเดียวว่า “ฉันไม่รู้ว่าเธอจำเรื่องราวเมื่อก่อนได้หรือไม่ ฉันก็ไม่รู้ว่าฉันจะกลับมาได้ไหมแต่ฉันมีเรื่องไหว้วานเธอเรื่องหนึ่ง ช่วยปกป้องหลี่เสียนอีด้วย”
นับตั้งแต่ตอนนั้นหลี่ว์ซู่คิดว่าความแค้นของปรมาจารย์หุ่นเชิดและมูลนิธิต้องมาตกที่ตัวหลี่แต่หลี่เสี่ยนอีคนเดียวสู้ทั้งสองคนไม่ไหวอยู่แล้ว เรื่องนี้เคยเกิดขึ้นตอนที่เนี่ยถิงเข้าสู่พลังเสินฉังจิ้น หลี่ว์ซู่ไม่อยากหลี่เสียนอีเกิดเรื่อง หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็ไม่อยากให้เกิดเช่นกัน
ดังนั้นหลี่ว์ซู่ถึงไปหาคอรัล
ก่อนที่เขาไปหาคอรัลก็ยังกังวลว่าคอรัลที่สูญเสียความทรงจำจะไม่ยอมตอบตกลง แต่อีกฝ่ายแค่เห็นห่วงที่เปิดกระป๋องบนนิ้วหลี่ว์ซู่ก็ตกปากรับคำทันที
ท่าทีคอรัลทำเอาหลี่ว์ซู่ไม่เข้าใจ ก็เหมือนกับว่าไม่ว่าอีกฝ่ายจะสูญเสียความทรงจำหรือไม่ถ้าหลี่ว์ซู่เอ่ยปากขออีกฝ่ายก็จะตอบตกลง
ตอนนี้อวิ๋นอี่พูดด้วยเสียงราบเรียบ “วันนี้มาขวางนายไม่ได้มาเพื่อฆ่านายแต่มาเพื่อยืนยันเรื่องในอดีตกับนาย! “
พยัคฆ์จื๋อมองที่เนินเหลาหู่เป้ยและขมวดคิ้วให้อวิ๋นอี่ “สรุปสั้นๆ ก็คือ ฉันรู้สึกว่าโลกนี้กำลังจะพังทลายลง การต่อสู้ของระดับ A เกิดขึ้นถี่เกินไป มันอันตราย! “
หลี่เสียนอีขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ถามมา ถ้าฉันตอบได้ก็จะตอบ”
“ในปีนั้นใครเป็นคนบอกที่อยู่ของพวกเราให้กับมูลนิธิ”
หลี่ว์ซู่มองไปยังจุดที่ทำให้เขาได้รับแต้ม จากสิ่งนี้เองทำให้เขาได้รู้ว่าชื่อของหัวหน้าบาทหลวงก็คือ คาร์มิลโล บอร์เกส และชื่อของนักบุญก็คือ คิง การ์เซีย…
บางครั้งเราก็ปฏิเสธเรื่องความแตกต่างทางวัฒนธรรมที่หยั่งรากลึกอยู่ในภาษาต่างๆ ไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น คำว่า ‘คิง’ ในภาษาอังกฤษ ให้ความรู้สึกถึงบุรุษที่ยอดเยี่ยมและทรงพลัง ในขณะที่เมื่อแปลเป็นภาษาจีน คำว่า ‘จิน’ กลับให้ความรู้สึกเรียบง่ายไม่ได้สูงส่งอะไร…
ก่อนหน้านี้หลี่ว์ซู่ไม่มีโอกาสได้รู้ชื่อของพวกเขา เพราะแต้มอารมณ์จากคนเหล่านี้มักจะมาพร้อมกับของคนอื่นๆ อีกมากมาย จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะแยกได้ว่าชื่อใดเป็นของพวกเขา แต่ในที่สุดตอนนี้หลี่ว์ซู่ก็สามารถพุ่งเป้าไปที่สองคนนี้ได้แล้ว…
พอได้รู้ชื่อของนักบุญ หลี่ว์ซู่ถึงได้เข้าใจว่าจริงๆ แล้วเขาได้แต้มอารมณ์จากนักบุญมาไม่น้อยเลย
แต้มจำนวนนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้ามาหลังจากที่เขาฆ่าผู้มีพลังระดับ B เจ็ดคนในป่า หลังการต่อสู้จบลง เขาถึงขนาดได้รับชื่อเสียงในฐานะชายที่แข็งแกร่งที่สุดในผู้มีพลังระดับ A เพราะคนในองค์กรขนาดใหญ่เริ่มระแวดระวังการกระทำของเขามากขึ้น ดังนั้นจึงเลี่ยงไม่ได้หากคนจากฝ่ายตรงข้ามจะเริ่มไม่พอใจในตัวเขา
ตอนนี้หลี่ว์ซู่ได้จุดประกายดาวดวงที่สี่แล้ว ซึ่งเหลืออีกเพียงหนึ่งในสามเท่านั้นเขาก็จะสามารถจุดประกายดาวดวงที่ห้าได้ นอกจากนี้จำนวนกระบี่เฉวียอินก็เพิ่มขึ้นเป็น 576 เส้นแล้วด้วย!
แต่นั่นก็ไม่ง่ายเลย เพราะดาวดวงที่ห้าต้องการแต้มอารมณ์มากถึงแปดล้านแต้ม
หากเขาขยันฝึกฝนให้มากขึ้น จำนวนกระบี่เฉวียอินของเขาก็จะมีมากกว่ากระบี่แสงอย่างแน่นอน
เมื่อถึงเวลานั้น เขาก็จะสามารถนิยามคำว่า ‘ความสำเร็จ’ ในความหมายใหม่ได้ ในอดีตคนที่ประสบความสำเร็จคือคนที่มีอาชีพมั่นคง มีครอบครัวที่มีความสุข มีเงินใช้มากมาย และมีชีวิตที่เติมเต็ม
แต่ความสำเร็จของหลี่ว์ซู่จะต้องน่าประทับใจกว่านั้น ด้วยกระบี่เฉวียอินในมือซ้ายและกระบี่แสงในมือขวา เขาจะสามารถเอาชนะกลุ่มแก่นความเชื่อและกลุ่มฟีนิกซ์ได้อย่างง่ายดายและกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก
การมาถึงของหลี่ว์ซู่ เป็นผลให้ความตึงเครียดบนกำแพงลดลงในทันที
นอกจากนี้ คำถามที่หลี่ว์ซู่เพิ่งจะถามไป ก็ทำให้เหล่าทหารในชุดเกราะทองแดงตระหนักได้ว่านักบุญและหัวหน้าบาทหลวงจงใจรักษาระยะห่างจากเนี่ยถิงทั้งๆ ที่ทำท่าทางหยิ่งยโสแบบนั้น…
ข้อสังเกตนี้ช่วยยืนยันกับพวกเขาได้ว่าจริงๆ แล้ว ผู้มีพลังระดับ A สามคนนั้นก็แอบกลัวเนี่ยถิงอยู่เช่นกัน ไม่เช่นนั้นก็คงไม่ถอยไปยืนกันไกลถึงขนาดนั้น…
ในขณะเดียวกัน หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ยืนอยู่ข่างๆ หลี่ว์ซู่โดยไม่พูดอะไรเลย เธอกำลังฟื้นฟูพลังเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้อีกครั้ง
ก่อนหน้านี้ที่หลี่ว์ซู่แบกเธอขึ้นหลังไม่ใช่เพราะว่าเธออ่อนแอเกินกว่าจะวิ่งได้ด้วยตัวเอง แต่เธอแค่ไม่อยากพลาดโอกาสนี้
ในตอนนี้เอง หัวหน้าบาทหลวงหัวเราะขึ้นมา “อย่าไร้สาระไปหน่อยเลย ฉันกลัวว่าพวกนายจะไม่รู้ตัว… ว่าเด็กสาวผู้กล้าหาญที่พวกนายยกย่องน่ะ จริงๆ แล้วคือผู้จับวิญญาณชั่วร้าย ถ้าฉันเดาไม่ผิด หนึ่งในวิญญาณที่อยู่ในความควบคุมของเธอก็คือแอนโทนี ผู้มีพลังธาตุดินระดับ B ซึ่งนั่นก็ทำให้การคาดเดาวิญญาณอีกหนึ่งดวงค่อนข้างง่าย คงจะเป็นจอห์นสันผู้มีพลังเสกสรรสินะ เธอไม่ใช่ผู้มีพลังสองสาย ข้อมูลของพวกนายทั้งหมดเป็นของปลอม ฉันเห็นด้วยตาตัวเองเดี๋ยวนี้เลยว่ามีเงาสีดำสามเงาแวบผ่านไปตอนที่เธอปรากฏตัวในถ้ำลึก นั่นคงจะเป็นวิญญาณที่เธอจับมาอย่างแน่นอน”
เมื่อพูดจบ หัวหน้าบาทหลวงก็โยนซองซองหนึ่งไปให้เนี่ยถิง เขาหน้าตาบึ้งตึงขึ้นมาทันทีที่ดึงรูปถ่ายออกมาจากแฟ้ม
คาดเดาจากสีหน้าของเขาแล้ว…สิ่งที่หัวหน้าบาทหลวงพูดคงจะเป็นเรื่องจริง!
ในช่วงแรกที่ผู้จับวิญญาณเพิ่งจะเผยตัวต่อสาธารณชน คนเหล่านี้ถูกมองว่าเป็นผู้ใช้คาถาที่ชั่วร้ายอย่างมาก เครือข่ายฟ้าดินบางคนถึงขั้นเลียนแบบการกระทำเหล่านี้เมื่อพวกเขาไม่มีความแน่ใจในสถานการณ์
ความเห็นของสาธารณชนที่ไม่น่าฟังนี้เอง ที่ทำให้หลี่ว์ซู่ตัดสินใจที่จะไม่พูดความจริง
สีหน้าของหลี่ว์ซู่เปลี่ยนเป็นเย็นชา “คุณก็เหมือนกัน”
“ไม่เลย ไม่ใช่เลย มีใครบางคนให้สิ่งนี้กับฉัน” หัวหน้าบาทหลวงส่ายหัวและพูดต่อ “ฉันพูดถูกหรือเปล่า ฉันพนันเลยว่าไม่มีใครในพวกนายคิดว่าจะเป็นแบบนี้ใช่ไหม เด็กสาวที่ดูใสซื่อคนนี้เป็นแม่มดชั่วร้ายที่คอยจับวิญญาณ! พวกนายไม่กลัวเหรอว่าเมื่อพวกนายตาย วิญญาณของพวกนายอาจจะถูกเธอจับไป”
หลี่ว์ซู่หัวเราะอย่างเย็นชา “บอกผมสิว่าใครให้มันกับคุณ แล้วผมอาจจะมอยความตายที่ไม่ทรมานให้”
หัวหน้าบาทหลวงหัวเราะเสียงแหลม ราวกับว่าเขาเพิ่งได้ยินเรื่องที่ตลกที่สุด “นายน่ะเหรอ อยากจะฆ่าฉัน?! นายควรจะกังวลเรื่องของตัวเองและคิดหาทางเอาตัวรอดจากเครือข่ายฟ้าดินดีกว่า เพราะถ้าน้องสาวของนายเป็นแม่มด แล้วตัวนายเองล่ะเป็นอะไรกันแน่”
หลี่ว์ซู่พิจารณาเหล่าทหารในชุดเกราะทองแดงอย่างรวดเร็ว ทุกคนดูเหมือนจมอยู่ในความคิดของตัวเอง หลี่ว์เสียวอวี๋จับมือหลี่ว์ซู่แน่นทันที อุณหภูมิของมือเธอก็ดูเหมือนจะเย็นลงเรื่อยๆ เช่นกัน แต่คนทั้งคู่ก็ยังคงไม่เคลื่อนไหวใดๆ
หลี่ว์ซู่กำลังหัวหมุน พวกเขาควรจะทำอย่างไร เขารู้สึกถึงความมุ่งร้ายที่ลอยอยู่ในอากาศ หรือพวกเขาไม่ควรจะมีเพื่อนจริงๆ
ในขณะเดียวกันนี้เอง กองกำลังฟีนิกซ์ก็ได้มาถึงที่หน้าป้อมปราการ พร้อมๆ กับกลุ่มแก่นความเชื่อ ความเงียบปกคลุมไปทั่วทั้งสนามรบขณะที่ทุกคนกำลังรอว่าเครือข่ายฟ้าดินจะมีปฏิกิริยาอย่างไรต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันนี้
จริงๆ แล้ว พวกเขาดูเหมือนผู้ชมที่อยากรู้อยากเห็นมากกว่า
ในตอนนี้ หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ดูราวกับว่าเป็นศัตรูของคนทั้งโลก
หัวหน้าบาทหลวงยิ้ม “ฉันพูดถูกใช่ไหม ถ้านายจัดการไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นส่งเธอมาให้พวกเราดีไหม”
ฝูงชนหันไปมองหลี่ว์ซู่ แต่เขาก็ไม่ได้ตอบอะไรหัวหน้าบาทหลวงกลับไป เขามองไปที่รองเท้าผ้าใบสีขาวของหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ ที่ซึ่งบัดนี้เปรอะเปื้อนและเชือกรองเท้าหลุดลุ่ย จากนั้นเขาจึงคุกเข่าลงและผู้เชือกให้เธออย่างอ่อนโยน หลี่ว์ซู่ยิ้ม “ก่อนจะเริ่มการฆ่า ต้องผูกเชือกรองเท้าให้เรียบร้อยก่อน”
ไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะแสดงปฏิกิริยาเช่นนี้
สายตาของหลี่ว์เสี่ยวอวี๋จับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของชายหนุ่ม สีหน้าของเขาดูจริงจังและเคร่งขรึม ราวกับว่าการผูกเชือกรองเท้าให้เธอคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในโลก
ภาพตรงหน้าชวนให้นึกถึงค่ำคืนหนึ่งบนดาดฟ้าที่เธอถามหลี่ว์ซู่ว่าเขาจะทำอย่างไร หากคนทั้งโลกต้องการฆ่าเธอ
เธอยังจำคำตอบของเขาได้ดี “ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะสร้างความหายนะให้โลกใบนี้”
ในตอนนี้เฉินจู่อานและเฉิงชิวเฉี่ยวเดินขึ้นมายืนข้างๆ พวกเขา พวกเขามองไปรอบๆ อย่างระแวดระวังและพูดว่า “ปล่อยพวกเราไป ถ้าพวกคุณยอมรับในสิ่งที่เธอทำไม่ได้ พวกผมก็ไม่อยากสู้กับเพื่อนตัวเองเหมือนกัน”
ทันใดนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังขึ้นท่ามกลางฝูงชน เป็นเสียงของห่าวจื้อเชา “ไม่ต้องกังวล พวกเธอไม่ใช่เพื่อนแค่สองคนที่หลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋มีหรอก พวกเราต้องฟังการตัดสินใจของราชันฟ้าเนี่ย”
เนี่ยถิงดึงกล่องสีดำออกมาจากเสื้อคลุมของเขา เขาเหลือบมองหัวหน้าบาทหลวงและถามหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ด้วยรอยยิ้ม “เธอจับวิญญาณของผู้มีพลังระดับ A ได้รึเปล่า”
หัวหน้าบาทหลวงถอยไปไกลกว่าเดิมถึง 500 เมตรทันทีราวกับถูกไฟช็อต เขาตะโกนอย่างหวาดกลัว “ทำไมคุณถึงจะยอมหันหลังให้ทั้งโลก เพียงเพื่อปกป้องเธอ!”
“การจับวิญญาณเป็นเรื่องใหญ่ตรงไหน เลิกเอาคุณธรรมของนายมาเปรียบเทียบกับวิธีการฝึกบำเพ็ญเหมือนเด็กๆ เสียที! ความยุติธรรมที่แท้จริง…ไม่ได้ตัดสินด้วยวิธีการ” เนี่ยถิงกล่าวอย่างใจเย็น นิ้วมือของเขาไม่ได้ออกห่างจากกล่องสีดำเลย “จากวันนี้เป็นต้นไป หลี่ว์เสี่ยวอวี๋คือราชันฟ้าคนที่สิบเอ็ดของเครือข่ายฟ้าดิน พวกเรากลุ่มเครือข่ายฟ้าดิน ยินดีที่จะหันหลังให้คนทั้งโลกเพื่อเธอ”
ด้วยพลังที่เพิ่มขึ้นของแต่ละคน หลายคนจึงเริ่มเพ้อฝันไปว่าพวกเขาเป็นร่างอวตารของเหล่าเทพ แต่สุดท้ายแล้วตัวละครในตำนานก็อาจจะไม่ได้มีพลังมากเท่าที่เขียนบรรยายเอาไว้ แต่เมื่อมังกรที่ควรจะมีตัวตนอยู่แค่ในตำนานเรื่องเล่า มาปรากฏตัวอยู่ในสนามรบ ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ
นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นสิ่งมีชีวิตศักดิ์สิทธิ์ลอยอยู่เหนือก้อนเมฆ สูงส่งงดงามมาก!
มังกรดำพุ่งตรงเข้าหานักบุญและเฉินไป่หลี่ ราวกับว่ามันทนรอที่จะเข้าร่วมการต่อสู้ระหว่างผู้มีพลังระดับ A ไม่ไหวแล้ว!
โดยไม่รู้ที่มาที่ไปของมังกร เฟิงเยี่ยหมิงและเฟิงอวิ๋นลู่รู้สึกงงงวย “นี่คือปรมาจารย์ผู้มีพลังเสกสรรที่สามารถเสกโทเทมและสิ่งมีชีวิตในตำนานงั้นเหรอ?”
มีเพียงหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ที่รู้ความจริง เธอมองขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า ฉากนี้ชวนให้นึกถึงการต่อสู้ในซากลบนัวร์ ชั่วขณะก่อนหน้านี้ หลี่ว์เสี่ยวอวี๋คิดว่าเธอกำลังต่อสู้อย่างโดดเดี่ยว แต่จากนั้นระลอกทองแดงก็มาช่วยเธอ
เมื่อมีเหล่าระลอกทองแดงยืนขวางศัตรูที่อยู่ตรงหน้า ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นในใจเธอ หลี่ว์ซู่จะต้องใจสลายถ้าเธอตาย หลี่ว์เสี่ยวอวี๋คิด
ตอนนี้หลี่ว์เสี่ยวอวี๋รู้สึกว่าพลังกลับมาเต็มที่แล้ว เธอถูกล้อมรอบด้วยศัตรูมากมากมาย ความคิดเพียงอย่างเดียวในหัวเธอตอนนี้ก็คือต้องฆ่าศัตรูให้ได้มากกว่านี้ ฆ่าจนกว่าพลังหยดสุดท้ายของเธอจะหมดไป
เธอรู้ว่าไม่มีหนทางให้หนีอีกต่อไป เธอจะถูกระเบิดอีกครั้งแม้ว่าเธอจะหาที่หลบใต้ดิน ดังนั้นเธอจึงควรทำอะไรสักอย่างมากกว่าการยอมตายอย่างน่าอนาถ
แต่อย่างไรก็ตาม เธอรู้ว่าถ้าเธอตาย หลี่ว์ซู่จะต้องเศร้าโศกและร้องไห้ขณะที่กอดร่างไร้ชีวิตเธอไว้ในอ้อมแขน และสุดท้ายแล้วหลี่ว์ซู่ก็จะถูกทิ้งให้อยู่ในโลกใบนี้อย่างเดียวดาย จู่ๆ หัวใจของเธอก็เต้นรัวด้วยความเจ็บปวด เธอต้องการมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อหลี่ว์ซู่ นี่ช่างเป็นความคิดที่แปลกประหลาด
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ยิ้มให้กับท้องฟ้า ในตอนที่ฮุ่นตุ้นปรากฏตัว เธอก็รู้ว่าเธอจะมีชีวิตอยู่ต่อไป
เธอแน่ใจว่าเธอจะทำได้ ถึงแม้จะไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมก็ตาม
มังกรดำยังคงมุ่งหน้าตรงเข้าใส่เป้าหมาย แต่มีร่างหนึ่งกระโดดลงมาจากหลังของมัน แล้วพุ่งเข้าใส่ฝูงชนของสมาชิกกลุ่มฟีนิกซ์
ร่างที่กระโดดลงมานั้นให้ความรู้สึกถึงความมุ่งมั่นและความแข็งแกร่ง!
การมาถึงของเขาช่วยเพิ่มขวัญกำลังใจให้ระลอกทองแดงได้ในทันที แต่เขาคนเดียวจะสามารถเอาชนะศัตรูหลายพันคนได้อย่างไร
มีตำนานเล่าว่าผู้กล้าหนึ่งคนสามารถเอาชนะกองกำลังทหารหลายแสนได้อย่างง่ายดาย
แต่นั่นก็เป็นเพียงตำนาน!
สายลมพัดอย่างรุนแรง แต่ก็ไม่อาจสั่นคลอนร่างนั้นได้ จากบนท้องฟ้า หลี่ว์ซู่ก้มลงมองหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ และในวินาทีที่ดวงตาสองคู่สบกัน รอยยิ้มก็เบ่งบานบนแก้มของพวกเขา มันเป็นเหมือนคำสัญญาที่ว่าคนทั้งคู่จะยืนหยัดต่อสู้กับโลกใบนี้ก็เพียงเพื่อให้ได้อยู่เคียงข้างกัน
หลี่ว์ซู่หัวเราะ ”ถ้าหากว่าฉัน หลี่ว์ซู่คนนี้ไม่ได้เกิดมา วิถีแห่งกระบี่ก็คงจะมืดมนเหมือนค่ำคืนอันยาวนาน เสี่ยวอวี๋ อะไรคือสิ่งที่ตามมาหลังจาก ‘เพื่อนทางไกลมาเยี่ยม’
การร่วมมือกันของทั้งสองคนเป็นไปอย่างราบรื่น หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ยกมือขึ้น และใช้พลังของจอห์นสันจนหยดสุดท้ายเพื่อสร้างกระบี่ยาวกว่าสองพันเล่มบนท้องฟ้า และในขณะเดียวกัน ต้นแบบกระบี่มากกว่าสองพันเล่มก็เริ่มส่งเสียงดังกึกก้องอยู่ในจุดชี่ไห่ของหลี่ว์ซู่ ในวินาทีต่อมากระบี่แสงแหวกผ่านอากาศและหลอมรวมเข้ากับกระบี่ยาว
ในทันใดนั้นเอง ราวกับว่าพายุแห่งการลงทัณฑ์ก็ถูกส่งลงมาจากสวรรค์!
“ผู้รุกรานจะต้องตายไม่ว่าจะหนีไปไกลแค่ไหน” หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ตอบด้วยรอยยิ้ม
“ถูกต้อง” หลี่ว์ซู่ตอบด้วยใบหน้าน่ากลัว “พวกมันจะต้องตาย!”
ผู้คนจะต้องจดจำวันนี้ วันที่ราชันฟ้าหลี่ว์ลงจากท้องฟ้ามาสังหารศัตรูนับพันพร้อมห่าฝนกระบี่!
เฉินจู่อานยืนมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างเงียบๆ ในตอนนี้ดูเหมือนหลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋เป็นเพียงสองคนบนโลก บนสนามรบที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้ หลี่ว์เสี่ยวอวี๋เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นของสงคราม ในขณะที่หลี่ว์ซู่คือจุดจบ ข้างๆ พวกเขา พื้นที่ว่างระหว่างท้องฟ้าและผืนดินเต็มไปด้วยฝนกระบี่
จากนั้นกระบี่ยาวก็พุ่งเข้าใส่กลุ่มฟีนิกซ์เหมือนฝนดาวตกด้วยความเร็วที่เร็วกว่าเสียง ไม่ว่าอย่างไรทุกสิ่งคือกระบี่ก็ไม่อาจเทียบชั้นกับการมีกระบี่ของจริงนับหมื่นในมือ และนี่เองคือไพ่ตายของหลี่ว์ซู่ในการต่อสู้ครั้งนี้!
สมาชิกของกลุ่มฟีนิกซ์จำนวนนับไม่ถ้วนถูกกระบี่ยาวเสียบทะลุจนตาย และเพราะเงาของกระบี่ พื้นดินทั้งหมดจึงถูกปกคลุมด้วยความมืดเนื่องจากกระบี่เหล่านั้นบดบังแสงอาทิตย์
ในเวลาชั่วพริบตา กระบี่แสงปลิดชีพคนไปหลายพันคน!
ผู้คนที่ยืนอยู่บนป้อมปราการมองดูการสังหารเบื้องหน้าด้วยความเงียบ ไม่มีใครคิดว่าการออกโรงครั้งแรกของหลี่ว์ซู่จะร้ายแรงถึงชีวิตแบบนี้!
จนถึงตอนนี้เองที่หลี่ว์ซู่ลงมาถึงพื้นดิน และผลกระทบอันยิ่งใหญ่จากการลงมาถึงพื้นของเขาก็ส่งให้เกิดม่านฝุ่นขนาดใหญ่ฟุ้งขึ้นรอบๆ ตัวเขา
ทุกคนรอให้ฝุ่นจางลง พวกเขาสงสัยว่าข้างในนั้นเกิดอะไรขึ้น ฝนกระบี่ช่วยสร้างขวัญกำลังใจให้เหล่าทหารในชุดเกราะทองแดงได้เป็นอย่างดี พวกเขายังหวังว่าตนเองจะสามารถจัดการศัตรูนับพันได้โดยการตวัดกระบี่เพียงครั้งเดียวเช่นกัน!
แต่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่นี้ไม่เคยมีมาก่อนแม้แต่ในหมู่ผู้มีพลังระดับ A หลี่ว์ซู่จะต้องได้รับการยกย่องให้เป็นผู้กล้าในการต่อสู้ครั้งนี้อย่างแน่นอน ด้วยกระบี่ยาวในมือแต่ละข้าง ทหารในชุดเกราะทองแดงรอคอยอย่างอดทนให้หลี่ว์ซู่ปรากฏตัว เขาคือผู้ช่วยให้รอด และเขาจะช่วยกำจัดศัตรูที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาทั้งหมด!
แต่อย่างไรก็ตาม ทุกคนต้องรู้สึกตกตะลึงเมื่อหลี่ว์ซู่พุ่งออกมาจากม่านฝุ่นพร้อมกับหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ที่อยู่บนหลัง เขาวิ่งผ่านเฟิงเยี่ยหมิง เฟิงอวิ๋นลู่ และทหารในชุดเกราะทองแดงโดยไม่แม้แต่จะหยุด
นั่นทำให้พวกเขาสับสน จากนั้นหลี่วซู่ก็หันมาหาพวกเขาพร้อมกับตะโกนว่า “พวกคุณกำลังรออะไรอยู่ วิ่งสิ!”
ทุกคนรู้สึกพูดไม่ออก
ทำไมจู่ๆ เรื่องถึงพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือแบบนี้! ราชันฟ้าคนที่เก้าจะช่วยรักษาภาพลักษณ์สุดเท่ไว้ให้นานกว่านี้อีกสักหน่อยไม่ได้เลยหรือ
จริงๆ แล้วหลี่ว์ซู่ก็อยากจะทำแบบนั้น แต่เขาเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าดี ตอนนี้กระบี่แสงของเขาหมดแล้ว เขาไม่สามารถสร้างการโจมตีได้อีก!
ตอนนี้เขาฆ่าสมาชิกกลุ่มฟีนิกซ์ไปได้มากกว่าหนึ่งพันคนแล้ว แต่เครือข่ายฟ้าดินก็ยังคงมีกำลังคนน้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นหากไม่รีบหนีตอนนี้ ก็อาจจะไม่มีโอกาสอื่นอีก!
ในขณะเดียวกันนี้เอง กลุ่มฟีนิกซ์กำลังระแวดระวังว่าอาจจะมีคลื่นกระบี่พุ่งออกมาจากม่านฝุ่นที่หนาแน่นนั้น
แต่เมื่อฝุ่นจางลง พวกเขาถึงได้รู้ว่าที่จริงแล้วหลี่ว์ซู่พร้อมด้วยเหล่าระลอกทองแดงที่ตามไปด้านหลัง ได้ไปถึงที่กำแพงป้อมปราการแล้ว!
นี่มัน…พวกเขาคิดว่าหลี่ว์ซู่จะสู้ให้นานกว่านี้!
…
ในอีกด้านหนึ่ง เฉินไป่หลี่ที่ได้รับความช่วยเหลือจากฮุ่นตุ้น ก็กลายเป็นถือไพ่เหนือกว่านักบุญไปแล้วในตอนนี้ แต่ฟรานเชสโกและหัวหน้าบาทหลวงกลับมาถึงก่อนที่เฉินไป่หลี่และฮุ่นตุ้นจะสร้างทีมที่แข็งแกร่งได้
ตอนนี้เองที่หลี่ว์ซู่ตะโกนบอกและเร่งให้ชายชรารีบออกมาจากสนามรบในทันที
แต่ในระหว่างที่เฉินไป่หลี่กำลังเร่งถอยกลับไป นักบุญและหัวหน้าบาทหลวงก็ตามมาด้านหลังอย่างกระชั้นชิด ท่าทางดูเหมือนตั้งใจว่าจะต้องฆ่าเฉินไป่หลี่ให้ได้!
การต่อสู้ของพวกเขาขยับเข้าใกล้กับป้อมปราการมากขึ้นเรื่อยๆ ฮุ่นตุ้นร้องคำรามอยู่บนฟ้า เหมือนว่ามันกำลังก่นด่าด้วยความโกรธ…
ในตอนที่พวกเขากำลังเกือบจะเข้าไปในป้อมปราการ นักบุญและหัวหน้าบาทหลวงก็บินกลับไปและถอนตัวจากการต่อสู้ ในอีกด้านหนึ่ง เนี่ยถิงค่อยๆ ก้าวขึ้นไปบนกำแพง ตรึงนักบุญ หัวหน้าบาทหลวง และ ฟรานเชสโกไว้ด้วยการจ้องมอง
เขาไม่ได้มีท่าทีคุกคามแต่อย่างใด การกระทำง่ายๆ เช่นการเดินไปบนกำแพงก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ศัตรูล่าถอย
หัวหน้าบาทหลวงหัวเราะ “ท่าท่างสูงส่งยิ่งใหญ่เหลือเกิน! คุณจะโจมตีพวกเราเพราะพวกเราทำลายประเทศของคุณหรือเปล่า แต่ผมคิดว่าคุณคงไม่ทำ!”
เนี่ยถิงมองเขาและขู่ว่า “ไปซะ”
นักบุญจ้องเนี่ยถิงกลับไปในขณะที่ยังรักษาระยะห่าง เขาท้าทายเนี่ยถิงด้วยการถากถางว่า “การต่อสู้ระหว่างเราเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และผมก็มั่นใจว่าคุณคงไม่ยอมวิ่งหนีแน่ คุณเลี่ยงสงครามครั้งนี้ไม่ได้ และคุณก็จะไม่ยอมทำลายโลกใบนี้เช่นกัน”
พวกเขาทั้งสามคนพนันเลยว่าเนี่ยถิงจะไม่ลงมือทำอะไรทั้งนั้น ช่างองอาจเสียจริง!
ในขณะเดียวกัน หลี่ว์ซู่เพิ่งจะปีนขึ้นไปถึงบนกำแพง เขามองไปที่นักบุญและหัวหน้าบาทหลวงซึ่งถอยออกไปไกลมาก เขาถามด้วยความสงสัยว่า “ทำไมถึงถอยไปยืนกันไกลขนาดนั้นล่ะ”
[ได้แต้มจากคาร์มิลโล บอร์เกส +666!]
[ได้แต้มจากคิงการ์เซีย +666!]
[ได้แต้มจาก…]
สำหรับเครือข่ายฟ้าดินแล้ว การช่วยหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาต้องคิดให้มากมาย เพราะอย่างไรเธอก็เป็นเพียงแค่เด็กสาวธรรมดาคนหนึ่ง เธอจะต้องได้รับความช่วยเหลือ เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงผลได้ผลเสียใดๆ
เฟิงเยี่ยหมิงและเฟิงอวิ๋นลู่แต่ละคนนำทหารในชุดเกราะทองแดงสองพันนายเพื่อไปช่วยเสี่ยวอวี๋ แต่พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับสมาชิกของกลุ่มฟีนิกซ์หลายพันนาย ทุกคนๆ ดูท่าทางค่อนข้างมั่นใจ ตราบเท่าที่พวกเขาสามารถช่วยเธอได้อย่างรวดเร็วและกลับไปที่ป้อมปราการ ฝ่ายตรงข้ามคงจะไม่สามารถตามพวกเขาไปได้ไกลนัก
สิ่งที่พวกเขากำลังจะทำนี้ย่อมต้องแลกด้วยอะไรบางอย่าง แต่เมื่อพิจารณาถึงผลได้ผลเสีย สิ่งที่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ได้ทำลงไปเปรียบเทียบได้กับทหารในชุดเกราะทองแดงถึงสี่พันนาย แต่อย่างไรสุดท้ายแล้ว ทหารสี่พันนายก็คงไม่สามารถต้านทานเหล่าผู้บำเพ็ญลับหลายพันคนเหมือนที่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ทำได้ และก็คงไม่สามารถทำลายรูปขบวนของพวกองค์กรใหญ่ได้เช่นกัน
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ไม่ได้ตั้งใจทำให้ตัวเองตกอยู่ในอันตราย ไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ แต่เธออ่อนแอเกินไปเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มฟีนิกซ์ของเหล่าองค์กรใหญ่
ดังนั้น ทั้งหมดที่เธอทำลงไปก็เพื่อเครือข่ายฟ้าดิน พวกเขาจึงจำเป็นต้องรับผิดชอบเรื่องนี้
หลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อเครือข่ายฟ้าดิน ไม่ว่าสิ่งนี้จะถูกหรือผิด พวกเขาก็ต้องยอมแลก!
ถ้าการส่งทหารสี่พันนายออกจากป้อมปราการเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด ก็คงต้องยอมให้เป็นเช่นนั้น
พวกผู้บำเพ็ญลับวิ่งตรงไปยังช่องว่าง แต่กลุ่มฟีนิกซ์เป็นเหมือนกระบี่ที่เรียวและคม ตัดผ่านกลุ่มผู้บำเพ็ญลับไป ใครก็ตามที่ได้สัมผัสกระบี่เหล่านี้จะต้องตายอย่างน่าอนาถ
ผู้บำเพ็ญลับมากกว่าหนึ่งแสนคนกระจัดกระจายไปทั่วทั้งเทือกเขาจั่งไป๋ พวกเขาอยู่รวมกันอย่างแออัดจนเหมือนมด
แต่ท่ามกลางมดเหล่านั้น กลุ่มฟีนิกซ์เคลื่อนที่จากตะวันตกมุ่งสู่ตะวันออก ในขณะที่เหล่าระลอกทองแดงกำลังเคลื่อนที่จากตะวันออกไปตะวันตก พวกเขาดูเหมือนเส้นสีสองเส้นที่แตกต่างกันบนงานศิลปะนามธรรม!
เหล่าผู้บำเพ็ญลับต่างยอมจำนนต่อคลื่นมหาชนจากทั้งสองฝั่ง เสียงครวญครางอย่างโศกเศร้าและเสียงกรีดร้องอย่างน่ากลัวดังระงมไปทั่ว เมื่อเวลาผ่านไปก็ไม่สามารถแยกเสียงเหล่านี้ออกจากกันได้อีก กลายเป็นความวุ่นวายจนเกินควบคุม
คลื่นมหาชนทั้งสองฝั่งยืนห่างกันโดยหันหน้าเข้าหากัน พวกเขาจ้องเขม็งไปยังฝั่งตรงข้าม ราวกับว่าผู้บำเพ็ญลับที่อยู่ตรงกลางนั้นไร้ตัวตน
และในตอนนั้นเอง พื้นดินที่อยู่ใต้กลุ่มฟีนิกซ์ก็ระเบิดออก ราวกับว่ามีใครบางคนกำลังฆ่าคนอยู่ที่ใต้ดินอย่างบ้าคลั่ง จนทำให้เกิดแรงระเบิดปะทุออกมาจากใต้ดิน
พื้นที่อื่นๆ เองก็เริ่มระเบิด เหมือนกับว่ามีระเบิดกำลังระเบิดทีละลูกๆ อยู่ในมหาสมุทรลึก
ผู้บำเพ็ญลับบางคนไม่สามารถหนีได้ทันจึงถูกแรงระเบิดส่งให้ลอยออกไป พวกเขารู้สึกเหมือนกระดูกทั่วทั้งตัวกำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆ
เฟิงอวิ๋นลู่เริ่มตื่นตระหนก เพราะกลุ่มฟีนิกซ์ไปถึงระยะการต่อสู้ของหลี่ว์เสี่ยวอวี๋แล้ว เขากลัวว่าพวกตนอาจจะช้าเกินไปจนอาจจะทำให้เกิดอะไรขึ้นกับหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ นอกจากนี้กลุ่มฟีนิกซ์ยังมีผู้มีพลังธาตุดินอีกหลายร้อยคน!
ทันใดนั้นเองพื้นดินบริเวณที่อยู่ใต้สมาชิกกลุ่มฟีนิกซ์ก็ระเบิดออก
สมาชิกหลายคนของกลุ่มฟีนิกซ์ได้รับผลกระทบไปด้วย เหมือนกับว่ามีระเบิดระเบิดขึ้นท่ามกลางกลุ่มคน หลุมขนาดมหึมาปรากฏขึ้นต่อหน้าพวกเขา
พวกเขากลัวว่าหลี่ว์เสี่ยวอวี๋อาจจะไม่สามารถเอาชนะผู้มีพลังธาตุดินหลายร้อยคนได้ แต่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋คนเดียวกับที่พวกเขากำลังเป็นห่วงกลับยืนอยู่กลางหลุมนั่น เงาดำสามสายหายไปใต้ผิวดินอย่างรวดเร็ว แต่รอบๆ ตัวเธอ… กลับเต็มไปด้วยซากศพของผู้มีพลังธาตุดิน!
ทุกคนรู้สึกตกตะลึง ไม่มีใครคิดว่าหลี่ว์เสี่ยวอวี๋จะปรากฏตัวอีกครั้งด้วยท่าทางน่ากลัวเช่นนี้ เธอฆ่าพวกผู้มีพลังธาตุดินทั้งหมดด้วยตัวคนเดียว!
เฟิงอวิ๋นลู่เข้าใจในทันทีว่าเขากังวลจนเกินเหตุ เพราะอีกฝ่ายถือเป็นจ้าวแห่งใต้ดินตัวจริง!
บนใบหน้าของหลี่ว์เสี่ยวอวี๋มีฝุ่นติดอยู่เล็กน้อย ซึ่งคนที่คุ้นเคยกับผู้มีพลังธาตุดินจะรู้ดีว่า ใบหน้าของผู้มีพลังเหล่านี้จะไม่เปื้อนฝุ่นเมื่ออยู่ใต้ดิน นอกเสียจากว่าพวกเขากำลังหมดแรง!
แครก! รอยแตกปรากฏบนหาดทรายขาวและทะเลลึกในมือของหลี่ว์เสี่ยวอวี๋
นักบุญและเฉินไป่หลี่ต่อสู้กันอยู่ในที่ไกลๆ ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้หลุมขนาดมหึมานั่น ทุกสิ่งที่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ทำนั้นเกินกว่าคำว่าน่ากลัวไปแล้ว!
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋มองไปที่สมาชิกกลุ่มฟีนิกซ์รอบๆ ตัวเธออย่างใจเย็น… หลี่ว์ซู่อยู่ที่ไหน เขาไม่ได้อยู่ที่นี่
คนเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่เธออยากฆ่าให้ตาย หลี่ว์เสี่ยวอวี๋คิดว่าถ้าหลี่ว์ซู่อยู่ที่นี่ เขาคงไม่ยอมให้เธออยู่ในอันตรายแน่
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ยิ้ม หาดทรายขาวและทะเลลึกซ่อมแซมตัวเองแล้ว เธอทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น และพูดกับหาดทรายขาวและทะเลลึกว่า “ไปกันเถอะ”
ในชั่วพริบตา น้ำเสียงอันสงบของเธอก็ช่วยให้เธอได้แต้มมากมายจากสมาชิกกลุ่มฟีนิกซ์ พวกเขารู้สึกราวกับว่าเด็กสาวที่เหนื่อยล้าคนนี้มีอำนาจเหนือชีวิตพวกเขา แต่ทุกคนก็รู้ว่าตอนนี้เธอหมดแรงแล้ว!
ตรงหน้ากลุ่มฟีนิกซ์นี่เอง!
เฟิงเยี่ยหมิงนำขบวนและคำราม ”สนับสนุนหลี่ว์เสี่ยวอวี๋! อย่ากระตือรือร้นเกินไปในการต่อสู้!”
เขาพุ่งตรงเข้าหาฝูงชน ในขณะที่เฟิงอวิ๋นลู่ตามาติดๆ ทางด้านหลัง พวกเขาเสกหอกยาวขึ้นมาในเวลาเดียวกัน หอกสาดประกายเจิดจ้าในขณะที่พวกเขาใช้มันโจมตีฝ่ายตรงข้าม รูปขบวนของกลุ่มฟีนิกซ์ถูกทำให้แตกกระเจิง สร้างเส้นทางหลบหนีให้หลี่ว์เสี่ยวอวี๋!
กลุ่มฟีนิกซ์เริ่มโจมตีพวกเขาทั้งสองคนทันที ดูไปเหมือนกับทะเลแห่งแสง
แต่เมื่อการโจมตีด้วยพลังสายธาตุของพวกเขาถูกส่งไปถึงเฟิงเยี่ยหมิงและเฟิงอวิ๋นลู่ การโจมตีเหล่านั้นก็เหมือนกับถูกปิดกั้นและเริ่มแผ่กระจายออกไป!
นี่คือความสามารถอะไร แปลกมาก!
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ตกตะลึง เธอไม่คาดคิดว่าพวกระลอกทองแดงจะมาช่วยเธอ เพราะถ้าเป็นเธอแล้ว เธอคงจะไม่ยอมมาช่วยใครสักคนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตนเอง ที่เธอกำลังต่อสู้อยู่ตอนนี้ก็เพื่อหลี่ว์ซู่ ไม่ใช่เพื่อตัวเธอเอง
“เสี่ยวอวี๋ มานี่เร็ว!” เฟิงอวิ๋นลู่วิ่งตรงไปทางหลี่ว์เสี่ยวอวี๋พร้อมกับตะโกนเสียงดัง แต่ก่อนที่คำพูดของเขาจะส่งไปถึงเธอ ผู้มีพลังระดับ B สามคนจากกลุ่มฟีนิกซ์ก็ผละออกจากรูปขบวนของพวกเขาและเอาตัวเข้ากั้นระหว่างเฟิงอวิ๋นลู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋!
เฟิงเยี่ยหมิงและเฟิงอวิ๋นลู่ต่างก็ตื่นตระหนก พวกเขาต้องการฝ่าฟันเส้นทางเพื่อไปช่วยสนับสนุนหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ แต่พวกเขามีคนเพียงสี่พันคนเท่านั้น ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามมีคนมากถึงหนึ่งหมื่น และพวกเขามีระดับ B เพียงสองคน ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามมีสาม!
กลุ่มระลอกทองแดงเริ่มสูญเสีย ในฝูงชนไม่มีใครเทียบชั้นเฟิงเยี่ยหมิงและเฟิงอวิ๋นลู่ได้ แต่ฝ่ายตรงข้ามมีมากเกินไป พวกเขาเริ่มรู้สึกถึงความพ่ายแพ้
เฟิงเยี่ยหมิงและเฟิงอวิ๋นลู่พยายามที่จะต่อสู้กับผู้มีพลังระดับ B สามคนของฝ่ายตรงข้าม แต่ก็ไม่มีประโยชน์!
แต่ในขณะที่ผู้มีพลังจากกลุ่มฟีนิกซ์พุ่งเข้าใส่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ ท้องฟ้าก็กลายเป็นมืดครึ้ม
ทุกคนอดไม่ได้ที่จะมองขึ้นไป เงาที่พาดผ่านดวงอาทิตย์โผล่มาอย่างกะทันหัน พวกเขายังไม่พร้อมสำหรับสิ่งนี้!
ในตอนที่มองขึ้นไป สิ่งที่ทุกคนเห็นคือมังกรสีดำความยาวหนึ่งร้อยเมตรกำลังบินอยู่บนฟ้า มันดูเหมือนกับโทเทมที่ดูเหมือนจะมีอยู่แค่ในตำนานปรัมปรา
เฉินจู่อานยืนอยู่ที่ป้อมปราการอย่างตกตะลึง เขามองไปที่ฮุ่นตุ้นและร่างที่ยืนอยู่บนนั้น “ฉันบอกแล้วว่าอย่าไปยุ่งกับเสี่ยวอวี๋ พี่ซู่จะฆ่าคนไม่เลือกแน่ถ้าไปทำให้เขาโกรธ!”
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ใช้เวลาสามชั่วโมงเต็มในการสร้างผู้มีพลังธาตุดินระดับ B ลำดับที่สาม จากนั้นเธอจึงดำเนินแผนที่วางไว้อย่างราบรื่น
เธอไม่ได้บอกเครือข่ายฟ้าดินว่าเธอต้องการจะทำอะไร คนที่เธอยอมรับมีเพียงหลี่ว์ซู่เท่านั้น แต่ตอนนี้เขาไม่อยู่ที่นี่ เธอจึงทำได้เพียงแค่ทำตามแผนของตัวเอง
เธอจะค้นหาพวกผู้มีพลังธาตุดินระดับ B คนอื่นๆ และฆ่าพวกนั้นทิ้งเพื่อเป็นการเตือนคนอื่นๆ ที่เหลือ
เธอกำจัดพวกกองกำลังที่อยู่ใต้ดินไปจนหมด และรออย่างอดทนให้วิญญาณดวงที่สามปรากฏ
หลังจากวิญญาณดวงที่สามปรากฏ หลี่ว์เสี่ยวอวี๋จึงสร้างเส้นทางหลบหนีและส่งพวกผู้บำเพ็ญลับออกไปตามทางนั้น
เธอวางแผนทั้งหมดนี้ โดยที่ก็ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน เธอแค่ทำไปเพราะรู้สึกว่านี่คือสิ่งที่ถูกต้อง
เครือข่ายฟ้าดินเป็นกังวลว่าผู้มีพลังธาตุดินของพวกเขาจะมีจำนวนไม่มากพอที่จะต่อสู้กับพวกองค์กรใหญ่อื่นๆ ถ้าพื้นดินด้านนอกสูงขึ้น นั่นจะยิ่งทำให้การต่อสู้ยิ่งยากขึ้นไปอีก ถึงแม้ว่าทหารในชุดเกราะทองแดงอาจจะดูได้เปรียบเพราะอยู่บนพื้นที่สูงกว่า แต่ปัญหาก็คือพวกเขาไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อไปในสงครามนี้
หากพวกเขาพุ่งออกไป และฝ่ายตรงข้ามก็ลดระดับพื้นดินลงอย่างกะทันหัน คนที่พุ่งออกไปก่อนก็จะตาย ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงป้องกันตัวเองจากการถูกปิดล้อมเท่านั้น
แต่ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ช่วยทำให้พวกเขาได้เปรียบขึ้นมา เธอคือผู้ควบคุมพื้นที่ใต้ดิน
ก่อนหน้านี้ที่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋เป็นผู้นำทีม เธอไม่เพียงแต่ขัดขวางพวกผู้มีพลังเท่านั้น แต่ยังสร้างปัญหาให้พวกที่อยู่บนผิวดินเป็นครั้งคราว จากการที่มีระดับ B สามคนซ่อนตัวอยู่ใต้ดิน เป็นคุณจะไม่กลัวหรือ? สำหรับพวกผู้บำเพ็ญลับแล้ว พวกเขาก็เป็นเพียงผู้ที่ถูกกดขี่เท่านั้น
ขณะนี้พวกผู้บำเพ็ญลับกำลังวิ่งตรงไปยังเส้นทางหลบหนี ทหารในชุดเกราะทองแดงบนป้อมปราการสามารถผ่อนคลายได้แล้วตอนนี้ พวกเขามองดูกลุ่มคนที่กำลังวิ่งหนี และถึงขั้นอยากจะตะโกนบอกคนเหล่านั้นว่าขอให้โชคดี
เหล่าองค์กรใหญ่ไม่คาดคิดเลยว่าจะมีสิ่งให้ต้องรำคาญใจเกิดขึ้นที่ใต้ดิน แต่จากการคำนวณของพวกเขาแล้ว ดูเหมือนเครือข่ายฟ้าดินจะมีผู้มีพลังธาตุดินระดับ B เพียงคนเดียว นั่นก็คือหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ แต่เธอก็ไม่ได้เข้าร่วมสงคราม ดังนั้นผู้มีพลังระดับ B สามคนของพวกเขาก็คงเพียงพอ
แต่พวกเขาหารู้ไม่ว่า ถ้าเพียงแค่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋เข้าร่วมสงคราม เธอก็จะกลายเป็นตัวชี้ขาดผลของสงครามทันที…
เฉินจู่อานถอดหมวกเกราะและมองไปยังที่ไกลๆ เฉินไป่หลี่เองก็มองไปที่ความวุ่นวายตรงหน้าป้อมปราการ ตอนนี้เขารู้สึกเสียใจเล็กน้อย เขาน่าจะบังคับให้หลี่ว์เสี่ยวอวี๋เป็นศิษย์ เพราะเธอจะนำเกียรติยศมาสู่บรรพบุรุษของเขาได้อย่างแน่นอน…
ทหารในชุดเกราะทองแดงต่อสู้มาเป็นเวลาต่อเนื่องกว่าสามชั่วโมงแล้ว แม้ว่าพวกผู้บำเพ็ญลับจะล้มลงตั้งแต่การโจมตีครั้งแรก แต่พวกเขาก็ยังรู้สึกเหนื่อยล้า เนื้อตัวของทหารทุกคนเต็มไปด้วยเลือดซึ่งไหลไปตามชุดเกราะของพวกเขา แต่เลือดส่วนมากเหล่านี้เป็นของพวกผู้บำเพ็ญลับ คนพวกนี้เพียงแค่ทำให้เหล่าทหารเหนื่อยล้า แต่มันยากมากสำหรับพวกเขาที่จะสร้างการโจมตีที่เกิดผล
เหล่าทหารในชุดเกราะทองแดงมองดูพวกองค์กรใหญ่ที่พยายามจะสกัดกั้นการหนีของพวกผู้บำเพ็ญลับ แต่ตอนนี้มีช่องว่างขนาดใหญ่จากตอนเริ่มต้น และนอกจากนี้สมาชิกของเหล่าองค์กรใหญ่หลายคนก็เพิ่งจะตายไปจากภัยธรรมชาติที่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋สร้างขึ้น ดังนั้นจึงเกิดความวุ่นวายชั่วคราวขึ้นในหมู่พวกเขา
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ซ่อนตัวอยู่ใต้ดินและสร้างหนามแหลมเพื่อโจมตีสมาชิกขององค์กรใหญ่ เธอไม่มีพลังเหลือมากพอจะสร้างภัยพิบัติอีกครั้ง แต่ก็ยังสามารถทำอะไรๆ เพื่อก่อความวุ่นวายให้คนพวกนี้ได้
ในขณะที่พวกผู้บำเพ็ญลับกำลังวิ่งหนีเอาชีวิตรอด เหล่าทหารบนป้อมปราการมองไปยังที่ไกลๆ และก็ต้องตกใจ… จนลืมแสดงสีหน้า ตอนนี้มีลูกศรมากมายนูนอยู่บนพื้นคอยชี้บอกเส้นทาง
ไม่เพียงแค่มีลูกศรที่อยู่บนพื้น แต่ยังมีตัวอักษรกะพริบผ่านไปมา บางครั้งกำแพงบางๆ ก็ปรากฏขึ้นข้างๆ พวกผู้บำเพ็ญลับ หลังจากมีข้อความขึ้นมา กำแพงก็จะหายไป
‘ทางนี้ๆ’
‘คุณเดินไปผิดทางแล้ว’
‘ระวังหน่อย พวกองค์กรใหญ่กำลังพุ่งตรงมาจากทิศเหนือ’
‘คุณวิ่งช้าเกินไปแล้ว’
‘คุณเคยดื่มแอลกอฮอล์ปลอมหรือเปล่า!’
‘อย่าเบียดกัน พวกคุณจะวิ่งได้ช้าลง’
เหล่าทหารในชุดเกราะทองแดงประหลาดใจมาก “นี่มันอะไรกัน?”
แต่ในขณะที่พวกเขากำลังประหลาดใจ เหล่าผู้บำเพ็ญลับก็วิ่งไปตามทางที่ลูกศรเหล่านั้นชี้บอก ต่อให้มันจะไม่ได้ชี้ไปยังทางออก แต่ในเวลาเช่นนี้ใครกันจะสนใจ!
ถ้ามีผู้ช่วยชีวิตปรากฏตัวขึ้นในความวุ่นวายเช่นนี้ พวกเขาก็จะเชื่อฟังอย่างหมดใจ!
“ฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะได้เห็นข้อความแบบนี้อยู่ในสนามรบ…”
“ตลอดชีวิตของนาย นี่จะเป็นเพียงครั้งเดียวที่นายจะได้เห็นอะไรแบบนี้…”
เฉินจู่อานรู้สึกรำคาญเล็กน้อย “ทำไมนี่ถึงให้ความรู้สึกเหมือนกำลังอพยพหนีไฟ…”
ทำไมพี่น้องคู่นี้ถึงมีความสามารถในการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้รวดเร็วขนาดนี้!
พวกผู้ฝึกในลับหลบหนีท่ามกลางการต่อสู้และความกลัว ในตอนแรกพวกเขารู้สึกเหมือนตนเองเป็นแกะที่ถูกต้อน แต่เมื่อมีความหวังในการที่จะมีชีวิตรอด พวกเขาก็เริ่มบ้าคลั่ง
เหล่าองค์กรใหญ่พยายามที่จะเติมเต็มช่องว่าง แต่ถ้าพวกเขาทุ่มกำลังคนไปที่ส่วนนั้น ส่วนอื่นๆ ก็จะขาดแคลนกำลัง
มันก็เหมือนกับถังน้ำ หลี่ว์เสี่ยวอวี๋เพียงแค่สร้างรู้ขึ้นมารูหนึ่ง แต่พวกองค์กรใหญ่ขาดความเป็นเอกภาพที่จะควบคุมเหตุการณ์ทั้งหมด ทำให้จำนวนรูในถังน้ำเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ใครคนหนึ่งถามขึ้นมาว่า “พวกเราควรจะลงไปข้างล่าง แล้วโจมตีพวกองค์กรใหญ่ท่ามกลางความวุ่นวายนี้ดีหรือไม่”
นี่ถือเป็นโอกาสที่ดีมาก พวกผู้บำเพ็ญลับได้ก่อความยากลำบากอันใหญ่หลวงให้กับเหล่าองค์กรใหญ่ ถึงขั้นทำให้รูปขบวนเละเทะไปหมด ถ้าเหล่าระลอกทองแดงโถมตามพวกผู้บำเพ็ญลับไปและทำการโจมตี พวกเขาจะสามารถขยายขอบเขตความสำเร็จในการต่อสู้ของพวกเขาได้!
“ไม่ พวกเราโจมตีพวกนั้นไม่ได้ ถ้าพวกเขาร่วมมือกันอย่างมีประสิทธิภาพล่ะก็ กองกำลังของพวกเราจะถูกทำให้อ่อนกำลังลง แล้วผลเสียก็จะมีมากกว่าผลได้!” ห่าวจื้อเชายังคงอยู่ในอาการสงบ สมาชิกมากกว่าแปดหมื่นคนของพวกองค์กรใหญ่มารวมตัวกันอยู่ที่นี่ แต่เครือข่ายฟ้าดินมีคนเพียงสี่หมื่นเท่านั้น ซึ่งในจำนวนนี้ ครึ่งหนึ่งไม่มีชุดเกราะ
ทุกคนต่างนิ่งเงียบ จริงอยู่ว่าพวกผู้บำเพ็ญลับได้ทำให้เหล่าองค์กรใหญ่ต้องเสียรูปขบวน แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยให้เครือข่ายฟ้าดินได้เปรียบสักเท่าไหร่
ถึงแม้ว่าฝ่ายตรงข้ามอาจจะกำลังตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย แต่พวกเขาก็ฆ่าพวกผู้บำเพ็ญลับอย่างไร้ซึ่งความเมตตา พวกเขาไม่ยินยอมหากต้องพ่ายแพ้
ทันใดนั้นเอง ทุกคนก็เห็นนักบุญทะยานขึ้นฟ้า ชุดผ้าลินินที่เต็มไปด้วยฝุ่นของเขากระพืออยู่ในอากาศ
เขาหลับตาลงในขณะที่ลอยอยู่กลางอากาศ ราวกับว่าเขากำลังสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง เหล่าชนชั้นสูงจากกลุ่มฟีนิกซ์ตามเขาไปและฆ่าทุกคนที่ขวางทาง จนในที่สุดพวกเขาก็ไปถึงพวกผู้บำเพ็ญลับ
“แย่แล้ว! เขากำลังมองหาเสี่ยวอวี๋!” เฉินไป่หลี่รีบพุ่งตรงไปที่นักบุญ เขาแกว่งหางม้าของเขาเพื่อสร้างระเบิดไปยังทิศทางของนักบุญ กระบี่สีน้ำเงินปรากฏขึ้นพร้อมเสียงคำราม!
เมื่อนักบุญเห็นเฉินไป่หลี่ เขาก็ล้มเลิกการค้นหาเสี่ยวอวี๋ แต่เหล่าชนชั้นสูงของกลุ่มฟีนิกซ์ที่อยู่บนพื้นดินยังไม่ยอมหยุด ราวกับว่าพวกเขามีประสาทสัมผัสที่เฉียบคมมาก!
และทันใดนั้นพวกผู้มีพลังธาตุดินหลายร้อยคนในกลุ่มชนชั้นสูงก็ขุดลงไปในดิน ราวกับว่าพวกเขาหาตัวหลี่ว์เสี่ยวอวี๋พบแล้ว!
“พวกเราจะช่วยเธอไหม?” ใครบางคนถาม
ก่อนหน้านี้พวกเขาตัดสินใจว่าจะโจมตีหรือไม่ แต่ตอนนี้พวกเขากำลังตัดสินใจว่าจะโจมตีเพื่อช่วยหลี่ว์เสี่ยวอวี๋หรือไม่
“ช่วยเธอ! ฆ่าพวกมันให้หมด!” เฟิงเยี่ยหมิงและเฟิงอวิ๋นลู่สวมหมวกเกราะในเวลาพร้อมกัน “คนอื่นไม่ต้องตามมา แต่ทีมหนึ่งและสองของระลอกทองแดงตามพวกเรามา! ส่วนที่เหลือเตรียมพร้อมเป็นกำลังเสริม!”
นี่เป็นปัญหาสองเรื่องที่แตกต่างกัน มันอาจจะดูเป็นเรื่องเดียวกัน แต่คำตอบต่างกัน พวกเขาสามารถปฏิเสธที่จะไม่โจมตีได้ แต่หากว่าการโจมตีนี้จะทำเพื่อช่วยชีวิตใครสักคน นั่นก็ถือเป็นคนละเรื่องแล้ว ไม่ว่าสิ่งนี้จะเป็นผลดีต่อเครือข่ายฟ้าดินหรือไม่ แต่กลุ่มคุณลุงกลุ่มนี้คงทนไม่ได้ที่จะเห็นเด็กสาวอายุสิบสองปีต้องตกอยู่ในอันตราย!
เหล่าชนชั้นสูงหลายพันคนมุ่งหน้าต้านกระแสฝูงชนและเริ่มฆ่าคนเหล่านั้น พวกเขารู้ดีว่าหลี่ว์เสี่ยวอวี๋กำลังอ่อนแออย่างมาก หลังจากที่เธอสร้างภัยธรรมชาติ!
“พวกเราอาจจะตาย ถ้าพยายามฆ่าพวกนั้น!”
เฟิงเยี่ยหมิงหัวเราะออกมาเสียงดังและเสกหอกยาว เขากระโดดลงจากป้อมปราการโดยไร้ซึ่งความลังเลใดๆ “บุกฝ่าศัตรูด้วยความกล้า! และเผชิญความตายอย่างสงบ!”
ก่อนสงครามเริ่ม หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ไปหาห่าวจื้อเชาและถามเขาว่าเธอจะสามารถทำอะไรได้บ้าง ในตอนแรกเขาอยากจะปฏิเสธเธอ เพราะถึงแม้เธอจะแข็งแกร่งกว่าเขา แต่เครือข่ายฟ้าดินก็ไม่ได้สิ้นหวังถึงขนาดต้องให้เด็กสาวอายุสิบสองเข้าร่วมในสงคราม
แต่เขาไม่คิดว่าหลี่ว์เสี่ยวอวี๋จะไม่สำนึกบุญคุณ “หลี่ว์ซู่บอกว่าเขาจะช่วยเธอสู้ ดังนั้นเขาจึงสู้ จนกว่าเขาจะกลับมา ฉันจะช่วยเธอสู้ในส่วนของเขาเอง”
อาจจะดูเหมือนว่าหลี่ว์เสี่ยวอวี๋และหลี่ว์ซู่เป็นคนนอก แต่ห่าวจื้อเชารู้ดีว่าถึงแม้พวกเขาจะพูดเช่นนั้น แต่พวกเขาไม่มีทางปฏิบัติต่อเครือข่ายฟ้าดินเหมือนเป็นคนนอกอย่างแน่นอน
ห่าวจื้อเชารู้จักพวกเขาดี เด็กกำพร้าสองคนนี้ปกป้องตัวเองจากโลกภายนอก แต่ตอนนี้พวกเขากลายเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายฟ้าดินแล้ว
“ตอนนี้สิ่งที่เรากังวลก็คือน่าจะยังมีผู้มีพลังธาตุดินระดับ B อยู่ในหมู่ผู้บำเพ็ญชาวต่างชาติ เพราะจากข้อมูลที่เชื่อถือได้ที่เราได้รับมาบอกว่า หลังจากหลี่ว์ซู่ฆ่าแอนโทนีและผู้นำของกลุ่มนั้นแล้ว ยังคงมีผู้มีพลังธาตุดินอีกสองคนที่ปะปนอยู่ในผู้มีพลังระดับ B สี่สิบคนนั้น ฉันกังวลว่าเราจะรับมือพวกนั้นไม่ไหว” ห่าวจื้อเชาไม่อาจวางใจได้
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้และพูดว่า “ถ้าพวกนั้นกล้าเข้ามา พวกนั้นก็จะได้ตายอยู่ที่นี่”
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ไม่ได้พูดเกินไป จอห์นสันเองก็มีพลังธาตุดินเช่นกัน และถึงแม้ว่าเขาจะเป็นผู้มีพลังเสกสรรที่ค่อนข้างอ่อนแอ แต่ตอนนี้แอนโทนีกลายเป็นระดับ B ขั้นสูงที่สามารถชดเชยช่องว่างในการต่อสู้ของเขาได้แล้ว เมื่อสงครามเริ่มขึ้น หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็พยายามค้นหาพวกผู้มีพลังธาตุดินระดับ B และหนึ่งในนั้นก็เป็นหนึ่งในคนสิบกว่าคนที่เธอเพิ่งฆ่าไป
หลังจากหลี่ว์เสี่ยวอวี๋จุดประกายกลุ่มดาวกลุ่มที่สี่ ก็มีหลุมดำหลุมหนึ่งที่ไม่ได้ถูกครอบครองโดยวิญญาณ เธอเคยบอกหลี่ว์ซู่ว่าเธออยากจะลองใช้วิญญาณระดับ A และคงจะดีที่สุดถ้าหากว่าเป็นวิญญาณของหัวหน้าบาทหลวง ไม่เป็นไรเลยถ้าเขาอ่อนแอกว่า แต่เขากลับน่ารำคาญ ดังนั้นพวกเขาถึงต้องการเก็บวิญญาณของเขาเป็นสิ่งแรก…
ในตอนนั้นอาจจะดูเหมือนพวกเขาพูดเล่น แต่ลึกๆ แล้วพวกเขาค่อนข้างจริงจัง หลี่ว์ซู่รู้สึกว่ามันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรที่จะกักขังวิญญาณของหัวหน้าบาทหลวงเอาไว้…
แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่มีวิญญาณของหัวหน้าบาทหลวง แต่เธอก็สามารถดึงเอาจากผู้มีพลังธาตุดินระดับ B ก็ได้!
ตอนที่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ยังเป็นระดับ C เธอใช้เวลาถึงสามวันในการเสกสรรวิญญาณของจอห์นสัน แต่ตอนนี้เธอเลื่อนขั้นเป็นระดับ B แล้ว เธอต้องการเวลาแค่สามชั่วโมงเท่านั้น
นี่คือกลยุทธ์ที่เธอคิดเอาไว้ ถ้าเธอหาผู้มีพลังธาตุดินระดับ B ได้ในทันที เธอก็จะสามารถควบคุมผู้มีพลังธาตุดินระดับ B สามคน และเริ่มต้นการสังหารหมู่ที่ใต้ดินได้หลังจากนั้นสามชั่วโมง
เธอมีผู้มีพลังธาตุดินสามคน ตัวเธอเองก็เป็นระดับ B เช่นกัน ถ้าผู้มีพลังระดับ B ร่วมมือกันถึงสี่คน พวกผู้มีพลังธาตุดินที่อยู่ใต้ดินก็คงไม่มีโอกาสรอด
การร่วมมือกันของระดับ B ถึงสี่คนถือเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก เพราะขนาดทั้งเครือข่ายฟ้าดินเองก็มียอดฝีมือระดับ B เพียงสิบเก้าคนเท่านั้น…
ถ้าพวกองค์กรใหญ่เข้าร่วมสงครามด้วยตัวเอง พวกเขาอาจจะสามารถเพ่งเป้าไปที่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่านี้ แต่อย่างไรหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ต้องพบกับความลำบากมากมายที่ใต้ดิน แต่ทางฝั่งองค์กรใหญ่กลับดูจะได้รับความยุ่งยากกว่า เพราะการพยายามฆ่าหลี่ว์เสี่ยวอวี๋มีแต่จะส่งผลให้พวกเขาต้องสูญเสียมากกว่า
เมื่อพวกผู้บำเพ็ญลับเห็นว่าไม่สามารถพึ่งพวกผู้มีพลังธาตุดินได้อีกต่อไป พวกเขาจึงได้แต่ต้องเดินหน้าต่ออย่างไม่เต็มใจ หากพวกเขาต้องการมีชีวิตรอด สิ่งเดียวที่พวกเขาทำได้ก็คือทำตัวให้ชินกับสงคราม ในความสับสนวุ่นวายของสงคราม พวกผู้บำเพ็ญลับไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเรียนรู้ที่จะร่วมมือกัน
เบื้องหน้าของพวกเขาคือป้อมปราการสูงตระหง่าน แต่เบื้องหลังมีสมาชิกหลายพันคนจากองค์กรใหญ่ที่คอยควบคุมการสู้รบ และนี่น่าจะเป็นการควบคุมที่มากที่สุดในช่วงสงครามในประวัติศาสตร์ของโลกแห่งการฝึกบำเพ็ญ ในอนาคตคงไม่มีอะไรแบบนี้ให้เห็นอีก
ผู้บำเพ็ญลับที่อยู่ตรงกลางรู้สึกเจ็บปวดราวกับถูกเผาด้วยไฟนรก
ในช่วงเวลาแห่งความสิ้นหวัง ผู้มีพลังธาตุไฟ ธาตุแสง และธาตุโลหะ กำลังใช้ความสามารถของพวกเขาในการโจมตีผู้บำเพ็ญของเครือข่ายฟ้าดินที่อยู่บนกำแพง ผู้มีพลังสายพละกำลังก็กำลังพยายามทำลายกำแพงเช่นกัน
ผู้บำเพ็ญลับบางคนรู้สึกสิ้นหวังอย่างที่สุด พวกเขาพยายามหลบหนี แต่ก็ไม่อาจหนีจากการฆ่าที่โหดร้ายของพวกองค์กรใหญ่ได้
ทหารในชุดเกราะทองแดงเข่นฆ่าพวกผู้บำเพ็ญลับด้วยใบหน้าเย็นชา แต่คนพวกนี้มีมากเกินไปจนดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด
เฉินจู่อานถอดหมวกเกราะและเช็ดเลือดออกจากใบหน้า “คนพวกนี้เยอะเหมือนตั๊กแตน! จู่ๆ ก็เกิดไม่กลัวตายขึ้นมางั้นเหรอ เราต้องใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะกำจัดคนพวกนี้ได้หมด”
เฉิงชิงเฉี่ยวพูดอย่างไม่ปิดบังด้วยน้ำเสียงบ้ำระห่ำ “หลังสงครามครั้งนี้จบลง ผมต้องฝันร้ายไปอีกหลายปีแน่!”
“ถ้าเราฝันร้ายแล้วจะทำไม? เราก็แค่ฆ่าทุกคนที่กล้าเข้ามา!” เฉินจู่อานสวมหมวกกลับเข้าไปและเริ่มต้นต่อสู้ป้องกันป้อมปราการอีกครั้ง
ในตอนนี้ทุกคนตระหนักได้แล้วว่าพื้นดินหยุดการระเบิดลงแล้ว
ตอนที่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋กำลังต่อสู้ มีเสียงระเบิดดังขึ้นบ้างเป็นครั้งคราว แต่หลังจากนั้นเสียงระเบิดครั้งใหญ่ก็หยุดลง ตอนนี้มีเพียงความเงียบเท่านั้น
เฉินจู่อานกระซิบ “ฉันหวังว่าเสี่ยวอวี๋จะปลอดภัย เธอจะบาดเจ็บไม่ได้เด็ดขาด ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเธอล่ะก็ พี่ซู่จะต้องคลั่งแน่ๆ!”
เขาตัวสั่นด้วยความกลัวเมื่อคิดไปถึงเรื่องนี้ เขาไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าหลี่ว์ซู่จะเป็นอย่างไรหากเขาเกิดคลุ้มคลั่งขึ้นมาจริงๆ
“เดี๋ยว! ดูนั่นสิ!” ใครคนหนึ่งตะโกน!
มีเสียงคำรามทื่อๆ ดังมาจากที่ไกลๆ…
เครือข่ายฟ้าดินตัดต้นไม้ในระยะห่างออกไปเพียงสองกิโลเมตรเพื่อเพิ่มขอบข่ายการมองเห็น แต่ป่าอยู่ไกลออกไปมากกว่านั้น
แต่ถึงอย่างนั้นทหารในชุดเกราะทองแดงก็ยังคงพยายามมองไปยังที่ไกลๆ ทันใดนั้นพวกเขาก็เห็นพายุฝุ่นและเศษผงฟุ้งขึ้นหลังจากเสียงคำราม หลังจากนั้นพื้นดินขนาดหนึ่งตารางกิโลเมตรก็เริ่มยุบลงไป!
และขณะที่พื้นดินกำลังยุบลงไป เม็ดทรายและดินรอบๆ ก็เริ่มไหลลงกลบฝังหลุมเหมือนกับน้ำตก
เมื่อพื้นดินกลับมาราบเรียบเหมือนอย่างเก่า ผู้คนที่เคยยืนอยู่ตรงนั้นก็หายไป
มันเหมือนเป็นสุสานขนาดใหญ่ที่ฝังพวกผู้มีพลังไว้ข้างใต้!
“นั่นใช่พระไตรปิฎกแห่งน้ำตกทรายในตำนานหรือเปล่า… อย่าบอกนะว่าหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก้าวขึ้นสู่ระดับ A แล้ว นี่มันโกงนี่!” เฉินจู่อานร้องตะโกนอย่างตกใจ
ไม่ใช่แค่เฉินจู่อานที่ตกใจ แต่ทั่วทั้งสนามรบต่างก็ตกอยู่ในความเงียบเช่นกัน ฉากเมื่อครู่ที่น่ากลัวไม่ต่างจากภัยพิบัติทางธรรมชาตินั้น คือผลจากการร่วมมือกันระหว่างหลี่ว์เสี่ยวอวี๋และผู้มีพลังธาตุดินอีกสามคนหลังจากที่เธอเสกสรรวิญญาณที่สามได้สำเร็จ!
มันเป็นเรื่องยากที่จะป้องกันตนเองจากสิ่งนี้ ก็เหมือนกับภัยธรรมชาติจริงๆ!
จู่ๆ เฉินจู่อานก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง “นั่นคือเขดแดนของพวกองค์กรใหญ่… แล้วทำไมเสี่ยวอวี๋ถึงไปอยู่ที่นั่น”
แต่ในชั่วขณะต่อมาเฉินจู่อานก็เข้าใจ หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ไม่มีทางลงมือโดยไม่มีจุดประสงค์ เธอโจมตีสมาชิกขององค์กรใหญ่ที่มีหน้าที่ควบคุมการโจมตี เธอต้องการสร้างเส้นทางหลบหนีให้กับพวกผู้บำเพ็ญลับ
พวกผู้บำเพ็ญลับมีจำนวนมากเกินไป ถึงแม้ว่าคนพวกนั้นอาจจะอ่อนแอและไม่มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่พวกเขาก็สามารถสร้างปัญหาใหญ่ให้เครือข้ายฟ้าดินได้
ตอนนี้หลี่ว์เสี่ยวอวี๋สร้างทางเลือกอีกทางหนึ่งให้พวกเขาแล้ว ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่มีทางให้หลบหนีจึงเลือกได้เพียงเส้นทางแห่งความตาย ตอนนี้พวกเขาจะสามารถหนีไปได้หรือไม่
หลังจากพระไตรปิฎกแห่งน้ำตกทรายผ่านพ้นไป จู่ๆ ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็ปรากฏขึ้นบนพื้น แม้ในช่วงเวลาเช่นนี้ หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็ไม่ลืมที่จะแสดงความรู้สึกออกมา…
เหล่าผู้บำเพ็ญลับที่กำลังจะโจมตีป้อมปราการ จู่ๆ ก็วิ่งเข้าหาหนทางหลบหนีกันอย่างบ้าคลั่ง ตอนนี้คนพวกนี้กลายไปเป็นปัญหาของพวองค์กรใหญ่แล้ว!
ห่าวจื้อเชาเฝ้ามองดูสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเงียบๆ และจู่ๆ เขาก็หัวเราะ “ฉันไม่เคยคิดถึงการสร้างทางหนีให้พวกผู้บำเพ็ญลับเลย พวกเขาจะวิ่งเข้าหาเส้นทางนั้นราวกับว่าพวกเขาไม่ต้องการมีชีวิตอยู่อีกต่อไป พี่น้องคู่นี้ประหลาดจริงๆ ฉันรอคอยให้หลี่ว์ซู่กลับมาที่สนามรบไม่ไหวแล้ว”
ด้วยเหตุผลบางอย่าง จู่ๆ ห่าวจื้อเชาก็รู้สึกว่าพี่น้องคู่นี้ฆ่าเพื่อความอยู่รอด ท้ายที่สุดแล้วหลี่ว์ซู่ก็ไม่ธรรมดาเลย
ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเนี่ยถิงถึงบอกว่าทุกอย่างจะคุ้มค่า
ฟรานเชสโกที่ออกไปไล่ล่าเพื่อฆ่าหลี่ว์ซู่นั้นกลับมาแล้ว แต่หลี่ว์ซู่ยังไม่กลับมา แม้แต่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็หายตัวไปหลังจากพูดคุยกับโยวหมิงอวี่
เฉินจู่อานหันไปหาเฉิงชิวเฉี่ยว “ฉันขอยืมโทรศัพท์นายหน่อย”
เฉิงชิวเฉี่ยวตั้งท่าระแวดระวัง “เมื่อวานนายยืมโทรศัพท์ฉันไปห้านาที แล้วก็เอาเครดิตของฉันไปเล่นพนันจนหมด อย่าคิดว่าวันนี้ฉันจะให้ยืม!”
“ขี้งก!” เฉินจู่อานตะโกนอย่างโกรธเคือง
ทันใดนั้นเสียงที่ทั้งดังและชัดก็ดังมาจากพื้น เฉินจู่อานและเฉิงชิวเฉี่ยวมองตรงไปที่หลี่อีเสี้ยวด้วยความตกใจ พวกเขาเพิ่งจะพูดล้อเล่นกับหลี่อีเสี้ยว ไม่นึกว่าเขาจะโยนแก้วลงบนพื้นจริงๆ
สำเร็จแล้ว สามคำนี้ผุดขึ้นในใจพวกเขาพร้อมกัน แต่น่าหลานเชวี่ยไม่ได้ดูยอมจำนนแต่อย่างใด และสิ่งต่อไปที่เธอทำก็คือ…
น่าหลานเชวี่ยมองไปที่หลี่อีเสี้ยว “ทนไม่ได่แล้วเหรอ ตอนนี้นายสามารถโยนแก้วลงบนพื้นได้แล้วสิ?”
ขณะที่หลี่อีเสี้ยวกำลังจะคุกเข่าลงบนเศษแก้วที่แตกเป็นเสี่ยงๆ เสียงอันน่าเกรงขามก็ดังก้องอยู่ภายในป้อมปราการ เฉินจู่อานและคนที่เหลือเดินออกจากเต็นท์และมองไปที่เวทีที่อยู่ตรงกลางป้อม ห่าวจื้อเชากำลังสั่งให้คนตีระฆังซึ่งตั้งขึ้นเมื่อนานมาแล้ว เสียงยาวสามครั้ง นั่นหมายความว่า…สงครามเริ่มแล้ว!
ในที่สุด!
เวลาผ่านไปหนึ่งเดือนแล้ว นับตั้งแต่เหล่าองค์กรขนาดใหญ่แทรกซึมเข้ามาในเทือกเขาจั่งไป๋ การต่อสู้ครั้งก่อนเป็นเหมือนการเรียกน้ำย่อย นั่นเป็นเพียงส่วนปลายของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น
แต่เครือข่ายฟ้าดินไม่ได้ตั้งใจที่จะเสียเวลากับองค์กรเหล่านั้น เมื่อเหรียญทองได้ไหลบ่าผ่านเทือกเขาจั่งไป๋ คนพวกนั้นก็จะเข้าใจว่าในที่สุดการต่อสู้แบบกลุ่มก็ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว องค์กรเหล่านั้นมีจำนวนคนมากกว่าเครือข่ายฟ้าดินถึงสามเท่า แต่ในทางกลับกัน เครือข่ายฟ้าดินอาศัยความสามารถของตนเองในการสร้างป้อมปราการหลังพยัคฆ์ขึ้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นพวกเขาก็แค่รอคอยศัตรูที่เหนื่อยล้าอย่างสบายใจ
ใครจะเป็นผู้ชนะ? ไม่มีใครรู้คำตอบที่แน่ชัด สงครามระหว่างเครือข่ายฟ้าดินและพวกที่เหลือในโลกกำลังจะเริ่มขึ้นในที่สุด
ผู้บำเพ็ญของเครือข่ายฟ้าดินสวมชุดเกราะทองแดงและเข้าแถวเรียงกันอย่างเป็นระเบียบรอบๆ ป้อมปราการ พวกเขาตั้งรูปขบวนรออย่างเข้มงวด
ทุกคนได้รับกระบี่มาตรฐานเล่มใหม่ กระบี่เหล่านี้แตกต่างจากอาวุธขององค์กรอื่นๆ ที่มีคุณภาพด้อยกว่า เพราะนี่คือสินค้าคุณภาพจากเครือข่ายฟ้าดิน
เนี่ยถิงยังคงอยู่ในห้องที่เงียบสงบ แต่เขาก็ได้ยินเสียงระฆังเช่นกัน เนี่ยถิงลืมตาขึ้นอย่างสงบ ในขณะที่เครือข่ายฟ้าดินรอคอยอย่างเรียบร้อย ขบวนผู้บำเพ็ญลับอันยิ่งใหญ่ก็กำลังมุ่งหน้าเข้ามาจากที่ไกลๆ พวกเขาดูเหมือนผู้ลี้ภัยมากกว่า บางคนถึงกลับมามือเปล่า แต่อย่างไรพวกเขาก็มีจำนวนเยอะมาก ขบวนทอดยาวไปทั่วป่า แค่มองดูขนาดของขบวนก็ชวนให้รู้สึกกลัวแล้ว ต่อให้พวกเขาหยุดยืนนิ่งๆ เครือข่ายฟ้าดินก็ยังต้องใช้เวลาสักพักในการฆ่าพวกเขาทั้งหมด
ราวกับว่าพวกองค์กรอื่นๆ ไม่สนใจที่จะเสียเวลาในการจัดระเบียบพวกผู้บำเพ็ญลับ เมื่อห่าวจื้อเชาและคนที่เหลือเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด “คนเหล่านี้ถูกส่งมาตาย เมื่อพวกเขาถูกฆ่าไปเป็นจำนวนมาก ชื่อเสียงของพวกเราก็จะถูกทำลาย เหล่าทหารของพวกเราก็จะเหนื่อยเช่นกัน”
“ชื่อเสียงของพวกเราน่ะเหรอ ลืมชื่อเสียงของพวกเราในดินแดนผู้บำเพ็ญไปเสียเถอะ” ใครบางคนพูดขึ้นพร้อมกับเสียงหัวเราะ จากนั้นน้ำเสียงของเขาก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา “ถ้าพวกนั้นเข้ามา พวกเราก็แค่ต้องฆ่าให้หมด”
กำแพงสูงของป้อมปราการข่มขวัญผู้บำเพ็ญลับได้อย่างดี พวกเขาไม่รู้เลยว่าจะเอาชนะกำแพงตระหง่านตรงหน้านี้ได้อย่างไร พวกเขาหลายคนต้องการที่จะหนี แต่เมื่อพวกเขาหันหลังกลับ หัวของพวกเขาก็จะถูกพวกทหารที่อยู่ด้านหลังฟันหลุดจากบ่าทันที
พวกองค์กรขนาดใหญ่ได้รับความลำบากอย่างมากในการควบคุมการสู้รบในครั้งนี้ พวกเขามีทหารเพียงไม่กี่พันนาย และทหารเหล่านั้นก็ไม่ได้มีไว้เพื่อสู้รบ แต่มีไว้เพื่อควบคุมเหล่าผู้บำเพ็ญลับ! ใครบางคนหัวเราะอย่างเย็นชา “ถ้านายเดินต่อไปข้างหน้า นายอาจจะมีชีวิตรอด แต่ถ้านายหันหลังกลับ นายจะต้องตายทันที ชีวิตนาย นายเลือกเอง!”
ผู้บำเพ็ญลับคนหนึ่งคำรามอย่างสิ้นหวัง “ป้อมปราการนี้แข็งแกร่งมาก พวกเราต้องเอาซากศพของพวกเรามากองรวมกันก่อนถึงจะเข้าไปได้หรือเปล่า”
“ทำไมไม่ลองดูล่ะ”
แต่ถึงอย่างนั้น เหล่าผู้บำเพ็ญลับก็ยังคงเป็นเพียงผู้รับเคราะห์ให้กับพวกองค์กรใหญ่ๆ พวกเขายังคงถูกสั่งให้ทำนู่นทำนี่ มีหลายครั้งที่มนุษยชาติเปล่งประกายเช่นเดียวกับผู้บุกเบิก ราวกับว่าทุกคนมีจิตวิญญาณที่ไม่ยอมแพ้ แต่ก็มีบางครั้งที่เหล่ามนุษยชาติก็เปรียบเสมือนตัวหนอนที่บิดเบี้ยวอย่างมาก
ยิ่งองค์กรขนาดใหญ่โหดร้ายกับพวกเขามากเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งไม่กล้าต่อสู้กลับ
ทันใดนั้นพื้นดินที่อยู่ใกล้กำแพงก็ผุดสูงขึ้น ราวกับว่ามีใครบางคนอยู่ใต้ดินและกำลังใช้ความสามารถธาตุดินของเขา!
พวกผู้บำเพ็ญลับรู้สึกมีความหวังขึ้นมา พวกเขาพุ่งตรงไปที่ป้อมปราการตามคำสั่งของพวกองค์กรใหญ่ ตราบใดที่พื้นดินยกขึ้นสูงพอ พวกเขาก็จะสามารถเอาชนะกำแพงตรงหน้านี้ได้!
เป็นความจริงที่ว่ากำแพงนี้สูงมาก ดังนั้นเราก็แค่ต้องทำให้พื้นดินยกสูงขึ้นกว่านั้น!
แต่ก่อนที่พวกเขาจะไปถึงขอบกำแพง พื้นดินก็พลังทลายลง จากนั้นมันก็ระเบิดออก เผยให้เห็นชาวต่างชาติผู้มีพลังธาตุดินสิบสี่ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส!
เหนือกำแพง ทหารในชุดเกราะทองแดงเห็นหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ยืนอยู่ในหลุม เธอกำลังมองไปที่ซากศพอย่างเย็นชา จากนั้นพื้นก็กลายเป็นราบเรียบอย่างรวดเร็ว
เฉินจู่อานตกใจมาก เขาเพิ่งจะรู้ตอนนี้เองว่าหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ไม่ได้ออกไปตามหาหลี่ว์ซู่ แต่เธอกลับซ่อนตัวอยู่ใต้ดินเพื่อรอจัดการผู้มีพลังธาตุดินจากเหล่าองค์กรใหญ่!
และไม่ได้มีเพียงแค่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ที่กำลังตรวจตราอยู่ที่ใต้ดิน แต่ยังมีผู้มีพลังธาตุดินของเครือข่ายฟ้าดินอีกหลายร้อยคนที่กำลังต่อสู้อยู่ที่นั่น พวกผู้บำเพ็ญระดับทั่วไป ยกเว้นระดับ A ไม่สามารถจับคู่กับแอนโทนี ผู้ซึ่งอยู่ในระดับ B ขั้นสูงได้อีกต่อไป!
เมื่อหลี่ว์เสี่ยวอวี๋มาถึงป้อมปราการ ผู้บำเพ็ญหลายคนของเครือข่ายฟ้าดินก็รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องแปลกใหม่ เธอเป็นแค่เด็กสาวคนหนึ่ง แต่เธอก็เป็นถึงผู้มีพลังระดับ B และเธอถึงขั้นมีพลังธาตุดินและพลังเสกสรร
ย้อนกลับไปในอดีต พวกเขาไม่ต้องการให้หลี่ว์เสี่ยวอวี๋เข้าร่วมสงคราม นอกจากนั้นคือเธอน่ารักเสียขนาดนั้น ใครกันจะทนเห็นเธอในสงครามที่เต็มไปด้วยการนองเลือดก่อนเวลาอันควรได้?
แต่ตอนนี้เธอกำลังเป็นผู้นำในแนวป้องกันภายใต้กำแพง
พวกเขาอดไม่ได้ที่จะกังวล เธอจะได้รับอันตรายหรือไม่ นอกจากนี้คือพื้นดินใต้ฐานถูกผสมด้วยคอนกรีตและโลหะชนิดพิเศษ เช่นนี้แล้วเธอคงกลับเข้ามาทางนั้นไม่ได้แน่!
พวกเขาอยากจะผสมคอนกรีตและโลหะที่พื้นดินด้านนอกเช่นกัน แต่ถึงแม้จะทำแบบนั้นกับพื้นที่ในรัศมีหนึ่งกิโลเมตร พวกผู้มีพลังธาตุดินก็สามารถที่จะสร้างบันไดจากดินในระยะห่างออกไปหนึ่งกิโลเมตรได้ ไม่มีป้อมปราการใดที่สมบูรณ์แบบ ทุกที่ย่อมมีรอยร้าวและเรื่องให้ต้องตัดสินใจเสมอ
ขณะที่ทุกคนกำลังกังวลเกี่ยวกับหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ ผู้มีพลังธาตุดินจากฝ่ายตรงข้ามคนหนึ่งก็ถูกโยนออกมา ราวกับว่าเธอกำลังฆ่าเพื่อส่งสัญญาณเตือนพวกผู้บำเพ็ญลับคนอื่นๆ ผู้มีพลังธาตุดินหลายร้อยคนของเครือข่ายฟ้าดินกำลังต่อสู้กันอย่างบ้าคลั่ง ในขณะที่บางคนก็ถูกฆ่าตาย แต่เมื่อมีหลี่ว์เสี่ยวอวี๋อยู่ที่นั่น จำนวนผู้เสียชีวิตของฝ่ายตรงข้ามจึงมีมากกว่า
สงครามที่แท้จริงเริ่มขึ้นในที่ที่ไม่มีใครมองเห็น! และผู้ที่เปิดฉากสงครามครั้งนี้ก็คือหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ เด็กสาวผู้มีอายุเพียงสิบสองปี!
ทันใดนั้นแผ่นดินก็เริ่มเลื่อนไหล พวกผู้บำเพ็ญลับมองไปและเห็นว่าบัดนี้พื้นดินได้กลายเป็นรูปใบหน้าของเด็กสาว เธอกำลังยิ้มอย่างเย็นชา ราวกับกำลังย้ำเตือนไม่ให้ใครลองทำอะไรที่ใต้ดินอีก เส้นทางนี้คือทางตัน!
เฉินจู่อานรู้สึกตกตะลึง “เสี่ยวอวี๋น่าจะเป็นเพียงคนเดียวที่นำภาพมาโครมาใช้ในสงครามตามแต่ที่เธอพอใจ!”
“ออกมาเถอะอาร์เคน ฉันรู้ว่านายดูอยู่”
คลาวด์อีและพยัคฆ์จื๋อรอให้คนที่ถูกกล่าวถึงปรากฏตัว จากนั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในความมืด “ฉันติดอยู่ในโลกใบเล็กๆ ภายในต้นไม้แห่งโลก ฉันออกไปไม่ได้ ทำไมพวกเธอถึงเอาแต่ตามหาฉันล่ะ พวกเธอไม่รู้เหรอว่าราชาองค์เก่าลงโทษฉัน ฉันถึงต้องมาล้างมลทินอยู่ที่นี่”
คลาวด์อีถามอย่างนุ่มนวล “เธอมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ภายนอกในขณะนี้หรือเปล่า?”
อาร์เคนหัวเราะเบาๆ “นี่เธอกำลังพยายามทดสอบฉัน หรือกำลังปิดบังอะไรอยู่หรือเปล่า ตอนนี้ปรมาจารย์หุ่นเชิดที่สามารถไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระในโลกภายนอกก็มีแค่พวกเธอสองคน แล้วแบบนี้จะมีใครอื่นอีกที่รู้ความลับของโลกใบนี้ อย่าบอกนะว่าเธอคิดว่าฉันหลุดพ้นจากการลงโทษของราชาองค์เก่าแล้ว นี่มันจะตลกเกินไปแล้ว! ไม่มีใครที่จะทรงพลังขนาดทำแบบนั้นได้ และแน่นอนว่าฉันก็ทำไม่ได้เช่นกัน”
คลาวด์อีขมวดคิ้ว “ถ้าไม่ใช่เธอ ทำไมเป้าหมายของพวกนั้นถึงชัดเจนนักล่ะ สงครามไม่ควรมุ่งเป้าไปที่เครือข่ายฟ้าดินโดยเฉพาะ”
อาร์เคนหัวเราะเบาๆ “ขอฉันถามอะไรเธอสักอย่าง ในคืนฝนตกเมื่อสิบแปดปีก่อน เธอเดินทางหลายพันลี้ไปตามเทือกเขาจั่งไป๋ ฉันอาจจะไม่เข้าใจชะตากรรมของเธอ เพราะฉันไม่ใช่คนที่ถูกตามล่า แต่มีสิ่งหนึ่งที่ฉันสงสัยมาตลอด…เธอแน่ใจเหรอว่าปรมาจารย์หุ่นเชิดคนอื่นๆ ตายหมดแล้วจริงๆ ฉันไม่ได้มีเจตนาจะกล่าวหาเธอนะ แต่เธอไม่รู้เรื่องอะไรเลยจริงๆ เหรอ”
ฉันแน่ใจรึเปล่าว่าปรมาจารย์หุ่นเชิดคนอื่นๆ ตายหมดแล้วจริงๆ อย่างนั้นเหรอ?
คลาวด์อีไม่ตอบ เมื่อหลายปีก่อน ปรมาจารย์หุ่นเชิดเจ็ดคนออกจากสถานที่แห่งหนึ่งพร้อมด้วยภาระอันหนักอึ้ง ในท้ายที่สุด สองในเจ็ดคนตายที่นั่น ส่วนอีกห้าคนที่เหลือเดินทางมาถึงโลกมนุษย์ แต่เป็นที่เชื่อกันโดยทั่วไปว่ามีปรมาจารย์หุ่นเชิดเพียงสี่คนเท่านั้นที่เดินทางมายังโลกมนุษย์ เพราะอาร์เคนไม่เคยเปิดเผยตัว แต่ในความเป็นจริงแล้ว พวกเขามีทั้งหมดห้าคน
และห้าคนนั้นก็คือ คลาวด์อี พยัคฆ์จื๋อ เล่ยเจวี๋ย เจ๋อเมิ่ง และอาร์เคน
ชื่อเหล่านี้เป็นชื่อที่ราชาแห่งทวยเทพองค์ก่อนมอบให้พวกเขา ดังนั้นชื่อจริงๆ ของพวกเขาจึงถูกลืมเลือนไปนานแล้ว ปรมาจารย์หุ่นเชิดทุกคนมีเรื่องราวส่วนตัวในอดีตที่ไม่อยากหวนนึกถึง และพวกเขาก็รู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่กับชื่อใหม่ที่ได้รับนี้
อาร์เคนกล่าวว่า “เล่ยเจวี๋ยจากไปเมื่อเขาวางราชาองค์ใหม่ไว้ที่หน้าประตูของครอบครัวหนึ่ง แต่ฉันไม่คิดว่านี่จะเป็นเขา เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นจริงราชาองค์ใหม่คงตายไปแล้ว แต่ถ้าเป็นเจ๋อเมิ่งล่ะ เขาตายต่อหน้าเธอจริงเหรอ”
คลาวด์อีพยายามนึกถึงเศษชิ้นส่วนความทรงจำในอดีต เจ๋อเมิ่งรั้งอยู่ที่นั่นคอยขัดขวางพวกมูลนิธิ เพื่อที่สองคนในพวกเขาจะได้มีเวลาหนี
จริงๆ แล้วพวกเขาก็ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าเจ๋อเมิ่งถูกฆ่าตายในการต่อสู้จริงหรือไม่ พวกเขาพยายามตามหาร่องรอยของเรื่อนี้มาตลอดสิบแปดปีที่ผ่านมา แต่โชคก็ไม่เข้าข้างพวกเขาเลย แม้แต่พวกมูลนิธิก็ไม่อาจให้คำตอบเพื่อยืนยันเรื่องนี้ได้
“อย่างที่ฉันเพิ่งพูดไป พวกมูลนิธิรู้ตำแหน่งที่แน่ชัดของพวกเราได้อย่างไร เธอเคยคิดไหมว่าอาจจะมีความเป็นไปได้ที่ใครบางคนกลับมายังดินแดนแห่งบรรพบุรุษนี้ก่อนหน้าพวกเรา?!” น้ำเสียงของอาร์เคนเย็นยะเยือกราวกับน้ำแข็ง “เมื่อไม่นานมานี้ ฉันคิดซ้ำไปซ้ำมาถึงรายละเอียดปลีกย่อยที่เกิดขึ้นในปีนั้น จากนั้นฉันถึงเข้าใจว่าเจ๋อเมิ่งทำตัวผิดปกติในตอนที่พวกเราบุกทะลวงป้อมปราการ ในตอนนั้น แม้ว่าเขาจะพยายามปกปิดอย่างดี แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเขาลดระดับพลังของเขาลง”
ความเศร้าพาดผ่านใบหน้าของพยัคฆ์จื๋อ “พวกเราเคยมีช่วงเวลาที่งดงามด้วยกัน แต่ตอนนี้พวกเรากลับตั้งคำถามซึ่งกันและกันเสียแล้ว”
แต่คลาวด์อีมีจิตใจที่หนักแน่นกว่าอีกสองคนที่เหลือ ก่อนที่เธอจะเดินออกไป เธอกล่าวว่า “ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นใคร เขาจะต้องชดใช้ การกลับมาของราชาองค์ใหม่จะไม่มีทางสมบูรณ์หากปราศจากเลือด”
…
วันที่ 1 สิงหาคม เทือกเขาจั่งไป๋ปกคลุมไปด้วยต้นไม้เขียวชอุ่ม อุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นเมื่อความร้อนแผ่ออกมาจากพื้นดินว่างเปล่าภายใต้ดวงอาทิตย์ แต่ที่นี่ก็ยังคงหนาวเย็นในตอนกลางคืน
ป้อมปราการที่เพิ่งสร้างขึ้นใหม่ตั้งตระหง่านอยู่บนเนินหลังพยัคฆ์ จากที่ไกลๆ มันดูคล้ายกับงานศิลปะชิ้นเอก ขอบที่แหลมคมแสดงถึงพลังและความแข็งแกร่ง
ในขณะเดียวกัน สมาชิกของอาณาจักรมืดกำลังเดินทางออกจากฐานทัพชั่วคราวเพื่อไปยังสถานที่หนึ่ง ราวกับว่าพวกเขามีงานอื่นรออยู่เบื้องหน้า
พวกเขาเดินทางผ่านภูมิประเทศที่เป็นลูกคลื่นอย่างช้าๆ และตั้งใจรักษาระยะห่างจากป้อมปราการหลังพยัคฆ์ พวกเขากำลังมุ่งหน้าตรงไปยังจุดศูนย์กลางของเทือกเขาจั่งไป๋
“พวกเราควรเลือกเส้นทางที่สั้นกว่านี้” สมาชิกคนหนึ่งในทีมบ่นขึ้นมา
“อดทนหน่อย” ชายอีกคนหนึ่งตอบ “ถึงแม้เสินฉังจิ้งอาจจะไม่เคลื่อนไหวโดยบุ่มบ่ามเพราะเขาต้องคำนึงถึงกฎเกณฑ์ของโลก แต่คลื่นพลังงานในรัศมีที่ห่างจากเขาหลายร้อยลี้ ก็ไม่อาจหลบพ้นสายตาของเขาได้ นี่เป็นหนึ่งในความลี้ลับของเสินฉังจิ้ง ดังนั้นเราต้องใจเย็นๆ ฉันรอมาเป็นสิบปีแล้ว รออีกแค่ไม่กี่วันก็คงไม่เป็นไร”
นั่นทำให้ทุกคนในทีมตกอยู่ในความเงียบ ทันใดนั้นผู้เป็นหัวหน้าก็หยุดเดินและเพ่งมองไปยังเทือกเขาที่อยู่ไกลๆ “ทุกสิ่งใกล้จะจบลงแล้ว”
…
ป้อมปราการหลังพยัคฆ์มีรูปลักษณ์ที่พิเศษ มันตั้งตระหง่านอยู่บนเทือกเขา และดูเหมือนจะกลมกลืนไปกับเนินลาดชัน
ป้อมปราการแห่งนี้ล้อมรอบไปด้วยกำแพงที่สูงมาก เหล่าวิศวกรทำการคำนวณทางวิทยาศาสตร์เพื่อให้แน่ใจว่ากำแพงสูงพอที่จะกันไม่ให้พวกระดับ C ขั้นสูง ข้ามผ่านมาได้
แต่การวางระบบป้องกันก็กลายเป็นเรื่องที่ท้าทายขึ้นเรื่อยๆ เมื่อระดับพลังเฉลี่ยของศัตรูเพิ่มขึ้น เครือข่ายฟ้าดินพิจารณาถึงเรื่องนี้เช่นกัน พวกเขาสกัดหินและตัดต้นไม้ในบริเวณใกล้เคียงออกทั้งหมด
หากจะพูดในแง่ของความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การทำเช่นนี้ถือเป็นการทำลายระบบนิเวศในท้องถิ่น แต่ความอยู่รอดของมนุษย์มักจะมาก่อนความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเสมอ
ขณะที่นั่งอยู่ในศูนย์บัญชาการ หลี่อีเสี้ยวก็พูดขึ้นมาว่า “จากที่ฉันเห็น พวกผู้บำเพ็ญลับดูจะไม่ค่อยเต็มใจที่จะเอาชีวิตเข้าเสี่ยงเพื่อต่อสู้กับพวกเราสักเท่าไร ดังนั้นทำไมเราไม่ลองโน้มน้าวให้คนพวกนั้นมาเข้าร่วมกับเราล่ะ”
“อยู่บนความเป็นจริงหน่อย” น่าหลานเชวี่ยแย้ง “นายมีอะไรที่จะเสนอให้คนพวกนั้นเหรอ นายจะใช้อะไรโน้มน้าวให้พวกเขายอมเข้าร่วมกับเครือข่ายฟ้าดิน”
“ไม่ใช่ว่าพวกเขากำลังอดอยากเหรอ ก็แค่ให้พวกเขาเข้ามา แล้วเราก็ให้อาหารแก่พวกเขา!” หลี่อีเสี้ยวกล่าว
“นายโง่หรือเปล่า นายจะให้คนหนึ่งแสนคนเข้ามาอยู่ในป้อมปราการนี้ทั้งหมดได้อย่างไร นอกจากนี้คือนายจะไม่มีทางรู้เลย หากว่ามีผู้มีพลังจากองค์กรใหญ่ๆ หลายพันคนแอบแฝงตัวเข้ามา พอถึงตอนนั้น เราก็ไม่จำเป็นต้องป้องกันศัตรูจากภายนอกแล้ว เพราะศัตรูได้เข้ามาอยู่ข้างในแล้วอย่างไรล่ะ โดยส่วนตัวฉันยินดีที่จะเห็นพวกเขาตายอยู่ข้างนอกนั่นมากกว่า” น่าหลานเชวี่ยกล่าวด้วยท่าทางดูถูก “โปรดเก็บสมองของนายเอาไว้สำหรับคิดหาวิธีใหม่ๆ ในการซ่อนกระเป๋าเงินลับของนายดีกว่า”
เฉินจู่อานพูดขึ้นมาว่า “ฉันสงสัยว่าตอนนี้พี่ซู่อยู่ที่ไหน อันที่จริงพวกเราไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องกลยุทธ์การต่อสู้เลย เพราะคนอย่างโยวหมิงอวี่และห่าวจื้อเชาสามารถจัดการเรื่องนี้ได้อย่างดีอยู่แล้ว สำหรับการวางกลยุทธ์แล้ว พวกเราก็ถือเป็นแค่คนธรรมดา แต่พวกมันสมองน่ะถือเป็นผู้เชี่ยวชาญ ฉันอยากรู้มากกว่าว่าตอนนี้พี่ซู่เป็นอย่างไรบ้าง”
ในตอนนี้ หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ หลี่ว์ซู่ และเฉาชิงฉือไม่อยู่ในศูนย์บัญชาการ ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน นั่นทำให้เฉินจู่อานและเฉิงชิวเฉี่ยวเป็นเพียงสองคนที่เป็นนักเรียนในสาขาวิจัยสายพันธุ์ที่อยู่ที่นี่ และตอนนี้เฉินจู่อานเสียเหรียญในเกมไปจนหมดแล้ว อะไรๆ ก็เลยดูน่าเบื่อไปเสียหมด…
“เก็บความกังวลไว้ใช้กับตัวนายเองเถอะ” เฉิงชิวเฉี่ยวกล่าว “ตอนนี้พี่ซู่สามารถหลบหนีไปได้อย่างปลอดภัย หลังจากที่เขาฆ่าพวกระดับ B ไปถึงเจ็ดคนในคราวเดียวที่ท่าเรืออาร์เตม เขาไม่ต้องการความเป็นห่วงจากนายหรอก”
จากนั้นบันทึกการต่อสู้อันยอดเยี่ยมของหลี่ว์ซู่ก็ถูกรายงานมายังเครือข่ายฟ้าดิน นี่เป็นข่าวที่ช่วยสร้างขวัญกำลังใจได้เป็นอย่างดี
ก่อให้เกิดความรู้สึกชื่นชมลึกซึ้งจากภายในเครือข่ายฟ้าดิน ในฐานะราชันฟ้าคนที่เก้าที่เคยสังหารระดับ A แบบปลอมๆ ตอนนี้เขาสามารถสร้างชื่อเสียงอันงดงามให้ตนเองได้แล้ว
ฮุ่นตุ้นเคลื่อนที่ไปในทะเลและพุ่งขึ้นสู่ผิวน้ำ!
หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าอะดรีนาลีนกำลังพลุ่งพล่านไปตามกระแสเลือด ถึงแม้ว่าร่างกายของเขาจะถูกปกคลุมไปด้วยสาหร่ายในขณะที่ฮุ่นตุ้นว่ายขึ้นมาจากร่องลึกอันมืดมิดก็ตาม
ในตอนที่ฮุ่นตุ้นโผล่ขึ้นมาจากน้ำ หลี่ว์ซู่ก็เต็มไปด้วยพลังงานเต็มเปี่ยม นั่นคือความหมายที่แท้จริงของผู้บำเพ็ญ ท้องฟ้าที่เปิดกว้างและชีวิตแห่งความเป็นไปได้ที่ไม่มีที่สิ้นสุด!
แต่เดี๋ยวก่อน ใบหน้าของหลี่ว์ซู่แข็งค้าง คนที่อยู่ตรงหน้าเขาไม่ใช่ฟรานเชสโก…ที่อยู่ตรงหน้าเขาคือคลาวด์อี และชายที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามที่ยืนอยู่ข้างๆ เธอ จะต้องเป็น…พยัคฆ์จื๋อ!
หลี่ว์ซู่รู้สึกพูดไม่ออก หนึ่งวินาทีก่อนหน้านี้ เขาพร้อมมากที่จะต่อสู้กับฟรานเชสโก ระดับ A แต่ชายคนนั้นจากไปแล้ว นั่นหมายความว่าตอนนี้เขาต้องเผชิญหน้ากับระดับ A ถึงสองคนใช่หรือไม่…
ในตอนนี้ใบหน้าของหลี่ว์ซู่เต็มไปด้วยหญ้าทะเล คลาวด์อีถามอย่างลังเลว่า “นายคือหลี่ว์ซู่ใช่ไหม”
หลี่ว์ซู่ส่ายหัว “ไม่ใช่”
คลาวด์อียิ้ม “แล้วนายเป็นใคร”
หลี่ว์ซู่เหลือบมองไปรอบๆ แล้วมองไปที่ฮุ่นตุ้น หลังจากหยุดคิดสักครู่ เขาจึงตอบว่า “นาจา”
ความมั่นใจหลุดลอยไปจากเขา ไม่รู้ว่าทำไมปรมาจารย์หุ่นเชิดถึงมาอยู่ที่นี่ตั้งสองคน! สิ่งที่เขาควรทำในตอนนี้ก็คือรีบหนี!
“ไปกันเถอะซานไท่จื่อ!” หลังจากนั้นเขาก็ขี่ฮุ่นตุ้นออกไปทันที พร้อมๆ กลับหันมองย้อนกลับไปซ้ำๆ เพื่อตรวจสอบว่าคลาวด์อีและพยัคฆ์จื๋อไล่ตามมาหรือไม่
ด้วยความตกตะลึง พยัคฆ์จื๋อจ้องมองไปที่ร่างที่กำลังห่างออกไปของหลี่ว์ซู่ เขาบ่นพึมพำกับตัวเองว่า “มีอะไรผิดพลาดอย่างนั้นหรือ”
จริงๆ แล้วพวกเขารีบมาเพื่อดูสถานการณ์หลังจากได้รับแจ้งว่าฟรานเชสโกกำลังไล่ตามหลี่ว์ซู่อยู่ แต่แทนที่จะเจอฟรานเชสโก พวกเขากลับเจอแต่มังกร…
คลาวด์อีกล่าวว่า “นั่นคือชายที่โชคชะตาเลือก เขาถึงขั้นทำให้มังกรเชื่องได้”
พยัคฆ์จื๋อเหลือบมองเธอด้วยสายตาปลงๆ “มนุษย์พูดกันว่าอย่าบูชารูปเคารพจนตาบอด นอกจากนี้ ราชาแห่งทวยเทพองค์ก่อนไม่จำเป็นต้องมีมังกร แต่ครั้งหนึ่งมีมังกรที่ต้องการร่วมมือกับเขา”
“การร่วมมือกันแตกต่างจากการทำให้เชื่อง นอกจากนี้ราชาองค์เก่ายังมีพลังมากกว่าหลี่ว์ซู่ในตอนนี้นายสามารถทำให้มังกรเชื่อง ทั้งๆ ที่เป็นแค่ระดับ B ได้ไหมล่ะ” คลาวด์อีแย้ง
พยัคฆ์จื๋อโบกมือเพื่อยุติการโต้เถียง “ช่างเถอะ เธอน่ะเสียสติไปแล้ว!”
“นายติดตามราชาองค์เก่ามานานแค่ไหนแล้ว” จู่ๆ คลาวด์อีก็ถามขึ้น
พยัคฆ์จื๋อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและตอบว่า “ฉันต่อสู้เคียงข้างเขามากกว่าสามพันปีแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นก็สู้เคียงข้างราชาองค์ใหม่ไปอีกสามพันปีสิ” คลาวด์อีกล่าว
“แต่ฉันไม่คิดว่าราชาองค์ใหม่จะกระหายเลือดขนาดนั้น” พยัคฆ์จื๋อพึมพำ “แต่จากบุคลิกของเขาแล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะสามารถสร้างศัตรูได้เป็นจำนวนมากถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ฆ่าใครก็ตาม…”
“ในฐานะปรมาจารย์หุ่นเชิด หน้าที่ของเราคือการอยู่เคียงข้างองค์ราชา และเฝ้ามองโลกมนุษย์จากข้างบัลลังก์ของเขา ไปกันเถอะ ได้เวลาชำระหนี้เก่าแล้ว”
…
ความตึงเครียดกำลังก่อตัวขึ้นในเต็นท์มืด ความเงียบปกคลุมทั่วทั้งห้อง คนที่เฝ้าประตูไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง ด้วยกลัวว่านั่นอาจจะทำให้คนใหญ่คนโตที่อยู่ข้างในโกรธ
นักบุญนั่งอยู่ในตำแหน่งของหัวหน้าอย่างสงบ ลูกบอลโลหะเรืองแสงลอยอยู่เหนือปลายนิ้วของเขา มันเป็นของเหลวที่เปลี่ยนรูปร่างไปตามที่เขาควบคุม บางครั้งมันก็เปลี่ยนเป็นแพะที่มีชีวิตชีวา เส้นขนแต่ละเส้นของมันสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่บางครั้งมันก็กลับไปเป็นทรงกลมตามเดิม
ถึงแม้ว่าทุกคนที่นี่จะมีพลังแข็งแกร่ง แต่ก็แทบไม่มีใครที่สามารถควบคุมพลังในระดับเดียวกับนักบุญได้
นักบุญเป็นยอดฝีมือธาตุลม แต่ในคืนนี้เองที่ผู้คนได้รู้ว่าเขาได้ปลุกพลังธาตุโลหะขึ้นมาแล้วเช่นกัน!
เห็นได้ชัดว่านักบุญได้ตัดสินใจที่จะเปิดเผยไพ่ตายของเขาหลังจากที่ฟรานเชสโกก้าวขึ้นสู่ระดับ A ลูกบอลบนฝ่ามือของเขาเป็นสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์ประเภทโลหะ แต่ตัวตนและความสามารถที่แท้จริงของมันยังคงเป็นปริศนาสำหรับคนอื่นๆ ที่เหลือ
นักบุญพูดอย่างมีสติ “ในตอนนี้ การขนส่งของพวกคุณถูกตัดขาดทั้งหมดใช่ไหม ผมยินดีที่จะร่วมมือกับพวกคุณเพราะผมยอมรับในความสามารถของพวกคุณ แต่น่าเสียดายที่ดูเหมือนว่าพวกคุณทุกคน กลับขาดการใช้สมองที่จะดึงเอาความสามารถออกมาใช้ ช่างน่าหัวเราะเสียจริง เพียงแค่คิดว่าพวกคุณปล่อยให้ผู้ชายคนเดิมขโมยเสบียงของพวกคุณไปถึงสองครั้ง”
ไม่มีใครในห้องกล้าพูดหรือกล้าเรียกผู้นำคนอื่นว่าโง่เหมือนอย่างที่นักบุญทำ
“มีสายลับอยู่ในหมู่พวกเรา” ผู้นำของอาณาจักรมืดกล่าวพร้อมหัวเราะเบาๆ “ไม่อย่างนั้นมันจะรู้ได้ยังไงว่าเสบียงกำลังจะมาถึง ผมบอกว่าเสบียงจะมาถึงที่นี่ภายในแปดชั่วโมง ดังนั้นต้องมีคนคำนวณตำแหน่งของเรือบรรทุกสินค้าและบอกข้อมูลให้มันรู้ นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมมันถึงสามารถระบุตำแหน่งของเรือได้อย่างแม่นยำ”
ฟรานเชสโกที่ยืนอยู่ด้านหลังนักบุญถามว่า “อาจจะเป็นเพราะโชคหรือเปล่า”
นักบุญรวบลูกบอลของเขาเข้าด้วยกันและหัวเราะอย่างเย็นชา “นายคิดว่าพวกเราทุกคนโง่เหมือนนายเหรอ?”
หัวหน้าบาทหลวงยิ้ม “ท่านสุภาพบุรุษทั้งหลายได้โปรดใจเย็นลงก่อน อย่างไรเสียพวกเราทุกคนต่างก็มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน นั่นก็คือสมบัติของเผ่าโบราณอี๋ ดังนั้นเราควรมุ่งไปที่เรื่องเฉพาะหน้าก่อนว่าเราจะจัดการกับปัญหาการขาดแคลนเสบียงได้อย่างไร”
“คุณมีแผนอะไร”
“พิจารณาจากเสบียงที่เรานำมาในครั้งที่แล้ว ตอนนี้เรามีเหลืออยู่ทั้งหมดสามสิบเปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะพอสำหรับเลี้ยงคนมากมายขนาดนี้” ใบหน้าของหัวหน้าบาทหลวงซ่อนอยู่ในเงามืด “แต่ถ้าเราไม่ได้มีคนมากขนาดนั้นล่ะ เราก็แค่ส่งพวกผู้บำเพ็ญลับไปลงนรกซะ คนที่เหลือก็จะอยู่รอดเพราะอัตราการแย่งชิงเสบียงน้อยลง “
น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความไม่แยแสและมุ่งร้าย แต่ความคิดของเขาก็สมเหตุสมผลอย่างน่ากลัว
“ผมเห็นด้วย” ซาตานพูด
ผู้นำของอาณาจักรมืดพูดขึ้น “ผมก็เห็นด้วยเช่นกัน”
“ถ้าเช่นนั้นก็เริ่มการโจมตี” นักบุญตัดสินใจราวกับว่าเขาเป็นประธานของการประชุมนี้ ชีวิตของผู้บำเพ็ญลับอยู่ในมือของเขาแต่เพียงผู้เดียว
“เราจะแบ่งสมบัติกับองค์กรเยอะแยะขนาดนี้ได้ยังไง ตอนนี้เราควรจะตกลงกันเรื่องนี้ด้วย” หัวหน้าบาทหลวงกล่าว
“สิบเปอร์เซ็นต์สำหรับดังเคอร์!”
“สิบเปอร์เซ็นต์สำหรับเพลดจ์!”
องค์กรหลักส่วนใหญ่เรียกร้องส่วนแบ่งสิบเปอร์เซ็นต์ แต่ในตอนนี้พวกเขามีมากกว่าสิบองค์กร
“มีเพียงผู้รอดชีวิตจากสงครามเท่านั้นที่มีสิทธิ์พูดถึงสมบัติ ท่านสุภาพบุรุษทั้งหลาย พวกท่านคิดว่าจะมีชีวิตอยู่จนถึงตอนจบได้จริงๆ หรือ อย่าได้ประมาทเครือข่ายฟ้าดิน หลังจากสงครามสิ้นสุด ผู้ที่ยังมีชีวิตรอดจะได้รับรางวัลตามการมีส่วนร่วมในสงครามครั้งนี้” ด้วยเหตุนี้ นักบุญจึงยุติการประชุมลง ในสงครามผู้คนต่างล้มตายกันเป็นจำนวนมาก
ในช่วงสงคราม เราไม่สามารถตัดสินความตายได้ด้วยตนเอง มีเพียงโชคชะตาเท่านั้นที่ทำได้
“คนตาย…ก็ถือเป็นสมบัติเช่นกัน” หัวหน้าอาณาจักรมืดกล่าว เขาหัวเราะอย่างเบิกบานใจ ราวกับว่าในที่สุดเขาก็ได้บรรลุความปรารถนาในหัวใจของเขาแล้ว
แต่ในครั้งนี้ ทั้งหัวหน้าบาทหลวงและฟรานเชสโกต่างก็นิ่งเงียบ
หลี่ว์ซู่อยู่นิ่งๆ ในร่องลึกใต้มหาสมุทร ความมืดในส่วนลึกของทะเลมอบปราการปกป้องตามธรรมชาติให้เขา แม้หลี่ว์ซู่จะเชื่อว่าฟรานเชสโกจะไม่เสี่ยงไล่ตามเขามาตลอดทางจนถึงที่นี่ แต่เขาก็ไม่อาจมั่นใจได้ว่าปลอดภัยพอจะออกไปได้หรือยัง
ในขณะเดียวกันฮุ่นตุ้นยังคงหลับลึกอยู่ในตราแผ่นดินของเขา หลี่ซู่จ้องมองมันอย่างเคืองๆ เขาจะไม่มีทางต้องลำบากขนาดนี้ถ้าเจ้านี่ตื่น!
อย่างไรก็ตาม หลี่ว์ซู่มั่นใจว่าการขึ้นสู่ระดับ A ของฟรานเชสโกต้องเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ และเขาต้องใช้วิธีการที่ไม่ปกติ เป็นผลให้ฟรานเชสโกและหัวหน้าบาทหลวงค่อนข้างอ่อนแอกว่าระดับ A คนอื่นๆ แม้ว่าพวกเขาจะได้เปรียบมากกว่าพวกระดับ B ก็ตาม
ดังนั้นหากฮุ่นตุ้นตื่นขึ้น หลี่ว์ซู่ก็มั่นใจที่ว่าจะสู้กับฟรานเชสโกได้
แม้ว่าเขาจะไม่สามารถเอาชนะเนี่ยถิงระดับ A ได้ แต่เขาก็อาจมีโอกาสเอาชนะฟรานเชสโกระดับ A ได้!
จากนั้นหลี่ว์ซู่ก็เริ่มจัดการตรวจดูของที่เขาขโมยมาจากเรือบรรทุกสินค้า มันเป็นการเก็บเกี่ยวที่ยอดเยี่ยม เพราะนอกจากทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์แล้วยังมีอาวุธมาตรฐานอีกกว่าสามหมื่นชิ้น แม้ว่าคุณภาพของพวกมันอาจจะดีกว่าของพวกกลุ่มแก่นความเชื่อ แต่ก็ไม่สามารถเรียกว่าดีได้เช่นกัน
หลี่ว์ซู่ครุ่นคิดว่า หรือนี่จะเป็นเสบียงสนับสนุนที่อาณาจักรมืดจัดเตรียมไว้ให้กับองค์กรอื่นๆ หลังจากที่เขาตัดเสบียงอาหารของพวกนั้น อาณาจักรมืดจึงได้ส่งเสบียงสำรองไป
สิ่งนี้ยืนยันการคาดเดาของหลี่ว์ซู่ที่ว่าอาณาจักรมืดมีบทบาทสำคัญในสงครามครั้งนี้
แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นแค่เรื่องบังเอิญที่หลี่ว์ซู่ว่ายน้ำไปเจอเรือบรรทุกสินค้าทั้งสามลำเข้า
อย่างไรก็ตาม ความจริงที่ว่าเขามักจะปรากฏตัวพร้อมกับอุปกรณ์ขนส่งขององค์กรอื่นๆ ก็ดูเหมือนจะบ่งบอกว่าเขาเป็นคนโลภ ซึ่งนั่นทำให้หลี่ว์ซู่ค่อนข้างจะรู้สึกผิด …
แต่ครั้งนี้เขาไม่ผิด แม้ว่ามันยากที่จะเชื่อ แต่เรือเหล่านั้นแล่นเข้ามาหาเขาด้วยตัวเอง!
จะว่าไปแล้ว เขาคงต้องขอบคุณฟรานเชสโกเป็นการส่วนตัวในครั้งหน้าที่พวกเขาได้พบกัน เพราะ ฟรานเชสโกมีส่วนช่วยทางอ้อมในการทำกำไรครั้งใหญ่ของหลี่ว์ซู่
หลี่ว์ซู่มองไปที่ตราแผ่นดินของเขา ภายในมีเรือบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่สามลำจอดอยู่ข้างๆ รถบรรทุกสามสิบเอ็ดคันอย่างเงียบๆ หลี่ว์ซู่รู้ว่ามีคนอยู่บนเรือ แต่ไม่ใช่ในรถบรรทุก ดังนั้นเขาจึงตรวจสอบผู้คนบนเรือด้วยความอยากรู้อยากเห็น
จากนั้นเขาจึงรู้ว่าทุกคนบนเรือหายใจไม่ออก ใบหน้าและริมฝีปากของพวกเขามีสีฟ้าอมม่วงซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าพวกเขาเสียชีวิตจากการขาดออกซิเจน นั่นอาจเป็นเพราะตราแผ่นดินอยู่ในสภาพสุญญากาศ?
นั่นหมายความว่าสิ่งมีชีวิตจะสามารถมีชีวิตอยู่ข้างในได้หากมีอากาศ? หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็เท่ากับว่าฮุ่นตุ้นไม่จำเป็นต้องหายใจ? หลี่ว์ซู่ครุ่นคิดจนเข้าใจ
ในความเป็นจริง เขาเคยประสบกับการต่อต้านเมื่อเขายัดเรือเข้าไปในตราแผ่นดิน เนื่องจากการปะทะกันระหว่างคลื่นพลังจิตวิญญาณและแสงดวงดาว หลี่ว์ซู่คาดเดาว่าอาจเป็นเพราะคนบนเรือต่อต้านการถูกดึงเข้าตราแผ่นดิน ในทำนองเดียวกัน เขาก็ไม่สามารถบังคับให้เลือดไหลออกจากร่างกายของคนอื่นด้วยความสามารถธาตุน้ำของเขาได้ เนื่องจากแรงต้าน
นี่หมายความว่าตราแผ่นดินของเขาไม่ได้รับรองว่าเขาจะสามารถทำอะไรก็ได้ที่เขาพอใจได้ตามใจตนเอง หากการดึงสิ่งมีชีวิตเข้าตราแผ่นดินของเขาไม่อาจต้านทานได้ เขาก็จะสามารถผลักศัตรูทั้งหมดของเขาเข้าไปในนั้นและรอจนคนทั้งหมดตาย ช่างง่ายเสียจริง!
ดังนั้นเขาจะวางโต๊ะไพ่นกกระจอกไว้ในตราแผ่นดินให้คนในนั้นได้เล่นกัน…ไม่สิ โต๊ะไพ่นกกระจอกแค่โต๊ะเดียวอาจไม่พอสำหรับทุกคน จากจำนวนศัตรูของเขาในขณะนี้ อย่างน้อยเขาก็ต้องมีคาสิโนเพื่อรองรับคนพวกนี้ทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม หลี่ว์ซู่ยังไม่สามารถแน่ใจได้ว่าสาเหตุของการต่อต้านนั้นมาจากการที่ผู้คนต่อสู้กับความตั้งใจของตราแผ่นดินจริงหรือไม่ ยิ่งไปกว่านั้นคือเขาไม่มีเวลาตัดสินพลังของแต่ละคน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีหลักฐานเพิ่มเติม…เขาสามารถทดสอบกับเฉินจู่อานได้ไหมนะ? เจ้านั่นคงรอดจากการหายใจไม่ออกได้อยู่ดี
เดี๋ยวนะ มีผู้รอดชีวิตสามคนบนเรือ! เมื่อจิตหยั่งรู้ของหลี่ว์ซู่สำรวจลึกเข้าไปในเรือ เขาเห็นคนสามคนซ่อนตัวอยู่ในห้องโดยสารซึ่งมีถังออกซิเจนอยู่ตรงกลาง พวกเขาทั้งสามคนผลัดกันใช้ถังออกซิเจนนั้น…
เรือบรรทุกสินค้าที่ลำใหญ่ขนาดนี้น่าจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับเหตุฉุกเฉินอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามทั้งสามคนนี้เห็นแก่ตัวมากเสียจนพวกเขาสามารถยืนดูลูกเรือหลายร้อยคนเสียชีวิตลงได้ หลี่ว์ซู่รู้สึกพูดไม่ออก เขาครุ่นคิดถึงวิธีการลงโทษคนพวกนี้ ในความเป็นจริงเขาไม่มีความเห็นอกเห็นใจต่อใครในอาณาจักรมืด เขาจะไม่แม้แต่กะพริบตาด้วยซ้ำหากมีใครสักคนต้องตาย
จากนั้นหลี่ว์ซู่ก็มองเข้าไปในพื้นที่ว่างอันกว้างใหญ่ในตราแผ่นดินของเขา หลี่ว์ซู่สงสัยว่าจะเป็นไปได้หรือไม่หากเขาจะสร้างโลกใหม่ที่นั่น หลังจากที่เขาใส่ออกซิเจน ดิน และแม่น้ำ เขาสามารถหาวิธีสร้างวัฏจักรของน้ำและระบบนิเวศที่สมบูรณ์ได้ ด้วยวิธีนี้ ดินแดนแห่งนี้จะกลายเป็นอาณาจักรที่เป็นอิสระจากผู้อื่น นี่จะกลายเป็นอาณาจักรของหลี่ว์ซู่!
ด้วยสัญชาตญาณจิตหยั่งรู้ของเขา หลี่ว์ซู่บังคับให้ทั้งสามคนออกจากเรือ แต่เขาก็พบกับการต่อต้านของคลื่นพลังจิตวิญญาณแบบเดิมอีกครั้ง คนทั้งสามจับถังออกซิเจนไว้แน่นขณะลอยออกจากเรือ อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมาพวกเขาก็ต้องตกตะลึงกับภาพที่เห็นตรงหน้า…
รถบรรทุกสามสิบเอ็ดคันจอดนิ่งอยู่บนพื้นที่ปกคลุมไปด้วยหมอก มีทองคำแท่งจำนวนนับไม่ถ้วน ธนบัตรเงินสด และหอกสามง่ามกองอยู่ข้างๆ และยังมีมังกรดำที่มีความยาวกว่าหนึ่งร้อยเมตร
มังกรดำดูเคร่งขรึมราวกับโทเทม หนวดของมันแกว่งไปมาในอากาศที่ไม่มีอยู่จริง และเกล็ดสีดำสนิทก็ดูแข็งจนไม่สามารถทำลายได้
ทั้งสามคนกลั้นหายใจ ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหน?! แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่กล้าขยับ เพราะกลัวว่าอาจจะทำให้มังกรตื่นขึ้น
ในขณะเดียวกัน หลี่ว์ซู่ก็กำลังคิดหาวิธีโน้มน้าวให้ทั้งสามคนยอมมาเป็นเกษตรกรของเขา และมันคงจะดีมากถ้าหากใครคนใดคนหนึ่งในพวกเขาเป็นสายพืช หรือธาตุดิน หรือธาตุน้ำ
แต่ก่อนที่เขาจะคิดหาวิธีทำได้ ฮุ่นตุ้นก็ทำให้เขาตกใจ มันลืมตาขึ้นและกลืนกินคนทั้งสามไปทั้งอย่างนั้น…
หลี่ว์ซู่เซ็ง “…ออกมา!”
ทำไมแกไม่ยอมตื่นตอนที่ฉันต้องการ แล้วใครบอกให้แกกินคนพวกนี้
ทันทีที่หลี่ว์ซู่ดึงฮุ่นตุ้นออกจากตราแผ่นดิน ฮุ่นตุ้นก็ทำให้น้ำทะเลปั่นป่วนอย่างสนุกสนาน จนทำให้ฝุ่นตะกอนสีเทาในทะเลปั่นป่วนตามไปด้วย
หลี่ว์ซู่มองไปที่ฮุ้นตุ้นด้วยสีหน้าว่างเปล่า เขาพยายามระงับความโกรธของตัวเอง หลังจากฮุ่นตุ้นสนุกพอแล้วมันก็หันกลับมาและเอาตัวถูกับหลี่ว์ซู่ “หงิงหงิงหงิง!”
ไม่แน่ใจว่ามันคือพรสวรรค์หรือเหตุผลอื่นๆ พยางค์เหล่านั้นถูกเปล่งออกมาได้อย่างชัดเจนในมหาสมุทรลึก…
หลังจากที่หลี่ว์ซู่บังคับให้กระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวสงบนิ่งลงอีกครั้ง เขาจึงกล่าวว่า “อย่าซน ออกไปฆ่าคนกันเถอะ ครั้งนี้ห้ามหลับอีกเข้าใจไหม ถ้าไม่อย่างนั้นฉันจะยึดหอกสามง่ามของนายจนหมด!”
ฮุ่นตุ้นพึมพำเป็นคำว่า “หงิงหงิงหงิง?”
“ฆ่าใคร?” หลี่ว์ซู่แปล เขาเข้าใจภาษามังกรได้! จากนั้นเขาก็พูดว่า “ฆ่าใครก็ได้ที่นายต้องการ”
“หงิงหงิงหงิง!”
ดวงตาของหลี่ว์ซู่เบิกกว้าง “นายพาฉันบินไปได้เหรอ”
หลี่ว์ซู่ไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน! เขารู้ว่าฮุ่นตุ้นบินได้ แต่เขาไม่เคยคิดว่าฮุ่นตุ้นจะยอมให้เขาขี่มัน!
นั่นหมายความว่าเขาจะได้มีประสบการณ์และได้รู้ความรู้สึกของการเป็นระดับ A เร็วกว่าที่คิด?!
ในความเป็นจริงมนุษย์ทุกคนคงมีช่วงเวลาที่อยากจะบินได้โดยเฉพาะในช่วงที่รถติดอย่างหนัก…
หลี่ว์ซู่รู้สึกกระตือรือร้นที่จะได้ลองบิน เขายืนอยู่บนกะโหลกศีรษะขนาดใหญ่ของฮุ่นตุ้นและจับเขาของมันไว้ จากนั้นเขาจึงย้ำอีกครั้งอย่างอดทน “ศัตรูของเราไม่ธรรมดา เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการต่อสู้ที่อาจจะกินเวลายาวนาน แต่ไม่ว่ายังไงคนคนนั้นก็ต้องตาย!”
“หงิงหงิงหงิง!”
เป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดเลยว่าหกในเจ็ดคนของพวกระดับ B ถูกกำจัดไปแล้ว
ในตอนแรกพวกเขาต้องรับมือเพียงแค่กระบี่เฉวียอินและพลังธาตุน้ำของหลี่ว์ซู่เท่านั้น พวกเขาคิดว่าตนเองมองวิธีการโจมตีของหลี่ว์ซู่ออกแล้ว แต่ในไม่ช้าพวกเขาก็ตระหนักได้ว่าสิ่งที่พวกเขารู้เป็นเพียงแค่ส่วนยอดของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น…
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่ขว้างเต้าหู้เหม็นใส่พวกเขาในระหว่างการต่อสู้…
ในขณะนี้ระดับ B คนสุดท้ายรู้แล้วว่าพวกเขาประเมินศัตรูผิดไป เขาคงจะถูกฆ่าตายเช่นกันถ้าไม่ใช่เพราะเขาระมัดระวังตัว! แต่ถึงอย่างนั้นอวัยวะภายในของเขาก็ฉีกขาดทั้งหมด
และที่น่ากลัวกว่านั้นคือเด็กที่อยู่ข้างหลังเขานั้นรวดเร็วกว่าเขาด้วยซ้ำ!
ลางร้ายผุดขึ้นในใจเมื่อเขาได้ยินเสียงน้ำไหลอยู่ใกล้ๆ
เขาพยายามอย่างเต็มที่ในการระบุตำแหน่งและทิศทางของแม่น้ำ เพื่อจะได้วิ่งหนีจากที่นั่นไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ มิฉะนั้นโอกาสในการอยู่รอดของเขาจะลดลงจากน้อยนิดจนเป็นศูนย์
อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมเด็กคนนี้ถึงแข็งแกร่งกว่าพวกเขานัก ทั้งๆ ที่ก็อยู่ระดับ B เหมือนกัน!
ในตอนที่ระดับ B คนที่สี่ตาย เขาเห็นด้วยตาตัวเองว่าเด็กคนนี้หักกระบี่ยาวด้วยมือเปล่า ทั้งๆ ที่กระบี่นั้นก็เป็นกระบี่คุณภาพดี ไม่ใช่กระบี่ทั่วๆ ไปที่มอบให้พวกผู้บำเพ็ญลับ!
ดังนั้นนี่จึงทำให้พวกเขารู้สึกราวกับว่าพวกเขากำลังต่อสู้กับระดับ A
ความรู้สึกหวาดกลัวแผ่กระจายไปทั่วจิตใจของพวกเขา เมื่อพวกเขาตระหนักได้ว่าเด็กคนนี้น่าจะเป็นรองแค่ระดับ Aเท่านั้น!
ขณะนี้เขาได้ยินเสียงฟ้าร้องดังขึ้นบนท้องฟ้า เขามองขึ้นไปที่หมู่เมฆด้วยความดีใจ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่สามารถบอกถึงตัวตนของจุดสีดำเล็กๆ นั้นได้จากที่ไกลๆ แต่สิ่งหนึ่งที่เขามั่นใจก็คือ นั่นคือระดับ A ที่มาช่วยเขา!
เขาจะมีชีวิตอยู่ต่อตราบเท่าที่เขาสามารถยืนหยัดอยู่ได้อีกสามนาที!
แต่…สายเกินไปแล้ว
ผู้มีพลังระดับ B ได้แค่มองในขณะที่กระบี่บินสองเล่มแทงทะลุร่างของเขา ทันใดนั้นเขาก็ไร้ซึ่งความยินดีและความโกรธเกรี้ยว
ในขณะเดียวกันหลี่ว์ซู่ที่ยืนอยู่บนทางลาด กำลังจ้องมองไปในยังที่ที่ระดับ A กำลังใกล้เข้ามา นั่นอาจจะเป็นหัวหน้าบาทหลวงหรือไม่ก็นักบุญ แต่เมื่อบุคคลนั้นเข้ามาใกล้ หลี่ว์ซู่ถึงได้รู้ว่านั่นคือฟรานเชสโก!
ฟรานเชสโกขึ้นสู่ระดับ A ตั้งแต่เมื่อไหร่!
หลี่ว์ซู่ตะโกนสุดเสียงเข้าไปในตราแผ่นดินของเขา “ตื่นได้แล้วฮุ่นตุ้น! เรามีแขก! ฮุ่นตุ้น! เจ้าบ้าเอ๊ย!”
ในวินาทีต่อมาเขารีบหมุนตัวไปยังทิศทางของแม่น้ำ มันอยู่ที่ไหนนะ? ใช่แล้ว ทางตะวันออก!
เขามีความมั่นใจในการตามล่าพวกระดับ B คนอื่นๆ
แต่นั่นจะกลายเป็นคนละเรื่องไปเลยกับการที่มีระดับ A อยู่ที่นี่
ทันทีที่หลี่ว์ซู่กระโดดลงไปในแม่น้ำ ฟรานเชสโกก็พุ่งเข้าหาเขาจากฝั่งแล้ว อย่างไรก็ตาม ความเงียบสงบกลับคืนสู่แม่น้ำหลังจากรอยเลือดและหลี่ว์ซู่หายไปอย่างไร้ร่องรอย!
ฟรานเชสโกลงไปในน้ำด้วยใบหน้าน่ากลัว ร่างกายของเขาล้อมรอบด้วยแสงสีเงินซึ่งทำให้การเคลื่อนไหวใต้น้ำของเขาเร็วเกือบเท่าความเร็วของเขาบนพื้นดิน
หลี่ว์ซู่รู้ดีว่าน้ำไม่สามารถขัดขวางการเคลื่อนไหวของพวกระดับ A ได้ ย้อนกลับไปที่ลบนัวร์ เขาได้เห็นว่าเฉินไป่หลี่สามารถใช้พลังในทะเลได้อย่างเต็มที่เพียงใด
แต่จริงๆ แล้วเป้าหมายของหลี่ว์ซู่ไม่ใช่การทำให้ฟรานเชสโกเคลื่อนที่ได้ช้าลง แต่เขาต้องการทำให้ตัวเองคลื่อนที่ได้เร็วขึ้นต่างหาก!
ฟรานเชสโกดูเหมือนจะโกรธ หลี่ว์ซู่สัมผัสได้ถึงระยะห่างอันน้อยนิดระหว่างพวกเขาทั้งคู่ เขาจะถูกจับได้ในไม่ช้าถ้าเขาไม่ทำอะไรสักอย่าง!
หลี่ว์ซู่ถอนหายใจ ไม่มีทางเลือกแล้ว เขาต้องเปิดเผยตัวเอง
ทันใดนั้นกระบี่แสงสีม่วงกว่าสิบสายก็พุ่งออกมาจากร่างของหลี่ว์ซู่ในขณะที่เขาแยกตัวเองออกจากสายน้ำ
ในเวลาต่อมากระบี่แสงดึงเอาตาข่ายไฟฟ้าออกมา และแยกแม่น้ำออกเป็นสองส่วน จับฟรานเชสโกไว้!
ฟรานเชสโกตกตะลึง ฉากนี้น่าจดจำเกินไปสำหรับเขา…การต่อสู้ในแอฟริกา…
ในขณะนั้นฟรานเชสโกรู้สึกตื่นเต้นที่ปริศนาถูกไขแล้ว…
หลี่ว์ซู่ที่กำลังบ้าคลั่งควบคุมการไหลของน้ำและเร่งเคลื่อนที่ไปตามแม่น้ำเหมือนตอร์ปิโด เขาปล่อยกระบี่แสงออกมาอีกสองสามสายเป็นครั้งคราวเพื่อทำให้ฟรานเชสโกช้าลง
แต่กระบี่แสงของเขามีจำนวนจำกัด ถึงแม้ว่าเขาจะมีต้นแบบกระบี่มากกว่าสองพันเล่ม แต่เขามีกระบี่ที่มีสายฟ้าเพียงแปดร้อยเท่านั้น…
ระหว่างการไล่ล่าอย่างบ้าคลั่ง จู่ๆ เขากลับมาในทะเลแล้ว!
ฟรานเชสโกไม่ได้ใช้การไล่ล่าบนท้องฟ้า เพราะจะเป็นการยากที่จะระบุตำแหน่งของเด็กชายในมหาสมุทรลึกจากด้านบน
แต่ในขณะที่พวกเขากำลังจมดิ่งลงไปในมหาสมุทรแปซิฟิก เรือบรรทุกสินค้าสามลำทางด้านหน้าก็ดึงความสนใจของหลี่ว์ซู่ไปจนหมด
เขาโผล่ขึ้นมาจากผิวน้ำเพื่อดูให้ชัดขึ้น และเขาต้องรู้สึกประหลาดใจเพราะบนตัวเรือมีสัญลักษณ์ของอาณาจักรมืดอยู่!
เขารู้สึกมานานแล้วว่าอาณาจักรมืดไม่ใช่องค์กรที่มีเมตตา และในตอนนี้พวกเขาก็กำลังแล่นเรือไปยังท่าเรืออาร์เตม มีเหตุผลดีๆ อะไรที่ทำให้พวกเขาทำเช่นนี้?
ทำยังไงดี เขาควรจมเรือรึเปล่านะ
หลี่ว์ซู่ลองประเมินตำแหน่งและขนาดคร่าวๆ ของเรือบรรทุกสินค้า…เรือเหล่านี้ต้องมีของดีอยู่ข้างในอย่างแน่นอน! ถูกต้องแล้ว หลี่ว์ซู่จะต้องรู้สึกเสียดายของที่อยู่ข้างในแน่ๆ ถ้าเขาจมเรือโดยไม่ได้อะไรเลย…แต่เขาไม่สามารถใส่เรือทั้งลำเข้าไปในตราแผ่นดินของเขาได้เพราะต้องมีสิ่งมีชีวิตอยู่บนเรืออย่างแน่นอน!
แต่เดี๋ยวก่อน…ทำไมสิ่งมีชีวิตถึงเข้าไปอยู่ในคลังไร้รูปไม่ได้ แต่นั่นหมายถึงอุปกรณ์ของคนอื่น ไม่ใช่สำหรับของหลี่ว์ซู่!
ในตอนที่ฮุ่นตุ้นยังเป็นแค่ ‘วัตถุ’ หลี่ว์ซู่เก็บมันไว้ข้างในได้โดยไม่มีปัญหา และหลังจากที่มันฟื้นคืนชีวิต มันก็ยังคงอยู่ในตราแผ่นดินของเขาได้…
จริงๆ ตอนนี้ฮุ่นตุ้นกลายเป็นสิ่งมีชีวิตแล้ว!
แต่หลี่ว์ซู่ก็ไม่แน่ใจว่า หรือนั่นอาจจะเป็นเพียงเพราะลักษณะเฉพาะของฮุ่นตุ้น…
อย่างไรก็ตาม…
เขาวางมือบนเรือบรรทุกสินค้าลำหนึ่งที่กำลังแล่นผ่านมา…
[ได้แต้มจากฟรานเชสโก รุสโซ่ +666!]
ฟรานเชสโกแทบจะหยุดชะงักด้วยความตกใจเมื่อเขาเห็นด้วยตาตัวเองว่าหลี่ว์ซู่สามารถย้ายเรือบรรทุกสินค้าได้ภายในเสี้ยววินาที …
นี่มันบ้าไปแล้ว!
นี่มันไร้สาระสิ้นดี เรือบรรทุกสินค้าขนาดมหึมาจะหายไปได้อย่างไร
จากนั้นหลี่ว์ซู่ก็พุ่งเข้าหาเรือลำที่สองและสาม…เขามั่นใจว่าเขาจะไม่นับผิดในครั้งนี้
เมื่อเรือทั้งสามลำได้รับการจัดเก็บอย่างเหมาะสมในตราแผ่นดินของเขาแล้ว หลี่ว์ซู่ก็ปล่อยกระบี่แสงที่เหลือออกมาทั้งหมด พร้อมๆ กับดำดิ่งลงสู่ห้วงลึกของมหาสมุทรด้วยความเร็วสูงสุดจนกระทั่งรอดพ้นสายตาของฟรานเชสโก!
ในขณะเดียวกันการประชุมอาณาจักรมืดก็ยังไม่ได้ข้อสรุป ทันใดนั้นชายที่อยู่ตรงหัวมุมก็ได้รับสายเรียกเข้า ในวินาทีต่อมาการสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป เขาไม่ได้สุขุมและมั่นใจเหมือนที่เคยเป็น…
ที่ป้อมปราการหลังพยัคฆ์ โยวหมิงอวี่ได้รับรายงานข่าวกรองฉบับใหม่ ขณะที่กำลังอ่านอยู่นั้น เขาก็ต้องอ้าปากค้างด้วยความไม่เชื่อ “เรือบรรทุกสินค้าสามลำจากอาณาจักรมืดหายไป ฟรานเชสโกกลับไปที่ตั้งค่ายและยอมรับด้วยตนเองว่าหลี่ว์ซู่เป็นคนนำเรือทั้งสามลำใส่เข้าไปในคลังไร้รูปของเขา บนเรือมีเสบียงชุดใหม่และอาวุธมาตรฐานอีกกว่าสามหมื่นชิ้น…”
เฉินจู่อานพึมพำด้วยความตกใจ “ฉันเดาว่าพี่ซู่ต้องการที่จะทำให้พวกองค์กรต่างชาติอดตาย ว่าแต่เขาระบุที่อยู่ของเสบียงทั้งหมดได้ไงน่ะ?!”
แต่นั่นไม่ใช่คำถามที่สำคัญที่สุด สิ่งที่ทำให้พวกเขารู้สึกงงงวยที่สุดก็คือหลี่ว์ซู่รู้ได้อย่างไรว่ามีเรือบรรทุกสินค้าที่บรรทุกเสบียงเข้ามาที่ท่าเรือ
ในความเป็นจริงแล้วหลี่ว์ซู่ไม่รู้อะไรเลย เขาก็แค่โชคดีเท่านั้น…
“ทุกท่านโปรดตั้งใจฟัง เรามาที่นี่เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับวิธีการรับเอาสมบัติหรือความลับของเผ่าโบราณอี๋และการทำให้เครือข่ายฟ้าดินอ่อนกำลังลง ไม่ใช่มาเพื่อบังคับให้เนี่ยถิงจนตรอกจนต้องใช้ทางเลือกสุดท้ายของเขา พวกเราไม่มีทางแบกรับผลที่ตามมาได้อย่างแน่นอน” ใครคนหนึ่งพูดขึ้นในความมืด
“ซาตาน อาการบาดเจ็บของคุณเป็นอย่างไรบ้าง” หัวหน้าบาทหลวงถามด้วยท่าทางเป็นกังวล
แต่ใบหน้าของซาตานกลับดูเยือกเย็น จากนั้นหัวหน้าบาทหลวงจึงกล่าวต่อไปว่า “ตอนนี้เรามั่นใจได้แล้วว่าคนที่ทำร้ายคุณคือราชันฟ้าคนที่เก้าของเครือข่ายฟ้าดิน คุณมีแผนที่จะแก้แค้นรึเปล่า เท่าที่ผมรู้ คุณไม่มีผู้สืบทอด…และในอนาคตก็คงจะไม่มีเช่นกัน”
นักบุญที่นั่งหลับตานิ่ง เคาะโต๊ะ และพูดอย่างทนไม่ไหวว่า “พวกเราต้องได้ข้อสรุปในวันนี้ อย่ามัวแต่เสียเวลาอีกเลย”
ทั่วทั้งเต็นท์ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง มีเพียงนักบุญเท่านั้นที่มีสิทธิ์กล่าวว่าการสนทนาระหว่างซาตานและหัวหน้าบาทหลวงเป็นเรื่องเสียเวลา
และเหมือนอย่างเคย นักบุญแต่งกายด้วยชุดผ้าลินินเรียบง่ายเช่นเดียวกับพระนักพรต ผมสีเงินของเขาสั้นและเรียบร้อย เขาแสดงท่าทางอย่างคนมีอำนาจในขณะที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ของโต๊ะยาว
จากนั้นนักบุญก็มองไปยังที่นั่งตรงหัวมุม เขาถามว่า “คุณเป็นตัวแทนของมูลนิธิ…หรือเป็นตัวแทนของอาณาจักรมืด”
“นั่นไม่สำคัญ” ชายคนนั้นหัวเราะเบาๆ ในความมืด น้ำเสียงของเขาฟังดูเยาว์วัย แต่ก็แฝงไว้ด้วยร่องรอยความผันแปรของชีวิตมนุษย์ ราวกับว่าเขามีชีวิตอยู่มานานพอที่จะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงทั้งหลายของโลกใบนี้ เขากล่าวว่า “มูลนิธิต้องการการปฏิวัติ เป้าหมายสูงสุดของพวกเราก็เหมือนกับของพวกคุณ นั่นก็คือการทำให้พลังของเครือข่ายฟ้าดินอ่อนแอลง ถึงแม้ว่าเบื้องหน้าอาจจะดูไม่ค่อยชัดเจนก็ตาม แต่ในความเป็นจริงแล้ว อาณาจักรมืดไม่นับเป็นสิ่งใด ก็แค่ของเล่นเท่านั้น แต่น่าแปลกใจไม่น้อยที่ของเล่นสามารถนำไปใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นนี้ ดังนั้นคงไม่ผิดที่จะกล่าวว่าทุกคนในที่แห่งนี้ต่างก็มีเจตนาแอบแฝงกันทั้งนั้น ซึ่งนี่ก็ช่วยอธิบายได้ว่าทำไมพวกเราถึงชื่นชอบสถานที่มืดๆ เช่นนี้”
ไม่มีใครปริปากสักคำ ทุกคนในเต็นท์กำลังพยายามทำความเข้าใจในสิ่งที่เขาพูด
อย่างไรก็ตาม พวกเขารู้สึกตกใจไม่น้อย เมื่อรู้ว่าอาณาจักรมืดแท้จริงแล้วเป็นเพียงผลผลิตภายในของมูลนิธิเท่านั้น!
นั่นสามารถอธิบายกลไกการดำเนินงานที่สมบูรณ์แบบของอาณาจักรมืดได้ตั้งแต่เริ่มต้น และความจริงที่ว่าผู้ค้ามนุษย์ได้รับอนุญาตให้ดำเนินธุรกิจสีเทาภายใต้การคุ้มครองของอาณาจักรมืดให้ห่างไกลจากสายตาของมูลนิธิ…ความจริงแล้วอาณาจักรมืดอยู่ร่วมกับมูลนิธิ เปรียบเสมือนด้านมืดและด้านสว่างขององค์กรหนึ่ง
อาณาจักรมืดเป็นเหมือนเนื้องอกที่เติบโตอยู่ในมูลนิธิ มันกลืนกินพลังของมูลนิธิและอาจทำลายมูลนิธิลงในสักวันหนึ่ง
ถ้าหลี่ว์ซู่อยู่ที่นี่ เขาคงจะเข้าใจในสิ่งที่หลี่อีเสี้ยวเคยบอกเขาว่าอันที่จริงแล้วมีความขัดแย้งภายในมูลนิธิ และความไม่ลงรอยกันนั้นก็หยั่งรากลึก
นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้หลี่ว์ซู่ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมกับมูลนิธิ
สิ่งเดียวที่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงในโลกใบนี้ก็คือการเปลี่ยนแปลง เราจะคาดหวังให้คนกลุ่มเดิมๆ ต่อสู้เพื่อสิ่งที่เป็นนามธรรมมาเป็นเวลาหลายศตวรรษได้อย่างไร
“คุณไม่กลัวหลี่เสียนอีหรือ” ใครคนหนึ่งถามขึ้น
ชายคนนั้นหัวเราะอย่างพึงพอใจ “หลังจากสงครามครั้งนี้ ก็ไม่มีอะไรต้องกลัวอีกแล้ว”
คำตอบของเขารวบรัด แต่กลับแฝงไปด้วยความหมายมากมาย แต่ก็ไม่มีใครจริงจังกับคำพูดของเขานัก เพราะพวกเขาเรียนรู้วิธีซ่อนความคิดและแผนการของตัวเองมานานแล้ว
ชายผู้ก่อตั้งอาณาจักรมืดภายใต้การดูแลของมูลนิธิ เขาไม่ควรจะเป็นคนสบายๆ เช่นนี้
หัวหน้าบาทหลวงเหลือบมองเขาอย่างดูถูก “คุณนี่ขี้โม้จริงๆ อาณาจักรมืดของคุณไม่มีพวกระดับ A แม้แต่คนเดียวด้วยซ้ำ อย่าทำเป็นอวดดีหน่อยเลย”
ชายคนนั้นหัวเราะเบาๆ อีกครั้ง “หากจะพูดถึงพวกระดับ A ผมก็สงสัยเหลือเกินว่าเราจะมีพวกระดับ A ไว้ทำไม ในเมื่อกลุ่มแก่นความเชื่อเพิ่งจะสูญเสียเสบียงทั้งหมดไป อ้อ ไม่ใช่สิ สูญเสียเสบียงไปแปดสิบห้าเปอร์เซ็นต์ และอาวุธพร้อมที่เก็บทั้งหมด ทั้งๆ ที่ของเหล่านั้นอยู่ใต้จมูกของทีมที่มีพวกระดับ A อยู่ด้วยแท้ๆ”
ฟรานเชสโกซึ่งยืนอยู่ด้านหลังหัวหน้าบาทหลวงตอบว่า “พวกเราได้ส่งพวกระดับ B เจ็ดคนไปตามล่าเจ้านั่นแล้ว มันไม่มีทางรอดชีวิตได้”
“โอ้? จริงเหรอ” ชายคนนั้นหัวเราะ “ผมขอแนะนำให้พวกคุณลองตรวจสอบดูหน่อยนะ”
ฟรานเชสโกหันไปหาหัวหน้าบาทหลวง และฝ่ายหลังก็ทำท่าให้เขาทำการโทรศัพท์ผ่านดาวเทียมทันที ฟรานเชสโกโทรศัพท์หาสมาชิกสี่คนแต่ไม่มีใครรับสายของเขา เป็นเรื่องที่เข้าใจได้หากพวกเขาจะสูญเสียคนไปสักหนึ่งหรือสองคนในการต่อสู้ แต่เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้ไม่ง่ายอย่างที่คิด
“ผมคิดว่าพวกคุณไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูแบบไหน” ชายในความมืดกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “แต่ไม่ต้องกังวล อาณาจักรมืดได้เตรียมเสบียงไว้ให้สำหรับพวกคุณทุกคนแล้ว เรือบรรทุกสินค้าสามลำจะมาถึงท่าเรืออาร์เตมในอีกแปดชั่วโมง อย่างไรก็ตาม เราสามารถเติมอาวุธวิเศษที่กลุ่มแก่นความเชื่อสูญเสียไปได้ ดังนั้นตอนนี้ ท่านสุภาพบุรุษทั้งหลาย พวกเราอาณาจักรมืดจะสามารถได้รับการปฏิบัติที่เท่าเทียมกับทุกองค์กรที่นี่ได้หรือไม่”
ความเงียบเข้าปกคลุมพื้นที่ทั้งหมดอีกครั้ง ในอดีต อาณาจักรมืดไม่เคยมีส่วนร่วมไม่ว่าในความขัดแย้งรูปแบบใดๆ ก็ตาม แต่พวกเขากลับสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในการปรากฏตัวครั้งแรก!
ในขณะนั้น พลังของพวกเขาได้รับการยอมรับถึงแม้ว่าจะยังไม่แน่ใจว่าพวกเขามีนักสู้ระดับสูงกี่คน
หัวหน้าบาทหลวงหัวเราะเยาะ “ฟรานเชสโก ไปเอาหัวมันมาให้ฉัน”
เขาส่งฟรานเชสโกไปฆ่าหลี่ว์ซู่ด้วยตัวเอง!
ชายในความมืดหัวเราะคิกคัก “อย่าฆ่าตัวตายน่า”
ฟรานเชสโกเดินออกจากเต็นท์มืดโดยไร้ซึ่งความลังเล เขาทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าเหมือนลูกธนูหลุดจากสาย และบินไปยังป่าทางเหนือราวกับขีปนาวุธ!
ทุกคนในที่ประชุมต่างตกตะลึง ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อไหร่กันที่ฟรานเชสโกก้าวขึ้นสู่ระดับ A!
ทันใดนั้นผู้นำจากองค์กรอื่นๆ ก็ตระหนักได้ว่ากลุ่มแก่นความเชื่อเป็นองค์กรเดียวในการประชุมนี้ ที่มีพวกระดับ A ถึงสองคน!
ฮาเวิร์ดเคยเป็นสมาชิกที่มีแววดีที่สุดในกลุ่มฟีนิกซ์ แต่ตอนนี้เขาตายไปแล้ว
หัวหน้าบาทหลวงหัวเราะ “คุณยังกังวลเรื่องความปลอดภัยของฟรานเชสโกอยู่หรือเปล่า”
ทุกคนหันมองไปที่ปลายโต๊ะยาวที่มีนักบุญนั่งอยู่อย่างเคร่งขรึม ถึงแม้ว่ากลุ่มแก่นความเชื่อจะมีระดับ A อยู่ถึงสองคน แต่นักบุญก็ยังได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นคนที่มีอำนาจมากที่สุดในห้อง
แต่ก็ไม่มีใครชอบเขา เพราะเขาหยิ่งผยองเกินไป
นักบุญพูดอย่างสงบว่า “เราจะบุกโจมตีในวันพรุ่งนี้ บอกให้ผู้บำเพ็ญลับสู้อย่างสุดชีวิต พวกเขาทั้งหมดจะหนีไป ถ้าเราไม่ส่งพวกเขาไปยังเงื้อมมือแห่งความตายในตอนนี้”
ในตอนนั้นเองที่ผู้บำเพ็ญลับหลายคนได้เข้าใจว่าพวกเขาไม่มีสิทธิ์ต่อรอง พวกองค์กรขนาดใหญ่เอาเปรียบพวกเขาเกือบทุกวิถีทางเพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาหนีไป อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมีคนอยู่เป็นจำนวนมากจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะจับทุกคนที่พยายามหนีไว้ได้ ดังนั้นจึงมีผู้บำเพ็ญลับประมาณสองพันคนคนที่หลบหนีได้สำเร็จในแต่ละวัน
องค์กรขนาดใหญ่ได้บรรลุข้อตกลงกันมานานแล้วว่าพวกเขาจะใช้ผู้บำเพ็ญลับในการตัดกำลังของเครือข่ายฟ้าดิน หลังจากที่เครือข่ายฟ้าดินถูกทำลายโดยคลื่นลูกแรกของการโจมตี องค์กรต่างๆ จะส่งกองกำลังชั้นยอดของพวกเขาเข้าร่วมการต่อสู้ในระลอกสุดท้าย
ในตอนนี้ที่เครือข่ายฟ้าดินใช้ช่วงเวลาสั้นๆ สร้างป้อมปราการที่ไม่สามารถทะลวงได้จนเสร็จสิ้นแล้ว เหล่าองค์กรทั้งหลายก็รู้ได้ว่าเวลาของพวกเขาหมดลงแล้ว!
ในขณะเดียวกันนี้ หลี่ว์ซู่กำลังเร่งเดินทางผ่านป่า
เขากำลังไล่ตามระดับ B คนสุดท้ายอยู่ บทบาทของนักล่าและเหยื่อได้ถูกสลับกันภายในเวลาเพียงวันเดียว!
เฉินจู่อานนั่งอยู่ในศูนย์บัญชาการด้วยความเบื่อหน่าย เมื่อเวลาผ่านไป ป้อมปราการหลังพยัคฆ์ก็กลายเป็นป้อมปราการสำคัญ นอกเหนือจากโครงสร้างป้องกันที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในบริเวณรอบนอกแล้ว แม้แต่ระบบบำบัดน้ำเสียใต้ดินก็ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์
เพื่อป้องกันผู้บุกรุกธาตุดิน ในช่วงสองวันที่ผ่านมาจึงมีการเพิ่มผงโลหะเข้าไปเป็นส่วนประกอบในอาคารที่มีอยู่ทั้งหมด จากพื้นดินลาดชัน บัดนี้ได้กลายเป็นพื้นปูนซีเมนต์ผสมโลหะเพื่อเสริมให้ป้อมปราการแข็งแกร่งมากขึ้น
แต่สำหรับเฉินจู่อานและราชันฟ้าส่วนใหญ่แล้ว สิ่งใดล้วนไม่สำคัญ พวกมันสมองของเครือข่ายฟ้าดินไม่ใช่นักสู้ที่แข็งแกร่งที่สุด เช่นเดียวกับความเป็นจริงที่ว่าราชันฟ้าก็ไม่ใช่ผู้บัญชาการที่ดีเช่นกัน
การมีความสามารถในเชิงกลยุทธ์ด้านคำนวณของพวกเขา ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะมีความสามารถในทุกๆ ด้าน ในทางกลับกัน พวกเขากลับทำได้เฉพาะเรื่องที่ตนเองถนัดและเชี่ยวชาญเท่านั้น
ขณะที่ทุกคนในศูนย์บัญชาการกำลังยุ่งอยู่กับงานของตนเอง น่าหลานเชวี่ยชวนหลี่อีเสี้ยวไปดูป้อมปราการหลังพยัคฆ์แห่งใหม่ด้วยกัน แต่หลี่อีเสี้ยวปฏิเสธเธอ
จากนั้นการโต้เถียงของพวกเขาก็เริ่มบานปลายจนไปสู่การต่อสู้กันที่ด้านนอกศูนย์บัญชาการ…ผลก็คือหลี่อีเสี้ยวเป็นฝ่ายพ่ายแพ้…
“ฉันไม่ได้อ่อนแอกว่าเธอ” หลี่อีเสี้ยวตะโกน “ฉันแค่ไม่อยากทำร้ายเธอ! ในฐานะสุภาพบุรุษ ฉันต้องดูแลเธอ!”
ในท้ายที่สุด น่าหลานเชวี่ยก็ไม่สามารถโน้มน้าวให้หลี่อีเสี้ยวออกไปเดินเล่นกับเธอได้ จริงๆ แล้วเธอก็แค่อยากมีเวลาอยู่ตามลำพังกับเขาบ้าง แต่เจ้าคนปัญญาทึบกลับไม่ยอมเข้าใจอะไรเลย
หลังจากที่น่าหลานเชวี่ยหุนหันออกไปคนเดียวแล้ว หลี่อีเสี้ยวก็นั่งอยู่คนเดียวด้วยใบหน้าอมทุกข์ เฉิงชิวเฉี่ยวรู้สึกขบขัน “ราชันฟ้าหลี่ ทำไมถึงทำหน้าเศร้าล่ะ พี่สาวน่าหลานรักท่านมากนะ บางครั้งถ้าท่านยอมฟังเธอบ้าง อะไรๆ ก็คงง่ายขึ้น”
หลี่อีเสี้ยวส่ายหัว “เด็กอย่างนายจะไปเข้าใจอะไร ผู้หญิงคนนั้นไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่น ฉันไม่เคยชนะในการทะเลาะกับเธอได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว ตอนนี้ฉันอยากรู้ว่าจะหยุดไม่ให้เธอทำให้ฉันปวดหัวได้ยังไง”
เฉิงชิวเฉี่ยวครุ่นคิดอยู่นานจึงพูดว่า “อันที่จริงผมมีความคิดอยู่อย่างหนึ่ง ท่านอยากลองดูไหม”
ดวงตาของหลี่อีเสี้ยวสว่างวาบ “เพราะนายเป็นเพื่อนที่ดีของหลี่ว์ซู่ ดังนั้นในหัวนายจะต้องมีแต่ความคิดที่ไม่ดีแน่ๆ!”
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋มองไปที่หลี่อีเสี้ยวด้วยสีหน้าว่างเปล่า “ว่าไงนะ?”
นั่นทำให้โยวหมิงอวี่รู้สึกเครียดขึ้นมา เขาจะทำอะไรได้ถ้าคนกลุ่มนี้เกิดต่อสู้กันในป้อมปราการ พวกเขาจะช่วยทำตัวดีๆ กันหน่อยไม่ได้เลยเหรอ ได้โปรดเถอะ
“เอาล่ะ” หลี่อีเสี้ยวพยายามอธิบายทันที “ฉันยอมรับว่าหลี่ว์ซู่ฉลาด แต่เขาใช้มันสมองทั้งหมดของเขาไปกับการเยาะเย้ยล้อเลียนฉัน พวกนายรู้ไหมว่าเงินในกระเป๋าของฉันลดลงเหลือแค่ยี่สิบเหรียญ ทั้งหมดก็ต้องขอบคุณเขาล่ะนะ! ทีนี้ชิวเฉี่ยว ลองบอกวิธีเอาคืนผู้หญิงคนนั้นมาสิ!”
ฉิงชิวเฉี่ยวตอบด้วยรอยยิ้ม “เขวี้ยงแก้วลงบนพื้น ถ้าเธอเงียบ ทั้งหมดก็เรียบร้อย!”
“เดี๋ยวนะน้องชายชิวเฉี่ยว” หลี่อีเสี้ยวไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เขาพูด “แล้วถ้าเธอไม่ยอมเงียบล่ะ ฉันจะไม่ตกอยู่ในอันตรายเหรอ”
“ในกรณีนั้น ท่านก็แค่คุกเข่าลงบนชิ้นส่วนของแก้วที่แตกในทันที เท่านี้ก็เรียบร้อยเหมือนกัน…”
หลี่อีเสี้ยวรู้สึกพูดไม่ออก
เขาใช้เวลาสักพักในการรวบรวมสติ “นี่นายก็กำลังล้อเลียนฉันเหมือนกันใช่ไหม!”
ในช่วงเวลาก่อนที่สงครามจะเริ่มอย่างเป็นทางการ ภายในป้อมปราการหลังพยัคฆ์กำลังคึกคักไปด้วยกิจกรรมต่างๆ
ทั้งสองฝ่ายมีท่าทีที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เหล่าองค์กรต่างประเทศมาที่นี่เพื่อการต่อสู้เท่านั้น พวกเขาไม่สนใจเกี่ยวกับการบาดเจ็บล้มตาย ไม่ว่าจะเป็นของเครือข่ายฟ้าดินหรือของพวกเขาเอง
ในทางกลับกัน สำหรับเครือข่ายฟ้าดินแล้ว พวกเขาเขียนไว้ในแผนกลยุทธ์แรกของพวกเขาอย่างชัดเจนว่าจะสร้างป้อมปราการที่ไม่มีใครเทียบได้บนหลังพยัคฆ์ ข้อความนั้นเขียนไว้อย่างชัดเจนว่า ‘เราจะสู้กลับหากคุณกล้าทำร้ายเรา’
ในขณะเดียวกัน องค์กรต่างๆ ได้ตั้งค่ายของตนห่างจากป้อมปราการหลังพยัคฆ์ไปกว่าสิบกิโลเมตร ซึ่งค่ายของพวกเขามีความยาวมากกว่าสิบกิโลเมตร แต่พวกเขาก็ไม่ได้แสดงสัญญาณการโจมตีแต่อย่างใด
ในช่วงเวลานี้ เนี่ยถิงขังตัวเองอยู่ในห้อง เขาพยายามคิดหาทางสายกลาง และป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุด
ไม่ว่าในกรณีใด ชัยชนะที่สร้างขึ้นจากการทำลายล้างโลกใบนี้ ก็ถือเป็นความล้มเหลวด้วยเช่นกัน
ผู้คนหลายพันล้านคนอาจพินาศด้วยคมกระบี่ของเขา ผลที่ตามมานี้รุนแรงเกินกว่าจะทนรับได้
อย่างไรก็ตาม หากเขาถูกกดดันจนไร้ทางเลือก เขาจะไม่ลังเลเลยที่จะทำอะไรสักอย่างเพื่อรับประกันการอยู่รอดของเครือข่ายฟ้าดิน แต่เขาก็ไม่อยากทำเช่นนั้นหากมีทางเลือกอื่น
ถึงอย่างนั้นบางองค์กรก็ยังคงทดสอบขอบเขตของพวกเขา หลังจากที่เครือข่ายฟ้าดินได้แสดงจุดยืนที่ชัดเจน
หากไม่มีการต่อสู้ที่กำลังจะเกิดขึ้น ผู้คนเช่นเฉินจู่อานและเฟิงเยี่ยหมิงก็ไม่มีอะไรทำ พวกเขาไม่มีคุณสมบัติในฐานะสมาชิกระดับมันสมอง เพราะกลยุทธ์ของพวกเขามักใช้ไม่ได้ผล
ด้วยเหตุนี้ งานเดียวหนึ่งเดียวของพวกเขาก็คือการรอให้ป้อมปราการเสร็จสมบูรณ์ และเตรียมพร้อมสำหรับคำสั่งเพิ่มเติม
ทันใดนั้นเฉินจู่อานก็ตะโกนว่า “มีสัญญาณ! แต่เดี๋ยวนะ หอส่งสัญญาณเริ่มใช้งานแล้วเหรอ”
ขณะนั้นเครื่องกำเนิดไฟฟ้าชั่วคราวและเครื่องผลิตประปาก็พร้อมใช้งาน การก่อสร้างป้อมปราการทั้งหมดดำเนินไปอย่างเป็นระเบียบราวกับว่าเครือข่ายฟ้าดินมีความรู้มากมายเกี่ยวกับวิธีการสร้างป้อมปราการชั่วคราวในถิ่นทุรกันดาร
ในช่วงเวลาแห่งความสงบ เป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการได้ว่ามีคนมากมายเพียงใดที่ทำงานอยู่เบื้องหลังอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อแผนฉุกเฉินในช่วงวิกฤต การสร้างป้อมปราการให้เสร็จอย่างรวดเร็วและเป็นระเบียบเป็นไปได้เนื่องจากการออกแบบและการทดลองนับครั้งไม่ถ้วนที่ทำโดยบรรพบุรุษของพวกเขาเมื่อนานมาแล้ว
เฟิงเยี่ยหมิงกะพริบตาอย่างตื่นเต้นขณะจ้องมองสิ่งก่อสร้างตรงหน้า จากนั้นเขาก็เข้าสู่ระบบอินเทอร์เน็ตอย่างมั่นใจและเล่นเกมกับผู้เล่นออนไลน์คนอื่นๆ เพื่อทดสอบทักษะของเขาที่ฝึกฝนมากับคอมพิวเตอร์ แต่เขาแพ้เกมด้วยจำนวนการฆ่าเป็นศูนย์และทีมของเขาเองเสียชีวิตถึงยี่สิบคน…
เขาได้รับคำสบประมาทและคำก่นด่าจากสมาชิกในทีมอย่างไม่รู้จบ…
ในขณะเดียวกัน เฉินจู่อานเล่นได้เพียงโทรศัพท์ของเขาเท่านั้น เนื่องจากเขาไม่ได้นำแล็ปท็อปมาด้วย หลังจากนั้นไม่นานเขาก็เงยหน้าขึ้นมองและบอกโยวหมิงอวี่ว่า “ป้อมปราการไม่ควรถูกสร้างขึ้นที่นี่ จริงๆ นะ”
เฉิงชิวเฉี่ยวตกตะลึง “ทำไมล่ะ?!”
“ที่ตั้งของที่นี่ไม่เป็นมงคล!” เฉินจู่อานกล่าวอย่างหนักแน่น
เฉิงชิวเฉี่ยวรู้สึกงงงวย “อะไร นายรู้ได้ยังไง ฉันไม่เคยรู้เลยว่านายมีความรู้เรื่องศาสตร์การจัดวางพื้นที่ด้วย!”
“จริงๆ นะ ฉันทำเงินหายไปสองหมื่นเหรียญภายในเวลาเพียงห้านาที” เฉินจู่อานตอบด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
เฉิงชิวเฉี่ยวพูดไม่ออก
“ฉันสงสัยว่าองค์กรอื่นๆ กำลังทำอะไรกันอยู่ ก็แค่ตัดสินใจมาว่าจะสู้หรือยอมแพ้! ทำไมพวกเขาถึงยืดเวลาออกไปแบบนี้” เฉินจู่อานบ่นอย่างไม่สบอารมณ์
ในความคิดของเขา พวกเราควรหยุดเสียเวลาและกำจัดศัตรูทั้งหมดในเชิงรุก
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้ดีว่าความคิดของเขานั้นไม่อยู่บนความเป็นจริงเพียงใด เพราะการปกป้องป้อมปราการและการชนะในการต่อสู้นั้นเป็นสองเรื่องที่แตกต่างกัน
ในขณะเดียวกัน ความเงียบกำลังปกคลุมไปทั่วเต็นท์ที่ใหญ่ที่สุดในที่ตั้งค่ายขององค์กรต่างชาติ ที่นั่นมีการป้องกันอย่างแน่นหนา มันคือศูนย์บัญชาการของกลุ่มฟีนิกซ์ และการประชุมที่นำโดยกลุ่มฟีนิกซ์ก็กำลังดำเนินอยู่ภายใน
ภายในเต็นท์ ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับให้แสงสว่าง ผู้คนที่อยู่ด้านในอาศัยเพียงแสงจากภายนอกเท่านั้น ผู้นำขององค์กรต่างๆ นั่งอยู่ข้างโต๊ะยาวในความเงียบ ใบหน้าและการแสดงออกของพวกเขาดูพร่ามัวภายใต้ความมืด
“เป็นไปได้ไหมว่าพี่ซู่อาจจะเห็นสัตว์ประหลาดอยู่ในทะเล เขาก็เลยตัดสินใจไม่กระโดดลงไป” เฉินจู่อานถาม
แต่ท้ายที่สุดแล้วน้ำก็ถือเป็นเวทีของเขา แม้แต่พวกระดับ A ก็อาจจะไม่สามารถฆ่าเขาตอนอยู่ในทะเลได้ด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ทุกคนต่างหันมองไปที่เฉินจู่อานด้วยสีหน้าแปลกๆ “นั่นไม่ใช่ออกจะเพ้อเจ้อเกินไปหน่อยเหรอ?”
เฉินจู่อานปิดปากเงียบ จากนั้นโยวหมิงอวี่จึงพูดขึ้นว่า “ทำไมราชันฟ้าคนที่เก้าถึงล้มเลิกแผนการหนีลงทะเลทั้งๆ ที่ไม่มีพวกระดับ A แม้แต่คนเดียวคอยขัดขวางเขา แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าเขาตกอยู่ในอันตรายจากการถูกไล่ล่าโดยพวกระดับ B ถึงเจ็ดคน”
“พวกเราไปช่วยเขากันเถอะ” เฉินจู่อานแนะนำ “ฉันรู้ว่าพวกเราขาดแคลนกำลังคน แต่การช่วยเหลือสหายก็ถือเป็นหน้าที่ของเรา นอกจากนี้พี่ซู่ยังช่วยเรื่องกำลังสนับสนุนทางทหารโดยการตัดกำลังเสบียงของพวกนั้น อย่างน้อยที่สุดคือเราควรส่งคนไปทำลายฐานขนส่งของพวกนั้นให้หมด”
เฉินจู่อานลอบสังเกตการแสดงออกของคนอื่นๆ อย่างระมัดระวังขณะที่พูด การช่วยหลี่ว์ซู่เป็นสิ่งแรกที่เขาคิดจะทำหลังจากที่ได้รู้ว่าหลี่ว์ซู่กำลังถูกไล่ล่าโดยพวกระดับ B ถึงเจ็ดคน แต่เขาก็ยังคงเป็นกังวลว่าจะไม่สามารถทำภารกิจนี้ให้สำเร็จได้ด้วยตัวคนเดียว
ในทางกลับกัน มันคงไม่เหมาะที่จะส่งกำลังคนซึ่งถือเป็นทรัพยากรที่มีค่าที่สุดของเครือข่ายฟ้าดินในขณะนี้ไปเสี่ยงอันตรายเพื่อชีวิตของคนคนเดียว
ความเมตตาเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ในช่วงสงคราม สิ่งที่พวกเขาทำได้มากที่สุดก็คือการอธิษฐานขอให้ หลี่ว์ซู่รอดชีวิตกลับมาอย่างปลอดภัย
แต่เฉินจู่อานตัดสินใจแล้วว่าเขาจะฝ่าฝืนคำสั่ง และจะออกเดินทางไปกับเฉิงชิวเฉี่ยวและหลี่ว์เสี่ยวอวี๋หากว่าคำขอของเขาถูกปฏิเสธ!
สำหรับเฉินจู่อานแล้ว ในช่วงสงครามเช่นนี้ สิ่งสำคัญคือเขาต้องสร้างความประทับใจ เพราะสิ่งนี้อาจทำให้เขาได้รับตำแหน่งราชันฟ้า อย่างไรก็ตาม การไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของกองทัพนั้นก็อาจจะทำลายความฝันของเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่เฉินจู่อานคิดถึงเรื่องนี้ดีแล้ว ที่เขามาอยู่ที่เทือกเขาจั่งไป๋ก็เพราะเขาต้องการต่อสู้เคียงข้างกับหลี่ว์ซู่ เขาจะไม่ยอมให้ใครก็ตามในสาขาวิจัยสายพันธุ์ตายในสงครามครั้งนี้
เฉินจู่อานมองไปยังคนอื่นๆ ที่เหลือเพื่อรอคำตอบ ในช่วงเวลานี้เองที่เขาได้ตระหนักว่าทุกคนในศูนย์บัญชาการต่างก็มีเหตุผลมากจนดูเหมือนว่าพวกเขาไร้ซึ่งอารมณ์
ราวกับว่าความรู้สึกทั้งหมดถูกปิดตายลงในช่วงสงคราม
และในตอนนี้เองที่ห่าวจื้อเชาพูดขึ้นมาว่า “ฉันเห็นด้วยกับนาย พวกเราควรส่งการสนับสนุนไปช่วยราชันฟ้าคนที่เก้า เพราะเครือข่ายฟ้าดินจะขาดเขาไปไม่ได้เด็ดขาด…อย่ามองฉันแบบนั้น ฉันก็แค่กำลังทำตามความตั้งใจของราชันฟ้าเนี่ยถิงก็เท่านั้น”
“ไม่ต้อง”
เสียงที่หนักแน่นทว่านุ่มนวลดึงให้ทุกคนจับจ้องไปที่มุมของศูนย์บัญชาการอย่างตกใจทันที ที่ตรงนั้นคือหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ เธอนิ่งเงียบมาตั้งแต่เริ่มการประชุม นี่จึงเป็นความคิดเห็นแรกของเธอ
ในฐานะคนที่สนิทกับหลี่ว์ซู่ที่สุด ทำไมเธอถึงบอกว่าไม่จำเป็นต้องไปช่วยเขา
เฉินจู่อานเริ่มกังวล “ได้โปรดเถอะนะเสี่ยวอวี๋ เธอห้ามไปคนเดียวเด็ดขาด พวกเราช่วยกันหาวิธีได้น่า! หรือเธอจะพาฉันไปด้วยก็ได้ ฉันเป็นกำลังเสริมให้เธอได้นะ!”
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋มองเขาเพียงแวบเดียว ”ไม่จำเป็น”
“ฉันทำได้ทุกอย่างเลยนะ! ทำอะไรก็ได้ที่เธอบอกให้ทำ!”
“ทำตัวดีๆ หน่อย”
[ได้แต้มจากเฉินจู่อาน +666!]
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋เหลือบมองไปรอบๆ ห้องและพูดว่า “พวกเธอไม่รู้จักหลี่ว์ซู่ หากเขายอมทิ้งโอกาสในการหลบหนีโดยสมัครใจ นั่นหมายความว่าเขาเป็นผู้ล่าไม่ใช่เหยื่อ”
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋เดินออกจากห้องพร้อมกับพูดว่า “พวกเธอกำลังช่วยเหลือเขาโดยการไม่ทำตัวให้เป็นภาระแก่เขา”
เป็นภาระ? คนที่เหลือหันมองกันอย่างประหลาดใจ หัวกะทิอย่างพวกเขาน่ะเหรอจะเป็นภาระให้หลี่ว์ซู่ แต่ด้วยเหตุผลบางประการแล้ว คำพูดของหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็มีน้ำหนักมาเกินกว่าจะโต้แย้งได้
ในทันใดนั้น ความเชื่อมั่นของหลี่ว์เสี่ยอวี๋ที่มีต่อหลี่ว์ซู่ก็ปรากฏชัด ความเชื่อมั่นของเธอที่มีต่อเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลงแม้ว่าเขาจะต้องเผชิญหน้ากับพวกระดับ B ถึงเจ็ดคนก็ตาม!
ห่าวจื้อเชาส่ายหัวด้วยรอยยิ้มขมขื่น “นั่นคือการตัดสินใจแล้ว ดูเหมือนว่าพวกเราจะประเมินเขาต่ำไปอีกแล้ว… ไม่แปลกใจเลยที่ราชันฟ้าเนี่ยถิงยืนกรานให้เขาขึ้นเป็นราชันฟ้าคนที่เก้า”
“ว่าแต่พวกเราขอรู้ได้ไหมว่าเมื่อไหร่กันที่เขากลายเป็นราชันฟ้าคนที่เก้าอย่างเป็นทางการ หลังจากที่เขาเสร็จภารกิจกับกลุ่มทวยเทพเหรอ” เฉินจู่อานถาม
“ไม่ใช่ นี่เป็นความลับที่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้” ห่าวจื้อเชาส่ายหัว “ราชันฟ้าเนี่ยถิงเสนอตำแหน่งนี้ให้เขา แต่เขาไม่เต็มใจรับ และนั่นคือสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาตามมาในภายหลัง นายรู้ไหมว่าราชันฟ้าเนี่ยถิงก้าวขึ้นสู่ระดับเสินฉังจิ้ง ได้อย่างไร ช่างเถอะ นี่ถือเป็นความลับสุดยอด…”
เฉินจู่อานหายใจเข้าเฮือกใหญ่ “อะไรกัน นี่พี่ซู่มีส่วนร่วมในตำนานการเลื่อนขั้นของราชันฟ้าเนี่ยถิงด้วยเหรอ”
…
ในขณะเดียวกัน หลี่ว์ซู่กำลังนั่งอยู่ข้างร่างที่แน่นิ่งของยอดฝีมือธาตุลม และเริ่มนับจำนวนของที่ขโมยมาได้
การไล่ล่ากินเวลาไปเกือบสี่ชั่วโมง เขาฆ่าชายคนนั้นหลังจากที่แน่ใจว่าพวกระดับ B อีกหกคนกำลังตามมา ในตอนนี้เองที่ผู้มีพลังธาตุลมค้นพบว่า ไม่น่าเชื่อเลยว่าหลี่ว์ซู่จะเคลื่อนไหวอย่างอุกอาจเพื่อโจมตีกลับและยังทรงพลังอย่างเหลือเชื่อขนาดนี้
จากนั้นหลี่ว์ซู่ก็เริ่มตรวจสอบจำนวนรถบรรทุกในตราแผ่นดินของเขาอีกครั้ง เดี๋ยวก่อนนะ ทำไมถึงมีแค่ สามสิบเอ็ดคัน? มันควรจะเป็นสามสิบสามคันไม่ใช่เหรอ…
หลี่ว์ซู่นึกย้อนไปถึงฉากการต่อสู้ ในท้ายที่สุดเขาก็ต้องยอมรับแม้ว่าจะไม่เต็มใจก็ตามว่า มันมีแค่สามสิบเอ็ดคันจริงๆ ไม่ใช่สามสิบสามคัน…
ตอนนี้เขามีทุกอย่างอยู่ในตราแผ่นดินแล้ว เขาควรพิจารณาเปิดแผงขายเสบียงกับจ้าวหย่งเฉินรึเปล่า ยิ่งไปกว่านั้นคืออาหารที่เขามีนั้นเป็นสินค้านำเข้าทั้งหมด…นั่นฟังดูเป็นการทำธุรกิจที่ดีเชียวล่ะถึงแม้ว่าหลี่ว์ซู่จะไม่แน่ใจในรสชาติของอาหารกระป๋องพวกนี้ เพราะเขาก็ไม่เคยเห็นมันในประเทศจีน
สำหรับรถบรรทุกอาวุธวิเศษสามสิบเอ็ดคันนั้น เขาก็ไม่แน่ใจว่ามันจะมีประโยชน์กับเครือข่ายฟ้าดินหรือไม่ เนื่องจากคุณภาพของพวกมันด้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับกระบี่มาตรฐานของพวกเขา
เดี๋ยวนะ จู่ๆ หลี่ว์ซู่ก็นึกขึ้นได้ว่ามีเกมใคอมพิวเตอร์ที่ชื่อว่า Legend of Sword and Fairy ซึ่งมีทักษะที่เรียกว่า ‘เดิมพันทุกสิ่ง เล่นเพื่อให้ได้ทุกอย่างหรือไม่ได้อะไรเลย’ ที่สามารถสร้างความเสียหายจำนวนมากแก่ศัตรูโดยการโยนเหรียญทองแดง…
เขายังรู้อีกว่าชายชราสามารถเปลี่ยนใบไม้ให้เป็นที่เก็บพลังงานของกระบี่เพื่อเพิ่มพลังให้กับกระบี่นั้นด้วยวิธีการที่เรียกว่า ‘กระบี่รวมศูนย์’
ณ ตอนนี้ จำนวนต้นแบบกระบี่ในร่างกายของหลี่ว์ซู่มีเกินกว่าสองพันเล่มแล้ว แล้วทำไมถึงไม่ใช้กระบี่จริงเป็นที่เก็บพลังกระบี่ล่ะ!
หลี่ว์ซู่ทดลองใช้และเป็นอย่างที่คาดไว้ กระบี่ไขว้จะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของเขาหลังจากที่เขาผสานพลังกระบี่ของเขาเข้ากับอาวุธ
ในอดีต พลังกระบี่ของเขาค่อนข้างอ่อนแอ เพราะมันมองไม่เห็นและไร้รูปร่าง
แต่เมื่อมันถูกผสานเข้ากับอาวุธที่จับต้องได้…มันก็กลายเป็นอาวุธที่มีพลังมากขึ้น!
แต่ถึงอย่างนั้นหลี่ว์ซู่ก็ยังคงรู้สึกลังเลกับการลงทุนในครั้งนี้ สำหรับการ ‘เดิมพันทุกสิ่ง เล่นเพื่อให้ได้ทุกอย่างหรือไม่ได้อะไรเลย’ ผู้เล่นเพียงแค่ต้องโยนเหรียญทองแดงสองพันเหรียญในแต่ละครั้ง แต่กระบี่ทุกเล่มของเขามีค่ามากกว่านั้นมาก!
อย่างไรก็ตาม หลี่ว์ซู่ตัดสินใจแล้วว่าเส้นกระบี่เฉวียอินสีเทาจำนวนสองร้อยแปดสิบแปดเส้นของเขาไม่เพียงพออย่างแน่นอน ดังนั้นกระบี่เหล่านี้จะกลายเป็นไพ่ตายใหม่ของเขา…แต่เขาจะไม่ใช้มันเด็ดขาด เว้นแต่จำเป็นจริงๆ!
…
“แปลก” โยวหมิงอวี่พูดขึ้นขณะที่นั่งอยู่ในศูนย์บัญชาการ คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันในขณะที่กำลังจ้องไปที่รายงานตรงหน้าราวกับกำลังค้นหาคำตอบ
ข้างๆ เขา เฟิงเยี่ยหมิงและเฟิงอวิ๋นลู่ต่างกำลังตั้งอกตั้งใจเล่นเกมไปพร้อมๆ กับการรัวคีย์บอร์ด แต่ถ้า หากไม่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต พวกเขาก็สามารถแข่งกับคอมพิวเตอร์ได้เท่านั้น
โยวหมิงอวี่มองไปที่เฟิงเยี่ยหมิงและพูดว่า “นายช่วยหยุดเล่นได้ไหม เสียงคลิกมันน่ารำคาญ”
“ฉันกำลังฝึกอยู่” เฟิงเยี่ยหมิงพูดด้วยความมั่นใจ
จริงๆ แล้วเฟิงเยี่ยหมิงพูดถูก โยวหมิงอวี่จึงถามต่อไปว่า “นายอยากจะฝึกทักษะใหม่เหรอ ทักษะที่นายมีอยู่ทุกวันนี้ก็มีพลังมากพอแล้วไม่ใช่เหรอ”
“ฉันฝึกทักษะเหล่านั้นก็เพื่อต่อสู้กับเฟิงอวิ๋นลู่ แน่นอนว่าตอนนี้ฉันต้องการทักษะใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น” เฟิงเยี่ยหมิงตอบ “ฉันต้องหากลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพมากกว่านี้”
เฉินจู่อานตกตะลึง “เพื่อสู้กับเฟิงอวิ๋นลู่เหรอ ยกตัวอย่างเช่นการตะโกน เดอมาเซีย ด้วยกันแบบนี้เหรอ ได้โปรดช่วยฉันด้วย”
โยวหมิงอวี่ลังเล “แต่นายต้องทดสอบก่อนที่จะนำไปใช้ในการต่อสู้จริงใช่ไหม ลองมาทดลองกับฉันก่อนดีไหม”
“ไม่เป็นไร ฉันกับเฟิงอวิ๋นลู่ทดลองกันเองเป็นประจำอยู่แล้ว พวกเราไม่ต้องการการทดสอบอื่นอีกหรอก…” เฟิงเยี่ยหมิงกล่าวด้วยสีหน้าแปลกๆ เล็กน้อย จากนั้นเขาก็เบี่ยงประเด็นและถามว่า “ว่าแต่นายยังไม่ได้อธิบายเลยว่าเกิดอะไรขึ้น”
“อ้อ ใช่ จากรายงานข่าวกรอง มีพวกยอดฝีมือระดับ B หกคนจากกลุ่มแก่นความเชื่อรีบร้อนออกจากฐานทัพอย่างกะทันหัน”
“พวกนั้นกำลังมาหาเราหรือเปล่า” เฉินจู่อานถามด้วยรอยยิ้มตื่นเต้น “พวกเราฆ่าพวกนั้นให้หมดเลยดีไหม”
นี่จะเป็นโอกาสให้เฉินจู่อานได้แสดงพลังอีกครั้งหลังจากการต่อสู้ครั้งใหญ่ก่อนหน้านี้
หลี่ว์เสี่ยวอวี๋หัวเราะเย็นชาใส่เฉินจู่อาน ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาปิดปากเงียบทันที ด้วยเหตุผลบางประการ มันเป็นเรื่องยากที่ความอวดดีของเฉินจู่อานจะมีมากเกินกว่าการมีตัวตนอยู่ของหลี่ว์เสี่ยวอวี๋และหลี่ว์ซู่
“ฉันก็หวังให้เป็นแบบนั้น แต่ความจริงก็คือพวกเขากำลังมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก!” โยวหมิงอวี่พูดต่อไปอีกว่า “นอกจากนี้ พวกเขาทั้งหกคนออกจากฐานทัพไปในคราวเดียว ต้องมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นแน่”
“ฐานขนส่งของพวกเขาอยู่ทางตะวันออกใช่ไหม และด้วยคนเพียงไม่กี่คนที่ท่าเรืออาร์เตม อะไรที่น่าจะเกิดขึ้นได้ในตอนนี้” น่าหลานเชวี่ยถามอย่างสงบ
“พวกนายคิดว่าเป็นไปได้ไหมที่… ฐานขนส่งของพวกนั้นจะถูกทำลาย” โยงหมิงอวี่พูดขึ้นหลังจากลังเลไปสักพัก
“ถึงแม้ว่าที่นั่นจะมีคนไม่เยอะนัก แต่อย่างน้อยก็ต้องมีสักสามถึงสี่พันคน เพราะฉะนั้นใครกันที่จะบุกไปทำลายที่นั่นได้” หลี่อีเสี้ยวพูดขึ้น จากนั้นรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจก็ปรากฏบนใบหน้าของเขา “แต่แน่นอนว่าฉันทำได้!”
“นอกจากพวกเราแล้ว ยังจะมีใครที่สามารถบุกไปทำลายท่าเรืออาร์เตมอย่างลับๆ ได้อีก หรือจะเป็นพวกมือที่สาม?” น่าหลานเชวี่ยตั้งข้อสังเกต
“ยังมีอีกคนหนึ่ง…” เฉินจู่อานพูดพลางกัดฟัน
“ใคร?” ทุกคนหันมามองที่เขาอย่างตกใจ
“อย่าลืมพี่ซู่สิ ฉันกำลังจะบอกว่า ฉันแน่ใจว่าที่นั่นต้องมีเสบียงอยู่แน่ๆ และจากบุคลิกของพี่ซู่แล้ว แค่คำว่า ‘ขนส่ง’ คำเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะพาเขาไปที่นั่น…”
และในวินาทีนั้นเองที่หลี่อีเสี้ยวแสดงสีหน้าคาดไม่ถึงออกมา… แต่ในอีกไม่กี่วินาทีต่อมา สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวเพราะน่าหลานเชวี่ยบิดเข้าที่เอวของเขาอย่างแรง
“ถ้าเป็นพี่ซู่จริงๆ ล่ะก็…” เฉินจู่อานพูดหลังจากคิดไตร่ตรองสักพัก “ฉันสงสัยว่าที่ฐานขนส่งคงจะเหลือแต่ความว่างเปล่าแล้วในตอนนี้”
“เป็นไปไม่ได้ เขาจะต้องถูกพบก่อนที่จะเก็บกวาดของที่นั่นได้ถึงเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์” หลี่อีเสี้ยวแย้ง
“ทำไมเขาไม่ทำลายฐานขนส่งโดยตรงเลยล่ะ เขาจะอยากได้เสบียงไปทำไม ก็แค่ระเบิดที่นั่นทิ้งซะ แบบนี้จะไม่ง่ายกว่าเหรอ” เฟิงเยี่ยหมิงถามขณะที่เขาเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอคอมพิวเตอร์
“เป็นไปไม่ได้!”
“เป็นไปไม่ได้!”
พวกเขาทุกคนปฏิเสธที่จะเห็นด้วยกับข้อคาดการณ์นี้อย่างเป็นเอกฉันท์ เฉินจู่อานอธิบายต่อว่า “พี่ซู่จะต้องหัวใจวายแน่ๆ ถ้าเสบียงมากมายขนาดนั้นถูกทำลายจนหมด…”
“นั่นจะเป็นประโยชน์กับเรามากถ้าที่ฐานนั่นว่างเปล่าไปแล้วจริงๆ” โยวหมิงอวี่พูดพร้อมรอยยิ้ม
ในความเป็นจริงแล้ว พวกเขาทั้งหมดตระหนักอย่างชัดเจนถึงความแตกต่างอย่างมากในจำนวนคนที่แต่ละฝ่ายมี หากไม่รวมพวกระดับ A แล้วล่ะก็ เครือข่ายฟ้าดินก็ถือว่ามีจำนวนคนน้อยกว่าถึงสามเท่า
ยิ่งไปกว่านั้นคือสิ่งมีชีวิตทุกชนิดต้องกินอาหาร และเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสามารถขนส่งอาหารให้ถึงที่หมายได้ภายในวันเดียว ถึงแม้จะมีการขนส่งที่มีประสิทธิภาพในปัจจุบันก็ตาม
ดังนั้นในแต่ละวันจึงมีความต้องการบริโภคอาหารเป็นจำนวนมหาศาล
“นั่นถือเป็นการตัดกำลังฝ่ายตรงข้ามได้อย่างดี ขวัญกำลังใจในหมู่ผู้บำเพ็ญลับของพวกเขายังคงอยู่ในระดับต่ำ และควบคู่ไปกับความอดอยากที่กำลังจะมาถึงนี้ พวกเขาก็จะได้เพียงกลุ่มคนที่ไร้ประโยชน์ หากเราไม่นับรวมจำนวนผู้บำเพ็ญลับของพวกเขา จำนวนผู้บำเพ็ญที่มีประสิทธิภาพทั้งหมดของพวกเขาก็เทียบได้กับของเรา พวกเรานับว่ามีโอกาสที่จะชนะ!” โยวหมิงอวี่กล่าวอย่างคึกคัก “แต่อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ยังเร็วเกินไปที่จะดีใจ เพราะการคาดการณ์ของพวกเราขึ้นอยู่กับบุคลิกของราชันฟ้าคนที่เก้าเท่านั้น ดังนั้นสถานการณ์อาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเราคาดหวังก็ได้”
และในขณะนี้เอง รายงานอีกฉบับก็ถูกส่งเข้ามา “เป็นรายงานข่าวกรองจากท่าเรืออาร์เตม!”
ทุกคนรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้รู้ความเคลื่อนไหวเพิ่มเติม แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น โยวหมิงอวี่ก็ยังคงเผารายงานนั้นทิ้งหลังจากที่เขาใช้เวลาอ่านมันตั้งนาน เขาอธิบายว่า “ต้องขอโทษด้วยที่ฉันไม่สามารถให้พวกนายดูรายงานฉบับจริงได้ เพื่อป้องกันไม่ให้ข้อมูลประจำตัวของเจ้าหน้าที่ข่าวกรองของเราเล็ดลอดน่ะ”
“พวกเราเข้าใจ” คนที่เหลือต่างพากันพยักหน้าเห็นด้วย ในช่วงเวลาพิเศษเช่นนี้ เป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ถึงแม้ว่านั่นอาจจะทำให้รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ ที่ต้องคิดว่าแม้แต่คนของพวกเขาเองก็ยังคงต้องเก็บตัวอยู่ในความมืดเนื่องด้วยปัญหาบางอย่าง
อย่างไรก็ตาม พวกเขาทุกคนต่างก็ยอมรับว่าโยวหมิงอวี่เป็นผู้ทำหน้าที่ในการจัดการข่าวกรองได้อย่างดีที่สุด เนื่องจากเขาสามารถปกป้องสมาชิกสายลับของพวกเขาได้
หลังจากที่รายงานข่าวกรองถูกเผาจนเป็นขี้เถ้า โยวหมิงอวี่จึงกล่าวว่า “เป็นผู้มีพลังธาตุน้ำที่มีด้ายแหลมสีเทา ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะต้องเป็นราชันฟ้าคนที่เก้าอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นก็คือเขากวาดของที่อยู่ในห้องเก็บอาหารและวัสดุจนเกลี้ยงไปสิบเจ็ดห้องจากยี่สิบห้อง…
…และไม่ใช่แค่นั้นนะ เขายังกวาดเอารถบรรทุกไปอีกสามสิบเอ็ดคัน อุกอาจชนิดที่ว่าเป็นการลงมือทั้งๆ ที่อยู่ใต้จมูกของพวกกลุ่มแก่นความเชื่อเลยล่ะ และในรถบรรทุกเหล่านั้นก็มีอาวุธวิเศษแบบง่ายๆ อยู่อีกกว่าสองหมื่นชิ้น และถึงแม้ว่าพลังของพวกมันอาจจะเทียบไม่ได้กับกระบี่ไขว้ของกลุ่มแก่นความเชื่อ แต่ของเหล่านี้ก็จะช่วยเพิ่มขวัญกำลังใจและประสิทธิภาพในการต่อสู้ให้พวกผู้บำเพ็ญลับได้อย่างแน่นอน”
ทั้งกลุ่มเงียบไปหลังได้ฟังข้อมูลใหม่
ก่อนหน้านี้ไม่นาน พวกเขายังล้อเล่นกันอยู่เลยว่าหลี่ว์ซู่จะกวาดเอาของจากฐานขนส่งนั่นมาได้มากน้อยแค่ไหน แต่พวกเขาก็ไม่คิดว่าหลี่ว์ซู่จะทำอะไรที่บ้าระห่ำขนาดนี้ ยิ่งไปกว่านั้นคือเขาได้ขโมยอาวุธมาตรฐานมาอีกกว่าสองหมื่นชิ้นไปแบบต่อหน้าต่อตาพวกศัตรู…
“แต่ยังมีคำถามอีกข้อ” โยวหมิงอวี่กล่าว “ตามรายงานที่ฉันได้มา หลี่ว์ซู่เลือกที่จะทิ้งโอกาสในการหนีลงทะเล ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขาเปลี่ยนใจและตัดสินใจหนีเข้าไปในป่าทางเหนือ”
เหนือความคาดหมายมากที่ปฏิกิริยาแรกต่อการต่อสู้ของหลี่ว์ซู่คือการพุ่งตรงไปยังรถบรรทุกคันที่สิบเจ็ด
คลื่นพลังระเบิดขึ้นในชั้นบรรยากาศ ปรากฏให้เห็นผู้มีพลังธาตุลมระดับ B ที่สามารถบินได้หลังจากผสานตัวตนเข้ากับสายลม พลังแต่ละประเภทมาพร้อมกับพรสวรรค์ในแบบของตนเอง และความสามารถธาตุน้ำของหลี่ว์ซู่…ยังเป็นที่สงสัยว่าอาจจะมีอะไรผิดพลาด หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะว่าหลี่ว์ซู่มีความคิดสร้างสรรค์มากเกินไป
ระหว่างทางที่หลี่ว์ซู่กำลังมุ่งตรงไปยังรถบรรทุกคันที่สิบเจ็ด ความชื้นรอบๆ ตัวพวกเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และในวินาทีต่อมา ยอดฝีมือธาตุลมก็รีบหนีออกจากสายลมของเขาด้วยใบหน้าตื่นตระหนก
ไอน้ำที่รวมตัวกันอยู่ในอากาศเกือบจะบดขยี้ทุกอณูหากว่าเขาเคลื่อนที่ช้าลงเพียงเล็กน้อย!
ในความเป็นจริงแล้ว ความสามารถธาตุลมและธาตุดิน ได้รับการยอมรับว่าเหมาะสมที่สุดสำหรับเหล่ามือสังหาร อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้เองที่ยอดฝีมือธาตุลมได้ตระหนักว่าธาตุน้ำคือศัตรูตามธรรมชาติของธาตุลม!
สิ่งนี้ไม่เคยเป็นที่รู้กันมาก่อน เขาจึงได้แต่สงสัยว่าเจ้าคนธาตุน้ำได้ความคิดนี้มาได้อย่างไร!
แทนที่จะเข้าใกล้ศัตรูอย่างประมาท ผู้มีพลังธาตุลมกลับพยายามรักษาระยะห่าง เขารู้ว่ามีพวกระดับ B หกคนกำลังรีบตรงกลับไปที่ท่าเรือ
และเมื่อคนพวกนี้ไปถึง พวกเขาจะเป็นต่อผู้มีพลังธาตุน้ำนี้ทันที
ดังนั้นงานของเขาในตอนนี้ก็คือการทำให้ผู้มีพลังธาตุน้ำไม่สามารถหนีไปทางทะเลได้ กลุ่มแก่นความเชื่อจะต้องแพ้อย่างแน่นอนถ้าคนคนนี้สามารถหนีลงทะเลไปได้ เพราะทะเลคือเวทีของเขา!
ผู้มีพลังธาตุลมจึงเริ่มพูดจาถากถางหลี่ว์ซู่เพื่อพยายามทำให้เขาเสียสมาธิและเคลื่อนที่ช้าลง แต่ถึงแม้แม้เขาจะพยายามมากแค่ไหน หลี่ว์ซู่ก็ไม่แม้แต่จะเหลือบมองมาด้วยซ้ำ จนผู้มีพลังธาตุลมเข้าใจได้ในที่สุดว่า… ผู้ชายคนนี้คงไม่เข้าใจภาษาอิตาลี…
เขาจึงเปลี่ยนเป็นภาษาอังกฤษและพูดว่า “ยังไงนายก็แพ้สงครามนี้อยู่แล้ว แล้วทำไมนายต้องยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อองค์กรที่กำลังจะล่มสลายด้วยล่ะ ฉันขอเสนอให้นายเข้าร่วมกับกลุ่มแก่นความเชื่อ แล้วนายจะได้ทำในสิ่งที่เหมาะสมกับระดับความแข็งแกร่งของนาย”
ในขณะเดียวกันพวกผู้มีพลังคนอื่นๆ ก็ได้แต่มองหลี่ว์ซู่มาจากที่ไกลๆ เพราะความหวาดกลัวที่มีต่อกระบี่เฉวียอินของเขา!
หลี่ว์ซู่มองมาที่ผู้มีพลังธาตุลมเพียงแค่แวบเดียว ก่อนที่เขาจะรีบมุ่งหน้าตรงไปยังรถบรรทุกคันที่สิบแปด และคันที่สิบเก้า…
ผู้มีพลังธาตุลมรู้สึกราวกับว่าถูกเมิน หรือเจ้าคนธาตุน้ำนี่ก็ไม่เข้าใจภาษาอังกฤษเหมือนกัน?
ทันใดนั้นหลี่ว์ซู่ก็ตอบกลับมาว่า “เอาสิ”
นั่นทำให้ผู้มีพลังธาตุลมรู้สึกแปลกใจ ง่ายขนาดนั้นเลยเรอะ
อย่างไรก็ตาม หลี่ว์ซู่ไม่ได้หยุดเคลื่อนไหวเลย ตอนนี้เขาไปถึงรถบรรทุกคันที่ยี่สิบเก้าแล้ว!
ขณะที่เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ผู้มีพลังธาตุลมพยายามอย่างเต็มที่เพื่อรั้งหลี่ว์ซู่ไว้ ในขณะที่กำลังจัดแนวป้องกันที่แข็งแกร่งบนชายฝั่งทะเล พร้อมที่จะปิดกั้นเส้นทางหนีของหลี่ว์ซู่ได้ทุกเมื่อ
เป้าหมายสูงสุดก็คือการจับตัวหลี่ว์ซู่ที่ท่าเรือให้ได้ จากนั้นพวกเขาก็จะได้กระบี่ทั้งหมดคืนหลังจากหลี่ว์ซู่ตาย
ใบหน้าของผู้มีพลังธาตุลมค่อยๆ เย็นชาขึ้น และในขณะนั้นเองที่หลี่ว์ซู่เกือบจะเก็บรถบรรทุกทั้งหมดเสร็จ นั่นทำให้ผู้มีพลังธาตุลมเกิดความสงสัยว่าคลังไร้รูปของหลี่ว์ซู่นั้นใหญ่แค่ไหนกัน!
“ตรวจสอบเวลา พวกคาร์ดินัลจะมาถึงเมื่อไหร่”
“ภายในห้านาที!”
ผู้มีพลังธาตุลมถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความดุดัน “ขัดขวางเจ้าหัวขโมยด้วยชีวิต!”
วงล้อมของกลุ่มแก่นความเชื่อเริ่มตีวงแคบลงเรื่อยๆ พวกระดับ C ทั้งหมด ค่อยๆ เคลื่อนตรงไปยังรถบรรทุกคันสุดท้าย เตรียมพร้อมที่จะรับมือกับความตายเมื่อหลี่ว์ซู่มาถึง
อย่างไรก็ตาม จู่ๆ หลี่ว์ซู่ก็พุ่งตรงไปทางทิศตะวันออกโดยไม่ยอมไปเก็บรถบรรทุกคันสุดท้าย!
ขณะที่ทุกคนกำลังประหลาดใจ ก็กลับมีกระแสน้ำขึ้นสูง คลื่นสาดซัดข้ามเขื่อนตรงมายังทุกคนที่ท่าเรือ
ผู้มีพลังธาตุลมรู้สึกตกตะลึง เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าศัตรูจะสามารถควบคุมกระแสน้ำได้จากที่ไกลๆ เจ้านี่จะต้องอยู่ขั้นสูงสุดของระดับ B แน่นอน!
“ขวางมันไว้!” ผู้มีพลังธาตุลมตะโกน ขณะนี้พวกคาร์ดินัลอยู่ห่างไปเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น เขาจะต้องได้รับโทษหนักแน่ๆ ถ้าปล่อยให้เจ้าหัวขโมยหนีไปในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้!
เขาหัวเราะเยาะหลี่ว์ซู่ “แกคิดว่าเครือข่ายฟ้าดินจะชนะเพราะอาวุธพวกนั้นได้จริงๆ น่ะเหรอ ฉันจะบอกอะไรให้นะ คนของพวกแกทุกคนกำลังเป็นที่ต้องการของอาณาจักรมืด หนึ่งชีวิตของพวกเครือข่ายฟ้าดิน แลกกับศิลาวิญญาณสิบเม็ด ทางฝั่งเรามีคนเยอะกว่า และคนอีกจำนวนมากก็กำลังจะมาที่นี่เพื่อไล่ล่าแก ความพยายามทั้งหมดของแกจะสูญเปล่า”
หลี่ว์ซู่ไม่อยากใส่ใจจนต้องเสียเวลาไปมากกว่านี้ ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการหนีไปในทะเล ในความเป็นจริงแล้ว หลี่ว์ซู่รู้ดีว่าทีมสนับสนุนของพวกนี้มาถึงแล้ว เนื่องจากเจ้าระดับ B นี่ดูไม่ค่อยเต็มใจที่จะเผชิญหน้ากับเขาสักเท่าไหร่ แต่กลับสั่งให้พวกระดับต่ำกว่าขัดขวางเขาไว้ทุกทางแทน
ในตอนแรก หลี่ว์ซู่อยากจะโจมตีเจ้าระดับ B กลับไปสักหน่อยตอนที่เจ้านี่ไล่ล่าเขา ดังนั้นเขาจึงรู้สึกเสียใจที่ไม่มีโอกาสนั้นเนื่องจากเจ้านี่ระมัดระวังตัวมาก
แต่หลี่ว์ซู่รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างกำลังเปลี่ยนไป ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา อาณาจักรมืดวางตัวเป็นกลางเสมอมา แม้ว่าพวกนี้จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ในโลกแห่งการฝึกฝน และยังถึงขั้นเปิดโอกาสให้มีการซื้อขายเหล่าวัยรุ่นที่มีศักยภาพในการฝึกฝน แต่ก็ไม่เคยแสดงความสนใจใดๆ ในการต่อสู้ แล้วทำไมตอนนี้ถึงเปลี่ยนไป
หลี่ว์ซู่รู้สึกได้ว่าอาณาจักรมืดยังมีบทบาทที่ไม่สามารถถูกแทนที่ได้ในสงครามขณะนี้อีกด้วย
เมื่อเห็นว่าหลี่ว์ซู่เริ่มไขว้เขว ผู้มีพลังธาตุลมจึงพูดต่อ “นอกจากนี้นะ พวกแกมีระดับ B กันกี่คน พวกเรามีระดับ B เยอะกว่าของพวกแกถึงสามเท่า อัตราต่อรองของแกคือเท่าไหร่ล่ะ”
ในความเป็นจริงแล้ว เครือข่ายฟ้าดินมีพวกระดับ A มากกว่าองค์กรอื่นๆ นอกจากนี้ยังไม่รวมที่ชายคนนี้ตั้งใจไม่พูดถึงว่าผู้บำเพ็ญลับของพวกเขามีช่องโหว่มากเพียงใด
ในตอนนี้เองที่จู่ๆ หลี่ว์ซู่ก็หยุดยืนนิ่งๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เขา
ราวกับว่าเพียงแค่การมีอยู่ของเขา ก็สามารถที่จะขับไล่ผู้คนออกไปได้
หลี่ว์ซู่ยิ้ม และในตอนนั้นเองที่เขาตัดสินใจที่จะไม่หนี
เขาหันกลับมาและหัวเราะให้กับคนที่เพิ่งจะเยาะเย้ยเขาไป “นายพูดเองนะ จะฆ่าฉันเหรอ ถ้ากล้าก็เอาสิ แล้วมารอดูกันว่า…ใครจะเหลือรอดเป็นคนสุดท้าย!”
ตอนนี้เขาอยู่ในถิ่นของศัตรู และยังได้ยั่วยุสมาชิกที่มีอำนาจสูงสุดบางคนอีกด้วย เพราะมันคงจะน่าเสียดายไม่น้อยถ้าเขาจากไปโดยไม่ได้เก็บเกี่ยวเอาชีวิตของคนพวกนี้ไปด้วย
ในเมื่อคนพวกนี้บอกว่าตัวเองมีพวกระดับ B มากกว่า ถ้าอย่างนั้นก็ให้ฉันจัดการพวกมันบางส่วน เพื่อทำให้อะไรๆ ง่ายขึ้นสำหรับเครือข่ายฟ้าดินของฉันก็แล้วกัน!
เมื่อหลี่ว์ซู่พูดจบ เขาก็ตรงกลับไปที่รถบรรทุกคันสุดท้าย และเก็บมันใส่ลงในตราแผ่นดิน!
ในขณะนั้น แนวป้องกันของกลุ่มแก่นความเชื่อกำลังจดจ่ออยู่ที่ชายทะเล พวกเขาไม่ได้คาดคิดเลยว่าหลี่ว์ซู่จะเปลี่ยนแผน และกำลังพุ่งขึ้นเหนือไปยังป่า!
หลี่ว์ซู่คิดคำนวณอย่างละเอียด มีรถขนส่งทั้งหมด 31 คัน หมายความว่ามีดาบอยู่ทั้งหมดอย่างน้อยหมื่นเล่ม ถ้าอาวุธเหล่านี้ตกไปอยู่ในมือขององค์กรใหญ่ๆ คงจะสร้างความเดือดร้อนอย่างมากให้เครือข่ายฟ้าดินแน่นอน
เขาจะต้องปล้นสะดมอาวุธพวกนี้มาให้ได้ถ้าเขาอยากจะปกป้องสหายร่วมรบของเขา! ทั้งหมดนี่ก็เพื่อเครือข่ายฟ้าดิน!
ฟังดูเข้าท่าเป็นที่สุด! หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าตัวเองทำได้ดีมาก…
เพราะฉะนั้นการเอารถขนส่งทั้งหมดนี่ยัดเข้าไปในตราแผ่นดินท่ามกลางความโกลาหลตอนนี้เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดแล้ว คลังเก็บของไร้รูปไม่ได้มีอยู่เยอะมากในโลกนี้ ผู้บำเพ็ญ 99% ของทั้งโลกยังไม่เคยเห็นของจริงเลย พวกเขาไม่รู้กันหรอกว่าคลังเก็บของไร้รูปทำงานอย่างไร
อีกอย่างคลังเก็บของไร้รูปก็มีขีดจำกัดของมันด้วย ไม่มีใครบ้าเอารถขนส่งยัดลงไปมาก่อน…
เพราะฉะนั้นหลี่ว์ซู่ก็เลยจึงเคลื่อนตัวไปพร้อมกับฝูงชนที่วุ่นวายจนกระทั่งเขาใส่รถบรรทุกขนส่งคันที่ 14 เข้าไปในตราแผ่นดินก่อนที่จะมีใครเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น
รถบรรทุกขนส่งหายไปไหนนะ รถคันใหญ่พวกนั้นน่ะ!
มีคนรีบโทรหาผู้บังคับบัญชาของพวกเขาเพื่อรายงานเรื่องนี้ เขาละล่ำละลักพูดออกไปทางโทรศัพท์ “รถบรรทุกหายไปแล้ว!”
ผู้บังคับบัญชาคนนั้นตอบกลับอย่างงงๆ “หาย รถอะไรหายไปนะ”
“ไม่ใช่ครับ! ผมหมายถึงว่าดาบหายไปแล้ว!” คนรายงานตอบ
ผู้บังคับบัญชายิ่งงหนักกว่าเดิม “แล้วอะไรหายไปกันแน่ รถหายหรือว่าดาบหาย”
“ทั้งรถทั้งดาบเลยครับ! หายไปหมดเลย…”
ผู้บังคับบัญชาพูดไม่ออก
เรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย ถ้าดาบโดนขโมยไปก็ยังจะพอเข้าใจได้อยู่ แต่หายไปทั้งรถบรรทุกเลยเนี่ยนะ!
เมื่อเขารายงานเรื่องนี้ให้ฟรานเชสโกทราบ หน้าของเขาก็ดูเคร่งเครียดขึ้นทันที “มียอดฝีมือที่มีคลังเก็บของไร้รูปอยู่ในหมู่พวกเราที่ฐานขนส่ง!”
ฟรานเชสโกรู้ว่าเรื่องนี้คงไม่ง่ายแน่ เพราะแม้แต่คลังเก็บของไร้รูปของเขาเองก็ใส่รถบรรทุกไปได้แค่สองคันเท่านั้น แต่ชายคนนี้กลับใส่ไปได้ตั้ง 14 คันงั้นเหรอ…
จากนั้นเขาก็ได้รับสายอีกสายที่โทรมารายงานว่ารถคันที่ 15 หายไปอีกคันแล้ว…
ฟรานเชสโก้สูดหายใจเข้าลึก “หามันให้เจอแล้วฆ่ามันทิ้งซะ!”
หลังจากนั้นเขาก็กลับเข้าไปในป่าลึกตามเดิม บริเวณนี้ถูกกลุ่มแก่นความเชื่อปิดผนึกไว้หมดแล้ว และไม่อนุญาตให้ใครเข้าใกล้
และสมาชิกกลุ่มแก่นความเชื่อเองยังถูกห้ามไม่ให้เข้าใกล้ไปในบริเวณใจกลางอีกด้วย มีแต่ฟรานเชสโกและลูกน้องคนสนิทเท่านั้นที่ขนศพของผู้บำเพ็ญลับเข้าไป ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นข้างในนั่น
แต่ผู้คนก็เห็นว่าหัวหน้านักบวชและฟรานเชสโกทำตัวแปลกๆ ตั้งแต่กลับมาจากสวนศักดิ์สิทธิ์
…
ในขณะที่หลี่ว์ซู่วิ่งไปที่รถคันที่ 16 เขาได้ยินเสียงตะโกนตามหลังเขามา จากนั้นทุกคนที่อยู่ข้างๆ เขาก็เดินออกห่างไปจากรถบรรทุกขนส่ง
ถึงเขาจะไม่เข้าใจว่าพวกเขาพูดอะไรกัน แต่เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้แล้วว่ารถหายไปได้อย่างไร เพราะฉะนั้นทุกคนจะต้องถอยออกห่างจากบริเวณรถขนส่งให้หมดเพื่อไม่ให้เสียรถขนส่งไปมากกว่านี้
ไม่ใช่ว่ากลุ่มแก่นความเชื่อทำงานกันช้ากันหรอก แต่หลี่ว์ซู่เคลื่อนไหวกว่ามากต่างหาก หลังจากที่รถคันแรกหายไปถึงตอนนี้ก็ผ่านไปแค่สองนาทีเท่านั้น…
อีกอย่างหลี่ว์ซู่ก็รู้ว่าพวกหัวหน้าของกลุ่มแก่นความเชื่อหรือกระทั่งอาจจะเป็นหัวหน้าบาทหลวงเองเลยก็ได้กำลังมุ่งหน้ามาที่พวกเขาอยู่
เพราะอาวุธเวทมนตร์ที่เก็บไว้ในรถขนส่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่สำคัญต่อพวกเขามาก และพวกเขาปล่อยให้แผนพังไปไม่ได้
แต่หลี่ว์ซู่ต้องการจะขโมยไปให้หมดทุกคันรถเลยน่ะสิ…
ในเมื่อพวกเขารู้แผนของหลี่ว์ซู่แล้ว เขาจะใช้วิธีเดิมต่อไปไม่ได้อีกแล้ว เขารู้สึกว่าเขาทำดีมากแล้วสำหรับงานสายลับนี้ และงานนี้ก็น่าจะจบลงด้วยดี
อาวุธทั้งหมดจะถูกส่งไปที่ฐานอยู่แล้ว เขาสามารถรอก่อนและค่อยจัดการทีหลังก็ได้
ด้วยเหตุนี้หลี่ว์ซู่จึงตัดสินใจที่จะอยู่เงียบๆ เพื่อให้การซุ่มนี้ดูเป็นมืออาชีพมากขึ้น
แล้วตอนนั้นเองก็มีสมาชิกของกลุ่มแก่นความเชื่อหันมาหาหลี่ว์ซู่และพูดอะไรบางอย่างกับเขา เขาไม่เข้าใจเลยสักนิด แต่ชายคนนั้นก็ยังรอให้หลี่ว์ซู่ตอบกลับอยู่
หลี่ว์ซู่พูดไม่ออก
แย่จัง ผู้ชายคนนั้นก็ยังรอเขาตอบอยู่อีก
“ฉันจะฆ่าคนที่เปิดเผยตัวตนของฉัน ทำไมไม่เข้าใจอะไรง่ายๆ แบบนี้กันนะ” หลี่ว์ซู่พูดขึ้นมาและรู้สึกสงสารผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเขา จากนั้นเส้นของกระบี่เฉวียอินก็ทำให้ร่างของผู้ชายคนนั้นระเบิดเหมือนพายุทอร์นาโดสีเทา!
เส้นพวกนั้นบินโฉบอยู่รอบตัวเขา จากนั้นมันก็แผ่ออกไปด้านนอกหมายจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง!
หน้าของหลี่ว์ซู่เปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นมา เขาเอามือแตะไปที่รถขนส่งคันที่ 16 ในตอนที่ไม่มีใครอยู่รอบๆ จากนั้นรถก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ผู้คนกระหายความจริง แต่บางครั้งพวกเขาก็ไม่สมควได้รู้มัน
จากนั้นก็ท่อระบายน้ำทั้งหมดที่อยู่บนพื้นก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า กระแสน้ำนั้นพุ่งขึ้นมาจากท่อระบายน้ำอย่างกับมังกรและบดขยี้กระดูกของทุกคนในบริเวณนั้น!
ตอนนี้มีพลังจิตวิญญาณลอยขึ้นมาในอากาศ จากนั้นก็มีมนุษย์ล่องหนปรากฏตัวอยู่หลังหลี่ว์ซู่!
เคยมีการพูดคุยว่าประเภทของธาตุไหนที่อันตรายที่สุดหลังจากที่ระดับ B สามารถหลอมรวมธาตุเข้าด้วยกันได้ จะเป็นสายฟ้าหรือไฟกัน
แต่ก็มีบางคนเสนอความคิดที่แตกต่างออกไป หากธาตุลมเข้าหลอมรวมกับธาตุลม การโจมตีของพวกเขาก็ยากที่จะป้องกันได้!
หลี่ว์ซู่ไม่ทันได้ตั้งตัวขณะที่เส้นกระบี่เฉวียอินล้อมรอบตัวเขาอยู่ เมื่อผู้ชายคนนั้นโผล่ออกมา หลี่ว์ซู่ก็รีบถอยออกไปเพื่อรับดาบยาวที่คู่ต่อสู้โจมตีมาด้วยมือเปล่า
เขาคงจะโดนแทงตายไปแล้วถ้าเขาหลบช้าไปเพียงแค่เสี้ยววินาที
เขาไม่รู้ว่ายอดฝีมือธาตุลมระดับ B มาถึงที่นี่เมื่อไหร่ หรือบางทีเขาอาจเป็นผู้ดูแลฐานการขนส่งก็ได้ แน่ละ อาวุธมีตั้งมากมายขนาดนี้จะไม่มีผู้คุมอยู่สักคนได้อย่างไรกัน
หลี่ว์ซู่ประหลาดใจมากที่เห็นว่าผู้ชายคนนั้นหายไปจากที่นี่หลังจากที่เขาล้มเหลวในการโจมตีครั้งแรก เขาทิ้งดาบไว้ อย่างกับว่าเขาถูกลบออกไปจากบรรยากาศแล้ว!
ทุกคนคิดว่าหลี่ว์ซู่จะจดจ่อกับการสู้ยอดฝีมือธาตุลมต่อไป เขากลับพุ่งเข้าใส่รถบรรทุกคันที่ 17 อย่างไม่ลังเล…
หลี่ว์ซู่รู้ว่าคงไม่ฉลาดนักถ้าเขาจะอยู่ที่นี่นานๆ เพราะเขาสู้เรื่องจำนวนไม่ได้ เขาจะต้องออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด!
พูดให้ชัดๆ ก็คือเขาจะต้องขึ้นรถขนส่งเหล่านี้แล้วออกเดินทางไปในทันที!
หลี่ว์ซู่พบปัญหาหนึ่งแล้ว เขาตระหนักได้ว่าผู้บำเพ็ญจากองค์กรต่างประเทศน่าจะมีความชอบที่แตกต่างกันออกไป เพราะอาหารที่เขาเจอในโกดังไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดไว้เลย
เขาคิดว่าข้าวจะเป็นอาหารหลักของพวกเขา แต่แป้งและอาหารกระป๋องต่างหากที่มีอยู่เยอะ
หลี่ว์ซู่ประหลาดใจที่เจอถุงกาแฟด้วย เขาไม่คิดว่ากลุ่มทหารพวกนี้จะดื่มกาแฟกันระหว่างสงคราม
“การดื่มกาแฟมากๆ มีแนวโน้มจะทำให้เป็นโรคกระดูกพรุน นี่ฉันทำเพื่อพวกนายเลยนะเนี่ย” หลี่ว์ซู่พึมพำขณะยัดถุงกาแฟเข้าไปในตราแผ่นดิน
“กินอาหารกระป๋องเยอะๆ ก็ไม่ดีเหมือนกัน” หลี่ว์ซู่พึมพำต่อไปแล้วเก็บเอาอาหารกระป๋องเข้าไปในตราแผ่นดิน
ทันใดนั้นเขาก็เจออีกปัญหาหนึ่งแล้ว เฉินไป่หลี่เคยบอกว่าเขาจะต้องคุ้มกันเกราะทองแดงไปตอนขนส่ง เพราะเขาเอาเกราะทองแดงทั้งหมดใส่เข้าไปในคลังเก็บของไร้รูปของเขาไม่หมด แต่หลี่ว์ซู่ไม่เคยคิดเรื่องนี้เลย เพราะเมื่อเขาเห็นตราแผ่นดิน เขาก็รู้สึกว่าสิ่งนี้มีพื้นที่ให้เขาอย่างไม่จำกัด เพราะฉะนั้นเขาเลยไม่ได้ใส่ใจว่าคลังเก็บของไร้รูปของคนอื่นจะจุได้มากแค่ไหน
หลี่ว์ซู่คิดต่อไปว่าคลังเก็บของไร้รูปของหัวหน้าบาทหลวงและนักบุญจะใหญ่แค่ไหนนะ แล้วของฟรานเชสโกล่ะ พวกเขาก็คงจะเอาอาหารเก็บไว้ไม่หมด ไม่อย่างนั้นก็คงไม่เอามาเก็บไว้ในโกดังหรอก พวกเขาก็คงเอาติดตัวไปด้วยแล้ว
ถ้าเขามีโอกาสเขาก็จะเอาคลังเก็บของไร้รูปของพวกนั้นมาเปรียบเทียบกับของเขา…
คนเรามีความปรารถนา ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมาจะเป็นอย่างไรนะ
แต่จากที่หลี่ว์ซู่มองแล้ว เขาคิดว่าคลังเก็บของไร้รูปของเขาน่าจะเป็นสิ่งใหญ่มากที่สุดชิ้นหนึ่งเลย
หลังจากที่เขาเก็บของในโกดังหนึ่งเสร็จ เขาก็เดินต่อไปที่โกดังที่สอง โกดังนี้ไม่ค่อยมีความคุ้มกันที่แน่นหนาเท่าไหร่ แต่ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของหลี่ว์ซู่ด้วย เพราะถ้าเป็นผู้บำเพ็ญปกติก็คงจะเข้าไปยากพอดู
หลี่ว์ซู่เข้าไปในโกดังอื่นๆ อีกขณะที่พยายามเก็บความลับเรื่องการซ่อนตัวของเขา เมื่อเขาเข้าไปที่โกดังหลังที่ 17 เขาก็เริ่มนับคนที่เขาฆ่าไปเพื่อทำให้ตัวเองมั่นใจว่าเขาเก็บความลับอยู่จริงๆ และเขาฆ่าไป 70 คนแล้ว…
เขาไม่แค่กวาดของในโกดังออกไปหมดเท่านั้น แต่เขายังทำให้กองกำลังของพวกนั้นอ่อนแอลงด้วย
หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าวิธีการแทรกซึมของเขาเยี่ยมยอดที่สุด แย่หน่อยที่เขาเอาเรื่องนี้ไปอวดในเครือข่ายฟ้าดินไม่ได้
ในตอนที่เขากำลังจะปล้นสะดมต่อไป เสบียงอีกชุดก็มาถึง
แต่ครั้งนี้มีทีมคุ้มกันเสบียงจำนวนมาก และมีผู้มีพลังกว่า 300 เฝ้าด้านข้างของพาหนะขนส่งขนาดใหญ่กว่า 30 คัน หลี่ว์ซู่ว่ามันมีอะไรแปลกๆ เกี่ยวกับจำนวนคนพวกนี้อยู่!
แต่ในเมื่อมีผู้คนจำนวนมากขนาดนี้ แล้วเขายังพยายามปล้นของในพาหนะพวกนั้นอีก การแทรกซึมของเขาก็จะพังไม่เป็นท่าแน่
ถึงเขาจะแข็งแกร่งขนาดไหน เขาก็เอาชนะคนทั้งฐานขนส่งไม่ได้หรอกนะ
หลี่ว์ซู่ตามผู้มีพลังที่อยู่ใกล้โกดังเข้าไปแถวๆ พาหนะส่งของโดยแสร้งทำเป็นว่าเป็นหนึ่งในคนที่รับผิดชอบในการขนส่งครั้งนี้ด้วย เมื่อประตูรถเปิดออกมา หลี่ว์ซู่ก็อ้าปากค้างด้วยความตกใจ ข้างในนั้นมีดาบยาวขนาดมาตรฐานอยู่เต็มลำรถ
ถึงแม้ว่ามันจะแตกต่างจากกระบี่ของเครือข่ายฟ้าดิน แต่ก็ยังมีส่วนคล้ายกัน อาวุธพวกนี้มีไม่พอกับการเพิ่มขึ้นของจำนวนคน
พวกเขามีทั้งดาบที่เป็นแนวยุโรป และอีกฝ่ายก็มีกระบี่ที่เป็นแบบจีน แต่ทั้งอาวุธทั้งสองแบบก็มีสาระสำคัญเหมือนกัน
เครือข่ายฟ้าดินไม่สามารถจัดหากระบี่ยาวให้ทุกคนได้จนถึงทุกวันนี้ หลังจากการต่อสู้ที่ค่ายหลังพยัคฆ์ก็ยังทำให้กระบี่ยาวหักไปมาก และทหารชุดเกราะทองแดงบางคนยังไม่มีกระบี่ยาวใช้เลย
สุดท้ายเนี่ยถิงก็เลยสั่งการให้หากระบี่ยาวมาให้ทหารชุดเกราะทองแดงก่อน ส่วนผู้บำเพ็ญคนอื่นๆ ก็ต้องเอากระบี่ของตัวเองให้พวกเขาด้วยเพื่อให้แน่ใจว่าทหารชุดเกราะทองแดงมีอาวุธอย่างครบถ้วน
หลี่ว์ซู่มองดาบยาวพวกที่อยู่ในรถขนส่งตรงหน้าเขา เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงมีการคุ้มกันที่แน่นหนาขนาดนี้
แต่เขาก็ตระหนักดีว่าดาบพวกนี้ไม่ได้ทำมาจากวัสดุที่ดีเท่าไหร่นัก เขาเคยเห็นอาวุธของกลุ่มแก่นความเชื่อมาก่อน และเขาก็เคยสู้กับอาวุธพวกนี้มาบ้างแล้ว
อาวุธชุดนี้มีลักษณะคล้ายดาบไขว้หยาบ พวกเขาทำมันขึ้นมาเพื่อให้ได้ในปริมาณมาก ๆ
แน่นอนว่าดาบพวกนี้ก็ต้องดีว่าก้อนเหล็กธรรมดาอยู่แล้ว
เดี๋ยวก่อนนะ ดาบพวกนี้ทำมาเพื่อผู้บำเพ็ญลับนี่ หลี่ว์ซู่คิด เป็นไปได้ว่าพวกเขาจะแจกอาวุธวิเศษพวกนี้เพื่อให้ขวัญกำลังใจและซื้อใจผู้คนได้!
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมกลุ่มแก่นความเชื่อจึงไม่อนุญาตให้ผู้บำเพ็ญลับที่กำลังกลัวพวกนั้นหนีไป และพวกเขาก็ยังสร้างค่ายกันอย่างยกใหญ่อีกด้วย อีกทั้งทุกกลุ่มก็ไปรวมตัวกันที่นั่นด้วย
แปลว่าพวกเขาเตรียมตัวกันอย่างดีทั้งแผนรับมือและแผนโจมตีแล้วสินะ พวกเขาคงจะใช้อาวุธชุดนี้เพื่อปลุกใจให้ผู้บำเพ็ญลับสู้ต่อไป!
ผู้บำเพ็ญลับส่วนใหญ่ไม่สามารถหาอาวุธวิเศษมาใช้เองได้ หลี่ว์ซู่เชื่อว่ากลุ่มแก่นความเชื่อน่าจะไปสัญญาว่าอาวุธวิเศษทั้งหมดนี้จะเป็นของผู้บำเพ็ญลับเมื่อสงครามจบ และผู้บำเพ็ญลับพวกนั้นจะต้องซาบซึ้งใจเป็นอย่างมากแน่!
แต่เมื่อสงครามจบลง องค์กรใหญ่ๆ พวกนี้ก็คงจะไม่สนใจอะไรพวกเขามากหรอก
ถ้าหลี่ว์ซู่เป็นผู้บำเพ็ญลับ เขาจะเอาชีวิตตัวเองรอดก่อนแน่นอน เพราะเขาคิดได้ยังไงล่ะ
ถ้าคนอื่นคิดได้แบบเขาก็คงจะไม่มีเหตุการณ์โง่ๆ เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์หรอก
แต่หลี่ว์วู่จะขโมยดาบยาวพวกนี้ออกมาได้อย่างไรล่ะ มีคนเฝ้าตั้งเยอะขนาดนี้ เขาอาจจะตายอยู่ที่ฐานขนส่งนี่ก็ได้
ถ้าเขาใช้ฮุ่นตุ้น เขาก็อาจจะพยายามฝ่าวงล้อมเข้าไปได้ แต่ปัญหาก็คือหัวหน้าบาทหลวงและนักบุญไม่ได้อยู่ห่างไปมาจากที่นี่เลยน่ะสิ พวกเขาเพิ่งออกไปได้แค่ครึ่งวันเท่านั้น แล้วพวกเขาก็บินกลับมาที่นี่ได้ง่ายๆ
ถึงแม้เขาจะมีแหวนมิติ เขาก็ไม่สามารถเก็บดาบยาวพวกนี้ได้เร็วขนาดนั้น เพราะเขายังต้องเก็บดาบพวกนี้ใส่ตราแผ่นดินได้ทีละเล่ม
หลี่ว์ซู่รู้สึกกังวลเล็กน้อยเขาสามารถอดกลั้นไม่ให้ขโมยของได้เมื่อเห็นอาหารและเสบียง แต่เมื่อเขาเห็นดาบเป็นพันๆ เล่ม เขาก็อดไม่ได้อีกต่อไปแล้ว!
แม้ว่าพวกมันจะเป็นอาวุธธรรมดาและทำมาไม่ได้ดีนัก แต่ก็ยังเป็นอาวุธอยู่ดี
เดี๋ยวก่อนสิ ไม่นะ หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าตัวเองอาจเข้าใจอะไรบางอย่างผิดไป
มีอะไรในโลกนี้ที่หลี่ว์ซู่อยากได้แต่เขาเอาไปไม่ได้ด้วยเหรอ ถ้าเขาเอาไปไม่ได้ก็แปลว่าจะเขาจะต้องมีความคิดที่ผิดไปแล้ว!
หลี่ว์ซู่เดินไปอย่างเงียบๆ เขาทำเป็นเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น และใช้มือสัมผัสรถขนส่ง จากนั้นเขาก็ค่อยๆ เก็บของไปอย่างเงียบเชียบ
พอคนพวกนี้หันไปมองรถที่เคยอยู่ตรงนั้นแต่กลับหายไป พวกเขาก็ตกใจกันมาก รถหายไปไหนเนี่ย!
หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าตัวเองฉลาดเกินไปแล้ว เก็บดาบทีละเล่มก็ต้องใช้เวลามากเกินไปน่ะสิ แต่ถ้าเขาเก็บรถทั้งคันไป เขาจะได้ทำงานเสร็จได้อย่างไว!
ขณะที่ทุกคนกำลังตกใจอยู่นั้น หลี่ว์ซู่ก็รีบไปที่รถคันอื่นต่อ ก่อนที่ทุกคนจะได้ทำอะไร รถคันที่สอง สาม สี่ ก็อันตรธานหายไปเรื่อยๆ
พวกคนที่อยู่ข้างๆ รถตกอยู่ในความโกลาหล ทุกคนระมัดระวังกันมาตลอดการเดินทาง แต่พอถึงที่หมายแล้วอยู่ๆ รถก็หายไป พวกเขารับไม่ได้เป็นอย่างมาก!
แต่หลี่ว์ซู่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก เขาแค่อยากจะเอาของไปให้มากที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ จากนั้นก็ค่อยหนีหายไปในทะเล
ที่นี่ไม่มีใครสู้เขาได้หรอก ถึงแม้คนระดับ B จะโจมตีเขา พวกเขาก็หยุดเขาไม่ได้อยู่ดี หลี่ว์ซู่มั่นใจ!
หลี่ว์ซู่ราชันฟ้าคนที่เก้าคนนี้เป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดรองจากแค่ระดับ A เท่านั้น ใครหน้าไหนก็สู้เขาไม่ได้!
พวกแกบังคับให้ฉันทำแบบนี้เองนะ! หลี่ว์ซู่เก็บความเศร้าโศกและความขุ่นเคืองไว้ในขณะที่เขาเตรียมขโมยวัสดุยุทธศาสตร์มาจากทีมขนส่ง
หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าความเศร้าโศกและความขุ่นเคืองนี้เป็นเรื่องธรรมชาติ เขาได้เตรียมตัวมาเป็นอย่างดีและมีกระตือรือร้นที่จะช่วยเครือข่ายฟ้าดินอย่างมาก เขาอยากจะทำตัวไม่ให้เป็นที่สังเกตในครั้งนี้ ถึงจะเป็นเฉินจู่อานก็จำเขาไม่ได้แน่นอน แต่เขากลับมาพบว่าองค์กรใหญ่ๆ ทั้งหลายออกจากท่าเรืออาร์เตมไปแล้ว!
หลี่ว์ซู่ทนอับอายขายหน้าอย่างนี้ไม่ได้!
ฐานขนส่งอยู่ข้างในท่าเรือ วัสดุต่างๆ ถูกส่งมาจากทะเล วัสดุทั้งลายจะถูกส่งไปยังคลังสินค้าเพื่อลงทะเบียน และในที่สุดก็จะถูกส่งไปยังฐานกองทัพชั่วคราวตามความต้องการ
ยามของท่าเรือที่นี่ไม่หย่อนยานเลย มีคนอยู่หลายพันคนที่กำลังอยู่ในหน้าที่ นี่หมายความว่าพวกเขามีความคุ้มกันที่แน่นหนามาก เพราะยังมีผู้บำเพ็ญกว่าอีกหลายพันชีวิตอยู่ที่นี่
หลี่ว์ซู่คิดอยู่นานและเขาก็ตัดสินใจว่าเขาจะลงไปใต้น้ำ เขามุ่งไปทางเหนือและดำดิ่งลงไปในน้ำ เขาว่ายน้ำไปจนสุดท่าเรือทางทิศตะวันออก จากนั้นก็รออยู่เงียบๆ
เขาเห็นว่าใจกลางของท่าเรือนั้นเต็มไปด้วยผู้บำเพ็ญที่ใส่เครื่องแบบของกลุ่มแก่นความเชื่อ หมายความว่าท่าเรือนี้ถูกกลุ่มแก่นความเชื่อควบคุมอยู่
และยังหมายความได้อีกว่ากลุ่มแก่นความเชื่อนั้นอยู่เหนือกว่ากลุ่มองค์กรอื่นๆ ฉะนั้นพวกเขาจึงมีสิทธิ์มากกว่า
ทันใดนั้นผู้มีพลังที่ใส่เครื่องแบบของกลุ่มแก่นความเชื่อก็เริ่มเดินมาทางหลี่ว์ซู่และคาบบุหรี่ไว้ในปาก หลี่ว์ซู่ตกใจมาก จากนั้นเขาก็เห็นว่ามีผู้มีพลังคนนั้นกำลังถอดเข็มขัดของเขาออก
หลี่ว์ซู่หัวเราะออกมา เขาจะต้องเป็นฝ่ายแพ้แน่ถ้าเขายอมให้ผู้มีพลังคนนี้ฉี่ออกมา
ผู้มีพลังที่ว่ายืนอยู่ริมเขื่อน เขายืนอยู่นานและรู้สึกเหมือนกับมีอะไรมาทำให้เขาปัสสาวะไม่ออก…
เขื่อนคอนกรีตมีความสูงประมาณปริ่มผิวน้ำ บริเวณนี้ยังเป็นพื้นที่ที่ค่อนข้างเงียบสงบ ไม่อย่างนั้นผู้มีพลังคนนี้คงจะไม่มาฉี่หรอก เขาไม่ได้คิดอะไรมาก ใครจะไปคิดออกล่ะว่านั่นเป็นความสามารถของผู้มีพลังธาตุน้ำ เพราะไม่มีใครใช้ความสามารถทำแบบนี้มาก่อน
ผู้มีพลังคนนั้นมองไปรอบๆ ไม่มีใครอยู่แถวนี้และจะเห็นเขาฉี่ได้นี่ แต่ตอนที่เขาดึงกางเกงขึ้นและเตรียมตัวจะกลับไป ความรู้สึกอัดอั้นฉี่ไม่ออกก็หายไปและเขาก็เริ่มอยากฉี่ออกมาอีกครั้ง…
[ได้รับแต้มจากซานโดร มาซโซลา +666]
ผู้มีพลังคนนั้นมองไปที่กางเกงของเขาที่เปียกฉี่เป็นวงกว้างด้วยสีหน้ามึนงงและเขาก็ทรุดตัวลง
ทันใดนั้นก็มีมืออันใหญ่ที่เกิดจากการรวมตัวของน้ำทะเลยื่นออกมาดึงเขาลงไปในน้ำ
ผู้มีพลังคนนั้นอยากจะตะโกนให้คนมาช่วย แต่ก่อนที่เขาจะได้ตะโกนก็มีน้ำทะเลมาโอบอุ้มตัวเขาไว้แล้ว
ไม่นานหลังจากนั้นหลี่ว์ซู่ก็เดินออกมาจากชายฝั่งโดยสวมเครื่องแบบของผู้มีพลังคนนั้น แต่เขาเอาแค่เสื้อของชายคนนั้นมาใส่ ส่วนกางเกงน่ะเหรอ… ช่างมันเถอะ อย่างน้องกลุ่มฟีนิกซ์ก็ใส่เครื่องแบบสีขาว หลี่ว์ซู่มีกางเกงสีขาวอยู่และเขาก็เอามาใส่ให้เข้ากันได้
หลี่ว์ซู่เปลี่ยนหน้าตาของเขาเป็นหน้าของผู้มีพลังที่ชื่อมาร์ราซโซและเดินตรงไปที่โกดัง
ที่ท่าเรือไม่มียอดฝีมือที่สามารถเอาชนะเขาได้เหลืออยู่ ตอนนี้เขาก็เดินได้อย่างอิสระแล้วสิ
เขาจะต้องสู้อย่างรวดเร็ว เขาตัดสินใจจะไม่พูดภาษาอิตาลี เพราะเขาต้องโดนจับได้แน่ๆ ถ้ามีใครมาพูดกับเขา ตามสถานการณ์ปกติแล้วเขาแค่จะพยักหน้าและไม่พูดอะไร จากนั้นก็จะทำสีหน้าเคร่งขรึม
แต่หลังจากที่มีผู้หญิงที่ซาร์ดิเนียเข้าใจเขาผิด หลี่ว์ซู่จึงคิดว่าวิธีนี้อาจจะไม่ได้ผลเสมอไป
แต่หลี่ว์ซู่ก็เพิ่งเจอสถานการณ์ที่เขาไม่อยากเจอมา เมื่อกี้มีคนเดินมาหาเขา และดูเหมือนว่าเขาจะไปห้องน้ำมาเหมือนกัน เมื่อเขาเห็นหลี่ว์ซู่เขาก็เริ่มพูดอะไรขึ้นมา หลี่ว์ซู่ไม่เข้าใจเลยสักนิด แต่เขาคนนั้นก็ไม่ได้รอให้หลี่ว์ซู่ตอบ
[ได้รับแต้มจากดีโน่ ซอฟฟ์ +1000]
หลี่ว์ซู่เศร้าเล็กน้อย จะทำตัวไม่ให้เป็นที่สังเกตนี่ยากจังเลยแฮะ แย่จัง
เขาเดินไปทางโกดัง พื้นที่คลังสินค้าทั้งหมดมีขนาดใหญ่มาก ดูเหมือนอาคารโรงงาน 20 แห่งนั้นจะมีแต่วัสดุเต็มไปหมด
ท่าเรืออาร์เตมไม่ได้เป็นท่าเรือใหญ่ เพราะฉะนั้นวัสดุที่ส่งเข้ามาจึงทำให้ดูเหมือนโกดังมีของเต็มไปหมด
หลี่ว์ซู่พบว่าสมาชิกกลุ่มแก่นความเชื่อที่เดินผ่านเขาไปโค้งให้เขา ดูเหมือนว่ามาราซโซจะอยู่ในตำแหน่งใหญ่ในกลุ่มแก่นความเชื่อพอตัว ครั้งนี้เขาโชคดีแล้ว
หลี่ว์ซู่ทำหน้าตาถมึงทึง สมาชิกกลุ่มแก่นความเชื่อจึงเดินต่อไปหลังจากที่โค้งให้เขาแล้ว พวกเขาไม่กล้าจะพูดด้วยกับเขา
หลี่ว์ซู่ยืนอยู่ที่ประตูของโกดังเดี่ยวหลังหนึ่ง สมาชิกกลุ่มแก่นความเชื่อกำลังเฝ้ายามไว้อยู่ เมื่อพวกเขาเห็นหลี่ว์ซู่พวกเขาก็ไม่กล้าพูดด้วย พวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมหนึ่งในผู้นำขององค์กรมองพวกเขาด้วยความโกรธเกรี้ยว และพวกเขาก็เริ่มลุกลี้ลุกลนเล็กน้อย…
หลี่ว์ซู่กำลังคิดเหตุผลที่จะเข้าไป แต่เขาก็ตระหนักว่าถึงเขาจะให้เหตุผลไป เขาก็เอาเครื่องแปลภาษามาใช้ไม่ทันหรอก
[ได้รับแต้มจากเปาโล มัลดินี +1000]
[ได้รับแต้มจาก…]
หลี่ว์ซู่ลากศพสองศพนั้นเข้าไปในโกดัง เขาก็ถอนใจหายใจออกมาที่ตัวเองเป็นอัจฉริยะด้านการซ่อนตัวและการแทรกซึมที่เก่งกาจขนาดนี้ ไม่มีใครพบร่องรอยของเขาได้แม้เวลาจะผ่านไปนานแล้ว
และข้อดีของวิธีการนี้ก็คือหลังจากที่เขาซุ่มโจมตีเสร็จแล้ว เขาก็คาดว่าจะไม่มีคนในองค์กรนี้รอดออกไปได้แน่…
หลี่ว์ซู่มองดูสิ่งของในโกดังด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย ทำไมของในนี้ถึงเป็นอาหารทั้งหมดด้วยนะ
มีทั้งอาหารกระป๋อง ธัญพืช ผักแห้ง เครื่องเทศ และอื่นๆ ซึ่งเป็นของใช้ที่จำเป็นในการดำรงชีวิต
เมื่อหลี่ว์ซู่เห็นแบบนั้นแล้วเขาก็รู้สึกไม่พอใจพวกองค์กรใหญ่ๆ ดูอย่างกลุ่มทวยเทพสิ พวกนั้นเอาศิลาวิญญาณเก็บไว้ในโกดัง มีองค์กรใหญ่ตั้งมากมาย แต่กลับเอาของไร้ประโยชน์แบบนี้มาเก็บไว้งั้นเหรอ
ถ้าเขาเอาของพวกนี้กลับไป หลี่ว์เสี่ยวอวี๋จะหัวเราะเยาะเขาไหมนะ คงไม่ดีถ้าข่าวนี้กระจายออกไป ราชันฟ้าคนที่เก้าเข้าปล้นฐานศัตรู แล้วเขาก็เอาเมล็ดพืชจำนวนหลายล้านเมล็ดกลับมา อย่างนี้น่ะเหรอ
หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าเมื่อเขามีโกดัง 20 แห่งนี้เขาสามารถไปเปิดร้านขายของชำได้เลย จะเลี้ยงอาหารคนสักแสนคนก็ไม่ใช่ปัญหา
หรือเขาควรจะเอาอาหารนี่ไปด้วยดีนะ หลี่ว์ซู่คิดว่าเขาน่าจะทำอย่างนั้น ไม่ใช่ว่าเขาอยากจะเอาทุกอย่างไปให้หมด แต่ถ้าเขาเอาอาหารไปทั้งหมด แนวหน้าเครือข่ายฟ้าดินก็คงจะสู้ง่ายขึ้นใช่ไหมล่ะ
สำนวนนั้นกล่าวไว้อย่างถูกต้องแล้วว่ากองทัพต้องเดินด้วยท้อง
องค์กรต่างชาติหลายๆ องค์กรกำลังระดมกำลังทหาร แต่อาหารของพวกเขาหายไปหมดแล้ว…
น่าสนใจดีนี่ องค์กรใหญ่พวกนั้นจะสู้ต่อไปไหมถ้าไม่มีอาหารเหลืออยู่
หลี่ว์ซู่ไม่ได้เอาแค่อาหารไปอย่างเดียวเท่านั้น แต่เขากำลังเอาความหวังที่จะชนะเครือข่ายฟ้าดินไปด้วย!
หลี่ว์ซู่ว่าเขาเหมาะกับตำแหน่งราชันฟ้าคนที่เก้าอย่างสุดๆ เลย
พวกผู้บำเพ็ญหวังอยากจะกลับไปที่ท่าเรืออาร์เตมกันที่สุด ที่นั่นมีน้ำร้อนและอาหารคอยอยู่ ที่สำคัญคือมีคนระดับ A อยู่ด้วย และพวกเขาก็จะปลอดภัยกัน
การมาถึงของฟรานเชสโกไม่ใช่เป็นความกรุณา แต่หมายความว่าองค์กรใหญ่ๆ ไม่อยากให้พวกผู้บำเพ็ญกลับไปที่ท่าเรืออาร์เตมต่างหาก
ถ้าผู้บำเพ็ญลับพวกนี้กลับไปที่ท่าเรือและหนีไปล่ะ
อีกอย่างก็มีปัจจัยที่ไม่ควบคุมไม่ได้มากเกินไปในกลุ่มคนพวกนี้ ทำไมองค์กรใหญ่ๆ จึงจะต้องมาสนใจว่าผู้บำเพ็ญจะรู้สึกอย่างไรด้วยล่ะ
ผู้บำเพ็ญลับตะโกนกลับอย่างโกรธเกรี้ยว “เราอยากจะกลับไปที่ท่าเรืออาร์เตมและไปจากที่นี่ซะ! เราสู้พวกทหารชุดเกราะทองแดงจากเครือข่ายฟ้าดินไม่ได้หรอก! ชีวิตเรามีค่ากว่าผลประโยชน์ที่เราจะได้นะ! ให้เรากลับไปที่ท่าเรืออาร์เตมซะ!”
พอพูดจบก็มีคนที่อยู่ข้างๆ เขาเข้ามาฟันร่างเขาขาดเป็นสองท่อน
ผู้บำเพ็ญลับรู้สึกหนาวลงไปถึงไขสันหลัง พวกเขาฆ่าคนตายแบบนั้นเลยน่ะเหรอ เพราะว่าแค่พูดอะไรบางอย่างออกไปเท่านั้นเอง
คนพวกนี้โง่กันหรือเปล่า จะหนีไปตอนไหนก็ได้นี่นา ผู้บำเพ็ญจะเดินป่าข้ามภูเขาไปตามใจต้องการ พวกเขาหนีออกไปได้อยู่แล้วตราบใดที่ไม่สร้างปัญหา
พวกเขาไม่มีอาหาร ไม่มีทางออกที่ชัดเจน และอยู่กันด้วยความกลัว ถ้าหลี่ว์ซู่ต้องอยู่แบบนั้น เขาจะไม่ฝากชะตาชีวิตไว้กับองค์กรใหญ่ๆ เด็ดขาด ถึงแม้ว่าเขาจะต้องทนอดอาหารก็ตาม
สีหน้าของฟรานเชสโกไม่เปลี่ยนไปแม้แต่นิดถึงแม้ว่าจะมีการฆ่ากันตายต่อหน้าเขา เขาหัวเราะต่อไป “ทุกคนทำตัวกันสบายๆ ที่นี่นะ เดี๋ยวเสบียงจะถูกส่งมาให้เอง ขอโทษที่เต็นท์มีให้ไม่พอสำหรับทุกคน ค่อยๆ แบ่งกันใช้ล่ะ”
ฟรานเชสโก้ออกไปแล้ว แต่มีสมาชิกจากกลุ่มแก่นความเชื่อเดินไปท่ามกลางฝูงชนราวกับว่ากำลังจับตามองพวกเขาอยู่
ผู้บำเพ็ยลับทั้งหลายนั่งลงอย่างเชื่อฟัง พวกเขาไม่กล้าจะขยับกันด้วยซ้ำ คนแค่ไม่กี่ร้อยกำลังคุมผู้บำเพ็ญลับเป็นพันๆ คนเสียอยู่หมัด เหมือนกับเป็นฉากจากหนังแฟนตาซีเลย
ผู้บำเพ็ญลับบางคนเริ่มไปอยู่ขอบๆ เพื่อจะวิ่งหนีแล้ว แต่สมาชิกจากกลุ่มแก่นความเชื่อไล่ตามพวกเขาไปและฆ่าทิ้ง หลังจากที่พวกเขาฆ่าเสร็จแล้วก็กลับมาประจำตำแหน่งกันอีกรอบโดยไม่พูดอะไรสักคำ
หลี่ว์ซู่เห็นแล้วตกตะลึง สมาชิกบางคนสั่งให้ผู้บำเพ็ญลับเอาศพไปทิ้งด้วย เขาไม่เชื่อว่ากลุ่มแก่นความเชื่อจะใจดีมาช่วยผู้บำเพ็ญลับหรอก
เขามองสมาชิกกลุ่มแก่นความเชื่อสั่งให้ผู้บำเพ็ญลับเอาศพออกไปทิ้งในป่าอย่างเงียบๆ แต่เขาไม่เห็นใครวกกลับมาเลย
หลี่ว์ซู่ไม่สนใจเรื่องชีวิตของผู้บำเพ็ญพวกนี้หรอก เขาอยากจะรู้ว่าเขาจะเข้าไปที่ท่าเรืออาร์เตมและปลอมตัวอยู่ที่นั่นได้หรือไม่ แล้วจากนั้นเขาก็จะไปหาผู้ควบคุม
ทันใดนั้นสมาชิกกลุ่มแก่นความเชื่อก็พูดกับหลี่ว์ซู่และผู้คนที่อยู่รอบๆ เขา “ตามฉันมา”
หลี่ว์ซู่และผู้บำเพ็ญลับคนอื่นๆ ตามสมาชิกคนนั้นไปอย่างลังเล พวกเขาเดินเข้าไปลึกเรื่อยๆ ในป่า สมาชิกกลุ่มแก่นความเชื่อคนนั้นหยุดเดินและหันมาหาพวกเขา เขาอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เขากลับตะลึงเมื่อเห็นหน้าหลี่ว์ซู่ เขามองหน้าหลี่ว์ซู่ใกล้ๆ “นี่เราเคยเจอกันหรือเปล่า”
[ได้รับแต้มจากแอนดีร่า ทอมบารี +1000]
หลี่ว์ซู่รีบเก็บกระบี่เฉวียอิน และร่างของเขาไม่มีแม้แต่เลือดไหลออกมาด้วยซ้ำ
ผู้บำเพ็ญลับคนอื่นๆ ตะลึง พวกเขาเกือบจะคุกเข่าลงบนพื้นและเสนอตัวให้เอาชีวิตพวกเขาไปแล้ว
พวกเขาคิดว่ากลุ่มแก่นความเชื่อนั้นสังหารผู้คนอย่างดุเดือดแล้ว แต่ความเร็วของการสังหารที่อยู่ตรงหน้าพวกเขายิ่งเลวร้ายกว่า!
พวกเขาหมดสติไปก่อนที่จะได้ตอบสนองอะไรกลับมา กระบี่เฉวียอินเจาะผ่านกะโหลกของพวกเขาทุกคน เมื่อมีใครจากกลุ่มแก่นความเชื่อจำเขาได้ เขาก็จะไม่ยอมให้พวกมันมีชีวิตกลับไป
หลี่ว์ซู่รู้สึกเศร้าขึ้นมา เขาไม่ได้อยากจะฆ่าใคร แต่มีคนรนหาที่ตายเองนี่นา
แล้วทำไมจะต้องทำให้เขาเปิดเผยตัวตนด้วย ฮะ! ทำไมกัน!
ตอนนี้เขาจะเอายังไงต่อดี เขาควรหนีจากกลุ่มนี้ไปและมุ่งหน้าไปที่ท่าเรืออาร์เตมเลยดีไหม หรือเขาควรจะอยู่ต่อและสร้างปัญหาให้พวกกลุ่มแก่นความเชื่อดี
หลี่ว์ซู่ตัดสินใจไปที่ท่าเรืออาร์เตม ถึงตัวตนของเขาจะถูกเปิดเผย แต่เขาคงเสียเวลามากถ้าต้องรออยู่ที่นี่เฉยๆ
เขาหันหลังไปและมองต้นไม้ที่อยู่ข้างหลัง และก็มุ่งหน้าที่ท่าเรืออาร์เตมอย่างเด็ดเดี่ยว
ตามความเร็วของการเดินเท้าของผู้บำเพ็ญลับแล้วก็คงไปถึงที่ท่าเรือในอีกสองวัน แต่หลี่ว์ซู่ไปถึงที่ท่าเรือได้ในครึ่งวันเท่านั้น
เขาไม่ได้ตรงดิ่งเข้าไปข้างในท่าเรือ เพราะน่าจะมีผู้มีพลังจับตาผู้บำเพ็ญลับที่มาจากค่ายอยู่ เขาไม่อยากจะไปอธิบายว่าทำไมเขาถึงมาที่ท่าเรืออาร์เตมแค่เพียงคนเดียวได้
เขาเดินตัดผ่านป่าไป จากนั้นก็ข้ามแม่น้ำและปีนผา หลี่ว์ซู่ชอบที่ความสามารถของเขาทำให้เขาทำอะไรก็ได้ และมันก็ง่ายเหมือนกับเขาเดินอยู่บนพื้นเท่านั้นเอง
เขาไปต่ออย่างเต็มกำลังเพื่อแข่งกับเวลา
ทางที่เขาใช้เป็นทางที่ยากที่สุด เขาไม่เห็นผู้มีพลังแม้แต่คนเดียว แต่เมื่อเขาไปถึงที่ท่าเรืออาร์เตมแล้ว เขาก็ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ เพราะท่าเรือนี้ไม่มีค่อยมีคนเท่าไหร่นัก เขาไม่เห็นองค์กรใหญ่ๆ ลาดตระเวนอยู่แถวท่าเรืออาร์เตมด้วย หลี่ว์ซู่เห็นแค่ทีมขนส่งทำงานกันยุ่งเท่านั้น
แต่พวกเขาไม่เหมือนกับทีมขนส่งของเครือข่ายฟ้าดิน พวกเขาก็แค่เป็นคนธรรมดาที่ถูกจ้างมาทำงานที่นี่เท่านั้น
หลี่ว์ซู่รู้สึกงงงวยอยู่พักหนึ่งและในที่สุดก็ตัดสินใจที่จะแอบเข้าไปอยู่ดี เขาเดินอย่างเงียบๆ ไปที่ทางเหนือของท่าเรืออาร์เตมและเดินเข้าไปในเมืองเล็กๆ จากนั้นเขาก็เดินไปทั่วเมือง เขายืนยันได้แล้วว่าผู้คนส่วนใหญ่ขององค์กรต่างชาติทั้งหลายไม่ได้ประจำอยู่ที่นี่แล้ว
ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ ทุกคนหายไปไหนหมด นี่ไม่เหมือนกับที่เขาได้รับข้อมูลมาเลยนี่ มีผู้มีพลังอยู่แค่เพียงหยิบมือในท่าเรืออาร์เตมเท่านั้น และมีผู้เสียชีวิตราวสองพันคน นี่ไม่ใช่กำลังหลักขององค์กรอย่างแน่นอน
จนในที่สุดเขาก็ทนไม่ได้อีกต่อไป เขาทำเป็นเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นและถามใครบางคนดู “คนอื่นๆ ไปไหนหมดแล้วล่ะ”
หลี่ว์ซู่ตกใจมากที่ได้ยินคำตอบ…
องค์กรใหญ่ๆ เดินทางไปที่ค่ายของผู้บำเพ็ญโดยใช้เวลาเพียงครึ่งวันเท่านั้น ผู้คนจากองค์กรใหญ่ๆ กลับไปที่ค่ายจากที่หลี่ว์ซู่ออกมาเมื่อครู่ พวกเขาไปสร้างฐานที่นั่นและเตรียมแทรกซึมเข้าไปในภูเขาจั่งไป๋!
“เดี๋ยวก่อนนะ…” หลี่ว์ซู่เดินพล่านไปทั่วท่าเรืออาร์เตม เขาพูดไม่ออกเลย เขาทำอะไรลงไปเนี่ย เขาน่าจะอยู่ต่อที่ค่ายนั้นซะ…
ขอเขาปลอมตัวเนียนๆ หน่อยได้ไหม มีสักครั้งที่แผนเขาจะสำเร็จไปด้วยดีสักครั้งไหมเนี่ย
หลี่ว์ซู่มองดูฐานขนส่งที่ท่าเรืออาร์เตม มีของบางอย่างถูกขนไป
หลี่ว์ซู่จะต้องทำเหมือนว่าเงินเป็นเศษดินถ้าเขาอยากจะปลอมตัว แต่คนอื่นๆ ไม่ให้ความร่วมมือกับเขาเลย งั้นเขาจะไม่ปรานีใครหน้าไหนแล้วนะ…