ว่านซือเยี่ยนที่กำลังกินข้าวไปด้วยและกำลังแอบฟังไปด้วยนั้นก็ได้แต่กลั้นขำเอาไว้ เมื่อเทียบกับเขาที่ถูกทำให้โกรธจนต้องเดินหนีไป มู่หลานลั่วผู้นี้ดูจะบอบช้ำหนักกว่าเขาเสียอีก
นอกจากนี้ยังคิดไม่ถึงเลยว่านางจะทำให้มู่หลานลั่วเชื่อได้จริง ๆ สิ่งที่ผู้หญิงคนนี้พูดออกมาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการไม่รู้วิธีทำธุรกิจ หรือการไม่รู้จักวิธีการร่วมมือ เห็นอยู่ชัด ๆ ว่านางนั้นรู้เรื่องมากแค่ไหน
ในเมื่อไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ไม่เป็นผลอะไร มู่หลานลั่วจึงกล่าวว่า “ที่ร้านอาหารหวงฮ่าวยังมีเรื่องที่ต้องไปจัดการ ท่านหมอปีศาจ เช่นนั้นข้าขอตัวลา ไว้มีเวลาข้าจะหาโอกาสไปเยี่ยมท่านหมอปีศาจที่หอหมอปีศาจนะขอรับ”
“อื้ม!” มู่เฉียนซีพยักหน้ารับเล็กน้อย
มู่หลานลั่วออกไปแล้ว และทันทีที่เขาเดินออกไปจากห้องส่วนตัว เจ้าของร้านก็มาเก็บเงินกับเขา
“ท่านผู้นำมู่ ทั้งหมด…”
นี่มันถือว่าไม่ใช่จำนวนน้อย ๆ เลย และว่านซือเยี่ยนก็หลอกคนอื่นอย่างโหดเหี้ยมตามที่คาดไว้จริง ๆ
หลังจากที่มู่หลานลั่วจ่ายเงินเสร็จ ก็สะบัดแขนเสื้อจากไปทันที
มู่เฉียนซีเหลือบมองไปที่ว่านซือเยี่ยนพลางกล่าวว่า “คิดจะหัวเราะเยาะความทุกข์ของคนอื่นก็หัวเราะออกมาเถอะ ไม่กลัวกลั้นเอาไว้แล้วจะตายหรืออย่างไร!”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า!” ว่านซือเยี่ยนหัวเราะขึ้นมาเสียงดังจนตัวโยนไปหมด
“ที่เจ้าว่าคนอื่นเป็นถึงผู้นำของสมาคมการค้าแล้ว ส่วนเจ้ายังเป็นเพียงแค่นายน้อยคนหนึ่งเท่านั้น จึงมิแปลกใจเลยที่คนอื่นจะใจกว้างมากกว่าเจ้ามากนัก” มู่เฉียนซีกล่าว
“เจ้าหมอนี่อายุมากกว่าข้าถึงสิบเท่า ทำไมข้าต้องไปอิจฉาที่เขาสามารถเป็นผู้นำสมาคมการค้าได้ด้วย นอกจากนี้อีกไม่นานข้าก็จะได้ขึ้นเป็นผู้นำของสมาคมการค้าเฉินซีแล้ว ฉะนั้นถือว่าข้ามีความสามารถมากกว่าตอนเขายังเด็กอีกไม่ใช่หรือ?” ว่านซือเยี่ยนกล่าวอย่างไม่พอใจ
มู่หลานลั่วผู้นี้อายุมากกว่าที่นางจินตนาการเอาไว้มากจริง ๆ!
ว่านซือเยี่ยนกล่าวว่า “ข้าแค่ออกไปทำธุระเล็กน้อยเท่านั้น เจ้ากลับพามังกรวารีออกไปเลยอย่างนั้นหรือ? นอกจากนี้ยังไปที่หวงฮ่าวอีก แม้ว่าจะทำให้ตนเองต้องตกอยู่ในอันตราย แต่ก็ต้องยอมรับว่าเจ้าทำได้ยอดเยี่ยมจริง ๆ”
มังกรวารีนั้นเก่งกาจมาก แต่ทว่าหมอปีศาจนั้นไม่ได้เก่งกาจเหมือนอย่างที่ผู้คนจิตนการเอาไว้แต่อย่างใด และนางเป็นเพียงแค่ผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับเก้าขั้นสูงสุดเท่านั้นเอง
การที่มู่เฉินซีทำเช่นนี้มันออกจะอันตรายเกินไปหน่อย
แต่ว่า! ทันทีที่ได้เห็นหวงฮ่าวนั่นอยู่ในสภาพที่พังยับเยินเช่นนั้น ไม่ต้องพูดเลยว่าเขามีความสุขมากแค่ไหน
เขากล่าวอีกว่า “ดูเหมือนว่าทางด้านของราชวงศ์ตงหวง เนื่องจากหวาดกลัวฝีมือของเจ้า จึงไม่กล้าบังคับให้เจ้าไปเป็นแขกของราชวงศ์เช่นกัน และทำได้เพียงลองมาขอความร่วมมือเท่านั้น!”
“ผล...ผลสุดท้ายกลับคิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะแสร้งโง่เช่นนี้ ป่านนี้เจ้าหมอนั่นคงจะแห้งเหี่ยวตายไปแล้วกระมัง” บนใบหน้าของว่านซือเยี่ยนเต็มไปด้วยรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลา
เพราะนอกจากเหล่าพี่น้องของเขาแล้ว เจ้าจิ้งจอกเฒ่าอย่างมู่หลานลั่วผู้นี้ก็ถือว่าเป็นหนึ่งในคู่ต่อสู้ของว่านซือเยี่ยนด้วยเช่นกัน
ถึงชายผู้นี้จะมีลักษณะราวกับคุณชายรูปงาม ที่แสร้งทำเป็นใสซื่อ แต่เรื่องเลวร้ายที่เขาแอบทำอย่างลับๆนั้น ทำให้ผู้อื่นไม่สามารถที่จะป้องกันได้เลย
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “แล้วมู่หลานลั่วผู้นี้มีภูมิหลังเป็นอย่างไร? เป็นเครือญาติขององค์จักรพรรดิอย่างนั้นหรือ?”
ข้อมูลภายในของราชวงศ์ตงหวง น้อยมากนักที่จะแพร่งพรายออกมาภายนอก เว้นแต่บุคคลสำคัญอย่างเฟิงอวิ๋น และมู่หลินหลาง
ว่านซือเยี่ยนกล่าวว่า “มู่หลานลั่วเป็นองค์ชายใหญ่ของราชวงศ์ตงหวง คนส่วนใหญ่รู้เพียงแค่ว่าเขาเป็นญาติขององค์จักรพรรดิ แต่กลับไม่มีผู้ใดรู้ถึงตัวตนระดับนี้ของเขา ส่วนข้าก็เพิ่งจะมาตรวจสอบได้อย่างแน่ชัดหลังจากที่เป็นศัตรูกับเขามานานหลายปีแล้วเช่นกัน”
“แต่อย่างว่า จักรพรรดิตงหวงผู้นี้ เป็นคนที่ไม่มีทางยอมปล่อยให้ทรัพย์สินมากมายเหล่านั้นไปตกอยู่ในมือของผู้อื่นแน่ สู่มอบให้ลูกชายของตนเองจะทำให้เขาสบายใจมากกว่า! เพราะอย่างไรเสียเขาก็ได้รับบัลลังก์นี้มาอย่างไม่ขาวสะอาดอยู่แล้ว” ว่านซือเยี่ยนกล่าวอย่างเหน็บแนม
“หรือจะบอกได้ว่า เขาคือพี่ชายของมู่หลินหลางอย่างนั้นหรือ?”
“ก็ถือว่าเป็นพี่ชาย แต่ด้วยอายุที่แตกต่างกันอย่างมาก จึงทำให้เขาสามารถเป็นปู่ของนางได้แล้ว มู่หลินหลางเป็นองค์หญิงที่ได้รับความโปรดปรานมากที่สุดของราชวงศ์ตงหวง และก็เป็นลุกคนเล็กที่สุด แต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดทั้งราชวงศ์ตงหวงถึงได้มอบความรักให้กับนางเช่นนี้ เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าพรสวรรค์เพียงเล็กน้อยนั้นไม่ได้ถือว่าแข็งแกร่งอะไรเลย” ว่านซือเยี่ยนกล่าวอย่างดูถูกเป็นอย่างมาก
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “เช่นนั้นเจ้าก็วางใจเถอะ! ข้าไม่มีทางร่วมมือกับมู่หลานลั่วแน่นอน แม้ว่าเขาจะใจกว้างกว่าเจ้า แต่เพียงเพราะว่าเขาเป็นพี่ชายของมู่หลินหลาง ข้าก็อยากที่จะขุดหลุมฝังเขาให้ตายอยู่แล้ว”
“ในเมื่อเขาปรากฏตัวขึ้น เช่นนั้นก็หมายความว่าราชวงศ์ตงหวงกำลังจับตาดูหมอปีศาจอยู่ เจ้าก็ระวังตัวหน่อยก็แล้วกัน” ว่านซือเยี่ยนกล่าวเตือน
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “หลังจากที่ข้ากลับไปแล้ว หมอปีศาจก็จะไปเก็บตัว และซ่อนตัวอยู่ในความมืดทันที หลังจากนั้นก็ปล่อยให้พวกเขาคาดเดากันไปเองก็แล้วกัน”
“นอกจากนี้ยังมีตระกูลเป่ยอวิ๋นนั่นอีก มาทำลายพวกเขาไปด้วยกัน! เจ้าคิดว่าดีหรือไม่?” มีรอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏขึ้นมาที่มุมปากของมู่เฉียนซี
ว่านซือเยี่ยนตอบกลับอย่างตรงไปตรงมาว่า “ก็แค่ตระกูลเป่ยอวิ๋นเท่านั้นเอง ปัญหาเล็กน้อย ข้าเห็นด้วย แล้วกับสำนักหมอทมิฬนั่นเจ้าคิดว่าจะเริ่มลงมือเมื่อไรล่ะ?”
“ทำไม? หรือว่าวันนี้นายน้อยว่านซื่อถูกเงินทองดึงดูดสายตาเข้าแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าจะช่วยสำนักหมอปีศาจของข้าจัดการเศษสวะอย่างสำนักหมอทมิฬด้วย” มู่เฉียนซีกล่าวอย่างประหลาดใจเล็กน้อย
หากพวกเขาร่วมมือกันก็สามารถจัดการตระกูลเป่ยอวิ๋นได้ไม่ยากอยู่แล้ว
แต่หากจัดการสำนักหมอทมิฬด้วยกัน ดูเหมือนว่านั่นจะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากลำบากเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว
ในฐานะของผู้ที่มีคุณสมบัติเป็นพ่อค้าหน้าเลือดคนหนึ่ง ไม่มีทางที่ว่านซือเยี่ยนคิดที่จะเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้แน่
ว่านซือเยี่ยนกล่าวว่า “ข้าก็แค่ไม่ชอบพวกเขาไม่ได้หรือไงกัน?”
“ได้ ๆ ๆ ๆ! แน่นอนว่าต้องได้อยู่แล้ว” มู่เฉียนซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ยังอยากให้ข้าไปส่งเจ้าอยู่หรือไม่?” ว่านซือเยี่ยนกล่าวถาม
“ไม่ขอรบกวนเวลาอันมีค่าของนายน้อยว่านซื่อแล้ว วันนี้วุ่นวายถึงเพียงนี้ คาดว่าคงไม่มีคนที่ตาบอดกล้ามาลงมือกับข้าอีกแล้วล่ะ”
“เช่นนั้นก็พอดีเลย ข้าจะได้รีบกลับตรวจสอบกำไรของวันนี้สักหน่อย ขอตัวก่อนแล้วกัน” ว่านซือเยี่ยนเดินไปอย่างมีความสุข
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “มังกรวารี พวกเราก็ไปกันเถอะ!”
ในระหว่างทางที่กลับไปยังหอหมอปีศาจ ก็ไม่มีผู้ใดกล้ากระโดดออกมารนหาที่ตายจริง ๆ
แต่ตระกูลเป่ยอวิ๋นในเวลานี้ อดีตผู้นำตระกูลที่กำลังเก็บตัวได้ถูกพวกเขาเรียกออกมาแล้ว
อดีตผู้นำตระกูลเป่ยอวิ๋นกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”
“อา อา อา!” ถึงผู้นำตระกูลเป่ยอวิ๋นจะอยากพูด แต่เขาก็ยังคงตกอยู่ในสภาพเช่นนี้อยู่
อดีตผู้นำตระกูลเป่ยอวิ๋นก็เป็นนักปรุงยาที่มีความสามารถมากคนหนึ่ง มิเช่นนั้นคงไม่สามารถควบคุมดูแลตระกูลเป่ยอวิ๋นด้วยตนเองได้แน่
เขามองเห็นเบาะแสเล็กน้อยบางอย่าง “เจ้าพวกไร้ประโยชน์ คิดไม่ถึงเลยว่าจะถูกวางยาพิษจนไม่สามารถช่วยตัวเองได้ขนาดนี้ ช่างหน้าขายหน้าตระกูลเป่ยอวิ๋นของพวกเราจริง ๆ”
ภายในใจของผู้นำตระกูลเป่ยอวิ๋นก็ขมขื่นเช่นกัน! นั่นก็ต้องดูด้วยว่าผู้ใดเป็นคนวางยาพิษพวกเขา! นั่นคือหมอปีศาจเชียวนะ!
หากเป็นปรมาจารย์พิษธรรมดาทั่วไป เขาก็คงไม่ยอมเสี่ยงที่จะถูกด่าจนเละเทะ และต้องมาขอร้องให้ท่านพ่อช่วยเหลือเช่นนี้หรอก
คนที่อยู่ในเหตุการณ์ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นคนใบ้ไปจนหมด ทำให้ไม่สามารถอธิบายได้ และพ่อบ้านของตระกูลเป่ยอวิ๋นก็สอบถามจนได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด
เขาอธิบายกับอดีตผู้นำตระกูลเป่ยอวิ๋นว่า “ท่านอดีตผู้นำตระกูล เรื่องราวเป็นเช่นนี้ขอรับ คราวนี้ตระกูลเป่ยอวิ๋นของพวกเราเกรงว่าจะเจอกับปัญหาบางอย่าง…”
หลังจากที่ได้ฟังจบแล้ว อดีตผู้นำตระกูลเป่ยอวิ๋นก็ครุ่นคิดพลางกล่าวว่า “หมอปีศาจผู้นั้น คิดไม่ถึงเลยว่าจะทรงพลังถึงขนาดนี้?”
“ท่านอดีตผู้นำตระกูล หากตอนนี้ท่านเพียงแค่ลองไปสอบถามดูสักหน่อย ก็จะรู้ได้ถึงความน่าสะพรึงกลัวของหมอปีศาจได้แล้วขอรับ”
สีหน้าของอดีตผู้นำตระกูลมืดมนลงทันที หลังจากนั้นก็ไปตรวจร่างกายคนที่ถูกทำให้เป็นใบ้เหล่านั้น
ยิ่งตรวจสอบ สีหน้าของเขาก็ยิ่งเคร่งขรึมมากยิ่งขึ้นไปอีก
คิดไม่ถึงเลยว่าแม้แต่เขาเองก็จะไม่รู้ว่ามันคือพิษอะไรกันแน่? และพิษนี้มันจะต้องถอนอย่างไรล่ะ?
ระหว่างที่เขาครุ่นคิดอยู่นั้น เขาก็เดินไปจนถึงห้องกลั่นยา จากนั้นก็กล่าวว่า “รอจนกว่าข้าจะกลั่นยาถอนพิษออกมา”
สีหน้าของพวกเขาเผยความปีติยินดีออกมา ดูเหมือนท่านอดีตผู้นำตระกูลจะรู้แล้วว่าจะต้องถอนพิษอย่างไร
อย่างไรก็ตามยิ่งมีความหวังมากเท่าไร ตอนผิดหวังก็ยิ่งหนักหนามากขึ้นเท่านั้น
อดีตผู้นำตระกูลเป่ยอวิ๋นได้กลั่นยาออกมาสามชุดติดต่อกันเพื่อให้พวกเขากิน แต่มันก็ยังคงถอนพิษไม่ได้อยู่ดี
และสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็คือคอของพวกเขาเริ่มบวมขึ้นมา พวกเขารู้สึกทรมานจนต้องทำการตรวจสอบไปที่ต้นคออย่างตื่นตระหนก
“หมอปีศาจ ช่างร้ายกาจจริง ๆ!” อดีตผู้นำตระกูลเป่ยอวิ๋นกล่าวขึ้นมาอย่างเดือดดาล
“อา อา อา อา!” ผู้นำตระกูลเป่ยอวิ๋นเอาแต่ร้องตะโกนอยู่เช่นนั้น ซึ่งมันก็ทำให้อดีตผู้นำตระกูลรู้สึกร้อนใจเป็นอย่างมาก
“เลิกร้องตะโกนได้แล้ว อยากจะพูดอะไร ก็เขียนออกมาเสีย” อดีตผู้นำตระกูลเป่ยอวิ๋นกล่าว
.