“หากเจ้าชิงหลงนั่นยอมบอก ข้าก็คงไม่มาถามเจ้าด้วยตนเองหรอก” ว่านซือเยี่ยนกล่าวตอบ
มู่เฉียนซีกล่าวถามว่า “เจ้าอยากจะลองพิจารณามันดูหน่อยหรือไม่?”
“จำนวนเงินเพียงเท่านี้ยังไม่เพียงพอที่จะกัดกร่อนจิตใจของข้าได้หรอก ท่านหมอปีศาจท่านพยายามหาเงินต่อไปเถิด หากสามารถเทียบเคียงข้าได้ บางทีข้าอาจจะหวั่นไหวได้ก็เป็นได้!” ว่านซือเยี่ยนกล่าวด้วยรอยยิ้มบาง ๆ
“ดูเหมือนว่าต้องพยายามต่อไปสินะ”
“การประมูลในลำดับต่อไป คือยาน้ำขั้นเทวะ! ไม่ว่าจิตวิญญาณของท่านจะได้รับบาดเจ็บสาหัสเพียงใด ก็สามารถฟื้นฟูขึ้นมาได้ในเวลาอันสั้น” น้ำเสียงที่อ่อนโยนของมังกรวารีดังออกมา
ก่อนหน้านี้ที่ผู้คนต่างพากันไล่ตามอยู่นั้นล้วนเป็นยาลูกกลอนขั้นศักดิ์สิทธิ์ และยาน้ำขั้นศักดิ์สิทธิ์ แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็ยังคงเฝ้ารอยาขั้นเทวะอยู่เสมอ
การมียาลูกกลอนขั้นเทวะ สามารถแสดงให้เห็นว่าหมอปีศาจนั้นมีความสามารถของนักปรุงยาขั้นเทวะอยู่ด้วย
หากมีเพียงยาขั้นศักดิ์สิทธิ์แล้วละก็ ผู้ที่เป็นเพียงนักปรุงยาขั้นศักดิ์สิทธิ์คนหนึ่งผู้นี้ก็ไม่ควรค่าให้ผู้คนต้องมาไล่ตามเลย
แต่ตอนนี้ ยาน้ำขั้นเทวะได้ถูกนำออกมา ฉะนั้นจึงทำให้ทุกคนตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
บรรยากาศในลำดับต่อไปร้อนแรงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน และไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องเอายาน้ำขั้นเทวะนี้มาให้ได้
ว่านซือเยี่ยนกล่าวว่า “นี่คือยาที่เจ้าเอาออกมาจากหอโอสถว่านฉงหรือ? เจ้าเอายาลูกกลอนมาเปลี่ยนเป็นยาน้ำ นี่เจ้าไม่กลัวทำให้ยาอันล้ำค่านั้นเสียหายอย่างนั้นหรือ?”
เมื่อคิดถึงสิ่งที่มู่เฉียนซีได้ทำลงไปแล้ว ว่านซือเยี่ยนก็รู้สึกตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก!
หากทำลายยาลูกกลอนขั้นเทวะไปแล้วเม็ดหนึ่ง นั่นต้องถือว่าเป็นการสูญเสียอย่างร้ายแรงแน่นอน
มู่เฉียนซีกล่าวตอบว่า “หากต้องการสร้างยาน้ำใหม่ออกมา แน่นอนว่าต้องมีการเสียสละอยู่แล้ว ข้าไม่ได้รู้สึกปวดใจตรงไหนเลย เพราะหากว่ามันประสบความสำเร็จ ก็จะได้รับผลลัพธ์ที่ยากจะจินตนาการถึงอย่างแน่นอน”
“ยกตัวอย่างเช่นตอนนี้!” แววตาของมู่เฉียนซีกวาดมองไปทั่วทั้งงานประมูล
“พันล้าน!” นี่คือราคาที่เสนอขึ้นมาในตอนนี้
หากจะเอาชนะด้วยเงินพันล้าน เห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้ “หนึ่งพันหนึ่งร้อยล้าน!”
ยาน้ำหนึ่งชุด มีทั้งหมดสามขวด ไม่แยกขาย และมันก็คือโอกาสเดียวเท่านั้น ฉะนั้นต่อให้ต้องใช้เงินทั้งหมดของพวกเขาก็จะต้องเอายาน้ำนี้มาให้ได้
หากหลังจากนี้หมอปีศาจไม่กลั่นยาน้ำนี้อีกแล้ว ในอนาคต โลกนี้ก็จะมียาน้ำนี้เพียงแค่สามขวดเท่านั้น
ว่านซือเยี่ยนกล่าวว่า “นี่มันบ้าไปแล้ว!”
“นั่นคือความเสียสละและความผ่าเผยของทุกคน แต่หากเป็นนายน้อยว่านซื่อ คาดว่าคงจะไม่มีความกล้าหาญมากเช่นนี้หรอก” มู่เฉียนซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ใครว่าข้าไม่มีความกล้าหาญกัน ยาน้ำนี้ของเจ้ายังมีอีกหรือไม่?” ว่านซือเยี่ยนกล่าวอย่างโกรธเคือง
“มีสิ!”
“ขายให้ข้าสักสองสามขวด และก็เอาให้ถูกกว่านี้สักหน่อย แต่หากต้องการให้ข้าซื้อในราคาหลายพันล้าน เช่นนั้นเจ้าก็ใจดำเกินไปแล้ว อย่างไรเสียที่หมอปีศาจมีชื่อเสียงเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ในทุกวันนี้ ก็มีสมาคมการค้าเฉินซีของข้าที่ช่วยออกแรงไปไม่น้อยเช่นกัน”
ถึงเขาจะสนใจในยาน้ำนี้ แต่ว่านซือเยี่ยนยังคงขี้เหนียวมากอยู่ดี
เขารู้ดีว่า ยาน้ำนี้มีความสำคัญมากแค่ไหน เพราะอาการบาดเจ็บทางจิตวิญญาณนั้นอันตรายมากกว่าการบาดเจ็บทางร่างกายเสียอีก
มู่เฉียนซีหยิบยาน้ำออกมาอีกชุดหนึ่งพลางกล่าวว่า “ในเมื่อสมาคมการค้าเฉินซีมอบของขวัญให้ข้าชุดหนึ่ง เช่นนั้นข้าก็ควรที่จะมอบของขวัญคืนให้สมาคมการค้าเฉินซีสักชุดหนึ่งเช่นกัน ถึงของขวัญชุดนี้จะน้อยเกินไปหน่อย แต่ก็ให้ถือว่าเป็นน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ของข้าก็แล้วกัน”
มุมปากของว่านซือเยี่ยนกระตุกขึ้นทันที นะ…นี่เป็นเพียงน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือ!
มุมปากของมู่เฉียนซียกยิ้มขึ้นเล็กน้อย พลางกล่าวว่า “ทำไมหรือ? นายน้อยว่านซื่อ ท่านไม่กล้ารับไว้อย่างนั้นหรือ! กลัวว่าถ้ารับไปแล้วข้าจะซื้อท่านได้หรืออย่างไร?”
“น่าขัน หากข้าไม่ยอมรับของขวัญชิ้นใหญ่เช่นนี้ ก็ไม่ต้องมาเรียกข้าว่าว่านซือเยี่ยนแล้ว” ว่านซือเยี่ยนไม่อยากเห็นสิ่งดี ๆ บินหายไปต่อหน้าต่อตาเขา
ในสมาคมการค้ามีผู้อาวุโสหลายคนที่ต้องการยาน้ำนี้ เนื่องจากว่าพวกเขาเคยได้รับบาดเจ็บสาหัสทางจิตวิญญาณมาก่อน จึงทำให้พวกเขาต้องใช้ชีวิตอย่างทุกข์ทรมานมากมาจนถึงทุกวันนี้
ดูเหมือนว่ามู่เฉียนซีจะพบวิธีในการโต้ตอบกับว่านซือเยี่ยนแล้ว ต้องให้ประโยชน์แก่เขา ทำเงินให้เขา ทำให้รู้ว่าร่วมมือกับนางแล้วจะได้ประโยชน์อะไรบ้าง และสุดท้ายเขาก็จะผ่อนคลายลง
แม้ว่าคนผู้นี้จะชาญฉลาด แต่แน่นอนว่าจุดอ่อนของเขาก็คือการรักเงินมากเกินไปนั่นเอง!
แน่นอนว่าก่อนหน้านี้ไม่มีผู้ใดสามารถใช้จุดอ่อนนี้จัดการว่านซือเยี่ยนได้มาก่อน เนื่องจากว่าความร่ำรวยของพวกเขาไม่เพียงพอ ฉะนั้นจึงไม่ได้อยู่ในสายตาของว่านซือเยี่ยนโดยสิ้นเชิง
แต่ตระกูลมู่ของนาง และหอหมอปีศาจของนางต่างก็มีเงินอยู่ไม่น้อยเลย
และยาน้ำก็ถูกคนซื้อไปได้ และคนที่ซื้อไปก็คือคนของหอหมอทมิฬ โดยที่ขายไปในราคาสูงถึงสองพันสามร้อยล้าน
ว่านซือเยี่ยนกล่าวอย่างไม่พอใจมากว่า “ตระกูลนักปรุงยานี่ร่ำรวยกันเสียจริง ๆ!”
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “คิดไม่ถึงเลยว่าหอหมอทมิฬจะมีความสนใจในยาน้ำของข้าด้วย และไม่รู้ด้วยว่าหลังจากที่พวกเขาเอายาน้ำนี้ไปแล้ว เจ้าสำนักของพวกเขาจะมีความสามารถมากพอในการค้นคว้าส่วนผสมของยาน้ำนี้ด้วยหรือไม่?”
“เจ้าสำนักของสำนักหมอทมิฬเป็นนักปรุงยาคนหนึ่งที่จะบรรลุขั้นเทวะได้แล้ว แม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนดี แต่ทักษะของเขาก็ถือว่ายอดเยี่ยมมาก เช่นนั้นเจ้าแน่ใจหรือว่าทักษะนั้นของเจ้าจะไม่มีทางถูกคนอื่นค้นคว้าออกมาได้น่ะ” ว่านซือเยี่ยนกล่าวพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย
มู่เฉียนซีคลี่ยิ้มพลางกล่าวมั่นใจว่า “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว! เขายังไม่ถึงระดับนั้นหรอก!”
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะมีความเกลียดชังต่อสำนักหมอทมิฬมากเลยทีเดียว ก่อนหน้านี้ยังให้ข้าปกป้องหญิงสาวที่ถูกสำนักหมอทมิฬไล่ล่าคนนั้นอีก เกรงว่าคงจะไม่ได้ไม่ชอบหน้ากับเพียงเพราะทำงานสายเดียวกันสินะ?” ว่านซือเยี่ยนกล่าวถาม
“เจ้าเคยตรวจสอบมาก่อนหรือไม่ว่าเพราะเหตุใดสำนักหมอทมิฬต้องไล่ล่าโม่ตี๋ด้วย?” มู่เฉียนซีกล่าว
“เคยตรวจสอบ!” คนที่มีความเกี่ยวของกับมู่เฉินซี ความจริงเขาได้ตรวจสอบมาอย่างระเอียดถี่ถ้วนแล้ว
เขาต้องการที่จะร่วมมือกับคนผู้นี้ แต่กลับไม่ต้องการให้มีความเสี่ยงเลยแม้แต่น้อย
“แต่ก็ไม่รู้เหตุผลที่สำนักหมอทมิฬลงมือกับนางอยู่ดี”
การที่สำนักหมอทมิฬไล่จับคนตัวเล็กอย่างครึกโครมเช่นนี้ มันเป็นเรื่องที่ผิดปกติมาก
“ในเมื่อเจ้าอยากรู้ เช่นนั้นข้าก็จะบอกความลับให้เจ้าอย่างหนึ่ง” มู่เฉียนซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ก่อนหน้านี้ที่นางไม่ได้บอกผู้ใดเลย แน่นอนว่าเพราะไม่อยากที่จะแหวกหญ้าให้งูตื่น แต่ว่านซือเยี่ยนผู้นี้เป็นคนเชื่อถือได้!
ด้วยเหตุนี้มู่เฉียนซีค่อย ๆ เล่าว่า “ข้าเคยไปที่หมู่เกาะเฮยสุ่ยมาก่อน และคิดว่าเจ้าก็น่าจะเคยได้ยินเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้มาก่อนเช่นกัน แต่ความจริงแล้วหมู่เกาะเฮยสุ่ยเป็นเพียงแค่ฐานทัพลับของสำนักหมอทมิฬเท่านั้นเอง ซึ่งที่นั่นก็มีความลับอันยิ่งใหญ่ของสำนักหมอทมิฬอยู่ด้วยอย่างหนึ่ง…”
มู่เฉียนซีเล่าทุกอย่างที่นางได้รู้มาอย่างไม่ได้ปิดบังเลย
ทันทีที่ว่านซือเยี่ยนได้ฟัง สีหน้าของเข้าก็มืดมนลงทันที “ทุกกองกำลังต่างก็มีความทะเยอทะยาน ต่างก็ต้องการอัจฉริยะที่ไม่มีผู้ใดเทียบเคียงได้ และต้องการที่จะเป็นกองกำลังระดับห้ากันทั้งนั้น แต่คิดไม่ถึงเลยว่าสำนักหมอทมิฬจะทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้”
“ปล้นพรสวรรค์ของผู้คน และเลี้ยงดูอัจฉริยะที่เป็นเอกลักษณ์คนหนึ่งออกมา โดยที่มีกระดูกนับหมื่นของอัจฉริยะกองเป็นภูเขาเนี่ยนะ? แล้วมันจะเป็นอัจฉริยะที่แท้จริงได้จริง ๆ หรือ?”
“ข้าไม่รู้หรอก ซึ่งข้าก็ไม่รู้ด้วยว่าเจ้าสำนักของสำนักหมอทมิฬตอนนี้ไปถึงขั้นไหนแล้ว? และการจับยอดฝีมือระดับผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตไปก็คาดว่าน่าจะเป็นการทดลองขั้นต่อไปของเขา” มู่เฉียนซีกล่าวตอบ
หากว่าเขากำลังกลั่นยาที่ชั่วร้ายอะไรบางอย่างอยู่ บางทีนางอาจจะพอสามารถคาดเดาได้บ้าง
แต่การทดลองมนุษย์ที่เป็นอันตรายต่อการสูญพันธุ์เช่นนี้ แม้จะเป็นหมอปีศาจอย่างนางก็คาดเดาไม่ออกเช่นกัน
เนื่องจากว่านี่เป็นความคิดที่เสียสติมากเกินไป!
ว่านซือเยี่ยนกล่าวว่า “ข้าจะออกไปสักครู่หนึ่ง เจ้าเชื่อใจจนบอกข้อมูลเช่นนี้กับข้า ไม่ว่าเจ้าจะให้ข้าทำเรื่องใด ข้าจะต้องเก็บไปพิจารณาอย่างดีแน่นอน”
หลังจากที่พูดจบว่านซือเยี่ยนก็ออกไปทันที และมันก็ทำให้มู่เฉียนซีต้องตะลึงงันไปครู่หนึ่ง เนื่องจากการตอบสนองที่แปลกประหลาดนี้ของว่านซือเยี่ยน
และในเวลานี้ การประมูลก็ได้สิ้นสุดลงแล้ว
ทุกคนต่างก็รู้สึกว่ายังไม่หนำใจเท่าไรนัก และรู้สึกเหมือนกับว่ายาลูกกลอนและยาน้ำของท่านหมอปีศาจนั้นน้อยเกินไป ซึ่งมันก็ไม่เพียงพอเลยจริง ๆ!
ไม่รู้เลยว่าท่านหมอปีศาจจะเปิดงานประมูลเช่นนี้อีกเมื่อไร?
และงานประมูลที่ยิ่งใหญ่คราวนี้ ก็ทำให้นักปรุงยามากมายตื่นเต้นมากเช่นกัน
จากนั้นพวกเขาก็ได้มาหาผู้ดูแลโรงประมูลเพื่อสอบถาม ว่าเมื่อไรพวกเขาจะได้จัดงานประมูลบ้าง? เพราะถึงอย่างไรสถานะของพวกเขาในราชวงศ์ตงหวงนั้นก็ไม่ได้ต่ำเลยเช่นกัน
หลังจากที่จบงานประมูลแล้ว มังกรวารีก็จากไปอย่างสง่างาม และกลับมาอยู่ข้างกายของมู่เฉียนซีในทันที
จากนั้นเขาก็เอ่ยปากถามว่า “นายท่าน การแสดงของมังกรวารีดีหรือไม่ขอรับ?”
.