อากุ่ยเดินออกมาจากข้างใน จากนั้นเขาก็กระพริบตาปริบ ๆพลางกล่าวว่า “เมื่อกี้ข้าหมดสติไป เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือไม่?”
ดวงตาของว่านซือเยี่ยนเบิกกว้าง นี่เป็นเรื่องน่าประหลาดใจอย่างไม่คาดคิดมาก่อนแน่นอน
อากุ่ยตื่นขึ้นมาแล้ว อีกทั้งยังฟื้นตัวกลับมาเป็นเหมือนก่อนหน้านี้อีกด้วย
เนื่องจากว่าบนพื้นนั้นยังคงมีพลังของค่ายกลเหลืออยู่ อากุ่ยจึงมองไปยังคนอื่นที่กำลังมองมาที่เขาอย่างงงงวย
“นายท่าน ท่านเป็นคนวาดค่ายกลนี้ขึ้นมาอย่างนั้นหรือ? เป็นนายท่านที่ช่วยข้าไว้ ไม่ทราบว่านายท่านรับลูกศิษย์หรือไม่! ข้าจะต้องเป็นลูกศิษย์ที่ขยันขันแข็งที่สุดของท่านอย่างแน่นอน”
อากุ่ยฟื้นตัวกลับมาแล้ว และตอนนี้ก็มีชีวิตชีวาเป็นอย่างมากอีกด้วย
มังกรวารีกล่าวว่า “ข้าไม่รับลูกศิษย์!”
“ช่างน่าเสียดายเหลือเกิน!”
ความรู้สึกของกุ่ยเต้าเหรินในตอนนี้มืดมนไปหมด การเชื่อมโยงระหว่างพวกเขาได้ถูกตัดขาดไปแล้ว ซึ่งตอนนี้พวกเขาสามารถฆ่าเขาได้ตามใจชอบ และมันก็ไม่มีทางส่งผลกระทบต่อเจ้าหนูนั่นได้อีกด้วย
เขาหนีความตายไม่พ้นแน่!
ว่านซือเยี่ยนกล่าวถามว่า “อากุ่ย เจ้าคิดจะจัดการเจ้าหมอนี่อย่างไร?”
อากุ่ยกล่าวว่า “พี่เยี่ยน ขอข้าคิดก่อน!”
“เจอแล้ว! ในเมื่อเขาชอบที่นี่มากถึงเพียงนี้ เช่นนั้นเราก็ขังเขาไว้ที่นี่ไปตลอดชีวิตก็พอแล้ว”
อากุ่ยมีความตั้งใจในการวาดค่ายกลของที่นี่มาก และเมื่อกุ่ยเต้าเหรินได้เห็นค่ายกลเหล่านั้นก็เกือบที่จะตาเหลือกจนหมดสติไปเลยทีเดียว
หากเป็นเช่นนี้จริง ๆ แล้วละก็ เขาจะถูกขังอยู่ที่นี่ตลอดไปจนกระทั่งถึงวันตาย
“อ๊ากกก! ไม่เอา! ไม่เอา! เจ้าฆ่าข้าไปเลยเถอะ!”
“เจ้าเตือนข้าขึ้นมาพอดีเลย จะปล่อยให้เจ้าฆ่าตัวตายไม่ได้ เพราะเจ้าต้องมีชีวิตอยู่ไปนาน ๆ หน่อย นี่ถึงจะคุ้มค่ากับความทุกข์ทรมานที่อากุ่ยเคยได้รับมาก่อนหน้านี้!” มู่เฉียนซีแสยะยิ้ม หลังจากนั้นก็ฝังเข็มให้เขาอีกหนึ่งเข็ม
ทันทีที่อากุ่ยทำค่ายกลของตนเองเสร็จสิ้นก็กล่าวว่า “งานใหญ่เสร็จแล้ว”
“ไม่เอา อ๊ากกก!” กุ่ยเต้าเหรินกรีดร้องออกมา
และในเวลานี้ มังกรวารีก็กล่าวว่า “ข้าอยากจะเพิ่มอะไรอีกหน่อย”
ซึ่งแน่นอนว่า มังกรวารีได้วาดเพิ่มเข้าไปอีกสองสามเส้น เหมือนการวาดมังกรแต้มนัยน์ตา ที่ทำให้ค่ายกลเหล่านี้เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตมากขึ้นอีก
ค่ายกลของอากุ่ยนั้นยอดเยี่ยมมากอยู่แล้ว แต่หากพบเจอกับปรมาจารย์ค่ายกลที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าก็อาจจะสามารถปล่อยเขาออกมาได้ก็เป็นได้
ดังนั้นมังกรวารีจึงเพิ่มสิ่งนี้เข้าไป แน่นอนว่าจะต้องเป็นผู้ที่มีคัมภีร์ค่ายกลเหนือกว่ามังกรวารีถึงจะสามารถคลายมันออกได้
แต่คนที่เหนือกว่ามังกรวารีนั้น คาดว่าในโลกนี้คงจะหาไม่เจออีกแล้ว
กล้าทำตัวไร้เหตุผลต่อเจ้านาย กล้าข่มขู่เจ้านายของเขา เช่นนั้นก็จะต้องทำให้เขาติดอยู่ที่นี่ และสำนักผิดอย่างไม่มีที่สิ้นสุด!
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “พวกเราไปกันเถอะ!”
แม้ว่าจะต้องจากไป แต่อากุ่ยก็ยังคงคิดถึงค่ายกลเหล่านั้นอยู่ดี
ในเมื่อกุ่ยเต้าเหรินทำเรื่องที่น่ารังเกียจเช่นนั้นต่ออากุ่ยไปแล้ว ว่านซือเยี่ยนจึงได้พาคนของเขาบุกเข้าไปในหอเก็บหนังสือของสำนักภูตวิญญาณ และหลังจากนั้นก็ปล้นมันออกมาโดยตรง
กุ่ยเต้าเหรินเป็นคนเสียสติ ซึ่งลูกศิษย์คนอื่น ๆ ของสำนักภูตวิญญาณต่างก็ไม่มีใครรู้เรื่องนี้เลย มิเช่นนั้นคาดว่าว่านซือเยี่ยนคงจะถอนรากถอนโคนเป็นแน่
“ทางที่ดีที่สุดพวกเจ้าอยู่อย่างสันโดษต่อไปดีกว่า และอย่าให้ข้าได้ยินชื่อของสำนักภูตวิญญาณอีก” ว่านซือเยี่ยนกล่าวอย่างเคร่งขรึมก่อนจะจากไป
ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าท่านเจ้าสำนักจะเป็นหรือตาย อีกทั้งความสามารถของสำนักภูตวิญญาณยังมีน้อยนิดเพียงเท่านี้ แน่นอนว่าไม่กล้าที่จะสู้แบบตัวต่อตัวกับว่านซือเยี่ยน และเลือกที่จะละทางโลกแน่นอนอยู่แล้ว
ซึ่งเดิมทีพวกเขาก็คิดที่จะละทางโลกอยู่แล้ว และการฝึกฝนอยู่ในเขาอย่างเงียบสงบก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดีอะไรด้วย
หลังจากที่ออกจากที่นี่แล้ว พวกเขาก็รีบกลับไปอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ
ว่านซือเยี่ยนลากอากุ่ยไปอย่างรีบร้อน และหลังจากนั้นอากุ่ยก็ไม่กลับมาอีกเลย
อากุ่ยนั้นถูกกักบริเวณไปแล้ว เนื่องจากว่าคราวนี้เขากลับไปอย่างสะเพร่าและทำให้ตัวเองต้องตกอยู่ในอันตราย เช่นนั้นจึงควรได้รับบทเรียนเสียบ้าง
ว่านซือเยี่ยนมาถึงหอหมอปีศาจด้วยตนเอง นอกจากนี้ยังนำของขวัญมาด้วย
เมื่อมู่เฉียนซีเปิดของขวัญออกมา สิ่งของที่อยู่ข้างในนั้นล้วนเป็นยาเทพที่ถึงจะมีเงินก็ซื้อไม่ได้ และต่างก็เป็นของที่นางชื่นชอบทั้งนั้น
มู่เฉียนซีจ้องมองไปที่ว่านซือเยี่ยนพลางกล่าวว่า “ข้าว่านะว่านซือเยี่ยน! ตอนที่เจ้าออกไปข้างนอกคงไม่ได้ถูกใครเปลี่ยนตัวไปหรอกใช่หรือไม่? นี่มันเหมือนเจ้าหรือ?”
“ทำไมถึงไม่เหมือนข้ากันล่ะ? มู่เฉินซี คำพูดนี้ของเจ้ามันหมายความว่าอย่างไรกันแน่?”
“นายน้อยว่านซื่อจะใจกว้างขนาดนั้นเลยหรือ ข้าไม่ค่อยคุ้นเคยเท่าไรเลย!” นี่มันจะใจกว้างมากเกินไปแล้ว
“ฝันไปเถอะ อย่างข้าเนี่ยนะจะให้เจ้า? นี่คือของขวัญขอบคุณที่พ่อบุญธรรมมอบให้เจ้าต่างหาก ข้าไม่มีทางมอบของขวัญให้เจ้าหรอก! เจ้าอย่าได้คิดที่จะอยากได้เลย”
“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง! ข้าว่าพ่อบุญธรรมของเจ้าใจกว้างมาก เหตุใดถึงเลี้ยงให้เจ้าเป็นคนที่ขี้เหนียวขนาดนี้ได้กัน หรือว่านี่จะเรียกว่าต่างกันสุดขั้วอย่างนั้นหรือ!”
“เจ้ารีบเก็บของขวัญแล้วหุบปากไปเสียทีเถอะ!”
ของขวัญเช่นนี้ แน่นอนว่ามู่เฉียนซีต้องรับไปด้วยความเต็มใจอยู่แล้ว
ว่านซือเยี่ยนกล่าวว่า “มู่เฉินซี ข้ามีเรื่องที่อยากจะขอคำชี้แนะจากท่านมังกรวารีสักหน่อย”
“ได้สิ! หากมีคำถามอะไรเจ้าก็ถามมังกรวารีเอาเถอะ! เห็นแก่เจ้าในฐานะที่นำของขวัญมากมายนี้มาให้ ฉะนั้นข้าไม่มีทางบอกปัดอยู่แล้ว ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่ของที่เจ้ามอบให้ก็เถอะ” มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเรียบเฉย
“ท่านมังกรวารี ปัญหาเกี่ยวกับร่างกายของอากุ่ย ท่านโปรดช่วยอธิบายให้ละเอียดสักหน่อยได้หรือไม่ขอรับ” ว่านซือเยี่ยนกล่าวอย่างสุภาพมาก
“ข้าได้ผนึกกลิ่ยอายวิญญาณของเจ้าหนูนั่นเอาไว้แล้ว และข้าก็ได้ทำการตัดความสัมพันธ์ทั้งหมดกับคนผู้นั้นให้แล้วด้วย ตราบใดที่ผนึกไม่ถูกทำลาย เขาก็จะเป็นเหมือนก่อนหน้านี้! แต่หากต้องการเปลี่ยนให้กลับมาเป็นคนปกติ แน่นอนว่านั่นเป็นการฝืนกฏของธรรมชาติอยู่แล้ว หากเขาต้องการเปลี่ยนร่างกายด้วยตนเอง เรื่องนี้เจ้าควรที่จะต้องไปขอคำชี้แนะจากนักปรุงยาถึงจะถูก” มังกรวารีกล่าว
นักปรุงยา ก็อยู่ตรงหน้าเขาคนหนึ่งแล้วนี่ไง!
ว่านซือเยี่ยนเหลือบมองไปที่มู่เฉียนซี มู่เฉียนซีจึงกล่าวว่า “ตอนแรกที่ข้าเห็นอากุ่ยก็รู้แล้วว่าเขาเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่เกิด หากต้องการจะเปลี่ยนมันก็จะทั้งยากลำบากและอันตรายมาก ดังนั้นข้าจึงไม่ได้พูดขึ้นมา! นอกจากนี้ตอนนี้อากุ่ยก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขดีอยู่แล้วด้วย”
ว่านซือเยี่ยนกล่าวว่า “เจ้าจำที่ข้าบอกว่าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นที่สำนักภูตวิญญาณในตอนแรกได้หรือไม่? เรื่องใหญ่คราวนั้นก็คือการสร้างราชาวิญญาณ หรือก็คืออากุ่ย ซึ่งมันก็ถูกท่านพ่อบุญธรรมหยุดเอาไว้ได้ทัน”
“เมื่อตอนที่อากุ่ยยังเด็กเขาก็อยากที่จะเหมือนพวกเราเช่นกัน แต่เมื่อเขาค้นพบว่าตนเองมีความแตกต่างจนไม่อาจเปลี่ยนได้ เขาก็ไม่พูดอะไรถึงมันอีก และยังคงใช้ชีวิตต่อไปอย่างมีความสุขโดยไม่คิดอะไรมาก แต่พวกเราก็หวังว่าเขาจะสามารถดีขึ้นกว่านี้ได้”
ตอนนี้อากุ่ยยังสบายดี แต่ในฐานะญาติพี่น้อง แน่นอนว่าต้องมีความโลภอยู่แล้ว!
“หากอากุ่ยมาหาข้าด้วยตนเอง ข้าจะหาทางให้! แต่ว่าเรื่องนี้เป็นงานใหญ่มาก ฉะนั้นพวกเจ้าจะเร่งรีบไม่ได้”
“หากให้อาจารย์ของเจ้าลงมือล่ะ! มีความมั่นใจมากแค่ไหน?”
“บอกไม่ได้หรอกว่ามีความมั่นใจมากเพียงใด แต่ข้ากล้าบอกว่าหากเขาบอกว่าทำไม่ได้ เช่นนั้นบนโลกใบนี้ก็ไม่มีผู้ใดสามารถทำได้อีกแล้ว! เพียงแต่หากเจ้าต้องการให้เขาออกโรงเอง มันก็ต้องแสดงถึงความจริงใจด้วยใช่หรือไม่? ฉะนั้นเตรียมไว้ก่อนจะดีกว่า” มู่เฉียนซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หญิงผู้นี้ต้องการที่จะหลอกเงินเขาอีกแล้ว ว่านซือเยี่ยนได้แต่ตำหนิอยู่ในใจ หลังจากนั้นก็กล่าวว่า “แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าต้องเตรียมอะไรบ้าง?”
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “มังกรวารี หากข้าจำไม่ผิดแล้วละก็ นิรันดร์ชื่นชอบสาวงามมากที่สุด และไม่ว่าจะเป็นสาวงามแบบไหนก็ชื่นชอบไปหมด ยิ่งมากเท่าไรก็ยิ่งดี ใช่หรือไม่?”
มังกรวารีพยักหน้าพลางกล่าวว่า “เรียนนายท่าน เป็นเช่นนั้นขอรับ นิรันดร์มักจะฝักใฝ่แต่เรื่องนี้! และเขาก็มีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้หากปราศจากสาวงามอีกด้วย”
นี่…คิดไม่ถึงเลยว่านักปรุงยาขั้นเทวะจะเป็นคนเจ้าชู้เช่นนี้ ซึ่งเรื่องนี้ก็ทำให้ว่านซือเยี่ยนประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง แต่เมื่อมองท่าทางของพวกเขาแล้วก็ไม่เหมือนคนโกหกแต่อย่างใด
แต่ที่ทั้งสองพูดนั้น ราวกับว่ามันคือเรื่องจริง และไม่เหมือนว่าจะเป็นเรื่องโกหกเลย
ว่านซือเยี่ยนกล่าว “ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะใส่ใจกับการสรรหาหญิงงามจำนวนมาก รับรองว่าท่านนักปรุงยาท่านนั้นจะต้องพึงพอใจอย่างแน่นอน”
“เจ้าอย่าได้ลังเลที่จะใช้เงินเสียละ หากเป็นพวกที่มีแต่รูปลักษณ์ภายนอก เมื่อถึงตอนนั้นถูกเขาโกรธเข้า แม้แต่ข้าก็เข้าไปยุ่งไม่ได้หรอกนะ!” มู่เฉียนซีกล่าวอย่างหยอกล้อ
แม้ว่าเขามักจะใช้เงินอย่างชาญฉลาด แต่เขาก็ไม่เคยทำเรื่องใหญ่ผิดพลาดมาก่อน หญิงคนนี้เข้าใจเขาผิดถึงขนาดไหนกันแน่นะ!
ว่านซือเยี่ยนกล่าวว่า “เจ้าวางใจเถอะ ข้าไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักความพอดี มิเช่นนั้นข้าจะเป็นายน้อยของสมาคมการค้าเฉินซี ได้อย่างไรล่ะ?”
“ข้ายังมีเรื่องให้เจ้าประหลาดใจอีกเรื่องด้วย เจ้ารอดูให้ดี ๆ ล่ะ!”
หญิงผู้นี้ชอบที่จะบ่นถึงความขี้เหนียวของเขาอยู่เสมอ ช่างน่ารำคาญเสียจริง!
.