ตอนที่ 359 โอ้อวด
ความเฉยชาของจางซิ่วเอ๋อทำให้จางอวี่หมินเจ็บใจมาก
“นี่ เจ้าเห็นวัวตัวนี้หรือไม่?” จางอวี่หมินกระโดดไปอยู่ตรงหน้าจางซิ่วเอ๋อและถาม
จางซิ่วเอ๋อมองจางอวี่หมิน จากนั้นก็ยิ้มบางพลางเอ่ย “ข้าไม่เห็นวัว เห็นแต่สุนัขตัวหนึ่งที่เห่าไปทั่ว”
จางอวี่หมินอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะรู้ตัวว่าจางซิ่วเอ๋อด่านาง จึงมีสีหน้ามืดครึ้มลงพร้อมเอ่ยด้วยเสียงเกรี้ยวกราด “จางซิ่วเอ๋อ เจ้าว่าใคร?”
จางซิ่วเอ๋อกระพริบตาพร้อมกล่าว “ข้าไม่ได้ว่าใครนี่ ทำไมเจ้าต้องรีบร้อนรับด้วยเล่า? หรือเจ้าเองก็รู้สึกแบบนี้เช่นกัน?”
จางอวี่หมินมองจางซิ่วเอ๋อด้วยความเดือดดาล นางคิดจะพูดอะไรอีก ทว่าในขณะนั้นเองแม่เฒ่าจางได้ชะโงกหัวออกมาจากในห้องและเอ่ยขึ้น “อวี่หมิน เจ้ากลับมานี่”
แม่เฒ่าจางพูดพลางส่งสายตาให้จางอวี่หมิน
จางอวี่หมินเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ จึงข่มโทสะของตัวเองลง
นางเอามือลูบเรือนผมตนเอง จงใจให้จางซิ่วเอ๋อเห็นว่านางมีดอกไม้ผ้าดอกใหม่ประดับศีรษะ แล้วจึงบิดตัวเดินเข้าไปในห้อง
แน่นอนว่าจางซิ่วเอ๋อเห็นท่าทางทั้งหมดนี้ของจางอวี่หมิน
และในตอนนั้นเองที่จางซิ่วเอ๋อสังเกตเห็นว่าจางอวี่หมินเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่
นับตั้งแต่ที่แม่เฒ่าจางขูดรีดตำลึงเงินมาจากตระกูลเถาได้มากมาย แม่เฒ่าจางก็กล้าใช้เงินมาก
กล้าทุ่มซื้อของให้จางอวี่หมินเป็นอย่างมาก
จางซิ่วเอ๋อเบ้ปาก ทำเป็นไม่เห็นอะไรและหันหลังเดินไปทางห้องฝั่งตะวันตก
ขณะนั้นจางซานหยากำลังนอนอยู่ ส่วนแม่โจวนั่งจับเสื้อผ้าตัวหนึ่งอยู่ในห้อง เป็นเสื้อผ้าของจางต้าหู นางปะไปหลายจุดแล้ว แต่ตอนนี้เสื้อมีรอยขาดอีกที่ นางดูลำบากใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าจะปะรอยเพิ่มอย่างไรดี
เมื่อเห็นว่าจางซิ่วเอ๋อเข้าห้องมา แม่โจวจึงรีบวางของในมือลงและพูดอย่างร้อนรน “ซิ่วเอ๋อ เจ้ามาแล้วหรือ!”
พูดมาถึงตรงนี้ น้ำเสียงของแม่โจวก็แฝงแววรู้สึกผิดไว้
จางซิ่วเอ๋อมองแม่โจวอย่างนึกขบขัน “ท่านแม่ ข้าเห็นหมดแล้ว ท่านซ่อนเสื้อตัวนั้นไปก็เปล่าประโยชน์”
แม่โจวหยิบเสื้อของจางต้าหูออกมาพลางหน้าแดงด้วยความอาย เอ่ยเสียงแผ่ว “พ่อเจ้าไม่มีเสื้อผ้าให้เปลี่ยนแล้ว ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่รีบร้อนปะให้ขนาดนี้”
แม่โจวรู้ว่าจางซิ่วเอ๋อไม่อยากให้นางทำอะไรที่ต้องเหนื่อย
พอตอนนี้ต้องเผชิญหน้ากับจางซิ่วเอ๋อ ย่อมรู้สึกหวั่นใจเป็นธรรมดา
จางซิ่วเอ๋อถอนหายใจเบาๆ นางไม่โทษแม่โจวหรอก แม่โจวต้องใช้ชีวิตในครอบครัวแบบนี้ ดังนั้นเรื่องบางเรื่องก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างเช่นการปะเสื้อให้จางต้าหู
นางในฐานะลูกสาวจะห้ามก็ไม่ได้
ที่ตอนแรกนางไม่ให้แม่โจวทำงานพวกนี้เพราะไม่อยากให้แม่โจวต้องเหน็ดเหนื่อยกับพวกนางสามพี่น้องมากเกินไป
อย่างน้อยจะได้ประหยัดแรงไว้หน่อย
จางซิ่วเอ๋อมองแม่โจวพลางกล่าว “ท่านแม่ ทำงานของท่านต่อไปเถอะ ข้าแค่มาเยี่ยมและเอาของมาให้”
เสียงคุยกันของทั้งสองไม่ดังและไม่เบามากนัก
ทั้งคู่ไม่ได้จงใจพูดให้เบาลง และไม่กลัวว่าจะทำให้จางซานหยาตื่น
จางซานหยานอนไม่พอมาตั้งแต่เด็ก เด็กอายุเท่านางกำลังอยู่ในช่วงเจริญวัย ความต้องการในการนอนสูงมาก
ทว่านางแทบไม่ได้หลับเต็มอิ่มที่บ้านตระกูลจางเลย
แต่ละคืนต้องเข้านอนดึก พอตอนเช้าก็ต้องตื่นแต่เช้า เวลาเที่ยงก็ไม่มีเวลาพัก
นางจึงมีนิสัยนอนทุกครั้งที่มีเวลาว่าง
ไม่ว่าเสียงดังแค่ไหนก็อย่าหวังว่าจะทำให้จางซานหยาตื่น
แม้ว่าในเวลาต่อมาจางซานหยาจะสามารถไปนอนต่อที่บ้านจางซิ่วเอ๋อได้ทุกวัน ไม่ถึงกับนอนไม่พอ แต่นิสัยนี้ก็ติดตัวไปแล้ว
ตอนนี้ไม่ว่าแม่โจวกับจางซิ่วเอ๋อจะคุยกันดังขนาดไหน ขอเพียงไม่ใช่เรื่องใหญ่ขนาดที่บ้านถล่มก็ไม่มีทางทำให้จางซานหยาตื่นได้
“จริงสิท่านแม่ ทำไมในลานบ้านมีเกวียนวัวเพิ่มมาหนึ่งคันล่ะ? ย่าข้ายอมเสียเงินซื้อเกวียนจริง ๆ หรือ?” จางซิ่วเอ๋อถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
นางไม่ได้อิจฉาและไม่ได้อยากมีอย่างผู้อื่นก็จริง แต่ความอยากรู้อยากเห็นนั้นมีกันทุกคน
นางอยากรู้จริงๆ ว่าเกวียนวัวนี่มาจากไหน
แม่โจวได้ฟังดังนั้นจึงมองออกไปข้างนอกและบอก “เจ้าหมายถึงเกวียนวัวคันนั้นหรือ บ้านเราไม่ได้ซื้อมาหรอก นั่นน่ะ…..ของผู้อื่น”
แม่โจวตอบโดยไม่คิดอะไร แต่จางซิ่วเอ๋อแทบพ่นน้ำออกมา
เกวียนวัวของบ้านอื่น?
แล้วที่จางอวี่หมินอวดเกวียนวัวคันนี้ด้วยท่าทางยโสโอหังนั่นหมายความว่าอย่างไร?
จางซิ่วเอ๋อเกิดความรู้สึกหมดแรงขึ้นมาในใจ ในฐานะคนปกติแล้ว ไม่สามารถเข้าใจตรรกะของพวกสุดโต่งได้จริง ๆ
แม่โจวเห็นว่าจางซิ่วเอ๋อสนอกสนใจจึงเล่าต่อ “มีคนมาที่บ้าน”
“ใครกัน?” จางซิ่วเอ๋อถามอย่างแปลกใจ
“ได้ข่าวว่าเมื่อก่อนเป็นสหายรักของย่าเจ้า แต่งงานไปที่เมืองข้างเคียง มาครั้งนี้ถึงจะบอกว่ามาเยี่ยม แต่ความจริงแล้วอยากให้ลูกชายได้มาเจออาสาวของเจ้า” แม่โจวกล่าวต่อ
จางซิ่วเอ๋อฟังเสร็จก็ดูจะถึงบางอ้อ “มา….ดูตัวหรือเจ้าคะ?”
สมัยโบราณ คนที่จนแต่งงานก็ยังไม่เคยพบหน้ากันและกันมีถมเถไป
แต่บางครอบครัวก็จะพยายามจัดแจงให้ทุกคนได้พบหน้ากันก่อนจะหมั้นหมาย
อย่างน้อยจะได้ดูว่าต่างฝ่ายต่างเหมาะสมกันหรือไม่ ต่อให้ไม่สนความคิดเห็นของคนหนุ่มสาว แต่คนเป็นผู้ใหญ่ก็ต้องออกความคิดเห็นบ้าง
เหมาะสมหรือไม่ แค่ดูก็รู้แล้ว
จางซิ่วเอ๋อยิ้มเม้มปาก “เกวียนเป็นของบ้านนี้หรือเจ้าคะ หรือท่านอาเล็กของข้าจะมีใจให้เขา เมื่อครู่นี้ยังอวดเรื่องเกวียนกับข้าอยู่เลย ประหนึ่งว่าเป็นของนางอย่างไรอย่างนั้น”
จางซิ่วเอ๋อพูดแล้วก็รู้สึกว่าไม่ค่อยถูกหลักเหตุผลจึงเอ่ยต่อ “แต่ท่านอาเล็กของข้าหัวสูงยิ่งกว่าฟ้า ครอบครัวนี้ดูไม่เลวตรงที่มีเกวียนวัว แต่ดูแล้วไม่น่าจะใช่ตระกูลใหญ่ อาเล็กข้าจะยินยอมหรือ?”
จางซิ่วเอ๋อเคยได้ยินจางอวี่หมินพูดเกินกว่าหนึ่งครั้งว่าจะแต่งเข้าตระกูลใหญ่ไปเป็นฮูหยินน้อยหรืออนุภรรยา
ครอบครัวที่มีเกวียนวัวนี้คงทำให้จางอวี่หมินเป็นฮูหยินน้อยไม่ได้หรอก
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จางอวี่หมินจะตกลงได้อย่างไร?
แม่โจวเอ่ยยิ้ม ๆ “อาเล็กของเจ้าไม่ยอมอยู่แล้ว”
“ในเมื่อไม่ยอม แล้วทำไมย่าข้าถึงให้พวกเขามาที่บ้านอีกล่ะเจ้าคะ?” จางซิ่วเอ๋อไม่ค่อยเข้าใจนัก
แม่โจวเอ่ยต่อ “ตอนพวกเขามาก็นำสินสอดมาให้ไม่น้อย ย่าเจ้าเป็นคนอย่างไรเจ้าไม่รู้หรือ?”
พอแม่โจวพูดแบบนี้จางซิ่วเอ๋อก็เข้าใจ
แม่เฒ่าจางให้อีกฝ่ายมาหาที่บ้านเพราะเห็นแก่ของขวัญ แต่เรื่องนี้ถึงที่สุดแล้วก็เป็นไปไม่ได้
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วก็ไม่ต้องแต่งลูกสาว แต่ได้รับสินสอดจริง ๆ
ช่างวางแผนดีจริง ๆ
ไม่เสียอะไรเลยสักนิด แถมได้จับเสือมือเปล่าอีกต่างหาก!
จางซิ่วเอ๋ออดนับถือแม่เฒ่าจางไม่ได้ ฉวยโอกาสเก่งจริง ๆ แต่เรื่องแบบนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ฟังดูไร้ยางอายเหลือเกิน
นี่ถ้าครอบครัวนั้นรู้ความคิดของแม่เฒ่าจาง จะไม่อาละวาดจนพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินหรือ?
………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
แผนสูงมากนางเฒ่า รอวันครอบครัวนั้นมากระทืบนะคะ
ไหหม่า(海馬)