บทที่ 312 รุ่ยเซียง
หญิงสาวตรงหน้าสวมชุดผ้าโปร่งสีชมพูบาง ๆ เวลาขยับตัวเผยให้เห็นเนื้อหนังมังสาราง ๆ
จางซิ่วเอ๋อเบนสายตาไปทางอื่นและถาม “ข้า…สมองข้าได้รับความกระทบกระเทือนมา ลืมอะไรไปหลายเรื่องเลย”
จางซิ่วเอ๋อค้นหาในความทรงจำของเจ้าของร่างก็ยังคิดไม่ออกว่าคนที่ชื่อรุ่ยเซียงผู้นี้เป็นใคร
รุ่ยเซียงกระเถิบเข้ามาและถามเสียงแผ่ว “ซิ่วเอ๋อ ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ในที่แบบนี้ หรือย่าเจ้าจับเจ้าขายรึ?”
จางซิ่วเอ๋อส่ายหัว “เปล่า ข้าเดินอยู่ดี ๆ ก็โดนจับมา”
รุ่ยเซียงมองจางซิ่วเอ๋ออย่างพิจารณาด้วยสีหน้าไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ แต่สุดท้ายนางก็เอ่ยขึ้น “ไม่ว่าเจ้าจะเข้ามาได้อย่างไร ตอนนี้พวกเราก็ตกอับมาอยู่ในที่เดียวกัน”
พูดมาถึงนี่รุ่ยเซียงมีสีหน้าเจ็บปวด
อุตส่าห์ได้เจอคนที่รู้จักตัวเองและยอมคุยกับตัวเอง จางซิ่วเอ๋อไม่ปล่อยโอกาสนี้ไปแน่ นางเอ่ยถาม “เจ้ารู้ไหมว่าที่นี่คือที่ไหน?”
รุ่ยเซียงไม่ตอบคำถามของจางซิ่วเอ๋อ แต่กล่าวขึ้น “ซิ่วเอ๋อ ดีจริง ๆ ที่ได้เจอเจ้าที่นี่ ถึงแม้เจ้าจะดูต่างจากเมื่อก่อนนิดหน่อย แต่ข้าก็จำเจ้าได้ในครู่เดียว”
จางซิ่วเอ๋อเงียบไป ดีจริง ๆ ที่ได้เจอนางที่นี่…ประโยคนี้ช่าง…
แต่จางซิ่วเอ๋อไม่ถือสากับวิธีการพูดของรุ่ยเซียง นางนึกในใจว่ารุ่ยเซียงถูกขังอยู่ที่นี่คงรู้สึกไม่ดีเหมือนกัน อุตส่าห์เจอคนที่ตัวเองรู้จักต้องรู้สึกตื่นเต้นเป็นธรรมดา
จางซิ่วเอ๋อจึงถาม “เมื่อก่อนเราก็รู้จักกันเหรอ?”
“โอ๊ย นี่เจ้าลืมข้าจริง ๆ เหรอ? บ้านข้าอยู่เยื้อง ๆ ตรงข้ามบ้านเจ้า สองปีก่อนตอนข้ายังไม่ถูกขาย เราสองคนเล่นด้วยกันบ่อย ๆ” รุ่ยเซียงบอก
จางซิ่วเอ๋อคิดตาม นี่คงเป็นเพื่อนของจางซิ่วเอ๋อเจ้าของร่าง
“เจ้า…โดนขายมาในที่แบบนี้ตั้งแต่สองปีก่อนเหรอ?” จางซิ่วเอ๋อรู้สึกสงสารรุ่ยเซียงขึ้นมา
2 ปีก่อนเด็กสาวคนนี้คงยังอยู่ในวัยสะพรั่ง อายุราว ๆ สิบห้าสิบหก กำลังอยู่ในวัยที่ดูตัวหาคู่สมรสเลย ทำไมถึงถูกจับมาขายในที่แบบนี้นะ
“ข้าเองก็ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน สองปีก่อนข้าถูกขายให้กับคนตระกูลใหญ่ไปเป็นสาวใช้ แต่ครึ่งเดือนก่อนมีอยู่ครั้งหนึ่งที่ข้าออกมาช่วยนายหญิงซื้อของก็โดนจับมาอยู่ที่นี่” รุ่ยเซียงถอนหายใจเศร้า ๆ
“เราสองคนมาอยู่นี่กันหมดแล้ว อย่าไปพูดถึงเรื่องนี้เลย” ดูเหมือนรุ่ยเซียงจะไม่อยากหวนนึกถึงเรื่องที่ผ่านมา
จางซิ่งเอ๋อพอเข้าใจได้ สำหรับเด็กสาวคนหนึ่งนี่คือเรื่องที่สะเทือนใจมาก อย่าว่าแต่รุ่ยเซียงเลย แม้แต่ตัวนางเองยังแทบทนไม่ไหว
“เช่นนั้นเจ้าเล่าให้ข้าฟังหน่อยว่าสตรีชุดน้ำเงินผู้นั้นเป็นใคร และที่นี่เป็นที่แบบไหนกันรึ?” จางซิ่วเอ๋อถามอีกครั้ง
เวลานี้รุ่ยเซียงยอมปริปาก “สตรีชุดน้ำเงินคนนั้นเป็นผู้ดูแลที่นี่ พวกเราเรียกนางว่าแม่เล้าเจิ้ง”
“มีคนที่ตำแหน่งสูงกว่านางไหม?” จางซิ่วเอ๋อถามต่อ
“ไม่รู้สิ คงมีมั้ง หรืออาจไม่มี แต่เรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเรา เราสองคนต่างมีชีวิตต่ำต้อย ถึงได้ตกอับมาอยู่ในที่แบบนี้” รุ่ยเซียงถอนหายใจ ปากก็พูดจาตัดทอนกำลังใจ
“บางทีเจ้าอาจยังไม่รู้ว่าที่นี่เป็นที่แบบไหน ที่นี่เป็นที่ที่ลักลอบค้ามนุษย์กัน พวกเราต้องรับแขกกันหมด หากไม่ยอม แม่เล้าเจิ้งมีสารพัดวิธีที่จะทรมานพวกเรา หรืออาจถึงขั้นให้ฝูงผู้ชายมาย่ำยี…” พูดมาถึงนี่เสียงของรุ่ยเซียงเบาลงอย่างเห็นได้ชัด
จางซิ่วเอ๋อเม้มปาก ดูท่าคิดจะหนีไปจากที่นี่คงไม่ง่ายเท่าไหร่
แต่อย่างน้อยเชือกบนตัวนางก็ถูกแก้ออกไปแล้ว ตอนนี้สามารถขยับตัวได้ตามต้องการ
จางซิ่วเอ๋อฟังที่รุ่ยเซียงเล่าจบก็เริ่มพิจารณาห้องนี้ ดูว่ามีตรงไหนให้ออกไปได้บ้าง
แต่เห็นได้ชัดว่าความจริงเป็นสิ่งโหดร้าย
แม่เล้าเจิ้งจับพวกผู้หญิงมาขังไว้ที่นี่ด้วยเป้าหมายธรรมดามาก นั่นก็คือไม่ให้คนพวกนี้หนี แล้วตอนนี้จะทิ้งโอกาสให้จางซิ่วเอ๋อไปจากที่นี่ได้อย่างไร
ด้านนอกหน้าต่างมีกระดานไม้ถูกตอกไว้อย่างแน่นหนาด้วยซ้ำ
อย่าว่าแต่คนเป็น ๆ เลย แม้แต่หนูสักตัวยังออกไปลำบาก
และในตอนนั้นเอง มีหญิงสาวในชุดผ้าโปร่งผู้หนึ่งถูกผลักเข้ามา ผู้หญิงคนนั้นหน้าแดงก่ำ เดินกะโผลกกะเผลก แขนที่เผยออกมาเต็มไปด้วยบาดแผล ดูออกว่าโดนทรมานมาอย่างหนัก
มีผู้ชายหิ้วถังน้ำคนหนึ่งตามเข้ามาด้วย
ชายคนนั้นมองผู้หญิงพวกนี้ด้วยสายตาหื่นกามก่อนจะทอดสายตาไปที่จางซิ่วเอ๋อ
จางซิ่วเอ๋อตัวสั่นนิดหน่อย
ขณะนั้นแม่เล้าเจิ้งเดินเข้ามา “ตอนนี้เจ้ายังแตะต้องนางไม่ได้ นางยังเป็นสาวพรหมจรรย์อยู่ เดี๋ยวข้าเลี้ยงดี ๆ แล้วขายได้สักรอบก่อนเจ้าจะเล่นกับนางอย่างไรก็ได้”
เมื่อได้ยินคำพูดสัปดนพวกนั้น จางซิ่วเอ๋อก็เดือดขึ้นมา
แต่นางเข้าใจดีว่าตอนนี้ตัวเองต่อต้านไม่ได้ การต่อต้านที่เปล่าประโยชน์มีแต่จะยิ่งผลักตนเองเข้ากองเเพลิง
จางซิ่วเอ๋อก้มหน้า แสดงท่าทีเหมือนกลัวสุด ๆ
แม่เล้าเจิ้งมองจางซิ่วเอ๋อ นางชอบคนขี้กลัวแบบนี้ที่สุด ไม่กล้าแม้แต่จะร้องไห้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงก่อเรื่องเลย
“มากินข้าวได้แล้ว” แม่เล้าเจิ้งกล่าว
จางซิ่วเอ๋อมองไปก็เห็นว่าในนั้นเป็นกับข้าวเหลือ ๆ ด้านบนมีน้ำมันลอยเจิ่งอยู่ และมีหมูสามชั้นปนอยู่หลายชิ้น
ของแบบนี้ถูกมัดรวมต้มเข้าด้วยกันไม่ต่างอะไรจากอาหารหมูเลย
พูดแบบชาวบ้านคือน้ำมันเยอะ แต่จะให้จางซิ่วเอ๋อกินของแบบนี้นางรับไม่ได้จริง ๆ
แม่เล้าเจิ้งมองจางซิ่วเอ๋ออย่างพิจารณา นางเอ่ยขึ้น “เจ้ามารับไปถ้วยหนึ่ง ข้าจะบอกเจ้าให้นะ กฎของที่นี่คือต้องกินข้าวเช่นนี้ทุกวัน ถ้าเจ้ากินไม่หมด…ก็อย่าหาว่าพวกเราใจร้าย”
จางซิ่วเอ๋อมองแม่เล้าเจิ้งและเอ่ยเสียงแผ่ว “ผู้ดูแล วันนี้ข้ากินข้าวไปแล้ว ขอกินนิดเดียวได้หรือไม่เจ้าคะ ข้ารับประกันว่าหลังจากนี้ข้าจะเชื่อฟังท่าน จะกินข้าวตรงเวลาเจ้าค่ะ”
แม่เล้าเจิ้งเห็นจางซิ่วเอ๋อขอร้องตัวเองด้วยท่าทีหวาด ๆ และดูไม่ค่อยกล้า นางคิดไปคิดมาก่อนจะเอ่ยขึ้น “ก็ได้ ถ้าวันนี้เจ้าไม่อยากกินก็ไม่ต้องกินเลยสักคำ ดูว่าคนอื่นกินอย่างไร เดี๋ยวพรุ่งนี้ต่อให้ข้าไม่ให้กิน เจ้าก็อยากกิน”
แม่เล้าเจิ้งรู้สึกว่าปล่อยให้จางซิ่วเอ๋ออดสักมื้อนางก็รู้จักกินข้าวแล้ว
อย่างไรเสียตัวจางซิ่วเอ๋อเองก็รับประกันแล้วว่าหลังจากนี้จะยอมกินข้าวแต่โดยดี แม่นี่ดูจากตอนนี้ก็ไม่ได้ร้องไห้โวยวาย ถ้ากำราบแม่นี่ให้อยู่หมัดได้โดยง่ายก็ดูจะไม่เลว
และวันนี้ฟ้าก็มืดแล้ว แม่เล้าเจิ้งไม่คิดจะสั่งสอนจางซิ่วเอ๋อ
จางซิ่วเอ๋อลอบถอนหายใจ นางไม่ได้หิวมากจริง ๆ เพราะขณะที่รอตวนอู่คนเฝ้ายามได้ให้ขนมตนกินแล้ว