บทที่ 306 ไม่ได้เจอกันนาน
เมืองชิงสือ
เหมือนตามปกติ ผู้เฒ่าหลี่นำรถเกวียนมาจอดที่หน้าทางเข้าของเมืองชิงสือ หลังจากนั้นเขาจุดยาสูบและพ่นออกมา
รอบนี้คนที่มาในเมืองไม่ใช่คนที่จางซิ่วเอ๋อคุ้นเคยอะไร ดังนั้นจึงไม่มีใครตามจางซิ่วเอ๋อมาด้วย
จางซิ่วเอ๋อก็รู้สึกสงบเช่นกัน นางมีธุระมากมายให้ต้องจัดการ ดังนั้นตอนนี้ใครจะมีเวลาสนใจเรื่องของผู้อื่น?
จางซิ่วเอ๋อเลือกไปโรงเตี๊ยมที่เคยมาครั้งหนึ่งก่อน
ผู้จัดการเฉียน ซึ่งอยู่ด้านหน้าร้านพอดี พอเห็นจางซิ่วเอ๋อมาก็ต้อนรับอย่างกระตือรือร้น
จางซิ่วเอ๋อกวดสายตามองรอบหนึ่ง เมื่อก่อนโรงเตี๊ยมแห่งนี้มีแขกมาพักจำนวนมาก กิจการดีไม่เบา อย่างวันนี้ก็แทบจะไม่มีที่นั่งว่างเลย
นี้ยังไม่ถึงตอนเที่ยงคนก็เยอะขนาดนี้แล้ว พอถึงเวลาอาหารกลางวันก็รู้เลยว่าคนจะเยอะยิ่งกว่านี้อย่างไม่ต้องสงสัย
ทั้งที่ตามความจริงแล้วช่วงเที่ยงควรเป็นช่วงที่โรงเตี๊ยมเช่นนี้จะขายไม่ดี
ก็ใครจะมาโรงเตี๊ยมดื่มสุราในตอนเที่ยงกันบ้างล่ะ?
แต่โรงเตี๊ยมแห่งนี้กลับคนเยอะเกินไปทั้งที่เป็นช่วงกลางวัน ยากที่จะหาที่นั่ง แต่เหล่าอาหารที่นี่อร่อยกว่าโรงเตี๊ยมแห่งอื่นนัก นั่นทำให้แขกที่หวังจะลิ้มรสของอร่อย ต่างก็รีบมาจับจองที่นั่งกันก่อน
“แม่นางซิ่วเอ๋อไม่ได้เจอกันนาน ไม่ทราบว่าเจ้างานยุ่งอะไรหรือ?” ผู้จัดการเฉียนพูดไปก็ถูมือไป
“แล้วก็เจ้าคงจะเห็นอยู่แล้ว ช่วงนี้กิจการเป็นไปได้ดีนัก เจ้าสามารถให้เครื่องปรุงข้าหน่อยได้หรือไม่? เจ้าไม่ต้องกังวลนะ ข้าจะจ่ายเงินตามปกติ” ผู้จัดการเฉียนมองจางซิ่วเอ๋ออย่างคาดหวัง
จางซิ่งเอ๋อพยักหน้า “ได้สิเจ้าคะ”
ใครก็ไม่อาจทอดทิ้งเงินได้ นางร่วมมือกับคุณชายฉิน พูดก็คือเครื่องปรุงในมือของผู้จัดการเฉียนนางก็ควรต้องจัดการให้เขา
ผู้จัดการเฉียนเห็นจางซิ่วเอ๋อตกลงอย่างง่ายดายก็อารมณ์ดี
ครั้งนี้จางซิ่วเอ๋อนำเครื่องปรุงมาจำนวนหนึ่ง นางคิดแล้วก็ให้ผู้จัดการเฉียนครึ่งหนึ่งพอ อีกสักพักก็จะเจอคุณชายฉินแล้ว ในเมื่อนางจะพูดเรื่องเครื่องปรุง งั้นก็ควรจะเอาเครื่องปรุงไปด้วยส่วนหนึ่ง
ผู้จัดการเฉียนส่งเงินให้จางซิ่วเอ๋อ 2 ตำลึงเงิน นับในส่วนที่ซื้อครั้งก่อน สำหรับของที่ยังไม่พอจางซิ่วก็ได้เปลี่ยนวันที่จะมาส่งให้ในวันอื่น
กระทั่งตอนนี้จางซิ่วเอ๋อเริ่มคิดแล้วว่าควรจะซื้อลาสักตัวหรือไม่
การใช้มือทำเครื่องปรุงแบบนี้มันยุ่งยากไปสักหน่อย
ถึงตอนนั้นก็ต้องทำเครื่องโม่สักเครื่อง ใช้ลาลากเครื่องโม่มาทำเครื่องปรุง น่าจะทำให้ง่ายขึ้นเยอะ
จางซิ่วเอ๋ออดที่จะถอนหายใจกับตัวเองไม่ได้ เพียงแต่น่าเสียดายสมัยโบราณไม่มีเครื่องปดแป้งอะไรพวกนั้น ถ้ามีของสิ่งนี้ก็ไม่ต้องเปลื้องแรงขนาดนี้แล้ว
แต่จางซิ่วเอ๋อก็เพียงแค่ลองคิดดูเท่านั้น
ตอนนางอยู่ในยุคปัจจุบัน นางเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง ไม่สามารถทำของแบบนั้นขึ้นมาได้
หลังจากเสร็จธุระ จางซิ่วเอ๋อก็ถามขึ้นว่า “ผู้จัดการเฉียน ที่จริงข้าจะมาหาคุณชายฉิน ไม่ทราบว่าจะรบกวนหรือไม่หากท่านจะช่วยเรียกเขาให้ข้าหน่อย? นานมากแล้วที่ไม่ได้เจอกัน ข้ามีเรื่องบางอย่างอยากจะหารือกับเขาน่ะเจ้าค่ะ”
จางซิ่วเอ๋อไม่รู้จริง ๆ ว่าคุณชายฉินพักอาศัยอยู่ที่ใด
ผู้จัดการเฉียนได้ฟังแล้วก็รู้สึกประหลาดใจขึ้นมา “ทำไมกัน? ช่วงนี้เจ้าไม่ได้พบคุณชายฉินเลยรึ?”
จางซิ่วเอ๋อแปลกใจเล็กน้อย “ความหมายของท่านคือ ท่านก็ไม่เจอคุณชายฉินมานานแล้วเหมือนกันหรือเจ้าคะ?”
ผู้จัดการเฉียนพยักหน้า “คุณชายฉินไม่ได้มาโรงเตี๊ยมข้าสักระยะแล้ว ข้ายังคิดว่าเขาไปเอาเครื่องปรุงกับเจ้า ทำกับข้าวแสนอร่อยในครอบครัวตนเองแล้วเสียอีก ดังนั้นถึงไม่มา”
พูดถึงตรงนี้ น้ำเสียงของผู้จัดการเฉียนก็บ่นเบา ๆ แต่ว่าจางซิ่วเอ๋อฟังออกว่าผู้จัดการเฉียนผู้นี้ก็บ่นเช่นกัน แต่เขาไม่มีทางเจ็บแค้นใจกับนางเพราะเรื่องนี้หรอก
ผู้จัดการเฉียนเจ็บใจที่ตัวเองเสียแขกรายใหญ่ไป แต่เขาก็เข้าใจ เพราะการที่คุณชายฉินไม่มานั้นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับจางซิ่วเอ๋อ
ใครให้ตอนแรกเขา ‘ขาย’ จางซิ่วเอ๋อให้คุณชายฉินตามหานางกันล่ะ
อีกทั้งเมื่อเขาถอยก้าวหนึ่ง เขาก็เสียแขกรายใหญ่แต่กลับทำให้ได้เครื่องปรุงนี้มา และทำให้โรงเตี๊ยมนี้กิจการดีวันดีคืน
นัยน์ตาของจางซิ่วเอ๋อครุ่นคิด ดูเหมือนว่าการจะหาคุณชายฉินไม่ใช่ง่าย ๆ แล้ว
การที่คุณชายฉินเป็นเช่นนี้ เขาก็น่าจะกำลังประสบกับปัญหาบางอย่างอยู่ หรือว่าป่วย? แต่ก็ไม่น่าใช่ ถ้าป่วยจริงก็ให้ตวนอู่มาบอกกล่าวกับตนเองสักคำก็ไม่น่าจะวุ่นวาย
งั้นแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับเขากันล่ะ?
แต่คุณชายฉินที่ทำตัวเหมือนเป็นหมาป่าหางโต* แบบนั้น หรือว่าเขาจะเจอเรื่องที่ตัวเองยากจะแก้ไขมันจริง ๆ?
*เป็นสำนวนภาษาปักกิ่ง หมายถึงหมาป่าอวดหาง เพราะกลัวคนอื่นจะมองข้ามหรือมองไม่เห็นตน
เมื่อคิดได้เช่นนี้จางซิ่วเอ๋อก็ตัดสินใจ ไม่ว่าจะพูดว่าอะไร ตัวเองจะมาคาดเดาก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร ควรจะไปดูด้วยตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณชายฉิน
ตอนนี้ทั้งสองเป็นคู่ค้าที่ดี อีกทั้งคุณชายฉินก็ช่วยนางเอาไว้ครั้งก่อน เห็นแก่มิตรภาพระหว่างเรา นางก็ควรต้องไปดูด้วยตาตัวเองสักหน่อย
ถึงตอนนั้นไม่ว่าคุณชายฉินจะเป็นอะไร นางก็จะได้ไม่ต้องเดาสุ่มสี่สุ่มห้าเช่นนี้อีก
“ผู้จัดการเฉียน ท่านรู้จักจวนของคุณชายฉินหรือไม่? ท่านช่วยแจ้งเขาให้ข้าทีสิเจ้าคะ” จางซิ่วเอ๋อพูดซ้ำอีกครั้ง
ผู้จัดการเฉียนยิ้มแล้วพูด “เรื่องแจ้งข่าวน่ะข้าคงช่วยเจ้าไม่ได้หรอก”
จางซิ่วเอ๋อมองผู้จัดการเฉียนอย่างสงสัย “ท่านหมายความว่าอย่างไร?”
ผู้จัดการเฉียนยิ้มจนตาเล็ก “คือว่าแบบนี้นะ คุณชายฉินกำชับไว้นานแล้วว่า ถ้าเจ้าหรือว่าครอบครัวของเจ้าตามหาเขา ก็ให้ข้าพาตัวคนไปหาเขาได้เลย ไม่จำเป็นต้องแจ้งข่าว”
ครั้งก่อนคุณชายฉินจากไปช้ากว่าหนึ่งก้าว ตอนที่กลับมาเขาก็ได้กำชับตนไว้เช่นนี้
จางซิ่วเอ๋อได้ยินก็ถอนหายใจโล่งอก นางนึกว่าคุณชายฉินจะไม่อยากพบนางเสียแล้ว
แม้ว่านางจะคิดว่าคุณชายฉินทิ้งเครื่องปรุงไม่อยากเจอตัวเอง ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร แต่นางไม่ชอบให้ความรู้สึกเหมือนถูกหลอกอยู่แบบนี้ หวังว่าจะจัดการธุระให้เรียบร้อย ถึงตอนนั้นจะไม่ร่วมมือกันอีกตนก็ไม่ได้เสียหายอะไร กลับยิ่งรู้สึกสบายใจด้วยซ้ำ
ผู้จัดการเฉียนเอ่ยว่า “ข้าจะให้เด็กพาเจ้าไป”
เสี่ยวเอ้อที่ไปส่งจางซิ่วเอ๋อนั้นเป็นเสี่ยวเอ้อที่เคยทำให้จางเสี่ยวเอ๋อขุ่นเคือง ตอนนี้พอเขาเห็นจางซิ่วเอ๋อเขาก็ต้องไม่กล้าทำให้นางขุ่นเคืองใจเป็นธรรมดา กลับหดหัวว่าง่ายยิ่ง
จางซิ่วเอ๋อนั่งรถม้าของโรงเตี๊ยมไปที่จวนของคุณชายฉินโดยตรง
จวนของคุณชายฉินไม่เล็กเลย ผู้จัดการเฉียนทำได้เพียงมาส่งคน และพาจางซิ่วเอ๋อมาส่งที่ตัวเรือนด้านหลังสุด
เรือนด้านหลังนั้นมีชื่อว่าเรือนดอกเหม่ย ไม่ถือว่าใหญ่แต่ก็ทำให้คนรู้สึกเงียบสงบ
จางซิ่วเอ๋อมาที่นี่ครั้งแรก นางลงจากรถม้าแล้วสำรวจสักพักหนึ่ง
นางจำเส้นทางเอาไว้ ถ้าต่อไปตอนมาหาคุณชายฉินอีกจะได้ไม่รบกวนผู้จัดการเฉียนอีก
ถ้ามีเรื่องที่ต้องจำเป็นจริง ๆ จางซิ่วเอ๋อก็ชอบที่จะทำอะไรด้วยตัวเอง
ตอนนี้เองเสี่ยวเอ้อก็ไปเคาะประตูแล้ว