“ตึงตึงตึง…”
เซี่ยยวี่หลัวเพิ่งเก็บของเสร็จ เสียงเคาะประตูก็ดังมาจากด้านนอก
เมื่อเซี่ยยวี่หลัวได้ยินเสียงเคาะประตู ก็รู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย
ในเวลาเช่นนี้ ใครจะมาหากัน?
ยังดีที่นางเองก็ไม่กลัว หยิบกระบองไม้ท่อนหนึ่งที่อยู่ในห้องขึ้นมากุมไว้ในมือ เดินย่องไปที่ประตูเงียบๆ
เสียงเคาะประตูไม่เร็วไม่ช้า ฟังดูคุ้นหูเล็กน้อย
“ใคร? ” เซี่ยยวี่หลัวเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“อาหลัว ข้าเอง…” เมื่อได้ยินเสียงจากด้านนอก ความหวาดกลัวของเซี่ยยวี่หลัวก็พลันหายไปจนสิ้น
เป็นเซียวยวี่เองหรือ
เซี่ยยวี่หลัวไม่ทันได้คิดโดยละเอียดว่าเซียวยวี่มาได้อย่างไร นางรีบเดินขึ้นหน้าไปเปิดประตูทันที
“เซียวยวี่…”
เซี่ยยวี่หลัวกำลังจะโผเข้าไปกอด แต่เซียวยวี่กลับถอยออกด้านข้างไปหลายก้าว พร้อมอุทานด้วยความตกใจ “เฮ้เฮ้ อย่าเข้ามา อย่าเข้ามา ระวังร้อน! ”
แขนทั้งคู่ของเซี่ยยวี่หลัวที่กางออกจึงแข็งทื่ออยู่กลางอากาศเช่นนั้น เซียวยวี่ถือชามใบหนึ่งไว้ในมือ พลันกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “หิวหรือไม่? เมื่อครู่ข้าซื้อบะหมี่ใส่เนื้อหมูมาจากแผงขายอาหาร! ”
บะหมี่ใส่เนื้อหมูชามใหญ่ ยังมีไอร้อนระอุลอยขึ้นมา
เซี่ยยวี่หลัวคลำท้อง รู้สึกหิวขึ้นมาเล็กน้อย
นางไม่ได้กินอาหารเย็นหรืออย่างไร? ดูท่าแล้วคงยังไม่ได้กินจริงๆ!
เซี่ยยวี่หลัวรับบะหมี่มา อ้าปากกินทันที เมื่อเห็นท่าทางของนางที่กินอย่างตะกละตะกลาม เซียวยวี่ก็รู้สึกเห็นใจยิ่งนัก “ตอนเย็นได้กินข้าวหรือไม่? ”
“กินแล้ว กินแล้ว! ” เซี่ยยวี่หลัวกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงอู้อี้ หากนางตอบว่าไม่ได้กิน ต้องโดนเซียวยวี่ตำหนิเป็นแน่
“อ๋อ กินแล้วเช่นนั้นหรือ? ” เซียวยวี่ลุกขึ้น เดินวนไปรอบๆ “ตอนเย็นเจ้าหุงข้าวเอง? ”
เซี่ยยวี่หลัวอ้าปากตอบทันที “อืมอืมอืม ข้าหุงเอง”
“…” เซียวยวี่ไม่ได้กล่าวอะไรอีก เขาจ้องมองเซี่ยยวี่หลัวที่กินอย่างตะกละตะกลามเงียบๆ
เซี่ยยวี่หลัวเพิ่งรู้ตัวว่าเขากำลังหลอกถามนาง
ภายในเรือนนอกจากหม้อหนึ่งใบ ทั้งน้ำมัน เกลือ ซีอิ๊ว น้ำส้มสายชู ข้าวสาร บะหมี่ จาน หรือชาม ล้วนไม่มีทั้งสิ้น จะหุงข้าวได้อย่างไร!
“ไม่ได้กินอาหารเย็น? ” เซียวยวี่ไม่มีแก่ใจจะตำหนิ เพียงหงุดหงิดที่ตัวเองมาช้าเกินไป
เซี่ยยวี่หลัวเบ้ปาก รู้สึกเก้อเขินเล็กน้อย “ข้า… ลืมกิน! ”
เซียวยวี่ใช้เม็ดเกาลัดเคาะใส่เบาๆ “ข้าวยังลืมกินได้? ”
เซี่ยยวี่หลัวดื่มน้ำแกงคำสุดท้ายเสร็จ จึงกล่าวออกมาด้วยความรู้สึกพึงพอใจ “เจ้านำมาส่งให้แล้วไม่ใช่หรือ? ข้าเองก็ได้กินจนอิ่มแล้วเช่นกัน! ”
“แล้วหากข้าไม่มาจะทำเช่นไร? เจ้าคิดจะทนหิวทั้งคืนหรืออย่างไร? ” เซียวยวี่ทั้งรู้สึกอ่อนใจทั้งรู้สึกเห็นใจ
เซี่ยยวี่หลัวเพิ่งนึกขึ้นได้ “เจ้ามาได้อย่างไร? จื่อเซวียนกับจื่อเมิ่งเล่า จะทำเช่นไร? ”
เซียวยวี่กล่าวตอบ “พวกเขาอยู่ที่บ้านสบายดี เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงพวกเขา กลับเป็นเจ้า พอข้าไม่ได้อยู่ดู คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะไม่กินกระทั่งข้าวเย็น” ใครกันที่ก่อนไปยังกำชับย้ำเตือน บอกว่าต้องกินให้ดีกินให้อิ่ม เขาทำตามแล้ว แต่ใครบางคนเล่า…
ฮึฮึ!
เซี่ยยวี่หลัวเองก็นึกถึงวาจาที่ตัวเองกำชับกับเซียวยวี่ ได้แต่หัวเราะร่าด้วยความประหม่า “งานยุ่งเกินไปจริงๆ ข้าจึงลืมเลือนไป แต่เจ้าวางใจได้ พรุ่งนี้ข้าจะกลับบ้าน เจ้าก็ทำอาหารอร่อยๆ ให้ข้ากิน ได้หรือไม่? ”
เซียวยวี่พยักหน้า ตวัดนิ้วตรงปลายจมูกเซี่ยยวี่หลัวทีหนึ่ง “เจ้าเด็กโง่! ”
ทั้งสองคนกอดกัน นั่งบนขั้นบันไดหน้าประตูในลานบ้าน แหงนหน้ามองดวงจันทร์
เพิ่งผ่านวันที่สิบห้า ดวงจันทร์ยังคงสว่างไสว เซี่ยยวี่หลัวพักพิงอยู่ในอ้อมอกเซียวยวี่ รู้สึกพึงพอใจเสียยิ่งกว่าอะไร!
ไม่ได้พบหนึ่งวัน เซียวยวี่กอดเซี่ยยวี่หลัวพลางจุมพิตไม่หยุด
เซี่ยยวี่หลัวไม่ได้ปฏิเสธ โอบคอเซียวยวี่พลางตอบรับริมฝีปากและลิ้นของเขา
“อาหลัว…” น้ำเสียงของเซียวยวี่ทุ้มต่ำ เซี่ยยวี่หลัวฟังแล้วรู้สึกอ่อนระทวยถึงกระดูก “เซียวยวี่! ”
“คิดถึงข้าหรือไม่? ”
“คิดถึง! ” เซี่ยยวี่หลัวกล่าวตามจริง ยามที่งานยุ่งนางลืมสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง แต่หากเพียงมีเวลาว่าง ในห้วงภวังค์ก็คิดถึงแต่เซียวยวี่ คิดถึงเขาอย่างไม่อาจควบคุมได้!
“ฮะฮะ…” เซียวยวี่หัวเราะเสียงเบา จุมพิตริมฝีปากของนางเบาๆ อีกครั้ง ก่อนจะปล่อยนางออก “ข้าก็คิดถึงเจ้า! ” คิดถึงเป็นอย่างมาก คิดถึงจนแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้ เขาไม่อยากสอนหนังสือแล้ว เขาอยากเข้ามาในตัวเมือง!
ดังนั้นพอจบคาบเรียน เซียวยวี่จึงกลับบ้านไปทำอาหารเย็นให้เด็กสองคน ตัวเขาเองเพียงกินง่ายๆ กำชับเด็กสองคนเสร็จ ก็รีบเข้ามาในตัวเมืองโดยไม่หยุดพัก
แต่ก็ยังสายเกินไป ครั้งหน้า หลังจากจบคาบเรียนเขาจะมาในตัวเมืองทันที ส่วนอาหารเย็นให้เด็กสองคนทำกินเอง!
อย่างไรเสียก็แค่หนึ่งมื้อ หากไม่ไหวจริงๆ ตอนเที่ยงก็ทำมากขึ้นเล็กน้อย ให้เด็กสองคนนำไปอุ่นกินตอนเย็น
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว เซียวยวี่ก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา เขาต้องรีบมาเร็วหน่อย มาทำอาหารให้อาหลัวกิน!
เซี่ยยวี่หลัวยังไม่รู้ว่าเซียวยวี่มีความคิดเช่นนี้ นางเหนื่อยมาทั้งวัน ตอนเที่ยงก็ไม่ได้พักผ่อน จึงง่วงนอนแล้ว
ยังดีที่น้ำที่ต้มไว้เดือดแล้ว เก็บไว้ดื่มส่วนหนึ่ง อีกส่วนเซียวยวี่ผสมน้ำอุ่นสองถังเพื่อไว้ใช้อาบน้ำ
เซียวยวี่อาบก่อน
เขานำชุดซับในมาเปลี่ยนเพียงชุดเดียว เสื้อและกางเกงสีขาว ตอนที่เซี่ยยวี่หลัวเข้ามา เขากำลังนั่งอ่านตำราอยู่หน้าไฟตะเกียงน้ำมันอย่างเงียบสงบ
เซียวยวี่เหยียดหลังตรงประหนึ่งพู่กัน นิ้วมือเรียวยาวถือตำราไว้ อ่านอย่างใจจดใจจ่อ
เสื้อสีขาวผ่องดุจหิมะ เส้นผมยาวสีดำดุจน้ำหมึก ดวงหน้าหล่อเหลา ประหนึ่งคนที่เดินออกมาจากภาพวาดอย่างไรอย่างนั้น
เซี่ยยวี่หลัวมองด้วยความเคลิบเคลิ้มอย่างอดไม่ได้ พิงอยู่ตรงวงกบประตู มองจนตาไม่กะพริบ
ยามเซียวยวี่เงยหน้า ก็เห็นเซี่ยยวี่หลัวจ้องมองตัวเองพอดี แววตาเต็มไปด้วยความเคลิบเคลิ้มหลงใหล
ร่างกายที่อ่อนตัวมาตลอดพลันเกร็งขึ้นทันที เซียวยวี่วางตำราลงด้วยความอ่อนใจ รู้ว่าตัวเองไม่อาจอ่านต่อไปได้อีก
ภายในเรือนมีเตียงเพียงหลังเดียว ย่อมต้องนอนด้วยกัน
เซี่ยยวี่หลัวก็ไม่ได้ทำตัวเขินอายเกินเหตุจนให้เขาปูนอนบนพื้นหรืออะไร พวกเขาเป็นสามีภรรยา นอนด้วยกันก็ถือว่าปกติยิ่งนัก
ประตูถูกลงกลอนแล้ว ไฟตะเกียงน้ำมันวางไว้ข้างเตียง ทั้งสองคนที่นั่งตรงขอบเตียง ยังคงนั่งอยู่
เซียวยวี่น้ำเสียงแหบพร่า “นี่ก็ดึกแล้ว รีบนอนเถิด! ”
เซี่ยยวี่หลัวขานตอบทีหนึ่ง ถอดรองเท้า คลานขึ้นเตียงไป
เพราะตื่นเต้นเกินไป รองเท้าจึงถูกนางเตะกระเด็นไปข้างหนึ่ง กระเด็นออกไปไกล ก่อนร่วงลงพื้นดังแผละ
เซียวยวี่ลุกขึ้น เดินไปจัดวางรองเท้าทั้งสองข้างของเซี่ยยวี่หลัวเรียงกัน
จากนั้น เขาก็ถอดรองเท้าออก
ก่อนจะเอนตัวนอน เซียวยวี่เป่าไฟตะเกียงน้ำมันจนดับไป
ทั้งห้องจมดิ่งสู่ความมืดมิด
เซี่ยยวี่หลัวจับผ้านวมไว้ ตื่นเต้นจนหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ
นางเองก็เป็นคนปล่อยวางได้ หากเซียวยวี่มีความคิดเช่นนั้นกับนางจริง นางก็ยอมรับด้วยความยินดี
เซียวยวี่ขึ้นไปบนเตียง พอเขาเข้าใกล้ บรรยากาศรอบข้างพลันร้อนรุ่มขึ้นมา
เมื่อมือข้างหนึ่งยื่นมา เซี่ยยวี่หลัวจึงยกศีรษะขึ้นเล็กน้อย แขนนั่นลอดผ่านคอนางไป เซี่ยยวี่หลัวจึงได้นอนอยู่บนแขนของเขา
มืออีกข้างหนึ่งของเซียวยวี่ กอดเซี่ยยวี่หลัวพลางดึงนางเข้ามาชิดตัวเอง
ใบหน้าของเซี่ยยวี่หลัวหันเข้าหาแผ่นอกของเซียวยวี่
ระยะห่างของทั้งสองคน อยู่ใกล้จนห่างกันเพียงครึ่งนิ้วเท่านั้น
เซี่ยยวี่หลัวสัมผัสได้ว่าด้านล่างมีอะไรบางอย่างค้ำนางไว้ ใบหน้าพลันขึ้นสีแดงทันที
เซียวยวี่เองก็สัมผัสได้เช่นกัน จึงรีบขยับขาถอยหลังเล็กน้อย ยังดีที่เป็นช่วงกลางคืน เซียวยวี่โอบกอดเซี่ยยวี่หลัวไว้ ทำให้นางไม่เห็นสีหน้าประหม่าของเขา
เซียวยวี่ไม่เคลื่อนไหว เซี่ยยวี่หลัวก็ไม่เคลื่อนไหวเช่นกัน ปล่อยให้เซียวยวี่โอบกอดนางไว้ในอ้อมอกอย่างว่าง่าย
ครานี้ คนที่บอกว่าต้องการจุมพิตนางทุกเมื่อไม่ได้จุมพิตนาง เพียงกอดนางไว้อย่างเงียบสงบ ไม่มีความเคลื่อนไหวอีกแม้แต่น้อย
เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ทั้งยังอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ เซี่ยยวี่หลัวใจเต้นแรงราวกับกวางน้อยวิ่งพล่านอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นเซียวยวี่ไม่ได้ทำอะไร จิตใจจึงสงบลง จากนั้นจึงค่อยๆ นอนหลับไป ส่งเสียงละเมอเบาหวิวออกมาเป็นระยะ
เซียวยวี่แทบคลั่งแล้ว!
ความรู้สึกตรงช่วงล่างของร่างกายช่างไม่ดีเอาเสียเลย แต่เขาไม่อยากทำร้ายเซี่ยยวี่หลัว ได้แต่ฝืนทนไว้ ด้านบนได้โอบกอดนารีงาม แต่ด้านล่างกลับทรมานประหนึ่งตกขุมนรก!