เซียวยวี่ดันเงินกลับไป ก่อนกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “พี่เซียวยิง ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะไม่เล่าเรียนอีก ท่านอย่าเกลี้ยกล่อมข้าอีกเลย”
เซียวยิงโมโหจนแทบกระโดดขึ้น “เซียวยวี่ ข้าพูดกับเจ้ามากถึงเพียงนี้ เจ้าจะยินยอมอาศัยอยู่ในที่ชนบทเช่นนี้ไปชั่วชีวิตหรือ เจ้ามีปณิธานอันยิ่งใหญ่นะ! เจ้าไม่เล่าเรียน แล้วจะทำให้อุดมการณ์ของเจ้าเป็นจริงได้อย่างไร จะทำตามความใฝ่ฝันของเจ้าได้อย่างไร”
เซียวยวี่ตัดใจแล้ว “บางทีข้า… อาจไม่เหมาะกับการเล่าเรียนจริงๆ ก็เป็นได้ สอบซิ่วไฉสี่ปียังสอบไม่ผ่าน นับประสาอะไรกับการสอบจวี่เหรินหรือเข้าตำหนักจินหลวนกัน? ”
สอบซิ่วไฉไม่ผ่าน ก็ไม่อาจสอบจวี่เหริน ต่อให้ได้สอบจวี่เหริน ก็ไม่แน่ว่าจะได้เป็นขุนนาง ได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้ในตำหนักจินหลวน แต่ละด่านที่ต้องผ่าน ล้วนยากเย็นแสนเข็ญ สัตย์สาบานที่เคยกล่าวไว้ในช่วงวัยเยาว์ เป็นแค่ความทะเยอทะยานในวัยหนุ่ม เป็นเพียงวาจาที่กล่าวอย่างไม่รู้จักเกรงกลัวเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์
สอบตกมาสี่ปี ทำให้เซียวยวี่เข้าใจอย่างแจ่มชัด ว่าบางทีเขาอาจไม่เหมาะกับการเล่าเรียนก็เป็นได้
เซียวยิงถูกพูดดักจนต้องยอมถอย ไม่มีอะไรจะกล่าวอีก
เขารู้จักเซียวยวี่ดี ในเมื่อตัดสินใจแล้ว ต่อให้ใช้วัวสิบตัวก็ไม่อาจชักกลับมาได้อีก เซียวยิงได้แต่ปล่อยไปด้วยความจนใจ “เช่นนั้นก็ได้ ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้ว เช่นนั้นข้าก็จะไม่ฝืนใจเจ้า ทว่า หวังว่าในอนาคตเจ้าจะไม่นึกเสียใจภายหลัง”
เซียวยวี่แววตาแน่วแน่ เรื่องที่เขาตัดสินใจแล้ว ก็ไม่เคยนึกเสียใจมาก่อน
“ข้าไม่นึกเสียใจภายหลัง! ”
เซียวยิงถอนหายใจทีหนึ่ง อย่างไรเสียก็เกลี้ยกล่อมแล้ว เมื่อเขาไม่ฟัง ก็ไม่มีหนทางอื่น
เรื่องที่หัวหน้าหมู่บ้านไหว้วานตัวเอง ก็ได้แต่ทำให้หัวหน้าหมู่บ้านผิดหวังแล้ว
“เช่นนั้นก็ได้ อย่างไรก็ฟังเจ้าทั้งหมด! ” เซียวยิงหยุดเรื่องนี้ไว้ไม่กล่าวถึงอีก ก่อนกล่าวถึงเป้าหมายที่สองที่เขากลับมาคราวนี้ด้วยสีหน้าตื่นเต้น “อายวี่ เจ้ารีบบอกข้ามา สุดท้ายศิษย์อาจารย์ถังเซิงทั้งสี่คนได้พระคัมภีร์หรือไม่? เจ้ารีบเล่าให้ข้าฟัง…”
เซียวยวี่ “…”
เหตุใดพี่เซียวยิงถึงคิดว่าเขาจะรู้?
เซี่ยยวี่หลัวกำลังวาดแบบลวดลายอยู่ภายในห้อง ตอนเซียวยวี่เข้ามา นางยังเพ่งสมาธิอยู่ ไม่เห็นเลยสักนิดว่าเซียวยวี่ยืนอยู่ข้างกายนางแล้ว
เซียวยวี่มองอยู่นาน รู้สึกว่าสัตว์ที่เซี่ยยวี่หลัววาดนั้นดูมีชีวิตชีวา ราวกับเป็นของจริงอย่างไรอย่างนั้น บางตัวดูน่ารักไร้เดียงสา บางตัวดูฉลาดปราดเปรื่อง บางตัวดูอ่อนโยนและใจดี วาดสัตว์เสียดูเหมือนมนุษย์ก็มิปาน มีสีหน้าท่าทางต่างๆ มากมาย
เซี่ยยวี่หลัววาดเสร็จหนึ่งแผ่น หยิบขึ้นมาเป่าครู่หนึ่ง ก่อนวางไว้ข้างๆ
เซียวยวี่ “เจ้าวาดอะไรหรือ? ”
เสียงที่ดังขึ้นข้างกายเซี่ยยวี่หลัวกะทันหันทำให้นางตกใจสะดุ้ง “เจ้ามาตั้งแต่เมื่อไร? ”
“ตอนเจ้าวาดภาพนี้ ข้าก็มาแล้ว” เซียวยวี่ยิ้มพร้อมกล่าว ก่อนนั่งลงข้างกายเซี่ยยวี่หลัว
“พี่เซียวยิงเล่า? พวกเราไปทำอาหารกันเถอะ? ” เซี่ยยวี่หลัวปล่อยให้เซียวยวี่ดูแบบลวดลายที่นางวาดอย่างเปิดเผย
“ไม่ต้องทำอาหารแล้ว เขาบอกว่าที่บ้านมีธุระ จึงกลับไปแล้ว”
เซียวยิงเกลี้ยกล่อมเขานานถึงเพียงนี้ ยังไม่อาจเกลี้ยกล่อมได้สำเร็จ เกรงว่าคงไม่มีแก่ใจจะกินข้าวอีก
เซี่ยยวี่หลัวขานตอบทีหนึ่ง ก่อนนั่งอย่างสงบ
เซียวยวี่พลิกเปิดตั้งแต่แผ่นแรกถึงแผ่นสุดท้าย ภายในใจรู้สึกตื่นเต้นยิ่งนัก
“ของเหล่านี้ คิดจะใช้ทำอะไรหรือ? ”
“ขายอย่างไรเล่า ขายให้ร้านปัก ช่างปักก็จะปักลวดลายเหล่านี้บนผ้าเช็ดหน้าและเสื้อผ้า ดูดีมากทีเดียว เด็กเล็กล้วนชื่นชอบ” เซี่ยยวี่หลัวยิ้มพร้อมกล่าว
เซียวยวี่ไม่ค่อยสนใจสิ่งเหล่านี้ เพียงพยักหน้าด้วยท่าทางเรียบสงบ ก่อนวางแบบลวดลายไว้ข้างๆ อย่างเป็นระเบียบ
หลังจากวางเสร็จ เซียวยวี่เอื้อมมือไปโอบไหล่เซี่ยยวี่หลัว กล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำอ่อนโยนดุจสายน้ำ “ยังรู้สึกไม่สบายตัวหรือไม่? ”
เซี่ยยวี่หลัวส่ายหน้า “ยังดี”
“ยังดีหมายความว่าอย่างไร? ” เซียวยวี่ไม่เข้าใจ เขาไม่มีความรู้สึกทำนองนี้ ทว่า เห็นท่าทางของอาหลัวที่เจ็บปวดเจียนตาย เขาก็รู้สึกราวกับตัวเองเจ็บปวดด้วยเช่นกัน
“ดีกว่าเมื่อวานบ้างแล้ว”
พอได้ยินว่าเพียงแค่ดีกว่าเมื่อวานบ้างแล้ว เซียวยวี่ก็รู้สึกเป็นห่วงขึ้นมา “เช่นนั้นหากยังไม่สบายตัว เหตุใดถึงไม่ไปนอนบนเตียง? ”
กล่าวจบ ไม่รอให้เซี่ยยวี่หลัวตอบ อุ้มนางขึ้นโดยช้อนใต้วงแขนและใต้เข่า เซี่ยยวี่หลัวตกใจจนโอบคอเขาไว้
ไม่รู้ว่าอุ้มท่านี้เป็นครั้งที่เท่าไรแล้ว
ทำให้นางรู้สึกตกใจทุกครั้ง แต่ก็รู้สึกชื่นชอบเสียยิ่งกว่าอะไร
วางนางลงบนเตียง เซี่ยยวี่หลัวเอนตัวลงนอน เซียวยวี่ยังไม่ไป เอนตัวลงนอนบนเตียง ใช้มือซ้ายค้ำยันตัวเองไว้ จ้องมองเซี่ยยวี่หลัวด้วยแววตาเร่าร้อน
เซี่ยยวี่หลัวไม่อาจทนสายตาเร่าร้อนเช่นนั้นได้ รู้สึกคันคอขึ้นมา
“เซียวยวี่…” เซี่ยยวี่หลัวรู้สึกว่าเสียงของตัวเองเริ่มแหบพร่า
นางไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไร!
“ข้าจะลูบท้องให้เจ้าต่อ ได้หรือไม่? ” เสียงของเซียวยวี่แหบแห้งเล็กน้อย ราวกับใช้ความพยายามอย่างหนักในการตัดสินใจ
มีเพียงสวรรค์ที่รู้ว่ายามเขากล่าวประโยคนี้ออกมา เขาใช้พลังมากเพียงใด
เขาจ้องมองเซี่ยยวี่หลัว แววตาเต็มไปด้วยประกายตั้งตาคอย แต่ก็แฝงเร้นด้วยความกลัว
กลัวว่าเซี่ยยวี่หลัวจะปฏิเสธ
อย่างไรเสียก่อนหน้านี้ เขาทำโดยอาศัยจังหวะที่นางไม่อาจขัดขืนได้
เซี่ยยวี่หลัวกัดริมฝีปาก ดวงตาคู่โตดูสดใสจ้องมองเซียวยวี่
เซียวยวี่ก็จ้องมองนาง เม้มริมฝีปากบางไว้แน่น หากไม่ใช่เพราะคิ้วเข้มของเขาขมวดมุ่น เหมือนกำลังเฝ้ารอคอยคำตอบของนาง แต่ก็เหมือนกำลังกลัวคำตอบของนาง เซี่ยยวี่หลัวคงเข้าใจผิดคิดว่าเขาเพียงแค่นึกสนุก จึงหยอกเล่นเท่านั้น
เสียงของเซี่ยยวี่หลัวเบาหวิวราวกับเสียงยุง ก้มหน้าขานตอบเสียงเบา “อืม”
ความรู้สึกยินดีประดังเข้ากลางใจ ดวงตาของเซียวยวี่สว่างดุจดวงดารา
เซียวยวี่ไม่ได้เคลื่อนไหว มือขวาของเขา เคลื่อนตามเสื้อของเซี่ยยวี่หลัว วางไว้บนหนังท้องของเซี่ยยวี่หลัวที่เย็นเล็กน้อย
หนังท้องของเซี่ยยวี่หลัวเย็นเล็กน้อย ฝ่ามือของเซียวยวี่อุ่นมาก
อุ่นจนเซี่ยยวี่หลัวสติเลื่อนลอย แววตาที่มองเซียวยวี่ดูอ่อนโยนยิ่งขึ้น
เซียวยวี่เองก็ตกอยู่ในภวังค์มึนงง มองดูดวงตาที่อ่อนโยนดุจสายน้ำ รวมทั้งริมฝีปากสีแดงชุ่มฉ่ำดุจโลหิต สิ่งเหล่านี้เหมือนกำลังยั่วยวนเขา
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไร เซียวยวี่ที่เชื่อมั่นว่าตัวเองมีทักษะการควบคุมตัวเองสูงไม่กล้าคุยโตเรื่องนี้อีก ทุกครั้งที่เห็นเซี่ยยวี่หลัว เขาก็อยากแปลงกายเป็นหมาป่า ฉีกนางกินเข้าไปเสีย
ลูกกระเดือกเคลื่อนขึ้นลง เซียวยวี่ก้มหน้า ค่อยๆ เข้าไปชิดเซี่ยยวี่หลัวมากขึ้น
แววตาเซี่ยยวี่หลัวฉายประกายตื่นตระหนกแวบหนึ่ง เห็นใบหน้าหล่อเหลาของเซียวยวี่ขยับเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ หลังจากรู้สึกตื่นตระหนกวางตัวไม่ถูก เซี่ยยวี่หลัวก็เกิดความรู้สึกตั้งตารอคอยขึ้นมา
นี่เป็นจุมพิตแรกของนาง
รวมกันทั้งสองภพ ล้วนเป็นครั้งแรก
ทันใดนั้น ริมฝีปากอ่อนนุ่มที่อบอุ่นประกบบนริมฝีปากของนาง ก่อนหายไปอย่างรวดเร็ว
ร่างกายเซี่ยยวี่หลัวแข็งทื่อ มือจับผ้านวมใต้ตัวไว้แน่น ทั้งตัวรู้สึกราวกับต้องกระแสไฟฟ้า รู้สึกชาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ห้วงความคิดพลันหยุดนิ่ง
เซียวยวี่ก็ไม่ดีกว่านางมากนัก
เพราะความตื่นเต้น ตรงหน้าผากมีเหงื่อซึมชื้นแล้ว
ริมฝีปากบางนั่นราวกับปุยฝ้ายก็มิปาน ร่างกายเซียวยวี่แข็งทื่อจนไม่อาจเคลื่อนไหวได้
ถึงแม้จุมพิตนี้จะเหมือนแมลงปอสะกิดน้ำ แต่ความรู้สึกตื่นเต้นและความสุขกลับประดังเข้ามาราวกับน้ำไหลทะลัก
รู้สึกอ่อนระทวยจนเขาตัวสั่น
เซียวยวี่นึกเสียใจเสียแล้ว เขาไม่ควรปล่อยให้จบราวกับแมลงปอสะกิดน้ำ ในริมฝีปากสีแดงชุ่มฉ่ำ ยังมีสิ่งอื่นที่กำลังยั่วยวนเขาอยู่
“อาหลัว…” เซียวยวี่ไม่กล้ากระทำการบุ่มบ่ามอีก มองดูเซี่ยยวี่หลัว น้ำเสียงแหบแห้งจนเสียงแทบหาย
เซี่ยยวี่หลัวหน้าแดงถึงใบหู ลืมตาขึ้น
เมื่อเห็นท่าทางของเซียวยวี่ที่ไม่ได้ดีกว่าตัวเองสักเท่าไร เซี่ยยวี่หลัวก็หัวเราะพรืดออกมา
เซียวยวี่ก็หัวเราะตาม
ทันใดนั้น ความรู้สึกกลัวและตื่นเต้นเหล่านั้น ล้วนถูกลืมไปจนสิ้น ก้มหน้าลงจุมพิตโดยไม่สนใจสิ่งอื่นใดอีก
หากบอกว่าเมื่อครู่เหมือนแมลงปอสะกิดน้ำ คราวนี้เรียกได้ว่าคลอเคลียเกี่ยวกระหวัดกันไปมา