เซี่ยยวี่หลัวไม่อาจทนเห็นเซียวยวี่เศร้าโศกเสียใจ จึงโอบกอดเซียวยวี่ไว้แน่นเช่นกัน ก่อนกล่าว “เซียวยวี่ พวกเรากลับบ้านกันเถอะ จื่อเซวียนและจื่อเมิ่งต้องรอจนร้อนใจแล้วเป็นแน่”
เซียวยวี่ไม่อยากผละออกจากเซี่ยยวี่หลัว มองดูน้ำหญ้าสีเขียวที่ติดอยู่บนใบหน้าและบนเสื้อนางโดยละเอียด แค่ดูก็รู้ว่านางลงมาอย่างไร
เขาใช้นิ้วเช็ดคราบน้ำหญ้าสีเขียวบนใบหน้านางออกด้วยความปวดใจ ความรักลึกซึ้งที่ฉายชัดในแววตาทำให้เซี่ยยวี่หลัวรู้สึกเคลิบเคลิ้ม
“เซียวยวี่ ข้าปวดขา เดินไม่ไหวแล้ว เจ้าแบกข้า! ”
“ได้ ข้าแบกเจ้า” เซียวยวี่ย่อตัวลง แบกเซี่ยยวี่หลัวเดินไปข้างหน้า
บนเส้นผมของเซียวยวี่ก็เต็มไปด้วยหญ้าสีเขียว เส้นผมเปียกโชก ผมเผ้ายุ่งเหยิงดูรุงรัง เซี่ยยวี่หลัวเกาะอยู่บนแผ่นหลังของเซียวยวี่ เอื้อมมือไปหยิบหญ้าบนศีรษะของเขาออก จากนั้นจึงใช้มือทั้งคู่โอบคอเซียวยวี่พร้อมถามเขา “เจ้าว่า ตอนนี้พวกเราเหมือนขอทานหรือไม่? ”
ทั่วทั้งตัวไม่มีส่วนใดที่สมบูรณ์เลย ถ้าไม่ใช่คราบดินโคลนก็เป็นคราบน้ำ ไม่ใช่คราบน้ำก็เป็นเศษหญ้า ผมเผ้ารุงรังใบหน้ามอมแมม ผมยุ่งบดบังใบหน้า ไม่ต่างอะไรกับขอทานจริงๆ
น้ำเสียงของเซี่ยยวี่หลัวใสกังวาน กลับฟังดูนุ่มนวล ประหนึ่งสายลมท่ามกลางภูเขา พัดเข้าโสตประสาท ละลายอยู่กลางใจ
เซียวยวี่ยิ้ม “เหมือน เช่นนั้นก็เป็นท่านตาขอทานและท่านยายขอทาน”
เซี่ยยวี่หลัวเขินอายจนมุดอยู่ตรงซอกคอเซียวยวี่ ลมหายใจอุ่นร้อนตกกระทบบนตัวเขา กระตุ้นจนเซียวยวี่ร่างกายแข็งทื่อ
“อาหลัว…” เซียวยวี่เอ่ยเรียกด้วยความอ่อนใจ แววตาเต็มไปด้วยประกายรักใคร่เอ็นดู
เซี่ยยวี่หลัวยิ้ม โอบคอของเขาไว้พร้อมหยอกเย้าไม่หยุด “ท่านตาขอทาน ท่านตาขอทาน…”
ตั้งแต่หาเซี่ยยวี่หลัวพบ เซียวยวี่ก็ยิ้มไม่หุบ เซี่ยยวี่หลัวพูดคุยกับเขาไม่หยุด กล่าวถึงกระต่ายที่น่าสงสารตัวนั้นที่มีขนสีดำทั้งตัว “คาดว่าจะหนักสี่จินกว่าเลยทีเดียว ตอนนั้นข้าคิดว่า เนื้อกระต่ายผัดพริก เจ้าต้องชอบกินแน่ เพียงแต่น่าเสียดายนัก มันหนีไปเสียแล้ว”
เซี่ยยวี่หลัวเบ้ปากแดงเล็กน้อย สีหน้าเสียดายเต็มประดา
เซียวยวี่ชอบกินอาหารรสเผ็ด หลังจากกินเนื้อหมูผัดพริกจนเบื่อ นางก็พยายามคิดหาวิธีทำอาหารรสเผ็ดชนิดอื่นให้เขา เพียงแต่น่าเสียดาย ที่วัตถุดิบนั้นจับได้ยาก
“ไม่เป็นอะไร ต่อไปย่อมต้องมีอีก แต่ต่อไปเจ้าห้ามขึ้นภูเขาตามลำพังอีก ต้องมีข้าไปด้วย เข้าใจหรือไม่? ” เซียวยวี่กล่าวเชิงออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
มีเพียงสวรรค์ที่รู้ว่ายามเขาเห็นน้ำหญ้าสีเขียวเปรอะเปื้อนเต็มตัวเซี่ยยวี่หลัว ในห้วงภวังค์ของเขามีเพียงความคิดเดียว
อาหลัวต้องกลิ้งตกลงไปเหมือนเขาแน่นอน แต่นางกลับกลัวว่าเขาจะเป็นห่วง จึงไม่เอ่ยถึงแม้แต่คำเดียว
เขากลัวจนหัวใจแทบกระโดดออกจากช่องอก ยังดีที่ในภายหลังพบว่าบนกายเซี่ยยวี่หลัวมีเพียงแผลถลอก ไม่มีบาดแผลอื่นอีก
“อืม ได้ ต่อไปเจ้าขึ้นภูเขากับข้า” เซี่ยยวี่หลัวหัวเราะคิกคัก เสียงหัวเราะไพเราะดุจเสียงกระดิ่งเงินดังไปตลอดทาง
จากช่วงแรกที่เซียวยวี่รู้สึกยินดี พอถึงช่วงหลัง เขาก็เงียบขรึมลง เขาอยากจะกล่าวบางอย่างอยู่หลายหนแต่สุดท้ายก็ไม่ได้กล่าวออกมา เซี่ยยวี่หลัวเห็นแล้วรู้สึกเจ็บปวดใจนัก
สิ่งที่เขาอยากกล่าวกับนาง นางน่าจะเดาออกแล้ว
“อาหลัว ข้ามีเรื่องหนึ่งจะคุยกับเจ้า! ” เมื่อเห็นว่าใกล้ถึงหมู่บ้าน เซียวยวี่รู้สึกว่า ต้องบอกเรื่องนี้กับเซี่ยยวี่หลัวให้ชัดเจน
“อืม เจ้าพูดสิ! ” เซี่ยยวี่หลัวไม่หัวเราะแล้ว รอคอยให้เขากล่าวอย่างตั้งใจ
“ประกาศผลสอบครั้งนี้ ข้า… สอบไม่ผ่าน! ” เสียงของเซียวยวี่ค่อยๆ ลดต่ำลง กลางฝ่ามือและบนหน้าผากมีเหงื่อซึมชื้น
ร่างกายแข็งทื่อ แม้แต่สีหน้าก็ดูแย่ลงเรื่อยๆ
เซี่ยยวี่หลัวไม่เห็นใบหน้าของเซียวยวี่อย่างชัดเจน แต่ดูจากใบหน้าด้านข้างของเขา ก็ดูออกว่าเซียวยวี่ในยามนี้วิตกเป็นอย่างมาก
เซียวยวี่ร่างกายแข็งทื่อ ก้มหน้ามองดูปลายเท้าตัวเองด้วยความรู้สึกท้อแท้ เขาเดินไปข้างหน้าทีละก้าว ราวกับเหยียบไปบนใบมีดก็มิปาน
ยิ่งเซี่ยยวี่หลัวเงียบขรึม ใบมีดก็ยิ่งคมกริบ ทิ่มแทงผิวหนังของเซียวยวี่ ทิ่มแทงเข้าไปในเนื้อของเขา
ทั้งสองคนต่างเงียบกริบ แม้แต่หายใจเข้าสักหนึ่งครั้ง ก็ประหนึ่งจะเต็มไปด้วยเข็มอันแหลมคม
เซียวยวี่กำลังจะขาดอากาศหายใจในเสี้ยววินาทีถัดไป
ทันใดนั้น ริมฝีปากอ่อนนุ่มประทับลงบนแก้มเซียวยวี่
เซี่ยยวี่หลัวรู้ว่ายามนี้นางกล่าวอะไรก็ไม่มีประโยชน์ ต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อให้เขาลืมความเจ็บปวดที่สอบไม่ผ่านไปชั่วคราว
นางไม่คิดด้วยซ้ำ โอบคอเซียวยวี่ไว้ จากนั้นจึงขยับไปข้างหน้า ประทับริมฝีปากของตัวเองลงบนแก้มเซียวยวี่
ริมฝีปากอ่อนนุ่ม และสัมผัสเปียกชุ่ม ความรู้สึกนั้น…
เซียวยวี่ “…”
ฝีเท้าของเขาพลันหยุดชะงัก ไม่กล้าเชื่อสิ่งที่ตัวเองสัมผัสได้เมื่อครู่นี้
เซียวยวี่ไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังฝันอยู่หรือไม่
แต่สัมผัสอ่อนนุ่มและเปียกชุ่มนั่น ช่างสมจริงนัก
หลังจากเซี่ยยวี่หลัวจุมพิตเซียวยวี่ แขนทั้งคู่ก็โอบคอเซียวยวี่ไว้แน่น ถูไปมาตรงคอของเขาอย่างออดอ้อนอยู่หลายที จากนั้นจึงกล่าว “ไม่เป็นอะไรนี่นา! สอบไม่ผ่านปีหน้าเราค่อยลองใหม่ ข้าเชื่อว่าเจ้าต้องสอบผ่านแน่นอน! ”
น้ำเสียงนุ่มละมุนเปรียบเสมือนเสียงสวรรค์ ดังผ่านโสตประสาทเข้าไปในใจเซียวยวี่
นางบอกว่า ไม่เป็นอะไร?
เซียวยวี่ขยับริมฝีปาก คิดอยากกล่าวอะไร กลับพบว่าตัวเองกล่าวไม่ออกแม้แต่คำเดียว
เซี่ยยวี่หลัวโอบคอของเขาไว้ ถูไปมาอย่างออดอ้อนอีกครั้ง ไม่ได้เก็บเรื่องที่เซียวยวี่สอบไม่ผ่านมาใส่ใจเลยสักนิด
ในที่สุดเซียวยวี่ก็เปล่งเสียงได้ “เจ้า… เจ้าไม่โมโหหรือ? ”
เขาทำให้นางผิดหวัง
โมโห?
เซี่ยยวี่หลัวแย้มรอยยิ้ม
หากเป็นเซี่ยยวี่หลัวในอดีต เกรงว่าคงก่นด่าเซียวยวี่อย่างสาดเสียเทเสียจนไม่มีชิ้นดีกระมัง แต่นางย่อมไม่ทำเช่นนั้น
อย่าว่าแต่นางรู้ว่าในภายหลังเซียวยวี่จะมีตำแหน่งสูงเลย ต่อให้ไม่รู้ ต่อให้ในอนาคตเซียวยวี่เป็นเพียงคนธรรมดาทั่วไป นางก็รู้สึกว่าไม่สำคัญ
เซียวยวี่เป็นคนที่มีความพยายาม ใฝ่หาความก้าวหน้า และมีคุณธรรมจิตใจดี บุรุษเช่นนี้ นางเชื่อว่าต่อให้เซียวยวี่ไม่ประสบความสำเร็จในด้านการเรียน สักวันหนึ่งเขาก็ต้องฉายแสงเจิดจรัสในด้านอื่นแน่นอน
“เรื่องนี้เจ้าอย่าได้เก็บมาใส่ใจ ปีหน้าพวกเราเอาใหม่ ข้าเชื่อว่าเจ้าทำได้แน่นอน! ” เซี่ยยวี่หลัวให้กำลังใจเขา
หยุดชะงักชั่วครู่ เซี่ยยวี่หลัวกล่าวต่อ “เจ้าวางใจได้ ข้าจะอยู่กับเจ้าตลอด”
ข้าจะอยู่กับเจ้าตลอด!
หัวใจที่ใกล้ตายของเซียวยวี่ ในที่สุดก็มีชีวิตขึ้นอีกครา ราวกับสายลมฤดูใบไม้ผลิพัดผ่าน ขับไล่คืนวันอันหนาวเหน็บในฤดูหนาวไป สรรพสิ่งทั่วหล้าพลันตื่นขึ้น
“ได้! ” เซียวยวี่พยักหน้าอย่างหนักแน่น รู้สึกเบิกบานใจเสียยิ่งกว่าอะไร
เซี่ยยวี่หลัวเห็นว่าในที่สุดสีหน้าของเขาก็ดูดีขึ้นมาบ้าง ในที่สุดก็รู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก
“เซียวยวี่ ขาของข้าดีขึ้นบ้างแล้ว เจ้าวางข้าลงให้เดินเองเถอะ! ” เซี่ยยวี่หลัวเห็นเซียวยวี่ร้อนจนใบหน้าแดงก่ำ รู้สึกเห็นใจยิ่งนัก
เมื่อครู่นางต้องการเกาะติดบนตัวเซียวยวี่ เพราะเกรงว่าเขาจะคิดฟุ้งซ่าน จึงใช้การกระทำของตัวเองมาปลอบโยนเขา บัดนี้เขาไม่รู้สึกเศร้าเสียใจแล้ว เซี่ยยวี่หลัวจึงคิดจะลงไป เซียวยวี่ตามหานางมานานถึงเพียงนี้ เขาต้องเหนื่อยแล้วเป็นแน่
เซียวยวี่มีหรือจะยอม แบกภรรยาของตัวเอง ต่อให้เหนื่อยจนตายก็ถือว่าคุ้ม
ยิ่งไปกว่านั้น อาหลัวยังเห็นใจเขาถึงเพียงนั้นด้วย
“ข้าไม่เหนื่อย” เซียวยวี่กล่าว เขาหยุดครู่หนึ่ง ดันเซี่ยยวี่หลัวขึ้นบนอีกเล็กน้อย จากนั้นจึงหันไปกล่าวกับคนที่อยู่บนหลัง “อาหลัว เรากลับบ้านกัน”
แววตาอ่อนโยนดุจสายน้ำ แฝงเร้นด้วยความรักลึกซึ้ง
“อืม กลับบ้านกัน!”