ตอนที่ 676 ใกล้เพียงเอื้อมแต่ราวกับไกลสุดขอบฟ้า
……….
ตอนที่ 676 ใกล้เพียงเอื้อมแต่ราวกับไกลสุดขอบฟ้า
ทันทีที่เห็นเซี่ยไห่โกรธ จางเหมยก็หยุดร้องไห้ทันที หล่อนเช็ดน้ำตาและรีบปฏิเสธว่า “ฉันไม่ได้ร้องไห้ ฉันไม่ได้ร้อง ฉันแค่ดีใจที่ได้เจอทุกคน ฉันดีใจมาก”
เมื่อได้ยินคำพูดของจางเหมย ทุกคนในห้องต่างก็รู้สึกซับซ้อน ใช่แล้ว พวกเขาถือว่าเป็นคนที่เคยรู้จักกัน
แต่การกลับมาพบกันด้วยเหตุการณ์เช่นนี้มันช่าง…
ถังจวิ้นเฟิงมองจางเหมย รู้สึกหนักอึ้งอยู่ในใจ
เมื่อหลายปีก่อนที่พ่อของหู่จือเสียชีวิต ภาพภรรยาสาวคนนั้นที่อุ้มทารกไว้ในอ้อมแขนและร้องไห้ปานขาดใจได้ปรากฏขึ้นในใจเขาโดยไม่รู้ตัว
หลายปีมานี้ พวกเขามีความรู้สึกเกลียดชังผู้หญิงที่ชื่อจางเหมยคนนี้มาโดยตลอด
แต่เมื่อมองผู้หญิงที่ดูสิ้นไร้ไม้ตอกตรงหน้านี้ ความรู้สึกเกลียดชังในใจของพวกเขาก็เหมือนจะมลายหายไปในทันที
การที่หล่อนทอดทิ้งลูกเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องก็จริง แต่ใครจะอยากเป็นแม่ม่ายสามีตายตั้งแต่ตอนอายุยี่สิบต้นๆ ไปตลอดชีวิตกันล่ะ?
ถังจวิ้นเฟิงดึงกระดาษชำระมาจากบนโต๊ะพลางยื่นให้จางเหมย
จางเหมยรับมาด้วยมือสั่นเทาโดยไม่กล้ามองหน้าเขา “ขอบคุณ”
ชายหนุ่มหลายคนมองมาด้วยสายตาไม่เป็นมิตร หลินเซี่ยจึงต้องคุยเล่นกับจางเหมยเพื่อไม่ให้เงียบ “พี่จาง คุณยังไม่ได้ไปทำงานเหรอคะ?”
จางเหมยตอบกลับ “ทำงานแล้วล่ะ ฉันเริ่มงานตั้งแต่วันที่สิบแล้ว แต่ฉันลางานมาวันนี้”
“อย่างนี้นี่เอง”
หลินเซี่ยถามต่อ “คุณกินข้าวมาหรือยังคะ?”
“ฉันกินมาแล้ว”
บรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยความอึดอัด หู่จือสัมผัสได้ว่าผู้ใหญ่แต่ละคนมีอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก เขาทำตัวเก้ๆ กังๆ ข้างๆ หลินเซี่ย มองคนนู้นทีคนนี้ที
เขาฉลาดพอที่จะไม่เอ่ยปากพูดอะไร
เซี่ยไห่ส่งสัญญาณให้เหล่าพี่น้องเก็บสีหน้าบึ้งตึงเอาไว้ อย่าให้หู่จือสังเกตเห็น
สีหน้าของฟางจิ้นเปาดูย่ำแย่ที่สุด เขาจึงเดินไปเข้าห้องน้ำโดยอ้างว่าปวดท้อง
หลินเซี่ยสังเกตเห็นว่าริมฝีปากของจางเหมยดูแห้งแตก เธอจึงหันไปบอกหู่จือ
“หู่จือ เอาลูกอมมาให้ป้าหน่อยสิจ๊ะ”
“ได้ครับ”
หู่จือเชื่อฟังเป็นอย่างมาก แกะลูกอมแล้วเดินไปยื่นให้จางเหมย “นี่ลูกอมครับป้า”
“ขอบใจมาก ขอบใจมาก”
จางเหมยมองเด็กน้อยเยาว์วัยตรงหน้าขณะกำลังอมลูกอมรสหวาน ไม่วายน้ำตาก็ไหลพร่าล้นออกจากเบ้าตาอีกครั้ง
ด้วยเกรงว่าหล่อนจะร้องไห้อีก ถังจวิ้นเฟิงจึงถามไปว่า “คุณทำงานที่ไหน?”
จางเหมยตอบว่า “อยู่ที่ร้านอาหารริมถนนหย่งหนิง ตำแหน่งพนักงานล้างจาน”
“โอ้”
หลังรู้ว่าหล่อนทำงานที่ร้านอาหาร ถังจวิ้นเฟิงก็เข้าใจ หน้าหนาวแบบนี้แต่ยังต้องล้างจานในห้องครัว มือจะไม่เป็นแผลจากความเย็นได้อย่างไร
พวกเขาทั้งหลายมองจางเหมยแล้วก็อดรู้สึกเศร้าใจไม่ได้
ถึงก่อนหน้านี้จะเกลียดผู้หญิงคนนี้แค่ไหน แต่ตอนนี้หัวใจของพวกเขากลับหนักอึ้ง ไม่ได้รู้สึกสะใจเลยที่เห็นหล่อนตกอับ
ถ้าผู้บังคับบัญชาของพวกเขามองเห็นภรรยาที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขต้องใช้ชีวิตอย่างน่าเวทนาเช่นนี้ ดวงวิญญาณของเขาคงเจ็บปวดไม่น้อย
ถังจวิ้นเฟิงมองดูหล่อนด้วยความรู้สึกสับสน
ผู้หญิงคนนี้ทอดทิ้งลูกไปแต่งงานใหม่ แต่ทำไมถึงไม่มีความสุขเลย
จางเหมยพยายามกลั้นอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ นั่งลงข้างๆ หู่จือ คุยเล่นด้วยน้ำเสียงที่แสนจะสนิทสนม ถามไถ่เรื่องราวในโรงเรียนอนุบาล
หู่จือเป็นเด็กช่างพูด เขาเล่าให้จางเหมยฟังอย่างออกรสว่าเขาได้เงินอั่งเปาปีใหม่มาเท่าไร ไปเที่ยวที่ไหนมาบ้างกับพ่อแม่
จางเหมยก็ตั้งใจฟังทุกคำ มองออกจากใบหน้าของเด็กว่าเขาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเพียงใด
ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ชีวิตของเด็กในตอนนี้ คือสิ่งที่หล่อนไม่อาจมอบให้ได้
หู่จือถามหล่อนว่า “คุณป้าฮะ คุณมีลูกไหมครับ?”
หู่จือคิดว่าถ้าคุณป้ามีลูกคงจะพามาเล่นด้วยกันได้ เพราะเขาชอบต้อนรับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันมากๆ
เมื่อได้ยินคำถามของหู่จือ ผู้คนในที่นั้นก็หันไปมองจางเหมยด้วยสีหน้าตึงเครียด
เพราะกลัวว่าหล่อนจะพูดสิ่งที่ไม่ควรพูด
“มี”
หู่จือพูดเสียงใส “แล้วลูกป้าอยู่บ้านหรือเปล่าครับ ทำไมคุณป้าไม่พามาด้วยล่ะครับ ผมชอบเล่นกับเพื่อนๆ รุ่นเดียวกัน”
“เขาไม่อยู่บ้านน่ะ”
“อ๋อ แล้วเขาอยู่ที่ไหนเหรอครับ” หู่จือถามอย่างอยากรู้
คำถามของหู่จือทำให้หล่อนจุกในอก หล่อนเช็ดน้ำตา ริมฝีปากสั่น ไม่รู้จะตอบคำถามของลูกอย่างไร
เขาอยู่ที่ไหนเหรอ
ไกลสุดขอบฟ้า แม้จะอยู่ใกล้แค่เอื้อม
เมื่อเห็นว่าอารมณ์ของจางเหมยเริ่มแปรปรวนอีกครั้ง บทสนทนาระหว่างหล่อนกับหู่จือก็เริ่มไม่น่าไว้ใจ เฉินเจียเหอจึงพูดว่า “พอได้แล้ว มันดึกแล้ว หู่จือ ลูกต้องไปวาดรูปต่อนะ ใกล้เปิดเทอมแล้วรีบทำให้การบ้านเสร็จซะ”
“ครับ” หู่จือยืนขึ้น อำลาจางเหมยอย่างสุภาพ “คุณป้าจาง ผมไปวาดรูปก่อนนะครับ”
เมื่อได้ยินว่าหู่จือจะกลับเข้าบ้าน สีหน้าของจางเหมยก็เต็มไปด้วยความรู้สึกที่เสียดาย
ขณะมองหู่จือ หล่อนก็อยากจะดึงตัวเขามากอดไว้
หู่จือหันกลับมา ใบหน้าเล็กเต็มไปด้วยความคาดหวังขณะมองไปที่ เซี่ยไห่ และเหล่าลุงๆ พลางพูดว่า “ตารอง ลุงถัง ลุงฟาง อย่าเพิ่งกลับนะครับ เดียวผมวาดรูปเสร็จเราออกไปข้างนอกด้วยกันนะครับ ผมได้ยินมาว่าคืนนี้มีพลุไฟด้วย”
เซี่ยไห่รีบตอบ “ได้สิ รีบวาดให้เสร็จนะ ถ้าวาดไม่เสร็จพวกลุงจะไม่พาออกไปไหน และถ้าวาดไม่สวยก็จะให้อดข้าวเย็นด้วย”
หู่จือตอบด้วยความมั่นใจ “ผมวาดสวยอยู่แล้วครับ แม่ยังบอกเลยว่าผมมีพรสวรรค์ในการวาดรูป ผมจะเป็นจิตรกรน้อยให้ได้เลย”
เด็กน้อยพูดจบก็รีบวิ่งกลับเข้าไปในบ้านด้วยความตื่นเต้น
พอเด็กน้อยจากไปแล้ว ห้องก็กลับมาเงียบอีกครั้ง
ถึงตอนนี้จะมีผู้ใหญ่นั่งรวมกันอยู่ถึงเจ็ดคน แต่ในห้องกลับเงียบสงัดราวกับไม่มีใครเลย
เซี่ยไห่รีบพูดขึ้นเพื่อทำลายความเงียบ “จางเหมย เธอก็เห็นแล้วไม่ใช่หรือว่าหู่จือได้รับการเลี้ยงดูมาเป็นอย่างดี และชีวิตก็มีความสุขมาก ในฐานะที่เป็นแม่ ถ้ายังรักเขาอยู่ก็ปล่อยเขาเถอะ คราวหลังพยายามอย่ารบกวนเขาเลยนะ”
“ฉันไม่ได้รบกวนเขา ฉันในฐานะแม่ขอเข้ามาหาลูกเดือนละครั้ง แค่นี้คงไม่มากเกินไปใช่ไหมคะ” จางเหมยเช็ดน้ำตาที่ไหลพรากเพราะความรู้สึกที่แน่นในอก
เซี่ยไห่พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ไม่มากเกินไปหรอก แต่คุณมั่นใจได้รึเปล่าว่าคุณจะไม่หลุดพูดอะไรต่อหน้าลูก ถ้าคุณตื่นเต้นกับการเจอลูกแล้วเผลอปากพล่อยพูดทุกอย่างจนลูกได้ยินล่ะจะเกิดอะไรขึ้น”
จางเหมยรีบพูด “ฉันจะไม่ทำเช่นนั้น ฉันรู้ขีดจำกัดของฉันดี”
ไม่มีใครเชื่อใจคำพูดของหล่อน
เมื่อจางเหมยเห็นหู่จือ หล่อนก็แสดงความรู้สึกที่ตื่นเต้นออกมาอย่างไม่ปิดบัง ไม่มีใครกล้าเชื่อว่าหล่อนจะมีขีดจำกัด
ในฐานะแม่ อารมณ์จะมากกว่าเหตุผลเมื่ออยู่ต่อหน้าลูก
ตัวหล่อนเองก็ยังไม่เชื่อคำพูดของหล่อนเองเลย
เฉินเจียเหอ พูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวว่า “เราได้ตกลงกันแล้วว่าจะรอให้หู่จือบรรลุนิติภาวะ เมื่อถึงตอนนั้นผมจะบอกความจริงกับเขาด้วยตัวเอง”
กล่าวเป็นนัยก็คือ พวกเขาจะไม่ตอบสนองต่อข้อเรียกร้องใดๆ ของจางเหมย
ถ้าหล่อนคิดจะรับลูกชายคืน หล่อนต้องจะรอให้หู่จืออายุสิบแปดปี
ฟางจินเป่าพยักหน้าเห็นด้วย “ถูกต้อง เมื่อหู่จือบรรลุนิติภาวะแล้ว เหล่าเฉินจะบอกความจริงทุกอย่างเอง ถึงตอนนั้นเด็กจะมีความคิดและความเห็นของตัวเอง ถ้าเขาอยากรับคุณก็รับ ใครก็ห้ามไม่ได้ ถ้าเขาไม่อยากรับ ใครก็บังคับไม่ได้ ตอนแรกคุณเป็นคนทำผิดเอง ตอนนี้มันคือสิ่งที่คุณสมควรได้รับ ไม่ต้องโทษใคร ทางที่เลือกเดิน ล้วนเกิดจากการกระทำของตัวเองทั้งสิ้น”
ฟางจินเป่ามองจางเหมยด้วยความโกรธเกี้ยว เขาพูดด้วยความโกรธ “เราเข้าใจความยากลำบากของคุณตอนนั้นนะ แต่ถึงคุณจะไม่อยากเลี้ยงลูก คุณก็ควรจะบอกเราสักคำ พวกเราคงไม่ใจร้ายกับเด็กตาดำๆ หรอก ที่คุณทิ้งลูกไปแล้วหนีหายไปเฉยๆ ในฐานะที่คุณเป็นแม่ มันโหดร้ายเกินไป”
ยังไม่ถึงครึ่งปีหลังจากที่พ่อหู่จือเสียชีวิต หล่อนก็รีบโยนลูกทิ้งแล้วแต่งงานใหม่
คิดได้อย่างนี้ ความเห็นใจที่มีต่อหล่อนก็หายไปในทันที
“เอาล่ะ เหล่าฟางหยุดพูดเถอะ”
เฉินเจียเหอลุกขึ้น “นี่ก็ดึกมากแล้ว เธอกลับบ้านก่อนเถอะ ไว้มาใหม่วันที่ 15 เดือนหน้านะ”
จางเหมยมองพวกเขา ยังทำอิดออดไม่อยากกลับ
หลินเซี่ยรู้ว่าหล่อนกำลังรอหู่จือ
เธอเรียกให้หู่จือลงมา
หลินเซี่ยพูดกับหู่จือด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “หู่จือ ลาคุณป้าจางสิลูก”
หู่จือทำตามอย่างว่าง่าย “ไว้เจอกันใหม่นะครับป้าจาง”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
มันทรมานนะ อยากแสดงความรักกับเขาก็ทำไม่ได้แม้ว่าเขาอยู่ตรงหน้าแล้วก็ตาม
ไหหม่า(海馬)
……….