ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 452 ต้อนรับแขกผู้มีเกียรติ

ตอนที่ 452 ต้อนรับแขกผู้มีเกียรติ

ตอนที่ 452 ต้อนรับแขกผู้มีเกียรติ

ตอนที่ 452 ต้อนรับแขกผู้มีเกียรติ

เมื่อเซี่ยไห่เสนอว่าจะพาอู๋เซิ่งหงไปเยี่ยมชมห้องเต้นรำของเขา อู๋เซิ่งหงไม่ปฏิเสธ พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ครับ ถ้าอย่างนั้นเราไปเยี่ยมชมห้องเต้นรำของคุณกันก่อน”

“เชิญครับ เถ้าแก่อู๋”

อู๋เซิ่งหงเดินตามเขาเข้าไปในห้องเต้นรำ รูปแบบการตกแต่งของห้องเต้นรำแห่งนี้คล้ายกับสาขาที่เชินเฉิง ห้องเต้นรำไม่ได้เปิดทำการในตอนเช้า ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงเยี่ยมชมสถานที่เท่านั้น ไม่ได้สัมผัสบรรยากาศครึกครื้นเหมือนช่วงเวลาที่เปิดทำการเต็มรูปแบบในตอนกลางคืน

เซี่ยไห่พาเขาขึ้นไปที่ชั้นสอง

เดิมทีอู๋เซิงหงคิดว่าชั้นสองเป็นที่พักค้างแรมของพนักงาน แต่เมื่อเขาเปิดประตูเข้าไป ปรากฏว่ามีห้องหน้าตาแปลก ๆ อยู่ในนั้น

เซี่ยไห่แนะนำกับอีกฝ่ายว่า “นี่เป็นห้องร้องคาราโอเกะครับ ซอยย่อยออกเป็นห้องส่วนตัวทั้งหมดสี่ห้อง ระหว่างนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการทดลองเปิดทำการ แต่ธุรกิจค่อนข้างดีเลย ผมวางแผนว่าจะเปิดห้องร้องคาราโอเกะสาขาอื่นที่มีขนาดใหญ่ขึ้นอีกสองสามสาขา หลังจากขยายสาขาในเมืองนี้จนครบแล้ว ก็จะมีแนวโน้มพัฒนาไปสู่เมืองอื่น ๆ”

เขาเข้าใจเรื่องการขยายสาขาดี เซี่ยไห่มีความทะเยอทะยานที่ยิ่งใหญ่ รู้จักใช้ความถนัดอันเป็นจุดแข็งของตัวเอง

“เถ้าแก่เซี่ย ธุรกิจนี้ถือเป็นสถานบันเทิงรูปแบบใหม่ เป็นครั้งแรกที่ผมได้เข้ามาเยี่ยมชมกิจการห้องเต้นรำ แถมยังเป็นครั้งแรกที่ผมได้เปิดหูเปิดตากับสิ่งใหม่ ๆ ด้วย วันนี้ผมได้เปิดโลกใหม่จริง ๆ”

เมื่อเห็นว่าอู๋เซิ่งหงทำหน้าตื่นตาตื่นใจราวกับเป็นยายหลิวเข้าสวนแกรนด์วิว(1) เซี่ยไห่ก็ถามด้วยรอยยิ้มว่า “เถ้าแก่อู๋ คุณเองก็เป็นนักธุรกิจ ปกติแล้วเวลาจะคุยธุรกิจใด ๆ ก็ตาม ไม่เคยเชิญเจ้าของบริษัทคนอื่น ๆ ไปพูดคุยกันที่สถานบันเทิงเลยเหรอ?”

อู๋เซิ่งหงตอบอย่างเป็นทางการว่า “พวกเราชอบคุยแผนความร่วมมือกันในออฟฟิศมากกว่า”

เซี่ยไห่มองไปที่ชายผู้เรียบง่ายตรงหน้า ลอบยิ้มและโครงศีรษะเบา ๆ

เขาเป็นนักธุรกิจแสนบริสุทธิ์คนเดียวในบรรดานักธุรกิจด้วยกันอย่างแท้จริง

เซี่ยไห่ชี้ไปที่ร้านอาหารซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามถนนจากทางหน้าต่าง แล้วพูดว่า

“เห็นร้านนั่นไหมครับ? ร้านอาหารฝั่งตรงข้ามนั่นเป็นของพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ผมเอง พี่ใหญ่ผมไม่ใช่คนธรรมดา เขาเป็นทหารผ่านศึกที่ได้รับเหรียญตราเกียรติยศ แถมยังเป็นพ่อแท้ ๆ ของยัยเด็กบ้าบิ่นคนนั้นด้วย พูดมาถึงตรงนี้คุณคงเข้าใจใช่ไหม ผมแค่จะบอกว่า ถ้ามีใครก็ตามกล้าหลอกลวงเขา คงยากที่จะออกจากไห่เฉิงไปง่าย ๆ”

คำพูดของเซี่ยไห่แฝงนัยยะไว้อย่างชัดเจน อู๋เซิ่งหงตอบด้วยรอยยิ้ม “เข้าใจครับ”

อู๋เซิ่งหงยืนอยู่ข้างหน้าต่างบนชั้นสอง มองดูคำสามตัวอักษรว่า ‘ชามข้าวเหล็ก’ ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม จากนั้นยิ้มและพูดว่า

“ชื่อร้านค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์ทีเดียวนะครับ”

เซี่ยไห่แสดงความภาคภูมิใจ “นั่นก็ไอเดียการตั้งชื่อของเซี่ยเซี่ย เมื่อกี้คุณแวะไปที่ร้านตัดผมของหล่อนมาไม่ใช่เหรอ? ร้านนั้นหล่อนก็ตั้งชื่อเอง ผู้หญิงคนนั้นน่ะมักจะมีความคิดแปลก ๆ และล้ำสมัยมากมายอยู่ในหัวเสมอ”

อู๋เซิ่งหงเองก็ชื่นชมหลินเซี่ยเช่นกันว่า “เสี่ยวหลินเป็นเด็กรุ่นใหม่ที่มีพรสวรรค์มาก”

หลังจากเยี่ยมชมห้องเต้นรำทั่วแล้ว เซี่ยไห่ก็พาเขาลงไปชั้นล่าง “ไปเถอะ ผมจะเลี้ยงอาหารคุณเอง จากนั้นจะพาคุณไปส่งที่สถานีรถไฟหลังเสร็จสิ้นแล้ว”

ถึงอย่างไรแขกก็มาเยือนถึงที่ ในฐานะเจ้าบ้านจึงต้องเลี้ยงอาหาร ถึงแม้ร้านอาหารจะเปิดกันไม่มากนักในตอนเช้าตรู่แบบนี้ เขาก็ต้องพาอีกฝ่ายไปที่ร้านอาหารเช้าตามมารยาท

อู๋เซิ่งหงทำท่าทางอึดอัดเล็กน้อยเมื่อได้ยินว่าเซี่ยไห่จะพาเขาไปสถานีรถไฟท่าเดียว

เห็นได้ชัดว่าเถ้าแก่เซี่ยอยากส่งเขาไปไกลหลายพันลี้เต็มที

หลังออกมาจากห้องเต้นรำแล้ว อู๋เซิ่งหงจึงแสดงรอยยิ้มบนใบหน้าเพื่อรักษามารยาทอันดี “เถ้าแก่เซี่ย ผมว่าจะไม่ไปที่ร้านอาหาร มาไห่เฉิงครั้งนี้ผมยังมีธุระอย่างอื่นที่ต้องทำ ดังนั้นผมไม่รบกวนคุณดีกว่า”

เซี่ยไห่สังเกตว่ารถมอเตอร์ไซค์ของหลินเซี่ยไม่ได้จอดอยู่ที่หน้าประตู เขาจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก พูดว่า “ได้ครับ คราวหน้าไว้เราค่อยเจอกันอีกที่ที่เชินเฉิง”

อู๋เซิ่งหงเห็นว่าภายในร้านตัดผมยังคงมีหญิงสาวคนเดิมอยู่ตามลำพังโดยไม่มีแม้แต่เงาของหลินเซี่ย ดังนั้นเขาจึงออกไปก่อน

หลังจากมองดูอู๋เซิ่งหงขึ้นแท็กซี่ไปจนลับสายตา เซี่ยไห่ก็กลับเข้าไปในร้านตัดผม พูดอะไรบางอย่างกับชุนฟาง จากนั้นจึงกลับไปที่ห้องเต้นรำ

เกือบสิบโมงเช้า รถมอเตอร์ไซค์ของหลินเซี่ยก็ขับมาจอดที่หน้าประตูร้านตัดผมในที่สุด หลินเซี่ยอุ้มหู่จือลงจากเบาะมอเตอร์ไซค์

“แม่ฮะ แม่ไปทำงานเถอะ ผมจะไปหาตากับยายเอง”

หลังจากที่หู่จือพูดจบ เขาก็วิ่งข้ามถนนไปที่ร้านอาหารพร้อมสะพายกระเป๋านักเรียนใบเล็กอยู่บนหลัง

เขาวิ่งไปที่ประตูแล้วตะโกนว่า “คุณตา คุณยาย ผมกลับมาแล้ว”

“โอ้ หู่จือกลับมาแล้วเหรอ?” เซี่ยเหลยเห็นเด็กชายที่จู่ ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นหน้าประตูร้าน จึงอุ้มเขาขึ้นมาด้วยความยินดี “ไปเที่ยวครั้งนี้คงสนุกน่าดูเลยล่ะสิ คิดถึงตาหรือเปล่า?”

หู่จือตอบว่า “คิดถึงฮะ ผมคิดถึงพวกคุณทุกคนเลย”

หลินเซี่ยเห็นหู่จือข้ามถนนไปสู่อ้อมแขนพ่อของเธออย่างปลอดภัย เธอถึงโล่งใจและหมุนตัวเดินเข้าไปในร้านตัดผม

ตอนนี้มีลูกค้ามาใช้บริการในร้านบ้างแล้ว อาจารย์หวังและชุนฟางต่างก็งานยุ่งทั้งคู่

“ขอโทษทีนะคะ วันนี้ฉันมาสายไปหน่อย”

อาจารย์หวังเห็นหลินเซี่ยเข้ามาก็ส่งยิ้มให้ “ไม่สายหรอก เธอเป็นเจ้าของร้าน จะเข้ามาที่ร้านเมื่อไหร่ก็ได้”

หลินเซี่ยอธิบายว่า “หู่จือเพิ่งกลับมาเมื่อคืนค่ะ ฉันมัวทำงานบ้านตลอดทั้งเช้า ไหนจะทำกับข้าวและสระผมให้เขา เพิ่งปลีกตัวได้ก็ตอนนี้เอง”

“หู่จือกลับมาแล้วเหรอ? ทำไมเขาไม่มาด้วยล่ะ?” ชุนฟางถามอย่างเร่งรีบเมื่อได้ยินว่าหู่จือกลับมาแล้ว

หลินเซี่ยชี้ไปฝั่งตรงข้าม “เขาไปอยู่ที่ร้านพ่อแม่ฉันน่ะ”

เมื่อชุนฟางได้ยินว่าหู่จืออยู่ฝั่งตรงข้าม หล่อนก็ขอตัวข้ามฝั่งไปหาหู่จือด้วยความตื่นเต้น บอกว่าอยากไปเล่นกับหู่จือแล้วค่อยมาทำงานต่อ

หลินเซี่ยถามอาจารย์หวัง

“เมื่อเช้านี้มีใครมาหาฉันหรือเปล่าคะ?”

อาจารย์หวังบอกว่า “มีพี่สาวคนหนึ่งแวะมาถามว่าเธอจะเข้ามาดัดผมเมื่อไหร่ ฉันเลยบอกให้หล่อนกลับมาตอนบ่ายอีกที”

“ยังมีอีกไหมคะ?” หลินเซี่ยถามอีกครั้ง

อาจารย์หวังตอบว่า “ไม่มีแล้ว ลูกค้าคนอื่น ๆ เชื่อฝีมือฉันกับชุนฟาง พวกเขาไม่เรื่องมากว่าคนที่ดัดผมให้ต้องเป็นเธอเท่านั้น”

หลินเซี่ยคิดว่าอู๋เซิ่งหงอาจจะยังมาไม่ถึง จึงบอกอาจารย์หวังว่า

“วันนี้ถ้ามีใครมาหาฉันที่ร้าน อย่าลืมบอกฉันด้วยนะคะ”

“โอ้ ได้เลย”

หลินเซี่ยกลัวว่าพวกเขาอาจไม่รู้ว่าคนไหนคืออู๋เซิ่งหง ดังนั้นจึงแนะนำรูปลักษณ์ของอีกฝ่ายโดยละเอียด “คนที่ฉันพูดถึงเป็นชายวัยกลางคน แต่งตัวเรียบง่าย แต่… อาจจะดูติดดินไปสักหน่อย สกุลอู๋ ฉันเป็นคนนัดเขาให้มาคุยกันที่ร้านเอง ถือเป็นแขกผู้มีเกียรติคนหนึ่งค่ะ”

“ได้เลย เซี่ยเซี่ย ฉันจะจำไว้”

หลินเซี่ยไปที่ร้านอาหาร เนื่องจากยังไม่ถึงเวลาอาหารกลางวัน เซี่ยเหลยและหลิวกุ้ยอิงจึงรายล้อมอยู่รอบตัวหู่จือที่เอารูปถ่ายจากการเดินทางครั้งนี้มาให้พวกเขาดู

หลังจากที่พวกเข้าได้ดูรูปถ่ายแล้ว หลินเซี่ยก็พูดกับพวกเขาว่า “พ่อคะ แม่คะ ฉันมีข่าวดีมาบอก ร้านใหม่ของฉันจะเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ยี่สิบเดือนนี้ค่ะ”

เมื่อได้ยินแบบนั้น เซี่ยเหลยก็คำนวณเวลาแล้วพูดว่า “ยังเหลือเวลาอีกเกินหนึ่งสัปดาห์ เราใช้ช่วงที่ยังว่างอยู่กลับไปบ้านเกิดเพื่อเผากระดาษเงินกระดาษทองให้พ่อหลินดีไหม?”

หลิวกุ้ยอิงถาม “กว่าจะกลับมาจากบ้านเกิดน่ากลัวจะเตรียมตัวเปิดร้านไม่ทันมากกว่า เอาไว้ค่อยไปหลังจากนั้นดีกว่าไหม?”

“เราน่าจะกลับมาทัน ใช้เวลาเดินทางไปกลับแค่สองหรือสามวันเท่านั้นเอง”

การเคารพป้ายวิญญาณใช้เวลาแค่ครึ่งวันเท่านั้น ใช้เวลาเดินทางไปกลับแค่สองวันก็เพียงพอแล้ว

หลิวกุ้ยอิงได้ยินจากเซี่ยเหลยว่าพวกเขาน่าจะใช้เวลาไปกลับรวมกันไม่เกินสามวัน แต่หล่อนรู้ดีว่ามันอาจไม่เร็วขนาดนั้น ภูเขาในชนบทอยู่สูง ถนนหรือก็ยาวไกล อีกทั้งยังกังวลว่าอาจเกิดปัญหาถ้ากลับไปพัวพันกับแม่เฒ่าหลินและหลินเอ้อร์ฝู

พูดตามตรง ถ้าการกลับไปครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อเผากระดาษเงินกระดาษทองให้หลินต้าฝู หลิวกุ้ยอิงคงไม่อยากกลับไปเหยียบที่นั่นอีก

หล่อนไม่มีความคิดถึงผูกพันต่อสถานที่ที่เคยอาศัยอยู่มายี่สิบปีเลย มีแต่ความหวาดกลัวเท่านั้น

กลัวว่าถ้าตัวเองกลับไปแล้ว อาจเจอกับครอบครัวที่กดขี่ข่มเหงตนสารพัดในขณะนั้น

โดยเฉพาะครั้งนี้ เมื่อหล่อนพาเซี่ยเหลยกลับไปด้วย

ไม่อยากนึกเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าแม่เฒ่าหลินและหลินเอ้อร์ฝูรู้ความจริงว่าหลินเซี่ยไม่ใช่ลูกสาวของตระกูลหลิน แล้วตัวหล่อนกำลังจะแต่งงานกับพ่อผู้ให้กำเนิดของหลินเซี่ย?

ถ้าหญิงชราเป็นคนมีเหตุผลมากพอ หล่อนก็คิดว่าตัวเองควรแจ้งให้พวกเขาทราบถึงเรื่องใหญ่แบบนี้

ถึงอย่างนั้นหล่อนกลับไม่กล้า ไม่กล้าจินตนาการด้วยซ้ำว่าเมื่อหญิงชราและหลินเอ้อร์ฝูรู้แล้ว พวกเขาจะสร้างปัญหาก่อกวนพวกเขาอย่างไรบ้าง?

แม่เฒ่าหลินเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดของหลินต้าฝู แน่นอนว่าหล่อนคงไม่อยากให้วิญญาณของหลินต้าฝูบนสวรรค์ถูกหยามหมิ่น

ดังนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง จึงทำได้เพียงหลีกเลี่ยงอีกฝ่ายให้มากที่สุด

พอหลิวกุ้ยอิงคิดถึงเรื่องนี้ ก็เสนอว่า

“ถ้าอย่างนั้นเรารอจนกว่าร้านใหม่ของเซี่ยเซี่ยจะเปิดทำการดีไหม? ฉันคิดว่าการกลับบ้านเกิดครั้งนี้ไม่น่ากินเวลาแค่สามวัน ถ้ามีอะไรเปลี่ยนแปลง…”

เซี่ยเหลยพูดขัด “จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงกัน? เราแค่ไปเผากระดาษแล้วก็กลับ”

หลิวกุ้ยอิงไม่อยากสาธยายปัญหาของตระกูลหลินต่อหน้าเซี่ยเหลย ดวงตากะพริบปริบเล็กน้อย จากนั้นก็ให้เหตุผลว่า “ตายายของเจียเหอก็อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเดียวกันกับเรา เราไปทั้งทีก็ต้องแวะไปเยี่ยมเยียนผู้ใหญ่ด้วย”

“เรื่องนั้นแน่อยู่แล้ว”

เซี่ยเหลยยังไม่หายกังวล “เซี่ยเซี่ยกับเสี่ยวเยี่ยนน่าจะงานยุ่งมากหลังจากเปิดร้าน ผมกลัวว่าพวกหล่อนอาจจะปลีกตัวไปกับเราไม่ได้”

หลินเยี่ยนบอกว่า “ฉันอยู่ดูแลร้านคนเดียวที่ไห่เฉิงได้ค่ะ รอถึงเทศกาลเชงเม้งปีหน้า ฉันค่อยกลับไปเยี่ยมหลุมศพพ่อทีหลัง”

“ไว้ค่อยไปหลังจากลูกเปิดร้านแล้วแล้วกัน ช่วงนี้งานเราค่อนข้างยุ่ง ยังไปไหนไม่ได้”

“เอาล่ะ งั้นเอาตามนี้เลยแล้วกัน”

หลินเซี่ยลงประกาศโฆษณารับสมัครงานในหนังสือพิมพ์โดยเฉพาะ เพื่อรับสมัครช่างถ่ายภาพมืออาชีพ

ส่วนป้ายประกาศรับสมัครเด็กฝึกงานก็ถูกติดไว้ที่หน้าประตู

เธอตั้งใจว่าจะไปขอจะให้อาหญิงมาเป็นนางแบบถ่ายภาพโปรโมตร้าน จากนั้นแขวนรูปไว้บนผนังด้านนอก พอเปิดร้านอย่างเป็นทางการเมื่อใด ถึงตอนนั้นธุรกิจต้องเฟื่องฟูมากแน่ ๆ

หลินเซี่ยกินข้าวมื้อเที่ยงที่ร้านอาหาร ก่อนจะกลับไปที่ร้านตัดผม ผลัดเปลี่ยนให้ชุนฟางออกไปกินข้าวกับอาจารย์หวัง

เมื่อเธอกลับมาถึงร้านก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของอู๋เซิ่งหง จึงเหลือบมองนาฬิกาด้วยความไม่สบายใจ

เธอออกไปที่ตู้โทรศัพท์แล้วโทรหาอู๋เซิงหงทันที

………………………………………………………………………………………………………………………..

ยายหลิวเข้าสวนแกรนด์วิว ความหมายเดียวกับบ้านนอกเข้ากรุง เปรียบกับคนที่ไม่เคยพบเห็นความเจริญและหรูหราอลังการมาก่อน

สารจากผู้แปล

ไปไล่แขกของเซี่ยเซี่ยกลับแบบนั้น ระวังหลานมาเม้งแตกนะเซี่ยไห่

ไหหม่า(海馬)

……………………………………

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

Score 10
Status: Completed
เมื่อสวรรค์ได้ให้โอกาสเธอย้อนกลับมาแก้ขในสิ่งที่ผิดพลาด เธอจะใช้โอกาสนี้เป็นช่างเสริมสวยยอดฝีมือให้ได้ตามฝันอย่างไรกันนะ? รายละเอียด ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 ผู้แต่ง:兜兜缺钱 เรื่องย่อ : ในชาติก่อน หลินเ เป็นสไตสต์คนโง่ผู้ร้ความคิดป็นของตัวเอง จึงถูกดาราดาวรุ่งผู้เป็นเพื่อนสนิทวางแผนทำลายชีวิตจนพังพินาศ ไร้ซึ่งเครดิต ไร้ซึ่งอำนาจ และหน้ามืดตามัวทิ้งสามีพ่อม่ายลูกติดที่คอยสนับสนุนมาตลอดได้ลงค แต่เหมือนสวรรค์ยังคงเห็นใจต่ชะตาชีวิตอันรันทดของเธอ จึงทำให้เธอได้ย้อนกลับมาเกิดใหม่ในปี 1988 อันเป็นปีที่ทุกอย่างยังไม่สายเกินกว่าแก้ หลินเชี่ยจะใช้โอกาสที่ได้มีชีวิตครั้งที่สองเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของตัวเองอย่างไรบ้าง?

Options

not work with dark mode
Reset