ตอนที่ 693 คำเชิญ
……….
ตอนที่ 693 คำเชิญ
เมื่อได้ยินฉินมู่หลานถามแบบนี้ เซี่ยปิงหรุ่ยก็ตอบด้วยความเกรงใจ “ฉันไม่รู้เลยว่าเธอกลับมาแล้ว พอดีช่วงนี้ฉันมีเรื่องยุ่ง ๆ นิดหน่อยก็เลยไม่ค่อยได้เข้ามา”
“ช่วงนี้เธอยุ่งอะไรอยู่เหรอ?”
เซี่ยปิงชิงมองเซี่ยปิงหรุ่ยด้วยความอยากรู้ สัญชาตญาณบอกหล่อนว่าต้องมีบางอย่างที่เซี่ยปิงหรุ่ยปิดบังอยู่ เพราะปกติแล้วเซี่ยปิงหรุ่ยจะเข้ามาที่ร้านซิ่งหลินบ่อย ๆ
แต่เซี่ยปิงหรุ่ยตอบกลับมาตรง ๆ ว่า “ฉันกำลังศึกษาตำรับยาใหม่ ก็เลยไม่ได้เข้าร้านและอยู่แต่ในบ้านน่ะ”
ได้ยินแบบนั้น ฉินมู่หลานและเซี่ยปิงชิงก็ไม่ได้ถามอะไรมากไปกว่านั้น เพราะการค้นคว้าวิจัยต้องใช้สมาธิจริงๆ
“แล้ววันนี้ทำไมถึงได้มาล่ะ หรือว่าศึกษาตำรับยาสำเร็จแล้ว?”
เซี่ยปิงหรุ่ยส่ายหัวแล้วตอบว่า “ยัง แต่ใกล้แล้วแหละ ฉันพอมีทางแล้ว”
พูดจบหล่อนก็หันไปหาฉินมู่หลานแล้วพูดว่า “มู่หลาน เราไม่ได้เจอกันนานแล้ว วันนี้กินข้าวด้วยกันนะ”
ฉินมู่หลานก็ไม่ได้ปฏิเสธและพยักหน้า “ได้สิ”
หลังจากปิดร้านซิ่งหลิน พวกเธอก็ไปร้านอาหารด้วยกัน แม้แต่เซี่ยปิงชิง คังอันเหอ คุณปู่ฉินและอาชุยก็ไปด้วย
หลังจากกินข้าวเสร็จ ฉินมู่หลานและเซี่ยปิงหรุ่ยก็พูดถึงเรื่องของผู้อาวุโสลั่ว
“ระยะนี้รู้สึกว่าคุณปู่ลั่วดูเหนื่อย ๆ พรุ่งนี้เธอช่วยเข้าร้านซิ่งหลินมาตรวจคนไข้แทนฉันหน่อย ฉันจะใช้เวลาช่วงปิดเทอมพาเด็กๆ ไปหาอาหลี่สักพัก” พอเปิดเทอมเธอก็จะต้องไปฝึกงานล่วงหน้ากับเซี่ยปิงหรุ่ย แน่นอนว่าจะต้องยุ่งกว่านี้
เซี่ยปิงหรุ่ยจึงรีบตกลง
“ได้สิ พรุ่งนี้ฉันจะเข้ามาตรวจคนไข้ที่ร้านเลย”
เมื่อเซี่ยปิงหรุ่ยพูดจบเรื่องนี้ ฉินมู่หลานกับคุณปู่ฉินก็กลับบ้านด้วยกัน
ส่วนคนอื่น ๆ ก็แยกย้ายกลับไปที่บ้านของตน
วันรุ่งขึ้น ฉินมู่หลานพาชิงชิงและเฉินเฉินไปที่บ้านพักของเซี่ยเจ๋อหลี่
ส่วนถวนถวนและหยวนหยวนยังเล็กเกินไป เธอคนเดียวคงดูเด็ก ๆ ทั้งสี่คนไม่ไหว
“แม่ เราจะไปอยู่กับพ่ออีกนานไหม?”
“ประมาณห้าวัน”
หลังจากนั้นเฉินเฉินก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาแล้วพูดว่า “แม่ฟังสิ เสียงลม ทำไมลมมีเสียง”
ชิงชิงและเฉินเฉินเติบโตขึ้นแล้ว ทั้งสองคนมีความคิดชัดเจน พูดคล่องแคล่วและมีคำถามมากมายถามไม่เว้นแต่ละวัน แม้แต่ฉินมู่หลานเองบางครั้งก็ตอบคำถามแปลก ๆ ของลูกไม่ได้ คงเป็นเพราะเด็ก ๆ โตแล้ว มีความคิดเป็นของตัวเอง แต่คำถามนี้เธอตอบได้
“ลมเกิดจากการไหลเวียนของอากาศ เมื่ออากาศกระทบกับหูเรา ก็จะเกิดการสั่นสะเทือนผ่านกระดูก…ทำให้เราได้ยินเสียง” พอพูดจบฉินมู่หลานก็เห็นว่ามีคนเดินมาหา จึงรีบบอกลูก ๆ ว่า “นั่นเหมือนจะเป็นอาไห่หง เด็ก ๆ รีบเข้าไปทักทายสิ”
พอเห็นเด็กทั้งสองวิ่งไปทักทายเป้ยไห่หง ฉินมู่หลานก็อดที่จะถอนหายใจโล่งอกไม่ได้
และเมื่อเป้ยไห่หงเห็นชิงชิงและเฉินเฉินเดินมา หล่อนก็ดีใจมาก “อ้าว ชิงชิง เฉินเฉินมาแล้วเหรอ สบายดีไหมจ๊ะ ไม่ได้เจอกันนาน น่ารักขึ้นมากเลยนะ”
พอพูดจบก็อดที่จะกอดสองหนูน้อยไว้ไม่ได้ เพราะว่าทั้งสองคนน่ารักเกินไป
“คุณอาก็สวยมากๆ”
ตอนนี้สองหนูน้อยปากหวานราวกับฉาบน้ำผึ้ง ความช่างเจรจาของเด็ก ๆ ทำให้หล่อนยิ้มจนแก้มปริ จนตอนนี้เป้ยไห่หงยิ้มปากแทบฉีกถึงหู “โอ๊ย…ชิงชิงและเฉินเฉินของอาน่าเอ็นดูจริงๆ”
ระหว่างพูด เป้ยไห่หงก็มองไปที่ฉินมู่หลานพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงอิจฉา “มู่หลาน เด็ก ๆ น่ารักเกินไปแล้ว ทั้งยังพูดเก่งมาก”
ฉินมู่หลานได้ยินดังนั้น เธอก็อดยิ้มไม่ได้ “พี่สะใภ้ พวกแกแค่พูดตามความจริง พี่สะใภ้ก็สวยจริง ๆ นี่คะ”
“ตอนแรกฉันก็คิดว่าทำไมเด็กสองคนนี้พูดเก่งจัง ที่แท้ก็ปากหวานเหมือนแม่นี่เอง”
ระหว่างที่พูด เป้ยไห่หงก็เดินกลับบ้านพร้อมฉินมู่หลาน “เจ๋อหลี่ของเธอยังไม่กลับมา แวะไปนั่งที่บ้านฉันก่อนไหม”
“พี่สะใภ้ พวกเราเพิ่งมาถึง เดี๋ยวขอตัวไปเก็บของก่อนดีกว่าค่ะ”
พอเห็นว่าฉินมู่หลานยังถือกระเป๋าอยู่ เป้ยไห่หงก็เลยไม่พูดอะไรต่อ “เอาอย่างนั้นก็ได้ งั้นพวกเธอรีบเข้าไปข้างในเถอะ”
หลังจากที่ฉินมู่หลานพาเด็กๆ เข้าบ้าน เธอก็รีบจัดของ จากนั้นก็หันไปถามชิงชิงและเฉินเฉินว่า “พวกหนูหิวไหม เดี๋ยวแม่จะพาไปกินข้าวที่โรงอาหาร”
“ดีครับ/ค่ะ”
ว่าจบ สามแม่ลูกหยิบก็ปิ่นโตเดินตรงไปยังโรงอาหาร และเมื่อไปถึงก็บังเอิญเจอกับเซี่ยเจ๋อหลี่พอดี
“มู่หลาน มาได้ยังไง”
เมื่อเซี่ยเจ๋อหลี่เห็นฉินมู่หลานและเด็กทั้งสอง ก็เอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ
เพราะว่าฉินมู่หลานไม่ได้บอกเขาล่วงหน้า ดังนั้นเมื่อเห็นท่าทางตื่นเต้นดีใจของเขา เธอก็ยิ้มแย้มและพูดว่า “พวกเรามาหาคุณแล้วไงคะ”
ฟู่ซวี่ตงกับถูเฉิงเสียงมากินข้าวที่โรงอาหารพอดี เมื่อเห็นฉินมู่หลานและเด็ก ๆ ทั้งสอง เขาก็หันไปยิ้มกับเซี่ยเจ๋อหลี่แล้วพูดว่าว่า “อาหลี่ งั้นฉันไปกินข้าวกับเฉิงเสียงนะ”
“อื้ม”
ว่าจบ เซี่ยเจ๋อหลี่ก็รีบพาภรรยาและลูก ๆ ไปตักอาหาร เมื่อเห็นว่าพวกเขานำปิ่นโตมาด้วย เขาก็รู้ว่าภรรยาและลูก ๆ จะกลับไปกินที่บ้านพักสวัสดิการ “มู่หลาน พวกเรากลับไปกินที่บ้านด้วยกันนะ”
ฉินมู่หลานพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม เพราะที่โรงอาหารมีคนเยอะเกินไป เธอชอบนำอาหารกลับไปกินที่บ้านมากกว่า
หลังจากที่ทุกคนกลับถึงบ้านพักสวัสดิการแล้ว ก็รีบลงมือกินมื้อเที่ยงด้วยกันด้วยบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น
“ชิงชิง หนูกินเนื้อเยอะไปแล้ว พอแล้วนะ” ฉินมู่หลานเห็นลูกสาวกินแต่หมูสามชั้น ก็เลยรีบเอ่ยห้าม เพราะระบบย่อยของเด็ก ๆ ยังอ่อนแอ หากกินอาหารมันเลี่ยนเกินไปจะไม่ดีต่อระบบย่อยอาหาร และเธอก็ไม่รู้ว่าทำไมชิงชิงถึงไม่ชอบกินเนื้อหมูส่วนที่ไม่ติดมันแต่ชอบกินส่วนที่ติดมัน
“คุณแม่คะ~”
ฉินมู่หลานไม่สนใจเสียงออดอ้อน และคีบผัดกะหล่ำกองใหญ่ให้ลูกสาว
ชิงชิงถอนหายใจมองกะหล่ำปลีตรงหน้าก่อนจะค่อย ๆ กินเข้าไป หล่อนไม่ชอบกินผักจริง ๆ แต่ทำอย่างไรได้ เพราะอย่างไรก็ต้องกินอยู่ดี
ส่วนเฉินเฉินกินง่าย ไม่ทันไรก็กินข้าวจนหมดอย่างรวดเร็ว
“เฉินเฉิน ลูกกินเร็วเกินไปแล้ว คราวหลังกินช้า ๆ นะลูก”
ฉินมู่หลานจึงอดขำไม่ได้
เซี่ยเจ๋อหลี่เคยชินกับการกินข้าวที่รวดเร็วในกองทัพมานานแล้ว ดังนั้นไม่ว่าที่ไหน เขาก็ยังคงกินเร็วเหมือนเดิม จนเฉินเฉินเอ่ยพาดพิง เธอจึงตอบกลับไปว่า “ไว้แม่จะตักเตือนพ่อนะ ลูกก็ต้องเชื่อฟัง กินข้าวช้า ๆ ด้วยล่ะ”
“ครับ”
หลังจากที่กินข้าวกันเสร็จแล้ว เด็กๆ ทั้งสองก็ไปเล่นกับพี่ชายที่บ้านเป้ยไห่หงที่อยู่ตรงข้าม ส่วนเซี่ยเจ๋อหลี่ก็หันไปถามฉินมู่หลาน “มู่หลาน คุณมาที่นี่ได้ยังไง”
“ก็ช่วงนี้ปิดเทอม ฉันเลยพาลูก ๆ มาเยี่ยมคุณ ถ้ารอเปิดเทอมฉันคงไม่มีเวลาว่างมาหาคุณนาน ๆ”
“แล้วคุณกับลูกจะอยู่กี่วัน?”
“ประมาณห้าหกวันมั้งคะ”
เซี่ยเจ๋อหลี่ได้ยินดังนั้น จึงรีบพูดแทรกขึ้นมาว่า “อยู่ต่ออีกสักหน่อยได้ไหม”
“ฉันก็อยากอยู่ต่อนะ แต่ถวนถวนกับหยวนหยวนยังอยู่ที่บ้าน”
“ก็ได้”
เซี่ยเจ๋อหลี่รู้ว่ามู่หลานน่าจะเป็นห่วงลูกอีกสองคน จึงไม่พูดอะไรเพิ่มเติม แต่เขาก็ใช้ช่วงเวลาที่ลูกไม่อยู่บ้าน กอดจูบภรรยาอย่างเต็มที่
“พอแล้วอาหลี่ บ่ายนี้คุณไม่ต้องออกไปข้างนอกเหรอ เดี๋ยวจะสายเอานะ”
ฉินมู่หลานหน้าแดงก่ำ แต่เซี่ยเจ๋อหลี่ต้องไปที่ค่ายในช่วงบ่าย และไม่รู้ว่าลูกทั้งสองจะกลับมาเมื่อไหร่ พวกเขาจึงไม่สามารถดำเนินการต่อ
เซี่ยเจ๋อหลี่เหลือบมองนาฬิกาและพบว่าสายจริง ๆ แล้ว จึงถอนหายใจแล้วพูดว่า “งั้นผมไปก่อนนะ”
“อืม ไปเถอะ”
หลังจากที่เซี่ยเจ๋อหลี่ออกไปแล้ว ฉินมู่หลานจึงล้างหน้าล้างตาและไปรับลูกกลับบ้าน
สามแม่ลูกใช้เวลาหลายวันอยู่ด้วยกันที่บ้านพักสวัสดิการ โดยวางแผนจะกลับในวันพรุ่งนี้ แต่ไม่คาดคิดว่าถูเฉิงเสียงและคังอันเหอจะมาเยี่ยมในช่วงเย็น
“มู่หลาน หลายวันมานี้ฉันยุ่งมาก เลยไม่มีเวลามาเยี่ยมเธอและลูก ๆ เลย”
ในช่วงนี้ร้านซิ่งหลินยังคงยุ่งเหมือนเคย ช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาคังอันเหอเหนื่อยจนอยากทำแค่ล้มตัวลงนอนเมื่อกลับถึงบ้าน แต่โชคดีที่วันนี้ไม่ค่อยยุ่ง หล่อนจึงมีเวลามา
ฉินมู่หลานได้ยินดังนั้น จึงอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “อันเหอ ถ้าเธอเหนื่อยไปพักผ่อนได้เลย”
แต่คังอันเหอส่ายหัวและกล่าวว่า “ไม่เป็นไรๆ ถึงฉันจะยุ่ง แต่ฉันก็มีความสุขมาก ถ้าเอาแต่นอนอยู่กับบ้าน ฉันคงกระวนกระวายใจแย่”
แม้ว่าถูเฉิงเสียงจะเป็นห่วงภรรยาอยู่ไม่น้อย แต่เขาก็รู้ว่าหล่อนพูดจริงตรงที่ชอบไปทำงานที่ร้านซิ่งหลิน
“อาหลี่ หมอฉิน พวกเรามาเชิญพวกคุณ พอดีโฮ่วหลินอยากจะเลี้ยงข้าวพวกคุณและถือโอกาสพบปะสังสรรค์ไปด้วยน่ะ”
ฉินมู่หลานได้ยินดังนั้นก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ เธอคิดไม่ถึงว่าฟู่โฮ่วหลินจะให้ถูเฉิงเสียงมาเชิญ เพราะเธอรู้สึกว่าไม่จำเป็นเท่าใด การที่หมอรักษาคนไข้เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว
แต่ฉินมู่หลานไม่ทันได้ปฏิเสธ คังอันเหอก็พูดออกมาด้วยความตื่นเต้นว่า “มู่หลาน คราวนี้เธอต้องไปนะ ปิงหรุ่ยก็ไปด้วย”
“ปิงหรุ่ยตกลงแล้วเหรอ?”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ครอบครัวได้กินข้าวกันพร้อมหน้าเสียที ในที่สุดพี่หลี่ก็ได้มีบทแล้ว
จะเกิดเรื่องราวอะไรดีๆ ขึ้นกับปิงหรุ่ยไหมน้า
ไหหม่า(海馬)
……….