ตอนที่ 656 เรื่องวุ่นวาย
…………….
ตอนที่ 656 เรื่องวุ่นวาย
เมื่อได้ยินคำพูดของเกาซู่ฟาง เซี่ยปิงชิงก็ยิ้มอย่างใจดีและพยักหน้าตอบรับ “ได้ค่ะ”
จากนั้นหล่อนก็หันไปมองน้องสาวสามีของหล่อนและเอ่ยว่า “ที่ร้านซิ่งหลินของเรามีหมอประจำอยู่ หากรู้สึกไม่สบายใจ ก็สามารถให้หมอตรวจชีพจรดูได้ก่อนค่ะ”
เกาซู่ฟางดีใจที่ได้ยินเช่นนั้น จึงรีบหันไปมองน้องสาวสามีอย่างเฝิงตันและบอกเธอว่า “ตันตัน รีบให้หมอตรวจชีพจรดูสิ หมอที่นี่เชี่ยวชาญทางการแพทย์ดีเยี่ยม”
เฝิงตันจึงนั่งลงตามคำบอก
เมื่อผู้อาวุโสลั่วได้ตรวจชีพจรให้เฝิงตันแล้ว เขาก็พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “เพียงแค่จ่ายยาเชียนจินหวานให้ก็เพียงพอแล้ว”
เซี่ยปิงชิงยิ้มเมื่อได้ยินคำพูดของผู้อาวุโสลั่วและมองไปยังทั้งสองคน “เดี๋ยวเราจะจ่ายยาเชียนจินหวานให้ก่อน เมื่อรับประทานหมดแล้วก็กลับมารับการตรวจใหม่นะคะ”
เกาซู่ฟางรีบพยักหน้ารับ “ได้ค่ะ”
หลังจากชำระเงินและรับยาแล้ว ทั้งสองก็เตรียมตัวจะจากไป
ในขณะนั้น ฉินมู่หลานและเซี่ยปิงหรุ่ยก็เดินเข้ามาพอดี
ฉินมู่หลานจำเกาซู่ฟางได้ เมื่อเห็นเธอ ฉินมู่หลานจึงยิ้มอย่างใจดีและถามว่า “หายดีแล้วหรือยังคะ?”
เกาซู่ฟางรู้สึกดีใจมากที่ได้เห็นฉินมู่หลานอีกครั้ง รีบพยักหน้าและตอบว่า “คุณหมอฉิน ฉันหายดีแล้วค่ะ ขอบคุณคุณหมอมากจริงๆ”
เมื่อเฝิงตันได้เห็นฉินมู่หลาน หล่อนก็รู้สึกประหลาดใจมาก เพราะเคยได้ยินพี่สะใภ้พูดถึงคุณหมอฉินผู้นี้มานานแล้ว และยังรู้ด้วยว่าคุณหมอฉินผู้นี้ยังสาวมาก แต่ก็ไม่คิดว่าจะอ่อนเยาว์ถึงขนาดนี้ แต่หมอฉินผู้นี้ก็เป็นหมอที่มีความเชี่ยวชาญทางการแพทย์สูง จึงรีบกล่าวทักทายอย่างสุภาพ
ฉินมู่หลานเองก็กล่าวทักทายตอบกลับเช่นกัน หลังจากนั้นเธอก็หันมาทางเกาซู่ฟางและพูดว่า “ในเมื่อได้พบกันแล้ว ให้ฉันตรวจชีพจรให้อีกครั้งสักหน่อยแล้วกันนะคะ”
“ได้เลยค่ะ ขอบคุณคุณหมอฉินนะคะ”
เกาซู่ฟางไม่มีเหตุผลที่จะไม่ยินยอมเมื่อเห็นฉินมู่หลานกำลังจะตรวจชีพจรให้เธอ จึงรีบนั่งลงและยื่นมือออกไป
หลังจากตรวจชีพจรเสร็จ ฉินมู่หลานก็เผยรอยยิ้มเปี่ยมสุขพลางเอ่ยว่า “คุณฟื้นตัวได้ดีมากเหลือเกินค่ะ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเกาซู่ฟางยิ่งดูสดใสมากขึ้นเมื่อได้ยินเช่นนั้น “ล้วนเป็นเพราะฝีมือของหมอฉินเลนค่ะ” หล่อนกล่าวด้วยความซาบซึ้งใจ
เกาซู่ฟางเพิ่งทราบว่าคุณหมออาวุโสฉินผู้นี้คือคุณปู่ของฉินมู่หลาน จึงรีบพูดเสริมว่า “จริงด้วยค่ะ คุณหมอฉินเก่งจริงๆ”
หลังจากพูดคุยกับคุณหมออาวุโสฉินอีกสองสามประโยค เกาซู่ฟางก็พาน้องสาวสามีจากไป
ทว่า เมื่อเดินมาถึงประตู เธอได้ยินเซี่ยปิงหรุ่ยและฉินมู่หลานพูดคุยถึงเรื่องของเกาเชี่ยนเชี่ยน
“มู่หลาน ช่วงนี้เคอวั่งกับเชี่ยนเชี่ยนเป็นยังไงบ้าง พ่อแม่ของเชี่ยนเชี่ยนยังไม่ยอมรับเคอวั่งอีกเหรอ? พูดตามตรงนะ น้องชายของเธอน่ะยอดเยี่ยมขนาดนี้ ทำไมตระกูลเกาถึงไม่ยอมรับเขากันแล้วก็ไม่มองดูด้วยว่าพี่สาวของเขานั้นเก่งกาจขนาดไหน”
ฉินมู่หลานส่ายหน้าและตอบว่า “เอาเข้าจริงจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ยอมรับ เชี่ยนเชี่ยนเองรู้สึกผิดตลอดเวลา แต่โชคดีที่ความสัมพันธ์ของพวกเขายังคงดีอยู่”
เกาซู่ฟางหันกลับมามองฉินมู่หลานและถามว่า “คุณหมอฉิน เกาเชี่ยนเชี่ยนที่พวกคุณพูดถึงนี่เป็นลูกสาวบ้านรองของตระกูลเกาที่อยู่ทางตอนใต้ของเมืองหรือเปล่า”
ฉินมู่หลานมองเกาซู่ฟางอย่างแปลกใจเล็กน้อย ก่อนจะนึกทบทวนว่าตระกูลเกาดูเหมือนจะอยู่ที่ตอนใต้ของเมืองจริงๆ แต่เธอก็ไม่แน่ใจว่าใช่ตระกูลเดียวกับตระกูลของเกาเชี่ยนเชี่ยนหรือเปล่า “บ้านของเชี่ยนเชี่ยนอยู่ที่ตอนใต้ของเมืองจริงค่ะ แต่ฉันก็ไม่แน่ใจว่าใช่บ้านที่คุณพูดถึงหรือเปล่านะคะ”
เกาซู่ฟางพูดต่อว่า “บ้านใหญ่ก็น่าจะมีลูกสาวคนหนึ่ง ชื่อเกาสวินชิว”
ฉินมู่หลานจึงมั่นใจได้แล้วว่าตระกูลเกาที่เกาซู่ฟางพูดถึงนั้นก็คือตระกูลของเกาสวินชิวและเกาเชี่ยนเชี่ยนนั่นเอง
“ใช่แล้ว คุณรู้จักพวกเขาหรอคะ?”
แต่เกาซู่ฟางกลับส่ายหน้าอย่างเย็นชาและพูดว่า “เปล่า ฉันไม่รู้จัก”
อย่างไรก็ตาม ในไม่ช้าหล่อนก็สำนึกได้ว่าท่าทีของตนเองดูแปลกไป จึงรีบยิ้มออกมาอย่างเจื่อนๆ ว่า “คุณหมอฉิน งั้นวันนี้พวกเราขอตัวกลับก่อนนะคะ วันนี้ขอบคุณพวกคุณมากจริงๆ”
กล่าวจบก็รีบพาน้องสาวของสามีจากไปทันที
เซี่ยปิงหรุ่ยมองตามหลังเกาซู่ฟางและเฝิงตันแล้วพูดออกมาตรงๆ ว่า “หล่อนน่ะโกหกแน่นอน หล่อนต้องรู้จักคนตระกูลเกาแน่ๆ”
ฉินมู่หลานสังเกตเห็นท่าทีของเกาซู่ฟาง แต่ก็เข้าใจดีว่าอีกฝ่ายคงไม่อยากเปิดเผยเรื่องราวส่วนตัว พวกเธอจึงไม่ได้ซักไซ้อะไรเพิ่มเติม
เซี่ยปิงหรุ่ยพยักหน้าเห็นด้วยกับฉินมู่หลาน และพูดว่า “แน่สิ หล่อนคงมีเหตุผลของหล่อน”
จากนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อคุยกับฉินมู่หลานเกี่ยวกับโรงงานยา “มู่หลาน มีเพื่อนร่วมห้องคนหนึ่งถามฉันว่าสามารถพาเพื่อนมาทำงานที่โรงงานเหมือนเซียวหลินได้ไหม ฉันยังไม่ได้ตอบอะไร บอกแค่ว่าจะถามผู้จัดการกู้ให้ว่าโรงงานยังขาดคนอยู่หรือเปล่า”
ฉินมู่หลานส่ายหน้าตอบว่า “เรื่องนี้ต้องถามผู้จัดการกู้ ไว้คราวหน้าค่อยถามให้ละเอียด”
“ตกลง งั้นวันเสาร์นี้เราไปด้วยกันเลย”
ฉินมู่หลานพยักหน้ารับคำ
แต่แล้วผู้อาวุโสลั่วที่เงียบอยู่ก็เอ่ยขึ้นมาว่า “ปิงหรุ่ย ตอนที่เธอไปโรงงานยา ก็ช่วยบอกอาฉางกู้ด้วยว่าให้เขากลับมาหน่อย ไม่เห็นเขากลับมาหลายวันแล้ว”
“ได้ค่ะคุณปู่ลั่ว หนูจะบอกอาฉางกู้ให้นะคะ”
ทว่า ฉินมู่หลานและเซี่ยปิงหรุ่ยกลับไม่คาดคิดว่า เมื่อพวกเธอไปถึงโรงงานยาในวันเสาร์ บรรยากาศตรงหน้าโรงงานกลับเต็มไปด้วยความโกลาหล
“กู้วั่งหลาน คนชั่ว คนสารเลว คุณอิจฉาฉัน เห็นฉันมีความสุขไม่ได้ ก็เลยวางแผนทำลายการแต่งงานของฉัน คุณมันแย่มาก”
เสียงตะโกนด่าทอของเล่อฉยงเยี่ยนดังก้องไปทั่ว ผู้คนรอบข้างที่มามุงดูต่างหันไปมองกู้วั่งหลานด้วยสายตาจับจ้อง ต่างก็ไม่ค่อยเชื่อว่าผู้จัดการโรงงานที่สุภาพอ่อนโยนคนนี้จะทำอะไรแบบนั้น แต่คำพูดของหญิงสาวก็สร้างความสงสัยขึ้นมา ใบไม้คงไม่ไหวหากลมไม่พัด หญิงสาวคนนี้พูดออกมาแบบนี้ คงมีอะไรเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
ฉินมู่หลานและเซี่ยปิงหรุ่ยเห็นภาพโกลาหลตรงหน้า จึงรีบเดินเข้าไปหา
ฉินมู่หลานไม่มีภาพจำที่ดีเกี่ยวกับเล่อฉยงเยี่ยนอยู่แล้ว เมื่อเห็นหล่อนมาใส่ร้ายกู้วั่งหลานแบบนี้ ก็พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “คุณเล่อ อย่าพูดจาเหลวไหลนะ คุณมากล่าวหาคนอื่นโดยไร้เหตุผล ระวังเราจะฟ้องเอาได้”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เล่อฉยงเยี่ยนก็โกรธจนอยากจะหัวเราะออกมาดังๆ
“เหอะ…กู้วั่งหลานคิดทุกวิถีทางที่จะทำลายความสัมพันธ์ฉันกับสามี เขาจะพูดว่าตัวเองถูกต้องได้ยังไง ถ้าจะไปฟ้องก็ไปเลย ฉันอยากจะรู้เหมือนกันว่าสุดท้ายจะตัดสินมายังไง”
ท่าทีของเล่อฉยงเยี่ยนที่ราวกับว่าตัวเองไม่ผิด ทำให้ฉินมู่หลานโกรธขึ้นมาทันที เธอยังจำรอยนิ้วมือบวมแดงบนใบหน้าของเหมาชุนเถาได้ แม้เล่อฉยงเยี่ยนจะออกมาขอโทษในภายหลัง แต่รอยนิ้วมือที่ปรากฏอยู่ก็ไม่มีวันลบเลือน
“เล่อฉยงเยี่ยน ฉันอยากรู้จริงๆ ว่าทำไมคุณถึงกล้ามาอาละวาดถึงที่นี่ คุณไม่กลัวว่าเรื่องที่คุณทำจะถูกเปิดเผยหรือไง”
เล่อฉยงเยี่ยนมองฉินมู่หลานอีกทีแล้วก็มองเซี่ยปิงหรุ่ย ก่อนจะหันไปมองกู้วั่งหลานด้วยรอยยิ้มที่ดูถูกและพูดว่า “ กู้วั่งหลาน ฉันนึกไม่ถึงเลยว่าคุณจะยังมีเสน่ห์กับผู้หญิงอยู่มากขนาดนี้ ก่อนหน้านี้ก็มีผู้หญิงที่หย่ากับสามีมาติดพัน แล้วตอนนี้ก็ยังมีหญิงสาวหน้าตาดีอีกสองคนยืนปกป้องคุณ คุณนี่เก่งจริงๆ”
กู้วั่งหลานได้ยินคำพูดเหล่านั้นแล้วก็โกรธจนเส้นเลือดที่หน้าผากปูดโปน “เล่อฉยงเยี่ยน ไม่ใช่ทุกคนที่เหมือนคุณที่พอเห็นชายหญิงเดินด้วยกันก็คิดไปในทางชู้สาว เฮ้อ…ตัวคุณเองประพฤติตัวไม่ดีก็เลยคิดว่าคนอื่นต้องเป็นเหมือนคุณอย่างนั้นเหรอ?”
หลังจากพูดจบกู้วั่งหลานก็เดินไปมองเล่อฉยงเยี่ยนตรงๆ แล้วพูดว่า “คุณมู่หลาน เป็นหัวหน้าโรงงานของเรา ส่วนปิงหรุ่ยก็เป็นหัวหน้าแผนกของเรา สองคนนี้ย่อมต้องปกป้องผมมากกว่าจะมาปกป้องคนนอกอย่างคุณ”
“หยุดนะ…อย่ามา…”
เล่อฉยงเยี่ยนยังพูดไม่ทันจบกู้วั่งหลานก็พูดแทรกขึ้นมา เขาก็ไม่อยากจะพูดเรื่องของตัวเองออกมาหรอก แต่เล่อฉยงเยี่ยนหน้าด้านขนาดนี้ เขาจะรักษาหน้าไปทำไมกัน
“คุณบอกว่าผมทำลายความสัมพันธ์ของคุณกับสามีคนที่สามของคุณ คุณมีหลักฐานอะไรไหม ถ้าหากไม่มี เราก็คงต้องฟ้องคุณข้อหาหมิ่นประมาทแล้วล่ะ แล้วเรื่องที่คุณเคยทำ เมื่อผมนึกขึ้นมาทีไรก็รู้สึกขยะแขยงทุกที ผมเสียใจจริงๆ ที่เคยแต่งงานกับคุณ”
ไหนๆ ก็พูดมาขนาดนี้แล้วกู้วั่งหลานก็ไม่สนใจอะไรแล้ว เขาเล่าเรื่องราวระหว่างเขากับเล่อฉยงเยี่ยนออกมาทั้งหมด แล้วก็พูดถึงเรื่องที่เล่อฉยงเยี่ยนมีลูกไม่ได้ด้วย ปล่อยให้ทุกคนได้อับอายไปด้วยกันซะเลย
“หืม…”
หลังจากที่ได้ยินกู้วั่งหลานพูดจบ ทุกคนก็ต่างก็มองไปที่เล่อฉยงเยี่ยนด้วยความรู้สึกไม่เชื่อ พวกเขาคิดว่าผู้จัดการกู้น่าจะเป็นฝ่ายที่ทำอะไรไม่ดีกับผู้หญิงคนนี้ แต่ที่ไหนได้ผู้จัดการกู้ต่างหากที่เป็นฝ่ายถูกกระทำ แต่งงานกับผู้หญิงคนนี้แล้วไม่มีลูกก็ว่าแย่แล้ว ที่ไหนได้แม้แต่พ่อแม่ของเขาก็ยังจากไป ทำให้ในตอนนี้ผู้จัดการกู้กลายมาเป็นโสด
“ผู้หญิงคนนี้มีหน้ามาเรียกร้องความเดือดร้อนจากผู้จัดการกู้ได้ยังไง หน้าด้านจริงๆ”
“ใช่แล้ว ด้วยเรื่องที่เธอทำเอาไว้ ผู้จัดการกู้พูดถึงเรื่องที่เธอมีลูกไม่ได้ออกไปเธอก็สมควรแล้ว”
“นั่นสิ เธอถึงกับยังมีหน้ามาพูดด้วยความมั่นใจว่าตัวเองไม่ผิด มันช่างไม่รู้จักความละอาย”
เล่อฉยงเยี่ยนไม่คิดเลยว่ากู้วั่งหลานจะกล้าเปิดเผยเรื่องพวกนี้ออกมาต่อหน้าธารกำนัล คนๆ นี้ไม่แม้แต่จะสนใจในหน้าตาของตัวเองแล้วหรือ เขาถูกผู้หญิงทิ้ง ถูกส่งตัวไปทำงานในชนบท เขาคิดว่านั่นคือเกียรติยศเหรอถึงได้พูดออกมาตรง ๆ แต่ถึงแม้ว่าเขาจะไม่สนใจหน้าตาตัวเองแล้ว เขาก็ไม่มีสิทธิ์มาเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของหล่อนได้
“กู้วั่งหลาน! ฉันไม่ปล่อยคุณไว้แน่”
จังหวะที่เล่อฉยงเยี่ยนกำลังจะพุ่งเข้ามา หล่อนกลับถูกมือใหญ่ข้างหนึ่งรั้งไว้เสียก่อน
เล่อฉยงเยี่ยนตาแดงก่ำจากความโกรธ พยายามดิ้นรนสุดแรงแต่ก็ไม่สามารถเอาชนะได้ จึงหันกลับมามองด้านหลัง เมื่อเห็นว่าเป็นอวี๋เฉิงอี้ หล่อนก็รู้สึกมีสติขึ้นเล็กน้อยแล้วถามว่า “คุณอวี๋ คุณมาที่นี่ได้ยังไง?”
อวี๋เฉิงอี้มองหญิงสาวที่กำลังคลุ้มคลั่งตรงหน้าด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า “คุณมาอาละวาดอะไรที่นี่?”
เล่อฉยงเยี่ยนพูดด้วยน้ำเสียงแค้นเคือง “ฉันก็มาทวงความยุติธรรมจากกู้วั่งหลานน่ะสิ เขาวางแผนทำลายความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับคุณ เขาอิจฉาที่ฉันมีความสุข ฉันจะเปิดโปงให้ทุกคนรู้ว่าเขาเป็นคนยังไง”
ฉินมู่หลานหัวเราะเยาะ “เล่อฉยงเยี่ยน เรื่องนี้ไม่ใช่ผู้จัดการกู้เป็นคนแฉ สามีของคุณเองต่างหากที่เริ่มสงสัย เขาเลยสืบเรื่องนี้ด้วยตัวเอง เพียงแต่รู้ช้ากว่าผู้จัดการกู้แค่สองวันเท่านั้น”
เมื่อได้ยินดังนั้นเล่อฉยงเยี่ยนจึงหันไปมองอวี๋เฉิงอี้ทันที
แต่เพียงครู่เดียวก็หันกลับมาจ้องฉินมู่หลานด้วยความโกรธ แล้วแย้งว่า “เธอโกหก”
อย่างไรก็ตาม อวี๋เฉิงอี้กลับพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “คุณหยุดเถอะ เรื่องที่เสี่ยวเตี๋ยไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของเราเป็นความจริงที่ผมสืบมาเอง”
“อะไรนะ…”
สีหน้าของเล่อฉยงเยี่ยนเต็มไปด้วยความประหลาดใจ เธอรู้สึกราวกับว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ แต่เมื่อเธอคิดได้ เธอก็หันมาจ้องอวี๋เฉิงอี้ด้วยความโกรธจัดแล้วพูดว่า “คุณไม่เชื่อฉัน งั้นผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว คุณก็ยังคอยจับผิดฉันเรื่อยมา อวี๋เฉิงอี้ ฉันมองคุณผิดไปจริง ๆ”
เห็นว่าเล่อฉยงเยี่ยนอาละวาดเขาต่อหน้าคนอื่นอย่างไม่เกรงใจเช่นนี้ สีหน้าของอวี๋เฉิงอี้ก็ดูไม่ดีนัก เขาหันไปทางเล่อฉยงเยี่ยนแล้วพูดด้วยเสียงเบา “คุณยังขายหน้าไม่พออีกเหรอ คุณจะมาอาละวาดที่หน้าโรงงานยาของเขาอีกนานแค่ไหน?”
เมื่อได้ยินดังนั้น เล่อฉยงเยี่ยนจึงหันไปมองรอบๆ ตัวและพบว่าทุกคนต่างจ้องมองตนอยู่ สายตาเหล่านั้นราวกับจะกรีดหล่อนเป็นชิ้นๆ
อวี๋เฉิงอี้เห็นสีหน้าของเล่อฉยงเยี่ยนเปลี่ยนไปแล้ว จึงรีบรั้งหล่อนแล้วพูดว่า “ไปกันเถอะ ออกจากที่นี่”
เล่อฉยงเยี่ยนไม่ได้พูดอะไร แต่เห็นด้วยกับข้อเสนอของอวี๋เฉิงอี้ หล่อนไม่อยากอยู่ที่นี่นานกว่านี้แล้ว ไม่งั้นคงจะมีคนมามุงดูตนเป็นตัวตลกมากยิ่งขึ้น
เมื่อเห็นเล่อฉยงเยี่ยนไม่โต้ตอบ อวี๋เฉิงอี้จึงมองไปทางกู้วั่งหลานแล้วพูดว่า “ผู้จัดการกู้ วันนี้ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้คุณลำบาก” พูดจบเขาก็จูงมือเล่อฉยงเยี่ยนจากไปทันที
ฉินมู่หลานเห็นสองคนจากไป ก็อดไม่ได้ที่จะหันไปทางกู้วั่งหลานและเซี่ยปิงหรุ่ย แล้วพูดว่า “เราเข้าไปกันเถอะ”
ทั้งสองได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า กู้วั่งหลานก็หันไปมองคนงานที่รวมตัวกันอยู่ แล้วพูดว่า “รีบเข้าไปทำงานกันเถอะ งานช่วงนี้มีเยอะ ทุกคนห้ามขี้เกียจนะ”
เมื่อดูความสนุกจนหนำใจแล้ว คนทั้งหลายก็ไม่มีความสนใจที่จะอยู่ต่อ รีบมุ่งหน้าไปที่โรงงาน
เพียงแต่ทุกคนก็รู้เรื่องของกู้วั่งหลานกันหมดแล้ว ต่างก็เห็นใจเขาเป็นอย่างมาก
“ไม่แปลกใจเลยที่ผู้จัดการกู้จะเย็นชาและเฉยเมย เพราะที่แท้แล้วเขาก็ผ่านความทุกข์มาเยอะขนาดนี้นี่เอง”
“ใช่ ต่อไปนี้ฉันจะไม่พูดอีกแล้วว่าผู้จัดการกู้เข้าถึงยาก”
วันนี้เซียวหลินและหวงลี่อิงก็อยู่ด้วย ทั้งสองก็เดินตามคนอื่นเข้าไปในโรงงานพลางก็พูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องวันนี้ด้วยเสียงเบา
“คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าผู้จัดการกู้จะมีภรรยาเก่าและอดีตที่แสนเจ็บปวดขนาดนี้ ฟังแล้วอดเศร้าใจไม่ได้”
เมื่อได้ยินเซียวหลินพูดแบบนี้ หวงลี่อิงกลับพูดว่า “แต่อย่างไรก็ตามตอนนี้ผู้จัดการกู้ก็กลับมาแล้วและยังได้เป็นรองผู้จัดการโรงงานยาไม่ใช่เหรอ เล่อฉยงเยี่ยนก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่ง วันนี้หลังจากที่ผู้จัดการกู้ อาละวาดไปแบบนั้น ฉันว่าต่อไปเธอคงลำบากแน่”
เมื่อได้ยินเพื่อนพูดแบบนี้ เซียวหลินก็หันไปมองเธอด้วยความแปลกใจแล้วพูดว่า “แต่ผู้หญิงคนนั้นเป็นแบบนี้ มันก็ไม่เกี่ยวกับผู้จัดการกู้สักหน่อย กลับกันที่เธอเป็นคนทำเรื่องพวกนั้นต่างหาก ที่ส่งผลกระทบต่อผู้จัดการกู้มากมาย แม้กระทั่งทำให้พ่อแม่ของผู้จัดการกู้เสียใจจนไม่สบายใจสุดท้ายก็เสียชีวิตทั้งคู่ที่ไร่”
หวงลี่อิงได้ยินดังนั้นก็หันไปมองเซียวหลินแวบหนึ่งแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
อีกด้านหนึ่ง เมื่อฉินมู่หลานและเซี่ยปิงหรุ่ยมาถึงห้องทำงานของกู้วั่งหลาน แก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองเขาพลางพูดว่า “ผู้จัดการกู้ ต่อไปนี้ถ้าเล่อฉยงเยี่ยนมาก็ให้รปภ.ไล่เธอออกไปเลย”
เมื่อเห็นสีหน้าเป็นห่วงของทั้งสอง กู้วั่งหลานก็อดหัวเราะไม่ได้ “ผมเข้าใจแล้ว ครั้งหน้าผมจะไม่ให้เล่อฉยงเยี่ยนเข้ามาใกล้โรงงานยาแม้แต่ก้าวเดียว”
เมื่อฉินมู่หลานและเซี่ยปิงหรุ่ยเห็นว่ากู้วั่งหลานไม่ได้รับผลกระทบอะไร ก็อดวางใจไม่ได้ แล้วก็ถามถึงวัตถุประสงค์ที่เดินทางมาในครั้งนี้ “ผู้จัดการกู้ ช่วงนี้โรงงานยังขาดคนอยู่ไหม แล้วพวกเพื่อนๆ ที่มาทำงานในโรงงานเป็นอย่างไรบ้าง”
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ถูกต้องค่ะ มาหิ้วเมียออกไปไวๆ คนอื่นเขาจะทำงานต่อ
ไหหม่า(海馬)