ตู้ม!
พลังที่แผ่ออกจากร่างคางคกขาเดียวน่าสะพรึงกลัวเป็นอันมาก ทุกครั้งที่มันกระโดดมาทางนครหลวงจะกินระยะไม่น้อย พลังปราณน่ากลัวของอสูรเวทขั้นเซียนเทพค่อยๆ แผ่กระจายออกมากดทับเมืองทั้งเมืองไว้
เสียงร้องของคางคงดังลั่นเหมือนสายฟ้าฟาด สะท้อนมาเข้าหูชาวเมืองทุกคน
เหนือกำแพงเมืองนครหลวง
จีเฉิงเสวี่ยตามแม่ทัพผู้ทำหน้าที่ปกป้องเมืองมา ทั้งสองยืนอยู่บนกำแพงเมืองสายตามองไปในระยะไกล แต่ชายหนุ่มแทบไม่ต้องกวาดตาหาเลย เนื่องจากร่างกายของคางคกขาเดียวนั้นใหญ่เทอะทะมาก มันเหมือนภูเขาก้อนเนื้อที่สูงขึ้นไปทะลุเมฆ พลังกดดันที่คางคกขาเดียวแผ่ออกมาทำให้จีเฉิงเสวี่ยหายใจไม่ทั่วท้อง
อสูรเวทตัวนี้สูงหลายร้อยฉื่อ บนตัวมันมีแม้กระทั่งเมฆสีขาวลอยล้อมรอบ เหตุใดสิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงกลัวถึงเพียงนี้จึงเดินทางมายังนครหลวงกัน
สิ่งมีชีวิตตัวนี้มีเรื่องโกรธแค้นอะไรกับนครหลวงเช่นนั้นหรือ
“เร็วเข้า! รีบสั่งให้พลธนูเข้าประจำที่…” จีเฉิงเสวี่ยสั่งพลทหารบนกำแพงด้วยน้ำเสียงหมดหวังเล็กน้อย
ภาพของอสูรเวทขั้นเซียนเทพตัวใหญ่เหมือนยักษ์ปักหลั่นตรงหน้าทำให้จีเฉิงเสวี่ยรู้สึกขลาดกลัวขึ้นมาทันที เขาแทบไม่คิดไม่ฝันว่าจะต้องเผชิญหน้ากับอสูรร้ายเช่นนี้เลยด้วยซ้ำ
ก่อนหน้านี้ผู้ฝึกตนขั้นเซียนเทพจากลัทธิอสุราก็มาอาละวาดถึงที่นครหลวง คราวนี้ผีซ้ำด้ำพลอยมีอสูรเวทขั้นเซียนเทพมาเยือนอีก... นครหลวงไปทำบาปทำกรรมอะไรไว้มากมายจึงต้องเจอเรื่องเช่นนี้อยู่เป็นประจำกัน
ตอนที่บิดาของเขาครองบัลลังก์ ปัญหาบ้านเมืองไม่ได้มากมายก่ายกองเช่นนี้เลย…
จีเฉิงเสวี่ยรู้สึกปวดศีรษะหนึบขึ้นมาทันที เขาพิงหินเย็นๆ บนกำแพงเมือง ยิ่งมองคางคกก็ยิ่งหมดกำลังใจจะไปต่อ
ตู้ม!
คางคกยักษ์กระแทกเท้าลงพื้นอีกครั้ง คราวนี้มันเข้ามาใกล้พอที่คนอื่นจะเห็นรูปร่างของมันได้อย่างชัดเจน ทันทีที่มันลงถึงพื้น นครหลวงก็สั่นสะท้านไปทั้งเมือง
เมื่อแผ่นดินสะเทือน บรรดาชาวเมืองจึงเยี่ยมหน้าออกมา แล้วก็ได้เห็นอสูรเวทตัวใหญ่เท่าภูเขา มันเป็นอสูรเวทคางคกที่ตัวใหญ่มากเสียจนสูงเสียดฟ้าเลยทีเดียว
ความน่าเกลียดน่ากลัวของคางคกขาเดียวทำให้ชาวเมืองตกอยู่ในความโกลาหลทันที
ชีวิตอันสงบสุขของพวกเขาถูกก่อกวนอีกครั้ง
เมื่อจีเฉิงเสวี่ยเห็นบรรดาชาวเมืองแตกตื่น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นขมึงทึง
“พลแม่นธนู ยิงมันเลย! ฆ่ามันเสีย”
จีเฉิงเสวี่ยทุบกำแพงเมืองที่ทำจากหินเย็นเยียบพลางตะโกนสั่งด้วยความโกรธแค้น เสียงของเขาฟังดูไม่ยอมจำนนต่อชะตากรรมที่เกิดขึ้นง่ายๆ
วืด! วืด! วืด!
บรรดาพลแม่นธนูที่ยืนตั้งแถวอยู่ปล่อยคันธนูทันที ลูกธนูมากมายนับไม่ถ้วนพุ่งตัดอากาศไปพร้อมเสียงสายธนูเด้งกลับเข้าที่ ห่าฝนธนูพรั่งพรูลงมาจากท้องฟ้า ขนาดตัวที่ใหญ่โตมหึมาของคางคกยักษ์ทำให้มันเป็นเป้าธนูได้อย่างง่ายดาย
อย่างไรเสียคางคกขาเดียวก็เป็นถึงอสูรเวทขั้นเซียนเทพ กายเนื้อของมันมีความแข็งแกร่งทนทานมาก แน่นอนว่าลูกธนูธรรมดาย่อมเจาะผิวหนังของมันไม่เข้า
แม้พลังปราณของพลแม่นธนูจะไม่ได้ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน พวกเขามีปราณระดับสามและสี่ ซึ่งเรียกได้ว่าแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปเป็นอันมาก ทว่าคนเหล่านี้ก็ยังเป็นได้เพียงมดปลวกเบื้องหน้าคางคกขาเดียวอยู่ดี
ห่าฝนธนูตกลงใส่ขาของคางคกแล้วกระเด้งกลับไป ทำไม่ได้แม้แต่จะเจาะผ่านผิวหนังของมัน
ตู้ม!
มันกระโจนลงถึงพื้นอีกครั้งแล้วในที่สุดก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูเมืองนครหลวง พร้อมด้วยลมกระโชกแรงที่ซัดผ่านทุกคนที่ยืนอยู่บนกำแพงเมือง ลมพายุนั้นร้ายแรงเสียจนทำเอาบรรดาทหารที่ยืนอยู่บนกำแพงเมืองถึงกับเซถลาจนแทบพลัดตกลงมาเลยทีเดียว
สีหน้าของจีเฉิงเสวี่ยเย็นเยียบเหมือนน้ำแข็ง เขาเอามือไพล่หลัง ยืนหลังตรงอย่างภาคภูมิอยู่บนกำแพงเมือง ลมพายุซัดผ่านตัวของชายหนุ่มอย่างแรง ทำให้เสื้อผ้าและผมของเขาปลิวไสวไปตามสายลม
แม้ดวงตาของจีเฉิงเสวี่ยจะมีความกลัวแฝงอยู่ แต่เขาก็เป็นถึงจักรพรรดิของอาณาจักร ต่อให้ท้องฟ้าถล่มแผ่นดินทลายเขาก็จะไม่มีวันคุดคู้ด้วยความหวาดกลัว
พอคางคกขาเดียวมาหยุดอยู่ตรงหน้ากำแพงเมือง มันก็สอดส่ายดวงตาไปมาเล็กน้อย จากนั้นจึงหันมาจับจ้องจีเฉิงเสวี่ยที่อยู่บนกำแพงเมือง
อ๊บ!
เสียงร้องอ๊บดังขึ้นในอากาศอีกครั้ง
ตอนนี้บรรดาชาวเมืองเห็นอสูรเวทยักษ์ที่มายืนจังก้าอยู่หน้าเมืองได้แจ่มชัดแล้ว ร่างกายของมันใหญ่โตมากจริงๆ แน่นอนว่าคนธรรมดาทั่วไปย่อมไม่เคยเห็นอสูรเวทตัวใหญ่เช่นนี้มาก่อนในชีวิต ร่างของมันนั้นเหมือนภูเขาสูงชันที่ย้ายมาตั้งอยู่หน้าประตูเมือง แค่ยืนอยู่ตรงนั้นก็สามารถปล่อยรัศมีพลังปราณที่แทบทำเอาผู้คนสำลักออกมาได้แล้ว
เสียงแตกตื่นโกลาหลดังไปทั่วเมือง บรรดาชาวเมืองที่เห็นคางคกยักษ์เข้าไปเต็มตาต่างขวัญกระเจิงไปหมด พวกเขารู้สึกราวกับตนเองกำลังมองปีศาจร้ายน่ากลัวจากนรก ทำเอาเข่าอ่อนยวบจนต้องทรุดลงกับพื้น
“เจ้าคือจักรพรรดิของจักรวรรดิวายุแผ่วหรือ”
ขณะที่จีเฉิงเสวี่ยกำลังทำใจว่าเห็นทีตนเองจะต้องตายเป็นแน่แท้อยู่นั้น เขาก็ได้ยินเสียงแหบแห้งดังขึ้น จากนั้นคนสองคนก็กระโดดออกจากศีรษะของคางคกยักษ์มาลอยอยู่ตรงหน้า
จีเฉิงเสวี่ยชะงักทันทีที่เห็นว่าชะตากรรมของตนเปลี่ยนไป เขาค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองคนเหล่านั้น แล้วก็เห็นว่าพวกเขาเป็นชายที่มีพลังปราณแข็งแกร่งและร่างกายกำยำ
“ข้าคือจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิวายุแผ่วนามว่าจีเฉิงเสวี่ย ข้าไม่รู้ว่าจักรวรรดิของเราไปหมางใจกับพวกท่านตอนไหน พวกท่านถึงต้องนำอสูรเวทที่น่ากลัวเช่นนี้มายึดเมืองของข้า” จีเฉิงเสวี่ยพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้แสดงความอ่อนโอนหรือหยิ่งทะนง
“ยึดเมืองเจ้ารึ กับอีแค่นครหลวงน่ะพวกข้าไม่จำเป็นต้องมาทำลายด้วยตนเองเสียหน่อย พวกข้าแค่อยากรู้ว่า…ปู้ฟางอยู่ในเมืองหรือไม่ก็เท่านั้น”
แววรังเกียจดูแคลนวาบเข้ามาในดวงตาของผู้ฝึกตนจากวิหารเทพเจ้าลงทัณฑ์ ดูก็รู้ว่าคนผู้นี้ไม่ได้สนใจจักรวรรดิที่แสนธรรมดาแห่งนี้แม้แต่น้อย
เมื่อได้ยินคำถาม จีเฉิงเสวี่ยก็ชะงักไปทันที คนพวกนี้มาตามหาเถ้าแก่ปู้เช่นนั้นหรือ
“ข้ารู้ว่าปู้ฟางอยู่ในนครหลวง รีบส่งตัวเขามาเร็ว บอกให้ไอ้หมอนั่นยอมสละหมื่นไฟประลัยกัลป์เสียแต่โดยดี… แล้วพวกข้าจะปล่อยที่แห่งนี้ไป หาไม่แล้วพวกข้าจะสั่งให้อสูรเวทคางคกไปเดินชมเมืองของเจ้าให้ราบ... รับรองว่าแบนยิ่งกว่าหน้ากลองเสียอีก”
ผู้ฝึกตนขั้นเซียนเทพจากวิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏพูดออกมาด้วยน้ำเสียงชั่วร้าย แววเย็นเยียบส่องประกายวาวโรจน์ในดวงตา เมื่อประสานสายตากับชายผู้นี้ จีเฉิงเสวี่ยก็รู้สึกเหมือนตนเองถูกคว้าศีรษะแล้วโยนเข้าไปในถ้ำน้ำแข็ง
จักรพรรดิหนุ่มทั้งงุนงงและตกใจเป็นอันมาก เหตุใดคนเช่นนี้จึงมาตามหาตัวเถ้าแก่ปู้กัน
ครั้งล่าสุดที่มีคนมายึดเมือง พวกนั้นก็มาตามหาเถ้าแก่ปู้ ครั้งนี้คนเหล่านี้ก็มาพร้อมอสูรเวทขั้นเซียนเทพเพื่อก่อเรื่องอีก นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นกันแน่… เถ้าแก่ปู้ เจ้าไปทำความผิดอะไรให้คนพวกนี้ต้องมาตามล่ากันนะ
…..
แผ่นดินไหวและเสียงร้องอ๊บดังลั่นทำให้ปู้ฟางที่ยังอยู่ในจวนตระกูลเซียวถึงกับสะดุ้ง เขาค่อยๆ เดินออกมาจากห้องของเซียวเหมิงไปยังบริเวณสวนของจวน แล้วก็เห็นบรรดาหมอหลวงคุกเข่าอยู่กับพื้นด้วยท่าทางหวาดกลัว
ดวงตาของเซียวเสี่ยวหลงเองก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัวเช่นกัน
ปู้ฟางมุ่นคิ้วเล็กน้อยพลางเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า เขาเห็นเงาใหญ่ยักษ์ที่ยืนอยู่หน้าเมือง เงานั้นสูงเสียดฟ้า เป็นอสูรเวทตัวใหญ่ที่น่าสะพรึงกลัวเป็นอันมาก
อสูรเวทดังกล่าวคือเจ้าคางคกขาเดียว อสูรเวทที่เขาเคยเจอมาก่อนหน้านี้นั่นเอง
ปู้ฟางเลิกคิ้ว เขาไม่ได้คาดคิดแม้แต่น้อยว่าคนพวกนี้จะดั้นด้นตามเขามาถึงนครหลวง
แล้วยังมาบอกให้คืนหมื่นไฟประลัยกัลป์ด้วยหรือ น่าเสียดายที่หมื่นไฟประลัยกัลป์นั้นหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับร่างของเขาเรียบร้อยแล้ว ต่อให้อยากได้ก็คงไม่มีวันได้ไป และหากต้องการเอาชีวิตเขา…ก็เสียใจด้วยเพราะพวกเจ้าไม่มีน้ำยาพอ
ทุกคนตัวสั่นงันงกเมื่อเห็นคางคกขาเดียวที่อยู่นอกนครหลวง
ขณะที่ปู้ฟางกำลังมองขึ้นฟ้าอยู่นั้น เซียวเยียนอวี่ก็กลับมาพร้อมถุงใหญ่ที่แบกไว้บนหลัง
ใบหน้าสวยเหมือนนางฟ้าของนางแดงเรื่อเล็กน้อย เม็ดเหงื่อผุดขึ้นบนหน้าผาก
“เถ้าแก่ปู้ ข้าได้วัตถุดิบมาหมดแล้ว”
เซียวเยียนอวี่ส่งถุงใบใหญ่ให้ปู้ฟางโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย วัตถุดิบเหล่านี้ไม่ใช่วัตถุดิบธรรมดาทั่วไป แต่เป็นหอยเป๋าฮื้อปราณทมิฬ หูฉลามเสือโคร่ง โสมแหลมทะเลลึก และวัตถุดิบอื่นๆ ที่ล้วนแล้วแต่ล้ำค่าทั้งสิ้น การที่เซียวเยียนอวี่ไปหาทั้งหมดนี้มาได้ในระยะเวลาสั้นๆ นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านางใช้เงินไปมากเพื่อการนี้
“ฮึ! เจ้านี่โง่แล้วอวดฉลาดโดยแท้ วัตถุดิบเหล่านี้เป็นยาบำรุงอย่างแรง ด้วยอาการของเซียวเหมิงในตอนนี้ หากกินเข้าไปแม้แต่คำเดียวมีหวังไม่รอดแน่”
แม้เหล่าหมอหลวงจะกลัวคางคกขาเดียวจนแขนขาอ่อนเปลี้ยไปหมด แต่พวกเขาก็รู้สึกโกรธเคืองเมื่อเห็นเซียวเยียนอวี่ส่งวัตถุดิบราคาแพงในถุงให้ปู้ฟาง
หมอหลวงเหล่านี้มีความรู้ด้านการแพทย์ดีทีเดียว พวกเขารู้ดีว่าคนที่สุขภาพร่างกายเปราะบางไม่สามารถทานทนฤทธิ์ของยาบำรุงได้แน่นอน
ปู้ฟางปรายตามองเหล่าหมอหลวง ปากกระตุกเล็กน้อย
“หากพวกเจ้าเก่งมากทำไมไม่มาช่วยเซียวเหมิงเสียเองเล่า” ปู้ฟางพูดเสียงเรียบ
พอได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม สีหน้าของบรรดาหมอหลวงก็เปลี่ยนไปทันที พวกเขากำลังจะวิพากษ์วิจารณ์ชายหนุ่มต่อ แต่เมื่อได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายพูด คำพูดที่เตรียมเอาไว้สั่งสอนไอ้หนุ่มปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมตรงหน้าก็ไหลกลับลงคอไปหมดสิ้น พวกเขาไม่รู้วิธีรักษาเซียวเหมิงจริงๆ
ในเมื่อไม่สามารถดุด่าปู้ฟางได้อีก บรรดาหมอหลวงจึงพ่นลมเยาะอย่างดื้อดึง จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อแล้วเอ่ย “แม้พวกเราจะไม่รู้วิธีรักษาเซียวเหมิง แต่ก็ใช่ว่าพ่อครัวจะรู้วิธีถอนพิษยาเสียเมื่อไหร่”
พวกเขาเหล่านี้เป็นถึงหมอหลวงประจำวังหลวง เป็นหมอที่ฝีมือเก่งกาจที่สุดในจักรวรรดิวายุแผ่ว เป็นแค่พ่อครัวจะไปรู้วิธีรักษาอาการป่วยจากยาพิษที่แม้แต่หมอที่เก่งที่สุดในจักรวรรดิยังทำไม่ได้ได้อย่างไร
ไอ้หมอนี่จะทำอาหารเลี้ยงคนใกล้ตายเช่นนั้นหรือ หากมีพ่อครัวที่เก่งกาจราวเทพอยู่จริง เหตุใดจึงไม่ลอยขึ้นไปอยู่กับเง็กเซียนฮ่องเต้เสียเลยเล่า เช่นนั้นน่าจะเข้าทีกว่า
ปู้ฟางกลอกตาใส่ จากนั้นก็ไม่ใส่ใจจะต่อปากต่อคำกับหมอหลวงแก่ๆ หัวดื้ออีก เขารับวัตถุดิบทั้งหมดมา พลางเอามือไพล่หลัง แล้วเดินออกจากจวนตระกูลเซียวไป
“พาเซียวเหมิงมาที่ร้านข้าก็แล้วกัน”
เซียวเยียนอวี่และเซียวเสี่ยวหลงชะงักทันทีที่ได้ยิน แต่ไม่กี่อึดใจก็รีบรุดเข้าห้องไปด้วยความยินดีปรีดา ทั้งสองตั้งใจจะแบกเซียวเหมิงไปที่ร้านเล็กๆ ของฟางฟาง
พอปู้ฟางออกจากจวนตระกูลเซียวมา เขาก็มุ่งหน้ากลับร้านทันที ระหว่างทางก็นึกถึงวิธีการทำพระกระโดดกำแพงไปด้วย
เขามีวัตถุดิบเพียงพอที่จะทำได้แค่หนึ่งครั้งเท่านั้น แปลว่าจะพลาดไม่ได้เด็ดขาด เงื่อนไขนี้ทำให้ปู้ฟางต้องรอบคอบมากในการพยายามทำพระกระโดดกำแพงครั้งนี้
ด้านหน้าประตูเมือง
ขั้นเซียนเทพจากวิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏไม่อยากต่อปากต่อคำกับจีเฉิงเสวี่ยอีกต่อไป
คางคกขาเดียวกลอกตาไปมาพลางกระโดดเข้าใส่นครหลวงทันที มันตั้งใจจะเหยียบเมืองให้แบนเละจนกว่าปู้ฟางจะยอมออกมา หลังจากที่กระโดดไปยืนบนกำแพงเมืองได้ มันก็จัดการกระทืบเท้าลงบนพื้นที่ที่คนอยู่กันหนาแน่น
บรรดาชาวเมืองที่อยู่ใต้รัศมีฝ่าเท้ารีบวิ่งหนีตายกันจ้าละหวั่น ดวงตาเต็มไปด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง เคราะห์ดีที่จีเฉิงเสวี่ยสั่งอพยพชาวเมืองไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว มิเช่นนั้นคนที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้คงมากเกินกว่าจะนับไหว
เสียงกระแทกดังลั่น ส่งให้ตึกรามบ้านช่องมากมายกลายเป็นซากปรักหักพังทันที แรงกระทืบนั้นทำให้ตึกทรุดตัวลง พื้นยุบลงไปเป็นโพรง
เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับตา จีเฉิงเสวี่ยก็โกรธมากเสียจนใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีดำทะมึน เขารู้สึกว่าตนนั้นไร้ความสามารถอย่างสิ้นเชิง แม้แต่จะหยุดไม่ให้คางคกตัวนี้ทำลายบ้านเมืองของตนก็ยังทำไม่ได้
ถึงเขาจะเป็นจักรพรรดิแต่ก็ไม่ได้มีพลังปราณแก่กล้ามาก หากต้องเผชิญหน้ากับขั้นเซียนเทพ เขาคงจะตายก่อนได้ทันอ้าปาก
ทันทีที่ปู้ฟางเดินออกจากจวนตระกูลเซียวมา คางคกก็พลันสัมผัสได้ถึงพลังของชายหนุ่ม นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้คางคกรีบพุ่งเข้าใส่เมืองในตอนแรก การที่มีอสูรเวทตัวใหญ่ยักษ์ขนาดนี้มาบุกเมืองนับเป็นเรื่องอันตรายร้ายกาจมากทีเดียว ต่อหน้าอสูรร้ายเช่นนี้ ตึกรามบ้านช่องก็ไม่ต่างอะไรจากเศษกระดาษ
ปู้ฟางอยู่ที่หน้าร้านของตนและกำลังจะเดินเข้าไปด้านใน
ทันใดนั้นเท้าขนาดใหญ่ก็ตกลงมาจากฟ้า แล้วฟาดเอาตึกที่อยู่ข้างๆ ร้านปู้ฟางจนกลายเป็นเศษซากไปหมด ตึกเหล่านี้เพิ่งสร้างเสร็จไม่นาน...บัดนี้ก็มาพังราบคาบอีกรอบแล้ว
ลมแรงพัดหอบใส่ชายหนุ่มพร้อมเศษอิฐหินดินทรายที่อยู่บนพื้น
ชั่วขณะที่ลมแรงและเศษอิฐพัดเข้าใส่ร้าน มันก็เริ่มอ่อนกำลังลงทันที ยิ่งเข้าใกล้ร้านมากเท่าไร ลมนั้นก็ยิ่งหมดกำลังลงเท่านั้น อิฐตกลงสู่พื้น ส่วนลมแรงก็สลายกลายเป็นเพียงลมเอื่อยๆ
ปู้ฟางเอามือออกจากไม้กระดานพลางเหลือบตามองคางคงยักษ์ขั้นเซียนเทพ แม้หัวของมันจะสูงเสียดฟ้า แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้เกรงกลัวแม้แต่น้อย สิ่งเดียวบนใบหน้าของชายหนุ่มที่เปลี่ยนไปคือคิ้วที่เลิกขึ้นด้านบน
“ข้าว่าถ้าใส่เนื้อคางคกลงในพระกระโดดกำแพงด้วย ผลลัพธ์น่าจะออกมาดีกว่าเดิมแน่นอน และฤทธิ์ในการขับพิษก็น่าจะดีขึ้นด้วย…”
มุมปากของปู้ฟางกระตุกเมื่อคิดถึงสิ่งนี้
คางคกขาเดียวกลอกตาพลางมองมายังปู้ฟาง หัวใจของมันสั่นสะท้านอย่างบอกไม่ถูก จากนั้นเสียงร้องอ๊บดังลั่นก็ทำเอาโลกทั้งใบแทบสั่นไหว