ทุกวันนี้สภาพของเซียวเสี่ยวหลงย่ำแย่มาก แม้เขาจะยังดูแลร้านตามที่ปู้ฟางบอก และทำอาหารตามขั้นตอนที่ปู้ฟางสอน แต่ชายหนุ่มกลับอ่อนล้าราวกับสิ้นแรงอยู่ภายใน นั่นเพราะอาการป่วยของเซียวเหมิงนั้นทรุดหนักลงเรื่อยๆ พิษร้ายแทรกซึมไปทั่วร่าง พลังชีวิตของชายวัยกลางคนอ่อนแรงลง ดูเหมือนว่าความตายจะมาเยือนเขาในอีกไม่ช้าแล้ว
แม้จักรพรรดิจะส่งหมอหลวงมาคอยรักษาเซียวเหมิงทุกวัน แต่ก็ไม่มีใครทำอะไรได้ พวกเขาทำได้เพียงถอนใจออกมาด้วยความสิ้นหวังเท่านั้น
ผู้เป็นบิดากำลังจะจากโลกใบนี้ไป แล้วบุตรชายยังจะมีความสุขอยู่ได้อย่างไร
ด้วยเหตุนี้ทุกวันนี้เซียวเสี่ยวหลงจึงค่อนข้างเหม่อลอย
แต่เขาก็ยังมีความหวังอยู่ เพราะก่อนที่ปู้ฟางจะจากไป ชายหนุ่มได้บอกเซียวเสี่ยวหลงไว้ว่าพอเขากลับมา เขาอาจมีวิธีรักษาเซียวเหมิงก็เป็นได้ เซียวเสี่ยวหลงจำคำพูดนั้นได้ขึ้นใจ และเฝ้ารอวันที่ปู้ฟางจะกลับมาอย่างใจจดใจจ่อ
แม้ปู้ฟางจะหายตัวไปเพียงครึ่งเดือน แต่ช่วงเวลานั้นก็เหมือนนานชั่วกัปชั่วกัลป์สำหรับเซียวเสี่ยวหลง
“เถ้าแก่ปู้! ท่านกลับมาแล้ว” เซียวเสี่ยวหลงตื่นเต้นมากเสียจนขอบตาเริ่มแดงเรื่อ
เมื่อปู้ฟางที่กำลังนอนเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้อย่างสบายอุราเห็นเซียวเสี่ยวหลงกำลังเดินเข้ามา ชายหนุ่มก็อยากตะโกนทักอีกฝ่าย แต่เมื่อเห็นอาการตื่นเต้นจนใจแทบขาดของชายหนุ่มหน้าสวย ตัวเขาเองก็ไปต่อไม่ถูก
ทว่าทันทีที่ได้ยินคำทักทาย ปู้ฟางก็นึกขึ้นได้ว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงตื่นเต้นถึงเพียงนี้ นั่นเพราะเซียวเหมิงถูกพิษของลัทธิอสุราเข้าไปอย่างไรเล่า เมื่อปู้ฟางนึกเรื่องนี้ออก เขาก็อดถอนใจออกมาไม่ได้
พอปู้ฟางเห็นความหวังในดวงตาของชายหนุ่มตรงหน้า เขาก็พูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “ไม่ต้องกังวลไป พอร้านปิดข้าจะไปดูอาการเซียวเหมิงด้วยตนเอง เพื่อดูว่าจะช่วยรักษาเขาได้หรือไม่”
เซียวเหมิงและปู้ฟางถือเป็นสหายเก่าแก่ที่รู้จักกันมานาน ปู้ฟางย่อมต้องช่วยอีกฝ่ายให้พ้นความตายจากยาพิษอยู่แล้ว คงจะนิ่งดูดายไม่ได้อย่างแน่นอน
ทันทีที่เซียวเสี่ยงหลงได้ยินคำพูดนั้น เขาก็รู้สึกใจชื้น พลันกลับมามีเรี่ยวแรงแล้วรีบเดินเข้าครัวไป
ปู้ฟางยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยท่าทางสบายๆ เขามองเมฆที่ล่องลอยอยู่บนฟ้า พลางดื่มด่ำความสงบที่หาได้ยากยิ่ง
เรื่องราวของกองทัพที่มาล้อมเมืองเอาไว้เมื่อครั้งก่อนกลายเป็นอดีตไปแล้ว ลูกค้าเริ่มกลับมาเข้าร้านอีกครั้ง หลายคนที่มากินอาหารที่ร้านเอ่ยทักปู้ฟางด้วยรอยยิ้มทันทีที่เห็นชายหนุ่มนั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าร้าน
ส่วนปู้ฟางก็พยักหน้ากลับเช่นกัน
“เถ้าแก่ปู้ ไม่ได้เจอกันเสียนาน ช่วงนี้ท่านออกไปศึกษาอาหารชนิดใดเล่า”
เจ้าอ้วนจินมาพร้อมกองทัพชายอ้วนที่เดินกันเต็มตรอก เขาร้องทักปู้ฟางด้วยรอยยิ้ม เจ้าอ้วนจินเป็นลูกค้าเก่าแก่ ตั้งแต่ที่ชื่อเสียงของร้านเริ่มระบือไปไกล ทั้งความสามารถในการต่อสู้ของปู้ฟางและความยิ่งใหญ่ของร้านก็แพร่กระจายไปทั่วนครหลวงจนเรียกได้ว่าไม่มีใครไม่รู้จัก
แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เจ้าอ้วนจินยี่หระแม้แต่น้อย เขาเป็นเพียงลูกค้าธรรมดาที่มากินอาหารที่ร้านเท่านั้น
โอวหยางเสี่ยวอี้เดินมาที่ร้านอย่างอารมณ์ดี ทันทีที่เห็นปู้ฟางนางก็กรีดร้องออกมา
ปู้ฟางหันไปมองอีกฝ่ายอย่างเกียจคร้าน แล้วก็เห็นว่าแม่หนูคนนี้โตขึ้นอีกแล้ว เด็กหญิงสูงชะลูดและดูสง่างามมากกว่าเดิม เขาคุยกับนางสักพักหนึ่งก่อนจะลุกจากเก้าอี้เพื่อยืดเส้นยืดสายบิดขี้เกียจ แล้วเดินกลับเข้าห้องครัวไป
ร้านเริ่มเปิดทำการอีกครั้ง โอวหยางเสี่ยวอี้นำรายการอาหารที่ลูกค้าสั่งมาบอกเขาผ่านหน้าต่างครัว
พอรับรายการมา ชายหนุ่มก็เริ่มทำอาหารพร้อมเซียวเสี่ยวหลง เขาไม่ได้ใช้กระทะกลุ่มดาวเต่าดำหรือเปลวเพลิงอัคนีแห่งสวรรค์และปฐพี แต่ทำอาหารอย่างปกติธรรมดา
ทว่าแม้จะทำอาหารแบบที่ทำเป็นปกติ อาหารของปู้ฟางก็ยังส่งกลิ่นหอมเข้มออกจากครัวทะลุทะลวงไปทั่วร้านเลยทีเดียว
ลูกค้าทุกคนตื่นเต้นเป็นอันมากที่ปู้ฟางจะเป็นคนลงมือทำอาหารเองในวันนี้ นั่นเพราะเดี๋ยวนี้การจะได้ชิมอาหารฝีมือปู้ฟางถือเป็นเรื่องยากเย็นนัก
ยิ่งชื่อเสียงของร้านดังไปไกลเท่าไหร่ ผู้คนก็ยิ่งหลั่งไหลกันมาที่ร้านมากขึ้น
มีผู้คนมากมายที่ดั้นด้นเดินทางมาหลายพันลี้จากอาณาจักรอื่นเพื่อชิมอาหารของร้านด้วย แน่นอนว่ารสชาติของอาหารก็ไม่ทำให้พวกเขาผิดหวัง แม้อาหารส่วนมากจะเป็นฝีมือของเซียวเสี่ยวหลง แต่พวกเขาก็ยังอิ่มเอมมีความสุข เนื่องจากทักษะการทำอาหารของเซียวเสี่ยวหลงนั้นพัฒนาขึ้นชนิดก้าวกระโดดด้วยการฝึกแสนเข้มงวดของปู้ฟาง
กระนั้นคนที่มาที่ร้านส่วนมากก็ยังหวังว่าตนจะได้ชิมอาหารฝีมือปู้ฟาง ผู้ที่ลือกันว่าเป็นพ่อครัวที่ยอดเยี่ยมที่สุดในอาณาจักร
หากพวกเขาได้กินอาหารฝีมือของชายหนุ่ม รับรองต้องเอาไปอวดชาวบ้านอยู่หลายปีเลยทีเดียว
บรรยากาศในร้านอบอุ่นเป็นกันเอง เมื่อเวลาปิดร้านใกล้มาถึง ที่หน้าร้านก็ยังมีลูกค้าเข้าแถวรออยู่
พอพวกเขาได้รับแจ้งว่าร้านปิดทำการแล้วในวันนี้ ทุกคนต่างก็ผิดหวังและดูละล้าละลัง ทว่าก็ยอมจากไปแต่โดยดีไม่ได้พยายามก่อเรื่องแต่อย่างใด
ปู้ฟางเช็ดมือจนแห้งแล้วเดินออกจากห้องครัวมาพร้อมขนมปังหอยนางรม
เซียวเสี่ยวหลงเดินตามเขามาด้วยอย่างใจจดใจจ่อ
ปู้ฟางส่งขนมปังหอยนางรมให้โอวหยางเสี่ยวอี้ แล้วลากเก้าอี้ออกมานั่ง จากนั้นก็กัดขนมปังหอยนางรม ทันทีที่หอยนางรมแสนอร่อยเข้าปาก กลิ่นหอมเข้มข้นก็ฟุ้งกระจายไปทั่วปาก
โอวหยางเสี่ยวอี้ที่รู้สึกกระสับกระส่ายอยากอาหารรีบนั่งลงแล้วกินขนมปังหอยนางรมอย่างรวดเร็ว
แม้เซียวเสี่ยวหลงจะกระสับกระส่ายไม่แพ้กันด้วยเหตุผลอื่น แต่เขาก็สังเกตว่าปู้ฟางดูสงบนิ่งไม่รีบร้อนเท่าใด จึงทำได้เพียงนั่งลงแล้วกินขนมปังหอยนางรมด้วยเช่นกัน
ขนมปังหอยนางรมนี้ปู้ฟางเป็นคนลงมือทำเอง พลังปราณที่อยู่ภายในจัดได้ว่าเข้มข้นเลยทีเดียว มันทั้งอร่อยและมีประโยชน์ต่อร่างกาย ทำให้เซียวเสี่ยวหลงและโอวหยางเสี่ยวอี้หายเหนื่อยจากการทำงานหนักทั้งวันทันที
พอกินขนมปังหอยนางรมเสร็จ ปู้ฟางก็มองเซียวเสี่ยวหลงแล้วค่อยๆ ลุกขึ้นยืน เขาเปลี่ยนเสื้อผ้า จัดการปิดร้าน จากนั้นก็เดินตามเซียวเสี่ยวหลงและโอวหยางเสี่ยวอี้ไปที่จวนตระกูลเซียว
เมื่อโอวหยางเสี่ยวอี้รู้ว่าปู้ฟางจะไปรักษาอาการป่วยของเซียวเหมิง นางก็เดินตามไปด้วยอย่างร่าเริง
ตระกูลโอวหยางและตระกูลเซียวนั้นสนิทกันพอตัว พอโอวหยางเสี่ยวอี้รู้ว่าเซียวเหมิงอาจอยู่ได้อีกไม่นาน นางก็เศร้าใจเป็นอันมาก เมื่อรู้ว่าปู้ฟางมีวิธีช่วยชีวิตแม่ทัพใหญ่ นางก็ตื่นเต้นดีใจขึ้นมาทันที
โอวหยางเสี่ยวอี้มองปู้ฟางด้วยดวงตาเป็นประกายพลางคิดในใจ ‘นายท่านตัวเหม็นนี่ยอดเยี่ยมขึ้นเรื่อยๆ เลยนะ!’
ในที่สุดทั้งสามก็เข้าไปยังจวนตระกูลเซียว นี่เป็นครั้งแรกที่ปู้ฟางมาที่นี่ เขาจึงค่อนข้างสงสัยใคร่รู้พอตัว จวนหลังนี้ก่อสร้างอย่างสลับซับซ้อนจนดูเหมือนเขาวงกต ทำให้ปู้ฟางงุนงงไปหมดจนเกือบหลงทาง แต่เซียวเสี่ยวหลงที่เป็นเจ้าบ้านก็เดินนำทางอีกฝ่ายไปถึงห้องของเซียวเหมิงจนได้
กลุ่มคนมากมายยืนอยู่ที่ประตูห้องของเซียวเหมิง
เซียวเยี่ยนอวี่ที่ไม่ได้เห็นหน้าค่าตาปู้ฟางเสียนานก็ยืนอยู่ที่นั่นด้วย ใบหน้าของนางซีดเผือด ดวงหน้าสวยดูซูบผอมไปถนัดตา
ทันทีที่ปู้ฟางเห็นเซียวเยี่ยนอวี่ หญิงสาวเองก็สังเกตเห็นเขาเช่นกัน หญิงสาวเผลอเผยอริมฝีปาก ดูเหมือนจะตกใจกับการปรากฏตัวของอีกฝ่ายพอตัว แต่พอนางคิดได้ว่าเขามาเพราะอะไร ความตื่นเต้นก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่สวยเหมือนนางฟ้านางสวรรค์ของนาง
…
ณ ท้องพระโรงหลวงแห่งจักรวรรดิวายุแผ่ว
ครึ่งเดือนที่ผ่านมาจีเฉิงเสวี่ยปกครองบ้านเมืองอย่างสบายใจสบายกาย
ทันทีที่กองทัพของจีเฉิงอวี่ล่าถอยไป กองทัพของจักรวรรดิก็ไล่ตีพวกเขาไปจนถึงชายแดนของอาณาจักรจนออกนอกเขตแดนไป ภารกิจของพวกเขาจึงถือว่าสำเร็จเสร็จสิ้น บรรดากลุ่มอำนาจจากสำนักต่างๆ เริ่มจากไปทีละคนสองคน จนอาณาจักรกลับมาสงบสุขอีกครั้ง
จีเฉิงเสวี่ยนั่งเอกเขนกอยู่บนบัลลังก์มังกร โดยมีหญิงสาวสะสวยอ่อนหวานกำลังใช้นิ้วที่งดงามราวหยกนวดขมับของชายหนุ่มเพื่อคลายความเหนื่อยล้า
ในฐานะจักรพรรดิของอาณาจักร เขาจึงมีสาวสวยถึงสามพันคนในครอบครอง แต่ชายหนุ่มก็ไม่มีเวลาเล่นสนุกกับพวกนางมากนักเนื่องจากกิจการบ้านเมืองรัดตัวเป็นอย่างมาก นานๆ ทีเขาถึงจะเรียกนางสนมสองสามคนให้มาช่วยคลายความเหนื่อยล้าในยามที่ต้องการ
“มีรายงานด่วนพะย่ะค่ะ! องค์… องค์จักรพรรดิ!”
ขณะที่จีเฉิงเสวี่ยกำลังดื่มด่ำกับช่วงเวลาผ่อนคลายที่หาได้ยากยิ่ง เสียงตะโกนก็ดังมาจากด้านนอกท้องพระโรงจนทำให้จักรพรรดิหนุ่มต้องลืมตาขึ้นมา เขามองแม่ทัพที่ทำหน้าที่คุ้มกันนครหลวงคลานตุปัดตุเป๋เข้ามาในท้องพระโรงอย่างเร่งรีบ ใบหน้าซีดเผือด ร่างกายสั่นเทิ้ม
“เกิดอะไรขึ้น เหตุใดเจ้าจึงมีสภาพเช่นนี้” จีเฉิงเสวี่ยมุ่นคิ้วพลางถามด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์
“องค์จักรพรรดิ…” แม่ทัพคนนั้นพูดตะกุกตะกัก ความหวาดกลัวทำเอาใบหน้าถอดสี
“ที่…ที่…ด้านนอกนครหลวง มีอะ…อะ…อสูรเวทตัวใหญ่เบ้อเริ่มกำลังมุ่งหน้ามาหาเราพะย่ะค่ะ”
จีเฉิงเสวี่ยชะงัก ดวงตาเบิกกว้างทันที
“เป็นอสูรเวทแบบไหน เจ้าพอจะเดาระดับปราณของมันได้หรือไม่”
พวกเขาเพิ่งได้ใช้ชีวิตอย่างสงบได้ครู่เดียว ก็กลับมีอสูรเวทน่ากลัวปรากฏขึ้นอีกแล้วหรือนี่ หากอสูรเวทตัวนั้นทำให้แม่ทัพหน้าตาตื่นได้ถึงเพียงนี้ แปลว่าระดับปราณย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
จะเป็นอสูรเวทระดับเจ็ด… หรือว่าจะเป็นระดับแปดกันนะ
แม่ทัพผู้นั้นกลืนน้ำลาย ดูเหมือนจะระเบิดร้องไห้ออกมาได้ทุกเมื่อ
“อสูรเวทตัวนั้นตัว…ใหญ่มาก ใหญ่จนแทบจะเท่า…ภูเขาเลยทีเดียว มันยืนอยู่ตัวเดียวก็บังท้องฟ้าแทบจะมิดแล้ว ข้า… ข้าประเมินระดับความแข็งแกร่งของมันไม่ได้ แต่ข้าคิดว่า…น่าจะเป็น…ระดับเก้าขั้นเซียนเทพพะย่ะค่ะ”
อสูรเวทขั้นเซียนเทพรึ
จีเฉิงเสวี่ยอึ้งไปทันที ใบหน้าของเขาซีดเผือดพลางทิ้งตัวลงบนบัลลังก์ ดูเหมือนว่าเรี่ยวแรงทั้งหมดจะเหือดหายไปในบัดดล
เหตุใดการเป็นจักรพรรดิถึงได้ยากเย็นแสนเข็ญถึงเพียงนี้ เดี๋ยวนี้แม้แต่อสูรเวทขั้นเซียนเทพก็ยังมาหาเรื่องเขาหรือ
….
ห่างจากนครหลวงไปหลายร้อยลี้ ร่างใหญ่ยักษ์ที่บดบังท้องฟ้าจนมืดมิดปรากฏขึ้นในอากาศ
เสียงกระแทกพื้นดังสนั่นจนหัวใจของผู้ที่ได้ยินพลันกระตุก พื้นดินสั่นสะเทือนทันทีที่ร่างยักษ์นั้นกระโจนขึ้นไปในอากาศแล้วกระแทกลงมาบนพื้นอย่างแรงจนเกิดเป็นรอยเท้าขนาดยักษ์ แค่แรงขาของมันก็ทำให้พื้นดินแทบสลายแล้ว แม้แต่ถนนนอกนครหลวงยังระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ
เสียงร้องอ๊บดังลั่นลอยมาเข้าหู คางคกยักษ์ขาเดียวเงยหน้าขึ้นมองไปยัง…นครหลวง
อ๊บบบ!