พอปู้ฟางได้ยินสิ่งที่ระบบพูด เขาก็มีสีหน้าประหลาดใจทันที เขาต้องเอาเปลวเพลิงอัคนีแห่งสวรรค์และปฐพีมาให้ได้ และใช้กระทะกลุ่มดาวเต่าดำทำอาหารที่ชื่อว่าพระกระโดดกำแพง เพื่อล้างพิษภายในกายของเซียวเหมิงออกไป
แต่เขายังไม่รู้ชื่อพิษที่อยู่ในกายเซียวเหมิงด้วยซ้ำ แล้วพระกระโดดกำแพงจะรักษาอีกฝ่ายให้หายได้จริงๆ น่ะหรือ
ปู้ฟางเคลือบแคลงเรื่องนี้เป็นอันมาก แต่หลังจากที่ได้เห็นวัตถุดิบในการทำพระกระโดดกำแพงแล้ว ชายหนุ่มก็หายสงสัยไปโข เนื่องจากวัตถุดิบที่ใช้ทำพระกระโดดกำแพงนั้นล้วนไม่ธรรมดาทั้งสิ้น นอกจากนี้ยังต้องใช้หนึ่งในอุปกรณ์พ่อครัวเทพอย่างกระทะกลุ่มดาวเต่าดำในการทำเท่านั้น ดังนั้นอาหารจานนี้จึงน่าจะทำให้เซียวเหมิงหายจากอาการป่วยได้จริงๆ
ส่วนเหตุผลที่อาหารจานนี้น่าจะรักษาเซียวเหมิงได้น่ะหรือ… ใครมันจะไปสนกันเล่าว่าเพราะอะไรใครจะสนว่ามันคือพิษชนิดใด ตราบใดที่พระกระโดดกำแพงทำให้เซียวเหมิงหายได้ เรื่องอื่นก็ไม่สำคัญแล้ว
แต่ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงการคาดเดาและการอนุมานของปู้ฟางเท่านั้น ส่วนความจริงจะเป็นอย่างไรนั้นเขาไม่รู้เลยจริงๆ
“เจ้ารอให้ข้ากลับมาก่อน หลังจากกลับมาข้าอาจมีหนทางช่วยเซียวเหมิงก็เป็นได้… แต่ตอนนี้ข้าไม่มีวิธีรักษาบิดาของเจ้าจริงๆ” ปู้ฟางมองหน้าเซียวเสี่ยวหลงพลางพูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง
หลังจากได้ยินสิ่งที่ปู้ฟางพูด เซียวเสี่ยวหลงก็เหม่อไปชั่วขณะ จากนั้นความตื่นเต้นดีใจก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนในหน้าหลังจากที่คิดได้ว่าปู้ฟางหมายความว่าอย่างไร
‘เขาเพิ่งบอกใช่ไหมว่าอาจจะช่วยพ่อข้าได้ นี่มันเรื่องจริงหรือฝันไปกันแน่’
ปู้ฟางไม่ได้สนใจเซียวเสี่ยวหลงอีก เขาหันหลังเดินกลับเข้าครัวไป หลังจากฝึกซ้อมทักษะการใช้มีดและการแกะสลักอยู่สักพัก ชายหนุ่มก็กลับเข้าห้องของตนเอง
เขาเริ่มเตรียมวัตถุดิบและเครื่องปรุงที่ต้องใช้ระหว่างการเดินทางในดินแดนแสนภูผา
….
ยามค่ำคืนนั้นเงียบสงัดและสงบนิ่งเสมอ
เมืองประจิมเร้นลับตั้งตระหง่านอยู่บนพื้นที่ราบลุ่มทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เหมือนยักษ์ใหญ่ที่คอยปกป้องทั้งแผ่นฟ้าและผืนดิน เมืองนี้ให้บรรยากาศที่ยิ่งใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุด หากมองท้องฟ้าจากภายในตัวเมือง จะเห็นแนวเทือกเขาสูงไร้ขอบเขตที่ปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกอยู่ไกลๆ
เกวียนเล่มหนึ่งที่ลากโดยอสูรเวทม้ากำลังส่ายไปส่ายมาอยู่บนถนนที่มุ่งหน้าไปยังเทือกเขานั้น เกวียนเล่มดังกล่าวเคลื่อนที่ไปตามถนน ทิ้งฝุ่นตลบเอาไว้ตามทาง
หลังจากเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอยู่นาน เกวียนเล่มนั้นก็ค่อยๆ ช้าลง ม่านภายในเกวียนถูกเปิด จากนั้นใบหน้าหล่อเหล่าทว่าไร้ซึ่งอารมณ์ก็ปรากฏตรงหน้าต่างเกวียน ร่างสูงโปร่งของปู้ฟางค่อยๆ ก้าวลงจากเกวียน พร้อมด้วยหุ่นเชิดตัวใหญ่ยักษ์ที่เดินตามเขาต้อยๆ
คนขับเกวียนมองนักเดินทางคู่ประหลาดพลางสูบใบยาสูบไปด้วย จากนั้นก็เอ่ยกับปู้ฟาง “เจ้าหนุ่ม นี่แหละทางเข้าดินแดนแสนภูผา ข้าส่งเจ้าได้แค่นี้แหละนะ
“ดินแดนแสนภูผานี้น่ากลัวนัก มีอสูรเวทกินคนอยู่นับไม่ถ้วนเชียว หากเจ้าตั้งใจจะสำรวจคนเดียว เจ้าจะต้องระวังตัวให้มาก” คนขับเกวียนกล่าวเตือนอีกฝ่ายด้วยความหวังดี
พอพูดเตือนปู้ฟางเสร็จเขาก็พลันส่ายหน้า นี่คือเด็กอีกคนแล้วที่อยากได้ขุมสมบัติที่อยู่ในดินแดนแสนภูผาจนต้องมาสำรวจ
หากสามารถรอดชีวิตกลับมาพร้อมทรัพย์สมบัติสักชิ้นสองชิ้น คงจะใช้ชีวิตทั้งชีวิตต่อไปได้โดยไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องเงินเรื่องทองเลยทีเดียว
คนหนุ่มคนสาวมากมายเดินทางมาที่ดินแดนแสนภูผาแห่งนี้เพื่อล่าสมบัติ แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่กลับออกมาได้แบบยังมีชีวิตอยู่
เหตุการณ์คลื่นอสูรเกิดขึ้นเป็นประจำที่พื้นที่ราบลุ่มแห่งทิศตะวันตกเฉียงเหนือ และต้นตอของมันก็มาจากดินแดนแสนภูผาแห่งนี้ เรียกได้ว่าเป็นภัยธรรมชาติรูปแบบหนึ่งเลยทีเดียว
“คนสมัยนี้ยอมเอาชีวิตไปทิ้งเพื่อทรัพย์สินเงินทองกันเสียหมด” คนขับเกวียนยังคงสูบใบยาสูบต่อ ก่อนไอออกมาอย่างรุนแรง เขาบังคับอสูรเวทม้าให้หันหลังกลับภายใต้สายตาของปู้ฟางที่กำลังจับจ้องมา
ปู้ฟางสวมชุดคลุมยาว มัดผมเอาไว้ด้วยเชือดกำมะหยี่ ผิวของเขาขาวผ่อง ใบหน้านิ่งสุขุม เขายืนอยู่เบื้องหน้าดินแดนแสนภูผาที่ดูทั้งน่าพิศวงและน่าหดหู่ไปในเวลาเดียวกัน สถานที่ตรงหน้าดูเหมือนหลุมดำร้ายกาจที่พร้อมจะดูดคนเข้าไปทั้งตัวได้ทุกเมื่อ
ทางเข้าปกคลุมไปด้วยพืชพันธุ์มีพิษหนาแน่น
ปู้ฟางแตะตัวเจ้าขาวจากนั้นก็ผ่อนลมหายใจเบาๆ เขาก้าวขาออกไปข้างหน้า ถือเป็นการเปิดฉากการเดินทางในดินแดนแสนภูผา
ดวงตาจักรกลของเจ้าขาวกะพริบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ร่างของมันจะเดินตามปู้ฟางเข้าไปยังหุบเขา
ในการมาเยือนดินแดนแสนภูผาครั้งนี้ ปู้ฟางไม่ได้เอาเจ้าขาวร่างจำลองมา แต่พาเจ้าขาวตัวจริงซึ่งเก่งกาจกว่าหลายเท่าตัวมาแทน
ดูจากการจัดการของระบบแล้ว เขารู้ดีว่าภารกิจการเก็บเปลวเพลิงอัคนีแห่งสวรรค์และปฐพีในครั้งนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างแน่นอน มิเช่นนั้นปู้ฟางคงไม่ได้รับอนุญาตให้นำเจ้าขาวตัวจริงมาด้วย
คู่หูคนและหุ่นเชิดเดินเข้าไปยังความมืดมิดตรงทางเข้าของหุบเขา เทือกเขาเบื้องหน้านั้นกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ทางเข้าที่พวกเขาเลือกนั้นเป็นทางเข้าที่ใกล้กับเมืองประจิมเร้นลับมากที่สุด
ทันทีที่เข้าป่าไป ปู้ฟางก็รู้สึกเย็นสันหลังวาบกับความกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตของสถานที่แห่งนี้ แม้จะยังไม่ถึงฤดูหนาว แต่อุณหภูมิในบริเวณนี้กลับใกล้จุดเยือกแข็ง
…..
ณ เมืองชายแดนกว้างใหญ่
องครักษ์โลหิตที่นั่งขัดสมาธิอยู่รู้สึกเหมือนร่างทั้งร่างกำลังสั่นสะท้าน มีกระแสบางอย่างพุ่งเข้าชนร่างของเขา องครักษ์ลืมตาขึ้น แล้วก็ต้องพบกับภาพที่ไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเอง หอคอยสีดำขนาดใหญ่ที่เขากำลังปกป้องอยู่ บัดนี้กลับสั่นสะเทือนไปหมด
“นี่มัน…”
ตอนที่องครักษ์โลหิตกำลังพยายามสงบสติอารมณ์อยู่นั้น เขาก็เห็นหอคอยสีดำพุ่งขึ้นไปในอากาศ จากนั้นร่างงดงามก็เหาะออกจากหอคอย
ด้านหลังร่างระหงปรากฏร่างอีกร่างที่ถูกปกป้องไว้ด้วยพลังปราณสีดำสนิท ทั้งยังเลือนรางมากเสียจนไม่มีใครเห็นใบหน้าของคนผู้นั้นได้อย่างชัดเจน แต่หากดูจากรูปร่างแล้ว ก็ย่อมบอกได้ว่าเป็นร่างของผู้ชายแน่นอน
หอคอยสีดำหมุนวนอยู่ในท้องฟ้าสองสามรอบ ก่อนจะหดตัวเล็กลงแล้วตกลงบนมือของมหาพรต
มหาพรตโค้งคำนับชายที่ทั้งร่างปกคลุมไปด้วยพลังปราณสีดำ ชายผู้นั้นพยักหน้าให้มหาพรต ก่อนจะหันมามององครักษ์โลหิตที่กำลังจ้องเขาไม่วางตา
ร่างขององครักษ์โลหิตสั่นสะท้านไปหมด รู้สึกเหมือนเลือดทุกหยดในกายกำลังจะทะลักออกจากร่างทันทีที่ประสานสายตากับชายตรงหน้า
“ท่าน... ท่าน... ผู้นำลัทธิ”
ม่านตาขององครักษ์โลหิตหดแคบ เขาทั้งกลัวทั้งดีใจไปในเวลาเดียวกันเมื่อเอ่ยคารวะผู้นำลัทธิ
ท่านผู้นำลัทธิเก็บตัวฝึกพลังปราณสำเร็จแล้วหรือ ในเมื่อท่านกลับออกมาสู่โลกปัจจุบันอีกครั้งหลังจากผ่านไปนานแสนนาน แปลว่าแผนการฟื้นคืนความยิ่งใหญ่ของลัทธิอสุราจะต้องสำเร็จอย่างแน่นอน เมื่อกลับมาผงาดได้อีกครั้ง ลัทธิอสุราจะปกครองสำนักน้อยใหญ่ทั้งหมดในดินแดนทางใต้ให้ใช้ชีวิตอยู่ใต้ความกลัวตลอดไป
“ไปกันเถิด ข้าอยากหลอมแก่นวิญญาณในลูกโลกวิญญาณล่วงลับและวงแหวนปราณผสานวิญญาณเสียหน่อย ดังนั้นเราจึงต้องไปหาขุมพลังที่แก่กล้า ขุมพลังนี้สำคัญมาก เราต้องครอบครองมันให้ได้ ห้ามผิดพลาดโดยเด็ดขาด ข้ารอมาหลายปีดีดักก็เพื่อให้มันอุบัติขึ้นอีกครั้ง” ผู้นำลัทธิอสุราพูดก่อนจะเปลี่ยนร่างตนเองให้กลายเป็นพลังปราณสีดำ แล้วพุ่งหายไปในอากาศไกลโพ้น
ดวงตาของมหาพรตที่ซ่อนไว้เบื้องหลังหน้ากากสั่นไหว เท้าขาวใสเหมือนหยกของนางเหยียบไปบนอากาศ ก่อนติดตามผู้นำลัทธิไป ร่างของทั้งคู่หายไปในความมืดมิดยามค่ำคืน
องครักษ์โลหิตลุกขึ้นยืนพลางมองไปรอบๆ เขาจ้องไปที่พื้นดินว่างเปล่าซึ่งเคยมีหอคอยสีดำตั้งตระหง่านอยู่ ในเมื่อหอคอยหายไปแล้ว แปลว่าเขาก็ไม่จำเป็นต้องอารักขาอะไรอีก ถึงเวลาที่เขาจะได้ไปเข้าร่วมกับองครักษ์โลหิตคนอื่นๆ ในการออกศึกสงครามเสียที
เมื่อลัทธิอสุรากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง ทั่วทั้งผืนแผ่นดินของดินแดนทางใต้จะต้องกลายเป็นลูกไก่ในกำมือพวกเขา
….
ณ สำนักเมฆาขาว
โครงร่างของอาคารวิจิตรนับไม่ถ้วนตั้งตระหง่านอยู่ภายในม่านเมฆสีขาวมัว ตึกเหล่านี้ถูกสร้างอย่างเป็นระเบียบ ทั้งหมดปกคลุมเอาไว้ด้วยทะเลเมฆสีขาว ดูราวกับเป็นแดนสุขาวดีในตำนาน ตรงกลางมีสระน้ำขนาดเล็กที่มีศาลามากมายรายล้อมอยู่
ด้านบนสระน้ำที่มีหมอกปกคลุมมีเรือลำเล็กอยู่ลำหนึ่งที่เห็นได้รางๆ ผ่านม่านหมอกขาว ชายคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนเรือลำนั้น
ชายผู้นั้นกำลังตกปลาในสระอย่างสบายอารมณ์ เสียงน้ำแผ่วเบาสะท้อนไปทั่วบริเวณ เบ็ดของเขาสั่นเป็นระยะเมื่อปลามากินเหยื่อ เบ็ดที่สั่นสะเทือนทำให้ผิวน้ำราบเรียบกระเพื่อมเป็นวง
ไป๋จ่านเหาะมาหยุดอยู่ข้างสระน้ำ ดวงตามองไปยังเรือน้อยที่อยู่กลางสระ
“ท่านเจ้าสำนักขอรับ… เราได้รับจดหมายลับจากสำนักความลับแห่งสวรรค์ขอรับ”
สีหน้าของไป๋จ่านจริงจังเป็นอันมาก เนื่องจากสำนักความลับแห่งสวรรค์นั้นจัดได้ว่าเป็นสำนักที่ลึกลับที่สุดในดินแดนทางใต้แห่งนี้ ทุกสำนักต่างให้ความเคารพพวกเขาไม่น้อย
จดหมายลับที่สำนักความลับแห่งสวรรค์ส่งมา ย่อมเป็นเรื่องสำคัญมากอย่างแน่นอน
จ๋อม!
เรือซึ่งไร้ลมส่งเคลื่อนที่มาหยุดอยู่ข้างตลิ่งทันที
ชายวัยกลางคนในชุดกันฝนที่ทำจากฟางและหมวกไม้ไผ่ก้าวออกจากเรืออย่างไม่รีบร้อน บนหลังมีตะกร้าใส่ปลาที่จับมาได้อยู่ เขามองไป๋จ่านด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“จดหมายลับที่ส่งมาจากสำนักความลับแห่งสวรรค์หรือ ในนั้นเขียนเรื่องลัทธิอสุราเอาไว้หรือไม่”
เจ้าสำนักเลิกคิ้วขึ้นพลางเอ่ยถามไป๋จ่านด้วยน้ำเสียงตกใจ
ไป๋จ่านย่อมไม่รู้ว่าในจดหมายเขียนเรื่องอะไรไว้ เขาเพียงนำจดหมายมาส่งให้ถึงมือเจ้าสำนักเท่านั้น
เจ้าสำนักวางตะกร้าใส่ปลาลงแล้วเช็ดน้ำออกจากมือ ก่อนจะรับจดหมายมาจากไป๋จ่าน เขาค่อยๆ อ่านจดหมายจากสำนักความลับแห่งสวรรค์อย่างตั้งใจทุกตัวอักษร
ทันทีที่อ่านจบ จดหมายก็พลันเปลี่ยนเป็นเปลวเพลิงสีฟ้าแล้วกลายเป็นเศษขี้เถ้าไปในพริบตา
“ดูเหมือนว่าข้าจะต้องออกเดินทางเสียหน่อย…” หลังจากอ่านจดหมายจบเจ้าสำนักก็หัวเราะอย่างรื่นเริง เสียงหัวเราะของเขาสะท้อนก้องไปทั้งสำนักเมฆาขาว
ไป๋จ่านงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอันมาก แต่เขาก็ไม่ได้อยู่ในจุดที่จะตั้งคำถามกับเจ้าสำนักได้ จึงทำเพียงเดินตามอีกฝ่ายไปเท่านั้น
….
บรรยากาศภายในสำนักที่ทรงอิทธิพลต่างๆ ของดินแดนทางใต้หนักอึ้งขึ้นมาทันทีภายในเวลาอันสั้น
ผู้ฝึกตนระดับหัวกะทิของแต่ละสำนักถูกส่งออกไปปฏิบัติภารกิจอย่างเร่งด่วน ทำให้บรรดาศิษย์ในสำนักต่างพากันเกาศีรษะด้วยความฉงน ผู้ที่ถูกส่งไปปฏิบัติภารกิจในครั้งนี้ล้วนยืนอยู่บนจุดสูงสุดของดินแดนทางใต้ด้วยกันทั้งสิ้น ทุกครั้งที่พวกเขาออกโรง มักเกิดเหตุการณ์พลิกแผ่นดินขึ้นเสมอ ดังนั้นต้นตอที่ทำให้พวกเขาต้องออกมาลงมือเองในครั้งนี้ย่อมเป็นเรื่องสำคัญยิ่งยวดอย่างแน่นอน...
ณ ทางเข้าดินแดนแสนภูผา ร่างสูงโปร่งกำลังมุ่งหน้าเข้าสู่เทือกเขาส่วนลึก โดยไม่ได้รับรู้ถึงความปั่นป่วนภายในสำนักน้อยใหญ่แต่อย่างใด