ระบบบอกเขาเรื่องหมื่นไฟประลัยกัลป์กับเปลวเพลิงอัคนีแห่งสวรรค์และปฐพี ฟังแค่ชื่อก็ดูยิ่งใหญ่อลังการแล้ว
ปู้ฟางเข้าใจดีว่าเปลวเพลิงอัคนีแห่งสวรรค์และปฐพีนั้นสำคัญเพียงใด เนื่องจากหากไม่มีมัน เขาจะไม่สามารถใช้กระทะกลุ่มดาวเต่าดำได้
กระทะใบนี้เป็นหนึ่งในชุดอุปกรณ์พ่อครัวเทพ และมีคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง รสชาติของอาหารที่ใช้กระทะนี้ทำจะต้องไม่ทำให้เขาผิดหวังอย่างแน่นอน
ปู้ฟางนอนอืดอยู่บนเก้าอี้ด้วยสายตาว่างเปล่า
ทันใดนั้นเสียงบางอย่างถูกบดก็ดังขึ้น เสียงนั้นคือเสียงใครบางคนย่ำเท้าลงบนเศษหินบนพื้นนั่นเอง ชายหนุ่มจึงรู้สึกตัวว่ามีคนกำลังมุ่งหน้ามาหาเขา
ร่างของคนหลายคนปรากฏขึ้นเบื้องหน้าปู้ฟาง บดบังแสงอาทิตย์อบอุ่นไม่ให้ส่องมาถึงตัวเขา ชายหนุ่มสะดุ้งตื่นจากฝันกลางวัน ม่านตาของเขาหดแคบลงเล็กน้อย
เขามองไปยังชายสี่คนตรงหน้า คนพวกนี้ไม่ใช่คนที่ปู้ฟางไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อนแต่อย่างใด แต่เป็นคนที่เขารู้จักมักจี่พอตัว
ผู้อาวุโสซุนมองปู้ฟางด้วยสายตากระอักกระอ่วน เขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ก่อนหน้านี้เขามัวแต่หลงว่าตนเองยิ่งใหญ่ จนพ่นคำปรามาสมากมายใส่ปู้ฟาง ทั้งยังสั่งให้ชายหนุ่มส่งสิ่งที่ลัทธิอสุราตามหาให้อีกด้วย ตอนนั้นเขาคิดว่าลัทธิอสุราจะต้องทำลายปู้ฟางให้ย่อยยับในพริบตาได้แน่หากเผชิญหน้ากัน
ใครเลยจะคาดคิดว่าผลลัพธ์จะออกมาตรงกันข้าม ไม่ใช่ปู้ฟางที่ถูกทำลายย่อยยับ… แต่กลับเป็นลัทธิอสุรานั่นต่างหาก
พอจ่านคงเห็นหน้าปู้ฟางอีกครั้ง หัวใจของเขาก็เต็มไปด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อนหลากหลาย เขากลัวร้านเล็กๆ แห่งนี้มาตลอด ตั้งแต่ตอนที่ได้เห็นฉากการสังหารหมู่ผู้ฝึกตนในตรอก ชายหนุ่มก็รู้ดีว่าร้านแห่งนี้น่าสะพรึงกลัวมากเพียงใด
สิ่งที่ร้านนี้มี ไม่ว่าจะเป็นหุ่นเชิดระดับเก้าหรือสุนัขตัวอ้วนหน้าตาไม่มีพิษมีภัย ที่ความจริงแล้วเป็นอสูรเวทขั้นเซียนเทพ ไม่ใช่สิ่งที่คนอย่างเขาจะไปล่วงเกินได้แม้แต่น้อย
สุนัขตัวอ้วนนี้เป็นผู้ฝึกตนที่เก่งกาจด้านการใช้ฉากหน้าที่อ่อนแอเป็นเหยื่อล่อให้ศัตรูตายใจ ใครมันจะไปคิดว่าสุนัขเฝ้าร้านตัวอ้วนตุ้บ แท้ที่จริงแล้วจะเป็นอสูรเวทระดับเก้าที่แค่ได้ฟังชื่อก็ทำให้ทุกหย่อมหญ้าหัวใจสั่นด้วยความหวาดผวา
ยิ่งไปกว่านั้น อสูรเวทขั้นเซียนเทพตัวนี้ยังแข็งแกร่งถึงขนาดสามารถสังหารขั้นเซียนเทพของลัทธิอสุราได้อีกด้วย
จินคุนยืนอยู่เบื้องหน้าปู้ฟาง ศีรษะไร้ผมของเขาส่องสว่างกว่าเดิมเมื่อสะท้อนแสงอาทิตย์
ส่วนไป๋จ่านหายใจเข้าลึกขณะมองมาที่ปู้ฟาง
ชายหนุ่มตรงหน้าเขามีผิวขาวผ่อง ไม่ได้บึกบึนหรือผอมแห้งเกินไป และมีพลังปราณอยู่ในขั้นจักรพรรดิยุทธการ แม้การมีพลังปราณขั้นนี้ด้วยอายุเพียงเท่านี้จะถือว่ายอดเยี่ยม ทั้งยังแซงหน้าศิษย์จากสำนักเมฆาขาวไปหลายต่อหลายคน แต่ก็ยังจัดว่าไม่ได้น่าประทับใจอะไรมากมาย
ชายหนุ่มที่ไม่ได้ดูมีพรสวรรค์อะไรนัก กลับเป็นเจ้าของร้านที่อีกไม่นานจะโด่งดังไปทั่วดินแดนทางใต้
ด้วยความที่ร้านนี้สามารถสังหารปรมาจารย์อาวุโสแห่งลัทธิอสุราได้ ชื่อของร้านจะต้องดังกระฉ่อนไปทั่วดินแดนทางใต้อย่างแน่นอน นั่นเพราะปรมาจารย์อาวุโสแห่งลัทธิอสุราเป็นผู้ฝึกตนฝีมือแก่กล้าที่สุดคนหนึ่งในดินแดนแถบนี้ ข่าวการเสียชีวิตของผู้ฝึกตนระดับนี้จะต้องทำให้ทุกคนตื่นตกใจแน่ๆ
ปู้ฟางลุกขึ้นจากเก้าอี้ เขาไม่ได้คิดว่าจะมีคนมากินอาหารที่ร้านในวันนี้
เนื่องจากการต่อสู้เมื่อวานทำให้ร้านอยู่ในสภาพย่ำแย่พอสมควร บริเวณโดยรอบกลายเป็นซากปรักหักพังไปหมด บรรดาคนใหญ่คนโตในนครหลวงต่างหวาดกลัวจนไม่กล้ามาที่ร้าน แต่เด็กหญิงโอวหยางเสี่ยวอี้ก็ยังคงวิ่งร่ามาอย่างสดใสร่าเริงเหมือนเคย
ด้วยความที่นางเป็นคนเก่าคนแก่ของร้านนี้ โอวหยางเสี่ยวอี้จึงรู้ดีว่าร้านนี้แข็งแกร่งเพียงใด นางเคยชินกับเหตุการณ์ทำนองนี้เสียแล้ว จึงยังสงบนิ่งและทำหน้าที่ของตนเองได้ตามปกติ
“หากมาหาอะไรกินก็เข้ามาแล้วกัน” ปู้ฟางพูดเสียงนิ่งแล้วเดินเข้าร้านไป
จินคุนกับไป๋จ่านหันมามองหน้ากัน ก่อนจะเดินตามชายหนุ่มเข้าไปในร้าน
ทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าร้านมา บรรยากาศที่แตกต่างจากด้านนอกอย่างชัดเจนก็พุ่งเข้าต้อนรับ บรรยากาศของร้านนี้ทำให้พวกเขารู้สึกอบอุ่นหัวใจและสบายกาย
อากาศภายในร้านหอมฉุยด้วยกลิ่นอาหารหลากหลายชนิด ทำให้จินคุนและไป๋จ่านต้องเลิกคิ้วขึ้น
“หืม นี่มันต้นตื่นรู้ทางห้าสายมิใช่หรือ”
ไป๋จ่านสังเกตเห็นต้นตื่นรู้ทางห้าสายที่วางอยู่ตรงมุมร้านอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่ต้นตื่นรู้ทางห้าสายออกผลไปครั้งแรก มันก็ชะงักไปนาน หน้าตาไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย
ต้นไม้ต้นนี้ไม่ได้ส่งท่วงทำนองแห่งการตื่นรู้ออกมาอีกแล้ว จนทำให้ปู้ฟางคิดไปว่ามันน่าจะตายไปเรียบร้อยแล้วเพราะเขาดันอุตริเอาข้าวต้มเลือดมังกรไปรดมัน
“สมแล้วที่เป็นร้านที่สังหารได้แม้กระทั่งปรมาจารย์อาวุโสแห่งลัทธิอสุรา ช่างร่ำรวยมั่งคั่งเสียจริง ต้นตื่นรู้ทางห้าสายเป็นหนึ่งในสมบัติที่หายากที่สุดในดินแดนทางใต้ ล้ำค่าจนยากหาสิ่งใดเปรียบเลยทีเดียว” ไป๋จ่านเลิกคิ้วหนาพลางอุทานออกมา
จินคุนเดาะลิ้นแล้วมองไปยังต้นไม้ตรงหน้าด้วยสายตาชื่นชมเช่นกัน ต้นตื่นรู้ทางห้าสายนี้ไม่ได้ถือว่าสำคัญอะไรต่อระดับพลังปราณของพวกเขา แต่ต้นไม้วิญญาณต้นนี้สามารถทำให้ขั้นนักพรตยุทธการบรรลุปราณไปเป็นขั้นเทพแห่งสงครามได้ จึงถือว่าล้ำค่ามากสำหรับคนที่มีขั้นปราณต่ำกว่า เรียกได้ว่ามีค่ามากสำหรับหลายกลุ่มอำนาจเลยทีเดียว
หากเป็นสำนักธรรมดาทั่วไปคงไม่มีปัญญาหาสิ่งนี้มาครอบครอง แต่ร้านนี้… กลับนำต้นตื่นรู้ทางห้าสายมาวางเป็นไม้ประดับตรงบริเวณห้องอาหารไปเสียได้
“รายการอาหารอยู่ด้านหลัง ลองอ่านดูแล้วตัดสินใจว่าจะสั่งอะไร จากนั้นก็บอกแม่หนูคนนี้ก็แล้วกัน” ปู้ฟางมองทั้งสี่พลางชี้ไปที่โอวหยางเสี่ยวอี้ซึ่งกำลังจ้องพวกเขาอยู่ จากนั้นชายหนุ่มเจ้าของร้านก็เดินเรื่อยเฉื่อยกลับไปที่เก้าอี้แล้วนั่งแปะลงไป
พวกเขาหาโต๊ะเพื่อนั่งแล้วหันกลับไปมองรายการอาหารที่อยู่ด้านหลัง
เมื่อได้เห็นรายการอาหารดวงตาก็พลันเบิกกว้าง
“นี่มันร้านอาหารจริงหรือ ราคาออกจะ… เกินไปหน่อยนะข้าว่า”
ไป๋จ่านมุ่นคิ้วพลางพึมพำออกมา
ในฐานะผู้ฝึกตนขั้นเซียนเทพ แน่นอนว่าเขาพรั่งพร้อมด้วยผลึกมากมาย แต่… ก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะยอมให้ตนเองโดนโกง
“ท่านหัวหน้าขุนพลขอรับ ท่านอาจจะไม่รู้ แต่อาหารของร้านนี้ขายราคานี้มาตลอด เพราะอาหารที่ร้านเถ้าแก่ปู้นั้นคุณภาพสมราคาขอรับ” จ่านคงเอ่ย
เขามาที่ร้านหลายครั้งแล้วจึงเข้าใจรสชาติของอาหารร้านนี้เป็นอย่างดี ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงเริ่มแนะนำรายการอาหารในร้านให้กับอีกสามคนที่เหลือ
แต่ด้วยความที่เขาเองก็ยังไม่เคยกินครบทุกจาน จึงมีบางจานที่เขาแนะนำไม่ได้
“ฮ่าๆ… ตั้งแต่ข้าบรรลุปราณขั้นเซียนเทพเมื่อนานมาแล้ว ข้าก็ไม่สนใจอาหารธรรมดาทั่วไปในโลกใบนี้อีกเลย แต่ครั้งนี้ข้าจะกินให้มันหนำใจเลยทีเดียว” จินคุนตบโต๊ะแล้วหัวเราะร่วน
แต่เสียงหัวเราะของเขาก็แห้งหายไปอย่างรวดเร็ว
เขาใส่แรงเข้าไปในการตบและคิดว่าโต๊ะน่าจะเป็นรอยอย่างแน่นอน แต่กลับพบว่าหลังจากตบโต๊ะไป…
บนโต๊ะกลับไม่มีรอยขีดข่วนแม้แต่น้อย
นี่มันบ้าอะไรกัน
ปู้ฟางที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หันหน้ามามองจินคุนศีรษะโล้นทันที
“เจ้าจะก่อความวุ่นวายหรือ” ปู้ฟางถามหน้าตาย
จินคุนมองกลับพลางหรี่ตาลง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่พ่นลมออกมาแทนคำตอบเท่านั้น
ร้านนี้น่าสนใจดีแท้ แม้เขาจะไม่ได้ใส่พลังปราณเที่ยงแท้ลงไปในการตบ แต่อย่างไรเขาก็เป็นถึงผู้ฝึกตนขั้นเซียนเทพ หากเขาตบโต๊ะธรรมดาทั่วไป โต๊ะนั้นย่อมแหลกสลายกลายเป็นผุยผงอย่างแน่นอน แต่โต๊ะตัวนี้กลับไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนเลยสักรอยเดียว
“ถ้าไม่ได้มาก่อเรื่องก็สั่งอาหารเร็วๆ เข้า”
ในเมื่อคนพวกนี้ดูเหมือนจะไม่ได้มาสร้างปัญหา มุมปากของปู้ฟางก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มแต่ร่างยังคงนอนอืดต่อไป แสงแดดอุ่นๆ นี่ทำให้รู้สึกสงบเสียจริง
ไป๋จ่านมุ่นคิ้วพลางเลิกคิ้วไปพร้อมๆ กัน เขาโบกมือเรียกโอวหยางเสี่ยวอี้ที่ยืนอยู่ไกลออกไปให้เข้ามาหา
โอวหยางเสี่ยวอี้เดินเข้ามา กะพริบดวงตากลมโตปริบๆ พลางถาม “จะสั่งอะไรหรือเจ้าคะ”
แม่เด็กนี่… มีปราณระดับห้าขั้นราชันยุทธการ!
ตอนแรกไป๋จ่านไม่สนใจนางมากนัก แต่เมื่อสัมผัสได้ถึงกระแสพลังที่โอวหยางเสี่ยวอี้ปล่อยออกมา ชายหนุ่มก็ตัวสั่นทันที แม่หนูนี่จะอายุเท่าไหร่กันเชียว แต่กลับบรรลุปราณขั้นราชันยุทธการแล้ว พรสวรรค์ระดับนี้… นับว่าน่ากลัวไม่น้อย
ยิ่งไปกว่านั้นคนที่เรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะเช่นนี้กลับทำงานเป็นเพียงบริกรในร้านอาหารเท่านั้น ช่างเสียของโดยแท้
“ท่านลุง สั่งสิเจ้าคะ”
หลังจากถูกไป๋จ่านจ้องอยู่นาน โอวหยางเสี่ยวอี้ก็เริ่มไม่พอใจ นางพ่นลมเย็นออกมาพลางเร่งให้อีกฝ่ายตัดสินใจ
จ่านคงทนสายตาหมดความอดทนของโอวหยางเสี่ยวอี้ไม่ไหว เลยเอาข้อศอกดันไป๋จ่านให้ตื่นจากภวังค์ แม้จะอายเล็กน้อยที่ตนเองสติหลุด แต่ไป๋จ่านก็ยังจ้องโอวหยางเสี่ยวอี้ด้วยดวงตาเป็นประกายต่อ
หากเขารับเด็กอัจฉริยะผู้นี้เป็นศิษย์ได้ ในไม่ช้าดินแดนทางใต้แห่งนี้คงมีขั้นเซียนเทพอีกคนอย่างแน่นอน
แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้คิดว่าจะต้องรีบเร่งแต่อย่างใด รอให้กินอาหารเสร็จก่อนค่อยถามไถ่ก็ยังได้
จินคุนเองก็จับพลังปราณของโอวหยางเสี่ยวอี้ได้เช่นกัน แต่ก็ไม่ได้สนใจในตัวเด็กหญิงแม้แต่น้อย เนื่องจากศิษย์ของวิหารเทพเจ้าลงทัณฑ์เน้นฝึกความแข็งแกร่งของร่างกายเท่านั้น ซึ่งไม่ใช่ทางที่เหมาะกับนางแต่อย่างใด
“เอามาอย่างละจานทุกรายการ! ว่าแต่ไอ้สุราตื่นรู้เพลิงน้ำแข็งนี่มันคืออะไรกัน ทำไมถึงแพงเช่นนี้”
สุดท้ายไป๋จ่านก็สั่งมาลองอย่างละจานหลังจากที่จ้องรายการอาหารอยู่เป็นนานสองนาน
สมแล้วที่เป็นขั้นเซียนเทพสุดร่ำรวย
ปู้ฟางที่กำลังนอนอืดอย่างสบายอุราหูกระดิกทันทีที่ได้ยิน หมอนี่สั่งหมดทุกจานในร้าน... นี่มันรายรับก้อนใหญ่ชัดๆ ปู้ฟางพอใจเป็นอันมากจนต้องหันหน้าไปมองอีกฝ่าย
จินคุนเลียริมฝีปาก จากนั้นก็หัวเราะอย่างน่าเกรงขามพลางเอ่ย “ข้าไม่ชอบอาหารรสชาติจืดชืด ถ้ามีอาหารที่รสจัดมากๆ ก็เอาจานนั้นแหละ”
โอวหยางเสี่ยวอี้ครุ่นคิดอยู่สักพักเมื่อได้ยินคำขอของอีกฝ่าย นี่เป็นครั้งแรกที่นางเจอลูกค้าร้องขออาหารรสจัดๆ
“ถ้าเจ้าอยากกินอาหารรสจัด ก็แปลว่าต้องเผ็ดใช่ไหม” ขณะที่โอวหยางเสี่ยวอี้กำลังงงงวยอยู่ว่าจะสั่งอะไรให้คนผู้นี้ดี ปู้ฟางก็เดินเข้ามาถาม
“ใช่แล้ว! ข้าอยากได้อาหารรสเผ็ด ถ้าไม่เผ็ดพอข้าคงไม่พอใจ ข้าได้ยินมาว่าอาหารจากร้านนี้อร่อยยิ่ง หากเจ้านำอาหารที่ทำให้ลูกค้าพอใจมาไม่ได้ ชื่อเสียงของร้านรับรองต้องป่นปี้อย่างแน่นอน” จินคุนพูดกับปู้ฟางด้วยรอยยิ้มบาง เหมือนตั้งใจจะยั่วโมโหชายหนุ่มอย่างไรอย่างนั้น
ผู้ฝึกตนจากดินแดนป่ารกชัฏชอบกินอาหารรสเผ็ด โดยเฉพาะผู้ที่มาจากวิหารเทพเจ้าลงทัณฑ์ที่มีต่อรับรสดุเดือดยิ่งกว่าใคร
ปู้ฟางยังคงมีสีหน้าไร้ความรู้สึกหลังจากได้ฟังคำท้ารบของจินคุน เขาทำเพียงมองอีกฝ่ายก่อนจะหันหลังเดินจากไป
ปู้ฟางหยุดลูบศีรษะโอวหยางเสี่ยวอี้ก่อนจะเดินเข้าครัวไป
ดวงตาของเด็กหญิงเป็นประกายขึ้นทันที คราวนี้เถ้าแก่ปู้จะเป็นคนแสดงฝีมือเองหรือ
เชอะ… ไอ้หัวล้านนั่นกล้ามายั่วโมโหเถ้าแก่ปู้ รับรองเขาต้องส่งหมอนั่นกลับบ้านในสภาพอับอายร้องไห้ขี้มูกโป่งแน่นอน ไอ้หัวล้าน รอก่อนเถิด เดี๋ยวก็รู้เอง ความอร่อยล้ำของอาหารฝีมือเถ้าแก่ปู้นั้นไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปจะจินตนาการได้
แต่นางเองก็ยังคิดไม่ออกว่าเถ้าแก่ปู้จะเอาอะไรเผ็ดๆ ออกมาให้ไอ้หัวล้านนี่กิน
เต้าหู้ผัดพริกหรือ ก็เป็นไปได้ แต่เต้าหู้ผัดพริกนั้นไม่ได้เผ็ดอย่างเดียว แต่ยังหวานด้วยนี่นา
พอเข้าครัวมา ปู้ฟางก็อนุญาตให้เซียวเสี่ยวหลงผู้นิ่งเงียบหยุดฝึกได้
เดี๋ยวนี้เซียวเสี่ยวหลงสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก อาการบาดเจ็บของเซียวเหมิงผู้เป็นบิดาทำให้ชายหนุ่มไร้ซึ่งความสุขในทุกขณะจิต แต่กระนั้นก็ยังมาฝึกทำอาหารอย่างขันแข็งไม่ย่อท้อทุกวัน ทำให้ปู้ฟางพึงพอใจในตัวชายหนุ่มมาก น่าเสียดายนักที่เขาไม่สามารถเยียวยาอาการบาดเจ็บของเซียวเหมิงได้
“เจ้ามาเป็นลูกมือข้า วันนี้ข้าจะทำอาหารทุกจานในร้าน เพราะฉะนั้นตั้งใจดูให้ดี นี่เป็นโอกาสเรียนรู้ที่หาได้ยากยิ่งสำหรับเจ้า” ปู้ฟางมองเซียวเสี่ยวหลงแล้วพูดอย่างจริงใจ
ดวงตาของเซียวเสี่ยวหลงเป็นประกายขึ้นทันที เขาพยักหน้า เข้าใจดีว่าปู้ฟางอยากสอนและชี้แนะตน
ปู้ฟางหันกลับมาที่เตาของตนเอง ควันสีเขียวลอยวนอยู่รอบมือ จากนั้นมีดทำครัวกระดูกมังกรทองก็ปรากฏขึ้น