ทันทีที่เซียวเหมิงได้ยินเสียงคำรามและเสียงแตรสงคราม เขาก็ผุดลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
แต่ตัวเขาเองก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะอึดใจต่อมาหน้าอกก็พลันหนักอึ้งแล้วเริ่มกลับมาไออย่างหนักอีกครั้ง เขาเซถอยหลังพลางกระอักเลือดสีดำออกมายกใหญ่ ทันทีที่เลือดออกจากร่าง ใบหน้าก็พลันย่ำแย่กว่าเดิม
ดูเหมือนว่าพิษนี้จะร้ายแรงมากจริงๆ แม้แต่ขั้นนักพรตยุทธการระดับเจ็ดยังอ่อนปวกเปียกเมื่อโดนเข้าไป
เซียวเหมิงหยิบผลึกออกมายื่นส่งให้ปู้ฟาง จากนั้นก็หันหลังเดินออกจากร้านไป ในฐานะแม่ทัพอารักขานครหลวง เขาต้องไปสู้อยู่ด่านหน้าแม้ตนเองจะถูกพิษร้ายก็ตาม นี่คือศักดิ์ศรีที่เขาต้องดำรงไว้ในฐานะแม่ทัพใหญ่
…
ในท้องพระโรง
ผู้ฝึกตนมากหน้าหลายตามารวมตัวกันอยู่ในวังหลวง ต่างกำลังระดมสมองคิดหาวิธีขับไล่กองทัพศัตรู ไม่มีใครคาดคิดว่าจะได้ยินเสียงแตรเผด็จศึกเร็วถึงเพียงนี้
สีหน้าของจีเฉิงเสวี่ยที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรเปลี่ยนไปทันที
“บ้าจริง! ราชาอวี่ เหตุใดจึงไม่รักษาคำพูด!”
สีหน้าของจีเฉิงเสวี่ยบูดเบี้ยว แต่เขาเองก็ไม่ใช่คนเดียวที่มีใบหน้าเหยเกด้วยความโกรธ ทุกคนในท้องพระโรงต่างมีสีหน้าเช่นเดียวกันหมด
ราชาอวี่ได้รับการหนุนหลังจากลัทธิอสุราซึ่งมีผู้ฝึกตนมากฝีมืออยู่ไม่น้อย เหล่าคนในท้องพระโรงต่างก็ไม่มั่นใจว่าตนเองจะสามารถเอาชนะผู้ฝึกตนจากลัทธิอสุราได้ พวกเขาตั้งใจว่าจะรอให้ผู้ฝึกตนขั้นเซียนเทพจากสำนักของตนเองมาถึงก่อนจึงจะเริ่มเปิดฉากต่อสู้ เมื่อขั้นเซียนเทพมาถึง พวกเขาก็น่าจะมีกำลังพอต่อกรกับกองทัพนอกกำแพงเมือง ทุกคนไม่ได้คาดคิดว่าจะถูกโจมตีก่อนที่กำลังเสริมจะมาถึง
สถานการณ์ตกอยู่ในความวุ่นวายทันที
จีเฉิงเสวี่ยออกจากท้องพระโรงไปในชุดนักรบออกศึกโดยมีกองทัพนำหน้า จักรพรรดิหนุ่มกำลังเดินตรงไปยังประตูเมือง
แต่ทันทีที่ออกจากวังหลวง เขาก็พบเซียวเหมิงที่มีใบหน้าซีดเซียวกำลังเดินตรงมายังกองทัพ
เมื่อจีเฉิงเสวี่ยเห็นเซียวเหมิงที่ทั้งอ่อนแอและเปราะบาง เขาก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ จากนั้นชายหนุ่มก็เดินตรงไปยังกำแพงเมือง แล้วก็ปีนกำแพงขึ้นไปเพื่อสังเกตการณ์กองทัพของราชาอวี่
ท่าทางฮึกเหิมน่าเกรงขามของทหารที่ล้อมเมืองเอาไว้ทำให้จีเฉิงเสวี่ยรู้สึกกดดันไม่น้อย ทหารจำนวนมากจนน่ากลัวล้อมกำแพงเมืองเอาไว้ และกำลังโบกหอกของตนพร้อมคำรามอย่างมีขวัญกำลังใจ ใครที่ได้เห็นภาพนี้ต่างก็ต้องรู้สึกกลัวขึ้นมาด้วยกันทั้งนั้น
จีเฉิงเสวี่ยในชุดเกราะสีทองยืนอยู่บนกำแพงเมือง เขามองไปที่กองทัพขนาดใหญ่เบื้องล่างด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
บรรดาทหารเบื้องล่างดูเหมือนจะเงียบเสียงลงเมื่อได้เห็นจีเฉิงเสวี่ย
ราชาอวี่บนหลังอาชาเดินออกมาจากกลางกองทัพด้วยท่วงท่าสง่างามไม่เร่งรีบ เขาเงยหน้าขึ้นมองจีเฉิงเสวี่ยที่อยู่บนกำแพงเมือง
“น้องชายข้า อย่าถือโทษกันเลยนะ ข้าอยากให้เวลาเจ้าพักหายใจอยู่เหมือนกัน แต่กลับมีสถานการณ์บางอย่างเกิดขึ้นเสียก่อน” ราชาอวี่พูดด้วยรอยยิ้มน้อยๆ
ทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น สีหน้าของจีเฉิงเสวี่ยก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา หากไม่ได้เกรงกลัวเหล่าผู้มากฝีมือที่หนุนหลังจีเฉิงอวี่อยู่ เขาคงสั่งให้กองทัพของตนพุ่งเข้าไปโจมตีแล้ว แต่เนื่องจากท่ามกลางคนเหล่านั้นมีขั้นเซียนเทพอยู่ด้วย จีเฉิงเสวี่ยจึงต้องยอมทนอับอายขายขี้หน้าอยู่เช่นนี้
ก๊อบ ก๊อบ!
จีเฉิงเสวี่ยไม่ได้เอ่ยตอบแต่อย่างใด ในตอนนั้นเจ้ามู่เฉิงบนหลังม้าก็ปรากฏตัวขึ้นหลังจีเฉิงอวี่ ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มบางขณะมองไปที่จีเฉิงเสวี่ย เขาส่ายหน้าพลางเดาะลิ้นอยู่สักพัก ก่อนที่แสงเย็นเยียบจะวาบผ่านดวงตา
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดเราจึงล้อมเมืองของเจ้าไว้ก่อนเวลาที่ตกลงกัน นั่นก็เพราะคนคนหนึ่งที่อยู่ในเมืองของเจ้าอย่างไรเล่า รีบส่งตัวเขาออกมาเสีย แล้วข้าอาจจะสั่งให้กองทัพของเราล่าถอยไปก่อน วันพรุ่งนี้เราค่อยมาเจรจากันอีกที”
จีเฉิงเสวี่ยขมวดคิ้ว นี่พวกเจ้าเปิดฉากโจมตีพวกข้าเพียงเพราะคนคนเดียวน่ะรึ จะปรามาสจักรวรรดิวายุแผ่วเกินไปแล้ว
จีเฉิงเสวี่ยขุ่นข้องกับคำพูดของเจ้ามู่เฉิงมาก แต่ก็รู้ดีว่าจะระบายความโกรธใส่อีกฝ่ายไม่ได้ เขาจึงต่อยกำแพงเมืองเพื่อระบายอารมณ์
“ใคร”
น้ำเสียงของจีเฉิงเสวี่ยที่ลอยออกจากกำแพงเมืองเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวที่อัดแน่นอยู่ภายใน
เมื่อได้ยินดังนั้น ทั้งราชาอวี่และเจ้ามู่เฉิงก็ยิ้มหยันออกมา
“เจ้าน่าจะคุ้นเคยกับคนผู้นี้เป็นอย่างดี เขาอยู่ที่ร้านเล็กๆ ของฟางฟาง พวกข้าต้องการตัวปู้ฟางอย่างไรกันเล่า” เจ้ามู่เฉิงพูดช้าๆ
ทันทีที่คำพูดนั้นหลุดออกจากปาก เสียงพูดคุยเซ็งแซ่ก็ดังขึ้น
“อะไรกัน เถ้าแก่ปู้น่ะรึ”
สีหน้าของจีเฉิงเสวี่ยพลันเปลี่ยนไป เหตุใดคนพวกนี้จึงต้องการให้จักรวรรดิวายุแผ่วส่งตัวเถ้าแก่ปู้ เถ้าแก่ปู้กลายไปเป็นเป้าหมายของพวกเขาได้อย่างไร พ่อครัวหนุ่มผู้นี้เป็นคนเก็บตัวจะตายไป
ชื่อของปู้ฟางเป็นที่รู้จักกันดีภายในนครหลวง ผู้ฝึกตนทุกคนบนกำแพงเมืองต่างรู้ดีว่าปู้ฟางผู้นี้คือใคร
ร้านเล็กๆ ของฟางฟางนั้นมีอสูรเวทขั้นเซียนเทพอยู่ แล้วพวกเขาจะไปพาตัวหมอนั่นมาได้อย่างไรกันเล่า
แม้จะอยากทำ แต่ปู้ฟางก็คงไม่เชื่อฟังพวกเขาเหมือนเด็กอมมือฟังคำสั่งผู้ใหญ่อย่างแน่นอน
“ลืมไปได้เลย! ข้าไม่ส่งตัวปู้ฟางให้แน่” จีเฉิงเสวี่ยปฏิเสธอย่างเด็ดขาด
ไม่ว่าจะเป็นความสามารถในการทำอาหาร ความแข็งแกร่ง หรือปูมหลัง ไม่มีสิ่งใดเลยที่จะทำให้จีเฉิงเสวี่ยพาตัวปู้ฟางมามอบให้คนพวกนี้ได้ ปู้ฟางถือเป็นคนพิเศษในนครหลวง ชายหนุ่มไม่อยู่ในการควบคุมของอาณาจักรแต่อย่างใด
เจ้ามู่เฉิงดูเหมือนจะคาดเอาไว้แล้วว่าจีเฉิงเสวี่ยจะต้องตอบเช่นนี้ เขาจึงทำเพียงโบกมือปัดคำตอบของจักรพรรดิหนุ่มทิ้งไปเท่านั้น
“ไม่ส่งตัวเขามาก็ไม่เป็นไร เจ้าแค่ต้องให้เขาคืนของที่เขาชิงไปกลับมาก็พอ”
ของรึ ของอะไรกัน
ทุกคนบนกำแพงเมืองงุนงงกับคำพูดของเจ้ามู่เฉิงเป็นอันมาก ไม่มีใครรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังพูดถึงอะไร
ทันใดนั้นองครักษ์โลหิตทั้งสองก็กระโจนออกจากกองทัพมาลอยอยู่กลางอากาศ ดวงตาของพวกเขาเย็นเยียบราวกับกำลังมองทะเลเลือดเบื้องหน้าตนเอง
“ส่งไอ้หมอนั่นมาแล้วข้าจะไว้ชีวิตพวกเจ้า มิเช่นนั้นพวกเจ้าก็ต้องตายกันหมดตรงนี้” หนึ่งในองครักษ์เอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
ทุกคนบนกำแพงเมืองโกรธขึ้งทันทีที่ได้ยิน โดยเฉพาะคนจากวิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏและสำนักชื่อดังอื่นๆ ทุกคนจ้องสองคนนั้นด้วยโทสะที่เผาไหม้อยู่ในดวงตา
“ไอ้พวกมารจากลัทธิอสุรา!”
ทันทีที่พวกเขารู้ว่าองครักษ์โลหิตเป็นใคร หัวใจของทุกคนก็เย็นเฉียบเหมือนน้ำแข็ง พวกเขาเคยเจอคนจากลัทธิอสุรามาก่อน ทั้งยังมีบันทึกมากมายที่เขียนเรื่องของลัทธินี้เอาไว้ ทุกคนรู้ดีว่าระบบภายในของลัทธิอสุราเป็นอย่างไร ผู้ที่มีพลังปราณแข็งแกร่งสองคนนี้อยู่ในชุดคลุมสีแดงเลือด ซึ่งจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากองครักษ์โลหิตของลัทธิอสุรา
องครักษ์โลหิตทุกคนมีปราณอยู่ในระดับสูงสุดของขั้นเทพแห่งสงคราม พวกเขาอยู่ห่างจากการบรรลุปราณขั้นเซียนเทพเพียงครึ่งก้าวเท่านั้น เพียงแค่ก้าวอีกก้าวเดียว พวกเขาก็จะได้เป็นขั้นเซียนเทพทันที
ตอนที่ลัทธิอสุรารุ่งโรจน์ พวกเขามีองครักษ์โลหิตหลายสิบคน ในตอนนั้นดินแดนทางใต้ตกอยู่ภายใต้การปกครองของลัทธิอสุรา ผู้ฝึกตนจากสำนักต่างๆ จึงคุ้นเคยกับองครักษ์โลหิตเป็นอย่างดี
คนพวกนี้แข็งแกร่งพอที่จะฆ่าทุกคนที่อยู่บนกำแพงเมืองทิ้งได้
ทุกคนกลัวองครักษ์โลหิตจับขั้วหัวใจ ความกลัวและความหวั่นเกรงนี้นับวันมีแต่จะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
“ฝ่าบาท… เราควรให้เถ้าแก่ปู้มอบสิ่งนั้นคืนพวกเขานะพะย่ะค่ะ พลังของสองคนนี้น่ากลัวโดยแท้…”
บนกำแพงเมือง ขุนนางคนหนึ่งทนแรงกดดันจากองครักษ์โลหิตไม่ไหวอีกต่อไป เขาขาสั่นไปหมดจนควบคุมไม่ได้จนต้องเอ่ยปากแนะนำจีเฉิงเสวี่ย
พอมีคนเปิดปากพูดคนแรก ทุกคนก็ตามน้ำทันที บรรดาขุนนางพากันขอร้องจีเฉิงเสวี่ยให้ปู้ฟางส่งของคืนไป
หากพวกเขาจะสามารถทำให้สงครามเกิดขึ้นช้าลงได้ด้วยการคืนของ ก็ไม่เห็นมีสิ่งใดให้ต้องตัดสินใจต่อ คำตอบคือจะคืนให้อย่างแน่นอน
แม้ร้านของปู้ฟางจะมีอสูรเวทขั้นเซียนเทพเฝ้าอยู่ แต่พวกเขาก็แค่ต้องไปขอร้องให้ปู้ฟางส่งของคืนเท่านั้น ไม่ได้เป็นการล่วงเกินร้านเสียหน่อยนี่ ถูกไหมเล่า
“เงียบ! หากตอบรับคำขอนี้ แล้วเราจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน การส่งเถ้าแก่ปู้ให้คนพวกนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของจักรวรรดิวายุแผ่ว”
จีเฉิงเสวี่ยโบกแขนในชุดเกราะสีทองไปมา เขาตะโกนใส่ทุกคนที่อยู่รอบกายด้วยความเกรี้ยวโกรธ รู้สึกผิดหวังในตัวขุนนางไม่น้อย
แม้เขาจะไม่ได้บอกใครว่าตนเองติดหนี้บุญคุณปู้ฟางอยู่ ลำพังตัวตนแสนลึกลับของชายหนุ่มก็เป็นสิ่งที่คนจะไปยั่วยุไม่ได้แล้ว จีเฉิงเสวี่ยไม่ใช่คนบ้าใบ้ไร้สมอง ไม่มีทางที่เขาจะยอมตกลงส่งตัวปู้ฟางให้ศัตรูอย่างแน่นอน
ผู้อาวุโสซุนจากวิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏเปิดปากพูดขึ้นมา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยแววชั่วร้าย
“ฝ่าบาท เราไม่ควรทำลายทั้งอาณาจักรทิ้งเพื่อคนเพียงคนเดียว หากเราสามารถทำให้คนพวกนี้เลื่อนการโจมตีไปได้ นครหลวงก็จะยังอยู่รอดปลอดภัยจนกว่าผู้นำแห่งวิหารเทพเจ้าจะมาถึง หากพวกเขาโจมตีตอนนี้ เราย่อมพ่ายแพ้แน่นอน”
ผู้อาวุโสซุนอาฆาตแค้นปู้ฟางเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว นี่เป็นโอกาสอันดีที่จะได้กำจัดปู้ฟางให้พ้นทางไปเสีย เขาจึงรู้สึกยินดีปรีดาพร้อมยอมช่วยลัทธิอสุราในคราวนี้
“ไม่มีทาง เราส่งตัวเขาไปไม่ได้ จะส่งใครไปก็ได้ แต่ไม่ใช่ปู้ฟาง” จีเฉิงเสวี่ยตัดสินใจแล้ว พูดแล้วไม่คืนคำ
สีหน้าของผู้อาวุโสซุนเย็นชาขึ้นมาทันที
“ฝ่าบาท… การจะส่งตัวเขาให้ศัตรูหรือไม่นั้นไม่ใช่สิ่งที่ท่านจะตัดสินใจได้ หากเราไม่สามารถถ่วงเวลาจนกว่าผู้นำแห่งวิหารเทพเจ้าจะมาถึง จักรวรรดิวายุแผ่วคงได้ล่มสลายคามือของท่านเป็นแน่” ผู้อาวุโสซุนเดือดพล่านยืนกรานหนักแน่น
จีเฉิงเสวี่ยตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่รู้จะเลือกทางไหนดี
“องค์จักรพรรดิ เราไม่ควรส่งตัวเถ้าแก่ปู้ให้คนพวกนี้นะพะย่ะค่ะ…”
เซียวเหมิงทนไม่ไหวอีกต่อไป แม้ใบหน้าของเขาจะซีดเผือด แต่เขาก็ยังยืดตัวขึ้นพูดต่อต้านผู้อาวุโสซุน
แม่ทัพใหญ่ยังพูดไม่ทันจบ ผู้อาวูโสซุนก็เหลือบตามองอีกฝ่ายจากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อใส่ เซียวเหมิงถูกส่งลอยไปในอากาศทันทีด้วยพลังของผู้อาวุโสซุน เขากระอักเลือดออกมาอีกยกใหญ่
“เจ้าไม่มีสิทธิ์ออกความเห็น พวกเจ้าทุกคน... ไปที่ร้านเล็กๆ ของฟางฟางเดี๋ยวนี้! ไปบอกปู้ฟางให้ส่งสิ่งนั้นมา แล้วจะยิ่งดีถ้าไม่ได้ส่งมาแค่ของแต่ตัวก็มาด้วย”
ผู้อาวุโสซุนชี้นิ้วใส่ขุนนางที่ยืนอยู่ด้านหลังจีเฉิงเสวี่ยด้วยสีหน้าเย็นชา ทุกคนตัวสั่นงันงกท่ามกลางเสียงตะโกนออกคำสั่งของเขา