นับตั้งแต่ซ่งฝูกุ้ยได้รับเงินส่วนแบ่งค่าแรงก็ไม่ได้ใช้เงินมานานมากแล้ว
ครั้งนี้เขาใช้เงินทองแดงไปจำนวนหนึ่งเพื่อซุ่นจื่อ
เกิ่งเหลียงคิดในใจ
นี่ก็คือคนเหล่านี้
ในที่สุดก็เข้าใจว่าทำไมแม้แต่ซุ่นจื่อก็เอาใจใส่ด้วยการบริจาคเสื้อผ้าเก่าๆ ให้
ยิ้มพลางพูด “ได้ ข้าจะนำไปให้แน่นอน และข้าก็จะใช้ด้วย ขอบคุณมาก”
“ขอบคุณอะไรกัน แต่ว่าฝีมือการเย็บของเมียข้าไม่ค่อยเท่าไร ท่านอย่ารังเกียจก็แล้วกันนะขอรับ แค่ท่านใช้ของที่นางเย็บก็ถือเป็นวาสนาของนางแล้ว”
ซ่งฝูกุ้ยพูดจบก็หันไปหาพวกทหารที่อยู่ข้างๆ ทั้งยังใช้แขนสะกิดไหล่พวกเขา “จะไปกันแล้วเหรอ เมื่อไรจะมาอีกล่ะ”
เถียนสี่ฟาก็กำชับด้วยคน “ไม่จำเป็นต้องมีธุระถึงค่อยมา ผ่านมาก็แวะมาได้นะ”
เกาถูฮู “ใช่ มีคนที่อยู่หมู่บ้านแถวนี้ไหม เวลากลับบ้านก็เลี้ยวมาที่พวกเราหน่อยนะ แวะมาหน่อย ดื่มน้ำ กินข้าว พูดคุยกันแล้วค่อยไป”
ใบหน้าของพวกทหารต่างผุดรอยยิ้ม คิดในใจ ทุกท่าน อันที่จริงพวกเราก็ไม่ได้อยากกลับ จริงๆ แล้วพวกเราอยากอยู่กินข้าวที่นี่อีกสักสองวัน
หัวหน้าตระกูลเหรินยืนอยู่ข้างๆ มองภาพบรรยากาศที่อบอุ่นก็รู้สึกกระอักกระอ่วนเหลือเกิน
เมื่อครู่กำลังคิดอยู่ว่าจะปฏิเสธไม่รับหมูป่าสี่ตัวอย่างไรดี เพิ่งได้หมาป่ามา จะให้รับหมูป่าอีกได้อย่างไร สมองยังไม่ทันคิดออก พวกฝูเซิงก็เอาของดีมาให้ใต้เท้าแล้ว แล้วจะให้เขาทำอย่างไร ไม่ได้เตรียมอะไรไว้เลย
นึกไม่ถึงว่าพวกใต้เท้าจะกลับกันเร็วขนาดนี้
หัวหน้าตระกูลเหรินกำหมัดคารวะ รีบกลับเข้าหมู่บ้าน
เดิมทีท่านลุงซ่งอยากตะโกนบอกหัวหน้าตระกูลเหรินว่า เอาหมูป่าสี่ตัวของพวกเจ้าไปด้วย อย่าคิดว่าพวกเราจะข้ามฝั่งเอาไปให้นะ อยากให้พวกเราเหนื่อยตายหรือยังไง
แต่พอเห็นว่าอยู่ๆ เกิ่งเหลียงก็เรียกซ่งฝูเซิงไปคุยด้านข้าง บอกว่าขอคุยด้วยหน่อย ท่านลุงซ่งจึงถูกขัดจังหวะจนลืมตะโกนบอกหัวหน้าตระกูลเหริน มัวแต่คิดว่าเขาคุยอะไรกับฝูเซิงน่ะ แถมยังต้องคุยลับหลังด้วย
ซ่งฝูเซิงอ้าปากค้างเล็กน้อย ถลึงตามองเกิ่งเหลียงอยู่หลายวินาทีถึงได้สติกลับมา “พูดตามตรงนะ ลูกสาวของข้ากำลังหัดเขียนหนังสือ อักษรที่นางเขียน มันค่อนข้างจะ…”
เกิ่งเหลียงหันหน้ากลับมาด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน “พี่ซ่ง ข้าล่วงเกินแล้ว ข้าคิดไม่รอบคอบเอง”
ตัวหนังสือที่ลูกสาวเขียน จะเอาให้ผู้ชายอื่นดูได้ยังไง
เขาเป็นอะไรกันนี่ ทำไมถึงได้ขออะไรแบบนี้ออกไป
แต่เรื่องเล่านั่นน่ะ มัน? เขา? เอ๊ะ
“ไม่ใช่แบบนั้นรองผู้บัญชาการเกิ่ง ข้าหมายความว่า เอ่อ คือแบบนี้แล้วกัน เรื่องเล่าที่นางเขียนน่ะ ข้อแรก เพื่อฝึกเขียนอักษร ข้อสอง เพื่อร้านขนม ท่านรู้เรื่องที่พวกเราร่วมมือกับคุณหนูสามสกุลลู่เปิดร้านหรือไม่ ที่ข้างร้านเป็นร้านหนังสือสามชั้น อยู่ที่ถนนกลางน่ะ”
“น่าจะพอหาเจอ”
ซ่งฝูเซิงบอกว่า “งั้นท่านก็รออีกสองสามวัน ให้นางเขียนเพิ่มเยอะขึ้นอีกหน่อย นางก็จะไปเล่าให้คนฟัง…
…เมื่อถึงตอนนั้น หากท่านไปที่นั่นตอนพักกลางวัน ก็จะได้ไปชิมขนมอย่างอื่นได้พอดี ท่านแม่ข้าอยู่ด้วย นางจะรับรองท่าน ท่านแม่ ท่านแม่มานี่หน่อย”
ท่านย่าหม่ายิ้มอย่างใจดี ตกปากรับคำ บอกเกิ่งเหลียงว่าต้องไปให้ได้
พาเพื่อนร่วมงานไปด้วยได้หรือไม่ แน่ล่ะว่าได้ พวกเราเปิดร้านก็เพื่อต้อนรับแขกจากทั่วทุกสารทิศ
แต่หลังจากฟังจบ ในใจกลับคิดแบบนี้
แม่เจ้าเอ๋ย เจ้าหนุ่มนี่เคยฟังเรื่องเล่าของหลานสาวนางตั้งแต่เมื่อไร
แม่เจ้าเอ๋ย เรื่องเล่านี่ยังไม่ทันจะได้เผยแพร่ออกไป ใต้เท้ารองผู้บัญชาการก็ติดงอมแงมเสียแล้ว
ใต้เท้ารองผู้บัญชาการ หูตากว้างไกลขนาดไหน ยังบอกอีกว่าจะพาเพื่อนร่วมงานมาด้วย ดูท่าเรื่องเล่านี้จะใช้ได้ ไม่เลวเลย
นี่หมายความแบบนี้หรือไม่ ร้านขนมแห่งความสุข วันหน้าไม่เพียงแต่จะดึงดูดสตรีที่ชอบกินของหวาน ยังใช้เรื่องเล่าผูกมัดหัวใจของบุรุษได้ไม่น้อยอีกด้วย
…
พอได้ข่าวว่า ‘ทีมล่าหมาป่า’ จะไปกันแล้ว
ภายในหมู่บ้านก็ครึกครื้นขึ้นมาทันที
กลางค่ำกลางคืนไฟสว่างดุจดวงดาว
แต่ละบ้านต่างออกมากัน
พวกชาวบ้านต่างก็ไม่อยากให้ทหารพวกนี้กลับไป
อย่าคิดว่ามากันแค่ไม่กี่วัน
พวกเขาอยากให้อยู่ต่อจากใจจริง ไม่แน่ว่าอยู่นานกว่านี้ยังจะได้หมาป่ากับหมูเพิ่มอีก
“เอ่อคือ ใต้เท้า อยู่ต่ออีกสักคืนเถอะ”
“นั่นสิ ต่อให้พรุ่งนี้ไม่ขึ้นเขาก็อยู่ที่นี่อีกสักคืน เข้ามาในหมู่บ้าน ให้พวกเราเตรียมอาหารให้พวกท่านกินบ้าง ยกชามข้าวของคนในหมู่บ้านบ้าง”
“ไม่มีอย่างอื่น นี่เป็นไข่ไก่ที่พวกเราเลี้ยงกันเอง เลือกเอาแต่ฟองใหญ่ๆ ใต้เท้าต้องรับไว้ด้วยนะขอรับ”
“นี่เป็นไก่ที่เพิ่งฆ่า จับมาเมื่อครู่ กดเอาเลือดออก ยังสดๆ อยู่ ไม่ใช่ของที่มีค่าอะไรมาก ใต้เท้าช่วยรับไว้ด้วย พวกท่านทิ้งเนื้อพวกนั้นไว้ให้พวกเรา แต่พวกเราไม่มีอะไรดีๆ ที่ตอบแทนได้เลย ขอใต้เท้าอย่ารังเกียจกันนะขอรับ”
พวกป้าอ้วนชี้ไปยังไหที่อยู่ในมือแม่สามีกับพวกสะใภ้ แล้วพูดกับทหารนายหนึ่งอย่างกระตือรือร้น “นี่เป็นซีอิ๊วที่พวกเราทำกันเอง เด็ดสุดในหมู่บ้าน”
ทหารคนนั้นคิดในใจ ข้าจะเอาซีอิ๊วไปทำไม ข้าขี่ม้า จะเอาไปวางตรงไหนล่ะ
คุยกันเสียงดังเกินไป หัวหน้าตระกูลเหรินได้ยินก็โมโหมาก
บอกให้ทุกคนรีบเตรียมของที่พอจะให้ได้ไม่น่าเกลียด ด้วยความที่สถานการณ์ฉุกละหุก เขาจึงไม่ได้กำชับอะไรมาก แต่นี่ทำไมซีอิ๊วก็ยังจะเอาออกมา
พวกป้าๆ ตะโกนตามหลังพวกทหาร “อย่างอื่นไม่เอา แล้วจะไม่รับซีอิ๊วไว้หน่อยหรือเจ้าคะ ใส่หัวหอมหน่อยอร่อยเหาะเลยนะ”
…
ซุ่นจื่อยิ้มหน้าบาน เอาที่ปิดหูอันใหม่คล้องคอไว้แล้วเข้ามารายงาน “คุณชาย รองผู้บัญชาการเกิ่งกลับมาแล้วขอรับ กำลังรออยู่ที่หน้าประตู”
เกิ่งเหลียงเข้ามาในห้องก็ตกใจ “ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้นกับใบหน้าของท่าน”
ลู่พั่นเช็ดหน้า มือข้างหนึ่งถือน้ำสาลี่ รับผ้าเช็ดหน้าที่ซุ่นจื่อยื่นให้เอามาเช็ดสองที “ไม่เป็นไร” แล้วก้มหน้าก้มตาประดิษฐ์เครื่องคั้นน้ำต่อ
เกิ่งเหลียงยืนรายงานอยู่ข้างๆ “สองวันที่ผ่านมาล่าหมาป่าได้ห้าสิบแปดตัว หมีหนึ่งตัว เสือหกตัว แต่มีเสือหนึ่งตัวที่ถูกระเบิดจนร่างแตกกระจาย ใช้ไม่ได้ จึงหามกลับมาได้แค่ห้าตัว กับหมูป่าเจ็ดตัวขอรับ”
ลู่พั่นไม่แม้แต่จะตอบอืม
ซุ่นจื่อแอบยกนิ้วโป้งให้เกิ่งเหลียง
“แบ่งหมาป่ากับหมูป่าสี่ตัวให้ทางหมู่บ้านไป ส่วนที่เหลือทิ้งไว้ให้พวกซ่งฝูเซิง แต่ซ่งฝูเซิงกลับเอาอุ้งตีนหมี ดีหมี องคชาตเสือ และกระดูกเสือให้ข้านำกลับมาด้วยขอรับ”
ซุ่นจื่อพูดต่อ “คุณชาย ข้าให้คนเอาของพวกนั้นไปจัดการแล้วขอรับ”
ทันใดนั้นลู่พั่นได้ถามขึ้น “เพราะเหตุใดต้องให้ทางหมู่บ้านด้วย”
เกิ่งเหลียงตอบ “พวกเราไปครั้งนี้ ทางหมู่บ้านได้เตรียมวัตถุดิบทำอาหารไว้ให้มากทีเดียวขอรับ”
จากนั้นก็เล่าให้ลู่พั่นฟังต่อ ตั้งแต่เข้าหมู่บ้านไป กิจกรรมต้อนรับต่างๆ รวมถึงตอนพวกเขากลับ ก็ครึกครื้นมาก พยายามรั้งให้อยู่ต่อ
เขาเดาว่าซ่งฝูเซิงเป็นคนจัดการเจรจากับทุกคนให้
ดูท่าซ่งฝูเซิงจะมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับหลี่เจิ้งของพวกคนในหมู่บ้านมากทีเดียว
ซุ่นจื่อ “ใกล้ชิดเหรอ แสดงว่าเปลี่ยนหลี่เจิ้งใหม่แล้ว ดูท่านายอำเภอเมืองถงเหยาจะหูตาไวพอสมควร”
ซุ่นจื่อถามต่อ “รองผู้บัญชาการเกิ่งไปครั้งนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง”
“อาหารอร่อยจริงๆ”
“นั่นไงล่ะ ข้าบอกไว้ไม่ผิดใช่ไหมล่ะ ขนาดข้ายังคิดถึง คนพวกนั้น ถ้าไม่เปิดโรงเตี๊ยมคงเสียดายแย่”
เกิ่งเหลียงยิ้มพลางพูด “ใช่ พอกลับมา เจ้าพวกนั้นยังบ่นอยู่ ระหว่างทางมีคนร่ำๆ ว่าวันหน้าถ้าผ่านหมู่บ้านเหรินจยาจะไปเป็นแขกที่นั่นจริงๆ จะไปขอข้าวกิน”
“ฮ่าๆ ไปได้เลย นิสัยคนพวกนั้น นิสัยของซ่งฝูเซิง ดีมากจริงๆ”
สองคนนี้คุยกันเหมือนข้างๆ ไม่มีใคร
ทันใดนั้น ในที่สุดลู่พั่นก็ยืดตัวขึ้น ถือน้ำสาลี่ที่เพิ่งคั้นเสร็จพลางถาม “พวกเจ้าสองคน ใครจะเป็นคนดื่ม”