ทำงานจนกระทั่งถึงช่วงเที่ยง ซ่งฝูหลิงถึงกลับมาจากห้องอบขนม
ช่วงนี้ท่านย่าของนางรับจองขนมเค้กวันเกิดมา
งานแบบนี้พวกพี่เอ้อร์ยาทำไม่ได้ นางต้องทำด้วยตัวเอง
แต่จะว่าไป อันที่จริงพี่เอ้อร์ยาก็มีพรสวรรค์ด้านการทำขนมเค้กมากทีเดียว สอนไม่กี่ครั้งก็ทำเป็น เวลาสอนลูกศิษย์ก็มีเทคนิคที่ดีกว่าคนอื่น
เพียงแต่เวลาบีบครีมเป็นดอกไม้ เอ้อร์ยามักจะมือสั่น
หรือจะพูดแบบนี้ก็ได้ว่า ในห้องอบขนมมีหลายคนที่ทำเป็น ขึ้นอยู่กับว่ามือจะสั่นมากสั่นน้อยเท่านั้น
ซ่งฝูหลิงสงสัยมาตลอด เพราะคนพวกนี้ทำงานหนักทำงานใช้แรงงานมาทั้งชีวิต ดูจากข้อนิ้วที่ปูดโปนก็พอจะมองออก สภาพมือไม่สัมพันธ์กับอายุเลย
หรือเป็นเพราะแรงที่ใช้ทำงานในตอนนั้นได้เกินขีดจำกัดที่ร่างกายจะรับไหวไปแล้ว
ดังนั้น ตอนนี้เวลาที่ต้องทำงานใช้ความละเอียด มือถึงได้สั่น สั่นจนเหมือนเป็นโรคประจำตัว
เรื่องนี้นับว่าจนปัญญาจะแก้
ไม่ใช่แค่บีบดอกไม้บนขนมเค้กวันเกิด รวมไปถึงการปักเสื้อปักกระเป๋าด้วย ฝีมือของหญิงชาวบ้านไม่ว่าจะฝึกอย่างไรก็ไม่มีทางสู้เหล่าพวกคุณหนูได้
สุนทรียะก็เรื่องหนึ่ง อีกเรื่องหนึ่งคือ พวกคุณหนูฝึกจับเข็มกันตั้งแต่เด็ก รู้จักถนอมมือ เด็กสาวชาวบ้านทำได้ที่ไหนกัน
ซ่งฝูหลิงรู้สึกเสียดายแทนเอ้อร์ยามากทีเดียว
แน่นอนว่าก็รู้สึกเสียดายแทนตัวเองเหมือนกัน
ไม่อย่างนั้นนางก็ไม่ต้องทำงานแล้วหรือเปล่า
เฉียนเพ่ยอิงอยู่ในชุดมีผ้ากันเปื้อนผูกติดตัว สองมือเปียกชื้น กำลังคุกเข่ากางเสื้อผ้าที่เพิ่งซัก
ใช้เตียงเตาอุ่นเพื่อทำให้ผ้าแห้ง
มีเสื้อกันหนาว กางเกงกันหนาว กางเกงในของหมี่โซ่ว มีเสื้อผ้าของซ่งฝูหลิง และยังมีกางเกงขายาวกับถุงเท้าที่ซ่งฝูเซิงเล่นสเก็ตแล้วล้มกลิ้ง
ในช่วงเช้าเฉียนเพ่ยอิงไม่ได้ทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน นางซักเสื้อผ้าพวกนี้
ที่นี่ต้องต้มน้ำ หิ้วน้ำ เทน้ำ ไม่ค่อยสะดวกสบาย ไม่มีเครื่องซักผ้า เวลาซักผ้าทีก็เปลืองแรง
จากนั้นก็ต้องเก็บบ้าน ช่วงสองวันมานี้ในบ้านมีคนอยู่เยอะ เช็ดเสื่อบนเตียงเตา เช็ดหน้าต่าง สะบัดผ้าห่มของแต่ละคน แค่นี้ก็หมดเวลาช่วงเช้าแล้ว
พอได้ยินเสียงลูกสาวกลับมา เฉียนเพ่ยอิงที่คุกเข่าอยู่บนเตียงก็กางเสื้อผ้าเปียกในมือต่อ
เสื้อผ้าเพิ่งถูกวางผึ่งบนเตียงเตามีไอร้อนลอยขึ้น
เฉียนเพ่ยอิงพูดโดยไม่หันหน้าไปมอง “ทำเสร็จแล้วเหรอ ขนมที่จะขายพรุ่งนี้ก็จัดการเสร็จแล้วเหรอ”
“ค่ะ ท่านพ่อล่ะ ทำไมข้าไม่เห็นเลย”
“พ่อเจ้าเขาไปทำบัญชีที่บ้านหลี่เจิ้งแล้ว
ทำของเมื่อวาน วันนี้ พรุ่งนี้ เป็นแบบนี้ใครจะรู้ว่าวันต่อๆ ไปพวกเขาจะกลับกันหรือยัง
ต้องลงรายการว่าช่วงสองสามวันนี้จะทำอาหารอะไร ทำกี่อย่าง ใช้วัตถุดิบเท่าไร เขียนเอาไปส่งก่อน
อย่าให้คนอื่นคิดว่าพวกเราทำอาหารเหมือนฉวยโอกาสเอาเปรียบคนในหมู่บ้าน เหลือหรือเปล่าก็บอกพวกเขาไป พวกเราไม่ได้เอาเปรียบ
อย่างมากก็แค่บอกว่าทหารพวกนั้นกินเก่ง เลยต้องทำปริมาณมากหน่อย พวกเราตักน้ำแกงหนึ่งคำ หึหึ แอบคีบเนื้อติดขึ้นมาสักชิ้น ก็พอให้หายอยากได้บ้าง”
“แล้วใครอยู่ที่โรงเพาะปลูกพริกเหรอ”
“หนิวจั่งกุ้ย”
ซ่งฝูหลิงรีบถาม “ท่านให้อาหารเสี่ยวหงหรือยัง”
“ให้แล้ว ทหารพวกนั้นตื่นแต่เช้ายังไม่ทันล้างหน้าล้างตาก็ไปให้อาหารม้า…
…เลยเอาของเสี่ยวหงไปด้วย…
…หนิวจั่งกุ้ยบอกว่า กินเก่งทีเดียว กินเสร็จพวกทหารก็พาออกไปเดินเล่น คนพวกนั้นทะนุถนอมมันมาก มองเป็นของล้ำค่า มีแค่พวกเรานี่แหละที่ไม่เห็นคุณค่าของมัน”
ซ่งฝูหลิงยิ้มตาหยี ชะโงกหน้าออกไปดูหลังบ้าน “หมี่โซ่วล่ะ เขาคงไม่ได้ไปเก็บก้อนหินกับพวกคุณทวดอีกแล้วนะ”
เฉียนเพ่ยอิงทำเสียง หึ
“เก็บก้อนหินอะไรล่ะ รู้จักแต่เล่น…
…พอเจ้าออกไปห้องอบขนม ไม่มีใครเฝ้าเขาฝึกเขียนอักษรแล้ว เขียนไปได้แค่สี่หน้าก็ทำเหมือนมีหญ้างอกออกจากก้น โยนพู่กันทิ้ง แอบหนีหายวับไปตอนที่ข้าเผลอ ออกไปเล่นอีกแล้ว…
…เจ้าว่าเด็กคนนี้กลัวเจ้า กลัวท่านพ่อ แต่ทำไมเขาถึงไม่กลัวข้าเลยล่ะ…
…ข้าก็ยังอยู่ในบ้านนะ แต่เขากลับไม่ตั้งใจเรีย…
…คราวนี้ล่ะได้เรื่อง บนลานน้ำแข็งไม่ได้มีแค่เด็กๆ ของพวกเราแล้ว เด็กในหมู่บ้านก็ทำเหมือนค้นพบแผ่นดินใหม่ ได้ยินว่าส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวอยู่บนลานน้ำแข็งกันแต่เช้าตรู่ สนุกพวกเขาล่ะ”
พอได้ยินเสียงถอดรองเท้า เฉียนเพ่ยอิงถึงหันไปมองลูกสาว “ทำไมเจ้าไม่ไปเล่นด้วยล่ะ”
ถูกต้อง เฉียนเพ่ยอิงเตรียมชุดสำหรับออกไปเล่นให้ลูกสาวเรียบร้อยแล้ว วางอยู่ข้างเตียง
ออกไปเล่น หนาวจะตาย ใส่เสื้อกันหนาวปกติไม่ได้ ต้องใส่หนาๆ หน่อย
นอกจากนี้ เฉียนเพ่ยอิงยังได้เตรียมที่รองก้นไว้ให้ด้วย
นางรู้ว่าลูกสาวชอบนั่งบนพื้นน้ำแข็งแล้วให้จินเป่ากับหมี่โซ่วดันตัวไถลไป นางคิดว่านั่งลงบนพื้นน้ำแข็งโดยตรงคงไม่ดี ควรหาอะไรรองก้นสักหน่อย
หากมีคนถามเฉียนเพ่ยอิงว่า ทำไมถึงสนับสนุนให้ลูกสาวออกไปเล่นสนุก ลองดูบ้างว่าเด็กสาวสมัยโบราณบ้านไหนบ้างที่พอว่างก็ออกไปเล่น ไม่ยอมทำงาน
นางจะตอบอย่างแน่นอนว่า
พวกเราไม่ใช่คนโบราณ อย่ามาพูดเรื่องสมัยโบราณให้ฟัง นางไม่มีความทรงจำพวกนั้น
นางรู้แค่ว่า นางกับสามีไม่ถือสา ร่างกายของลูกสาวเพิ่งอายุสิบสาม ไม่เล่นแล้วจะให้ทำอะไร ไม่ได้ต้องรีบหาคู่ครองเสียหน่อย ตอนนี้ก็ยังไม่ได้เรียนหนังสือด้วย
อีกทั้งสามีของนางมีความทรงจำของยุคโบราณ ก็เคยพูดไว้อย่างชัดเจนว่า
ชื่อเสียงบ้าบออะไร ไม่ได้ขโมยของ ไม่ได้ไปคลุกคลีอยู่กับผู้ชายทั้งวันสักหน่อย แค่เล่นน้ำแข็งก็เสื่อมเสียชื่อเสียงอย่างนั้นเหรอ หยุดเพ้อเจ้อเถอะ
ชื่อเสียงของลูกสาวในวันข้างหน้า ขึ้นอยู่กับคนเป็นพ่อทั้งนั้น
มีพ่อเก่ง ลูกสาวก็ไม่ต้องกลุ้มเรื่องชื่อเสียง
ถ้าพ่อไม่ได้เรื่อง ไม่เป็นโล้เป็นพาย ต่อให้ลูกสาวทำสวนเป็น ปักลวดลายบนผ้าเป็น กิริยามารยาทเรียบร้อยแค่ไหน อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ก็ไม่มีประโยชน์หรอก บ้านเขายากจน คนอื่นเขามองเราไม่มีการศึกษา วันหน้าก็จะจับแต่งกับครอบครัวที่ยากจนเหมือนกัน
ดังนั้นสามีของนางถึงได้กำชับเป็นพิเศษ ภาระหน้าที่อย่างเรื่องชื่อเสียง ห้ามให้ลูกสาวของเขาแบกรับเป็นอันขาด ต้องโยนมาไว้ที่เขา
เฉียนเพ่ยอิงรู้สึกว่าสามีของนางพูดถูกเหลือเกิน
ไม่เหมือนยุคสมัยปัจจุบัน ตอนนั้นลูกสาวอายุยี่สิบห้าแล้ว เริ่มมีความกดดันที่นางเร่งให้หาแฟน
ตอนนี้เพิ่งจะสิบสาม ไม่เล่นแล้วจะให้ทำอะไร
อีกอย่าง ที่นี่ไม่มีโทรทัศน์ ไม่มีคอมพิวเตอร์ การคมนาคมก็ไม่สะดวก ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ว่างๆ ก็ขับรถออกไปเที่ยวเล่นได้ นางจึงกลัวลูกจะอึดอัดจนไม่สบาย
เอาจริงๆ ตอนนี้นางพอใจในตัวลูกสาวมาก
ยังรู้จักหาเงินเข้าบ้านด้วย
ก่อนหน้านี้ทำงานหาเงินเหนื่อยจนมีสภาพแบบนั้น ยังอยากให้ลูกสาวนางทำตัวอย่างไรอีก
“เสื้อกันหนาว กางเกงกันหนาวเตรียมไว้ให้แล้ว เปลี่ยนใส่ที่หนาๆ หน่อย ไปหาหมี่โซ่วที่แม่น้ำสิ ขึ้นเตียงมาทำไม จะนอนรึ งั้นเดี๋ยวข้าปูผ้าห่มให้”
“ไม่นอน ท่านแม่อย่าเพิ่งไป เฝ้าอยู่ในบ้านให้ก่อน ข้าจะเข้าไปอ่านหนังสือในพื้นที่พิเศษหน่อย เอาไว้ใช้แต่งนิยาย”
ซ่งฝูหลิงพูดอย่างมีลับลมคมนัย จากนั้นดวงตาเหลือกมองบนและหายเข้าไปในพื้นที่พิเศษแล้ว
ครึ่งชั่วยามต่อมา ผ่านไปครึ่งชั่วยามพอดี เฉียนเพ่ยอิงเฝ้าลูกสาวที่ตาเหลือก ขณะที่กำลังเอนตัวยืดเอวบนเตียงก็ได้ยินเสียงมาจากบนเขา มีเสียง ‘ตูม’ อย่างรุนแรง นางลุกขึ้นมานั่งทันทีแล้วหันไปมองลูกสาว
ทันใดนั้นก็เห็นซ่งฝูหลิงลุกขึ้นนั่ง
ท่าทางตอบสนองแบบนี้ของซ่งฝูหลิงน่าตกใจยิ่งกว่าเสียงระเบิดที่ดังมาจากบนเขาอีก
เฉียนเพ่ยอิงรีบถามขึ้น “ทำไมเหรอ อยู่ในพื้นที่พิเศษก็ได้ยินด้วยเหรอ เจ้าถูกดีดออกมาเหรอ”
ซ่งฝูหลิงคลานบนเตียงไปดูที่ริมหน้าต่าง จากนั้นถึงได้หันมานั่งแล้วตอบเฉียนเพ่ยอิง
“ท่านแม่ ข้าเจอกฎการใช้พื้นที่พิเศษของบ้านเราอีกแล้ว ห้ามอยู่ข้างในเกินหนึ่งชั่วโมง นี่ก็ประมาณหนึ่งชั่วโมงแล้วหรือเปล่า ตอนเข้าไปข้าเหลือบดูเวลา คิดว่าเป็นเช่นนั้นนะ”
เฉียนเพ่ยอิงถอนหายใจ “เฮ้อ งั้นก็คงหมดแล้ว พ่อของลูกยังหวังอยู่ว่าไว้รอสร้างบ้านเสร็จ หมี่โซ่วมีห้องของตัวเอง จะร้อนจะหนาวพวกเราสามคงคนเข้าไปนอนในพื้นที่พิเศษได้ นอนบนเตียงของตัวเอง ที่นั่นอบอุ่น หน้าร้อนก็ไม่ร้อน แต่ดูท่าเขาจะหมดหวังแล้วสินะ”
นี่เป็นกฎข้อที่สองที่ค้นพบในช่วงนี้
กฎการใช้พื้นที่พิเศษข้อที่หนึ่งคือ เวลา
ค้นพบมาก่อนหน้านี้ได้สักพัก
ค้นพบว่าเอาโทรศัพท์มือถือออกมา เวลายังคงเดิน ใช้แทนนาฬิกาข้อมือได้
แน่นอนว่าเวลาจากนาฬิกาข้อมือก็ใช้ได้เหมือนกัน
แต่ซ่งฝูหลิง ซ่งฝูเซิง และเฉียนเพ่ยอิงพบว่า วันที่ที่ปรากฏบนโทรศัพท์ เป็นวันที่พวกเขาทะลุมิติมาไม่มีเปลี่ยน
เอาโทรศัพท์วางไว้ข้างนอก คอยสังเกตเป็นพิเศษ
แม้จะผ่านไปสองวัน วันที่บนโทรศัพท์ก็ยังคงเป็นวันนั้น
คิดดูสิ พอเอาออกมาข้างนอกก็ไม่ค่อยดี แต่ว่ามันใช้ได้จริงๆ
แต่ถ้าบอกว่ามันใช้ได้ดี ทำไมวันที่ไม่เปลี่ยนล่ะ